ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

โลกจะเจริญยั่งยืนได้ ต้องมีรูปธรรมชีวิตที่หลากหลายมิติอย่างสมดุล

สวัสดีครับ สำหรับประเด็นที่ผมจะนำเสนอในวันนี้ เป็นประเด็นที่สำคัญมากทีเดียว แต่มันอาจเป็นประเด็นที่ยากสักนิด สำหรับบางท่าน แต่มันคือ สิ่งจำเป็นอย่างขาดไม่ได้เลยนั่นคือ มนุษย์ทั้งหลาย จะร่วมกันสร้างโลกนี้นำพาโลกนี้ให้ก้าวหน้าไปอย่างไร? ให้เจริญและยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งผมได้บอกแล้วในหัวข้อของบทความนี้ คือ การสร้างความสมดุลภายใต้ความหลากหลายของรูปธรรมชีวิตในทุกๆ มิติ นั่นเอง เอาละ ฟังดูแล้ว บางท่านอาจยังไม่เข้าใจนัก หรือเข้าใจแล้ว แต่ยังไม่อาจนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ ผมจะขออธิบายต่อไป


อย่างแรก ผมอยากยกประวัติศาสตร์ของโลกนี้ มาให้ท่านเกิดความตระหนักขึ้นสักนิด โลกของท่านถูกทำลายล้างหลายครั้ง ไม่ใช่การทำให้โลกแตกระเบิดไป แต่คือการ "คืนสภาวะดั้งเดิมกลับให้โลก" ซึ่งเป็นการดีต่อโลก แต่ไม่ดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก ก็เท่านั้น และนั่นทำให้ต้องมีการ "เริ่มต้นใหม่" ในช่วงเวลานั้น มนุษย์สูญพันธุ์ไป และต้องมีการ "สร้างมนุษย์ขึ้นใหม่" เนื่องจาก "วิวัฒนาการที่เสื่อมต่ำลง" จนไม่อาจอยู่ร่วมกับโลกได้อีกต่อไป ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความตระหนักให้มาก เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับโลกนี้ให้ได้อย่างยั่งยืน


โลกนี้มี "จิตวิญญาณศักดิสิทธิ์" ดูแลอยู่ และพร้อมเริ่มต้นใหม่เสมอและนั่น หมายความว่า "โลกจะไม่เป็นอะไร" แต่ "มนุษย์จะสูญพันธุ์" ดังนั้น ผมจึงต้องเตือนให้คุณมีความตระหนักขึ้นก่อน เป็นอันดับแรกต่อไป คือ แม้ว่าโลกจะถูกทำลายล้างหลายครั้ง แต่ผมก็ยังหวังว่าจะมีมนุษย์รุ่นใดรุ่นหนึ่ง สร้างสังคมที่อยู่ร่วมกับโลกนี้ได้ วิวัฒนาการไปกับโลกนี้ได้ โดยไม่ทำลายสมดุลของโลก และนั่นหมายถึง มนุษย์จะไม่สูญพันธุ์ และได้รับสิ่งดีๆ จากโลกนี้ เพียงท่านอยู่อย่างสมดุล และคงความหลากหลายของรูปธรรมชีวิตต่างๆ เอาไว้ในทุกๆ มิติ เพราะมีแต่วิธีนี้ จึงจะควบคุมดุลยภาพองค์รวมได้ ด้วยรูปธรรมชีวิตที่แตกต่างกัน นั่นเอง เอาละ ต่อไป ผมจะพูดถึง "สมดุลของสังคมมนุษย์" บ้างในท่ามกลางของความหลากหลายแห่งรูปธรรมชีวิตที่คุณควรจะพิจารณา



หลายประเทศในโลกขณะนี้ ที่มีความเจริญมาก กลับกำลังเข้าสู่ภาวะ"วิกฤติ" เพราะอะไร? ก็เพราะพวกเขากำลังทำลายสมดุลแห่งความหลากหลายของรูปธรรมชีวิตในมิติต่างๆ นั่นเอง อย่างไรน่ะหรือ? เช่น ในบางประเทศมีความเจริญทางวัตถุมากก็จริง ทว่า ผู้คนที่อยู่ได้ในนั้นกลับมีแต่คนลักษณะเดียวกัน คือ กลุ่มคนที่ใช้สมองและอยู่ได้ด้วยการใช้เงิน ในขณะที่คนกลุ่มอื่นๆ กำลังถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ ผมจะอุปมาง่ายๆ อย่างนี้ เหมือนกับ "ระบบนิเวศน์ในป่า" ต้องมีสัตว์ที่หลากหลายระบบนิเวศน์จึงจะสมดุล ฉันใดก็ฉันนั้น แม้แต่ "ระบบสังคมมนุษย์" เองก็เช่นกัน มันต้องมีความหลากหลายทางรูปธรรมชีวิต ในมิติต่างๆ ด้วยเรื่องนี้อธิบายยากสักนิด เพราะร่างสังขารเปลือกนอกของมนุษย์จะเป็น"คน" เหมือนกัน แต่ "รูปธรรมชีวิตภายในสังขาร ระดับพลังงาน" ของแต่ละคน "ไม่เหมือนกัน" และนี่คือ "ความหลากหลาย" ที่คุณควรจะมีไว้ในสังคมของมนุษย์ เพื่อคานดุลยภาพของกันและกัน และเมื่อใดที่มันคานกันได้ มันจึงจะ "สมดุล" ดังนั้น ประเทศใดในโลกที่เจริญแล้วเสื่อมลง เกิดวิกฤติอยู่ขณะนี้ ก็เพราะ "การทำลายความหลากหลาย ของรูปธรรมชีวิตในมิติต่างๆ" ทำให้สังคมมนุษย์ขาดความหลากหลายในระดับพลังงาน และนั่นเอง คือ จุดเริ่มต้นของการที่จะต้อง "หยุดยั้ง" พวกเขาไม่ให้พวกเขาเดินหน้าไปผิดทางได้ต่อไปอีก พวกเขาจึงต้องได้รับวิกฤติต่างๆ ดังที่ท่านเห็นอยู่นั้น ดังนั้น เราจึงมาเตือนท่าน ให้ท่านตระหนักถึงความสำคัญข้อนี้ให้มาก เพื่อจะไม่ก้าวพลาดย่ำซ้ำรอยขงพวกเขาต่อไป


ดังนั้น เป้าหมายในการพัฒนาประเทศของท่านอย่างหนึ่ง จึงควรเป็น "การสร้างสมดุลของความหลากหลายในรูปรรมชีวิตในมิติต่างๆ" เช่น การที่มีมนุษย์หลากหลายกลุ่ม ที่มีวิถีชีวิตอันหลากหลาย อยู่ร่วมกันในสังคมได้ ในขณะที่มีนักบวช ผู้ไม่ทำงาน ไม่มีเงินใช้ แต่ก็อยู่ได้, มีคนที่ปลูกพืชผักกินเอง แล้วอยู่รอดได้, มีคนที่ไม่มีที่ดิน แต่ใช้แรงงาน ก็อยู่ได้, มีคนที่ใช้สมองทำงาน แต่ก็อยู่ได้, มีคนที่เสี่ยงลงทุน แต่ก็อยู่ได้, มีคนที่ทำงานให้ประเทศมีเงินเดือน และอยู่ได้ ฯลฯ นี่คือ ตัวอย่างของความหลากหลายที่คุณจะต้องดูแลให้ดี และให้เขา "อยู่ให้ได้ทุกกลุ่มที่แตกต่างกัน" เพื่อรักษาความหลากหลายไว้อย่างสมดุล โลก หรือประเทศของคุณ ไม่อาจอยู่ได้เพียงการสอนให้ทุกคนมาทำนาปลูกผักกินเองทั้งหมด เพราะการทำอย่างนั้น ยิ่งทำลายความหลากหลายของรูปธรรมชีวิต เท่านั้นเอง คุณไม่ควรไปมุ่งเน้นส่งเสริมคนในสังคมวงกว้างให้พุ่งไปสู่ "วิถีชีวิตแบบเดียวกัน" แล้วยกว่าแบบนี้คือวิถีชีวิตที่ดี เพราะนั่นคือการทำลายความหลากหลายได้เช่นกัน เช่น ถ้าคุณรณรงค์ให้คนหันมาปลูกพืชกินเอง โอเค มันดูดี แต่มันไม่มีความหลากหลาย ถ้าโลกนี้เกิดสงคราม ผู้คนในประเทศของท่านก็จะมีแต่ "คนอ่อนแอ" และไม่มีทหารเลย หรือมีทหารก็เป็นทหารที่ขาดซึ่งความกล้าหาญ ประเทศของท่านจะกลายสภาพเป็นหมูที่ถูกขุนให้อ้วนและรอขึ้นเขียงถูกเชือด ในท่ามกลางภาวะสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นไดในโลกนั้น ขณะที่คุณภาคภูมิใจอยู่กับการมีพืชผลอุดมสบูรณ์ คุณประกาศไปทั่วโลกว่าคุณคือ "อาหารของโลก" นั่นคือ กาประกาศตัวว่าเป็นหมู พร้อมให้ทุกประเทศที่มีอำนาจมายึดคุณไปครองโดยเร็ว ก่อนจะทำสงครามกัน เพื่อเป็นประเทศผู้ส่งเสบียงให้แก่กองทหารแห่งมหาอำนาจนั้นๆ เอาละ ผมจะไม่พูดเรื่องนี้ มากเกินไปกว่านี้อีก เพราะผมได้ลงลึกเกินไปกว่าหน้าที่ของผมจนมากไปแล้วขอสรุปแค่ง่ายๆ ว่า คุรไม่ควรเน้นวิถีชีวิตแบบใดแบบหนึ่งเกินไป ว่าจะเป็น "รุปแบบที่ดีที่สุดของการดำรงชีพ" คุณควรจะเคารพความหลากหลายทางรูปธรรมชีวิตด้วย เช่น วัวอาจไม่ฆ่าสัตว์กินหญ้าเพ่ออยู่รอดได้ ในขณะเดียวกัน เสือก็อาจฆ่าสัตว์อื่นกินเพื่อวามอยู่รอดของมันได้เช่นกัน คุณไม่ควรนำพาประเทศไปสู่ความเป็นหมู หรือวัว เพื่อรอให้มีสัตว์มาล่าเอาไปกิน ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้บอกให้คุณเป็นเสือเพื่อจะได้ล่าผู้อื่น (เช่น เหล่าผู้ล่าอาณานิคม) แต่ผมก็พูดอย่างชัดเจนแต่แรกว่า "คุณควรสร้างและรักษาสมดุลของความหลากหลายไว้ให้ได้"


อย่างที่สอง ที่คุณควรเข้าใจคือ "ประเทศและโลก" ก็เหมือนรูปธรรมชีวิตอย่างหนึ่ง ที่ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ และจะต้องมีการเจริญเติบโตเหมือนมนุษย์ที่จะเจริญวัยไปตามกาลเวลา คุณควรมองให้ออกว่า "สมมุติประเทศหรือโลกเป็นคนๆ หนึ่ง" ตอนนี้เขามีอายุประมาณเท่าไร? และก้าวต่อไปที่คุณจะนำพาเขาไป เขาควรจะเป็นอย่างไร? สมมุติ ถ้าประเทศของคุณกำลังก้าวพ้นจากความเป็นเด็ก ที่เคยมีพ่อ (ผู้นำมหาอำนาจ) ที่ดูเข้มงวดกับบุตรไปทุกฝีก้าว ในขณะที่พ่อเห็นแล้วว่าลูกำลังจะไม่ใช่เด็กอีกต่อไป และกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พ่อจึงต้องผ่อนปรนต่อลูกบ้าง เพื่อให้มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่พ่อดูแลอย่างเข้มงวดอยู่ตลอด เขาก็จะไม่โตได้ด้วยตนเอง ดังนั้น จากเดิมที่คุณ (พ่อเมือง) ดำเนินนโยบายเคร่งครัดต่อบุตร (ประชาชน) มากไปนั้น ก็คงถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ลง นี่ก็คือ ตัวอย่าง "ความเข้าใจพัฒนาการของประเทศ"


ใช่แล้ว คุณ (พ่อเมืองหรือผู้นำประเทศ) ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้เป็นบิดา อันมี "ประชาชน" เป็นบุตร มีประเทศของคุณเหมือนรูปธรรมชีวิตอย่างหนึ่ง ที่จะต้องได้รับการดูแลและนำพาไปด้วยตัวของผู้นำนั้น เพียงแต่คุณไม่ได้มีบุตรคนเดียว คนมีบุตรมากมายทั้งประเทศ ดังนั้น ความหลากหลายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และคุณควรดูแลบุตรอย่างเทียมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุตรที่ดูดุร้ายก้าวร้าว แต่มีความเก่งกาจ หรือบุตรที่ดูเชื่องและเชื่อฟัง แต่อ่อนแอ ก็ตาม ก็ควรได้รับการดูแลจากคุณเท่าเทียมกันด้วย และคุณต้องไม่ลืมที่จะนำพาประเทศของคุณเจริญเติบโตไปในทางที่ควร ไม่ใช่ ฝืนธรรมชาติหรือผิดธรรมชาติที่ควรจะเป็นเช่น การเร่งรัดให้เติบโตเร็วเกินไปอาจส่งผลร้ายต่อประเทศในอนาคตได้ เช่น การก้าวข้ามขั้นจากประเทศกสิกรรมไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมโดยที่เกษตรกรยังไม่รู้เลยว่าปลูกพืชผลมากมายแล้วจะขายออกได้อย่างไร เมื่อถูกส่งเสริมให้ปลูกก็ปลูกออกมามากมายจนล้นตลาด แล้วไม่มีใครซื้อ? ราคาตกต่ำ เป็นปัญหาวนเวียนซ้ำซากแก้ไม่จบ นี่เพราะ "การข้ามขั้น" ของพัฒนาการ ละเลยการส่งเสริมการขายให้แก่ผู้ทำการเกษตร เรียกว่าเลี้ยงลูกแบบเร่งรัด ให้โตเร็วเกินไป สุดท้าย เกษตรกรของคุณ ก็ลาออกจากผืนนาเพื่อเข้ามาเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรม



เอาละ ผมลงลึกมาเกินไป มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะก้าวล่วงงานของคุณ ต้องขออภัยด้วย เป็นการขอร้องของสังขารนี้ ต่อไป ผมจะต้องทำหน้าที่ของผมในระดับของผม เพื่อไม่ให้ก้าวล่วงงานของพวกคุณ นั่นคือ การเลื่อนระดับของโลกจำเป็นที่จะต้องเข้าใจทั้งพัฒนาการของมันและรักษาไว้ซึ่งความหลากหลายของรูปธรรมชีวิตในมิติต่างๆ ในขณะนี้ โลกเหมือนคนวัย "กำลังคลอด" มันยังไม่คลอดออกมาเลย ก็เพราะโลกที่จะคลอดออกมาได้นั้น มันจะเป็น "โลกหนึ่งเดียวกัน" นะสิ อย่างที่คุณเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันยังไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน มันกำลังจะรวมตัวกัน ก็เท่านั้น ดังนั้น มันจึงยังไม่คลอด และมันถูกทำแท้งเสียหลายครั้งแล้ว !


เพราะอะไร? เพราะการสร้างที่ผิดพลาด จะให้กำเนิดโลกที่ไม่ดีออกมาดังนั้น มันจึงถูกทำแท้ง อย่างที่เห็นตามหลักฐานในหน้าประวัติศาสตร์การล่มสลายของอาณาจักโบราณที่มีความเจริญมากมาย นั้นเพราะไม่ตรงตามเป้าประสงค์ของการสร้างโลกนี้ มันจึงต้องถูกระงับ หยุดยั้งไว้ก่อนที่จะสายเกินไป หรือก็คือ "การทำแท้ง" เพื่อไม่ให้มันคลอดสิ่งผิดพลาดออกมา และจะสายเกินแก้ได้ และคราวนี้โลกกำลังอยู่ระหว่างตั้งครรภ์อีกครั้ง เราหวังอย่างยิ่งว่าพวกคุณจะนำพาประเทศของพวกคุณที่พวกคุณแบ่งกันรับผิดชอบและโลกหนึ่งเดียวใบนี้ไปสู่การคลอดอย่างปลอดภัยได้ในที่สุด นั่นคือ คุณต้องนำพาโลกใบนี้ไปในทางที่เหมาะสมจึงจะไม่ถูกทำแท้งเสียก่อน แล้วโลกที่กำเนิดใหม่นี้ จะเป็นโลกที่งดงาม 



เพื่อให้คุณเข้าใจง่ายที่สุดถึง ความจำเป็นของความหลากหลาย ก็คือสมมุติง่ายๆ ถ้าประเทศของคุณมีคนยากจนอยู่ แต่พวกเขาอยู่ได้ เขาก็จะยอมทำงานที่คุณไม่ทำ เช่น งานกรรมกร ใช่ไหม? เช่นเดียวกันถ้าประเทศเพื่อนบ้านของคุณที่ดูล้าหลัง ได้รับการช่วยเหลือให้อยู่ได้พวกเขาจะยอมทำสิ่งที่ประเทศที่ก้าวหน้าแล้ว จะไม่ทำ เช่น การสร้างโรงงานมากๆ (เพราะจะทำลายสิ่งแวดล้อม นั่นเอง) ประเทศที่ล้าหลังจะยินดีรับเทคโนโลยีที่ทำลายสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นได้ เพราะพวกเขายังล้าหลังอยู่ แต่ถ้าเขาเจริญแล้ว เขาก็จะไม่ยอมรับเทคโนโลยีที่ยังไม่สมบูรณ์เหล่านี้ พวกเขาก็จะทำงานแต่เฉพาะงานที่ใช้สมอง งานบริหารเท่านั้น จะไม่ลงไปทำงานระดับที่ล่างลงไป ใช่ไหม? ดังนั้น การที่คุณได้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่ล้าหลังของคุณ มันก็คือ การช่วยเหลือตัวคุณเองให้ยกระดับสูงขึ้นไปด้วย เช่น การช่วยให้เขาได้รับการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งคุณไม่เอาแล้ว คุณก็จะได้สินค้าราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านของคุณโดยคุณไม่ต้องผลิตเองไม่ต้องเสี่ยงเกิดภัยทางธรรมชาติ ใช่ไหม? นี่คือ ข้อดี ของความหลากหลาย และความแตกต่างกันของคน, สังคม และประเทศต่างๆ ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมทั้งหมดด้วย


อนึ่ง นอกจากคุณจะต้องทำความเข้าใจในความหลากหลาย ในระดับที่มองเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่าแล้ว คุณยังต้องมองให้ทะลุถึงความหลากหลายในระดับ "พลังงาน" อีกด้วย ดังที่ผมได้บอกแล้ว มนุษย์มีร่างเป็นคนเหมือนกัน แต่พลังงานภายในของพวกเขาอาจต่างกัน ราวสัตว์ในป่าที่มีความหลากหลายฉะนั้น ดังนั้น ท่ามกลางความเหมือนภายนอก และความแตกต่างภายใน นั้น คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้มากขึ้นด้วยเช่น ถ้ามีคนกลุ่มหนึ่งในสังคมของคุณ ที่ดูเหมือนเสือร้าย ดุร้าย และทำสิ่งที่ผิดต่อผู้อื่นบ่อยๆ คุณควรจะมองให้ออกว่าสมดุลของธรรมชาติอยู่ที่ใด? ไม่ใช่ คิดแต่จะจับ, กักขัง หรือทำลาย พวกเขานั้น แท้แล้ว พวกเขาอาจเป็นเพียง "กลไกลหนึ่งของดุลยภาพของธรรมชาติ" ก็เป็นได้ ดังนั้น คุณควรจะทำอย่างไรกับพวกเขา? จับมากักขังหรือ? นั่นคือ คำตอบที่ดีที่สุดแล้วหรือไม่? แล้วทำไม ในป่านั้นจึงไม่ต้องมีการจับเสือมากักขัง เพียงเพราะเห็นว่า "มันคือฆาตรกรฆ่าสัตว์อื่นกิน" เอาละ มนุษย์ควรจะมีจิตใจสูงด้วยการเลื่อนระดับ ก็จริง แต่คุณต้องเข้าใจถึง "ธรรมชาติที่แตกต่างกันด้วย" ว่าคนแต่ละคน มีเปลือกนอกเป็นคนเหมือนกัน แต่มีพลังภายในเป็นอะไรที่แตกต่างกันได้ และไม่ควรจะถูกกระทำอย่างผิดธรรมชาติ แต่ควรได้รับการส่งเสริมให้ใช้ธรรมชาตินั้นๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาพรวม



ผมจะยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมที่คุณเห็นได้ง่ายและชัดที่สุด อย่างหนึ่งนะเช่น ประเทศฮ่องกง และญี่ปุ่น คุณคงเคยเห็นใช่ไหมคำว่าเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้หรือคำว่าแก๊งยากูซ่า เอาละ นั่นคือ สิ่งที่ยังไม่ได้เลื่อนระดับ แต่มันคือส่วนหนึ่งของ "ความหลากหลาย" เพื่อที่จะปูทางไปสู่การเลื่อนระดับของภาพรวมของประเทศหรือโลกนี้ ก็เท่านั้นเอง คุณสังเกตุเห็นอะไรไหม? ประเทศเหล่านี้ มีกลุ่มอิทธิพลขึ้นมาก่อนที่จะเลื่อนระดับแล้วเปลี่ยนเข้าสู่ยุคการค้าขายที่รุ่งเรืองอย่างเช่นในปัจจุบัน เช่นกัน ในประเทศไทยของคุณวันนี้ ก็มีแก๊งเด็กแว๊นท์, เด้กช่างกลตีกัน, เด็กใต้ถูกใช้ไปก่อการร้าย ฯลฯ เอาละนี่ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงหรอก มันเป็นเพียง "การเตรียมการณ์ไปสู่การเลื่อนระดับของภาพรวม" ก็เท่านั้นเอง มันเป็น "กลไกลธรรมชาติที่ซับซ้อน" ที่คุณมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และไม่เข้าใจมันในมิติที่ต่ำกว่าลงไป ทว่า มันก็จำเป็นสำหรับกระบวนการ "เลื่อนระดับ" ขึ้นของภาพรวมทั้งหมดเช่นกัน


สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าท่านจะตระหนักถึงความสำคัญของการมีความหลากหลายของรูปรรมชีวิตในมิติที่ต่างกันนี้ และเห็นพัฒนาการที่ชัดเจนของสิ่งที่เป็นนามธรรมให้ออก เช่น พัฒนาการของประเทศหรือโลกใบนี้ ก็ตาม ในท้ายที่สุด ผมขอให้ท่านมีความกล้าหาญที่จะใช้พลังที่คุณได้รับเป็นพิเศษจากจักรวาล เพื่อทำหน้าที่อันแตกต่างกันไปของแต่ละท่าน อย่างสมภาคภูมิที่สุด เพราะหากพ้นจากช่วงนี้ไปแล้ว มันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรอีก ที่คุณจะใช้พลังงานจักรวาลเหล่านั้น และเราจำเป็นที่จะต้อง "สงวนไว้" ไม่มีการปลดปล่อยพลังงานอย่างอิสระเช่นนี้อีก เอาละ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นโอกาสทองช่วงสุดท้ายแล้วที่คุณควรจะเต็มที่กับมันให้มาก ขอบคุณครับ 



1 มิ.ย. 2555


"เสียงจากสภาฯ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment