ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ท่านต้องผ่าน "ตัวตนเทียม" ของเหล่าอัศวินแห่งแสงสว่างก่อนจึงจะได้พบของจริง?

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องง่ายๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่ท่านอาจจะได้พบเจออย่างแน่นอน มาอธิบายกันแบบง่ายๆ จะได้มีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน คือ เรื่องของ "ตัวตนเทียม" ของเหล่าอัศวินแห่งแสงสว่าง ยกตัวอย่างเช่น พระสุริยเทพ ก็จะมี "ตัวตนเทียม" ของท่านที่เป็น "ภาคมืด" ซึ่งอยู่ใกล้กับมนุษย์เข้าถึงมนุษย์ได้ง่ายกว่า ให้มนุษย์ได้สัมผัสเป็นเบื้องต้น ก่อนที่จะได้สัมผัส "องค์จริง" ซึ่งยากแก่การเอื้อมถึงในภายหลังนะครับ เอาละ เข้าเรื่องกันเลย


เหล่าอัศวินแห่งแสงสว่างล้วนมีเงาหรือ "ตัวตนเทียม" จากภาคมืดทั้งนั้น


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ "สิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย" ต่างก็มี "เงา" หรือ "ตัวตนเทียม" ที่ปลอมตัวเป็นท่าน อยู่บนโลกทั้งสิ้น เพื่อรอทดสอบเหล่าผู้คนที่ต้องการเชื่อมต่อกับท่านเหล่านี้ พวกเขาจะคอยทดสอบความศรัทธาของท่านทั้งหลาย ก่อนเป็นเบื้องต้น ที่ท่านจะพร้อมที่จะสัมผัสกับของจริงหรือ "องค์จริง" ดังนั้น ท่านจึงต้องสอบผ่าน และแยะแยะของปลอมออกให้ได้ก่อน จึงจะได้พบของจริง และสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย ก็มีของเทียมนี้อยู่ด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาก็คือ "ภาคมืด" ที่คอยหลอกล่อให้คนออกจาก "ธรรม" หรือ "เส้นทางที่ถูกต้อง" นั่นเอง เมื่อท่านไม่หวั่นไหว ไม่ถูกยั่วยุให้ออกจากธรรม หรือเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ท่านจึงจะได้พบสิ่งศักดิสิทธิ์ที่แท้จริง ในลำดับต่อไป ดังนั้น บางครั้ง ท่านอาจได้พบ "ของเทียม" ก่อนและของเทียมก็ทำตัวได้เหมือนของจริงเลย ท่านต้อง "แยกแยะ" ออกให้ได้ว่า "ของเทียม" มีอะไรที่แตกต่างจาก "ของจริง" นั่นแหละ จึงผ่านได้



"ตัวตนเทียม" มี "แทบทุกอย่าง" ที่เหมือนตัวตนจริง ท่านจึงต้องระวัง?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "ตัวตนเทียม" มีทุกอย่างที่แทบจะเหมือนตัวตนจริงเลย เช่น พระสุริยเทพภาคมืด จะมีแสงสว่างออกมาได้เหมือนองค์จริงทำให้ท่านสัมผัสพลังแสงสว่างนั้นได้ ทั้งยังมี "ธรรม" ไม่ต่างกันอีก อ้าวแล้วอย่างนี้ จะทราบได้อย่างไร? จะแยกแยะได้อย่างไร? นี่ละ ปัญหาซึ่งท่านจะต้องแก้เอง ผมขอยกตัวอย่าง เลยก็แล้วกัน "พระสุริยเทพ" องค์เทียม (ภาคมืด) จะมี "พลังมืดด้านหลัง" ของท่าน ท่านจะไม่ได้สว่างรอบทิศดังเดิมอีกแล้ว พลังแสงสว่างของท่านลดลง และถูกแทรกด้วยพลังมืด แต่ท่านย้ายไปไว้ทางด้านหลัง จึงหลอกปวงสัตว์ที่มาจากทางด้านหน้าได้ เอาละ ทีนี้ ท่านจะเช็คได้อย่างไรละ? แหม ไม่ใช่ของง่ายๆ เลย ดังนั้น ท่านจึงต้องมี "ปัญญาที่สว่างไสวโดยรอบ" ให้เหนือกว่าเขาให้ได้ ท่านก็จะได้ทราบเองว่าเขา "มีช่องว่าง-ช่องโหว่ที่ไหน?" เอาละ ถ้าเป็น "พระพุทธเจ้าองค์ปลอม" ละ ก็มีเหมือนกันนะ ท่านมีธรรมะที่ไม่ต่างจากไตรปิฎก เหมือนกันชนิดแยกไม่ออกเลยทีเดียว เอาละ ท่านต้องค้นหาเองละนะ ผมก็ขอยกตัวอย่างแค่ 1 ตัวอย่างก็พอ ที่เหลือท่านก็ค้นหาด้วยตัวเอง ก็แล้วกัน หลักสำคัญคือ "ท่านต้องมีธรรมไม่ต่างจากของจริง" เมื่อนั้น ท่านจึงจะทราบได้ว่า "อะไรเป็นของปลอม?" ก็เท่านั้นเอง



ภาคมืด ก็มีทุกอย่างที่ภาคสว่างมี แล้วอะไรละ ที่จะทำให้เราแยกแยะได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ ก็คือ "ภาคมืด" พยายามเลียนแบบทุกอย่างที่ภาคสว่างมี และเขาก็ทำได้เหมือนมาก จนคนทั่วไปไม่อาจที่จะแยกแยะได้เลยยกตัวอย่างเช่น "พระนารายณ์" ก็มี "ลูซิเฟอร์" เป็นเงา เป็นตัวปลอม ซึ่งทำหน้าที่แทนบนโลก ทว่า "ท่านจะทราบได้ว่าเขาจริงหรือปลอม" ก็ต้องดูที่ "ยุคสมัย" คือพระนารายณ์จะทำหน้าที่ "ตามยุคของท่าน" ถ้ายังไม่ถึง "ยุคสมัยของท่าน" ท่านจะ "บรรทมศิลป์" อยู่ก่อนท่านจะไม่ออกมาทำกิจ"ข้อนี้คือจุดสังเกตุ" เอาละ ถามว่า "ยุคสมัยนี้ จนถึง พ.ศ. 5,000" จะมีพระนารายณ์ลงมาหรือไม่ คำตอบคือ "ก็คือ พระพุทธเจ้านั่นแหละ" ท่านจะทำหน้าที่จนครบ 5,000 ปี โดยไม่มีนารายณ์องค์อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว ซึ่งนับเป็นยุคของนารายณ์องค์ที่ 9 ใช่ไหมละ องค์ต่อไปคือ "กัลกี" จะยังไม่มาตอนนี้ แต่จะมาหลังจากองค์ที่ 9 ทำกิจเสร็จแล้ว ข้ามไปอีกนาน ยกให้ท่านอื่นมาทำบ้าง เว้นวรรคยุคนารายณ์บ้าง จากนั้น นารายณ์องค์สุดท้ายคือ องค์ที่ 10 (กัลกี) จึงจะลงมาทำหน้าที่ "ในกัปนี้" จะมีพระนารายณ์ทั้งสิ้น 10 ปางเท่านี้เอง ทว่า กัปนี้ ยังเหลือเวลาของยุคพระศรีอาร์ฯ อีกนี่ลองคึดดูสิ กว่าจะ "ปิดกัป" อีกนานแค่ไหน? ถ้าท่านลงมาทำกิจก่อน มันก็ไม่เหลือองค์นารายณ์มาทำกิจในช่วงยุคของพระศรีอาร์ฯ กันพอดี ใช่มั้ยองค์สุดท้ายของกัปนี้ ก็เลย ยังไม่มาอีกนานมากนะครับ ส่วนท่านที่ทำกิจนี้ไม่ใช่ "ของจริง" อาจเป็นพลังภาคมืด (ลูซิเฟอร์) หรือพลังคลาสสิคเท่านั้น



ท่านต้องมี "ญาณหยั่งรู้ที่สูงทะลุชั้นสวรรค์" จึงจะหยั่งถึงของจริงได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ หากท่านยังไม่ญาณหยั่งรู้ไม่สูงพอ กำลังก็ไปไม่ถึงของจริงที่อยู่เบื้องบนได้ ไม่ว่าจะเป็นกำลังญาณของอะไร เช่นกำลังญาณของตาทิพย์, หูทิพย์ ฯลฯ ทุกอย่างมีกำลังของมันเองในตัวเหมือนกล้องส่องทางไกล แต่ละตัว ก็มีกำลังในการส่อง ได้ไกลแค่ไหนเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อท่านไม่รู้กำลังญาณของตัวเอง ท่านอาจคิดไปว่าท่านได้เชื่อมต่อถึงองค์นั้น องค์นี้แล้ว ทว่า ไม่จริง ท่านก็แค่ถูกแทรกไปด้วย "ของปลอม" ที่อยู่บนภาคพื้นโลกเท่านั้นเองคือ ท่านถูกของเทียมแทรกเข้าแล้วแต่มันเหมือนจริงมาก จนท่านอาจจะคิดว่าเป็นของจริงไปเพราะกำลังญาณท่านสูงไม่พอ แต่ท่านฝืนที่จะเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิสิทธิ์ที่อยู่สูงเกินไป เกินกำลังของท่าน ขอยกตัวอย่างนะ ถ้าท่านจะเชื่อมต่อกับ "พระสยามเทวาธิราช" ท่านใช้กำลังญาณหยั่งไป สูงเพียงสวรรค์ชั้นที่สอง ก็พอ ถึงแล้ว แต่ถ้าท่านจะเชื่อมต่อกับพระอาทิตย์ยูไล อันนั้นท่านจะต้องผ่านพ้นสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นของโลกนี้ไปให้ได้ก่อน และแน่นอนว่าญาณของท่านจะพุ่งผ่าน "เหล่ามาร" และถูกทดสอบ โดยเหล่ามารอย่างแน่นอน ไม่อาจที่จะหนีได้พ้น ท่านต้องผ่านการทดสอบโดยเหล่ามารก่อน ท่านจึงจะเข้าถึงพระอาทิตย์ยูไลได้ ซึ่งมันไม่ใช่ของง่านเลยเมื่อญาณหยั่งรู้ท่านสูงมาก "พ้นโลก-เหนือโลก" แล้ว ท่านจึงหยั่งไปยัง "ต่างดาว" หรือ "โลกธาตุอื่นๆ" ได้ ท่านก็จะรับธรรมจากท่านอื่นที่อยู่ในดาวดวงอื่นได้ ซึ่งกว่าท่านจะ "ยกระดับตัวเอง" ถึงจุดนี้ได้ ก็ยากไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น ท่านไม่ควรฝืนเกินกำลัง หากท่านจะรับสารที่มาจาก "ต่างดาว" ก็ควรไต่ระดับไปทีละน้อย และตรวจเช็คให้ดีๆ ก่อน



ท่านต้องมี "จิตที่ละเอียดในการแยกพลังงาน" จึงจะรับของจริงได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ อีกวิธีที่จะทำให้ท่านได้รับพลังธรรมจาก"ต่างดาว" ได้ แต่ท่านไม่อาจใช้ญาณหยั่งไปได้ไกลขนาดนั้น ท่านก็สามารถ "รอรับอยู่บนภาคพื้นโลก" ก็ได้ แต่ท่านจะต้องมี "จิตใจที่ละเอียดอ่อนมากในการแยกแยะพลังงาน" เพราะพลังงานแทรกที่มาพร้อมกับพลังงานจากต่างดาว จะมีเยอะมาก ท่านจะได้รับพลังงานที่แทรกเข้ามาปลอมปนเยอะมาก จนท่านสับสนในข้อมูลที่ได้รับ และยังมีบางครั้งที่ข้อมูลขัดแย้งกันเองอีกด้วย เอาละ วิธีแรกคือ การใช้สมาธิเป็นกำลังสำคัญ ทำให้ญาณหยั่งรู้สูงขึ้น แต่วิธีที่สองนี้ เป็นการใช้ สติที่ละเอียดอ่อน ในการแยกแยะพลังงานต่างๆ ที่เข้ามาพร้อมๆ กัน และท่านจะไม่อาจห้ามพลังงานปลอมปน หรือแทรกเหล่านี้ได้เลย ต่างจากการใช้ญาณหยั่งรู้ หยั่งขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะญาณหยั่งรู้ที่พ้นโลก, เหนือโลกแล้ว เช่น ญาณหยั่งรู้ตั้งแต่ "พระโสดาบัน" ขึ้นไปนั้น พอจะพ้นโลก, เหนือโลกได้ แต่ก็ใช่ว่าพระโสดาบันทุกท่าน จะทำได้ เพราะส่วนใหญ่ท่านได้เข้าถึงธรรมเพราะอาศัยผู้อื่นช่วย ดังนั้น ท่านอาจจะไม่มีญาณหยั่งได้ด้วยตนเอง เอาละ สำหรับท่านที่มีญาณหยั่งได้ด้วยตนเอง ก็สามารถหยั่งขึ้นไปเหนือโลกได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ให้รอรับอยู่บนภาคพื้นโลก ซึ่งท่านจะต้องแยกแยะข้อมูลมากเลยทีเดียว



ใช้ "ของปลอม" เป็น "บันใดพื้นฐาน" ให้ท่านเชื่อมต่อกับของจริง?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ อีกวิธีหนึ่งที่ทรงประสิทธิภาพมากเพราะมันเอื้อต่อการทำหน้าที่ของคนที่ไม่ชำนาญนัก คือ การใช้ "ของปลอม" เป็น "บันไดพื้นฐาน" ในการก้าวไปสู่ "ของจริง" นั่น ท่านจะต้องใช้"ปัญญา" อย่างมาก ในการที่จะพิจารณาข้อมูลที่มาจากของปลอมไปก่อน แล้วจึงจะเชื่อมต่อ หรือตรงเข้าสู่ของจริง ได้ด้วย "ปัญญา" ของท่านเอง มันก็คือ "การใช้วิจารณญาณ" หรือการใช้ปัญญาในการแยกแยะความจริงเท็จออกจากกันให้ได้ เพราะ "ของปลอม" นั้นก็เหมือนของจริงมาก แต่จะมี "จุดเล็กๆ" เท่านั้นที่แตกต่างกันออกไปท่านจะต้องจับให้ได้ว่ามันคืออะไร จึงจะนำข้อมูลที่ได้จาก "ของเทียม" ไปใช้ได้ วิธีนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องมี "สมาธิ หรือ สติ" มากเหมือนสองวิธีแรก แต่ท่านจะต้องมี "ปัญญา" มากทีเดียว เพราะการใช้ข้อมูลซึ่งไม่ได้มีความจริง 100% นั้น ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าข้อมูลนั้นมีทั้งส่วนที่จริงและเท็จอยู่ปนกัน? วิธีนี้ จึงเหมาะกับผู้ที่มี ปัญญาพละ มากมากกว่าผู้ที่มีสมาธิพละ หรือสติพละมาก แตกต่างจากสองวิธีข้างต้น



"ศรัทธาที่แน่วแน่ตรงทาง" จะช่วยให้ท่านเชื่อมต่อตรงต่อสิ่งศักดิสิทธิ์


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายมากในคนที่มีความศรัทธาแน่วแน่ตรงต่อสิ่งศักดิสิทธิ์จริงๆ คือ ท่านจะต้องใช้ "ความศรัทธาที่แน่วแน่ตรงทาง" ไม่เป๋ไปอื่นนั้น ในการเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ ที่ท่านต้องการเชื่อมต่อด้วย ซึ่งระหว่างทางนั้น ท่านจะถูกดึงให้เป๋ไปทางอื่นๆ เยอะมาก และถ้าท่านไม่แน่วแน่ต่อสิ่งศักดิสิทธิ์จริงๆ ท่านก็จะถูกทำให้เป๋ออกไปผิดทิศ ผิดทางได้ ไม่ยากเลย เอาละ วิธีนี้ง่ายมาก เพราะว่าท่านไม่ต้องมีญาณหยั่งรู้สูงอะไรเลย ท่านไม่ต้องมีสมาธิมาก หรือมีสติที่ละเอียดอ่อนก็ได้ แต่ท่านต้องมีศรัทธาที่แท้จริง สิ่งศักดิสิทธิ์ก็จะมาโปรดท่านเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ในศาสนาใด เช่น ในยามที่ท่านกำลังจะอธิษฐานถึงพระเจ้า ก็ดี, หรือกำลังทำละหมาดอยู่ก็ดี ก็สามารถสำเร็จได้ด้วย "ความศรัทธา" นั้นๆ วิธีนี้ จึงนับว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่ใครๆ ก็ทำได้มากกว่าวิธีอื่น ขอเพียงท่านมี "ศรัทธาแน่วแน่ตรงต่อสิ่งศักดิสิทธิ์" ก็พอ


ขอพลังของสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยเชื่อมต่อแสงธรรมถึงท่าน สวัสดี



20 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ท่านจะได้รับบุญกรรมอย่างไร? เป็นไปตามบัญชีบุญกรรมซึ่งใครกันแน่ดูแล

สวัสดีครับ วันนี้ยังคงไต่ระดับไปเรื่องที่สูงขึ้นระดับวิทยาการต่างดาว ยังไม่ได้นะครับ เพราะยังมีหลายท่านยังตามไม่ทัน เอาละ ผมจึงต้องขอปูพื้นฐานเรื่องกรรมและระบบจัดการของเหล่าเทพฯ สักนิดหนึ่ง เพื่อให้ท่านเข้าใจครับ


บุญกรรมของมวลมนุษย์ตาม "ธรรมชาติ" และตาม "ระบบเทพจัดการ"


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ "บุญกรรม" ที่เกิดแก่มวลมนุษย์นั้นเป็นผลมาจากสองประการ เช่น มาโดยธรรมชาติ ซึ่งแบบนี้จะไม่มีระบบ และถ้าจัดการไม่ดี อาจกลายเป็นความยุ่งเหยิง หรือภาระกรรมที่แก้กันไม่จบ ก็ได้ เช่น คนที่ทำกรรมเลวและมีฤทธิ์มาก บางคนจะก่อกรรมไปเรื่อยๆ ด้วยไม่มีใครปราบได้ เขาจะมีกรรมสั่งสมมากเกินตัว จนไม่รู้ว่าจะได้นิพพานที่ยุคไหนได้เลยครับ เอาละ ดังนั้น เพื่อให้มีกระบวนการจัดการที่ดี สวรรค์ก็มีระบบการจัดการกรรมนะครับ ซึ่งดูแลโดย "สิ่งศักดิสิทธิ์" ผู้ดูแลมนุษย์ซึ่งท่านจะแยกกันดูแลครับ เช่น คนที่นับถือพระพุทธศาสนา จะมีพระยูไลดูแล คนที่นับถือพราหมณ์ฮินดูก็จะมีพระพรหมดูแลเรียกว่า "พรหมลิขิต" ในทีมของพระยูไลที่ดูแลระบบกรรมนั้นจะมีด้วยกัน 7 พระองค์ ที่เรียกว่า "ดาวเทพนพเคราะห์" นะครับ (ถ้าไม่เคยได้ยิน ก็นับว่าเชยมากนะครับ) เช่น พระอาทิตย์ยูไล, พระจันทร์ยูไล เป็นต้น ที่เขาสวดบูชาดาวเทพนพเคราะห์เพื่อให้เรามีเคราะห์ดีกันนั่นแหละครับ (ถ้าไม่รู้นับว่าล้าหลังมาก) ดังนั้น เรื่องที่มีเทพหรือสิ่งศักดิสิทธิ์ "ดูแลกรรมให้มนุษย์เป็นระบบ" นั้น จึงเป็นความจริงนะครับ ซึ่งบรรพบุรุษของเราท่านรู้และถ่ายทอดมานานแล้ว เราเป็นลูกหลานถ้าไม่รู้จริง ก็ไม่ควรไปลบหลู่ครับ (อาจโชคร้ายได้)



มนุษย์ที่บรรลุ "พุทธะ" สามารถถือ "บัญชีบุญกรรม" ของผู้อื่นได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ มนุษย์ที่บรรลุ "พุทธะ" แล้ว และยังไม่รีบนิพพาน นั้นสามารถนั่งแท่นตามรอยดาวเทพนพเคราะห์ทั้ง 7 องค์ได้ (ไม่ใช่องค์ปฐมฯ เป็นเป็นลำดับหลังๆ ตามๆ กันมา แต่ก็ทำหน้าที่ได้ครับ) ดังนั้น อาจมีมนุษย์บางคนที่ถือบัญชีบุญกรรมและทำกิจ "ดูแลระบบบุญกรรม" ของมวลมนุษย์ได้ "ส่วนหนึ่ง" เช่น ถ้ามีคนที่ไม่รีบนิพพานแล้วได้รับกรรมมาก มาหาเขา เขาอาจช่วยผ่อนปรนกรรมลงได้แต่ต้อง "เข้าระบบของเขาก่อนครับ" หมายความว่าท่านก็ต้องมี "บุญบารมี" ได้เป็น "สาวกของพุทธะองค์นั้นก่อน" ท่านจึงจะทำให้ได้นะครับ เพราะการกระทำนี้ จะต้องมี "บุญบารมีของผู้ทำรองรับผลให้ผู้ถูกกระทำ" แต่ก็มีบางท่าน ที่ได้บารมีระดับ "พรหม" ก็ทำได้ครับ (ซึ่งจะต่ำกว่าพระยูไล) คนที่ไปขอให้ทำ ก็จะขึ้นตรงที่คนผู้นั้น ยกบุญกรรมของตนให้ท่านั้นดูแล ก็จะขึ้นบัญชีบุญกรรมซึ่งตรงต่อคนผู้นั้น (ซึ่งมีบารมีชั้นพรหม) ท่านก็จะลิขิตให้ครับ นี่ละเขาเรียกว่า "พรหมลิขิต" มันทำกันได้ แต่คนทำ ก็ต้อง "มีบุญบารมีรองรับผลนั้นเองนะครับ" ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ไปทำกันเล่น มันจะเข้าตัวเอา



มนุษย์ที่บรรลุ "พุทธะ" สามารถปรับเปลี่ยนบุญกรรมลิขิตชีวิตคนอื่นได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เมื่อมนุษย์ที่มี "อาญาสิทธิ์อาญาธรรม" ได้ถือ "บัญชีบุญกรรม" ของผู้อื่นแล้ว ด้วยอาญาสิทธิ์ แห่งพุทธะ ก็ดี, อาญาสิทธิ์แห่งพรหมลิขิต ก็ดี ฯลฯ ได้ถือเอา "มนุษย์ผู้หนึ่งเข้าไว้ในระบบซึ่งตนจะจัดการบุญกรรมให้" แล้วด้วย "พิธีขึ้นขันธ์ให้กัน" ก็ดี, หรือพิธีอื่นใด ก็ดี อันหมายความเป็นที่ยอมรับกันได้ว่า "รองรับให้แก่กันแล้ว" เขาก็สามารถ "ใช้อาญาสิทธิ์อาญาธรรม" นั้น ในการจัดการระบบบุญกรรมให้แก่กันได้ เช่น สมมุติว่า นาง ก. มีกรรมต้องเป็นหม้าย ทั้งชีวิตทว่า นาง ก. รับกรรมนี้ไม่ไหว (เพราะถ้าอยู่คนเดียวต่อไป จะเข้าสู่วิถีแห่งพระปัจเจกฯ ได้) ในกรณีนี้ เมื่อพิจารณาแล้ว ท่านฯ ก็อาจจะช่วยให้นาง ก. ไม่ต้องเป็นหม้าย ได้มีสามีได้ แต่ก็ต้องพิจารณาผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้าด้วย (เพราะจะกระทบยาวไปทั้งหมด) ดังนั้น ท่านที่จะทำหน้าที่นี้ได้จึงต้องมี "ญาณหยั่งอดีต-อนาคต" ที่ค่อนข้างแม่นยำเพื่อจะประเมิณประมาณ ผลข้างหน้า ที่เกิดจากการแก้ไขกรรมในอดีตนั้นได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ไม่ได้ ก็หาไม่ครับ! ทว่า การที่ผู้บรรลุพุทธะแล้ว จะช่วยคนด้วยวิธีนี้นั้น ท่านก็ไม่ได้ช่วยกันง่ายนัก ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าเองก็เคยช่วยคนผู้หนึ่ง ที่ได้รับคำทำนายว่าจะตายแล้วและกำลังป่วยใกล้ตายจริงๆ ท่านช่วยด้วยการให้ "สวดมนต์บทหนึ่ง" แล้วชายผู้นั้นก็รอดตายได้ อย่างนี้ก็มีได้ เป็นไปได้



ผู้ไม่มีอาญาสิทธิ์อาญาธรรม ทำเองแล้วมารและภาคมืดจะครอบงำได้?

ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ผู้ที่ไม่มีอาญาสิทธิ์อาญาธรรม ไม่อาจทำสิ่งนี้ได้ หรือแม้แต่ท่านที่มีอาญาสิทธิ์อาญาธรรมเองก็ดี บางท่าน ก็ไม่รับทำในกรณีที่ "กรรมมากเกิน" ซึ่งท่านจะทราบด้วยญาณของท่านเอง นั้นในกรณีที่ไปทำกันเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็อาจเป็นได้ เกิดได้ด้วยผลแห่ง "อำนาจลึกลับ-พลังพิเศษ" เช่น พลังอำนาจของภาคมารหรือภาคมืด ก็ดี ซึ่งจะนำมาซึ่งความวิบัติของผู้กระทำในท้ายที่สุด ดังนั้น การไปเปลี่ยนแปลงวิถีบุญกรรมของผู้อื่นจึงไม่ใช่ "ของเล่นๆ" ยกตัวอย่างเช่น การที่คนบางคนไปตั้งตนเป็น "อาจารย์ถ่ายทอดอนุตรธรรม" ซึ่งไม่ได้มี "บารมีธรรม" มากพอ แล้วไปรับคนอื่นเข้า ด้วยว่าจะช่วยให้คนๆ นั้นได้พ้น "ภัยพิบัติ" ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจารย์ที่รับไปนั้นก็รับไปเต็มๆ และยังมีหลายท่านที่เมื่อทำงานแบบนี้ไปถึงจุดหนึ่ง ก็ "ล้มป่วย" บางท่านตายก่อนอายุขัยของตน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ "ของเล่น" ที่ใครจะมาทำก็ได้ ขอเพียงแค่มี "เงินสร้างสถานธรรม" ของตัวเอง ก็ยกตัวเองเป็นอาจารย์ ผู้ถ่ายทอดอนุตรธรรมแล้ว ทั้งๆ ที่บารมีธรรมยังไม่มี ยังไม่เกิดเลย เอาละนี่เป็นแค่การเตือน แต่คงไม่มีประโยชน์แล้วเพราะยามนี้ ท่านทั้งหลายที่อยู่ใน "อนุตรธรรม" ได้ทำเช่นนั้น "ตั้งตัวเองเป็นอาจารย์" ด้วยบารมีธรรมยังไม่เกิด ยังไม่พร้อม แต่เพราะมีเงินตั้งสถานธรรมด้วยตนเองได้ เลยยกตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์และผลตามมาคือ "ภาคมืด-ภาคมาร" ก็เข้าแทรกทำให้ "ผู้มีบารมีธรรม" ที่แท้จริงไม่อาจเข้าถึง "ภารกิจ" ที่ตนควรทำได้



"วิถีอนุตรธรรม" มี "พุทธะจี้กง" คอยดูแลระบบกรรมให้แก่มวลมนุษย์


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เบื้องบนได้ส่ง "วิถีอนุตรธรรม" ลงมาบนโลกเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ จาก "ภัยพิบัติทั้ง 10 ประการ" นั้น "ก็จริง" ทว่า เรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดและปัญหาก็เกิดขึ้นมากเกินกว่าจะหาคนจัดการได้ โดยระบบเริ่มต้นนั้น "พุทธะจี้กง" คือพุทธะผู้มีบารมีถือบัญชี "บุญกรรมของมนุษย์ได้" ซึ่งท่านจะเข้าสู่ระบบของพระพุทธะจี้กงได้ก็ต้องไป "เข้าพิธีรับธรรมในอนุตรธรรม" ก่อน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับกันว่าท่านได้ยอมให้บุญกรรมของท่านได้รับการจัดการโดยพุทธะจี้กงแล้วจึงจะไม่มีปัญหาในภายหลัง (ดังนั้น จึงต้องมีพิธีกรรมเพื่อให้เป็นที่ยอมรับโดยประจักษ์ก่อน) และท่านจะได้รับการช่วยเหลือผ่อนปรนกรรม ให้ลดลง ก็จะพ้นจากภัยพิบัติทั้ง 10 ประการ "ได้บ้าง" ผ่อนหนักเป็นเบา ได้บ้าง ทว่า ก็ยังมี "ผู้มีบุญบารมีท่านอื่นๆ" อีกที่ทำเช่นนี้ได้เช่น ท่านที่ได้ "พุทธะ" แล้ว ก็ทำได้ ซึ่งอาจปรากฎในรูป "วิถีธรรมสายอื่นๆ" อีกก็ได้ นอกจากนี้ วิถีอนุตรธรรมนั้น ก็ถูกแทรกโดยภาคมารและภาคมืดไปมากไม่อาจทำกิจได้ตามวัตถุประสงค์ ด้วยสาเหตุจาก "ร่างสังขารอาจารย์" ผู้ถ่ายทอดธรรมไม่มีบารมีธรรมมากพอ จึงต้องใช้พลังภาคมืดภาคมารเข้าเสริมพลังตัวเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิด "ช่องว่าง-ช่องโหว่" ให้มารแทรกเข้าสู่วิถีอนุตรธรรมจนถึงทุกวันนี้ ผู้บรรลุธรรมจริงๆ "จึงหายาก" ที่เหลือก็เป็น "ผู้บรรลุธรรมจอมปลอม" ที่ต่างอุปโลกน์กันไปเอง ทั้งนั้น



อาจารย์ไม่มีธรรม แต่ผ่านพิธีอนุตรธรรมแล้ว ก็เข้าสู่ระบบท่านแล้ว!


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ท่านอาจจะสงสัยว่า ในเมื่ออาจารย์บางคนก็ไม่ได้มีบารมีธรรมจริงๆ เป็นแต่ "ร่างทรง-องค์แทน" กันทั้งนั้นแล้วจะสามารถช่วยคนให้พ้นจาก "ภัยพิบัติ" ได้จริงหรือ? คำตอบ ก็คือ ตัวเขานั้นไม่มีปัญญาอะไรจะไปช่วยใครได้ แม้แต่ตัวเองก็ช่วยไม่ได้แต่เพราะ "พิธีกรรม" นั้น ทำให้ "พุทธะจี้กง" รับผู้ทำพิธีเข้าสู่ระบบและดูแลจัดการให้เขาเองแล้ว นับว่าเขาได้เข้าสู่ระบบแล้ว แม้ว่าร่างทรง-องค์แทน หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมจะไม่มีบารมีธรรม ก็ตามและผู้ที่เข้าวิถีนี้ทั้งหมด ต้องบำเพ็ญบารมีด้วยจึงจะอยู่ใน "วงธรรม" ของพระพุทธะจี้กงได้ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่มีบุญบารมีจะได้อยู่ และจะไม่มีวิมานได้อยู่กับท่านที่สุขาวดี แต่จะเป็นสายธรรมที่ต่ำลงไป ทอดลงสู่สวรรค์ชั้นต่ำลงไปก็เท่านั้นเอง ทว่า ผมไม่ได้มาเพื่อสื่อวิถีอนุตรธรรมเท่านั้น ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างสักหนึ่งตัวอย่างเท่านั้น ที่ทำหน้าที่ในการ "จัดการกรรม" ของผู้อื่นได้ และช่วยให้ผู้อื่น "พ้นกรรมบางตัว" ได้เหมือนกัน เช่น กรรมที่ต้องได้รับภัยพิบัติ 10 ประการ เป็นต้น ทว่า ท่านยังไม่ "ทางเลือกอื่นๆ" อีกมากมายตามแต่ใจท่านจะเลือก ผมมิได้มีเจตนาจะให้ท่านเลือกทางหนึ่งทางใดเป็นการเฉพาะ เพราะผู้ที่มีบารมีธรรมได้มาเกิดมากมายเต็มไปหมด ท่านจึงสามารถเลือกได้เองเพราะ "ผู้มีบารมีธรรมบางท่านอาจไม่ได้มีสำนักใหญ่" หรือตั้งตัวเป็นอาจารย์ถ่ายทอดอะไรเลยก็ได้ สุดท้ายก็แล้วแต่ บุญวาสนา ก็แล้วกัน



ท่านที่ไม่รีบนิพพาน จะขอผ่อนปรนกรรมให้ชีวิตดีขึ้นในระบบใครก็ได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ถ้าท่านยังไม่รีบนิพพาน ท่านก็สามารถร้องขอต่อ "ผู้มีบารมีธรรม" เพื่อขอให้ท่านช่วย "ผ่อนปรนวิบากกรรมในชาตินี้" ให้ชาตินี้ของท่านดีขึ้น วิบากกรรมลดลงก็ได้ โดยท่านไปขึ้นตรงต่อ "ผู้มีบารมีธรรม" สักท่านหนึ่ง (มีหลายท่านๆ ก็เลือกเอาเอง) ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. หมดบุญแล้ว จึงล้มละลาย แถมมีหนี้ท่วมตัวเขาต้องการทำความดี ยังไม่รีบนิพพานจึงได้เข้าไปหาผู้มีบารมีธรรมร้องขอว่าถ้าเขาฟื้นตัวเองได้ เขาจะสร้างสถานธรรมให้และคอยเป็นผู้อุปถัมภ์สถานธรรมแห่งนั้น ในที่สุด ผู้มีบารมีธรรมก็รับรองให้เขา เขาก็กลับมาฟื้นตัวเองได้อีกครั้ง แต่บางคน ไม่ได้พึ่งผู้มีบารมีธรรม ในใจของเขาเรียกร้องขอให้ตัวเองพ้นจากวิบากกรรมนั้นๆ ให้ได้ "ภาคมืด" ก็มาช่วยเขา (โดยที่เขาไม่รู้ ไม่เห็น) โอเค เข้าพ้นจากวิบากกรรมนั้นมาได้ ทว่า เขาก็กลายเป็น "คนของภาคมืด" ไปเสียแล้ว เมื่อเขาตายลงจะไม่มีบัญชีชื่อได้เกิดเป็นมนุษย์อีกยาวนาน ต้องตกลงสู่ภพมืดเท่านั้น นี่เพราะเขาไม่รู้จักเลือก "ผู้มีบารมีธรรม" คิดว่าจะไปได้ด้วยตัวเอง เอาละ เดี๋ยวจะเครียดเกินไป ทำใจสบายๆ ทุกอย่างมีทางออก แต่จะหาทางออกทางไหน? อย่างไร? อันนี้ "ผู้มีปัญญากับผู้มืดหลง" ก็ต่างกัน


ขอพลังแห่งดาวเทพนพเคราะห์ จงปลุกท่านให้ตื่นจากความมืด สวัสดี



17 ส.ค. 2555


"เสียงจากดาวเทพฯ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระพรหมเวียนหัว คำทำนายไม่เป็นจริง มนุษย์มีฤทธิ์เกินพรหมจะลิขิต!

สวัสดีครับ มีเรื่องเล่นๆ ไม่เครียดมาเล่านะครับ คือ เรื่องพระพรหมเวียนหัวด้วยชะตาชีวิตของมวลมนุษย์ ไม่ค่อยเป็นไปตามพรหมลิขิตสักเท่าไร เพราะมนุษย์มีฤทธิ์ฝืนกรรม ฝืนลิขิต กันได้มากมาย


เอาละ มาคุยกันเลยดีกว่าว่ามันเป็นยังไง?



กรรมปัจจุบันที่หนักมากเกิน เบี่ยงวิถีวิบากกรรมในอดีตให้เปลี่ยนได้?


อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจ คือ "ทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่เว้นแม้แต่กรรม 
หรือชะตาชีวิตก็ตาม" มันเป็นไปตาม "เหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งสิ้น" นะนี่คือ อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจ เอ้า ผมสมมุติง่ายๆ ถ้าคุณกำลังต้องรับ "วิบากกรรม" อันสนองผลหนักอยู่ 20 หน่วย แต่คุณไปทำกรรมปัจจุบันขึ้นมาใหม่ ฝืนมัน เอาชนะมัน คุณทำไปตั้ง 50 หน่วย ถามว่าผลจะเป็นอย่างไร โอเค ไม่ยากเลยครับ คุณก็ชนะวิบากกรรมในอดีตได้ด้วย "การก่อกรรมปัจจุบันให้มันมีค่าหนักกว่า" นั่นเอง ของกล้วยๆ ไม่ต้องคิดมาก แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนอย่างนี้ ท่านสอนว่ายอมรับวิบากกรรมไปเถอะ มันจะได้หมดๆ ไป จะได้นิพพานเสีย จะได้ไม่ไปก่อกรรมปัจจุบันขึ้นมาใหม่ เดี๋ยวหนี้กรรมก็ไปรอเอาข้างหน้า "ทับถมเป็นทวีคูณ" ขึ้นไปใหญ่ นี่ ท่านสอนอย่างนี้ แต่คนเรามันไม่ยอมเป็นแบบนี้ผมถึงบอกว่า "พรหมลิขิต-ชะตาชีวิต" มันถูกเปลี่ยนโดยคนนี่แหละที่ทำกรรมปัจจุบันให้หนักกว่าเพื่อเปลี่ยนแปลงมันไปตามใจชอบ ก็ไม่ได้หรอก (ถ้าเขาไม่รีบนิพพาน ก็ไม่แปลกนะที่เขาจะทำแบบนี้) ทีนี้ ถ้าพูดว่า "วิบากกรรมในอดีต" มันเปลี่ยนแปลงได้ แลกเปลี่ยนกันได้ด้วย และมีอะไรๆ อีกมากมายที่ทำให้มันไม่เหมือนเดิมเลย ก็ได้นี่ มันมีเหตุผลมั้ย?



"คนปัจจุบัน" กว่า 50% ที่เปลี่ยนวิบากกรรมตัวเองด้วยกรรมปัจจุบัน


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ คนเราในปัจจุบันนี้เกินครึ่งครับ ที่ทำแบบนั้น
คือ "ก่อกรรมปัจจุบันให้มากและหนักกว่าวิบากกรรมในอดีต" เช่น ถ้าคุณมีกรรมต้องป่วย คุณก็ไปหาหมอ ใช้เงินของคุณก่อกรรมเพื่อให้คุณหาย จะมีใครสักกี่คนที่บ้ายอมนอนป่วยรับกรรมจริงๆ บ้าเรอะ มันก็วิ่งโร่ไปหาหมอ "ใช้เงินก่อกรรม" เพื่อให้ตัวเองหายกันทั้งนั้นแหละ นั่น ผมก็ถามคุณว่า "กี่เปอร์เซ็นต์" ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ (แทนที่จะนอนป่วยยอมรับกรรมไป) ผมบอกได้เลยแทบจะ 100% นะครับ ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่ผมจะบอกว่า "วิบากกรรมในอดีต" มันแทบไม่อาจกำหนด เป็นชะตาชีวิตให้คนในยุคปัจจุบันได้เลย เพราะอะไร? เพราะมันมี "เหตุปัจจัยที่เอาชนะเหนือกรรม" มากมายในยุคปัจจุบันไงเล่า? คุณลองดูสิ มีเงินก็ใช้มันก่อกรรมทำตามที่ใจต้องการกันทั้งนั้นแหละ มีกี่คนไม่ได้ใช้เงินก่อกรรมก็คงเป็นคนจนมากๆ แล้ว หรือไม่ก็พระที่เคร่งจัด ไม่ยอมรับเงิน นี่แหละ เขาว่า "เงินคือพระเจ้า" มันบันดาลได้มากมาย ฝืนกรรมได้มากมาย ก่อกรรมปัจจุบันได้มากมาย ไงละ คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือ? ว่าคุณไม่ได้อยู่อย่างยอมรับวิบากกรรมกันจริงๆ หรอก คุณอยู่แบบ "ใช้อำนาจเงินทำตามใจตัวเอง" กันทั้งนั้น คนที่เขา "เป็นโสดาบัน" ยอมรับในกฏแห่งกรรมกันจริงๆ นี่ เขาไม่ได้ทำตัวแบบนี้กันหรอก อย่าพูดถึงอรหันต์รับเงินเลย มันต่างกันลิบลับ!



พระพรหมเวียนหัวเพราะมนุษย์โลกถูกลิขิตด้วย "นารายณ์ภาคมืด"


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ "มนุษย์โลกปัจจุบันไม่ได้เป็นไปตามพรหม
ลิขิต" เลย มันลิขิตกันเองบนโลกนั่นแหละ โดยเจ้าตัวดีคือ นารายณ์ภาคมืด หรือ "ลูซิเฟอร์" มันกำหนดวิถีชีวิตคนบนโลกไปทุกอย่างไปตามใจมัน มันไม่ได้เป็นไปตามพรหมลิขิตกันจริงๆ หรอก เทพสวรรค์ก็เวียนหัวกัน ทำงานหนัก ยุ่งเหยิง มันไม่เป็นไปตามระบบแล้ว มันได้แต่รวนไปหมดแล้ว มันไม่เหมือนเดิมแล้ว โลกมันไปทางไหนแล้วไม่รู้มันถึงกำลังจะ "วิบัติ" กันนี่อย่างไรเล่า? ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจถ้ามีคนบอกว่า "ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามกรรม" หรือบอกว่าแลกเปลี่ยนบุญกรรมกันได้นั้น "มันมีอยู่แล้ว มากมายในโลกนี้" เยอะเหลือเกินที่ทำแบบนั้น แต่มันทำด้วยพลังของภาคมืดบ้าง ภาคมารบ้าง มันไม่ได้ทำแบบ "ผู้รู้จริง" หรือแบบภาคสว่างที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นไป (เช่น การใช้วิทยาการของต่างดาว) เอาละ อย่าหลงในสิ่งที่เห็นในโลกมาก มันเป็น "มายาภาพ" หลอกลวง เช่น เห็นคนรวย ก็อย่าคิดว่าเขามีบุญมาก่อนจึงได้เสวยอย่างนั้นเสมอไป มันไม่แน่ มันอาจไม่มีบุญเก่าเหลือแล้วแต่มันได้ "ทำกรรมปัจจุบันขึ้นมาใหม่" ให้มันได้เป็นเช่นนั้น ก็ได้นะลูก



เพราะเหตุนี้ "เบื้องบน" เขาถึงจะทำลายล้างระบอบระบบพวกนี้ซะ ! 


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ เพราะเหตุว่าระบอบระบบที่ตามใจคน สนองกิเลสคนมากเกินไปจนไม่อาจทำให้มัน "ตรงไปตรงมาตามกรรม" ได้ อีกแล้วนี้ จึงทำให้เบื้องบนต้องพิจารณากันว่า "จะทำลายล้างระบบ" ไปเลยดีมั้ย? หรือมีวิธีที่ดีกว่านี้? ทางพรหมโลกเขาพร้อม เพราะเขามีท่านที่ทำหน้าที่ทำลายล้างได้อยู่แล้ว แต่ท่านพุทธเกษตรเขายังร้องขอมาว่าโปรดสงสารปวงสัตว์ เขาจึงยังหาวิธีที่ดีกว่านั้น เพื่อช่วยปวงสัตว์กัน เอาละ เข้าใจหรือยังลูก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนโลก? และโลกถูกทำให้เพี้ยนไปจากกฏแห่งกรรมอย่างไร? และทำไมมันถึงจะวิบัติอยู่รอมร่อพอเข้าใจหรือยังลูก? "ตื่นหรือยังลูก"? สิ่งที่ลูกเห็นบนโลกยุคนี้ มันคือ สิ่งที่ถูกต้องตาม "วิบากกรรม" แล้วหรือยังลูก? หรือมันเป็นไปตามการก่อกรรมปัจจุบันใหม่ขึ้นมาให้หนักกว่าของเขา เพื่อล้าง เพื่อเปลี่ยน เพื่อบงการให้มันเป็นไปตาม "ลิขิตใหม่" ตามแต่ใจมันต้องการอยากให้เป็นกัน อย่าหลงมายาภาพนั้นมาก นะลูกนะ ลูกมองไม่ทะลุถึงเหตุปัจจัย ลูกเห็นแต่ "ผลของมัน" ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อมันมากนัก อย่าไปหลงมันมากนักเห็นคนรวย ก็อย่าไปหลงคิดว่ามันทำบุญมาดี มันอาจได้ดีเพราะก่อกรรมให้หนักในปัจจุบันก็ได้ เช่น ใช้เล่ห์เหลี่ยมกดขี่แรงงาน กดค่าแรง-ราคาสินค้า ฯลฯ โอ้ย เล่ห์เหลี่ยมมันมากนัก มันก่อกรรมกันมากนัก แบบเนียนๆ นะลูกนะ กรรมเยอะทีเดียว หนักมาก ไม่รู้มันจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกได้มั้ย



ทำกรรมดีเพื่อ "ฝืนวิบากกรรมในอดีต" มันก็มีเยอะ ทำให้โลกแปรปรวน


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ คนปัจจุบันมันไม่มีใครอยากได้ของไม่ดี มันก็
เลือกแต่ดีๆ หลงดี ติดดี กันทั้งนั้น ใครจะบ้าไปเอาของไม่ดี มันน้อย แต่ก็มีเหมือนกัน เอาละ ทีนี้ พอมันบ้าดี ติดดี มันก็ "ทำกรรมดีเพื่อฝืนวิบาก" ในอดีตของมันได้ ทีนี้ "ระบบกฏแห่งกรรม" มันก็รวนแล้วสิลูก ทีนี้ โลกก็เริ่มได้รับผลกระทบนะลูกนะ ทีนี้ โลกมันถึงได้แปรปรวนไงลูก มีกี่คนที่ถูกสอนว่าไม่ต้องไปหลงทั้งดีและเลว อะไรๆ ก็ช่างมัน ยอมรับมันให้ได้ทั้งนั้นไม่หรอก มีกี่คนที่เป็นแบบนั้น มันน้อยมากๆ เลยลูก คิดดู คนส่วนใหญ่กว่า 90% รวมพลังกัน รวมอำนาจกันทำกรรมมากๆ ในปัจจุบัน กรรมมวลรวมมันจะมากขนาดไหน มันจะส่งผลกระทบต่อโลกนี้มากเท่าใด เอาละ ลองดูดีๆ ลองไปทบทวนดีๆ นะลูกนะว่าที่พูดมานี้ "มันสอดคล้องกับความจริงแค่ไหน?" โลกมันถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน? โอเค มันดีมากลูก แต่มันไม่สอดคล้องกับ "ระบบกรรม" มันไม่สนใจระบบกรรม มันสนใจแต่ "ใจมันเอง" มันต้องการอะไร? มันอยากได้อะไร? อยากมีอะไร? อยากเป็นอะไร? มันก็ทำกรรมปัจจุบันกันให้ได้ ให้มี ให้เป็น รวมๆ แล้วกลายเป็น กรรมมวลรวม มากมายนักนะลูกนะ โลกมันถึงกำลังแปรปรวนอย่างนี้ไงลูกเข้าใจมั้ย



สุดท้าย "จักรวาล" จึงต้องส่ง "มือพิฆาต" มาเพื่อทำหน้าที่ช่วยโลก?


สุดท้ายที่คุณควรเข้าใจ คือ ขณะนี้จักรวาลได้ส่งเหล่า "มือพิฆาต" ทั้งหลายลงมาเพื่อทำกิจช่วยโลก ช่วยให้โลกปรับไปตามกรรม อย่างที่มันควรจะเป็นเสียที ไม่ใช่มาช่วยสนองใจอยากของมนุษย์ มาทำตามใจคนอยากอะไร ก็ช่วยก็ทำให้ตามใจอยาก อันนั้น "ไม่ใช่เลย" นะลูกนะ เขามาจากจักรวาลโดยตรง และมาทำหน้าที่ของเขา มามอบ "ภัยพิบัติ 10 ประการ" ให้แก่มวลมนุษย์ มาจากต่างดาว พลังของเขามีมากเกินกว่าที่มนุษย์ในโลกจะเอาชนะได้ นี่แหละ เพราะเหตุนี้ มันจึงต้องมีผลเป็นเช่นนี้เอาละ คำทำนายร้ายๆ และภัยพิบัติทั้งหลาย มันก็ตามมาด้วยเหตุนี้ ก็อย่าไปเครียดกับมัน รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ก็ให้ "ตื่นแจ้ง" เกิดปัญญาสว่างไสว ให้ใจมันผ่องใสหลุดพ้นทุกข์เสีย ไม่ต้องไปกังวล ไปวนเวียนจมปลักอยู่กับมันเรื่องของเรื่องมันก็ไม่มีสาระอะไร เริ่มจากไม่เที่ยง ลงท้ายก็ไม่เที่ยง แค่นั้น


ขอพลังแห่งพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า จงทำให้คุณตื่นฉับพลัน สวัสดี



16 ส.ค. 2555


"เสียงจากพรหมลิขิต"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ท่านจะนิพพานเพียง "ขันธ์ห้า" ไม่ได้ แม้แต่ภารกิจของท่านก็ต้องนิพพานด้วย?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องหนึ่งเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ เรื่องนิพพานซึ่งไม่อาจจะนิพพานเฉพาะขันธ์ทั้งห้าได้ (ขันธปรินิพพาน) จำต้องนิพพานทั้งส่วน "ธาตุ 7" ด้วย นอกจากนี้ แม้แต่ของทิพย์ของท่าน ก็ต้องนิพพานด้วยหรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องให้ผู้อื่นมารับผิดชอบ-รับสืบทอดต่อไป ท่านจึงจะนิพพานได้ (สำหรับเทวดา ที่จะนิพพาน) เอาละ วันนี้ เรามาคุยเรื่อง "พื้นฐาน" กันอีก เพราะดูแล้วหลายท่านยังไม่พร้อมที่จะรับวิทยาการจากต่างดาวนะครับ


"ขันธปรินิพพาน" เป็นการนิพพานเพียงบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน)


อย่างแรกที่ท่านควรทราบก็คือ การทำขันธปรินิพพาน ไม่ใช่การนิพพานทั้งหมด (อนุปาทิเสสนิพพาน) แต่เป็นการนิพพานบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) คือ เฉพาะส่วนที่เรียกว่า "ขันธ์ห้า" เท่านั้น ซึ่งจะอยู่โดยรอบของ "มโนธาตุ" (มโนธาตุเป็นศูนย์กลาง เหมือนจุดศูนย์กลาง) จึงมีคำเรียกอีกคำว่า "ขันธปรินิพพาน" แปลว่า ขันธ์นิพพานโดยรอบ (ปริ แปลว่ารอบๆ เป็นรากศัพ์ของคำว่า "บริเวณ" นั่นเอง) ซึ่งผลคือ "ส่วนเหลือจากสอุปาทิเสสนิพพาน" เช่น ส่วนของ "สัมโภคกาย" (กายสังขาร) ก็เหลือสิ่งที่เรียกว่า "พระธาตุ" ให้เราได้สร้างเจดีย์บูชากัน เป็นต้น และยังมีส่วนเหลืออื่นๆ อีก เช่น ส่วนของ "นิรมาณกาย" (จิตวิญญาณชั้นนอก) ซึ่งยังจรอยู่เพื่อดำรงคงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาต่อไป ส่วนนี้จะสืบทอดไปสู่ร่างสังขารอื่นๆ ได้อีก เช่น ร่างพระสาวก ที่ช่วยค้ำจุนพระศาสนา เหมือนภูติประจำตัว ฉะนั้น ส่วนของ "ธรรมกาย" เหลือสิ่งที่เรียกว่า "มโนธาตุ" อันเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ประภัสสร, สว่างไสว (นิพพานเป็นธรรม อันพ้นแล้วจากของคู่ ทั้งความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์, สว่างไสวหรือมืดมน ก็ตามถ้ายังมีความบริสุทธิ์ประภัสสรอยู่ หรือความมืดมนไม่บริสุทธิ์อยู่ก็ตาม ล้วนไม่ใช่นิพพาน) เอาละ "ส่วนเหลือ" เหล่านี้ เราจะมาศึกษาร่วมกัน ต่อไป



คำว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" (นิพพานสิ้นเชื้อ) หมายถึงอะไรนิพพานบ้าง


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ คำว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" นั้น หมายถึงสิ่งใด 
นิพพานบ้างละ? ที่ว่า "นิพพานทั้งหมด, นิพพานไม่เหลือเชื้อ" นั้นๆ มันมีอะไรบ้างละ เอาละ ไล่ดูไปช้าๆ นะ จะได้เข้าใจเป็นพื้นฐานก่อน อย่างแรก 1. ขันธ์ห้านิพพานหมด 2. ธาตุ 7 นิพพานหมด 3. ของทิพย์อะไรที่เคยมีเคยใช้ (กรณีเป็นเทวดาที่มีของทิพย์) ก็นิพพานหมดนะ ยกเว้นว่าได้มีคนมารับช่วงต่อ สืบทอดต่อให้แทน เช่นนั้น ไม่ต้องทำ ของทิพย์นิพพาน ก็ได้ สรุปว่า "หมดไม่เหลือเชื้อ" แม้แต่ "สิ่งที่ตนสร้างขึ้น" อะไรบ้าง ก็ต้องทำให้ดับสิ้นสภาพนะ ไม่ต้องถึงขั้นนิพพานก็ได้ ทำแค่ไหน กลับคืนแค่นั้นเช่นใช้ดินเหนียวมาปั้นกระสุน ทำให้มันสิ้นความเป็นกระสุนกลับเป็นดินเหนียวก็พอ ถ้าใครสร้างวัดไว้ ก็ทำให้วัดนั้นคืนสภาพเป็น "ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ" ก็จะไม่เหลือเชื้อบุญกรรมไว้ ให้เกิดชาติต่อภพ อย่างนี้ก็ได้ ไม่ต้องทำถึงขั้นให้วัดนิพพาน เพราะยังมี "จิตวิญญาณแม่ธาตุทั้งหลาย" รับช่วงดูแลต่อไปให้ ตรงนี้ไม่ต้องไปทำนิพพานก็ได้ (แม้แต่ดิน ก็นิพพานได้ และต้องได้นิพพานในที่สุด จึงจะหมดสมมุติไว้หล่อเลี้ยงวัฏฏะสงสารแต่จะนิพพานก็เมื่อสิ้นวาระที่จะรองรับการเกิดอีกแล้วเท่านั้น) เอาละ เรื่องนี้ มันเกี่ยวข้องกับคำว่า "ภารกิจการดูและธาตุธรรม" ต่างๆ ของเทพเทวดาเขา ผมจะไม่ขอพูดมาก ยิ่งพูดจะยิ่งสับสนงุนงงเพราะเราไม่ใช่เทพเทวดากับเขาใช่มั้ย



พระพุทธเจ้าสั่งทุบ "กุฎิดิน" ของสาวกรูปหนึ่ง ก็เพื่อให้เขาได้นิพพาน


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ดังที่ผมได้บอกแล้วว่าท่านจะได้ถึงอนุปาทิเสส
นิพพานได้นั้น ท่านต้องนิพพานหมด เคลียร์งาน เก็บกวาดสมมุติที่ท่านทำ ท่านสร้างไว้ "ให้สิ้นสภาพเดิมไป" ทั้งหมด จะทิ้งเชื้อเหลือสมมุติไว้หล่อเลี้ยงบุญกรรมสืบชาติต่อภพไม่ได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้สงฆ์สร้างวัด, ทำอะไรทิ้งไว้บนโลกเลยแม้แต่อย่างเดียว ท่านเคร่งครัดและมีความเด็ดขาดมากในเรื่องนี้ เพราะอะไร? เพราะนี่คือ วิธีที่จะทำให้ได้ถึงนิพพานจริงๆ ซึ่งมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ทราบถึงขั้นนี้ ถ้าไม่เชื่อฟังท่านแล้ว "สัตว์โลกคงหมดหวังที่จะได้นิพพาน" ดังนั้น ท่านจึงมีคำสั่งให้ทุบกุฎิดินของพระสาวกรูปหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่เขาสร้างขึ้น สร้างใหม่ก็ทุบ สร้างอีกก็ทุบอีก นั่นแหละ มันคือวิถีที่จะช่วยให้เขาได้นิพพานจริงๆ มันต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่เช่นนั้น "ถาวรวัตถุ" นั้นจะดำรงอยู่ต่อไปหลังผู้สร้างตายไปแล้ว และถ้าเกิดผลประโยชน์แก่สัตว์อื่นใดมาใช้ต่อ ก็จะเกิดผลบุญต่อเนื่อง สืบชาติต่อภพต่อไปได้ ดังนั้น จึงต้อง "ทำให้สิ้นสภาพเสีย" และผู้ที่จะเอานิพพานจริงๆ เขาจะไม่สร้างสิ่งอื่นใดไว้บนโลกอีกแล้ว เพราะมันเป็น "ภาระให้แก่ผู้สร้าง" เป็นบุญสืบไปเป็นของที่ไม่จบ ไม่สิ้น ไม่หมดลงได้ในชาตินี้ นี่แหละ ถึงบอกว่ามันไม่ใช่แค่ "ขันธปรินิพพาน" และจะนิพพานหมดได้ มันก็ต้อง "ทั้งหมด" แม้แต่สิ่งสุมติทั้งหลายที่ใครสร้างขึ้น คนนั้นก็ต้องทำลายเสียให้หมด ไม่เว้นแม้แต่ "ประเทศชาติบ้านเมือง" บางคนยังต้องเกิดมาทำลายให้สิ้นซากเลยที่กล่าวนี้ไม่ได้สอนหรือยุยงให้ท่านทำละ แต่มันมีผู้ที่ถูกธรรมชาติจัดสรรให้ทำอยู่ เขามี "อาญาสิทธิ์-อาญาธรรม" ที่จะกระทำได้ เราก็ต้องปลง!



ธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้แล้วสวนกระแสโลก ดังนั้นท่านพูดตรงๆ ไม่ได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้แล้ว "สวนกระแสโลกดังนั้น ท่านจึงพูดตรงๆ ไม่ได้" เช่น การที่ไม่สร้างไม่ทำอะไรอีกแล้ว ก็สวนกระแสโลก เพราะทางโลกเขาแข่งกันสร้างผลงาน แข่งกันทำไปหมด ใครไม่ทำ คนนั้นขี้เกียจกลายเป็นคนไม่ดีไป หรือแม้แต่การเก็บกวาดสิ่งตกค้างที่อยู่บนโลก อันนี้ทางโลกเขาก็หาว่าเป็นคนเลว หาว่าเป็นพวกทำลายล้างสิ่งที่คนอื่นเขาสร้างสรรค์ขึ้นมา ฯลฯ เอาละ ธรรมะอันนี้สุ่มเสี่ยงที่คนจะเกิดความเข้าใจผิดนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปทำชั่วหรือทำลายล้างอะไรใคร แยกแยะและทำความเข้าใจให้ดีด้วย สรุปคือ เพราะธรรมของท่านนั้นสวนกระแสโลก บางอย่างท่านจึงพูดตรงๆ ไม่ได้ และต้องให้เข้าถึงด้วยตนเอง เกิดปัญญาขึ้นเอง ก็จะทราบเองว่าทำไมจึงต้องทำ ต้องเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อไม่ได้กล่าวตรงๆ นานวันเข้า ผ่านมานานเข้า คนรุ่นหลังก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ปฏิติผิดทาง จากสมัยก่อนแค่กุฎิดินยังต้องทุบทิ้ง สมัยนี้สรางวัด ไม่ต่างจาก "พระราชวัง" จำลองพระราชวังมาสร้างวัดกัน อันนี้ ก็ไม่มีทุบทิ้งเอาละ ถ้าท่านไม่รีบนิพพาน ก็ไม่เป็นไร! แต่ถ้าท่านไหนจะนิพพานภายในห้าพันปีนี้ ก็อย่าไปสร้างอะไร ร่วมสืบชาติต่อภพไปข้างหน้ากับเขาแล้วกัน



เทพจะเข้านิพพาน ยังต้องทำ "ของทิพย์นิพพาน" ก่อน จึงจะเข้าได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ แม้แต่เทพเทวดาที่มีของทิพย์ "ทิพยทรัพย์" 
ทั้งหลาย ก่อนจะเข้านิพพานได้ ก็ยังต้องกระทำ "ของทิพย์นิพพาน" เพื่อไม่ให้ของทิพย์ของตน เหลือตกค้างอยู่ในสามภพ อันจะเป็นเชื้อเหลือเกิด "บุญกรรม" สืบเนื่องต่อไป ให้ก่อตัวเป็นชาติ เป็นภพได้อีกยกตัวอย่างเช่น เทพบางองค์มี "พระขรรค์ทิพย์" จะต้องกระทำ พระขรรค์ทิพย์นิพพาน" ก่อน จึงจะเข้านิพพานได้และเมื่อพระขรรค์ทิพย์ดับสิ้นสภาวะถึงแก่นิพพานนั้น เทพเทวดาองค์นั้น ก็จะเกิดปัญญาจนบรรลุอรหันตผลทันที อันเป็นผลมาจาก "พลังทิพย์ระดับนิพพาน" ที่แผ่ออกมาในช่วงนั้น นั่นเอง ทั้งนี้ เทพ-เทวดา แต่ละองค์ต่างก็มีของทิพย์ แตกต่างกันไป การเข้าถึงอรหันตผลด้วยการทำให้ของทิพย์ได้ถึงนิพพานนี้ จึงทำให้เกิดปัญญาในแบบที่แตกต่างกัน เช่น ดาบทิพย์ คือ ประตูนิพพานแห่งการตัดขาดสิ้นเยื่อใย ก็จะมีธรรมไปอย่างหนึ่ง, แก้วมณี คือ ประตูนิพพานแห่งการรักษาศีลพรหมจรรย์ ก็จะมีธรรมที่เรียกไปอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น จึงมีคำเรียกต่างกันไปในขณะบรรลุธรรมว่า "บรรลุด้วย อริยมรรค" บ้าง, "บรรลุด้วย อไทวตธรรม" บ้าง ฯลฯ แตกต่างกันฉะนี้ ซึ่งท่านที่เข้าถึงอรหันต์ แล้วจะเข้าใจดีถึงสิ่งเหล่านี้



"มโนธาตุนิพพาน" ด่านสุดท้ายก่อน "อนุปาทิเสสนิพพาน" (สิ้นเชื้อ)


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ การกระทำ "พระธาตุนิพพาน" โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า "มโนธาตุ" นั้น เขาทำกันอย่างไร? มันก็ไม่ยากหรอก ก็เหมือนกับอย่างอื่นที่นิพพานไปก่อนนั่นแหละ (ที่นิพพานบางส่วน) มันก็ "มรรคเดียวกัน" พิจารณาด้วยจิตนี้ ให้เห็นถึง "ธรรมในธรรม" ของสิ่งนั้นๆ เช่น พิจารณา "มโนธาตุ" ก็ไปถึง "จิตในจิต" แล้วพ้นไปเหนือ ไปจากจิต มันก็ไม่เหลือสภาพจิตอีก มันก็เกิดปัญญาแจ้งตื่นขึ้นได้ว่าอ้อที่ผ่านมานี้ "เรายึดติดภาวะจิต" คือ ภาวะจิตผู้รู้บ้าง, จิตผู้บริสุทธิ์บ้าง, จิตผู้สว่างไสว (ประภัสสร) บ้าง แท้แล้ว "นิพพาน" ที่พ้นแล้วจากทั้งคู่ทั้งมืดและสว่าง ทั้งบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์นั้น มันเป็นอย่างไร? ไม่มีภาระต้องระมัดระวังจิตว่ามันจะมี "พลังมืดเข้าแทรกหรือครอบงำ" อีกต่อไป ไม่ต้องห่วงแบบนั้น ไม่มีกังวลว่าจิตจะไม่สว่างไสวอะไรอีกต่อไป มันไม่ต่างกันแล้ว มันพ้นแล้วจากทั้งมืดและสว่าง บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ ไม่มีให้ยึดข้างใดข้างหนึ่งเลย มันพ้นแล้ว, เหนือไปแล้ว เลยไปแล้ว มันเป็นอย่างไร? เอาละ ไม่ต้องพูดมากเขารู้กันเอง ถึงเองก็รู้เองไม่ต้องอธิบาย


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย ช่วยให้ท่านตื่นแจ้งฉับพลัน สวัสดี



15 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ที่สุดแห่งวิทยาการแห่งการแลกเปลี่ยนแม้แต่ "บุญกรรม" ก็แลกเปลี่ยนกันได้

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องหนึ่งที่สุ่มเสี่ยงออกจะกลายเป็น "มิจฉาทิฐิ" ได้ แต่ก็จำเป็นต้องกล่าวบอกไว้ครับ นั่นคือเรื่องของการแลกเปลี่ยนบุญกรรม ก็มีได้เป็นได้ เอาละ ย้อนไปสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าและพระศรีอาร์ฯ บำเพ็ญบารมีร่วมกัน ท่านได้ทำการสับเปลี่ยนดอกบัวกันแล้ว สลับกันมาตรัสรู้ อันนี้ท่านทั้งหลายคงทราบกันแล้ว ทว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? เรื่องการสับเปลี่ยนบุญกรรมนี้ เราจะมาศึกษาร่วมกันครับ 


การแลกเปลี่ยนที่มี "จรรยาบรรณ" จะช่วยให้พ้นจากความเป็นมาร


อย่างแรกที่ผมต้องเตือนท่านไว้ก่อนเลย คือ การแลกเปลี่ยนหรือสับเปลี่ยนบุญกรรมนี้ อาจส่งผลให้กลายเป็นพญามารได้ ดังนั้น ถ้าท่านจะทำจึงต้องศึกษาให้รู้แจ้งแท้จริงและที่สำคัญคือ การมีจรรยาบรรณในการแลกเปลี่ยน จะช่วยให้ท่านไม่ตกลงสู่โลกมารได้ ทว่า ท่านต้องทราบก่อนว่า "วิทยาการนี้มาจากดาวพุธ" ซึ่งมีระดับที่สูงกว่าดาวครูดาวฤษี (ดาวพฤหัส) ไปอีกขั้นหนึ่งทีเดียว ท่านต้องยกระดับตัวเองให้พ้นดาวครู ไม่ยึดติดสภาวะหรือสถานะครูให้ได้ก่อนท่านจึงจะมีระดับที่เทียบเท่ากับ ชาวดาวพุธได้ เมื่อนั้นท่านจึงรับวิทยาการนี้ ไปใช้ได้ครับและที่สำคัญคือ ท่านต้องเรียนรู้เรื่อง "จรรยาบรรณ" ให้ดี ก่อนใช้ด้วย



"บุญกรรม" เป็นพลังงานทิพย์ชนิดหนึ่งที่ "โยกย้ายถ่ายเท" กันได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ หลักการพื้นฐานเบื้องต้นของการแลกเปลี่ยน 
"บุญกรรม" อย่างแรก ท่านควรทราบว่า "บุญกรรมเป็นพลังงานทิพย์" ชนิดหนึ่งที่สามารถ "โยกย้ายถ่ายเท" ได้ แต่มันจะเป็นไปได้ด้วยปัจจัยอะไรบ้าง สิ่งนี้ท่านต้องทราบในลำดับต่อไป ซึ่งสำคัญที่สุดนั้น มันไม่ใช่สิ่งภายนอกอะไรเลย สำคัญที่สุด คือ "ใจ ของคนที่ต้องการแลกเปลี่ยนกันนั้นเอง" ถ้าเขาทั้งคู่มี "อธิษฐานบารมี" มาก หรือคือ "มีฤทธิ์ทางใจสูง" ก็สามารถกระทำการแลกเปลี่ยนพลังบุญกรรมกันได้ไม่ยากนะครับแต่ถ้าทั้งคู่ไม่มีฤทธิ์ทางใจมากพอที่จะกระทำได้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยผู้ที่มีฤทธิ์ด้านนี้เข้ามาช่วยครับ ซึ่งในกระบวนการนี้ เขาผู้นั้นอาจอยู่ในมิติอันมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็สามารถมาช่วยท่านได้ ถ้าเขาผู้นั้นต้องการช่วยเหลือ (ซึ่งถ้าท่านน่าสนใจ ที่จะได้รับความช่วยเหลือจริงๆ เช่น ท่านบำเพ็ญบารมีมามาก มันก็ไม่ยากครับ) ซึ่งผู้มีความสามารถนี้ มีทั้งท่านที่อยู่ในโลกมารและท่านที่อยู่ต่างดาว (ดาวพุธ) ก็มี แล้วแต่ว่าท่านจะยกระดับตัวเองให้เชื่อมโยงถึงท่านใด ก็จะอาศัยพลังในระดับนั้นครับ



การแลกเปลี่ยน "บุญกรรม" จะส่งผลเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เท่านั้น


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "บุญกรรม" อย่างหนึ่ง ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่
ชาติเดียวแล้วหมดไป แต่จะส่งผลดังระลอกคลื่น หลายระลอก ที่อ่อนแผ่วจนค่อยหมดสิ้นไปในที่สุดในชาติสุดท้ายที่กรรมนั้นๆ สนองผลแต่การแลกเปลี่ยนบุญกรรมนี้ จะให้ผลเพียงชาติเดียว เฉพาะชาติที่ท่านได้กระทำร่วมกันนั้นๆ แต่การแลกเปลี่ยนนั้นก็อาจส่งผลในระยะยาวได้ถ้าเป็นการอธิษฐานหวังผลในระยะยาวเช่น การสับเปลี่ยนตำแหน่งกันในการที่จะลงมาตรัสรู้ ทว่า เราจะไม่แนะนำให้ท่านหวังผลยาวเกินไปอย่างนั้น เพราะอนาคตท่านอาจจะ "คิดใหม่หรือเปลี่ยนใจได้" เอาละ สำหรับบางท่านการแลกเปลี่ยนบุญกรรม อาจไม่จำเป็น แต่บางท่านนั้นอาจจำเป็น ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. มีบุญได้ภรรยารวยค้ำจุน แต่ก็ต้องจากตระกูลที่ต่ำต้อยของตน ไปยังตระกูลผู้อื่น ส่วน นาย ข. มีบุญได้พี่สาวอุปถัมภ์ค้ำจุน ทั้งสองคนก็อาจตกลงใจ "แลกเปลี่ยนบุญกรรม" กันก็ได้ ผลคือ นาย ก. จะไม่มีบุญได้ภรรยารวยอีกแล้วแต่จะได้พี่สาวเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนแทน ส่วน นาย ข. ก็จะได้ภรรยารวยแทนพี่สาวฯ คนนั้นไป



ตัดต่อพันธุกรรม "บุญกรรม" ปรับให้เข้ากับการบำเพ็ญบารมีปัจจุบัน


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การตัดต่อพันธุกรรมของบุญกรรม หรือการ
แลกเปลี่ยนบุญกรรมของปวงสัตว์ เพื่อปรับวิถีการบำเพ็ญบารมีให้เข้ากับสภาวะปัจจุบันของปวงสัตว์ "เป็นสิ่งที่ทำได้" ถ้าเป็นไปด้วยความยอมรับกันของทั้งสองฝ่าย เหมือนดังเช่น การที่พระพุทธเจ้าและพระศรีอาร์ฯ ยอมให้การสับเปลี่ยนดอกบัวเป็นผลสำเร็จนั้น ก็มิใช่เพราะมีพระพุทธเจ้าฝ่ายเดียวกระทำ แต่ต้องมีการยินยอมพร้อมใจ ของฝ่ายของพระศรีอาร์ฯ ด้วย จึงจะสำเร็จได้ ซึ่งในการกระทำนี้ท่านทั้งสองที่ร่วมกระทำนั้น ก็ต้อง "ร่วมรับผิดชอบผลร่วมกัน" ด้วย ไม่อาจที่จะไปโยนบาปให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับไปเพียงฝ่ายเดียวได้ เพราะเป็นกรรมที่ทำร่วมกันจึงส่งผลสำเร็จได้ นั่นเอง เอาละ ในกรณีของท่านบ้าง หากท่านต้องการแลกเปลี่ยนบุญกรรมก็สามารถทำได้ แต่ควรจะพิจารณาให้รอบคอบก่อน เพราะท่านอาจ "ขาดทุน" หรือได้สิ่งที่ไม่พอใจ ก็ได้



การแลกเปลี่ยนบุญกรรม ต้องกระทำตามการเคารพกฏแห่งกรรมด้วย


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การแลกเปลี่ยนบุญกรรม สามารถกระทำได้
ด้วยหลักการที่ว่า "ทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่อาจยึดเป็นตัวตน, ของตนได้แม้แต่บุญกรรม ก็ตาม" ทว่า กรรมย่อมสนองผลตรงไปตรงมา ทำดี ก็ได้ดี, ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว แน่นอน ท่านจำต้องมีทิฐิที่เห็นตรงชัดเจนก่อน จึงจะเข้าสู่กระบวนการแลกเปลี่ยนบุญกรรมได้ ทั้งนี้ ในการแลกเปลี่ยนก็มีผลเป็น "กรรม" เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน คือ การแลกเปลี่ยนนี้คือกรรมในปัจจุบันที่ท่านร่วมกันกระทำขึ้น "ทั้งคู่" และต้องรับผลนั้นทั้งคู่ สิ่งนี้ถ้าท่าน "ยอมรับผลกรรมได้ตามจริง" ท่านก็ทำได้ และต้องรับผลตามนั้นตามจริง ไม่มี มิจฉาทิฐิ เกิดขึ้นกับท่าน เพราะท่านเห็นตรงตามกฏแห่งกรรมนั้นแล้ว เพียงแต่ท่าน "ยอมทำกรรม และพร้อมรับผลของมัน" ก็เท่านั้นเอง ท่านมิได้คิดเห็นเป็นอื่นหรือคิดเห็นตรงข้ามกับกฏแห่งกรรม



การแลกเปลี่ยนบุญกรรม จะสำเร็จได้ในขั้นสุดท้ายด้วย "กายกรรม" 


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การแลกเปลี่ยนบุญกรรมนั้น จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อได้สิ้นสุดลงที่ "กายกรรม" เท่านั้น ไม่ใช่คิดเอง, ฝันเอง เดาเอาเองว่าได้ใช้ฤทธิ์ไปในมิติที่มองไม่เห็นแล้ว และจะเกิดผลจริงนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า "ท่านตกลงแลกเปลี่ยนแล้ว" ในมิติที่มองไม่เห็น และท่านก็สื่อสารกับเขาไม่ได้นั้น ดังนั้น ท่านจึงต้องมีการกระทำจริงด้วย ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. จะแลกบุญกรรมกับนาย ข. โดยนาย ก. ขอรับบุญเป็นพี่สาวอุปถัมภ์ส่วนนาย ข. รับบุญเป็น "ภรรยาอุปถัมภ์" แม้ว่าสำเร็จด้วยใจ หรือวาจาแล้ว เมื่อถึงวาระบุญกรรมมาถึง จะมี "ผู้หญิงร่ำรวยมาหา นาย ข." ถ้านาย ข. กระทำกรรมได้เป็นภรรยา ก็จะถือว่า "ผลกรรมข้างนาย ข. สำเร็จ" แต่ถ้าฝ่ายนาย ก. ได้พบหญิงสาวที่มาอุปถัมภ์ในฐานะพี่สาวแล้วแต่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมกระทำกรรมจะนับว่าข้างฝ่าย นาย ก. ยังไม่สำเร็จ(ซึ่งในความจริงจะต้องสำเร็จให้ได้ทั้งสองฝ่ายจึงจะเคลียร์กรรมได้) ทว่า ฝ่ายนาย ก. ก็อาจเก็บบุญไว้ก่อนรอเพื่อแลกเปลี่ยนกับคนอื่นอีกก็ได้ เหมือนกับการฝากเงินไว้ในธนาคารยังไม่รีบร้อนเบิกมาใช้ฉะนั้น



การแลกเปลี่ยนบุญกรรมจำต้องมี "จรรยาบรรณ" จึงจะไม่ตกเป็นมาร 


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ การแลกเปลี่ยนบุญกรรมต้องมีจรรยาบรรณด้วย ไม่เช่นนั้นท่านจะกลายเป็นมารไป และหลักการง่ายที่สุดคือ อดทนที่จะไม่ทำกรรมแล้วก็รอจนกว่าอีกฝ่ายจะทำกรรมล่วงไปก่อน หรือเสวยผลบุญไปก่อน (หรือยอมให้เขาเอาบุญของเราไปด้วยฤทธิ์มารนั้น) เราก็จะเสียบุญของเราไป แต่ไม่เป็นไร กรรมมันจะสนองผลเอง และสะท้อนย้อนกลับมาให้เราอยู่ดีเป็น "ผลบุญอย่างอื่น" ที่เขาคนนั้นจะต้องเสียให้เรา ทุกอย่างในโลกนี้ มันตรงไปตรงมา แม้ว่าจะมีกระบวนการยุ่งเหยิงไปบ้าง แต่มันก็ "โกงกันไม่ได้" ทว่า คนในโลกนี้ หลายคนเหลือเกิน ที่ชอบ "โกงกรรม" อยากได้ผลบุญอย่างคนอื่นเขา เช่น ไม่ใช่พระศรีอาร์ฯ แต่ก็อยากเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แบบนี้ก็มี ซึ่งมันก็อาจจะเข้าสู่กระบวนการในการแลกเปลี่ยนบุญกรรมได้ เช่นกัน ทว่า "ท่านอาจจะต้องจ่ายมาก" เสียหน่อย หรืออาจต้องรับ "ผลกรรม" ของเขาแทนเขาไป ก็ได้ เช่น นาง ข. อยากได้งาน ตำแหน่งดีๆ มีเงินเดือนดี เป็นหัวหน้าเขา แต่บุญไม่ถึง หรือมีบุญแต่เสวยหมดไปแล้ว พอแลกกับคนที่มีบุญนี้ เขายอมแลก แต่เขาจะให้นาง ข. รับกรรมที่ต้องมี "โรคประจำตัว" แทนเขาไปด้วย เขาก็จะเบาบางจากกรรมที่ต้องมีโรคประจำตัวได้ อย่างนี้ก็มีได้ เป็นไปได้เหมือนกันนะครับ


ขอพลังแห่งดาวพุธ จงช่วยให้ท่านมีจรรยาบรรณในการแลกเปลี่ยน สวัสดี



14 ส.ค. 2555


"เสียงจากดาวพุธ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จงมีชัยชนะในสงครามศักดิสิทธิ์ ด้วยพลานุภาพแห่งความสันติสุข

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอพูดเรื่องที่เข้าใจยากสักนิดสำหรับชาวพุทธนะครับ มันคือเรื่อง "สงครามศักดิสิทธิ์" ซึ่งปรากฏอยู่ในศาสนาอิสลาม เอาละ ผมจำเป็นจะต้องพูดไว้ เพื่ออธิบายในมุมมองที่บางคนอาจลืมมองไป จะอธิบายง่ายๆ ดังต่อไปนี้


"สงครามศักดิสิทธิ์" คือ สงครามที่อัศวินแห่งแสงสว่างทำเพื่อพระเจ้า


อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ ทุกอย่างในโลกหรือในจักรวาล ไม่มีอะไรที่ผิดหรือถูก มันเป็นเช่นนั้นเอง และมีหน้าที่ของมันเองทั้งหมด มันจะเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่อันควรของมัน และดับสิ้นไปเมื่อหมดภาระหน้าที่ของมันนั้นๆ "สงคราม" เองก็เช่นกัน มันไม่ได้มีความถูกต้องหรือผิดอะไร มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง คนที่มองแง่ลบ ก็มองว่ามันไม่ดี เลวร้าย คนที่มองในแง่บวกก็อาจหลงระเริงเพลินไปกับมัน คนที่มองรอบด้านและหลุดพ้นด้วยเหตุมีปัญญาผ่องใสแล้ว ก็มองเห็นมันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา เท่านั้นเอง เอาละทีนี้ มากล่าวเฉพาะเจาะจงลงเรื่อง "สงครามศักดิสิทธิ์" กันบ้าง มันเป็นสิ่งที่เหล่า "อัศวินแห่งแสงสว่าง" ทั้งหลาย กระทำเพื่อพระเจ้า ของพวกเขาซึ่งในการทำสงครามนั้น อาจมีหลายรูปแบบ บางรูปแบบอาจไม่เหมือนการทำสงครามเลยก็มี ทว่า ทั้งหมดนั้นคือการต่อสู้ ที่มีผลแพ้ชนะและการเดิมพัน มีผู้ที่ต้องยอมรับผลของความพ่ายแพ้ และผู้ที่รอคอยจะฉลองชัยชนะ



"สงครามศักดิสิทธิ์" คือ เครื่องพิสูจน์ว่าท่านคือ "สังคมสันติสุข" หรือไม่


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ สงครามศักดิสิทธิ์เป็นแบบทดสอบจากพระเจ้าเพื่อทดสอบว่า "ท่านคือสังคมสันติสุข" จริงหรือไม่? ท่านเป็นอิสลามจริงหรือเป็นแต่เปลือกนอก ท่านคือ "มุสลิมผู้รักความสันติสุขจริงหรือเปล่า?" เพราะเมื่อท่านเข้าสู่สงครามศักดิสิทธิ์แล้ว ท่านอาจถูกปีศาจร้ายครอบงำและกลืนกินจนท่านออกจาก "อิสลาม" เอาใจออกห่างจากพระเจ้าไปโดยที่ท่านไม่ทันรู้ตัว และนี่คือ "บททดสอบที่ดีที่สุดของชาวมุสลิม" ซึ่งหลายท่าน "สอบตก" คือ เมื่อเข้าสู่สงครามศักดิสิทธิ์แล้ว กลับกลายเป็นปีศาจร้ายไป ความเป็นผู้รักสินติสุขหายสินไปหมด กลายร่างเป็นปีศาจร้ายแทนที่จะเป็นมุสลิมที่แท้จริง สังคมสันติสุขกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความไม่สงบมีแต่การเข่นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน และไม่เว้นแม้แต่ชาวมุสลิมด้วยกันเองนั่นแหละ ท่านสอบตก และไม่ใช่ ชาวมุสลิม อีกต่อไป ต่อให้ท่านได้รับชัยชนะ แต่ถ้าชัยชนะของท่านไม่ได้มาด้วย "สันติวิธี" แล้วท่านก็ไม่อาจเป็นชาวมุสลิมที่แท้จริงได้ หรือกล่าวให้ชัดเจนขึ้นคือ ชาวมุสลิมจะต้องได้มาซึ่งชัยชนะด้วย "สันติวิธี" จึงจะเกิดสังคมสันติสุขได้แท้จริง จึงจะเป็นชาวมุสลิมที่แท้จริง "ผู้ที่เอาชนะผู้อื่นด้วยการเข่นฆ่า ย่อมไม่ใช่ชาวมุสลิม"!



เราไม่เคยสอนให้ท่านยอมแพ้แต่ท่านต้องได้รับชัยชนะด้วย "สันติวิธี"


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ เราไม่เคยสอนให้ชาวมุสลิมเป็นคนขี้แพ้หรือยอมจำนนต่อสิ่งอื่นใด นอกจาก "พระเจ้า" เท่านั้น ดังนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องก้มรับความพ่ายแพ้ที่ใครกำหนดให้ท่าน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเป็นผู้ตัดสิน-พิพากษาว่าท่านพ่ายแพ้ เพราะนั่นคือ "วิถีของคนขี้แพ้" จงอย่ายอมรับสิ่งที่ผู้อื่นตัดสินแก่ท่าน แต่จงเชื่อในการตัดสินของพระเจ้า เพราะไม่มีมนุษย์คนใดจะทำหน้าที่พิพากษาตัดสินใครได้ ยกเว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น เมื่อใดที่ท่านถูกตัดสินให้พ่ายแพ้ หรือถูกทำให้พ่ายแพ้โดยอยุติธรรมท่านไม่จำเป็นต้องยอมรับคำตัดสินนั้นๆ แต่ท่านก็ไม่ควรใช้ "ความรุนแรงหรือความวุ่นวาย" ในการให้ได้มาซึ่งชัยชนะ เพราะชัยชนะ ย่อมตกเป็นของผู้มีความสันติสุขอยู่แล้ว ผู้ที่เข้าถึงซึ่งความสันติสุขนั่นแหละ คือ ผู้ที่ได้รับชัยชนะแล้ว นั่นแหละ "สงครามศักดิสิทธิ์" ที่ท่านต้องทำ และต้องชนะให้ได้ จงอย่ายอมพ่ายแพ้ จงชนะในสงครามศักดิสิทธิ์นี้ด้วยสันติวิธีและนั่นแหละ ท่านจึงเข้าถึงซึ่ง "อิสลาม" (สังคมสันติสุข) ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ท่านจะเข้าถึงซึ่งความสันติสุขภายในที่แผ่ออกไปโดยรอบอย่างไม่มีจำกัด ไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด และโลกนี้จะกลายเป็นสังคมสันติสุขอย่างแท้จริง ฮาเลลูยา! ท่านทั้งหลายจงมาฉลองชัยชนะนี้เถิด



"รอมฎอน" เดือนแห่งการเข้าถึง "อิสลาม" จากภายในของท่านเอง


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ "รอมฎอน" เป็นเดือนแห่งการปฏิบัติยิ่งยวดของเราชาวมุสลิมทั้งหลาย เป็นเดือนที่สำคัญที่จะทำให้เรารู้ตัวว่าเรา "สอบผ่าน" เป็นชาวมุสลิมที่แท้จริงได้หรือไม่? เป็นเดือนที่พวกเราจะต้องปฏิบัติด้วยความอดทนยิ่งยวด ต่อสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งยั่วยุทางบวกหรือลบ ก็ตาม เราจะไม่ไขว้เขวไปตามการยั่วยุเหล่านั้น ไม่ว่าสิ่งที่ยั่วยุจะมาในรูปแบบใดก็ตาม เราจะอดทนและจะไม่ออกจากสังคมสันติสุข (อิสลาม) และการปฏิบัติของเรา แม้ว่าเราจะถูกศัตรู ยั่วยุ-ทำร้ายเรา เราก็จะไม่ออกจากการปฏิบัติที่ยิ่งยวดนี้ เพื่อจะเข้าถึงซึ่งความเป็น"สังคมสันติสุข" นี้ให้ได้อย่างแท้จริง ในเดือนนี้เป็นเดือนที่สำคัญมากของพวกเรา ที่เราจะปฏิบัติเพื่อให้เข้าสู่ความเป็นมุสลิม สังคมสันติสุขของพวกเราให้ได้อย่างแท้จริง หลังจากที่เราได้พากเพียรปฏิบัติมายาวนาน เดือนนี้จะเป็นเดือนตัดสิน เป็นโอกาสสำคัญที่สุดแห่งปีครั้งหนึ่ง จึงขอให้ท่านทั้งหลาย จงเข้าถึงซึ่ง "ความสันติสุขภายใน" ของท่านเองให้ได้ และแผ่ขยายความสันติสุขนั้นออกไปทั่วโลก เพื่อสร้างโลกนี้ ให้เป็น "สังคมสันติสัข" นี่ก็คือเครื่องพิสูจน์ว่าท่านคือมุสลิม อย่างแท้จริง



"ผู้ที่เอาชนะผู้อื่นด้วยการเข่นฆ่า (อสันติวิธี) ย่อมไม่ใช่ชาวมุสลิม"

ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ ผู้ที่เอาชนะผู้อื่นด้วยการเข่นฆ่า ก็ดี หรือเอาชนะคนอื่นได้ด้วยอสันติวิธี ก็ได้ คนเหลานี้ย่อมไม่ใช่ชาวมุสลิมย่อมไม่ใช่ผู้รักความสันติสุข และไม่อาจที่จะสร้าง "สังคมสันติสุข" ให้เกิดขึ้นจริงได้เลย พวกเขาอาจปฏิบัติตัวเคร่งครัดแต่เปลือกนอกแต่จิตใจของเขาเต็มไปด้วย "อสันติ" และการเข่นฆ่า พวกเขาต่างเอาใจออกห่างจากพระเจ้าไปเข้ากับปีศาจ พวกเขาต่างออกจากวิถีแห่ง "สันติสุข" ไปใช้วิถีแห่งการเข่นฆ่า และการก่อความไม่สงบ! พวกเขาจึงไม่ใช่ชาวมุสลิม และไม่ได้อยู่ในอิสลาม (สังคมสันติสุข) อีกต่อไป พวกเขาเพียงแค่ "แฝงกาย" อยู่ในศาสนาเกาะกินศาสนาไม่ต่างจากเห็บหมัดเท่านั้น พวกเขาไม่เคยสร้างความสันติสุขให้แก่สังคมมุสลิมได้ ตรงกันข้าม พวกเขาคอยแต่จะทำลายความสันติสุขของสังคมอิสลามลงไปด้วย "ความหลงอำนาจ" ของพวกเขานั่นเอง



เราจะรอคอยฉลองชัยชนะในสงครามศักดิสิทธิ์ด้วยสันติวิธีของท่าน


สุดท้ายนี้ เราอยากแจ้งให้ท่านทราบว่า ทุกปีจะมีชาวมุสลิมที่สอบตกและสอบผ่าน ผู้ที่สอบผ่านจะได้รับการเฉลิมฉลอง และได้เข้าร่วมอยู่ในสังคมสันติสุขของพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้ว่าท่านจะมองไม่เห็นว่ามีการเฉลิมฉลองในโลกมนุษย์ แต่พวกเราได้ทำการเฉลิมฉลองให้แก่ท่านในมิติที่ตาเปล่าของท่าน มองไม่เห็น เราได้รับท่านเข้าสู่ อิสลามคือ "สังคมสันติสุข" แล้ว เราโอบกอดท่านด้วยแสงสว่างและความรักเพื่อตอกย้ำถึงชัยชนะที่ท่านได้รับจากสงครามศักดิสิทธิ์ด้วยสันติวิธีนั้นมาเถิด ท่านทั้งหลาย จงก้าวมาให้ถึงซึ่งชัยชนะนั้น ชัยชนะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความรักและศรัทธาที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด อันไม่อาจที่จะเปรียบประมาณได้และท่านสามารถสัมผัสสิ่งนั้นได้ด้วย "ใจ" ของท่านแล้วท่านจะรู้ว่า เราได้ร่วมเฉลิมฉลองให้แก่ชัยชนะของท่านด้วยสัจจริง


ขอพลังธรรมแห่งพระเจ้า จงช่วยให้ท่านได้รับชัยชนะด้วยสันติวิธี สวัสดี



13 ส.ค. 2555


"เสียงจากสังคมสันติสุข"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王




  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS