ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

การจองร่างของภาคฝ่ายต่างๆ และมนุษย์ที่ถูก "ตีตราจอง" เป็นอย่างไร?

สวัสดีครับทุกท่าน ยังมีเรื่องหนึ่งที่บางท่านสงสัย คือ "เรื่องการจองตัว" เอาละ วันนี้ผมจะมาช่วยให้ความกระจ่างแก่ท่านเอง เนื้อหาในวันนี้ จะกล่าวถึง "การถูกจองตัว" ของคนโดยภาคฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายมืดและฝ่ายสว่างล้วนถูกตีตราจองได้เหมือนกัน แต่ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน และคนที่ถูกจองก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปอีกด้วย ซึ่งผมจะกล่าวโดยละเอียดในลำดับต่อไปครับ


"การจองตัว" ของฝ่ายมืดและฝ่ายสว่าง ต่างกันอย่างไร?


บางท่านรู้แต่รู้ไม่หมด รู้ไม่จริง ก็จะเหมารวมเอาว่าการตีตราจองคือ การทำงานของภาคมืดเท่านั้น ซึ่งเป็นการเหมารวมที่ผิด แท้แล้วเมื่อภาคมืดทำการตีตราจอง ภาคสว่างก็ทำการ "หมั้นหมาย" กับร่างสังขารมนุษย์เอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ก็ด้วย "วิธีการและเงื่อนไข" ที่แตกต่างกัน แล้วมันแตกต่างกันอย่างไรหรือ? กล่าวคือ ภาคมืดจะตีตราจองมนุษย์ที่ทำความผิดบาปแล้วไม่ยอมรับโทษทัณฑ์ เหมือนกับซาตานที่เคยเป็นทูตสวรรค์พอทำความผิดบาปแล้วหนีทัณฑ์สวรรค์ฉะนั้น หรือมนุษย์ที่หมดบุญแล้ว ทว่า ต้องการเสวยบุญต่อจึงร้องขอ เรียกร้องต่อพลังภาคมืดเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ เหล่านี้ จะถูก "ตีตราจอง" โดยฝ่ายมืด โดยพวกเขาจะมีเครื่องตีตราแล้วทำเครื่องหมายติดตัวมนุษย์ผู้นั้นเอาไว้เป็น "สัญลักษณ์" เพื่อที่จะทำการ "ครอบงำร่างสังขาร" ในลำดับต่อไป ส่วนภาคสว่างจะเลือกมนุษย์ที่ "ผ่านการทดสอบ" ของพวกเขา ในแบบที่เขาต้องการ จากนั้นจึงติดต่อกับร่างสังขารด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ร่างสังขาร "ยินยอมร่วมภารกิจ" ก็จะทำการจับจองตัวกันต่อไป เหมือนการหมั้นหมายอย่างนั้น ดังนั้น การถูกจองตัวจึงมีได้ทั้งจากภาคมืดและภาคสว่างจะเหมารวมไปอย่างเดียวไม่ได้



วิถีเหมือนกัน จึงจองตัวกัน เหมือนภาพสะท้อนของกันและกัน


หลักการง่ายๆ ของการ "ตีตราจอง" คือ คนที่มีวิถีชีวิต การกระทำที่ตามรอยกัน ก็จะถูกตีตราจองกันได้ เช่น คนที่มีการกระทำเหมือนภาคสว่าง ก็จะถูกจองตัวโดยภาคสว่าง, คนที่มีการกระทำเหมือนภาคมืด ก็จะถูกจองตัวโดยภาคมืด เอาละ นี่คือ "หลักการพื้นฐาน" ที่ง่ายที่สุดนะ ทีนี้ ทั้งสองภาคส่วน ก็มี "ตัวตน" มากมาย หลากหลาย ใช่ไหม สมมุติว่าคุณกระทำการเพื่อโลกนี้โดยมุ่งเน้นสันติภาพ คุณก็จะถูกจองตัวโดยพลังภาคสว่างที่ทำหน้าที่ด้านสันติภาพ ถ้าคุณกระทำเพื่อโลกนี้โดยมุ่งเน้นการเมืองการปกครอง คุณก็มักจะถูกจองตัวโดยภาคสว่างที่ทำหน้าที่ด้านการเมืองการปกครอง เป็นต้น ง่ายดีไหมละ? ใช่แล้ว มันง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด มันไม่อาจยุ่งเหยิงหรือผิดเพี้ยนไปจากหลักการนี้ได้ เพราะอะไร? เพราะหลังจากการจองตัวแล้ว จะมีการ "ประสานพลังร่วมกัน" ของมนุษย์และตัวตนในอีกมิติที่จับจองตัวมนุษย์นั้นๆ ดังนั้น เขาทั้งสองต้องมีการกระทำมาก่อนเป็นเบื้องต้นที่จะ "ประสานเข้ากันได้" เขาทั้งสองจึงเหมือน "ภาพสะท้อนของกันและกัน" ของสองมิติ ตัวตนหนึ่งอยู่ในมิติของโลกมนุษย์ อีกตัวตนหนึ่งอยู่ในมิติอื่นๆ ก่อนที่จะประสานกันเป็น "ตัวตนหนึ่งเดียว" ได้ ในที่สุด



มนุษย์ที่ถูก "ตีตราจองโดยภาคมืด" จะมีสัญลักษณ์บนตัวบางอย่าง?


ภาคมืด จะตีตราจองมนุษย์ไว้ โดยทำ "สัญลักษณ์บางอย่างบนตัวเขา" ทว่า มันจะเป็นเครื่องหมายเฉพาะของพวกเขาเท่านั้น พวกมืดก็มีหลายกลุ่ม เมื่อพวกเขาตีตราจองแล้ว เขาจะใช้ "สัญลักษณ์" ที่แตกต่างกันเช่น บางกลุ่มใช้สัญลักษณ์เป็น "การแต่งกาย" หรือ "ตุ้มหู" ที่แตกต่างไปจากกลุ่มอื่นๆ หรือบางกลุ่มใช้ "ลายสัก" เป็นการ "ตีตราจอง" ก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีการตีตราจองที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถเห็นได้ในอีกมิติหนึ่งด้วย พวกมืดก็มีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีตราสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้รู้กันได้ว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน หรือมองเห็นกันแล้วก็ดูออกว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ แต่มนุษย์ที่ถูกตีตราจอง ก็ล้วนอยู่ในโลกเดียวกันนี้กับพวกเรา และพวกที่ถูกจองตัวโดยภาคสว่างด้วย ดังนั้น จึงสับสนปนเปกันไปหมด ยากที่จะแยกแยะได้ว่า "ใครที่ถูกภาคไหนตีตราจอง" เมื่อพวกเขาถูกตีตราจองแล้ว พวกเขาจะได้รับ "บัตรเชิญ" ซึ่งไม่มีลักษณะเป็นบัตรเชิญที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรอกนะ มันเป็นแค่อะไรก็ได้ ที่จะเปิดทางให้คนที่ถูกตีตราจอง ได้เข้าไปยัง "โลกของพวกเขา" ที่พวกเขาสร้างขึ้นไว้ ซ้อนซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ เช่น คลับบาร์ ที่ไม่ควรจะมี หรือผิดกฏหมาย แต่พวกเขาก็จะได้รับการเปิดทางให้เข้าไปในที่นั้นๆ ได้ อย่างที่ไม่เคยเข้าได้มาก่อน เพื่อให้เกิด "ความยอมรับร่วมกัน" แล้วจึงทำการ "ประสานร่าง" ได้ง่ายยิ่งขึ้น ก็จะจบกระบวนการโดยสมบูรณ์ 



มนุษย์ที่ถูก "ตีตราจองโดยภาคสว่าง" จะมีวิถีชีวิตที่เบี่ยงจากวิถีปุถุชน


ภาคสว่าง จะจองตัวมนุษย์โดยการทำให้เขารู้ตัวก่อน และให้เขายอมรับเอง เลือกเองก่อน ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็จะไม่มีการจองตัว แต่ถ้าเขายอมรับจึงจะมีการจองตัวด้วย "พิธีกรรม" หรืออะไรบางอย่างเหมือนการหมั้นไว้เช่น การทำพิธีบางอย่างอันแสดงถึง "การยอมรับภาคสว่าง" เมื่อมนุษย์ยอมรับแล้ว จึงจะมีการ "เตรียมสังขาร" เช่น สังขารนั้นจะถูกทำให้มีวิถีชีวิตที่เบี่ยงเบนออกไปจากปกติ เช่น ตกงานและต้องไปปฏิบัติธรรม ยาวนาน เพื่อให้สังขารบริสุทธิ์ขึ้น รองรับสภาวะ หรือพลังงานของภาคสว่างได้ นั่นเอง ดังนั้น พวกเขาจะรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างควบคุมชีวิตไม่ให้ออก "นอกกรอบ" ชีวิตจะต้องเดินในกรอบอะไรบางอย่าง? ทำบางสิ่งได้ แต่บางสิ่ง ไม่อาจทำได้เลย เหมือนมีกรอบที่มองไม่เห็น ล้อมตนเอาไว้มีกฏระเบียบที่มองไม่เห็นเยอะแยะ จนรู้สึกอึดอัด ไม่อาจทำอะไร ได้ดั่งใจเหมือนถูกขัดใจ ถูกควบคุม ถูกบังคับ หรือถูกพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นดูแลให้ชีวิตต้องดำเนินไปตามกรอบระเบียบมากมาย แตกต่างจากคนที่ถูกตีตราจองโดยภาคมืด ที่จะได้รับการเปิดทางให้ "ทำผิดได้อย่างเสรี" ในที่ๆ คนเอาโทษไม่ได้ หรือมองไม่เห็น เช่น ในที่ลับ, คลับบาร์ ฯลฯ ต่างๆ เหมือนพวกเขาได้เปิดโลกที่พวกเขารอคอย เป็นโลกมืดที่ทำผิดอะไรก็ได้ตามแบบของแต่ละกลุ่ม บางกลุ่ม ก็เสพยาเสพติด, บางกลุ่มก็ผิดประเวณีบางกลุ่มก็ทำผิดอื่นๆ ฯลฯ นั่นคือ โลกของพวกมืด ซึ่งตรงกันข้ามกับพวกสว่าง ที่จะเต็มไปด้วยกฏระเบียบ กรอบห้อมล้อม จนทำให้มนุษย์ที่ถูกจองตัว รู้สึก "อึดอัด" บ่อยๆ ทั้งยังต้องฝึกฝนตนอย่างยิ่งยวด และได้รับ แบบทดสอบที่แสนหฤโหดอีกด้วย นี่ละ หนทางที่แตกต่างกันของมืดและสว่าง



การถูกตีตราจองโดยภาคสว่าง ในระดับชั้นที่แตกต่างกันไป?


ภาคสว่างมีหลายระดับชั้น ยิ่งระดับชั้นที่สูงขึ้น ยิ่งมีกฏระเบียบมากขึ้นนอกจากกฏระเบียบในการดำรงชีพแล้ว ยังมี "จรยาบรรณ" ในการทำหน้าที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีก ทำให้ผู้ที่ยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ก็ยิ่งต้องมีวินัยมากยิ่งขึ้น เคร่งครัดมากยิ่งขึ้นและต้องรู้จักละเว้น ละวาง ในการกระทำบางอย่างมากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น การกระทำของท่านก็จะส่งผลกระทบต่อ "วงกว้าง" ได้มากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น ท่านจึงต้องยิ่งมี "วินัย" มากขึ้นเป็นลำดับไป ซึ่งท่านจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าวิถีชีวิตของท่านเปลี่ยนไป และมี "กรอบระเบีบที่มองไม่เห็น" เข้ามาล้อมกรอบชีวิตของท่านมากยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นลำดับ จนท่านเริ่มกลายเป็นเหมือนคนเรื่องมากในสายตาของปุถุชนไป อะไรๆ ก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ได้ อะไรอย่างนั้นใช่ไหม? ที่ปุถุชนจะรู้สึก เมื่อเขาพยายามมาเกี่ยวข้องกับท่าน นอกจากนี้ "ภาคสว่างจากต่างที่กัน" เช่น จากดวงดาวต่างกัน ก็มี "กฏระเบียบ" ที่ต่างกันไปด้วย แต่ส่วนใหญ่ จะมีวินัยมากกว่าคนบนโลกเสมอ พวกเขาก็จะ "ดูท่านห่างๆ" ว่าท่านมีแววหรือไม่? ที่จะเป็นเหมือนพวกเขาได้ เหมือน "แมวมอง" อย่างนั้น พอท่านเป็นที่ถูกตาต้องใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็จะเข้ามาจองตัว ทว่า พวกเขาจะรอให้อีกภาคส่วนคือ ฝ่ายตรงข้าม หรือภาคมืด ลงมือทดสอบท่านก่อน กล่าวคือพวกมืดจะเข้ามาอยากจองตัวท่านก่อน เชื้อเชิญท่านก่อน เมื่อท่านไม่มีความต้องการเข้าร่วมกับภาคมืดอย่างแน่วแน่แล้ว ภาคสว่างก็จะเข้ามาทีหลัง นั่นคือ "ท่านสอบผ่านแล้ว" ในสายตาของพวกภาคสว่าง นั่นเอง



การทำลายกระบวนการ "จองตัวของภาคสว่าง" โดยภาคมืด


ซึ่งก็คือ "การสอบตก" ในสายตาของภาคสว่าง นั่นเอง หมายความว่าในระหว่างที่ "มนุษย์เริ่มมีแวว" และสองภาคต่างสนใจมาจองตัวนั้น ก็จะมี "การทดสอบของภาคมืด" เกิดขึ้นก่อน แล้วถ้ามนุษย์ไม่ผ่าน หรือสอบตกในสายตาของภาคสว่าง พวกเขาจะสอบผ่านในสายตาของภาคมืด เช่น การที่มนุษย์กำลังจะเดินทางสู่ภาคสว่างแล้ว แต่มีคนมาเชิญให้ได้รับ "ลาภสักการะ" มนุษย์คนนั้นเลยเอาลาภสักการะ แทนที่จะทำหน้าที่ตรงทางต่อไป เขาเริ่มจะสอบตกแล้วในสายตาของภาคสว่าง ยิ่งไปกว่านั้น "ภาคมืด" จะยัดเยียดให้อะไรมากมายแก่เขา จน "ล้นเกินบุญเสวย" เพื่อทำลายพลังอำนาจด้านสว่างของเขาลงทีละน้อย เผาผลาญบุญของมนุษย์คนนั้นให้ลดลงไปทีละน้อยๆ จนไม่เหลือเลย มนุษย์คนนั้นเสวยจนไม่ทันคิด ไม่ทันรู้ตัว เพราะคิดว่าสิ่งที่ได้ล้วนถูกต้องแล้ว เป็นบุญของเราทั้งสิ้น จนลืมพิจารณาไปว่า แท้จริงแล้ว มันเป็น "หนี้ภาคมืด" ไปตั้งแต่เมื่อไร ก็ไม่รู้ เหมือนคนที่เคยรวย แล้วถูกเพื่อนพาไปเล่นพนัน เพื่อนออกเงินให้เล่นสนุกๆ ก็เลยเล่นซะเพลินมือจนมารู้อีกที "เป็นหนี้จนเกินกว่าที่จะใช้เงินที่ตนมีอยู่ จ่ายได้?" นี่ละ พวกภาคมืด จะทำแบบนี้ เพื่อให้คนที่กำลังจะก้าวสู่ภาคสว่าง ไม่อาจไปสู่ภาคสว่างได้ และต้องกลายเป็นภาคมืดแทน เมื่อมนุษย์หมดพลังบุญแล้ว พวกเขาก็จะหมดแสง และมืดมนลง



สุดท้ายนี้ ทุกอย่างมันเป็น "แบบทดสอบ" นะครับ ผมไม่อาจที่จะเฉลยได้หมด เอาเป็นว่าท่านจะได้รับการทดสอบจากภาคส่วนต่างๆ เมื่อผ่านแล้วในสายตาของภาคส่วนไหน พวกเขาก็จะจองตัวท่านต่อไปเองแหละแล้วแบบทดสอบนี้มันก็หลากหลายเหลือเกิน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านเองทั้งสิ้น มันจะเป็นตัวกำหนดทิศทางในการเดินต่อไปในอนาคตของท่านเอง ตัวตนในภาคส่วนต่างๆ ที่อยู่ในมิติต่างๆ จะรอรับท่านจะจองตัวท่าน และจะประสานร่วมเดินทางไปกับท่านด้วย ไม่ว่าตัวตนที่อยู่ในโลกนี้ หรือนอกโลกออกไป จะเป็นดาวดวงไหนในจักรวาลนี้ก็ตาม เพียงท่าน "กระทำได้" ท่าน "ผ่านแบบทดสอบของเขาได้" พวกเขาจะต้องมาทำหน้าที่ประสานงานร่วมกับท่านต่อไปเอง นะแหละ โดยไม่ต้องแสวงหาพลังของท่านที่เกิดจากการกระทำของท่าน จะสั่นสะเทือนถึงพวกเขาจนพวกเขาจะต้องมาเชื่อมประสานกับท่านและเป็นหนึ่งเดียวกับท่านในที่สุด


ขอให้ท่านมีความแน่วแน่ในการเดินทางที่แสนหลากหลายนี้ สวัสดีครับ ...



16 มิ.ย. 2555


"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ตัวตนเชิงซ้อน และระบบพลังงานเชิงซ้อน ในร่างกายมนุษย์ มันมีกี่มิติกันแน่?

สวัสดีครับเพื่อนๆ มีเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังแบบกันเองๆ ไม่ซีเรียสนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่ฟังแล้วดูยุ่งยากไปหน่อยในมิติที่ต่ำลงแต่ว่าผมจะพยายามทำให้มันง่ายที่สุด เลยก็แล้วกัน มันเหมือนหลักการแพทย์ การผ่าตัดร่างกายมนุษย์นะครับ ทว่า มันเป็นระดับพลังงาน ดังนั้น มันจึงยากขึ้นไปอีกระดับหนึ่งครับ เอาละ ผมจะเปิดโลก "พลังงานในตัวตนเชิงซ้อนของมนุษย์" ให้เพื่อนๆ ดู ก็แล้วกัน ...


มนุษย์แต่ละตัวตนมีระบบพลังงานเชิงซ้อนภายในที่แตกต่างกัน?


อย่างแรกที่ต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานคือ ระบบพลังงานระดับ "รูปธรรมชีวิต" ของมนุษย์แต่ละตัวตน ไม่ใช่เชิงเดี่ยว ย้ำนะครับ มันเป็นระบบเชิงซ้อนที่มีหลาย "รูปธรรมชีวิต" ประสานอยู่ร่วมกัน สิ่งนี้เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ซึ่งไม่ค่อยพบในรูปธรรมชีวิตอื่นๆ นะครับ มันเหมือนภาชนะใหญ่ อันหนึ่งที่รองรับเอา "รูปธรรมชีวิตในระดับพลังงาน" ที่มากกว่า 1 อยู่ร่วมกันในหนึ่งตัวตนเชิงสังขาร ดังนั้น มนุษย์จึงมีลักษณะที่ซับซ้อนและไม่แน่นอนและแต่ละตัวตนก็มีระบบพลังงานที่แตกต่างกันด้วยนะครับ ดังนั้น มนุษย์แต่ละคนจึงมีทั้ง "เปลือกนอกที่เหมือนคนๆ หนึ่ง" และ "ตัวตนที่ซ่อนลึกอยู่ภายในก็อีกแบบหนึ่ง" ทั้งยัง "สับสนและขัดแย้งกันเองภายใน" ได้อีกด้วยครับ ไม่แปลกใช่ไหมครับ? เพราะท่านเป็นมนุษย์คงเคยมีสภาวะแบบนั้นบ้าง ทว่ารูปธรรมชีวิตที่ไม่ได้มีสังขาร เขาไม่เป็นเช่นนี้กันนะครับเขามีความแน่นอนในแบบใดแบบหนึ่ง อย่างที่เขาเป็นอยู่ และจะเปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นๆ ไม่ได้ เขาก็จะตาย พ้นไปจากแบบนั้นๆ เลยละครับ นี่ไงความแตกต่างที่เพื่อนๆ อาจไม่เคยทราบ เอาละ ต่อไป เราจะมาผ่าตัดดูระบบพลังงานภายในของมนุษย์กัน ว่ามีความซับซ้อนอย่างไรบ้างครับ



ระบบพลังงานในขอบเขตของสังขาร และนอกขอบเขตของสังขาร ?


ระบบพลังงานเชิงซ้อนของมนุษย์ถ้าจะใช้ "ขอบเขตของสังขาร" เป็นเครื่องแยกแยะแล้วจะได้ "ระบบพลังงานเชิงซ้อนภายในสังขาร" (In Body Power System : "IBPS") และ "ระบบพลังงานเชิงซ้อนนอกขอบเขตสังขาร" (Out Body Power System : "OBPS") ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับสังขารนั้นอีกทีแบบหลอมๆ และเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเอาละ ต่อไป ผมก็จะใช้ตัวย่อ นะ คือ IBPS (ภายในฯ) และ OBPS(ภายนอกฯ) เพื่อจะได้ไม่ต้องพิมพ์ยาวซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็แตกต่างไปในแต่ละตัวตน, บุคคลด้วย ทั้งความซับซ้อนและคุณภาพของพลังงานจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ "การเลื่อนระดับ" ของเขาด้วยครับ ทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับการกระทำและความคิด, จิตใจของแต่ละตัวตน, บุคคล เป็นสำคัญครับ ซึ่งผมจะได้อธิบายแต่ละส่วนต่อไป



ระบบพลังงานเชิงซ้อนภายในสังขาร (IBPS) ของมนุษย์แต่ละตัวตน


ระบบพลังงานเชิงซ้อนภายในสังขารของมนุษย์แต่ละตัวตน จะมีรูปธรรมชีวิตในระดับพลังงานอย่างน้อย 2 รูปธรรมชีวิต อยู่ร่วมกันเสมอ นอกจากช่วงเวลาที่เขากำลังจะตายเท่านั้น เขาจึงจะเหลือรูปธรรมชีวิตในสังขารเพียง 1 เดียว ซึ่งเราสามารถทำนายได้ว่าเขาจะตายจากรูปธรรมชีวิตซึ่งเราตรวจพบว่าเหลือเพียง 1 นั้น ทว่า เขาอาจจะยืดชีวิตไปได้อีก ถ้าเขามีรูปธรรมชีวิตเพิ่มขึ้นภายในสังขารของเขา เอาละ ในบางท่านก็มีรูปธรรมชีวิตในสังขารมากกว่า 2 รูปธรรมชีวิตได้ แต่ถ้าเขามีมากเกินไป จะส่งผลให้เกิด "ความสับสนและความแปรปรวนภายใน" อย่างมาก เพราะแต่ละรูปธรรมชีวิต มีจิตใจของตนเองที่แตกต่างกันไป ถ้ายิ่งมีมากหลายจิตใจก็จะยิ่งสับสนและแปรปรวนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ปกติแล้ว ผู้ที่มีจิตใจสงบนิ่งมักจะมีรูปธรรมชีวิตในสังขารเพียง 2 รูปธรรมชีวิต แต่ก็มีผู้ที่มีจิตใจสงบนิ่งได้ด้วยการมีรูปธรรมชีวิตมากกว่า 2 รูปธรรมชีวิตก็มีเหมือนกัน เอาละผลจากการที่มนุษย์มีรูปธรรมชีวิตมากกว่า 1 นี้เอง ทำให้มนุษย์มีเปลือกและแก่นที่แตกต่างกันเหมือนเวลาเราคบใครคนหนึ่ง เราจะได้รู้จักเปลือกนอกของเขาก่อน จนกว่าเราจะเข้าถึงแก่นแท้ของเขาได้ ก็จะพบเหมือนมีตัวตนอีกตัวตนหนึ่งที่แตกต่างจากเปลือกนอกของเขา ซ่อนอยู่ลึกภายในซึงระบบพลังงานเหล่านี้ จะอยู่กันอย่างมีระบบเป็น "ชั้นๆ" จากนอกสุดก็ค่อยๆ เรียงซ้อนกันลึกเข้าไปถึงข้างในสุด แล้วแต่ว่าคนแต่ละคนจะมีกี่ชั้น



ระบบพลังงานเชิงซ้อนภายนอกสังขาร (OBPS) ของมนุษย์แต่ละตัวตน


ระบบพลังงานเชิงซ้อนภายนอกสังขารของมนุษย์แต่ละตัวตน ก็แตกต่างกันไปอีก ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละตัวตน แต่ละช่วงเวลาจะมีการ "เชื่อมโยง" เข้ากับพลังงานแบบใด ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้, ไม่เที่ยง, ไม่แน่นอนเหมือนกับการเชื่อมโยงเข้าสู่ "แหล่งพลังงานที่ต่างกัน" ทำให้สังขารคนได้รับพลังงานจากแหล่งที่ต่างกัน ขับดันให้ทำหน้าที่แตกต่างกันไป ทั้งยังมีความคิด, อารมณ์, ความรู้สึก, ภูมิปัญญา ฯลฯ ที่แตกต่างกันไปอีกด้วยเมื่อสังขารหนึ่งๆ เชื่อมโยงเข้ากับพลังงานภายนอกแล้ว เขาเหมือนถูกห่อหุ้มด้วย "ตัวตนอีกตัวหนึ่ง" ซึ่งยังไม่ใช่ตัวตนแก่นแท้ของเขา เพราะส่วนนี้ "เปลี่ยนแปลงได้ง่าย" ซึ่งส่วนนี้เองที่เชื่อมโยงมนุษย์ ไปสู่มิติที่ต่างกันเช่น ในสังขารที่เชื่อมโยงเข้ากับพลังที่มืดมิด ก็จะเชื่อมโยงเข้าสู่มิติที่มืดมิด แต่ในสังขารซึ่งเชื่อมโยงเข้ากับพลังที่สว่างไสว ก็จะเชื่อมโยงเข้ากับมิติที่สว่างไสว และมันส่งผลอย่างมาก ต่อการกระทำของมนุษย์ แต่ละคนด้วย นอกจากนี้ การเชื่อมโยงไปสู่มิติต่างๆ ของสังขารมนุษย์แต่ละตัวตนก็ยังเป็นเครื่องบ่งบอกถึงระดับของแต่ละบุคคลได้ด้วย กล่าวคือ มนุษย์ที่มีการเลื่อนระดับได้สูง จะเชื่อมโยงกับมิติที่สูงขึ้นได้ดี กว่ามนุษย์ที่ทำไม่ได้และมนุษย์ที่อยู่ในมิติที่ต่ำก็จะเชื่อมโยงเข้ากับมิติที่ต่ำ ไม่อาจจะเชื่อมโยงเข้ากับมิติที่สูงขึ้นไปได้ ทว่า การเชื่อมโยงนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายจะสูงขึ้นหรือต่ำลง ก็จะขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ แต่ละตัวตนนั่นเอง



การเชื่อมโยงกันของ IBPS และ OBPS ของมนุษย์แต่ละตัวตน


ระบบพลังงานภายในและระบบพลังงานภายนอกของมนุษย์แต่ละคนจะเหมือน "ภาพสะท้อน" ของกันและกัน กล่าวคือ ถ้ารูปธรรมชีวิตภายในของมนุษย์ตัวตนหนึ่งเป็นรูปธรรมชีวิตที่สูงส่ง ก็จะส่งผลให้เขาเชื่อมโยงกับ "ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น" ได้ง่าย แต่ถ้ารูปธรรมชีวิตภายในของมนุษย์ตัวตนหนึ่งเป็นรูปธรรมชีวิตที่เสื่อมต่ำ เขาก็จะเชื่อมโยงกับ "ตัวตนในมิติที่ต่ำลง" ได้ง่ายกว่า นั่นคือ มันเหมือนภาพสะท้อนของกันและกันนั่นเองและมันต้องมี "ระดับเท่าๆ กันด้วย" ซึ่งจะสามารถดำรงสภาวะอยู่ได้นานทว่า ก็มีหลายตัวตนที่ไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ "ภายในไม่สูง" แต่ก็เชื่อมโยงเข้ากับ "ตัวตนระดับสูง" ได้ แต่พวกเขา ก็จะทำหน้าที่นั้นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็จะกลับลงไปเสื่อมต่ำตามความจริงภายในที่เขาเป็นเช่น ในบางท่านที่ถ่ายทอดธรรมระดับสูงเกินกว่าระดับภายในของเขา จะสามารถทำได้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น เมื่อหมดวาระหรือภารกิจจบสิ้นแล้ว จึงจะกลับลงไปอยู่ในระดับที่เหมาะสม ตรงกับพลังงานภายในที่แท้จริงต่อไปดังนั้น เพื่อนๆ อาจพบบางคนที่ดูเหมือนมีธรรมระดับสูง แต่ตัวตนของเขาก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาถ่ายทอดธรรมระดับสูงได้ก็จริง แต่ตัวตนของเขากลับไม่อาจปฏิบัติได้จริงขนาดนั้น เขาไม่ได้เสแสร้งนะครับแต่เขาต้องทำหน้าที่ชั่วคราวก็เท่านั้นเอง ดังนั้น เมื่อเพื่อนๆ ได้เรียนรู้เรื่องราวนี้แล้ว หวังว่าจะมีความเข้าใจในตัวตนของมนุษย์มากขึ้นว่า ทำไม บางคนเหมือนมีธรรมสูงแต่มีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากธรรมที่เขานำเสนอได้ ไม่แปลกนะครับแค่การทำหน้าที่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อจบสิ้นภารกิจเขาก็จะกลับมาปกติได้ครับ(กลับมามีธรรมในระดับตามจริง จะไม่ดูสูงเกินตัว เกินจริงกว่าที่เขาเป็น)




ประเภทของ IBPS ที่เชื่อมโยงกับ OBPS ของสิ่งศักดิสิทธิ์ได้


มนุษย์ที่สามารถเชื่อมโยงพลังงานเข้ากับพลังของสิ่งศักดิสิทธิ์เบื้องบนได้จะเหมือนสิ่งศักดิสิทธิ์บนภาคพื้นดิน เขาจะมีพลังและทำให้คนรู้สึกศรัทธาได้เหมือน "ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์" นั้นๆ เลยทีเดียว คำถามก็คือ อะไรที่ทำให้เขาทำเช่นนั้นได้? คำตอบคือ เขาจะต้องมี IBPS ที่สามารถ จูนติดกับ "สิ่งศักดิสิทธิ์" นั้นๆ ได้ เช่น ถ้าเขาต้องการพลังของพระศรีอาร์ฯ คลุมที่ตัวเขาเพื่อทำหน้าที่เหมือนพระศรีอาร์ฯ บนภาคพื้นดินเขาก็จะต้องมีพลังรองรับในตัวของเขาที่สอดคล้องกับพลังของพระศรีอาร์ฯ นั้นๆ เช่น พลังที่มาจาก "รูปธรรมชีวิต" ที่เคยเป็นสัตว์พาหนะทรงของพระศรีอาร์ฯ เป็นต้นเช่น รูปธรรมชีวิตในระดับพลังงานที่อยู่ในกลุ่ม "เทพนักษัตร" เป็นต้น จึงจะสามารถประสานพลังรับพลังงานจากพระศรีอาร์ฯ ที่อยู่เบื้องบนได้สนิทส่วนในคนที่ไม่มีแบบนี้ก็จะไม่สามารถรับได้ คนที่รับได้และทำหน้าที่ได้นั้นเขาก็จะเหมือนพระศรีอาร์ฯ จริงๆ บนภาคพื้นดินเลยทีเดียว แต่เขาก็ไม่ใช่ตัวจริงนะครับ เขาเป็นเพียง ตัวแทน ในการทำภารกิจบางประการ เท่านั้นเอาละ ยังมีมนุษย์อีกมากมายหลายตัวตนที่ทำหน้าที่เช่นนี้ อย่าเพิ่งไปคิดว่าเขาหลอกลวงละ และอย่าไปหลงศรัทธาเขามากเกินไป แต่ต้องเข้าใจว่า "ตัวแทน" หมายถึงอะไร ไม่ใช่ตัวจริง แต่ก็ทำหน้าที่บางอย่างได้ครับ


สุดท้ายนี้ เรื่องระบบพลังงานเชิงซ้อนในร่างกายมนุษย์แต่ละตัวตนนั้น ยังมีอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกมาก แต่เอาพื้นฐานไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกันนะครับเพราะในมนุษย์แต่ละตัวตนก็มีระบบพลังงานที่แตกต่างกันอย่างมากไปอีกโดยเฉพาะมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการสูงๆ จะมีระบบพลังงานที่เชื่อมโยงไปสู่มิติที่สูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะเชื่อมโยงระบบพลังงานภายนอกเข้ากับตัวตนในมิติที่สูงขึ้นได้เรื่อยๆ ดังนั้น พวกเขาจึงเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้เรื่อยๆครับ มนุษย์แต่ละตัวตนจึงเหมือนอยู่ในมิติที่สูงต่ำ ไม่เท่ากัน จึงมีวิถีชีวิตที่ยุ่งยากและเรียบง่าย ไม่เหมือนกัน ยิ่งมนุษย์ตัวตนไหนเลื่อนระดับสูงขึ้นไปได้ ก็จะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายมากขึ้นแต่ถ้าเสื่อมต่ำลงก็จะมีวิถีชีวิตที่ยุ่งยากนวายมากครับ สิ่งนี้ ไม่ใช่การเลือกกระทำ แต่เป็นผลจากการกระทำก่อนมา ส่งผลให้เป็นเช่นนี้ คือ ไม่ใช่ว่าให้เราไปใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เราก็ทำได้เพราะการฝึกปฏิบัติให้มันเป็น อย่างนั้น ไม่ใช่ครับ มันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุมันอยู่ที่ "ตัวตนภายใน" ของเขาครับ ถ้าตัวตนภายในของเขาไม่เปลี่ยนแปลง เล่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้ วิถีชีวิตของเขาก็จะไม่อาจที่จะเรียบง่ายได้ครับ คือ ยังคงมีแต่ความวุ่นวายซับซ้อนอยู่เช่นเดิม


ขอให้เพื่อนสนุกกับการค้นหาตัวตนภายในและภายนอกต่อไป สวัสดีครับ


15 มิ.ย. 2555


"เสียงจากโดเรม่อน"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คุณก็สามารถหยุดยั้งภัยพิบัติ "สงครามโลก" ได้ด้วยการ "ไม่ยึดติดชาตินิยม" จนเกินไป

สวัสดีทุกท่านในเช้าวันที่อากาศเย็นสบายอย่างนี้นะคะ ดิฉันได้รับการเชิญมาจาก "ดาวแห่งสันติภาพ" มาเพื่อช่วยในการสื่อสารนี้โดยเฉพาะ เอาละค่ะ หน้าที่นี้เหมาะกับสตรีเพศมากๆ เลย ทว่า ดิฉันไม่ได้มีเพศแบบมนุษย์หรอกนะ เราเพียงแต่มีลักษณะเป็นต้นแบบของสตรีเพศ เท่านั้นค่ะ แนะนำตัวเล็กน้อย คงพอควรแล้ว ต่อไปดิฉัน จะนำเสนอข้อความข่าวสารที่สำคัญนะคะ นั่นคือ เรื่อง"การหยุดยั้งภัยพิบัติจากสงครามโลก" ค่ะ ซึ่งคุณก็มีส่วนร่วมและสามารถเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของลูกหลานของคุณเองได้ เพื่อให้ลูกหลานของคุณได้ระลึกนึกถึงคุณในฐานะ "ผู้สร้างสันติภาพ" ของโลกนะคะ เอาละค่ะ ดิฉันจะค่อยๆ เข้าเนื้อหาให้ง่ายที่สุด นะคะ


การแบ่งแยกโลก ไม่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อให้เกิดสงครามโลกได้


อย่างแรกนะคะ คือ สาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดสงครามโลกค่ะ มันคือ การแบ่งแยกคนบนโลกด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น เชื้อชาติ, ศาสนา, ประเทศ ฯลฯ การแบ่งแยกเหล่านี้ เมื่อเข้าสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า "การขมวดปมขัดแย้งที่ตึงแน่น" ขึ้นมาเมื่อไร มันก็จะก่อให้เกิด "ฉนวนสงคราม" นะคะ นึกภาพออกใช่ไหมคะ พอขมวดปมขัดแย้งนี้ให้ตึงแน่น มันจะกลายเป็นเหมือนระเบิดค่ะ นั่นคือ "ฉนวนสงคราม" ไงคะ เอาละ การคลี่คลายปมนี้ให้หลุดออก หรือการคลี่คลายสถานการณ์ที่ดีที่สุด คือ การเอาแต่ละคนออกจาก "บ่วงแห่งความแตกต่าง" เช่น ความยึดติดในเชื้อชาติ, ประเทศและอื่นๆ นะคะ แล้วปลดปล่อยเขาสู่อิสรภาพที่กว้างขวางกว่า แล้วเขาจะเห็น "โลกกว้างอันเป็นหนึ่งเดียวกัน" ค่ะ เมื่อไรที่เขายอมละความยึดมั่นในความแตกต่างส่วนตน แล้วเห็น "องค์รวมหนึ่งเดียวกันของโลก" พวกเขาก็จะทำเพื่อโลกดยรวม เมื่อนั้น "โลกนี้จะไม่มีสงคราม" ค่ะ นี่คือ สิ่งที่ดิฉันคิดว่า "มนุษย์โลกทุกคนปรารถนาคือโลกแห่งสันติภาพ" ใช่ไหมคะ



ปลดปล่อยตัวเองออกจาก "บ่วงชาตินิยม" ก่อนที่จะสายเกินไป !


เอาละคะ ทีนี้ ทุกท่านคงเห็นความสำคัญและสาเหตุจากรากฐานที่สำคัญที่สุดแล้วใช่ไหม? โดยเฉพาะความเป็น "ชาตินิยม" เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งข้อขัดแย้งได้อย่างมาก อย่างที่เกิดขึ้นปัจจุบันนี้ ใช่ไหม? ที่คาบสมุทรเกาหลีไม่สิ คาบสมุทรบนความขัดแย้งของเกาหลี, ญี่ปุ่น, จีน และฟิลิปปินส์ น่าจะถูกมากกว่า แต่ละท่านก็คิดว่า "นี่คือ สมบัติของชาติ" แต่ละท่านก็เลยทำทุกวิถีทางที่จะรักษาสมบัติของชาติเอาไว้ และนั่นคือ "การขมวดปมให้ตึงแน่น" และสุดท้าย มันจะกลายเป็น "ฉนวนสงคราม" ได้นะคะ เอาละ ทีนี้ ถ้าทุกคนมาเปลี่ยนมุมมองใหม่ และคิดว่า "นี่คือ "สมบัติร่วมของโลก" ละคะ? แต่ละท่านจะไม่แบ่งแยก, ไม่ยึดแย่งกันไปมา และไม่เกิดสงครามใช่ไหม? แต่ละท่านก็จะมาวางแผนร่วมกันว่าจะใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์ร่วมกันต่อทุกฝ่าย เห็นไหมคะ เปลี่ยนมุมมอง และเปลี่ยนความคิด ก็สามารถนำทิศทางของโลกให้เปลี่ยนแปงไปได้แล้วค่ะ



การ "เห็นแก่ประโยชน์ของโลกโดยรวม" จะเกิดประโยชน์ต่อทุกท่าน


นอกจากนี้ การเห็นประโยชน์โดยรวมของทั้งโลก จะก่อให้เกิดผลดีต่อทุกท่านด้วยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น บางท่านคิดว่า "วิกฤติหนี้ยูโร" ไม่กระทบเอเชียหรอก ทว่า มันอาจจะจริงแค่ระยะสั้นและมุมแคบ ในเรื่องเศรษฐกิจนะคะ แต่ในระยะยาวและมุมกว้าง มันอาจจะกลายเป็น "ฉนวนสงคราม" ได้อีกเช่นกันค่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่คุณจะยืนหยัดอยู่ได้สบายโดยที่ยูโรล่มสลายไป โดยที่คุณไม่ได้รับผลกระทบ นะคะ สุดท้าย ถ้าพวกเขาไม่อาจหาวิธีเอาตัวรอดได้ พวกเขาก็จะใช้วิธี "ล้มกระดาน - เริ่มต้นใหม่" ค่ะ ซึ่งก็คือ "สงครามโลก" ไงค่ะ และเมื่อถึงเวลานั้น คุณแน่ใจหรือคะว่าคุณๆ ที่อยู่เอเชียจะไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อมองในระยะยาวและมุมที่กว้างข้น? ไม่จริงหรอกค่ะ คุณจะได้รับผลกระทบอย่างมากมายแน่นอน เอาละนั่นคือ ผลจาก "วิสัยทัศน์แบบแยกส่วน" คือ การคิดแยกส่วนว่า "ยูโร" ก็ส่วนหนึ่ง "อาเซียน" ก็ส่วนหนึ่ง คงไม่กระทบถึงกัน ซึ่งมันไม่จริง นะคะ! เราจะมองแบบนั้น แบบเดิมไม่ได้อีกค่ะ เราต้องมี "วิสัยทัศน์แบบองค์รวม" ค่ะ คือ มองเห็นภาพองค์รวมของทั้งโลกให้ได้ และจะเห็นว่าการช่วยเหลือกลุ่มประเทศยูโร ก็คือ การช่วยเหลือโลกทั้งใบ และประเทศของท่านด้วยดังนั้น การทำให้เกิดวิสัยทัศน์แบบองค์รวมในระดับยอดพีรามิดขึ้นก่อนจะแพร่ขยายลงสู๋พีรามิดฐานล่าง หรือในระดับ "ผู้นำ" ก่อน จึงจะช่วยได้ค่ะ



โลกที่งดงามอบอุ่นเปี่ยมด้วยสันติภาพและความรัก อยู่ในมือของท่าน


ที่รักคะ "โลกที่งดงามอบอุ่นและเปี่ยมด้วยความรักและสันติภาพ" นั้นอยู่ในมือของทุกท่านแล้ว จริงๆ ค่ะ มันต้องอาศัยทุกท่าน โลกที่งดงามนั้นจึงจะเกิดขึ้นมาได้ ไม่อาจจะเป็นไปได้ด้วย "มือของใครคนหนึ่ง" ที่จะนำพาโลกใบนี้ไปได้ด้วยพลังอำนาจด้วยตัวเขาคนเดียว เป็นไปไม่ได้นะคะ ต่อให้เขามีพลังอำนาจมากเท่าใดก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย โลกที่งดงามเช่นนั้น จะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจาก "ทุกๆ ท่านทำให้มันเกิดขึ้นค่ะ" และมันสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเลย เริ่มต้นที่ "หัวใจ" ของท่านเอง ที่มี "ความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก" ท่านเห็นความสำคัญและจุดมุ่งหมายร่วมกันของโลกที่งดงามนั้น และท่านพร้อมที่จะทำให้มันเกิดขึ้นด้วยมือของท่าน ด้วยดวงตาที่เห็นมันอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมนั้นโลกที่ไม่ถูกแบ่งแยกด้วย "แผ่นดิน" ของใครของมัน อีกต่อไป โลกที่ไม่ได้เกิดจาก "หลายๆ แผ่นดินมาต่อเชื่อมกัน" อย่างหละหลวม แล้ววันดีคืนดี ก็เกิดการกระทบกันระหว่างรอยต่อของผืนแผ่นดินนั้นๆ ทว่า มันคือ"โลกกลมๆ หนึ่งเดียวกัน" อันเกิดจาก ดวงใจของคนทุกคนสร้างขึ้นมาค่ะ มันควรจะเป็น "โลกกลมๆ หนึ่งเดียว" ไม่ใช่โลกที่เกิดจากการปะต่อกันของแต่ละ "ผืนแผ่นดิน" นะคะ นั่นไม่ใช่โลกที่งดงามและควรจะเป็น



โลกคือ "โลกกลมหนึ่งเดียว" ไม่ใช่ "ส่วนต่อกันของหลายแผ่นดิน"


ที่รักคะ โลกที่แท้จริง คือ "โลกกลมๆ หนึ่งเดียวกัน" มีใบเดียว และกลมเป็นหนึ่งเดียวกัน มันคือ "ดาวดวงหนึ่ง" นะคะ มันไม่ใช่ "ส่วนต่อกันของหลายแผ่นดิน" ที่ท่านกำลังพยายามจะเชื่อมต่อกันด้วยอะไรต่อมิอะไรค่ะเอาละ ถ้าท่านยังมองโลกที่แท้จริงแบบนี้ไม่ออก ท่านก็จะพยายามต่อมันให้เชื่อมโยงถึงกันด้วยอะไรมากมาย เช่น การสื่อสารระดับโลก, การค้าระดับโลก ฯลฯ ใช่ไหมคะ? แต่นั่น มันยังไม่ใช่ "มุมมองที่ถูกต้อง" ของโลกใบนี้นะคะ มันเป็นเพียงความพยายามอย่างหนึ่งที่จะทำให้โลกเป็นหนึ่งเดียวกันก็เท่านั้น ทว่า ถ้าขาดไปซึ่งความเข้าใจที่แท้จริงแล้ว มันก็จะไม่สำเร็จเป็น "โลกหนึ่งเดียวกัน" แน่นอนค่ะ เพราะถ้าแต่ละท่านยังไม่อาจมองเห็นโลกที่เป็น "ดาวเคราะห์กลมๆ หนึ่งเดียวกัน" ได้ ท่านก็ยังเห็นโลกแบบเดิมอยู่ คือ "โลกที่เกิดจากการต่อเชื่อมกันของหลายผืนแผ่นดิน" แต่ละผืนแผ่นดินมี "แพระธรณี" ยึดโยงเท่าไว้อยู่ เพื่อให้ท่านยึดมั่นถือมั่นผืนแผ่นดินนั้นๆ ท่านก็จะไม่อาจสัมผัส "ไกอา" จิตวิญญาณที่แท้จริงของโลกนี้ได้ เธอเป็นผู้ดูแลโลกนี้ที่แท้จริงนะคะ และเมื่อท่านไม่อาจสัมผัสเธอได้ ท่านก็จะไม่อาจเข้าใจถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของโลกนี้ค่ะ เอาละ นี่คือ สิ่งที่สำคัญมาก เพราะมันจะช่วยท่านเองให้พ้นจากภัยที่ร้ายกาจที่สุดอย่างหนึ่งของมวลมนุษยชาติซึ่งคือ "สงครามโลก" นั่นเอง



การไม่ยึดติดชาตินิยม คือ "การเปิดขุมทรัพย์พลังแห่งไกอา" นั่นเอง


ที่รักคะ ยังมี "ความลับของโลกนี้" อยู่อย่างหนึ่ง ที่วันนี้ ดิฉันได้รับการอนุญาติให้เปิดเผยได้เต็มที่เลยค่ะ นั่นคือ "การไม่ยึดติดในชาตินิยมและประเทศชาติ" จะเป็นการเปิดขุมทรัพย์พลังงานของไกอา นั่นเอง เพราะเมื่อใดที่ท่านยึดติดในเชื้อชาติ, ประเทศชาติ ฯลฯ ท่านก็จะถูกพลังของแม่พระธรณี "ทับถมปิดไว้" ทำให้ท่านไม่อาจเปิดรับพลังของไกอา ซึ่งมีมากกว่าและสมบูรณ์กว่าได้ เอาละ ท่านอาจยังไม่เห็นภาพ เช่นนั้นจะขอยกตัวอย่างนะคะ เช่น "อเมริกา" เป็นหนึ่งในโลกได้ด้วยเพราะอะไรค่ะ? คำตอบคือ "จุดเริ่มต้นของการสร้างชาติ เริ่มต้นจากการไม่ยึดเชื้อชาติ" ค่ะ คนที่เข้าไปบุกเบิกอเมริกาในช่วงต้น มีมากมายหลายเชื้อชาติใช่ไหมคะ? ทว่า พวกเขาร่วมมือกันไม่ยึดติดเชื้อชาติมาไป พวกเขาจึงสามารถ "เปิดขุมทรัพย์พลังของไกอา" ได้สำเร็จ และกลายเป็นชาติที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกไงคะ อีกตัวอย่างหนึ่งนะคะ คือ "สิงคโปรค์" ค่ะใกล้ประเทศของท่านมากเลย เป็นประเทศในแถบเอเชียที่ใช้แนวคิดนี้ค่ะในช่วงหนึ่งที่มี "เชื้อชาติจีน" และชาติอื่นๆ เข้าไปในเกาะเล็กๆ นั้น ที่ยังไม่มีความเจริญอะไรเลย พวกเขาเริ่มต้นแนวคิดไม่ยึดติดในเชื้อชาตินะคะผลคือ "เขากลายเป็นชาติที่เจริญมากๆ ในระดับต้นๆ ของเอเชีย" เลยใช่ไหมคะ? นั่นแหละ พวกเขาร่วมมือกันเปิดขุมทรัพย์พลังของไกอาสำเร็จ!



หากท่านยังยึดติดชาตินิยมอยู่ ท่านจะไม่อาจการเปิดขุมทรัพย์ออกได้


เอาละ ท่านก็คงทราบดีใช่ไหมคะว่ามี "แหล่งพลังงานและขุมทรัพย์" ต่างๆ อยู่มากมาย โดยเฉพาะ "แนวต่อระหว่างสองประเทศ" ทำไมละคะ? ทำไมต้องไปอยู่ตรงนั้น? นี่ละ แผนการของไกอา ละคะ เธอต้องการให้ "มนุษย์ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวทั้งโลก" เพราะมนุษย์ทุกคนก็ล้วนเป็น "เชื้อสายของเธอ" ทั้งสิ้น นะคะ พวกท่าน มนุษย์โลกทุกคนก็ล้วนเป็นเครือญาติกันค่ะ มีเชื้อสายร่วมกันมาจาก "ไกอา" นะคะ เอาละเรื่องสำคัญคือ "จะเปิดขุมทรัพย์นั้น" อย่างไร ใช่ไหมคะ? มันไม่มีทางที่จะเปิดออกได้เลยค่ะ ถ้าท่านยังแบ่งแยกผืนแผ่นดินกันอยู่ และไม่คิดที่จะเห็น "โลกหนึ่งเดียวกัน" อย่างแท้จริง ยิ่งพยายามจะเปิด มันก็จะยิ่งเป็นการ "ขมวดปมขัดแย้งให้ตึงแน่น" ขึ้นค่ะ และอาจกลายเป็นฉนวนสงครามโลกในท้ายที่สุด นะคะ ตรงกันข้าม มันจะกลายเป็นประโยชน์ร่วมกันของทุกท่านได้อย่างง่ายดาย เพียงท่าน "มองเห็นโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน" และจัดสรรผลประโยชน์ร่วมกันให้เกิดขึ้นค่ะ และน่นคือ จุดเริ่มต้นของการ "เปิดขุมทรัพย์ทางพลังงานของไกอา" อย่างไร ละค่ะ



โอว ที่รัก ดิฉันได้เปิดเผย "ความลับของไกอา" ไปมากเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นการแย่งเรื่องของเธอพูดมากไป ฉันขออุบไว้เป็นความลับต่อไป ดีกว่าให้ไกอา เธอได้มากล่าวเรื่องของเธอเองในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป นะคะสำหรับดิฉัน มาเพื่อเปิดตาให้ทุกท่านเห็น "โลกในฐานะดาวดวงหนึ่ง" ที่เป็นหนึ่งเดียวกันนะคะ มันไม่ใช่ การต่อเชื่อมกันหลายแผ่นดิน ซึ่งมีพลังงานเก่าของผืนแผ่นดิน "ยึดโยงแบ่งแยกคนแต่ละแผ่นดินไว้อยู่" เอาละดิฉันหวังว่าทุกท่านคงจะมองเห็น "โลกที่งดงามอบอุ่นเปี่ยมด้วยความรักและสันติภาพ" อันเป็นหนึ่งเดียวกันไม่แบ่งแยกผืนแผ่นดินอีกต่อไปนะคะ


ขอให้ดวงตาของท่านสว่างไสวและเปิดกว้างยิ่งๆ ขึ้นต่อไป สวัสดีค่ะ ...



13 มิ.ย. 2555


"เสียงจากเทพีสันติภาพ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่า (Blank time) คือ ช่วงเวลายาวนานที่ทำต้องชำระล้างตัวเอง

สวัสดีครับเพื่อนๆ เป็นยังไงบ้างครับกับความท้าทายของการเลื่อนระดับ หวังว่าเพื่อนๆ คงค้นพบอะไรจากมันได้บ้าง และตื่นเต้นที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆ ต่อไปนะครับ เอาละ ข่าวสารวันนี้จะเป็นเกร็ดเล็กๆ ในเรื่องของ "ช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่า" (Blank time) ซึ่งอาจจะเข้ามาสู่ช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตของเพื่อนๆ ได้ มันจะเป็นช่วงเวลาสำคัญของการชำระล้างนะครับ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเพื่อนๆ หรือมีผลกระทบต่อเพื่อนๆ อย่างไรบ้าง เอาละ งั้นเราลองมาดูกันนะครับ


ระลอกคลื่นแห่งความแปรปรวนของพลังงานเก่า จะเข้ามากระทบเพื่อนๆ


ในช่วงเวลาที่เรียกว่า "ช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่า" นี้ เพื่อนๆ บางคนก็จะไม่มีอะไรจะทำเลย หรือว่างมากๆ มันแปลกมากๆ เลยที่อยู่ๆ ชีวิตของเพื่อนๆ ก็กลายเป็น "ว่างเปล่า" ถูกปล่อยว่างเสียเฉยๆ อย่างนั้น เอาละ ในช่วงนี้เอง มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากนะครับ ที่เพื่อนๆ จะได้ชำระล้างตัวเอง หรือชำระล้างพลังงานเก่าของตัวเอง ซึ่งมันจะเข้ามาเป็นระลอกๆ เหมือนระลอกคลื่นนะครับ แล้วพอมันเข้ามากระทบเพื่อนๆ มันก็จะส่งผลให้เพื่อนๆ เกิดความแปรปรวนทางร่างกายหรือจิตใจได้ครับ ซึ่งเพื่อนๆ จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนเมื่อพลังงานเก่าเข้ามากระทบนะครับ มันส่งผลชัดเจนมาก และทำให้เพื่อนๆ แปรปรวนได้มากๆ เลยทีเดียว ทว่า แต่ละรลอกคลื่นนั้น มันจะรบกวนเพื่อนๆ อยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อเพื่อนๆ ชำระล้างมันได้หมดแล้ว มันก็จะว่างเปล่าไปอีกครั้ง เพื่อนๆ จะรู้สึกโล่ง, ว่าง, เบาสบาย, ใสบริสุทธิ์ ขึ้นมาอีกครั้งครับ นั่นแหละ การชำระล้างได้สำเร็จไปอีกครั้ง 1 แล้ว แต่มันยังไม่จบนะครับ มันยังมีอีกหลายระลอกคลื่นมาก จนกว่าจะสิ้นพลังงานเก่าเหล่านั้น มันก็จะจบกระบวนการครับ ดังนั้น ในช่วงที่เพื่อนๆ มี "สภาพที่ถุกรบกวนด้วยพลังงานเก่า ทำให้แปรปรวนมาก" นี้ เพื่อนๆ จึงมีลักษณะเหมือนคนถูก "กักบริเวณจำกัด" ไว้ได้ครับ เพื่อไม่ให้เพื่อนๆ ถูกพลังงานเก่าขับดันให้ไปทำอะไรที่ไม่ควรทำ หรือเพื่อนๆ บางคนก็จะว่างงานมากๆ ไม่มีงานทำเลย ก็มี หรือถ้าได้งาน ก็จะเป็นงานที่เรียบง่าย ไม่ต้องใช้สมองมาก เช่น การเกษตรครับ มันจะกินเวลายาวนานพอควร แต่ละคนก็ไม่เท่ากันครับ เช่น บางคน 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี หรือมากกว่านั้นก็มีนะครับ ช่วงเวลานี้ก็คือ "ช่วงเวลาแห่งการชำระล้างพลังงานเก่าตัวเอง" นั่นเอง ซึ่งมันจะว่างมากๆ ก็เลยเรียกว่า "ช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่า"


เพื่อนๆ อาจคล้ายเปลี่ยนไป เหมือนเป็นคนหลายๆ คน และทำเรื่องแปลกๆ


ในช่วงเวลาแห่งการชำระล้าง ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่พลังงานเก่าเข้ามาสู่
เพื่อนๆ เหมือนระลอกคลื่นนั้น เพื่อนๆ จะมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น เหมือนเป็นใครก็ไม่รู้ อีกคน แล้วก็เปลี่ยนไปเหมือนอีกคน ซึ่งมีพฤติกรรม, ความคิด, อารมณ์ ฯลฯ ที่ไม่เหมือนกันเลย เอาละ นั่นคือ ผลของพลังงานเก่านะครับ ซึ่งมันเป็น "พลังงานคนละตัวตนกัน" และเมื่อเพื่อนๆ เข้าสู่การชำระล้าง เพื่อนๆ อาจจะต้องทำอะไรที่มัน "สุดๆ เหมือนจะตาย" ให้ได้เลยละ แถมยังต้องทำซ้ำๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าหรือมันไม่น่าจะมาทำ หรือต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยหรือ? ทำไมต้องมาทำสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างนี้ เช่น บางคนไปนั่งสมาธิแบบแปลกๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเพี้ยน หรือแตกต่างออกไปจากที่เคยเห็น เป็นต้น เพราะอะไร? เพราะมันคือ "การชำระล้าง" มันไม่ใช่ "สมาธิปกติ" ไงครับ ทว่า บางคนก็ไม่ได้ไปทำสมาธิอะไรที่ไหนเลยนะ แต่เขาอาจทำ "กิจกรรม" ที่เข้าข่ายทำให้เกิดการชำระล้างภายในขึ้นได้ เช่น การทำงานหนักซ้ำๆ ออกแรงมากๆ ก็ช่วยในการชำระล้างได้ครับ เรียกว่า "ทำเอาเป็นเอาตาย" กันเลย เช่น ในคนที่นั่งสมาธิ ก็ไม่ได้นั่งเอาสงบกันแล้ว นั่งสมาธิแล้วเข้ากรรม ออกกรรมแบบเอาเป็นเอาตาย อะไรกันเลย? งงที่สุด อะไรกันเนี่ย? ตูมาทำบ้าอะไรว่ะ? เพื่อนๆ อาจจะสงสัยและคิดอะไรแบบนี้บ้างใช่ไหม? 555 อย่าตกใจละ นั่นแหละ "การชำระล้าง" ละครับ บางทีเพื่อนๆ เข้ากรรมเหมือนว่าจะ "ตายในกรรมฐาน" หรือ "ตายในสมาธิ" นั้นเลยใช่ไหมละ? นั่นละ การกำเนิดใหม่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงนั้น มันไม่ใช่สมาธิแบบปกติเดิมๆ อีกต่อไป


ความรู้สึกที่ "เหมือนจะตายให้ได้" ก็คือ ความรู้สึกก่อนจะ "กำเนิดใหม่"


ที่นี้ เมื่อเพื่อนๆ เข้าสู่กระบวนการชำระล้างแล้ว และอาจจะมีกระบวนการ
"กำเนิดใหม่" ด้วย สองกระบวนการนี้ ต่างกันนิดหน่อยนะครับ คือ ถ้ามีพลังงานที่ไม่ใช่รูปธรรมชีวิตเข้าสู่กระบวนการ จะไม่มีการกำเนิดใหม่แต่เราจะเรียกว่า "การชำระล้างพลังงานเก่า" เท่านั้น ทว่า ถ้าพลังงานเก่านั้นเป็น "รูปธรรมชีวิต" มันจะมีการ "กำเนิดใหม่" ด้วยนะครับ และในขั้นตอนนี้เอง ที่เพื่อนๆ จะรู้สึกถึงความรู้สึกที่ว่า "เหมือนจะตายให้ได้" หรือมันจะ "เป็นจะตายกันไปข้างหนึ่ง" เลยหรืออย่างไรเนี่ย? นั่นละ มันไม่ใช่แค่สมาธิที่สะสมไปเฉยๆ ทำไปเรื่อยๆ ร้อยปีพันปีก็มีแต่สมาธิ นั่นอีกแล้วแต่มันจะถึง "สุดๆ" คือ "สุดยอดถึงตายจากภายใน" ในระดับพลังงานไปเลยครับ เลยว่า "สุดจิตสุดใจขาดดิ้น" กันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียวครับ ทว่า มันจะไม่นานเกินไปนะครับ มันจะเกิดขึ้นแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น แล้วจะเปลี่ยนไปเป็น "ความโล่ง, ว่าง, เบาสบายใจ" นะครับ เหมือนหมด, จบ, สิ้นสูญ, ว่างเปล่า ฯลฯ ไปเลย แต่ไม่ทุกข์ ไม่ร้อนใจ ไม่กังวล ไม่ห่วงหาไม่อาลัย ไม่มืดมน ไม่อะไรๆ เลยครับ จบจริงๆ สักช่วงหนึ่งนะครับ แล้วก็จะคิดอะไรได้และปกติเหมือนเดิม นั้นแหละ ช่วงเวลาของการกำเนิดใหม่


ลักษณะอาการของช่วงเวลาแห่งการชำระล้าง (Blank time)


เพื่อนๆ ที่เข้าสู่ "ช่วงเวลาแห่งการชำระล้าง" จะมีลักษณะอาการที่ต่าง
ไปจากคนทั่วไป หรือช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อนๆ จะสามารถสังเกตุได้ ดังนี้


1. มักจะปล่อยเกียร์ว่าง เช่น ตกงาน, ไม่มีอะไรจะทำ, ว่างมากๆ
2. มักจะอยู่กับตัวเอง ไม่มีเพื่อนรอบตัว ไม่มีอะไรมายุ่งเกี่ยวมากนัก
3. มักจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับใคร แปลกจริง อยู่ๆ ก็พร้อมกันหายไปเฉยๆ
4. มักจะสันโดษ วิเวก หรือบางท่านถึงกับบวชห่มขาวหรือห่มเหลืองก็มี
5. มักจะได้รับข่าวสารหรือกรสอนที่แปลกๆ เหมือนผิดเพี้ยน แต่มันมีมูล
6. มักจะวุ่นวายกับ "ความรู้สึกภายในของตัวเอง" มากกว่าสิ่งภายนอก
7. มักจะเก็บตัว เหมือนไม่ค่อยอยากยุ่งกับใคร เหมือนมีอะไรจะต้องชำระ
8. มักจะได้รับการเปิดทาง ไม่มีใครว่าอะไร ให้เราปล่อยเกียร์ว่างได้เต็มที่
9. มักจะได้รับการขวางทาง ไม่ให้ไปทำอะไร หรือพบใครมาก แปลกแฮะ
10. มักจะต้องทำอะไรแปลกๆ ที่ก็ไม่ค่อยอยากจะทำ แต่ก็ต้องทำอยู่ซ้ำๆ 
11. มักจะรู้สึกเหมือนตัวเองแปลกไป เหมือนไม่เหมือนก่อนเลย งงที่สุด?
12. มักจะได้พบสิ่งใหม่, กลุ่มคนกล่มใหม่, เหมือนโลกใหม่อีกใบหนึ่ง !
13. มักจะได้ "ความคิดใหม่ๆ" เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดได้เลย
14. มักจะได้รับการทดสอบที่เหมือน "ใจจะดับสลายให้ได้" สุดๆ แล้ว
15. มักจะได้รับพลังพิเศษ อันแตกต่างไปจากที่เคยเป็น อย่างน่าอัศจรรย์


เอาละ อาการเหล่านี้เป็นเพียง "ตัวอย่าง" เท่านั้น บางท่านอาจจะมีมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่นี่เป็นอาการทั่วๆ ไปที่พบได้ในเพื่อนๆ ที่เข้าสู่การชำระล้าง อย่าเพิ่งตกใจหรือวิตกกังวลเกินไปละ เพื่อนๆ มาถูกทางแล้ว


การเลื่อนระดับและ "สัมพันธภาพ" ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จะเกิดขึ้นได้?


ผลจากการเลื่อนระดับ จะส่งผลกระทบต่อ "สัมพันธภาพ" ของเพื่อนๆ
คือ เพื่อนๆ อาจมีสัมพันธภาพที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีความสัมพันธ์กับคนกลุ่มใหม่ๆ ยิ่งถ้าเพื่อนๆ เลื่อนระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับคนกลุ่มใหม่ไปเรื่อยๆ ได้ครับ มันจะเปลี่ยนไปตาม "การเลื่อนระดับของเพื่อนๆ" นั่นเอง ซึ่งถ้าเราแบ่งคนออกเป็นสองประเภทคือ 1. "คนที่เลื่อนระดับ" และ 2. "คนที่รอเชื่อมสัมพันธภาพ" เราจะอุปมาเหมือนสวรรค์หลายๆ ชั้นก็ได้ แต่ละชั้นจะมี "กลุ่มคนรอเชื่อมสัมพันธ์กับเราอยู่" ในขณะที่เราก็จะเลื่อนระดับตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราเลื่อนระดับตัวเองไปสู่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาจะพยายามสร้างสัมพันธภาพ เชื่อมโยงกับเราไว้ เพื่อให้มีความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ถ้าเราพอใจ เราหยุดเลื่อนระดับ เราก็จะได้มีกลุ่มเพื่อนๆ กลุ่มสัมพันธภาพเป็นพวกเขาเหล่านั้น แต่ถ้าเราไม่หยุดที่จะเลื่อนระดับขึ้นไป เราก็อาจจะได้พบกับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งแทนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุด "ดุลยภาพ" ของเรา และกลุ่มสัมพันธภาพของเรานั้นๆ หมายความว่า พวกเขาที่เป็นกลุ่มสัมพันธภาพอยู่แล้ว ก็ยินดีต้อนรับเราเข้ากลุ่มด้วย ในขณะที่เราเองก็พอใจที่จะหยุดเลื่อนระดับ และเชื่อมโยงอยู่กับพวกเขาเหล่านั้น ในที่สุด "ทีมงาน" ก็จะเริ่มขึ้น และ ภารกิจ ก็จะได้รับการส่งมาจากระดับที่สูงขึ้นไป ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเราในระดับสูงอีกที


เอาละ สุดท้ายนี้ หวังว่าเพื่อนๆ ที่กำลังสับสนในตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองพบเจอ จนไม่อาจหาคำตอบ หรือคำอธิบายจากใครได้ คงจะลดความสับสนและกังวลลงบ้างนะครับ เมื่อได้อ่านข่าวสารของผมนี้ ท่านจะได้ทราบว่า "สิ่งที่ท่านเป็นอยู่" และ "ท่านกำลังสับสนอยู่" นั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ผิดแผกแปลกไป หรือสิ่งที่เลวร้ายอะไรหรอก มันเป็นเพียง "สิ่งที่ก้าวหน้าล้ำสมัย" มากไปกว่าใครๆ ต่างหากเล่า 555 ยิ้มหน่อยเพื่อนรัก นายแน่มาก ที่ก้าวมาได้ถึงจุดนี้ เพราะนายรู้ไหมว่ายังมีใครอีกมากมายหลายคนที่ปรารถนาจะก้าวมาให้ถึงจุดนี้ แต่พวกเขายังไม่สามารถทำได้ แต่นายทำได้แล้ว! อย่างน้อยแม้นายจะยังไม่ถึง "เส้นชัย" ทว่า นายก็ "เข้าทาง" แล้วละ ยืดอกขึ้น เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย มันไม่มีอะไรผิดหรอก ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมะ ธรรมชาติ ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวมันเองทั้งนั้นแหละ เพียงแต่นายจะเข้าใจหรือไม่ก็เท่านั้น เมื่อนายไม่เข้าใจก็ไม่ต้องตกใจหรือกังวลมากไป เฉยๆ ไว้ แต่ถ้านายเข้าใจแล้ว ก็จงเชื่อมั่นในสิ่งที่นายเป็นอยู่ ก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง และมีกำลังใจฮึกเหิมหน่อยสิพวก เพราะนายคือ "คนที่ถูกเลือก" เป็นกลุ่มแรกๆ ของโลกเลยนะ ดังนั้น จงภูมิใจที่นายมาถึงจุดนี้ได้ เราก็จะคอยให้กำลังใจนายด้วย


ขอให้นายเชื่อมั่นในสิ่งที่นายได้ก้าวผ่านมาได้ด้วยตัวเองนะ บะบาย ...


14 มิ.ย. 2555


"เสียงจากโดเรม่อน"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังแห่งความเชื่อมั่นศรัทธาสองฝ่าย คือ "ฝ่ายมืดมนและสว่างไสว" เป็นอย่างไร?

สวัสดีครับ มีเรื่องจำเป็นอย่างหนึ่งที่ผมจะขอแจ้งแก่ "บางท่าน" ที่สามารถรับได้ เข้าถึงได้ หรือเกือบจะได้ นั่นคือเรื่อง"ความเชื่อมั่นศรัทธา" ซึ่งมันมีผลต่อจิตใจและก่อให้เกิด "พลังจิตบางชนิด" ผมขอเรียกว่า "พลังศรัทธา" ก็แล้วกัน ง่ายดี เอาละ ผมจะพูดภาษาง่ายๆ ที่สุด เท่าที่จะง่ายได้ พื้นบ้านที่สุดเลยก็แล้วกัน ดังนั้นขออนุญาติพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาไม่เน้นความสละสลวยของภาษาอะไรละ


"ความศรัทธา" กับ "ความจริง" เป็นคนละสิ่งแต่เกี่ยวข้องกัน


นี่คือ อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจ คือ 1. คุณไม่จำเป็นต้องเข้าถึงความจริงทั้งหมดของจักรวาลก็ได้ คุณอาศัยความจริงเพียง 1 กำมือ ที่เหมาะสมก็สามารถนำพาชีวิตคุณไปสู่อนาคตที่สดใสได้แล้ว 2. คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อต่อทุกอย่าง, ทุกคน หรือทุกสิ่ง ก็ได้ คุณเลือกที่จะเชื่อได้ แม้ว่าคุณจะได้รับ "สัจธรรมความจริง" เพียงหนึ่งกำมือ สมมุติว่ามันมีค่า 10% คุณก็เชื่อแค่นั้น ไม่ผิดอะไรเลย... ใช้ได้ นั่นก็เหมือนคบเพลิงที่สว่างพอนำพาชีวิตคุณไปได้แล้ว เอาละ คุณต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือ ความจริงอะไรคือ ความเชื่อ และสองอย่างนี้ เกี่ยวข้องกันมาก กล่าวคือ ความเชื่อก็อาจนำพาคุณไปพบความจริง ก็ได้ หรือความจริง อาจนำพาคุณไปสู่ความเชื่อใหม่ๆ อื่นๆ อีกก็ได้ แต่ทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน เพียงแต่ส่งเสริมกันได้ ก็เท่านั้น คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อที่ "เรี่ยราดฟุ่มเฟือย" เหมือนคนรวยเงินที่เทเงินเรี่ยราดไปหมดเพราะสุดท้ายคุณอาจจะหมดตัวได้และไม่เหลือ"พลังศรัทธา" ในตัวของคุณอีกเลย เพราะคุณฟุ่มเฟือยเกินไปเชื่อไปหมดเห็นเขา "แห่เชื่ออะไรกัน" คุณก็แห่เชื่อไปตามเขาหมด เช่น เขาแห่ไปเชื่อ"ขอนไม้" คุณเอามั่งเผื่อได้หวย เขาแห่เชื่อกบเทวดา คุณเอามั่ง เผื่อได้โชคกะเขามั่ง เอาหมดโว้ย สุดท้ายหมดตัวจ๊ะ! เพราะคุณฟุ่มเฟือยความเชื่อมากเกินไป คุณจ่าย "ความเชื่อ" ออกไปอย่างไม่เลือก ไม่คิด นั่นเอง



"ความศรัทธา" เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง คุณต้องบริหารเหมือนเงิน


ชาวบ้านชาวช่องทั้งหลาย ฟังทางนี้จ้า ผมจะคุยกะคุณอย่างนี้แหละบ้านๆ ที่สุด ชาวบ้านที่สุดเลย คุณจะได้เข้าใจ ดีไหม? ลูกทุ่งมากๆ ไม่ต้องสนใจความสละสลวย สูงส่งของภาษาอะไรแล้ว เอาละ นี่คือสิ่งที่ง่ายที่สุดที่คุณจะเข้าใจได้ "ความเชื่อเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง" มีได้มา, มีเสียไป, มีเกิด, มีดับ เพราะ ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ มันก็เหมอืน "เงินในธนาคารของคุณนั่นแหละ" และคุณควรจะบริหารมันให้ดีหน่อยละ อย่า ฟุ่มเฟือยเกินไปนัก ผมเห็นพวกคุณนะไม่รวยเงินกันหรอก แต่คุณฟุ่มเฟือยความเชื่อกันมากๆๆ ถึงมากที่สุด เท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย อะไรจะเชื่อได้มั่วซั่วขนาดนั้น เหมือนคนบ้าจ่ายเงินไม่ทันคิด เดี๋ยวก็หมดตัวหรอกคู้ณ ... พอๆๆ สติ โว้ย สติมีบ้างไหม? ตั้งสติหน่อย เอา สติมายัง? ตั้งสติดีๆ คุณไม่จำเป็นต้องไปเชื่อซะทุกอย่าง การที่คนอื่นเขาแห่เชื่ออะไรกันมากๆ คุณไม่ได้ไปร่วมเชื่อด้วย ก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้เสียอะไรเลย เรื่องของเขา เขาจะเชื่อผีก้อนหิน, เชื่อปลาบู่, เชื่อตอไม้, เชื่อจิ้งจก ฯลฯ อะไร แล้วคุณไม่ได้มีส่วนร่วมไปด้วย "ก็ไม่ผิด และไม่เสียอะไรเลยจ้า" เหมือนคุณไม่ได้มีเงินไปลงแทงบอลในวงนั้นกะเขา คุณก็ไม่ได้ ไม่เสียอะไรนี่นา เอาละสติมาแล้วใช่ไหม? มาซะทีเถอะน่า มาแล้วใช่ไหม? โอเค ดีมาก เอาละ "คุณเลือกที่จะเชื่อได้" และ "ไม่จำเป็นต้องเชื่อไปหมดทุกอย่าง" แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่า "คุณจะต้องเป็นปรปักษ์กับความเชื่อใดๆ" คือคุณแค่ "เฉยๆ" ไม่ใช่ทั้งเชื่อ หรือปฏิเสธความเชื่อของใคร ใครจะเชื่ออะไรมันก็เรื่องของเขา แต่เมื่อคุณมีสติ คุณจะใช้จ่าย "ความเชื่อ" อย่างระมัดระวัง เหมือนใช้จ่ายเงิน คิดก่อน ดูก่อน เลือกก่อน เหมือนจ่ายตลาดสดซะอย่างนั้น โอเค? เข้าใจไหม? ง่ายไหม? เหมือนคุณมีเงินในกระเป๋านะ เงินก็เหมือน "ความเชื่อ" คุณต้องใช้จ่าย "ความเชื่อ" ในกระเป๋าของคุณดีๆ ละ อย่าฟุ่มเฟือยให้มันมากนัก เดี๋ยวจะหมดตัวซะก่อน เหมือนคนเล่นพนันอย่างขาดสติ ไม่คิด หมดตัวนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่า "หล่อไม่เตือน" ฮ่า ฮ่า ฮ่า 



"ความศรัทธา" มีได้มา และเสียไป ทำอย่างไรจึงจะ "กำไร" ละจ๊ะ


เอาละ ชาวบ้านชาวช่องทั้งหลาย อย่างที่บอกแล้วว่า "ความเชื่อมั่นศรัทธา" มันก็เหมือนเงิน มีได้มา และเสียไปได้ คุณต้องบริหารมันให้ดีหน่อย อย่าฟุ่มเฟือยเกินไป อย่าเห็นอะไร ฟังอะไร ก็เชื่อๆๆ เพราะมีความกลัวว่าถ้าไม่เชื่อและจะเป็นบาปบ้าอะไร? หรือถ้าไม่เชื่อและจะกลายเป็นการลบหลู่อะไร? แหม ก็ไม่ใช่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อเลย เฉยๆ ไปซะ แล้วก็ไม่ได้ลบหลู่ความเชื่ออะไร ของใครซะหน่อยนี่นา ไม่มีความผิดบาปอะไรหรอกคู้ณ ... เอาละ ผมจะยกตัวอย่าง คนที่ลงทุน "ความเชื่อ" น้อยมากๆ แต่ได้กำไรอื้อซ่าเลยนะ อย่างนี้ เขาคนนั้นก็แค่เชื่อ "สิ่งศักดิสิทธิ์" ที่แท้จริงสักอย่างหนึ่ง สักท่านหนึ่ง ท่านไหนในศาสนา, ลัทธิ, นิกายอะไรก็ได้ (ที่ไม่ใช่ของปลอมนะ) เขาก็เชื่อแค่องค์นั้นเท่านั้นในชีวิตของเขา และไม่รู้อะไรมากมายนักหรอก แต่ก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยความเชื่อ เชื่อขอนไม้, ตอไม้, จอมปลวก, ก้อนหินฯลฯ มากมาย แค่ "องค์นั้นองค์เดียว" ของเขาเอง ชีวิตเขาได้อะไรมากมายเลย มันดีขึ้น สว่างไสวขึ้น เขามีชีวิตที่เรียบง่าย พอดี และเขาได้สร้างคุณงามความดี "พอสมควร" เท่านั้นเอง เมื่อตายแล้วเขาก็ได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นบริวารของท่านผู้นั้นที่เขาเชื่อถือศรัทธานั่นเอง ว้าว ทีนี้ ดูอีกท่านนะ เขาเชื่อสะเปะสะปะไปหมดเลย เทกระจายความเชื่อไปทั่ว ใช้จ่ายความเชื่ออย่างฟุ่มเฟือย เชื่อไม่หมดอย่างไม่คิดไร้สติ จนไม่เหลือ "พลังศรัทธา" ในตัวเอง ราวกับคนที่เล่นพนันแล้วเสียไปหมด จนเบลอ จนไม่รู้จะแทงอะไรดี เห็นอะไร ก็แทงแม่งมั่วมันไปหมด ยังกะมวยวัดกำลังมึน ปรากฏว่าตายแล้วไปอยู่กับก้อนหินครับ ก้อนหินที่มันเชื่อนั่นแหละ เป็นผีเฝ้าก้อนหินไปพันปี สมน้ำหน้าฮ่า ฮ่า ฮ่า บอกแล้ว ความเชื่อก็เหมือนเงิน บริหารไม่ดี มีหมดตัวนะครับ



"ความศรัทธา" เป็นพลังงาน พลังจิตชนิดหนึ่ง จงใช้มันให้เป็น!


ต่อไป ผมจะเล่าเรื่องพลังความเชื่อความศรัทธาในแบบพลังงานละอันนี้ยากขึ้นไปหน่อย มันเป็นพลังจิตชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากพลังแห่งความรัก, พลังแห่งความโกรธแค้น, พลังอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายมันก็คือ "พลังงานชนิดหนึ่ง" ก็เท่านั้นเอง เอาละ ผมจะเล่าให้ฟังว่ามันมีการ "ใช้พลังงานนี้" อย่างไร? บางคนนะ เขาจะ "สะสมพลังความเชื่อ" จากผู้คนมากมาย ถ้าคุณเป็นเหยื่อ คุณก็จะต้องลงขันความเชื่อ ทำตัวให้เชื่อไปกะเขาด้วย คุณก็จะเสียพลังความเชื่อไปให้เขาด้วย เอาละ พอเขาได้พลังนั้นมากๆ แล้ว เขาก็ทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ เช่น ให้หวยถูกเป๊ะเลย อะไรแบบนั้น เขาทำได้ แต่ว่ามันไม่คุ้มหรอกนะครับ คุณลงขันความเชื่อร่วมกับเขา ให้ความเชื่อเขาไป คุณได้หวย ได้เงินนิดหน่อย แต่ "คุณจะเสียมากกว่าที่คาดคิด" คุณเสียมากกว่านั้น อย่างที่คุณมองไม่เห็น และเขาจะลากคุณลงไปยังความมืดมิดร่วมกับเขาทีละน้อย เอาละ คุณคงนึกภาพไม่ออกและไม่เข้าใจกระบวนการเหล่านี้ละ เพราะมันเกิดในมิติที่ตาเปล่าของคุณมองไม่เห็น แต่เมื่อคุณ "ถึงเวลาต้องเสีย" คุณจะสูญเสียอย่างที่คาดคิดไม่ถึงเลยทีเดียว คุณต้องจ่ายค่าความเชื่อนี้ อย่างแพงลิบลิ่วเลยละโอเค ผมไม่ได้บอกให้คุณเลือกเชื่อใครหรืออะไรนะ แต่ให้คุณบริหารมันเหมือนกับบริหารเงินนั่นแหละ อย่าฟุ่มเฟือยมากนัก การที่คุณเชื่ออะไรก็เหมือนคุณ "ลงทุนร่วม" ไปกับสิ่งนั้น ถ้าคุณลงทุนไปกับหุ้นที่ไม่ดีนักคุณก็หมดตัวได้ แต่ถ้าคุณเลือกลงทุนไปกับสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้และมันทำกำไรให้คุณได้ ก็โอเค ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปเชื่ออะไรที่ "ไม่รู้ที่มาที่ไป" หรือ "อะไรก็ไม่รู้แต่ลึกลับดี" หรือ "แห่ตามกัน" เพราะนั่นคือความเชื่อแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ลงทุนแบบไม่ยั้งคิด ไร้สติสิ้นดี ก็เท่านั้น



"ความศรัทธาที่มืดมน และ ความศรัทธาที่สว่างไสว" ต่างกันอย่างไร?


อย่างที่บอกคุณแล้วว่าพลังศรัทธามีทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายที่สว่างไสว เมื่อคุณเชื่อแล้วคุณได้คำตอบที่สว่างไสวให้แก่ชีวิต เกิดปัญญา เห็นหนทางที่จะเดินหน้าต่อไป และ "ฝ่ายที่มืดมน" นั่นคือ เมื่อคุณเชื่อไปแล้วคุณไม่ได้พบคำตอบอะไรอย่างแท้จริง อย่างคงคลุมเครือ ไม่เกิดปัญญา มีแต่ "ความเชื่อ" อย่างนั้น ไม่ได้ให้ความสว่างอะไรขึ้นมาเลยยกตัวอย่างเช่น นาย เอ เชื่อว่า "มีมนุษย์ต่างดาวจริง" เขาก็แค่คิดว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่ มีดาวมากมายนับไม่ถ้วน "มีความเป็นไปได้" ที่จะมีดาวดวงหนึ่งที่มีมนุษย์เหมือนโลกเราอยู่บ้าง แล้วเขาก็อุเบกขาซะวางเฉย สว่างไสวไปด้วยความเชื่อเท่านี้ และไม่มีพิสูจน์อะไรทั้งนั้น แต่นาย บี เชื่อว่า "มีมนุษย์ต่างดาวจริง" จริง เหมือนกัน ทว่า เขาคิดว่าจะต้องพิสูจน์หรือเห็น UFO ให้ได้ พอไม่ได้อย่างที่คิด หรือคาดหวัง เขาก็เริ่มมืดมน เขาก็เริ่มพยายามหาทาง "สร้างอะไรก็ได้" ที่ส่งเสริมความเชื่อของตนเองต่อไป เช่น เห็นอะไรแว่บๆ บนฟ้า ก็หาว่าเป็นจานบินบ้างอะไรต่อมิอะไร บ้าง อย่างนี้ เขาจึงมีพลังความเชื่อที่มืดมนลง ทั้งๆ ที่ทั้งสองคน "เชื่อเหมือนกัน" แท้ๆ แต่พลังจิตของเขาทั้งคู่ "ไม่เหมือนกัน" ก็ได้ เอาละ คุณพอมองออกหรือยังว่า "เชื่อแบบไหนที่นำพาคุณไปสู่ความสว่างไสว" และ "เชื่อแบบไหนที่นำคุณไปสู่ความมืดมน" เห็นรึยังว่ามันต่างกัน ทั้งๆ ที่เชื่อเหมือนกันแท้ๆ เช่นกัน คนสองคนอาจเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงเหมือนกัน แต่คนหนึ่งอาจมืดมน ในขณะที่อีกคนอาจสว่างไสว แตกต่างกัน ก็ได้ หวังว่าคุณจะแยกแยะสองอย่างนี้ออกนะ



กลยุทธ์การสร้าง "ความศรัทธา" ของฝ่ายที่มืดมน จากสิ่งที่ไร้สาระ


มีคนจำนวนมาก เสพติด และชอบบริโภคสิ่งที่ไร้สาระ และไม่มีแก่นสารความจริงอยู่เลย แต่พวกเขาก็ชอบมัน ชอบสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่อาจอธิบายได้ ยิ่งมั่วๆ ยิ่งดูอลังการณ์ยิ่งใหญ่ เช่น เหมือนเป็นพระศรีอาร์ฯ ลงมาเกิดแล้วเป็นอะไรต่อมิอะไร มาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ที่ไม่อาจพิสูจน์ได้เลย ยิ่งชอบใหญ่ เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ เสพแล้วติดใจ มันในอารมณ์เอาละ ต่อไปนี้ ผมจะอธิบาย "กลยุทธ์" ของพวกเขาให้เหยื่อทั้งหลายได้ฟัง ว่าพวกเขามีกลยุทธ์ "ป้อนยาเสพติดแห่งความเชื่อ" นี้อย่างไร?


1. "การสร้างองค์ประกอบแห่งความน่าเชื่อถือ" เพราะข่าวสารของเขามันไม่มีสาระแก่นสารความจริงอะไรเลย เขาจึงต้อง "แต่งแต้มสีสัน" หรือปั้นแต่ง ปรุงแต่งมันให้น่าเชื่อ ด้วยอะไรต่อมิอะไรมากมาย เช่น การอ้างคนที่มีชื่อเสียงให้มาเกี่ยวข้องด้วยทั้งๆ ที่ท่านนั้นอาจไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย

2. "การสร้างอารมณ์ร่วมให้คล้อยตาม" เช่น เขาจะจัดสถานที่ต้อนรับให้ท่านเข้าไปในสถานที่นั้นๆ เพื่อมี "อารมณ์ร่วม" กับเขา เช่น ให้มีคนเยอะๆส่งเสริมส่งเสริมน้อมนำคล้อยตามกันมาก หรือสถานที่สวยงามอลังการณ์ ไว้ก่อน เห็นแล้ว "มันน่าศรัทธาว่ะ" อ้าว ยังไม่ทันไร จ่ายความเชื่อซะแล้ว

3. "ใช้ความยิ่งใหญ่ที่พิสูจน์ไม่ได้" เช่น อ้างว่าเป็นกษัตริย์ดังๆ มาเกิดนะไม่รู้กี่ท่านต่อกี่ท่าน อ้างมันเข้าไป ล้วนแต่พิสูจน์ไม่ได้ทั้งนั้น ใครจะไปรู้ละว่ามันจริงหรือเท็จแค่นี้ก็จับโกหกไม่ได้แล้วแต่ต้องสร้างเรื่องให้มันย่งใหญ่เอาไว้ก่อน เรียกว่าตามใจคนชอบเสพเรื่องพรรค์นี้ ซึ่งเหยื่อก็ชอบอยู่แล้ว

4. "การทำให้เห็นว่าเกิดขึ้นจริงต่อหน้า" แต่ไม่ใช่เพราะมันเป็นความจริงที่แท้จริงหรอกนะ มันแค่ "จัดฉากให้มันเกิดขึ้น" ทำให้ของไม่จริง มันเป็นจริงขึ้นมา ก็เท่านั้น เช่น เอาคนมาทำท่าเหมือนผีเข้า ร่วมกันมากๆ ให้มันมีความน่าเชื่อถือว่าจริง หรืออะไรทำนองนั้น แต่ลับหลังได้นัดกันไว้ก่อนแล้ว

5. "ใช้จิตวิทยาหมู่" เช่น การทำให้คนเข้ามาร่วมกันแล้วสร้างมาตรฐานทางสังคมย่อยขึ้นมา เช่น ถ้าใครไม่ถูกผีเข้าแสดงว่าไม่ได้เรื่อง หรือปฏิบัติไม่ได้ผล เป็นต้น คนที่ไม่เป็น ก็เลยต้องคล้อยตาม หรือมีอารมณ์ร่วมว่าเป็นไปด้วย เออออห่อหมกตามกันไปด้วย เห็นสวรรค์ไหม? เห็น (ทั้งที่ไม่เห็น)

6. "การกรอกข้อมูลยัดเยียดจำนวนมาก" เหมือนมวยที่รัวหมัดอัดเข้าไปนั่นแหละ คุณเป็นเหยื่อถูกชกซะน่วมไม่รู้กี่หมัดต่อกี่หมัด มันรัวเข้ามามั่วไป เพราะมันอัดยัดเยียดข้อมูลเข้ามากรอกหัวคุณมากเกินไป จนคุณไม่มีโอกาสที่จะใช้ "วิจารณญาณ" ได้ทันเลย ก็เลย คล้อยเชื่อตามไปซะงั้น

7. "การข่มด้วยกำลังจิต" คือ การใช้คนที่มีพลังจิต มากดจิตคุณ ข่มจิตคุณให้ยอมก้มจำนนต่อเขา เช่น เอาหลวงพ่อมานั่งโต๊ะสูงๆ เอาคุณลงไปกราบข้างล่าง แล้วหลวงพ่อก็ใช้กำลังจิตข่ม ว่าคุณยังต้องฝึกอีกมากนะยังไม่ผ่าน ต้องทำบุญเยอะนะ มีเจ้ากรรมนายเวรจะเอาเรื่อง (จิตตกละ)

8. "การล่อลวงด้วยกิเลสของเราเอง" เช่น เรามีกิเลสอยากเป็นพุทธะมั่งพระอรหันต์มั่ง, พระเจ้ามั่ง จะได้ปลดปมด้อยที่ตัวเองต้อยต่ำได้ อยากจะให้มีคนชมว่าเรายิ่งใหญ่ เป็นเช่นนั้น เขาก็ชมเรา ยกย่องเรา ให้เราเป็นได้อย่างที่เราอยากเป็น เราก็เลยเชื่อว่าเขาจะ "ถูกต้องแน่นอน" ไปเลย


เอาละ เหล่านี้คือ "พลังศรัทธาที่มืดมน" มันไม่ได้ทำให้คุณเกิดปัญญาอะไรขึ้นมาเลย มันได้แต่ "หล่อเลี้ยงคุณด้วยความเชื่อ" ให้คุณ ป้อนคุณให้เชื่อไปเรื่อยๆ ต่อไปไมที่สิ้นสุด โดยไม่รู้ว่าทางออกคืออะไร แล้วมันจบอย่างไร? หรือความจริงมันคืออะไร? คุณเสพติดความเชื่อที่เขาต้องการให้เชื่อนั้นต่อไป และนี่แหละคือ "ความเชื่อที่มืดมน" ไร้ปัญญา



ฝ่ายมืด ต้องการความเชื่อของพวกคุณเพื่อไป "เสริมอำนาจ" พวกเขา


เอาละ คำถามคือ แล้วพวกเขาจะทำให้คุณเชื่อไปทำไม ใช่ไหม? คำตอบก็คือ "เพราะความเชื่อเป็นพลังอย่างหนึ่ง" ไม่ต่างจากเงินนั่นแหละ มันมีค่าเหมือนกัน พวกเขาต้องการพลังความเชื่อไปเพื่อ "สร้างพลังอำนาจ" ให้แก่พวกเขาเองและถ้าเขาทำให้คุณเชื่อได้ว่า "มีพระศรีอาร์ฯ" ในแบบของเขาอยู่ สักวันหนึ่ง "ใครก็ไม่รู้ก็จะโผล่มาเป็นพระศรีอาร์ฯ" ให้แก่คุณซึ่งมันไม่เกี่ยวกับ "ตัวจริง" เลย ตัวจริงอาจจะมีหรือไม่? อยู่ที่ไหน? ก็ได้ทั้งนั้นแต่ "ตัวปลอม" มันจ้องจะเกิดมาเป็น "ศรีอาร์ฯ" ตามความเชื่อของคุณอยู่แล้ว พอคุณไปส่งเสริมมัน ไปแห่เชื่อมันมากๆ มันก็เกิดขึ้นมาได้ไงนั่นแหละ สิ่งที่มันต้องการ พูดง่ายๆ คือ "พวกเขากำลังปั้นสิ่งที่ไม่จริงให้กลายเป็นจริง" เช่น ปั้นพระที่ไม่ใช่พระอรหันต์ให้เป็นพระอรหันต์ เป็นต้นเพราะความอยาก เพราะกิเลส ที่พวกเขาอยากได้ อยากมี อยากเป็นกันอย่างนั้น ดังนั้น "ตัวปลอม-ของปลอม" จึงระบาดเกลื่อน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสินค้า ก็ตาม เพราะอะไร? ก็เพราะคุณ "ยังนิยมของปลอม" กันอยู่นี่เอง คุณยอมรับของปลอมมากกว่าของจริง คุณจึงไม่มีวันได้ของจริงเลยคุณส่งพลังความเชื่อให้ของปลอม ตัวปลอม คุณจึงสร้างของปลอม ตัวปลอมเหล่านั้นขึ้นมาไว้หลอกตัวเอง ให้ตัวเองเชื่อต่อไป และคุณเองนั้นแหละ จะกลายเป็น "ทาสของปลอม" เพราะเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อนั้น 



เอาละ วันนี้ ผมมาช่วยคุณเป็นการพิเศษนะ ช่วยชาวบ้นชาวช่องที่ใช้ "พลังความเชื่อ" ยังไม่เป็น และกำลังหมดตัวเพราะใช้จ่ายพลังความเชื่อด้วย "ความฟุ่มเฟือย" เอาละ จริงๆ มันยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ "พลังความเชื่อ" นี้ อีกมากมาย ในมิติที่สูงขึ้น เช่น การใช้พลังความเชื่อในฐานะ Thought รูปแบบต่างๆ (Form) เช่น การใช้พลังความเชื่อในรูปแบบการ "กำหนดอนาคตที่สว่างได้ด้วยตัวคุณเอง และ การชำระล้างภายในด้วยพลังความเชื่อ" อีกมากมาย หลายเรื่อง แต่มันไม่ใช่เรื่องพื้นบ้านสักเท่าไร มันมีความเป็น "วิชาการสูง" ไปหน่อย เอาไว้ผมจะกล่าวในมิติที่สูงขึ้นในโฮกาสหน้า ทว่า เรื่องพลังแห่งความเชื่อในวันนี้ ผมกล่าวเป็น "พื้นฐานเบื้องต้น" ไว้ก่อน ก็แล้วกัน วันหน้า เราค่อยมารับรู้ข้อมูลในมิติที่สูงขึ้นเรื่อง พลังแห่งศรัทธาความเชื่อ กันต่อไป


สำหรับวันนี้ ผมขอลาไปก่อนครับ สวัสดี ...



8 มิ.ย. 2555


"เสียงจาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"จุดรับพลังจักรวาล" คือ จุดศูนย์กลางแห่งความเจริญของโลก นั่นเอง

ลูกเอ๋ย โลกนี้ได้รับพลังจักรวาลอยู่ตลอดแต่ไม่สม่ำเสมอเท่ากันทั่วทุกพื้นที่นะลูกนะมันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆ มากมาย โดยมีปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ "ตัวรับพลังงานจักรวาล" ซึ่งจะมีลักษณะเป็นพีรามิดใสเป็นพลังงานเชิงซ้อนที่อยู่ในสังขารของมนุษย์คนหนึ่ง ที่สามารถเลื่อนระดับไปได้เขาจึงกลายเป็น "ศูนย์กลางพลังจักรวาล" ซึ่งรับพลังจากจักรวาลแล้วกระจายออกไปโดยรอบ ทำให้เกิดความเจริญขึ้น กลายเป็น "จุดศูนย์กลางของความเจริญของโลก" ขึ้น เอาละ เรื่องแบบนี้ เคยเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า บนโลก ณ จุดต่างๆ กันของโลกใบนี้ และมีการเคลื่อนย้ายจุดรับพลังจักรวาลนี้เรื่อยๆ อันส่งผลกระทบต่อการเจริญของประเทศต่างๆ มากมาย สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก นะลูกนะ เอาละวันนี้ เรามาศึกษาเรื่องนี้กัน ให้มากขึ้น นะลูกนะ


ลูกเอ๋ย การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อมีกระบวนการ "รับพลังงานจักรวาล" แบบนี้ขึ้น มีผลมากทั้งทางโลกและทางธรรมทีเดียว ทำให้เกิด "วิทยาการใหม่ๆ ของโลก" และนำไปสู่การยกระดับของประเทศหรือทั้งโลกได้ทีเดียว และขณะนี้ มันได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นลูกจะได้รับ "พลังงานจักรวาล" พร้อม "แบบทดสอบสุดท้าทาย" ที่ลูกอาจจะรู้สึกว่ามันโหดร้ายต่อลูกมาก ทว่า นี่เป็นอาการปกติของการไปสู่การเลื่อนระดับ นะลูกนะ ลูกจะได้รับการทดสอบที่แสนท้าทายมากราวกับต้อง "ตายจากภายใน" เลยทีเดียว คือ ลูกจะรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น แล้วยังต้อง "ยืนหยัดเดินหน้าต่อไป" แต่ถ้าลูกกำเนิดใหม่ได้อย่างงดงาม ลูกสว่างไสว ลูกจะกลายเป็นเหมือนคนใหม่ ที่สดใส เหมือนได้เกิดใหม่จริงๆ เอาละ อย่าตกใจมากเกินไป ถ้าลูกกำลังอยู่ในกระบวนการนั้น มันไม่ยากเกินไปถ้าลูก "กำเนิดใหม่ได้" คือ สิ่งเดิมตายไป สิ่งใหม่เกิดขึ้นแทนที่ ก็จะผ่านไปได้ด้วยดี เหมือนการคลอดบุตร นะลูกนะ ครั้งแรก มันยากและมีความเสี่ยงสูงมาก แต่ครั้งต่อๆ ไปมันจะง่ายขึ้นมาก ที่สำคัญ ลูกอย่าฝืนปล่อยตามธรรมชาติ ให้มันดับสิ้นไปง่ายๆ มันก็จะเกิดใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน ถ้าลูกฝืนมาก มันจะตายแล้วเกิดใหม่ได้ยาก และลูกจะทรมานมากนะลูกนะ เอาละ บางคนอาจรู้สึก "หนัก" รู้สึกว่ามันหนักอึ้งมากๆ เลย ที่จะถูกทดสอบด้วยแบบทดสอบที่แสนจะท้าทายเช่นนี้ เพราะมันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง "โครงสร้างพลังงานในระดับจิตวิญญาณ" ของลูกเลยทีเดียว มันเป็นยิ่งกว่าการผ่าตัดใหญ่ในระดับจิตวิญญาณ ทำให้ลูกรู้สึกแย่มากๆ ได้ ไม่ต่างอะไรกับคนไข้ที่ต้องได้รับการผ่าตัดใหญ่ฉะนั้น ทว่าทำใจดีๆ ไว้นะลูกนะ ปล่อยตามธรรมชาติ แล้วมันจะผ่านไป ไม่นานนัก 


เอาละ ลูกลองดูการยกระดับของบางประเทศ เป็นตัวอย่างนะลูกนะ เช่น ในประเทศญี่ปุ่น ยุคเปลี่ยนแปลงจากยุคเก่า มาสู่ยุคใหม่ ลูกคิดว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรกันบ้าง? ลูกเอ๋ย ผู้หญิงบางคนต้องเป็นโสเภณี รับแขกทหารต่างชาติ ผู้ชายบางคนตายในสงครามอย่างไร้ค่า ไม่มีคนรู้จัก และบ้างก็ต้องตายอย่างทรมาน อดอยากหิวโหย เอาละ แต่พวกเขาก็ผ่านมันมาได้ใช่ไหม? แล้วยุคสมัยที่ดีกว่า สว่างไสวกว่าก็เกิดขึ้นใช่ไหม? ขณะที่บางประเทศก็มีประวัติศาสตร์ที่แสนรันทด เพียงเพราะ "ปรับตัวตามไม่ทัน" ก้าวไม่ทัน หรือ ปฏิรูปประเทศไม่ทันเพื่อนบ้าน ลูกคงทราบดีแล้วนะในครั้งหนึ่ง ประเทศจีนและเกาหลี ต้องสูญสิ้นราชวงศ์เมื่อการปฏิรูปของประเทศญี่ปุ่นประสบผลสำเร็จ เอาละ มันเป็นอดีตที่ขืนขมของบางท่าน ที่จำต้องผ่าน "ยุคแห่งความมืดมน" ไปก่อนที่จะเข้าสู่ "ยุคแห่งความสว่างไสว" มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งนะลูกนะ ซึ่งสิ่งนี้ มันจะไม่ยุ่งยากอย่างที่เป็นนั้นเลย ถ้าลูกรู้จัก "การกำเนิดใหม่" และทำมันได้อย่างดี ลูกก็จะผ่านมันไปได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะนี่คือ "การตายจากภายใน" หรือ"การตายทางจิตวิญญาณ" ดังนั้น ลูกจึงรู้สึกว่าได้รับแรงกดดันทางใจมาก หรือต้องทุกข์ใจราวกับจะตายทั้งเป็น นั่นแหละ มันกำลังจะตายในแล้ว ปล่อยตามธรรมชาตินะลูกนะ ให้มันตายจากภายใน แล้วกระบวนการจะจบลงได้ แต่ถ้าลูกฝืนมากๆ มันจะไม่จบง่ายๆ มันจะยืดเยื้อ และทำให้ลูกทุกข์อยู่นาน เอาละ ยังมีพลังงานบางอย่างที่ช่วยให้เกิดใหม่ได้ง่ายขึ้นด้วย คือ การทำให้เกิดการสลายจากภายในแล้วเกิดใหม่ ก็จะทำให้เกิดการ "กำเนิดใหม่" ได้ง่ายขึ้น ถ้าลูกค้นพบแล้วก็จงใช้มัน


ลูกเอ๋ย ลูกไม่ใช่เด็กแบเบาะที่ต้องให้พ่อแม่ประคบประหงม อีกต่อไปแล้วลูกเดินได้ด้วยขาของตนเอง ลูกไม่ต้องรอคอยให้พ่อแม่ประคองอีกต่อไปแล้ว ลูกไม่ใช่เด็กน้อยที่อ่อนแอ ที่ต้องรอคอยคำปลอบประโลมของพ่อแม่อีกต่อไป ลูกเติบโตมากพอแล้วที่จะค้นพบสัจธรรมความจริงของโลกใบนี้ด้วยประสบการณ์จริงของลูกเอง ดังนั้น จึงไม่มีคำพูดสวยหรูประโลมใจที่จะคอยป้อนให้ลูก เหมือนพ่อแม่ที่ป้อนนมลูกอีกแล้ว นะลูกนะ ต่อไปนี้ มันจะเป็น "ความจริงของชีวิต" ที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพื่อการยกระดับของลูกเอง ดังนั้น ลูกอาจจะรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง ถูกทำร้าย ถูกรังแกและถูกบีบคั้นอย่างหนัก เอาละ อย่าทำตัวอ่อนแอนะลูกนะ มันหมดเวลานั้นไปแล้ว ลูกจะต้องยืนหยัดขึ้นอย่างกล้าหาญไม่ต่างจาก "นักรบในสมรภูมิ" จงจำไว้ว่าลูกกำลังอยู่ใน "สมรภูมิรบ" เสมอ ลูกจะต้องเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่อาจถอยหลังหนีได้อีก เลิกเป็น "เด็กขี้แย" ได้แล้วและยืดอกขึ้น เข้มแข็ง เหมือนอย่างนักรบ แล้วลูกจะผ่านมันไปได้ด้วยดี


เอาละ เพื่อช่วยให้ลูก "กำเนิดใหม่" ได้ง่ายขึ้น จะขอยกตัวอย่างพลังงานที่ช่วยในกระบวนการกำเนิดใหม่นี้ ลูกสามารถกำเนิดใหม่ได้ด้วยพลังธาตุพื้นฐานทั้ง 4 เช่น การใช้พลังธาตุไฟ เผาผลาญจากภายในจนตายแล้วเกิดใหม่จากภายใน ซึ่งลูกจะรู้สึกร้อนมากถึงมากที่สุด แล้วแทบจะทนไม่ไหว จนสิ้นกระบวนการ ก็จะกำเนิดใหม่ได้ หรือการใช้พลังธาตุน้ำ สลายจากภายใน ลูกจะรู้สึกเหมือนจิตใจแทบสลาย ละลายจากภายใน ถูกกระทำให้ต้องเสียน้ำตามากมาย จนแทบใจสลาย ก็ปล่อยไปเลยลูก อย่าฝืนมัน ให้มันถึงที่สุดจนเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ไปเลย นั่นแหละ มันกำลังจะช่วยให้ลูกกำเนิดใหม่ นั่นเอง เอาละ นอกจากพลังธาตุพื้นฐานทั้ง 4 แล้ว (ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ) ยังมีพลังงานอีกหลายชนิด ที่สามารถช่วยให้กำเนิดใหม่ได้ เช่น พลังคลื่นเสียงบางชนิด ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนในระดับจิตวิญญาณจนจิตวิญญาณสลาย เปลี่ยนคลายรูปร่าง จนกำเนิดใหม่ได้เลยทีเดียวหรือพลังงานหมุนวนบางชนิด ที่จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการแบบเร่งรัดทำให้ลูกเหมือนคนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และแก่จากภายใน จนตายในที่สุด ซึ่งบางครั้ง ทำให้ลูกมีจิตใจเหมือนผู้อาวุโสได้แม้ว่าสังขารของลูกจะมีอายุไม่มากก็ตาม แต่เมื่อผ่านการกำเนิดใหม่ไปแล้ว ลูกอาจจะกลับมาเหมือนเด็กอีกครั้งหนึ่งได้ เอาละ ยังมีพลังงานอีกมากมายที่ช่วยให้ลูกกำเนิดใหม่ได้ง่าย หรือเร็วขึ้น ไม่ต้องถูกบีบคั้นหรือทรมานนานเกินไป แต่จะไม่ขออธิบายในนี้ทั้งหมด ลูกจะสามารถ "ค้นพบ" มันได้เองจากที่ต่างๆ ซึ่งเราได้วางแผนเตรียมคนที่จะให้สิ่งนั้นแก่ลูกเอาไว้แล้ว ถ้าลูกได้พบมันจงทดลองและใช้มันให้ถึงที่สุด เหมือนลูกได้ตายในกระบวนการนั้นไปเลยไม่ต้องไปจมแช่อยู่กับมัน แต่จงใช้มันเพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งการกระทำนะลูกนะ แล้วลูกจะสว่างไสวขึ้น เกิดปัญญาขึ้น พ้นทุกข์ที่ลูกเคยเป็นอยู่ ได้


เอาละ ยังมีเคล็ดลับที่ง่ายและช่วยให้ลูก "กำเนิดใหม่" ได้ง่ายที่สุดอยู่โดยลูกไม่ต้องทนทุกข์ทรมานนาน นะลูกนะ นั่นคือ "พลังงานจักรวาล" หรือพลังงานจากตัวตนในมิติที่สูงขึ้น ซึ่งพวกเขารอคอยที่จะช่วยให้ลูกกำเนิดใหม่อยู่เสมอ การช่วยเหลือของพวกเขา จะทำให้ลูกผ่านกระบวนการกำเนิดใหม่นี้ไปได้ง่ายขึ้น พวกเขาก็ไม่ต่างจากหมอทำคลอดเลยละเอาละ มันไม่ยาก ถ้าลูกเข้าใจคำว่า "ศรัทธาอย่างสุดซึ้งถึงจิตวิญญาณ" ลูกเคยรักใจมากๆ เหมือนกับคลั่งไคล้จนแทบใจสลายเลยไหม? เช่น ลูกบางคนชอบดารา และคลั่งไคล้มากๆ นั่นแหละ มันเหมือนอย่างนั้นเลยแต่ลูกต้องเปลี่ยนวิถีเท่านั้นเอง ลูกต้อง "เล็งเป้า" ไปยัง "ตัวตน ในมิติที่สูงขึ้น" หรือก็คือ "สิ่งศักดิสิทธิ์" หนึ่งใดที่ลูกมีศรัทธา แล้วเข้าสู่ภาวะแห่งความศรัทธาอย่างสุดซึ้ง เช่น เมื่อลูกได้อ่านหรือได้รู้เรื่องราวการบำเพ็ญของท่านเหล่านั้น ลูกเกิดความประทับใจมากๆ ศรัทธามากๆ จนใจสลายลูกจะได้รับพลังจนกำเนิดใหม่ได้อย่างง่ายดายเลยนะลูกนะ วิธีนี้ จะไม่มีการทรมาน ลูกเพียงใช้แค่ "ความรักและศรัทธา" ในระดับ "ลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ" เหมือนคนที่คลั่งไคล้ดารา เห็นดาราแล้วแทบคลั่งแทบเป็นลมอย่างนั้นเลยนะลูกนะ เพียงแต่ย้ายจากดารา มาเป็น "สิ่งศักดิสิทธิ์" ก็แค่นั้นเอง จะเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ในศาสนาอะไร ก็ได้นะลูกนะ ได้ทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ "ของปลอม" ก็ใช้ได้หมดนะ เอาละ ลูกจำต้องระลึกถึงสิ่งดีงามและมีจิตใจที่พุ่งตรงต่อ "เบื้องบน" เอาไว้ ไม่ใช่สิ่งใดๆ ที่อยู่เบื้องล่าง นะลูกนะ


อีกแหล่งหนึ่งคือ "ศูนย์กลางพลังจักรวาลบนโลก" ซึ่งก็คือ "มนุษย์" คนหนึ่ง ที่จะมี "พีรามิดใสศักดิสิทธิ์" ภายในสังขารของเขาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นสิ่งที่อยู่ในระดับพลังงาน นะลูกนะ ตัวเขาจะเป็น "ศูนย์กลางของพลังจักรวาลที่จะกระจายไปทั่วโลก" เขาจะรับพลังจากจักรวาลได้มากเลยทีเดียว พลังนี้เป็นพลังเดียวกับพลังของสิ่งศักดิสิทธิ์ หรือตัวตนในมิติที่สูงขึ้น นะลูกนะ เมื่อลูกค้นพบแล้ว จงระลึกถึงเขา แล้วมีศรัทธาที่ไม่ต่างจากสิ่งศักดิสิทธิ์ โดยลูกไม่ต้องรู้ว่าเขาเป็นคร ไม่จำเป็นต้องพบสังขารของเขา เหมือนกับการที่ลูกเล็งเป้าไปยังสิ่งศักดิสิทธิ์เบื้องบน นั่นแหละ ไม่ต่างกันเลย เพียงแต่ลูกเล็งสมาธิ รวมจิตที่มีพลังศรัทธาไปยังเขาเท่านั้น ให้สุดจิตสุดใจ เหมือนวิญญาณจะสลายไปเลย ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่นเขาตลอดไปนะ ลูกเพียงแค่เชื่อมต่อเขารับพลังจักรวาลต่อจากเขา แล้วใช้พลังจักรวาลนั้นในการ "กำเนิดใหม่" ก็เท่านั้นเอง มันไม่ใช่การหลง การยึดติด หรือการผูกมัดตัวเองอยู่กับเขาแต่มันคือ "การเปิดรับพลังงาน" แล้วใช้พลังงานนั้นในการ "สลายภายใน เพื่อให้กำเนิดใหม่" ในชั่วขณะหนึ่ง เท่านั้นเอง แบบนี้ ลูกก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานภายในตัวเองมาก (แบบใช้พลังธาตุ จะต้องใช้พลังของตนเอง) คล้ายกับการศรัทธาสิ่งศักดิสิทธิ์นั่นแหละ แต่จะดีกว่าตรงที่เขาอยู่ "ภาคพื้นดิน" สิ่งกีดขวางระหว่างเขาและลูกจะน้อยกว่า ระหว่างลูกและตัวตนในมิติที่สูงขึ้น เอาละ ลูกจะใช้วิธีใดก็ได้ ขอเพียง กำเนิดใหม่ได้ ก็พอ แล้วแบบทดสอบที่ท้าทายและบีบคั้นลูก ก็จะจบลงโดยง่ายดาย


สุดท้ายนี้ หวังว่าลูกคงเห็นความสำคัญของกระบวนการกำเนิดใหม่นี้เป็นอย่างดี เพราะมันคือ "รากเหง้า" ที่สำคัญของทุกๆ อย่าง ที่จะนำไปสู่การเลื่อนระดับของตนเอง, ประเทศ และโลกต่อไป มันเป็นสิ่งที่ลูกควรจะทำ ควรจะผ่านให้ได้ ครั้งแรก มันยากและท้าทายอย่างยิ่งลูกอาจจะรู้สึกแย่มากๆ เหมือนกำลังจะตายทั้งเป็น อย่างนั้น เอาละมันจะไม่แย่ขนาดนั้น ถ้าลูกเข้าใจวิธีการกำเนิดใหม่ และสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงๆ แต่ถ้าลูกยังไม่ได้กำเนิดใหม่ได้จริง ลูกก็จะเหมือนอยู่ใน Matrix แห่งการถูกบีบคั้นต่อไป ลูกก็จะทรมานเหมือนจะตายทั้งเป็นให้ได้ เพราะลูกจะต้องตายแล้วเกิดใหม่จากภายใน ในระดับพลังงาน หรือในระดับ "จิตวิญญาณ" นั่นเอง ดังนั้น กระบวนการนี้จึงกระทบโดยตรงต่อ "จิตใจ" ของลูกอย่างมาก เอาละ ง่าย หรือยาก, ยืดเยื้อ หรือรัดสั้นมันก็ขึ้นอยู่กับ "ตัวของลูก" เองแล้ว หวังว่าลูกจะผ่านมันไปได้ด้วยดีนะ

ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ จงนำพาลูกไปสู่การกำเนิดใหม่ที่งดงาม สวัสดี!



7 มิ.ย. 2555


"เสียงจากสุริยเทพ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ดุลยภาพของ "จักรกลจักรวาล" ซึ่งมี "คุณ" เป็นองค์ประกอบหนึ่ง?

ที่รัก เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก สำหรับมิติที่ท่านดำรงอยู่ ณ ปัจจุบันแต่มันก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผมจะต้องแจ้งแก่ท่าน เพราะมันมีผลกระทบต่อสมดุลของจักรวาลทีเดียว เอาละ ผมจะใช้ภาษาที่เรียบง่าย พื้นบ้านที่สุด ในการอธิบายให้เป็นกันเองที่สุด ก็แล้วกัน ...


มนุษย์ทุกคนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจักรกลจักรวาล ...


และมันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อท่านเปลี่ยนแปลงตัวเองในแบบต่างๆ สิ่งนี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดุลยภาพโดยรวมด้วยอันจะส่งผลให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นหรือไม่ ก็ได้ ในโลก หรือในจักรวาลนี้ ดังนั้น หากท่านเห็น "เครื่องยนตกรรม" ของจักรวาลนั้นได้ถ้วนทั่ว ท่านจะเข้าใจว่าเครื่องยนต์นี้ ขับเคลื่อนไปได้อย่างไรและแต่ละองค์ประกอบย่อยส่งผลต่อภาพรวมอย่างไร? เอาละ มันยากเกินกว่าจะจินตนาการได้ แต่มันง่ายมากเมื่อคุณเชื่อว่าทุกอย่างมีผลกระทบถึงกันหมด นี่คือ พื้นฐานนะ แต่สิ่งต่อไปที่คุณจะต้องเรียนรู้คือแล้วแต่ละองค์ประกอบย่อยนั้น ส่งผลกระทบต่อองค์รวมอย่างไรละ? ถ้ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงจากจุดหนึ่ง คนหนึ่ง องค์ประกอบหนึ่งแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมอย่างไร? แค่ไหน? อันนี้ละ คือ สิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นไปอีก และเพื่อให้คุณเข้าใจง่ายขึ้น ผมจะให้คุณลองจินตนาการเหมือนว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่คุณเห็นเป็นสังขารนี้ แต่เป็น "อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของจักรวาลหรือโลกนี้" ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไป



มนุษย์ผู้เป็นดังเสาหลักจักรวาล ย่อมต้องมั่นคงให้มาก ...


เอาละ ยังมีมนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "เสาหลักจักรวาล" หรือเสาหลักของโลก หรือย่อยลงไปเป็นเสาหลักของประเทศชาติหนึ่งๆ ก็มี หน้าที่ของท่านก็คือ "แน่วแน่มั่นคงไว้" เท่านั้นเอง ถ้าท่านขยับมากเกินไป จะสะท้านสะเทือนแผ่นดิน ดังนั้น ท่านต้องทำหน้าที่ของท่านด้วยการ "ทำใจให้หนักแน่น" ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกสถานการณ์และการทดสอบ ยั่วยุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไปเป็นลำดับ ท่านไม่ใช่กลจักรที่จะขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ได้ ท่านต้องอยู่ "ประจำที่" ของท่าน เพื่อให้เกิด "ความมั่นคง" ไม่เช่นนั้น จะทำให้เกิดผลกระทบต่อวงกว้างมากเลย เอาละ ท่านที่เป็นอยู่ตอนนี้ ท่านคงจะเข้าใจตัวเองแล้วว่าทำไม? ท่านจึงไม่อาจขยับเขยื้อนกายออกจากที่ของท่านได้มากนัก ไม่อาจที่จะกระทำการณ์อะไรได้มากนัก เพราะท่านคือ "เสาหลัก" มิใช่สิ่งที่เรียกว่า "จักรกล" ท่านพอเข้าใจถึงสถานภาพ ของท่านหรือยัง?



มนุษย์ผู้เป็นดัง "จักรกลจักรวาล" เป็นผู้ขับเคลื่อนจักรวาล ...


นอกจากนี้ ยังมีมนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "จักรกลจักรวาล" หรือ จักรกลของโลก หรือย่อยลงไปเป็นจักรกลของประเทศชาติหนึ่งๆ ก็มี หน้าที่ของท่านก็คือ "ขับเคลื่อนให้ก้าวหน้าไป" เช่น ขับเคลื่อนประเทศให้เดินก้าวหน้าไป ไม่อาจหยุด ไม่อาจถอยหลังกลับ เพราะถ้าท่านหยุดหรือถอยหลัง ท่านจะพบกับปัญหามากมายตามมาแน่นอนเอาละ ท่านใดที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ คือ "ไม่อาจหยุดได้" ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ เดินหน้าไปเรื่อยๆ ท่านก็เข้าข่าย "จักรกล" แล้วละ ท่านจึงต้องทำหน้าที่ของท่านไป ไม่ว่าท่านกำลังจะขับเคลื่อนกลจักรในระดับใดอยู่ก็ตาม เพราะนี่คือ "หน้าที่ของจักรกล" ที่ทำให้เครื่องยนต์แห่งโลกหรือจักรวาลเดินหน้าไปได้ นั่นเอง ดังนั้น ท่านจึงไม่อาจจะหยุดกระทำได้อนึ่ง "จักรกล" นั้นมีหลายลักษณะ แบ่งง่ายๆ เป็นสองประเภท คือ จักรกลที่หมุนไปสู่ความสว่างไสว และจักรกลที่หมุนไปสู่ความมืดมิด เอาละท่านคงทราบตัวเองดี ว่าท่านกำลังหมุนเคลื่อนไปทางใด เพราะจักรวาลจำเป็นต้องมีจักรกลครบทุกชนิด เมื่อท่านเลือกแล้ว ท่านก็ต้องประจำที่ของท่านเช่นนั้น ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าจะมีผู้มาทำหน้าที่แทน



มนุษย์ผู้เป็นดัง "สมองกลจักรวาล" เป็นผู้ให้ปัญญาแก่ผู้คน...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "สมองกลจักรวาล" เขาจะไม่ทำอะไร เลยนอกจากให้ปัญญาแก่ผู้คนเท่านั้น เพราะเขาไม่ใช่ "หัตถ์" ของพระเจ้า แต่เขาเป็นดุจ "สมอง" เท่านั้นเอง ดังนั้น เขาจึงไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากจะใช้สมองเท่านั้น ให้ปัญญาแก่ผู้คนทั้งหลายเท่านั้น หรือให้แสงสว่างแก่ผู้คนทั้งหลายเท่านั้นเอง เอาละ ท่านที่เข้าข่ายเป็นเช่นนี้คงเคยสงสัยตัวเองว่าทำไม ท่านจึงไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากแค่ให้ปัญญาแก่ผู้คนเท่านั้น นี่เพราะท่านกำลังกลายเป็น "สมองกล" ขององค์รวมเข้าแล้ว ท่านกำลังกลายเป็น "สาธารณชน" อันเป็นองค์ประกอบย่อยหนึ่งของเครื่องยนตกรรมแห่งจักรวาล ดังนั้น ท่านจึงไม่อาจกระทำสิ่งใดๆ ได้ดังใจต้องการมากนัก สิ่งที่ท่านทำได้ ก็มีเพียงการให้ปัญญาแก่ผู้คนทั้งหลาย ก็เท่านั้นเอง สภาวะที่เรียกว่า "สาธารณชน" ของท่านนี้ ไม่ใช่การที่ท่านต้องไปออกตัวเปิดตัวที่ไหน แต่มัน ก็เป็นไปแล้ว และเป็นไปเองตามธรรมชาติ ตัวของท่าน, การกระทำของท่าน จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมได้อย่างอัศจรรย์เพราะท่านไม่ใช่ตัวเดียวโดดๆ อีกต่อไป ท่านถูกเชื่อมโยงเข้ากับ "ยนตกรรมแห่งจักรวาล" เข้าแล้ว หวังว่าท่านคงจะเข้าใจสิ่งนี้ได้



มนุษย์ผู้เป็นดัง "แก้วตาดวงใจ" ที่ต้องได้รับการปกป้องอนุรักษ์...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "แก้วตาดวงใจ" คือ เขาจะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิ่งที่มีค่า สิ่งที่ควรแก่การอนุรักษ์ รักษาไว้ และเขาจะมีพลัง "พรหมจรรย์" ที่มากพอจึงจะทำหน้าที่นี้ได้ ถ้าเขาสูญเสียพลังนี้ไปแล้ว เขาจะไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้เลย และผู้อื่นที่ไม่มีพลังนี้ ก็ไม่อาจที่จะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิ่งที่ควรรักษาไว้นั้นๆ ได้ ดังนั้น ผมจึงขอเรียกเขาว่า "แก้วตาดวงใจ" ก็แล้วกัน สำหรับท่านนี้ จะมี "สัมผัสพิเศษแห่งการระวังรักษา" เช่น เมื่อใดที่มีผู้รุกรานเข้ามา เขาจะทราบได้ด้วย"ญาณพิเศษ" ของเขาทันที และล่วงรู้ถึงการรุกรานนั้นๆ ทั้งยังสามารถเตือนให้ผู้อื่นระวังภัยได้อีกด้วย แตท่านจะไม่มีคู่ครอง เพราะท่านจะต้องมีพลังพรหมจรรย์เอาไว้ เพื่อทำหน้าที่ของท่าน ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้าท่านไม่มีคู่ครองหรือใครหมายปองท่าน ไม่ใช่เพราะท่านไม่มีค่าพอแต่เพราะ "ท่านมีค่ามากยิ่งกว่านั้น" ที่จะต้องทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด 



มนุษย์ผู้เป็นดัง "ขุมพลัง" ที่เชื่อมโยงระหว่างจักรวาลและโลก...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "ขุมพลัง" เหมือนแบตเตอร์รี่หรือหม้อไฟฟ้า เขาจะทำหน้าที่รับพลังงานจักรวาลจำนวนมากเข้ามาแล้วจึงแผ่กระจายต่อไปให้ผู้อื่น เหมือนแผงวงจรไฟฟ้าที่มีไฟฟ้าเชื่อมโยงไปยังจุดต่างๆ นั่นเอง ดังนั้น เขาจะต้องรับพลังงานจากจักรวาลจำนวนมากๆ และต้องแผ่พลังงานนั้นออกไปให้ผู้อื่นด้วยเขาจึงไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น และทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ เมื่อเขาได้มานั่งตำแหน่งนี้แล้ว เขาเป็นสาธารณชนที่ทำเพื่อปวงชนโดยสมบูรณ์หน้าที่ของเขาในแต่ละวันคือ "การเปิดรับพลังงานจักรวาล" จำนวนมาก และแผ่กระจายพลังงานนั้นออกไปสู่คนในวงกว้าง เขาจึงคล้ายมนุษย์ไฟฟ้า หรือมนุษย์จอมพลัง แต่พลังงานนั้นไม่อาจอยู่ในตัวเขาหรือสะสมไว้ในตัวเขาได้มาก มันมากเกินไป มากพอที่จะทำลายร่างสังขารของเขาที่บอบบางได้เลย ดังนั้น เขาจึงต้องกระจายพลังงานนั้นออกไป เพื่อจะให้คนอื่นๆ ได้รับพลังงานนั้นๆ ด้วย อย่างทั่วถึงกัน



มนุษย์ผู้เป็นดัง "คานตาชั่ง" ที่คานดุลยภาพของสิ่งสองสิ่ง...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "คานตาชั่ง" จะทำหน้าที่วัดและถ่วงสมดุลของสิ่งสองสิ่ง หรือคนสองคนที่มีอำนาจมากๆ แต่ไม่อาจจะเข้ากันได้ แบ่งออกเป็นสองพวกสองฝ่าย ดังนั้น เขาจึงต้องทำการ "คานอำนาจ" เหมือนคานตาชั่ง ที่จะต้องวัดและถ่วงดุลอำนาจให้สองสิ่งลงตัวเท่ากัน ก็จะสามารถ "ตรึงสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ได้" และทำให้ทั้งสองฝั่ง สองฝ่าย ไม่อาจเอาชนะ หรือปะทะกันมากเกินไปได้ เขาจึงต้องเป็น "ผู้ผดุงความยุติธรรม" ที่แท้จริง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่อาจเลือกข้างเลือกฝ่ายได้เลย เพราะเขาต้องทำหน้าที่ "คานดุลยภาพ" นั่นเอง ดังนั้น เขาจึงไม่อาจเลือกข้างหนึ่งข้างใดได้ ในตัวของเขามีพลังพิเศษบางประการ ที่จะถ่วงดุลยภาพให้สองสิ่งหรือสองฝ่าย ไม่อาจเอาชนะเหนือกันได้ และต้องอยู่ร่วมกันต่อไปให้ได้ หากเขาเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือขาดความยุติธรรมไปเขาก็จะสูญเสียพลังพิเศษแห่งการคานดุลยภาพนี้ไปได้ เขาจึงต้องเป็นต้องอยู่อย่าง "คาน" ที่เชื่อมโยงระหว่างสองขั้วหรือสองฝั่งสองฝ่ายนั้น



เอาละ ไม่ใช่ว่า "มนุษย์ทุกคน" จะเป็นเช่นนี้ได้ในทันทีหรอกนะแต่พวกเขาจะต้อง "เลื่อนระดับ" ขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า "สาธารณชนแห่งจักรวาล" อันแท้จริงให้ได้ก่อน เขาจึงจะกลายเป็น "กลจักรย่อยของจักรวาล" ของโลก หรือของประเทศนั้นๆ ได้ ในแต่ละองค์ประกอบย่อยนั้น ยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่หลากหลายทั้งคุณสมบัติ, หน้าที่ และขีดจำกัดของแต่ละท่านแต่ผมจะไม่กล่าวทั้งหมดในที่นี้ เพียงแต่ยกตัวอย่างให้ท่านได้ทราบไว้ว่า "ทำไมท่านจึงต้องทำหน้าที่อย่างนั้น" หรือ "ขยับออกจากสิ่งที่ท่านเป็นอยู่" ไม่ได้เลย? เพราะท่านได้กลายเป็น "สาธารณชนแห่งประเทศ แห่งโลก หรือแห่งจักรวาล" ไปแล้ว นั่นเอง เอาละท่านคงเข้าใจสถานภาพของท่านเองแล้วว่าทำไมชีวิตของท่านจึงไม่ค่อยมีอิสระมากนัก ไม่อาจทำอะไรได้ดังใจมากนัก เหมือนกับมี "บางสิ่ง" ควบคุมท่านอยู่ ซึ่งมันก็คือ "ดุลยภาพแห่งยนตกรรมในระดับองค์รวม" นั่นเอง ดังนั้น ท่านจึงต้องทำหน้าที่ของท่านต่อไปแม้ว่าท่นจะเบื่อแค่ไหน หรืออยากปรับเปลี่ยนไปทำหน้าที่อย่างอื่นแค่ไหนก็ตาม จนกว่าจะมี "ผู้มาแทนที่ท่านได้" ท่านจึงจะพ้นวาระ


ขอพลังแห่งแสงธรรมจงส่องนำทางท่านจนถึงที่สุด ด้วยเถิด ...



6 มิ.ย. 2555


"เสียงจากยนตกรรมแห่งจักรวาล"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังงานอิสระที่ปลดปลอยมาทำให้คนธรรมดากลายเป็น X men แต่?

ลูกรัก วันนี้ มีเรื่องด่วนเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องแจ้งให้ลูกได้ทราบไว้ คือ พลังงานอิสระที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น จะกลายเป็นพลังงานที่คนธรรมดารับได้ ไม่ต่างกัน มันเป็นพลังงานอิสระนะลูกนะ จึงรับได้ทั้งนั้น ตามเหตุปัจจัยยากที่จะบอกได้ว่าใครจะรับได้หรือไม่ได้นะ เอาละ ปัญหาคือ ตามกระบวนการเลื่อนระดับของเรา สิ่งที่ลูกต้องทำก็คือ การชำระล้างพลังงานเหล่านั้น และให้กำเนิดใหม่ กรณีพลังงานนั้นเป็น "รูปธรรมชีวิต" เขาจึงจะกลายเป็นพลังงานใหม่ที่ปลอดภัยต่อโลกนี้ นะลูกนะ


เอาละ สำหรับคนธรรมดา (men) เมื่อได้รับพลังพิเศษบางอย่างที่ว่านี้เข้าไป (X) จะกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์นะลูกนะ ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ดังกล่าวก่อน ในช่วงแรกนี้ ขอเรียกพวกเขาว่า X men หวังว่าลูกน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากนะ เอาละ ในกระบวนการเลื่อนระดับ เราจะชำระพลังงานเก่าที่ถูกปลดปล่อยนั้นออกมาก่อนให้ใสบริสุทธิ์จึงจะกำเนิดใหม่ได้ (กรณีพลังงานนั้นเป็นรูปธรรมชีวิต) เมื่อได้กำเนิดใหม่แล้ว คนธรรมดาก็จะมีพลังงานใหม่เสริมเข้าไป ทำให้มีอะไรที่มากกว่าคนธรรมดาดังเดิมนะลูกนะ ซึ่งก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้าขอเรียกว่า "อุลตร้าแมน" ก็แล้วกัน ปัญหาคือ "มีกระบวนการขัดขวาง" กระบวนการดังกล่าวนี้ เอาละ ลูกต้องระวังกระบวนการขัดขวางด้วย ซึ่งข้าพเจ้าจะได้อธิบายต่อไปนี้



กระบวนการ "จับกลับไป" ของพลังงานที่เป็นรูปธรรมชีวิต


พลังงานเก่าที่ถูกปลดปล่อยออกมา ส่วนใดที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" อาจถูก "จับกลับไป" สู่ "โลกซ้อนมิติ" ดังเดิมได้ นะลูกนะ ถ้าลูกไม่ระวัง เอาละ อุปมาง่ายๆ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่สูญเสียธรรมชาติในการดำเนินชีพด้วยตนเองไปนานแล้ว วันหนึ่ง ได้รับการปล่อยออกมาจากสวนสัตว์ หากไม่อาจยืนหยัดได้ด้วยตนเอง เจ้าของสวนสัตว์ก็จะมาจับกลับไป และนั่นคือ จุดสิ่นสุดของอิสรภาพนะลูกนะ ลูกจะได้รับเงินทอง, ตำแหน่ง, ชื่อเสียง ฯลฯ มากมาย เพราะนี่คือ "เหยื่อ" ที่เขาเอามาล่อลวงลูกนะ เมื่อลูกติดกักดักของเขาแล้ว เขาก็จะจับลูกกลับไปสู่วังวนเดิม โลกซ้อนมิติที่มืดมิดอันเดิม เอาละ ข้าพเจ้าได้แต่บอกใบ้เท่านั้น จะชี้ชัดเกินไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะกระทบกับผู้อยู่เบื้องหลังของกระบวนการนี้ และจะเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นไปอีก นะลูกนะ ... 



กระบวนการ "เปิดเผยตัวตน" ของพลังงานที่เป็นรูปธรรมชีวิต


พลังงานเก่าที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" เมื่อซ่อนตัวอยู่กับมนุษย์โลกแล้วอาจจะไม่แสดงตัวตนออกมาให้รู้ เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม หรือบางตัวตนก็แสดงตัวตนออกมาให้ลูกรู้ได้ ว่าเขาเป็นอย่างไร? ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร? หรือแม้กระทั่ง "ชื่อเดิม" ของเขาคืออะไร คือใคร? ก็ได้เอาละ ถ้าลูกรู้จัก "ชื่อเดิม" (Name) ของเขา ก็เรียกเขาด้วยความอ่อนโยน ก็จะช่วยให้ลูกสามารถชำระล้างเขาได้ง่ายขึ้นนะลูกนะ เขาจะเป็นรูปธรรมตัวตนอีกตัวหนึ่งที่ซ้อนอยู่ในสังขารของลูก (Ka) ที่รอให้ลูกชำระล้าง และทำให้เขาได้กำเนิดใหม่ กลายเป็นตัวตนที่สูงขึ้นนะ(Ba) เขาร้องขอให้ลูกช่วย เมตตาเขา ช่วยเขาด้วยความรัก อย่าได้รังเกียจเขาเลยนะลูกนะ ลูกต้องช่วยให้เขากำเนิดใหม่ให้ได้ก่อนที่เขาจะถูก "จับกลับไป" ยัง "โลกซ้อนมิติ" ตามเดิม เพราะจะทำให้เขาสิ้นอิสรภาพไปอีกยาวนานทีเดียวนะลูกนะ อีกนานมากกว่าเราจะทำงานนี้ร่วมกันอีก "การปลดปล่อย" ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดนะลูกนะ เฉพาะช่วงนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับการปลดปล่อยออกมา ลูกต้องช่วยเขานะลูกนะ



กระบวนการ "กระตุ้นและใช้พลังงาน" ของพลังงานที่เป็นรูปธรรมชีวิต


พลังงานเก่าที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" เมื่อซ่อนตัวอยู่กับมนุษย์โลกแล้ว เขาจะช่วยเหลือร่างสังขารในกิจต่างๆ ทำให้ร่างสังขารนั้นมีพลังพิเศษ ทว่า พลังงานที่เขาใช้ ยังจัดเป็น "พลังงานเก่า" นะลูกนะ ยังมีมลภาวะเกิดได้ดังนั้น จึงจำเป็นที่ลูกจะต้องช่วยเขาด้วยการ "ชำระล้าง" พลังงานเก่าให้กำเนิดใหม่แก่เขา และเขาก็จะสว่างไสวได้ในที่สุด อย่างแรก หากเขาไม่มีความกล้าหาญที่จะแสดงตัวตนให้ลูกรู้ จำเป็นที่ลูกจะต้องหาวิธี "กระตุ้น" พลังงานนั้นให้แสดงตัวตนออกมาให้ลูกรู้ก่อน จากนั้น ลูกก็เรียนรู้ที่จะใช้พลังงานนั้น ในด้าน "สร้างสรรค์" เพื่อประโยชน์แก่มวลชนคือไม่ใช่เพียงเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน นะลูกนะ ด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้เขามีพลังงานภาคสว่างมากพอที่จะ "กำเนิดใหม่ได้อย่างงดงาม" ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่มีพลังงานภาคสว่างเป็น "พื้นฐานมากพอ" ที่จะรองรับชีวิตใหม่ของเขานะ


กระบวนการ "ปลดปมในใจ" เพื่อจุดไฟให้แสงสว่าง


พลังงานเก่าที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" แต่ละตัวตน จะมี "ปมในใจ" ของเขาอยู่นะลูกนะ ทำให้พวกเขา "มืดมน" จำเป็นที่ลูกจะต้องช่วยเขาแก้ปมในใจนั้นด้วย เพื่อจุดไฟให้แสงสว่างแก่เขานะลูกนะ สิ่งนีแหละ คือ"หัวใจสำคัญของการชำระล้างด้วยไฟ" พวกเขามืดมนและร้องขอความช่วยเหลือจากลูกๆ เรื่องนี้ พวกเขามืดมนไม่อาจแก้ปมในใจของตนเองได้และรอความหวังจากลูก รอให้ลูกให้ความรัก ความเมตตาเขา และปลดปมในใจที่เขาค้างคาอยู่ ให้สิ้นไป จุดไฟให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่เขานะลูกนะ พวกเขามืดมนและหนาวเหน็บมายาวนาน ลูกต้องใช้พลังแห่งความสว่างไสวและความอบอุ่นเพื่อช่วยชำระล้างเขานะลูกนะ เมื่อเขาและลูกช่วยกันแก้ปมในใจนั้นได้แล้ว "ปัญหาคาใจจะคลี่คลาย" นะลูกนะ เมื่อนั้นความเข้าใจระหว่างลูกและเขาและตัวเขาเอง จึงจะเกิดขึ้นเขาจะสว่างไสวขึ้น และลูกจะเลื่อนระดับสูงขึ้นไปด้วย เป็นผลดีกันทั้งคู่



กระบวนการ "ฟื้นคืนชีพของเหล่าผู้กล้า" กำลังจะเกิดขึ้น?


พลังงานเก่าที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" แต่ละตัวตน ล้วนมีอดีตทีได้สร้างคุณงามความดีไว้มากมายในโลกนี้ แต่เพียงเพราะพวกเขาเป็น "เงา" ของเหล่าวีรชนผู้กล้า ซึ่งภาคส่วนสว่างไสวนั้นได้สถิตย์อยู่เบื้องบนเป็น "ตัวตนที่สูงขึ้น" (Ba) รอดพ้นไปแล้ว แต่พวกเขายังคงอยู่ ไม่ได้ไปไหน และรอการกำเนิดใหม่ เพื่อรอดพ้นไปจาก "โลกซ้อนมิติ" นั้น ดังนั้น การกำเนิดใหม่ของเขา จึงเป็นเหมือน "การฟื้นคืนชีพ" ของเหล่า "วีรชนผู้กล้า" ด้วยนะลูกนะ แต่เนื่องจากพวกเขาถูกหลงลืมและถูกกักขังไว้นาน พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความ "หวาดกลัว" ต่อ "บางสิ่งที่กักขังพวกเขาไว้" และกลัวการถูก "จับกลับไป" ดังเดิมอีก พวกเขาจึงเก็บซ่อนความกล้าหาญไว้ภายในเบื้องลึก รวมทั้ง "ความสามารถพิเศษ" ของพวกเขาด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ลูกจะต้อง "ค้นพบก่อนที่เขาจะถูกจับกลับไป" เพื่อชำระล้างเขา ให้กำเนิดใหม่แก่เขาก่อน ก่อนที่จะสายเกินไป กระบวนการจับกลับไปนั้น มีกลวิธีมากมายหลายอย่าง ที่จะหลอกล่อพวกเขา พวกนั้นรู้ "ปมในใจ" ของพวกเขา รู้จุดแข็ง จุดอ่อนในใจ และความต้องการของพวกเขาที่จะใช้หลอกล่อพวกเขาให้ติดกับ และถูกจับกลับไปดังเดิม นะลูกนะดังนั้น ลูกต้องช่วยเขาก่อน ให้เขาได้ฟื้นคืนชีพ ก่อนที่จะสายเกินไป



กระบวนการ "เลื่อนระดับโลก" และสิ่งศักดิสิทธิ์ภาคพื้นโลก


พลังงานเก่าที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" แต่ละตัวตน เมื่อได้รับการกำเนิดใหม่แล้ว พวกเขาจะมีลักษณะเหมือนตัวตนในมิติที่สูงขึ้น (Ba) ของพวกเขา ดังนั้น เขาจึงกลายเป็น "ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ที่ประจำณ ภาคพื้นโลก" และทำให้โลกเต็มไปด้วย "สิ่งศักดิสิทธิ์" และนั่นก็คือ "ผลจากการเลื่อนระดับของโลก" นะลูกนะ นั่นหมายความว่าโลกนี้จะถูกเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ลูกเห็นก่อนจะมีการเลื่อนระดับขึ้นของโลก และหลังจากการเลื่อนระดับขึ้นของโลก จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีระบบ "เทพเจ้าองค์เดียว" ที่ทุกคนรอคอยด้วยความอ่อนแอ อีกต่อไป ทุกคนจะเข้มแข็งและเท่าเทียมกันในฐานะของ "สิ่งศักดิสิทธิ์" ไม่ต่างกัน นะลูกนะ มีเพียง "หน้าที่" ที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อการเลื่อนระดับนั่นเอง



เอาละ วีรชนผู้กล้าทั้งหลาย วันแห่งความสว่างไสวของโลกใกล้เข้ามาถึงทุกขณะแล้ว นั่นคือ เวลาที่พวกเขาและท่านทุกคน รอคอยร่วมกันมานานแสนนาน เหล่าผู้กล้าทั้งหลาย จงลุกขึ้นใช้พลังของท่าน ท่านมีพลังอยู่มากมาย ที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของท่าน จงอย่าลังเลที่จะใช้มันสร้างสรรค์สิ่งดีงาม ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง จะมีท่านเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนโลกใบนี้ให้สว่างไสว เรารอท่านอยู่ ณ ปลายทางแห่งความสว่างไสวนั้น ท่านทั้งหลาย จงเดินตามแสงสว่างนั้นมาเถิด อย่าได้หันหลังกลับไป อย่าได้ยอมให้สิ่งอื่นใด มายั่วยุให้ท่านเบนทิศออกจากแสงสว่างนี้ จนกว่าท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา คือ "ตัวตนที่สว่างไสว" เหล่าผู้กล้าทั้งหลาย ท่านอย่าได้หันหลังให้เรา จงมุ่งหน้ามาสู่เรา เป็นหนึ่งเดียวกับเราและสร้าง "โลกที่สว่างไสว" ด้วยกันกับเรา เพราะท่านล้วนมีพลังแห่ง "สิ่งศักดิสิทธิ์" ซ่อนอยู่ภายใน ไม่ต่างกันเราเช่นกัน


ด้วยความรักและปรารถนาดี ...



4 มิ.ย. 2555


"เสียงจากสุริยเทพ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS