ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ดุลยภาพของ "จักรกลจักรวาล" ซึ่งมี "คุณ" เป็นองค์ประกอบหนึ่ง?

ที่รัก เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก สำหรับมิติที่ท่านดำรงอยู่ ณ ปัจจุบันแต่มันก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผมจะต้องแจ้งแก่ท่าน เพราะมันมีผลกระทบต่อสมดุลของจักรวาลทีเดียว เอาละ ผมจะใช้ภาษาที่เรียบง่าย พื้นบ้านที่สุด ในการอธิบายให้เป็นกันเองที่สุด ก็แล้วกัน ...


มนุษย์ทุกคนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจักรกลจักรวาล ...


และมันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อท่านเปลี่ยนแปลงตัวเองในแบบต่างๆ สิ่งนี้จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดุลยภาพโดยรวมด้วยอันจะส่งผลให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นหรือไม่ ก็ได้ ในโลก หรือในจักรวาลนี้ ดังนั้น หากท่านเห็น "เครื่องยนตกรรม" ของจักรวาลนั้นได้ถ้วนทั่ว ท่านจะเข้าใจว่าเครื่องยนต์นี้ ขับเคลื่อนไปได้อย่างไรและแต่ละองค์ประกอบย่อยส่งผลต่อภาพรวมอย่างไร? เอาละ มันยากเกินกว่าจะจินตนาการได้ แต่มันง่ายมากเมื่อคุณเชื่อว่าทุกอย่างมีผลกระทบถึงกันหมด นี่คือ พื้นฐานนะ แต่สิ่งต่อไปที่คุณจะต้องเรียนรู้คือแล้วแต่ละองค์ประกอบย่อยนั้น ส่งผลกระทบต่อองค์รวมอย่างไรละ? ถ้ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงจากจุดหนึ่ง คนหนึ่ง องค์ประกอบหนึ่งแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมอย่างไร? แค่ไหน? อันนี้ละ คือ สิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นไปอีก และเพื่อให้คุณเข้าใจง่ายขึ้น ผมจะให้คุณลองจินตนาการเหมือนว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่คุณเห็นเป็นสังขารนี้ แต่เป็น "อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของจักรวาลหรือโลกนี้" ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไป



มนุษย์ผู้เป็นดังเสาหลักจักรวาล ย่อมต้องมั่นคงให้มาก ...


เอาละ ยังมีมนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "เสาหลักจักรวาล" หรือเสาหลักของโลก หรือย่อยลงไปเป็นเสาหลักของประเทศชาติหนึ่งๆ ก็มี หน้าที่ของท่านก็คือ "แน่วแน่มั่นคงไว้" เท่านั้นเอง ถ้าท่านขยับมากเกินไป จะสะท้านสะเทือนแผ่นดิน ดังนั้น ท่านต้องทำหน้าที่ของท่านด้วยการ "ทำใจให้หนักแน่น" ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกสถานการณ์และการทดสอบ ยั่วยุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไปเป็นลำดับ ท่านไม่ใช่กลจักรที่จะขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ได้ ท่านต้องอยู่ "ประจำที่" ของท่าน เพื่อให้เกิด "ความมั่นคง" ไม่เช่นนั้น จะทำให้เกิดผลกระทบต่อวงกว้างมากเลย เอาละ ท่านที่เป็นอยู่ตอนนี้ ท่านคงจะเข้าใจตัวเองแล้วว่าทำไม? ท่านจึงไม่อาจขยับเขยื้อนกายออกจากที่ของท่านได้มากนัก ไม่อาจที่จะกระทำการณ์อะไรได้มากนัก เพราะท่านคือ "เสาหลัก" มิใช่สิ่งที่เรียกว่า "จักรกล" ท่านพอเข้าใจถึงสถานภาพ ของท่านหรือยัง?



มนุษย์ผู้เป็นดัง "จักรกลจักรวาล" เป็นผู้ขับเคลื่อนจักรวาล ...


นอกจากนี้ ยังมีมนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "จักรกลจักรวาล" หรือ จักรกลของโลก หรือย่อยลงไปเป็นจักรกลของประเทศชาติหนึ่งๆ ก็มี หน้าที่ของท่านก็คือ "ขับเคลื่อนให้ก้าวหน้าไป" เช่น ขับเคลื่อนประเทศให้เดินก้าวหน้าไป ไม่อาจหยุด ไม่อาจถอยหลังกลับ เพราะถ้าท่านหยุดหรือถอยหลัง ท่านจะพบกับปัญหามากมายตามมาแน่นอนเอาละ ท่านใดที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ คือ "ไม่อาจหยุดได้" ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ เดินหน้าไปเรื่อยๆ ท่านก็เข้าข่าย "จักรกล" แล้วละ ท่านจึงต้องทำหน้าที่ของท่านไป ไม่ว่าท่านกำลังจะขับเคลื่อนกลจักรในระดับใดอยู่ก็ตาม เพราะนี่คือ "หน้าที่ของจักรกล" ที่ทำให้เครื่องยนต์แห่งโลกหรือจักรวาลเดินหน้าไปได้ นั่นเอง ดังนั้น ท่านจึงไม่อาจจะหยุดกระทำได้อนึ่ง "จักรกล" นั้นมีหลายลักษณะ แบ่งง่ายๆ เป็นสองประเภท คือ จักรกลที่หมุนไปสู่ความสว่างไสว และจักรกลที่หมุนไปสู่ความมืดมิด เอาละท่านคงทราบตัวเองดี ว่าท่านกำลังหมุนเคลื่อนไปทางใด เพราะจักรวาลจำเป็นต้องมีจักรกลครบทุกชนิด เมื่อท่านเลือกแล้ว ท่านก็ต้องประจำที่ของท่านเช่นนั้น ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าจะมีผู้มาทำหน้าที่แทน



มนุษย์ผู้เป็นดัง "สมองกลจักรวาล" เป็นผู้ให้ปัญญาแก่ผู้คน...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "สมองกลจักรวาล" เขาจะไม่ทำอะไร เลยนอกจากให้ปัญญาแก่ผู้คนเท่านั้น เพราะเขาไม่ใช่ "หัตถ์" ของพระเจ้า แต่เขาเป็นดุจ "สมอง" เท่านั้นเอง ดังนั้น เขาจึงไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากจะใช้สมองเท่านั้น ให้ปัญญาแก่ผู้คนทั้งหลายเท่านั้น หรือให้แสงสว่างแก่ผู้คนทั้งหลายเท่านั้นเอง เอาละ ท่านที่เข้าข่ายเป็นเช่นนี้คงเคยสงสัยตัวเองว่าทำไม ท่านจึงไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากแค่ให้ปัญญาแก่ผู้คนเท่านั้น นี่เพราะท่านกำลังกลายเป็น "สมองกล" ขององค์รวมเข้าแล้ว ท่านกำลังกลายเป็น "สาธารณชน" อันเป็นองค์ประกอบย่อยหนึ่งของเครื่องยนตกรรมแห่งจักรวาล ดังนั้น ท่านจึงไม่อาจกระทำสิ่งใดๆ ได้ดังใจต้องการมากนัก สิ่งที่ท่านทำได้ ก็มีเพียงการให้ปัญญาแก่ผู้คนทั้งหลาย ก็เท่านั้นเอง สภาวะที่เรียกว่า "สาธารณชน" ของท่านนี้ ไม่ใช่การที่ท่านต้องไปออกตัวเปิดตัวที่ไหน แต่มัน ก็เป็นไปแล้ว และเป็นไปเองตามธรรมชาติ ตัวของท่าน, การกระทำของท่าน จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมได้อย่างอัศจรรย์เพราะท่านไม่ใช่ตัวเดียวโดดๆ อีกต่อไป ท่านถูกเชื่อมโยงเข้ากับ "ยนตกรรมแห่งจักรวาล" เข้าแล้ว หวังว่าท่านคงจะเข้าใจสิ่งนี้ได้



มนุษย์ผู้เป็นดัง "แก้วตาดวงใจ" ที่ต้องได้รับการปกป้องอนุรักษ์...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "แก้วตาดวงใจ" คือ เขาจะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิ่งที่มีค่า สิ่งที่ควรแก่การอนุรักษ์ รักษาไว้ และเขาจะมีพลัง "พรหมจรรย์" ที่มากพอจึงจะทำหน้าที่นี้ได้ ถ้าเขาสูญเสียพลังนี้ไปแล้ว เขาจะไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้เลย และผู้อื่นที่ไม่มีพลังนี้ ก็ไม่อาจที่จะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิ่งที่ควรรักษาไว้นั้นๆ ได้ ดังนั้น ผมจึงขอเรียกเขาว่า "แก้วตาดวงใจ" ก็แล้วกัน สำหรับท่านนี้ จะมี "สัมผัสพิเศษแห่งการระวังรักษา" เช่น เมื่อใดที่มีผู้รุกรานเข้ามา เขาจะทราบได้ด้วย"ญาณพิเศษ" ของเขาทันที และล่วงรู้ถึงการรุกรานนั้นๆ ทั้งยังสามารถเตือนให้ผู้อื่นระวังภัยได้อีกด้วย แตท่านจะไม่มีคู่ครอง เพราะท่านจะต้องมีพลังพรหมจรรย์เอาไว้ เพื่อทำหน้าที่ของท่าน ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้าท่านไม่มีคู่ครองหรือใครหมายปองท่าน ไม่ใช่เพราะท่านไม่มีค่าพอแต่เพราะ "ท่านมีค่ามากยิ่งกว่านั้น" ที่จะต้องทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด 



มนุษย์ผู้เป็นดัง "ขุมพลัง" ที่เชื่อมโยงระหว่างจักรวาลและโลก...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "ขุมพลัง" เหมือนแบตเตอร์รี่หรือหม้อไฟฟ้า เขาจะทำหน้าที่รับพลังงานจักรวาลจำนวนมากเข้ามาแล้วจึงแผ่กระจายต่อไปให้ผู้อื่น เหมือนแผงวงจรไฟฟ้าที่มีไฟฟ้าเชื่อมโยงไปยังจุดต่างๆ นั่นเอง ดังนั้น เขาจะต้องรับพลังงานจากจักรวาลจำนวนมากๆ และต้องแผ่พลังงานนั้นออกไปให้ผู้อื่นด้วยเขาจึงไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น และทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ เมื่อเขาได้มานั่งตำแหน่งนี้แล้ว เขาเป็นสาธารณชนที่ทำเพื่อปวงชนโดยสมบูรณ์หน้าที่ของเขาในแต่ละวันคือ "การเปิดรับพลังงานจักรวาล" จำนวนมาก และแผ่กระจายพลังงานนั้นออกไปสู่คนในวงกว้าง เขาจึงคล้ายมนุษย์ไฟฟ้า หรือมนุษย์จอมพลัง แต่พลังงานนั้นไม่อาจอยู่ในตัวเขาหรือสะสมไว้ในตัวเขาได้มาก มันมากเกินไป มากพอที่จะทำลายร่างสังขารของเขาที่บอบบางได้เลย ดังนั้น เขาจึงต้องกระจายพลังงานนั้นออกไป เพื่อจะให้คนอื่นๆ ได้รับพลังงานนั้นๆ ด้วย อย่างทั่วถึงกัน



มนุษย์ผู้เป็นดัง "คานตาชั่ง" ที่คานดุลยภาพของสิ่งสองสิ่ง...


มนุษย์บางคนที่ทำหน้าที่เหมือน "คานตาชั่ง" จะทำหน้าที่วัดและถ่วงสมดุลของสิ่งสองสิ่ง หรือคนสองคนที่มีอำนาจมากๆ แต่ไม่อาจจะเข้ากันได้ แบ่งออกเป็นสองพวกสองฝ่าย ดังนั้น เขาจึงต้องทำการ "คานอำนาจ" เหมือนคานตาชั่ง ที่จะต้องวัดและถ่วงดุลอำนาจให้สองสิ่งลงตัวเท่ากัน ก็จะสามารถ "ตรึงสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ได้" และทำให้ทั้งสองฝั่ง สองฝ่าย ไม่อาจเอาชนะ หรือปะทะกันมากเกินไปได้ เขาจึงต้องเป็น "ผู้ผดุงความยุติธรรม" ที่แท้จริง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่อาจเลือกข้างเลือกฝ่ายได้เลย เพราะเขาต้องทำหน้าที่ "คานดุลยภาพ" นั่นเอง ดังนั้น เขาจึงไม่อาจเลือกข้างหนึ่งข้างใดได้ ในตัวของเขามีพลังพิเศษบางประการ ที่จะถ่วงดุลยภาพให้สองสิ่งหรือสองฝ่าย ไม่อาจเอาชนะเหนือกันได้ และต้องอยู่ร่วมกันต่อไปให้ได้ หากเขาเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือขาดความยุติธรรมไปเขาก็จะสูญเสียพลังพิเศษแห่งการคานดุลยภาพนี้ไปได้ เขาจึงต้องเป็นต้องอยู่อย่าง "คาน" ที่เชื่อมโยงระหว่างสองขั้วหรือสองฝั่งสองฝ่ายนั้น



เอาละ ไม่ใช่ว่า "มนุษย์ทุกคน" จะเป็นเช่นนี้ได้ในทันทีหรอกนะแต่พวกเขาจะต้อง "เลื่อนระดับ" ขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า "สาธารณชนแห่งจักรวาล" อันแท้จริงให้ได้ก่อน เขาจึงจะกลายเป็น "กลจักรย่อยของจักรวาล" ของโลก หรือของประเทศนั้นๆ ได้ ในแต่ละองค์ประกอบย่อยนั้น ยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่หลากหลายทั้งคุณสมบัติ, หน้าที่ และขีดจำกัดของแต่ละท่านแต่ผมจะไม่กล่าวทั้งหมดในที่นี้ เพียงแต่ยกตัวอย่างให้ท่านได้ทราบไว้ว่า "ทำไมท่านจึงต้องทำหน้าที่อย่างนั้น" หรือ "ขยับออกจากสิ่งที่ท่านเป็นอยู่" ไม่ได้เลย? เพราะท่านได้กลายเป็น "สาธารณชนแห่งประเทศ แห่งโลก หรือแห่งจักรวาล" ไปแล้ว นั่นเอง เอาละท่านคงเข้าใจสถานภาพของท่านเองแล้วว่าทำไมชีวิตของท่านจึงไม่ค่อยมีอิสระมากนัก ไม่อาจทำอะไรได้ดังใจมากนัก เหมือนกับมี "บางสิ่ง" ควบคุมท่านอยู่ ซึ่งมันก็คือ "ดุลยภาพแห่งยนตกรรมในระดับองค์รวม" นั่นเอง ดังนั้น ท่านจึงต้องทำหน้าที่ของท่านต่อไปแม้ว่าท่นจะเบื่อแค่ไหน หรืออยากปรับเปลี่ยนไปทำหน้าที่อย่างอื่นแค่ไหนก็ตาม จนกว่าจะมี "ผู้มาแทนที่ท่านได้" ท่านจึงจะพ้นวาระ


ขอพลังแห่งแสงธรรมจงส่องนำทางท่านจนถึงที่สุด ด้วยเถิด ...



6 มิ.ย. 2555


"เสียงจากยนตกรรมแห่งจักรวาล"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment