ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

พลังงานลี้ลับมากมายในจักรวาล ท่านจะนำมาใช้ได้อย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ผมเอาเรื่องเกร็ด เล็กๆ เป็นเคล็ดไม่ลับ ของการใช้ พลังงานที่มาจากแหล่งต่างๆ ของ จักรวาลนะครับ เราลองมาค้นหา และลองฝึกนำไปใช้ประโยชน์ ดู กันบ้างนะครับ ...


พลังงานที่ลี้ลับอยู่ในจักรวาลมีมากมาย และนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ ในจักรวาลนี้ยังมีพลังงานลี้ลับที่มีคุณสมบัติ แตกต่างกันอยู่มากมาย ซึ่งเราสามารถค้นคว้า, ทดลองใช้, และนำมาใช้ ประโยชน์ในชีวิตจริงด้านต่างๆ ได้มากมาย ทว่า ปกติแล้วมนุษย์จะเคยชิน กับการใช้อะไร ก็จะใช้สิ่งนั้นอยู่เรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนเคยใช้เงินแก้ ปัญหาชีวิตด้านต่างๆ มีปัญหาชีวิตอะไรนิดหน่อยก็ใช้เงิน ปัญหา ก็จบแล้ว ผลคือ ทำให้คนเคยตัวนะครับ เขาจะหลงลืมที่จะค้นคว้าหาเครื่องมือใหม่ๆ เพราะเคยชินกับการใช้เงินแก้ปัญหาชีวิตมากเกินไป เขาก็จะอ่อนแอลง มี ความชำนาญในการใช้เงินอย่างเดียว แต่ขาดประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะ ใช้ "พลังงานต่างๆ ในจักรวาล" ครับ ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุด ที่จำทำให้ท่าน กระตุ้นศักยภาพของตัวเองในการใช้พลังงานจากจักรวาลได้ ก็คือ การที่ ท่านได้กลับไปสู่ภาวะที่ต้อง "พึ่งพาตัวเอง" แทนที่จะพึ่งพาเครื่องอำนวย ความสะดวกต่างๆ และเมื่อนั้นท่านจะเริ่มค้นหาและใช้พลังงานที่แตกต่าง ไปจากเดิมได้ การเรียนรู้, การทดลอง, การใช้พลังงานจักรวาล จึงเริ่มขึ้น


พลังงานจักรวาล ที่มีหลากหลายชนิดนั้น ล้วนแต่เป็นพลังงานอิสระทั้งนั้น


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ พลังงานจักรวาล ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน ที่ ใครจะมายึดมั่นถือมั่นเป็นของตนได้เหมือนแสงอาทิตย์ที่แผ่ออกมาไพศาล เป็นสาธารณะ เป็นสากล ไม่อาจยึดเป็นของใครคนใดคนหนึ่งได้ ดังนั้น จึง เป็นพลังงานอิสระ (Free energy) ที่เราสามารถเข้าถึง แหล่งพลังงาน และสามารถนำมาใช้ได้เหมือนกัน ไม่ต่างกัน ทุกคนมีความเท่าเทียมกันใน การเข้าถึงแหล่งพลังงานเหล่านี้ ทว่า แต่ละคนจะสามารถเรียนรู้และนำสิ่ง เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร? ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านเองแล้ว เพราะ พลังงานเหล่านี้ เมื่อมีคนนำมาใช้ ก็เหมือนการขุดบ่อน้ำมันหรือการทำท่อ ทำทางน้ำไหล พลังงานจะไหลเข้ามาเรื่อยๆ จากแหล่งพลังงานใหญ่ ไม่ สิ้นสุด เท่าที่ท่อหรือทางน้ำ ไม่ตีบตันไปเสียก่อน คนท่นำพลังงานไปใช้ใน ทางที่ดี ก็จะดำรงอยู่ได้นาน คนที่นำพลังงานไปใช้ในทางที่ไม่ดี ก็อาจจะ ต้านทานพลังงานที่ไม่ดี ได้ไม่นาน และนอกจากนี้ พลังงานเหล่านี้ ยังจะ จูนเข้ากับคนที่มีความคล้ายคลึงกับแหล่งพลังงานมากกว่าคนที่แตกต่าง ไปจากแหล่งพลังงานนั้นๆ ดังนั้น ทางไหลแห่งพลังงาน นี้ จึงสามารถจะ เปลี่ยนแปลงได้ ไม่เที่ยง เช่น เดิมไหลมายัง นาย ก. อาจเปลี่ยนไปสู่ตัว นาย ข. ได้มากขึ้น ก็ได้ ถ้านาย ข. มีลักษณะคล้ายแหล่งพลังงานมาก กว่านาย ก. เช่น พลังภาคสว่าง จะไหลเข้าสู่คนที่มีใจเป็นธรรมมากกว่า คนที่มีใจเป็นอธรรม (เนื่องจาก พลังภาคสว่างจะสอดคล้องกับสัจธรรม)


เทคนิกการใช้พลังงานภายในและพลังงานภายนอก อย่างเหมาะสม


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เทคนิกในการใช้พลังงานภายในและพลัง งานภายนอกที่เหมาะสม ทั้งนี้ พลังงานภายในหมายถึง พลังงานใน กลุ่มพลังชีพ (ออร่า) ที่คอยดูแลและทำหน้าที่หล่อเลี้ยงร่างกายและ พลังงานภายนอก หมายถึง พลังงานอื่นๆ ที่อยู่ภายนอกร่างกาย เช่น พลังงานจักรวาล เป็นต้น ในที่นี้ ผมแนะนำให้ใช้พลังงานภายในเพื่อ การดำรงชีพ, รักษาดุลยภาพภายใน และการหล่อเลี้ยงชีพตามปกติ ไม่ควรดึงพลังงานภายในออกมาใช้เพื่อประโยชน์ด้านอื่นมากเกินไป แม้ว่าการฝึกดึงพลังงานภายใน กระตุ้นพลังงานภายในออกมาใช้ให้ มาก จะช่วยในการเพิ่มพูนพลังงานภายใน ได้อีกแบบหนึ่ง ก็ตาม แต่ พลังงานภายใน ที่เปลี่ยนแปลง (ถูกดึงออกมาใช้) บ่อยๆ อาจส่งผล กระทบต่อระบบภายในหรือองค์ประกอบอื่นๆ ของความมีชีวิตของคน ก็ได้ ทั้งที่ เราสามารถใช้พลังงานภายนอก ที่เชื่อมโยงมายังร่างกาย ของเราในการทำกิจอื่นๆ ได้มากมาย ดังนั้น เราจึงควรสงวนพลังงาน ภายในกลุ่ม "พลังชีพ" เอาไว้หล่อเลี้ยง, รักษาสมดุลฯ ของชีวิตด้วย


เทคนิกการใช้พลังงานหยาบและพลังงานละเอียด อย่างเหมาะสม


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ พลังงานยังสามารถแบ่งออกได้เป็นพลัง งานหยาบ และพลังงานละเอียดได้ด้วย โดยพลังงานหยาบจะเป็น พลังงานกลุ่มที่มีมลภาวะสูงกว่าพลังงานละเอียด แต่สามารถเข้า ถึงและนำมาใช้ได้ง่ายกว่า ในบางท่านจะฝึก "แผ่พลังงานหยาบ" ออกไปนอกร่างกาย เพื่อรับพลังงานที่ละเอียดกว่าจาก "จักรวาล" เข้ามาแทนที่ซึ่งเรียกว่าเป็นการ "ชำระล้างหรือซักฟอกระบบพลัง งานภายใน" ของเขา นั่นเอง ทำให้พลังงานของเขาละเอียดลงไป เรื่อยๆ จากการไหลเวียนเอาพลังงานหยาบออกไป แล้วนำเข้าพลัง งานที่ละเอียดจากจักรวาลมาแทนที่ ในขณะที่บางท่านกลับแผ่เอา พลังงานละเอียดจากภายในของตนออกมา แล้วรับพลังงานหยาบ ที่อยู่รอบตัวเข้าไปแทนที่ เพื่ออะไร? ก็เพื่อซักฟอกสิ่งแวดล้อมภาย นอก นั่นเอง ในกรณีนี้เขาจึงทำตัวเหมือนดังต้นโพธิ์หรือต้นไม้ที่ซัก ฟอกอากาศโดยรอบให้เป็นอากาศที่ดีขึ้น ใสบริสุทธิ์ขึ้นให้ได้นั่นเอง ทั้งนี้ การหมุนเวียนพลังงานหยาบและละเอียดของแต่ละคน จะแล้ว แต่ความเหมาะสมที่ต่างกันไป ดังที่กล่าวแล้วว่า บางท่านเหมาะสม ที่จะรับพลังงานละเอียดแล้วถ่ายพลังงานหยาบออกไป แต่บางท่าน กลับเหมาะสมแบบตรงข้าม ก็คือ เหมาะสมที่จะรับพลังหยาบเข้าไป แล้วถ่ายเทพลังงานละเอียดออกมาแทน ซึ่งท่านก็ควรทดสอบดูเอง ว่าตัวของท่านนี้ เหมาะสมกับการหมุนเวียนพลังงานในลักษณะใด?


ท่านจะแยกแยะชนิดของพลังงาน เพื่อนำมาใช้อย่างเหมาะสมได้ยังไง?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เทคนิกในการแยกแยะชนิดของพลังงาน แต่ละ อย่างที่ท่านได้รับ หรือจูนเข้ามาที่ตัวของท่าน อย่างแรกคือ ถ้าท่านมีสิ่ง อำนวยความสะดวก ก็อาจจะใช้เครื่องมือนั้นช่วยในการศึกษาค้นคว้าได้ ทว่า ถ้าท่านไม่มี ท่านอาจจำเป็นต้องพัฒนา "อวัยวะรับรู้" ของท่านเอง เพื่อที่จะได้ใช้สิ่งที่ท่านมีนี้ เป็นเครื่องมือในการศึกษาพลังงานชนิดต่างๆ เช่น การพัฒนาอวัยวะรับสัมผัสพิเศษ หูทิพย์, ตาทิพย์, จิตสัมผัส เป็นต้น ซึ่งแต่ละท่านเมื่อผ่านการพัฒนาแล้ว ก็อาจจะมีความสามารถในการรับรู้ ที่เพิ่มขึ้นได้ หรือแตกต่างกันไป เช่น บางท่านอาจชำนาญการใช้ตาทิพย์ แต่บางท่านอาจชำนาญในการใช้หูทิพย์ หรืออื่นๆ ต่อไปคือ การแยกแยะ พลังงานจักรวาลที่จูนเข้ามาในตัวของท่าน ซึ่งบางครั้ง ท่านไม่อาจทราบ ได้ทั้งหมด ในกรณีที่ท่านมีข้อมูลเก่า เช่น บันทึกการใช้พลังงานชนิดต่าง กัน แล้วให้ผลเป็นเช่นไร? ชัดเจน เช่น ท่านอาจมีข้อมูลทราบว่าพลังงาน ภาคสว่าง จะมีลักษณะสว่างไสว และตรงต่อสัจธรรมความจริง ไม่น้อมสู่ กิเลส ไม่ตามใจกิเลสตัวเองแต่จะตรงต่อความจริงเสมอเมื่อใช้แล้วทำให้ มีปัญญาเข้าใจโลก, เข้าใจคน, เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น แต่มีข้อควรระวัง คือ พลังงานที่ตรงกันข้าม เช่น พลังงานภาคมืด, พลังงานกลุ่มเยือกเย็น ที่จะเข้ามาทดสอบ, เข้าแทรก, เข้ามาปรับสมดุลได้ อย่างนี้ ท่านมีข้อมูล แล้ว ท่านก็สามารถพัฒนาภูมิปัญญาต่อไปได้ แต่ถ้าท่านค้นพบพลังงาน ชนิดใหม่ๆ ที่ยังไม่มีบันทึกหรือข้อมูลใดเลย ท่านก็อาจจะต้องเริ่มต้นเป็น ผู้บันทึกและศึกษาค้นคว้าพลังงานชนิดนั้นๆ ด้วยตัวของท่านเองก็ได้ครับ


การ "รับช่วงต่อพลังงาน" จากคนอื่น และการ "รับพลังงานโดยตรง"


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ท่านสามารถรับพลังงานได้ทั้งสองวิธี คือ จะ รับช่วงต่อพลังงานจากสังขารมนุษย์ร่างอื่นก็ได้ หรือท่านอาจจะรับโดย ตรงจากแหล่งพลังงานต้นเลย ก็ได้ ซึ่งทั้งสองวิธีมีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่ แตกต่างกัน เช่น การรับช่วงต่อพลังงานจากคนจะทำให้ท่านได้รับข้อมูล จากคนที่ใช้พลังงานชนิดนั้นๆ มาก่อนท่าน แต่บางครั้งเขาอาจให้ข้อมูล แก่ท่านไม่ครบถ้วน เช่น อาจบอกท่านว่ามีฤทธิ์ดี แต่ไม่บอกว่าพลังงานนี้ อาจส่งผลลบต่อตัวเองอย่างไรบ้าง เป็นต้น ดังนั้น ท่านควรจะศึกษาให้ดี ก่อนที่จะ "รับช่วงต่อพลังงานจากใคร" แต่ถ้าท่านรับพลังงานจากแหล่ง พลังงานโดยตรง ท่านก็ต้องเริ่มต้น ค้นคว้า, ทดลอง, เรียนรู้ ฯลฯ ด้วยตัว ของท่านเอง ซึ่งอาจเป็นการเริ่มต้นจาก 0 จากที่ไม่มีครูบาอาจารย์หรือผู้ ช่วยให้คำแนะนำเลย และท่านอาจต้องลองผิด ลองถูกอยู่หลายครั้ง หรือ นานทีเดียว กว่าจะเข้าที่ได้และเข้าใจทั้งยังสามารถใช้พลังงานนั้นๆ ได้ดี ดังนั้น ท่านจึงควรพิจารณาดูให้ดีๆ ว่าการรับช่วงต่อพลังงานจากผู้อื่นกับ การรับพลังงานโดยตรงจากแหล่งพลังงาน แบบไหนที่เหมาะสมกับท่าน?


การพัฒนาคุณภาพของพลังงาน ที่ท่านได้รับจากแหล่งพลังงานต่างๆ


สุดท้ายที่ท่านควรทราบ คือ การพัฒนาพลังงานที่ท่านได้รับจากแหล่ง ต่างๆ เพื่อทำให้พลังงานนั้นเป็นพลังงานที่ดี, ที่มีมลภาวะน้อย, ส่งผล กระทบน้อยต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งท่านสามารถทำได้ สามารถพัฒนา ได้ด้วยตัวของท่านเอง คือ การซักฟอกพลังงาน ทำให้พลังงานเหล่านี้ ใสบริสุทธิ์ขึ้น, สะอาดขึ้น, ละเอียดยิ่งขึ้น และเข้าใกล้ภาวะนิพพานได้ มากขึ้นด้วย ซึ่งพลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานที่ดี สะอาด ปลอดภัย ไม่มี ปัญหาและผลกระทบด้านลบ กลับมาสู่ผู้ใช้มากเกินไป แต่ด้วยความที่ มันละเอียดเกินไป มันจึงได้ผลช้าหรือน้อยกว่าพลังงานที่มีความหยาบ มากกว่า และไม่เป็นที่นิยมในการใช้อย่างแพร่หลายมากนัก ทว่า ถ้าผู้ ใช้สามารถพัฒนาการใช้ และพัฒนาคุณภาพของพลังงานเหล่านั้นได้ ก็จะส่งผลดีต่อตัวผู้ใช้เอง และยังส่งผลดีต่อคนอื่นรอบตัวของท่านด้วย


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล จงปลุกพลังดั้งเดิมให้ท่าน สวัสดี


3 ก.ย. 2555

"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คุณกำลังถูกดึงเข้าสู่วังวนของเกมประสาท (Psycho game) ของใครหรือไม่?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ ที่ ไม่ถึงขั้นบรรลุธรรมอะไร มาเล่าให้ ฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านอาจจะได้พบใน ชีวิตจริงครับ มันมีมากทีเดียว จะได้ เท่าทันถ้าท่านกำลังตกเป็นเหยื่อของ ผู้ที่กำลังดึงท่านเข้าสู่ "เกมประสาท" ของเขา (Psychologic game) กล่าวคือ มีบางคนสร้างเกมหนึ่งขึ้น มันเป็นเกมทางจิตวิทยาที่เขาจะดึง เราเข้าไปเล่นเกมนั้นด้วย เอาละ ที นี้เริ่มจะเอ๊ะใจแล้วมั้ยครับว่าท่านก็ อาจจะเคยโดนเหมือนกัน งั้นก็มาดู เรื่องนี้กัน แบบง่ายๆ สบายๆ นะครับ


สงครามจิตวิทยา, เกมประสาท ที่คุณอาจถูกดึงเข้าไปร่วมเล่นเกมนั้นด้วย


อย่างแรกคือ คำว่า "psychological games" หมายถึง เกมที่ช่วยฝึก พัฒนาจิตใจของคน นะครับ แต่ผมขออนุญาติเอาคำว่า "psychologic game" (เขียนต่างกันนิดหน่อย) มาใช้อธิบายพฤติกรรมของคนที่ชอบ เล่นเกมประสาท, สร้างกฏกติกา, สร้างเกมทางจิต มาเล่นกับเรา แล้วดึง เราเข้าไปเล่นด้วย เช่น ผู้หญิงอาจงอนผู้ชาย แล้วตั้งกติกาขึ้นมาในใจว่า "ถ้าเขามาง้อนะ จะคืนดีด้วย" แล้วก็เล่นเกมจิตวิทยากับผู้ชาย เพื่อจะให้ เขามาง้อ มาขอคืนดีสารพัดวิธี ถ้าเขามาง้อก็จะรู้สึกว่าตนเอง "ชนะ" แต่ ถ้าเขาไม่มา ก็จะรู้สึกว่า "แพ้" พอแพ้ก็จะกลายเป็น "ขี้แพ้ชวนตี" เกิดมี อาการแปลกๆ อารมณ์แปลกๆ ก่อกวนผู้ชายสารพัดประการ อะไรแบบนั้น นี่แหละครับ ที่เรียกว่า "เกมจิตวิทยา" ซึ่งอีกฝ่ายจะไม่ทราบครับว่าเขามี กติกาไว้อย่างไร อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการและไม่ต้องการ? อะไรที่เรียกว่า แพ้อะไรที่เรียกว่าชนะ เพราะเขาจะไม่ยอมบอกแต่จะกำหนดเองไว้ในใจนี้ แล้วจึงดึงเราเข้าไปร่วมเล่นเกมครับ ทีนี้ ถ้าเราอ่านใจเขาออก เราก็จะรู้ว่า เขาเล่นเกมอะไร? และต้องการอะไร? บางที เราก็จะไม่สนองตอบเขาครับ เพราะจะทำให้เขา "เคยตัวและติดเป็นนิสัย" แก้ไม่หายครับ ดังนั้น จึงจะมี การ "ดัดนิสัย" กันบ้าง เพื่อให้เขา "แพ้" และต้องเลิกเล่นเกมไปเองครับ


คนที่เล่น "สงครามจิตวิทยา, เกมประสาท" คือ คนที่มีสภาพจิตที่ไม่ดี


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ คนที่เล่นเกมประสาท หรือสงครามจิตวิทยา คือ คนที่มีความเครียดมาก, จิตใจไม่ผ่องใส, เป็นทุกข์ และหาทางจะ ระบายความเครียดและความทุกข์นั้นด้วยการ "เล่นเกมประสาท" ไง ละครับ นั่นคือ "ระบบบรรเทาอาการเครียดของเขา" เช่น แฟนเครียด ขึ้นมา ก็อาจจะหาเรื่องทะเลาะกัน เพื่อใช้อีกคน เป็นที่ระบายความตึง เครียดของตน "ที่มีสาเหตุมาจากเรื่องอื่น" ครับ เช่น ผู้ชายถูกเจ้านาย ด่ามา, ตำหนิมามากๆ เครียดเลยมาลงที่ลูกเมีย ได้ครับ โดยที่เขาอาจ จะเล่น "เกมแมวจับหนู" ไล่จับผิดลูกเมีย สารพัดประการ ก็มีได้นะครับ เอาละ "เกมประสาท" มันมีมากมายหลายเกมเหลือเกิน และคนที่เล่นก็ ได้ "ตั้งกฏกติกา" ของตนเองไว้ เหมือนวางหลุมพรางกับดักไว้ โดยจะ ไม่บอกอีกฝ่าย แล้วรอให้อีกฝ่ายตกหลุมพรางเอง ตนเองได้ชัยชนะแล้ว ก็จะรู้สึกสบายใจ ระบายทุกข์ของตนไปได้ แต่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาอัน ตรงสาเหตุเลย เป็นการเบี่ยงเบนเอาความทุกข์ไประบายลงอีกที่หนึ่ง ก็ เท่านั้น เมื่อทำบ่อยๆ เข้า ก็จะติดเป็นนิสัยและกลายเป็นการ "ล่าเหยื่อ" คือ เหยื่อตัวหนึ่งไม่ไหวแล้ว รองรับการเล่นเกมไม่ไหว (เช่น ก็อาจหย่า ขาดกันไป) ก็หาคนใหม่ต่อไป มาเป็นเหยื่อในเกมประสาทของตนเอง!


"เกมประสาท" ในคนที่มีพลังจิตมาก อาจกระทำต่อคนเป็นหมู่มากได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ในคนที่มีพลังจิตมากๆ อาจใช้พลังจิตของตน ดึงดูดผู้คนหมู่มาก เข้ามาร่วมเล่นเกมประสาทของตนได้เช่นกัน เช่น คน ที่พยายามหาวิธีดึงคนเข้ามาร่วมในเรื่องราวที่ตนได้สร้างขึ้น เพื่อมุ่งหวัง ให้เกิดผลบางอย่าง เมื่อเกิดผลแล้ว เขาจะรู้สึก "ชนะ" แล้วก็จะสบายใจ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะรู้สึกแพ้และ "เป็นทุกข์" บางเกมประสาท ยังทำ การขยายวงกว้างออกไปในระดับ "สาธารณชน" ก็มีนะครับ เช่น การใช้ จิตวิทยาหมู่กับคนหมู่มาก เพื่อสนองความรู้สึกบางอย่างของตน เยียวยา หรือสนองตอบความต้องการบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มของตน ก็ มี แต่ในการเล่นเกมประสาทนั้น ผู้เล่นจะ "อำพรางตัวเอง" ให้ดูเป็นคนดี เพราะไม่มีใครอยากจะถูกคนมองว่าเป็นคนเลวหรือคนประสาทใช่ไหมละ ครับ เขาจึงต้องทำตัวให้ดูดี, เหมือนคนมาดี, ประสงค์ดี, พูดดี, ช่างพูด ช่างเจรจาดีกับคนทั่วไปหมด นั่นแหละ วิธีการอำพรางตัวเองของเขา ซึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่จะจับไม่ได้ นอกจากคนที่มีความรู้หรือมีระดับจิตใจที่สูงขึ้น ก็จะดูออกได้ไม่ยากครับ ว่าเขาสร้างเรื่องราวมาเพื่อวัตถุประสงค์อันใด? แต่ถ้าท่านอยู่ในระดับ "พลังจิต" ที่ต่ำกว่าเขา ก็จะไม่อาจดูออกได้ว่าเขา สร้างเรื่องมาเพื่อวัตถุประสงค์อันใด และกว่าจะรู้ก็ตกเป็นเหยื่อของเขาไป เสียแล้ว เช่น การใช้สงครามจิตวิทยาระดับประเทศ หรือในระดับโลก ก็มี ดังนั้น ถ้าท่านเริ่มรู้จัก "เกมประสาท" แล้ว ท่านจึงจะเข้าใจถึง "สงคราม จิตวิทยา" ได้ง่ายขึ้นครับ ว่าเขามีวิธีการเล่น หรือกระทำกันอย่างไรบ้าง?


ผู้เริ่มเล่น "เกมประสาท" จะทราบทั้งกติกาและวิธีการชนะเพียงคนเดียว


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ปกติแล้ว "ผู้เริ่มเล่นเกมประสาท" จะเป็นผู้ที่รู้ "กฏกติกา และ วิธีการเอาชนะ" เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเขาสร้างมัน ขึ้นมาเอง เขาจึงตั้งกฏกติกาลับๆ ขึ้นในใจของเขาเองเพียงคนเดียวโดย ที่ไม่ต้องบอกให้เหยื่อทราบเลยก็ได้ ดังนั้น เหยื่อจึงไม่ทราบว่า ตนได้แพ้ หรือชนะไปเท่าไรแล้ว เสียไปเท่าไรแล้ว ได้มาเท่าไรบ้าง? เพราะเขาจะมี ความรู้ที่ผูกขาดไว้เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เมื่อเขารู้อยู่คนเดียวและหาทาง ชนะได้ฝ่ายเดียวเท่านั้น จึงทำให้เขาเริ่มสนุกและติดใจกับการเล่นเกมซึ่ง อีกฝ่ายไม่มีทางรู้ได้นี้ ทว่า สำหรับท่านที่มี "พลังจิตระดับสูง" อาจจะใช้ การ "อ่านจิต" ของเขาได้ว่าเขาได้สร้างกฏกติกาอะไรไว้บ้าง และต้องมี วิธีการอย่างไรจึงจะชนะหรือพ่ายแพ้ในเกมนั้นก็สามารถที่จะทำให้ฝ่ายผู้ เริ่มเล่นและเป็นคนตั้งและควบคุมกติกาไว้หมดนั้น "พ่ายแพ้ไปเองได้" นี่ ต้องมีพลังจิตในการหยั่งรู้ระดับสูงจริงๆ นะครับ และจะเป็นการเล่นเกมที่ "รู้กันอยู่แค่สองคน" เท่านั้น เพราะคนเริ่มเล่นเกมก็ไม่บอกใคร และคนที่ ถูกดึงให้เป็นเหยื่อก็ไม่สามารถบอกใครได้ เพราะมันเนียนจนเหมือนว่ามี แต่เราคิดไปฝ่ายเดียวหรือเปล่าอะไรแบบนั้นเลยละ ทว่า เมื่อท่านชนะเขา ได้ เขาก็จะมี "อาการแปลกๆ" แสดงออกมา จึงทำให้เราจับได้ว่าเขาเล่น เกมประสาทกับเราจริงๆ เขาตั้งกฏกติกานั้นไว้จริงๆ เช่น เมื่อเขาแพ้เราก็ จะทำตัวเหมือนคนโมโห มีอาการประสาทกำเริบ แสดงออกมาได้เลยครับ


"เกมประสาท" มีทั้งที่เป็นไปในทางสร้างสรรค์และไม่สร้างสรรค์ ก็ได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ เกมประสาทมีทั้งแบบที่สร้างสรรค์ และแบบ ที่ไม่สร้างสรรค์ ในแบบที่สร้างสรรค์อาจเป็นการแข่งขันกันสร้างความ ดีต่อมวลมนุษยชาติ เป็นต้น แต่แบบที่ไม่สร้างสรรค์คือ แบบที่ไม่ก่อให้ เกิดสิ่งดีงามอะไร แต่เป็นไปเพื่อสนองความต้องการทางจิตใจของผู้ที่ เล่มเกมเท่านั้น ก็มี นอกจากนี้ "เกมประสาท" ยังสามารถประยุกต์ ไป ใช้ในงานด้านอื่นๆ ได้อีกมาก เช่น การทำงานเป็นทีม, การสร้างข่าวที่ ไม่ต้องใช้เงินซื้อสื่อ (หลอกล่อให้เกิดการแพร่สะพัดของข่าวนี้ไปเอง) หรืออะไรได้อีกมากมาย ซึ่งมุ่งเน้นไปในทาง "ผลทางจิตวิทยา" ทั้งสิ้น เช่น หวังผลให้เกิดความคิด, ความเชื่อ, การรับรู้ ฯลฯ ที่บิดเบือนผิดไป จากความเป็นจริง เช่น การโยนความผิดให้ฝ่ายอื่นรับไป แล้วยุยงให้มี การทะเลาะบาดหมางกันของสองฝ่ายนั้น ก็ได้ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ ได้นำ มาประยุกต์ใช้ใน "การทำสงครามเย็น" ได้มากมายหลายวิธี และยังมี ความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุคนี้อีกด้วย ดังนั้น ท่านสามารถศึกษาสิ่งเหล่า นี้ได้อย่างง่ายดายและมากมาย ในยุคของท่าน เพราะมันกำลังแพร่มาก ขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทีเดียว ทว่า หากท่านนำ หลักการทำสงครามทาง จิตวิทยานั้น มาใช้ในทางสร้างสรรค์ก็ได้เหมือนกัน เช่น การใช้เพื่อการ กระตุ้นความมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับรากหญ้าในแบบการเข้ามา "ปฏิบัติจริง" ร่วมในเหตุการณ์จริง ไม่ใช่แค่นั่งเรียนในห้องเรียน เป็นต้น


"เกมประสาท" มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายกติกา แล้วแต่ผู้เล่น


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ เกมประสาทนั้นเริ่มสร้างโดย "ผู้เริ่มเล่น" ที่ ไม่ได้บอกแก่ผู้อื่นก่อน จากนั้นจึงใช้ผู้อื่นมาเป็นเหยื่อในเกมของตน ซึ่ง เขาสามารถที่จะสร้างระบบ, กฏกติกาในการแพ้-ชนะ ต่างๆ ของเขานี้ ขึ้นมาได้เอง "ฝ่ายเดียว" ทำให้อีกฝ่ายที่เป็นเหยื่อไม่ทราบเลย แต่ถ้ามี ความรู้, มีปัญญาพอควร ท่านก็อาจ "อ่านเกมของเขาออก" ได้ว่าเขามี เล่ห์กลมาอย่างไร? เขากำลังต้อนท่านเข้าสู่ "กับดัก-หลุมพราง" นั้นๆ อย่างไรบ้าง? ทว่า บางท่านสร้างเกมขึ้นมาแบบพิเศษ คือ แบบที่ตนเอง ก็ยังไม่รู้กฏกติกาเลย กรณีนี้ก็มีเหมือนกัน ท่านไม่อาจอ่านจิตใจเขาได้ ว่าเขาสร้างเกมมาอย่างไร? มีกฏกติกาอย่างไร? และทำอย่างไรจึงจะ ชนะหรือแพ้ได้? อย่างนี้ก็มี แบบนี้ก็ "ยากที่จะรอด" เลยทีเดียวครับ มี เหมือนกัน แต่ทำได้น้อยมากครับ ดังนั้น เมื่อท่านรู้ตัวแล้ว ว่าท่านกำลัง ตกอยู่ใน "วังวนของเกมประสาท" ที่ใครบางคนสร้างขึ้นมา ท่านก็ต้อง "หาทางออกจากวังวนนั้นให้ได้" เพื่อจะได้ไม่ถูกใครเขา "ปั่นหัวเล่น" อีกต่อไป ทว่า อย่าลืมว่าอีกฝ่ายก็อาจดูท่านอยู่ และเมื่อท่านแก้เกมนั้น ของเขาได้แล้ว ท่านก็อาจตกอยู่ใน "เกมใหม่" ในทันทีที่ท่านหาทาง ออกมาได้เลยก็มี? (ทางออก ก็คือ ทางเข้าของเกมประสาท เกมใหม่) เอาละ ถ้าท่านเจอแบบนั้นเข้า ท่านจะแก้เกมของเขาอย่างไรดีละครับ?


"เกมประสาท" ที่เป็น "ระบบกลจักรแห่งพลังจิต" นั้นเป็นอย่างไร?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบ คือ เกมประสาทบางชนิด สามารถสร้างได้ ถึง "ระบบกลจักรแห่งพลังจิต" เลยทีเดียว เช่น การทำให้คนเข้ามา เชื่อ, ส่งพลังแห่งความเชื่อร่วมกันมากๆ ว่าจะเกิดภัยพิบัติ แล้วก็ใช้ พลังแห่งความเชื่อของพวกเขาเหล่านั้นเองนั่นแหละ ก่อให้เกิดสิ่งที่ เรียกว่า "ภัยพิบัติ" ขึ้นมา คนทั้งกลุ่มที่ร่วมเล่น ที่รวมพลังความเชื่อ นั้นๆ ก็จะ "ดีใจ" เหมือนตนได้ชนะแล้วว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นๆ เป็นความ จริงขึ้นมาได้ สะใจ สบายใจ "ฉันชนะคนที่ไม่ยอมเชื่อฉันแล้ว" อะไร แบบนั้น แล้วก็เข้าสู่วังวน "รอบต่อไป" คือ การทำให้เชื่อว่าจะมีภัยที่ มาอีกใหม่ๆ อีกไปเรื่อยๆ ก็จะมีพลังดึงดูดคนให้หมุนวนอยู่กับสิ่งนี้ ใน ระบบพลังจิตที่ร่วมกันสร้างขึ้นมานี้ ต่อไปและต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด ทว่า "ระบบกลจักรแห่งพลังจิต" ที่สร้างสรรค์ ก็มี บางแบบสร้างขึ้นมาเพื่อ ให้โลกก้าวไปข้างหน้าในแบบที่พวกเขาต้องการ เช่น ระบบทุนนิยม ก็ ต้องมี "ระบบความเชื่อ" บางอย่างที่ทุกคนที่ก้าวเข้ามาจะต้องส่งพลัง แห่งความเชื่อมา "ลงทุนทางพลังจิตร่วมกัน" เอาง่ายๆ เช่น คนที่เขา "กู้เงินไปลงทุน" เขาก็ต้องเชื่อก่อนใช่ไหม ว่าสิ่งที่เขาทำ จะได้กำไร คืนกลับมาอย่างแน่นอน นั่นแหละ เขาได้แชร์พลังจิตร่วมในระบบนี้ไป แล้ว และเขาก็ต้องร่วมเล่มเกมจิตวิทยาระดับโลกนี้ด้วยกันกับคนอื่นๆ เขาทั้งหลายต้องใช้พลังจิต พลังแห่งความเชื่อ ร่วมกันเพื่อขับดันให้ สิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้นเป็นความจริงขึ้นมา พวกเขาจึงจะชนะได้ นั่นหละ "เกมจิตวิทยาระดับโลก" ละ เห็นไหมว่าสิ่งที่ผมแนะนำให้ท่านศึกษา นี้ "มันไปสู่ระดับโลก" ได้อย่างไร เอาละ เอาแค่นี้ก่อนจะเครียดเกินไป


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยท่านเลื่อนระดับจิตใจ สวัสดี


2 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ระบบพลังงานสากลและการเชื่อมโยงเพื่อแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างบุคคล

สวัสดีครับ วันนี้ มีเกร็ดความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับพลังงาน ในลักษณะที่มัน เป็นสากล ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดเป็นตัว ตนของตนได้ และมีลักษณะแชร์กัน ได้นะครับ ซึ่งผมขอเรียกว่า "ระบบ พลังงานสากล" ก็แล้วกันครับ ซึ่ง จะได้อธิบายแบบง่ายๆ ต่อไปดังนี้ครับ


พลังงาน-พลังจิต ก็เหมือนพลังงานทั่วไป ที่ไม่เที่ยงและถ่ายเทไปมาได้


อย่างแรกเราคงต้องกล่าวถึง เรื่องพลังงานที่สามารถถ่ายเทได้ ไม่เที่ยง และไม่อาจยึดเป็นตัวตนของตนได้ ก่อนนะครับ ง่ายๆ เลย เรื่องการถ่าย เทของพลังงานนั้น คือ จะถ่ายเทจากที่ๆ มีความเข้มข้นของพลังงานชนิด หนึ่งมากไปสู่ที่ๆ มีความเข้มข้นของพลังงานชนิดนั้นๆ น้อย เช่น พลังงาน ความร้อน จะถ่ายเทจาก "จุดที่มีความร้อนมาก" ไปยัง "จุดที่มีความร้อน น้อยกว่า" ใช่ไหมครับ เอาละ ทีนี้ ดูร่างสังขารมนุษย์บ้างมันจะมีสิ่งที่เรียก ว่า "กำแพงพลังจิต" นะครับ กั้นอยู่ถ้ากำแพงนี้ทำงานอยู่มันจะเข้าสู่ระบบ ปิด และไม่มีการแลกเปลี่ยนพลังงานกัน นะครับ แต่ถ้ากำแพงพลังจิตนี้ลด ลงหรือเปิดออกก็จะมีการแลกเปลี่ยนพลังจิตกันได้ง่ายขึ้นครับ อันนี้ คือข้อ แตกต่างของ "ระบบสังขารมนุษย์" กับระบบทั่วๆ ไปตามธรรมชาตินะครับ ทว่า "กำแพงพลังจิต" นี้ ก็มี "ขีดจำกัด" ในการปิดกั้นตัวเองนะครับ ด้วย เหตุว่าการปิดกั้นตัวเองนี้ เป็นสิ่งที่ "ขัดแย้งกับธรรมชาติ" มันจึงเป็นไปได้ ไม่นานครับ ปกติแล้ว คนเราก็จะเปิดและปิดระบบนี้ ไม่ได้เปิดหรือปิดตลอด เวลา คือ มีทั้งช่วงเวลาที่เปิดและปิด ขึ้นอยู่กับปัจจัย-การกระตุ้น ด้วยครับ


ผู้ฝึกพลังจิต สามารถพัฒนาให้เกิดรูปแบบการถ่ายเทพลังงานไปมาได้


ต่อไปเราคงต้องกล่าวถึง การฝึกพลังจิตของบางท่าน อาจจะสามารถที่ จะพัฒนารูปแบบของการ "ถ่ายทอดพลังงานได้" กล่าวคือ เขาสามารถ ที่จะทำให้พลังงานบางชนิด "ถ่ายเทออก" และสามารถเปิดรับพลังงาน บางชนิดเข้าไปได้ สำหรับท่านที่ฝึกพลังจิตแบบนี้บ่อยๆ ก็จะมีรูปแบบใน การถ่ายพลังบางนิดออกจากร่างสังขารไป และสามารถเปิดรับพลังงาน บางชนิดหรือหลายชนิดเข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ซึ่งมันจะดีกว่าการที่มีการ ไหลถ่ายเทของพลังงานไปแบบที่ไม่อาจรู้ได้ เพราะท่านอาจสูญเสียพลัง งานบางชนิดไปโดยที่ไม่เจตนา และอาจได้รับพลังงานบางชนิดมาได้ทั้ง ที่ไม่ต้องการ เป็นต้น ดังนั้น การที่มี "รูปแบบ" ในการถ่ายเทพลังงานเข้า และออกที่ดีและควบคุมได้ จึงอาจจะเป็นทางออกให้สำหรับท่านที่ไม่ต้อง การให้เกิดการไหลถ่ายเทของพลังงานอย่างไม่รู้ทิศทาง ซึ่งการที่ท่านมี รูปแบบในการรับและถ่ายเทพลังงานเช่นนี้ จะช่วยให้ท่านไม่อยู่ในระบบ ปิดตลอดเวลา ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อท่านและขัดแย้งกับธรรมชาติอีกด้วย แต่ ถ้าท่านมีรูปแบบในการแลกเปลี่ยนพลังงานที่ดี คือ มีพลังงานบางชนิด ที่ ไหลออกไปโดยที่ท่านไม่เครียดว่ามันจะออกไปสู่ใครมากเท่าใดและมีบาง ชนิดหรือหลายชนิดที่ไหลเข้ามา ซึ่งท่านก็พร้อมที่จะรับมันเช่นกัน เช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดพลวัตรในการไหลเวียนของพลังงาน ภายในและภายนอก ระหว่างร่างสังขารของท่านและ "สิ่งแวดล้อม" ทำให้เกิดสมดุลของพลัง งานที่ดีได้ และทำให้เกิดการพัฒนาตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้นด้วย


พลังงานบางชนิดเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างบุคคลสองคนทำให้ใจตรงกัน?


ต่อไปเราคงต้องกล่าวถึง พลังงานบางชนิด ก็เคลื่อนย้ายไปมาระหว่างคน สองคนได้ ผลคือ ทำให้บุคคลสองคนมีความคิด, จิตใจ, อารมณ์, การทำ ตัวที่คล้ายคลึงกันได้ เหมือนกับเป็นคนๆ เดียวกันในเรื่องบางเรื่อง ก็มี เช่น พลังงานที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" มีจิตใจของตนเอง และจูนเข้ากับสังขาร ที่ มากกว่า 1 สังขาร ทำให้สังขารที่ถูกจูนด้วยพลังงานชนิดนั้นๆ มีความคิด แบบเดียวกันได้ จนบางครั้งทำให้เกิดความสงสัยว่าคนอีกคนอ่านใจเราได้ หรือไม่? เขาอ่านความคิดเราออกหรือเปล่า? เป็นต้น แท้แล้วเป็นเพราะได้ รับพลังงานชนิดเดียวกันมาดลจิตดลใจ ขับดันให้เราคิดและรู้สึกไปนั่นเอง ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้เกิดการ "แชร์อารมณ์, ความรู้สึก-นึกคิด" ระหว่างคนที่ มากกว่าหนึ่งคนได้ ทำให้เกิด "กระแสความคิด กระแสความรู้สึก" เหมือน กันได้ การไหลเวียนของพลังงานแบบนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน เกิด ความเข้าใจเดียวกันระหว่างคนสองคน ทำให้คนสองคนปรับตัวเข้าหากัน ได้ดียิ่งขึ้น หรือที่เรียกว่า "มึจิต-ใจร่วมกัน" นั่นเอง ช่วยทำให้เกิดการทำ งานเป็นทีมได้ดีขึ้น ก็ได้, ทำให้เกิดความสามัคคี ก็ได้, ทำให้เกิดจุดหมาย ร่วมกัน ก็ได้ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการ "จูนคลื่นพลังความคิดแบบหมู่" อีก เช่น การที่คนแห่กันเข้ามาทำกิจกรรมเดียวกันร่วมกันก็ก่อให้เกิดคลื่นพลัง จิตร่วมกันได้เช่นกัน ซึ่งถ้า "ผู้นำกระแสคลื่นจิต" นำพาไปในทางที่ดี ก็จะ นำพาคนมากมายไปทางที่ดี แต่ถ้านำพาไปทางที่เสื่อม ผู้คนมากมายก็จะ พบกับความเสื่อมได้ ดังนั้น การจูนคลื่นพลังจิต จึงควรมีทิศทางที่ถูกต้อง


ดุลยภาพของพลังงานภายในระบบ ไม่มีใครที่เอาแต่รับหรือให้ได้ตลอดไป


ต่อไปเราคงต้องกล่าวถึง "ดุลยภาพของพลังงาน ในระบบใดระบบหนึ่ง" ซึ่งมันจะมีอยู่ในทุกระบบ ไม่ว่าระบบนั้นจะใหญ่หรือเล็กเท่าใดก็ตาม เช่น ในร่างสังขารมนุษย์ ก็นับว่าเป็นระบบย่อย, ระบบหนึ่ง ซึ่งมีดุลยภาพของ พลังงานภายในระบบมันเอง ดังนั้น มันจึงไม่อาจที่จะอยู่ในฐานะผู้รับหรือ ผู้ให้ได้อย่างเดียวเท่านั้น กล่าวคือ ไม่มีใครจะดูดพลังงานคนอื่นได้ตลอด ไป และไม่มีใครที่จะถ่ายทอดพลังงานให้คนอื่นได้แต่ฝ่ายเดียว เพราะมัน มีดุลยภาพของพลังงานของมันเอง "ในทุกระบบ" เหมือนเราพยายามที่ จะเอาน้ำใส่โอ่ง ถึงจุดหนึ่งมันก็จะ "ล้น" ออกมาเอง มันจะทำให้เกิดการ "เคลื่อนย้ายถ่ายเทของพลังงาน" ระหว่างระบบสองระบบเอง ตามธรรม ชาติ ไม่มีใครที่จะ "ยึดมั่นถือมั่น" พลังงานของตนเองเอาไว้ได้ตลอดไป เพราะนี่คือ "สัจธรรมแห่ง อนัตตา" สภาวะแห่งความไม่อาจยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวตนของตนได้ ดังนั้น การเคลื่อนย้ายถ่ายเทกันของพลังงาน จึง เป็นเรื่อง ธรรมะ, ธรรมดา, ธรรมชาติ ซึ่งท่านควรจะเตรียมตัวเตรียมใจที่ จะเป็นทั้ง "ผู้ให้และผู้รับ" ในขณะเดียวกันด้วย และด้วยวิถีนี้ จะทำให้มี การแลกเปลี่ยนกันของพลังงาน อันเป็นมูลเหตุรากฐานที่ขับดันให้เราได้ ความคิด, อารมณ์, ความรู้สึก, จิตใจแบบต่างๆ นั่นคือการแชร์ที่จะทำให้ เราเข้าใจกันมากขึ้น นั่นเอง มันไม่ใช่การขโมย, การทำร้ายกัน หรือการ แย่งชิงพลังงานของใครเลย เพราะระบบนี้ มีทั้งการให้และการรับนั่นเอง


บุคคลย่อยๆ จะกลายเป็น "แหล่งพลังงานสาธารณะ" ที่แตกต่างกันไป


ต่อไปเราคงต้องกล่าวถึง บุคคลย่อยๆ แต่ละบุคคลที่อยู่ในระบบนี้ จะเริ่ม พัฒนาตัวเองจนกลายเป็น "แหล่งพลังงานสาธารณะ" ได้เช่น คนบาง คนที่ฝึกถ่ายทอดพลังแสงสว่างให้แก่สาธารณชนอยู่เรื่อยๆ เขาก็จะเริ่ม กลายเป็น "แหล่งพลังงานแสงสว่างในระดับสาธารณะ" ในขณะที่เขา เองก็ได้รับพลังงานชนิดอื่นๆ มาจากสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน ในขณะที่ คนอื่นๆ อาจจะทำตัวเป็นแหล่งพลังงานชนิดอื่นๆ เช่น เป็นแหล่งพลังขั้ว บวกบ้าง แหล่งพลังงานขั้วลบบ้าง ฯลฯ แตกต่างกันไป ภายใต้ระบบการ แชร์กันนี้ ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ของพลังงานชนิดต่างๆ เพราะคน แต่ละคนสามารถจะเชื่อมโยงและจูนเข้ากับ "พลังงานได้ ไม่เหมือนกัน" เช่น บางคนอาจจูนเข้ากับพลังแสงสว่างได้ดี จนชำนาญแล้ว แต่ไม่อาจ ที่จะจูนเข้ากับพลังงานแบบมีขั้ว เช่น พลังงานขั้วบวกได้ เขาก็อาจจำจะ ต้องพึ่งพาอาศัยคนที่สามารถจูนเข้ากับพลังงานขั้วบวกได้เพื่อที่จะเรียน รู้และเข้าใจพลังงานชนิดนั้นๆ ดังนั้น คนแต่ละคนจึงทำหน้าที่เหมือนเป็น "แหล่งพลังงานสาธารณะ" ให้แก่คนอื่นๆ ได้ด้วย ! จนในที่สุด คนแต่ละ คนก็จะมีหน้าที่เฉพาะในการแบ่งปันพลังจำเพาะชนิดให้แก่คนอื่นๆ กล่าว คือ ใครที่มีพลังงานชนิดใด ก็จะทำหน้าที่แผ่พลังงานชนิดนั้นๆ ให้คนอื่นๆ


บุคคลที่เป็นเป็น "แหล่งพลังงานสาธารณะ" จะไม่หมดพลังงาน ถ้าเขา...


ต่อไปเราคงต้องกล่าวถึง "บุคคลที่เป็นแหล่งพลังงานสาธารณะ" เมื่อเขา ถ่ายทอดพลังงานออกไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะหมดพลังหรือไม่? คำตอบก็คือ เขาจะไม่มีปัญหาในการถ่ายทอดพลังจนหมดสิ้นพลังงาน ถ้าเขาเชื่อมต่อ กับ "แหล่งพลังงานจักรวาล" ได้ เขาก็จะได้รับพลังงานจากแหล่งพลังต้น ทางมาเรื่อยๆ จากแหล่งพลังงานจากจักรวาลนั้น จะถ่ายเทมาที่เขาเรื่อยๆ ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะไม่หมดสิ้นพลังงานไปได้ เพราะเขาได้รับพลังงานมาจาก "จักรวาล" อีกที เขาเองเป็นเพียง "เครื่องจูนคลื่นพลังงานจักรวาล" ที่จะ ช่วยกระจายพลังงานจักรวาลชนิดนั้นๆ ออกไปสู่สาธารณชนอีกทีก็เท่านั้น เขาเองไม่ได้ถ่ายทอดพลังงานหรือพลังชีวิตของตนให้แก่คนอื่น เขาก็เป็น แค่ "ตัวเหนี่ยวนำพลังงาน" มาจากแหล่งพลังงานอื่นๆ เพื่อที่จะถ่ายเทให้ แก่คนอื่นๆ ได้ต่อไป เท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีปัญหาว่าเขาจะหมดพลัง สิ้นพลังภายในไป เพราะการทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสาธารณะให้แก่ ผู้อื่นก็หาไม่ เอาละ หวังว่าท่านคงคลายความวิตกบางประการไปบ้างครับ


ตัวกลางที่ช่วยในการ "เชื่อมโยงระบบพลังงาน" ให้เป็นระบบสาธารณะ


สุดท้าย เราคงต้องกล่าวถึง "ตัวกลาง" ที่ช่วยในการเชื่อมโยงระบบพลัง งานให้แต่ละบุคคล, เชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกัน กลายเป็นระบบพลังงาน สาธารณะ ซึ่งมีได้มากมายครับ เรียกว่า "รูปนาม" ใดก็ได้ที่ทำให้จิตเกิด การเชื่อมโยงถึงกัน เช่น การดูทีวีรายการเดียวกัน ก็ทำให้คนเหล่านั้น ได้ จูนคลื่นพลังจิตเข้าร่วมกันเป็นระบบสาธารณะได้ครับ การนึกถึงคนๆ เดียว กันเช่น ผู้นำประเทศ ผู้นำทางศาสนา ฯลฯ ก็ช่วยในการเชื่อมโยงพลังงาน เป็นระบบเดียวกันได้ครับ แม้แต่รูปภาพ, คำศัพท์, ภาษา, อักษร, ทุกอย่าง จะสามารถใช้ในการเชื่อมโยงพลังงาน ของแต่ละบุคคลเข้าด้วยกัน กลาย เป็นระบบพลังงานสาธารณะได้ครับ ดังนั้น โดยธรรมชาติเหล่านี้แล้ว จึงจะ เป็นการยากที่ใครคนหนึ่ง จะปิดกั้นตัวเอง และสร้างกำแพงกั้นจิตใจตนเอง ไว้ได้ตลอดไปได้ครับ สุดท้ายแล้วก็จะเข้าสู่ "อนัตตา" ไม่อาจยึดมั่นถือมั่น เอาพลังงานของตน เป็นตัวตนของตนได้ตลอดไป เป็นไปตามสัจธรรมครับ


ขอพลังแสงธรรมแห่งจักรวาล จงเชื่อมโยงท่านสู่การยกระดับจิตใจ สวัสดี


1 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มารู้จักกับ "องค์ธรรมมารดา-บิดา" และลักษณะของสัตว์โลกในแต่ละยุคกันเถอะ?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมอยากจะเล่าเรื่อง ของ "องค์ธรรมมารดา" และ "องค์ ธรรมบิดา" สององค์ที่เป็น "ต้นสาย ในการให้กำเนิดปวงสัตว์แต่ละยุค" นะครับ ซึ่งมันจะมาพ่วงกับการโปรด สัตว์ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ อีกที เอ? เรื่องมันเป็นมายังไง เกี่ยว กันได้ยังไง ตรงไหน เอ้า มาดูกันครับ


"องค์ธรรมบิดา" และ "องค์ธรรมมารดา" คือ ต้นสายแห่งปวงสัตว์ในยุค


อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ ปวงสัตว์ทั้งหลายที่ได้จัดสรรให้มาเกิดเป็น "มนุษย์โลก" ในแต่ละยุค จะมาจาก "สายบุญบารมีขององค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดา" ร่วมกัน ดังนั้น พวกเขาจะมี "บุญกรรมทำแต่ง" ให้มี ลักษณะรอยกรรม รอยบุญคล้ายองค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดาครับ เช่น ถ้าองค์ธรรมบิดาติดกรรม "มักฆ่าสัตว์" เช่น เคยเกิดเป็น เสือ บ่อยๆ ปวงสัตว์ที่มาเกิดในยุคนั้นก็จะคล้ายๆ กัน คือ เป็นสายพันธุ์เสือมาเกิดเช่น กันครับ เรียกว่า "มาทั้งต้นสายต้นกระกูล" กันเลยทีเดียว ดังนั้น การโปรด "องค์ธรรมบิดา" ซึ่งต่อมาจะมาเกิดเป็น "พุทธบิดาในชาติสุดท้าย" และ "องค์ธรรมมารดา" ซึ่งจะมาเกิดเป็น "พุทธมารดาในชาติสุดท้าย" จึงเป็น เครื่องรับประกันได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์นั้นจะโปรดสัตว์ในยุคนั้น ได้หมดนะ ครับ อนึ่ง ท่านควรเข้าใจก่อนว่า "ปวงสัตว์ในยุคนั้นๆ" จะไม่ได้มีกำเนิดมา จากพระพุทธเจ้าองค์นั้นนะครับ แต่มาจากองค์ธรรมบิดา-องค์ธรรมมารดา ดังนั้นจึงสำคัญมากที่พระนิตยโพธิสัตว์ต้องกตัญญูและโปรดพ่อและแม่ให้ ได้ครับ เพราะถ้าทำไม่ได้ ก็จะโปรดสัตว์ทั้งหลายในยุคนั้นๆ ไม่ได้ด้วยครับ


"องค์ธรรมบิดา" และ "องค์ธรรมมารดา" คือ องค์กำเนิดมิใช่องค์โปรด


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ องค์ธรรมบิดาและองค์ธรรมมารดา จะเป็นองค์ กำเนิดคือผู้ให้กำเนิดปวงสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับจัดสรรมาให้เกิดเป็นมนุษย์ ในยุคนั้น แต่ท่านจะไม่ใช่ "องค์โปรด" ทว่า ท่านอาจทำหน้าที่เหมือนเป็น องค์โปรด ก็ได้ ถ้าพระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้นเกิดใน "ตระกูลพราหมณ์" นี่ ก็เป็นเพียงหน้าที่ของพราหมณ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าท่านจะโปรดสัตว์ได้ถึง นิพพานนะครับ เพราะองค์ที่จะโปรดถึงนิพพานได้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้น องค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดา เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ "พระ บุตร" (นิตยโพธิสัตว์) แต่ท่านทั้งสามนี้ จะบำเพ็ญบารมีร่วมกันมา อย่าง ยิ่งยวด จนแทบแยกแยะไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร เพราะบำเพ็ญบารมีมา เหมือนกันมากครับ ทำเหมือนกัน แต่ได้ผล ได้ดี ไม่เท่ากัน เท่านั้นเองครับ ท่านทั้งหลาย คงเคยได้ยินใช่ไหม? ผู้บำเพ็ญธรรมหลาบท่าน จะให้ท่าน เรียกเขาเหมือน พ่อและแม่ เช่น อาจารย์พ่อ, พ่อครู, องค์ธรรมบิดา ฯลฯ นั่นแหละ เขาทั้งหลายกำลังบำเพ็ญบารมี เพื่อเป็น "พุทธบิดา กับ พุทธ มารดา" นั่นเอง นอกจากนี้ องค์ธรรมบิดา, องค์ธรรมมารดา อาจมีมาก กว่าหนึ่งองค์ก็ได้ เช่น พ่อเลี้ยง, แม่เลี้ยง ซึ่งอาจจะบำเพ็ญบารมีมาใน สายต่างกัน เช่น มาจากเสือบ้าง, นกบ้าง ฯลฯ ปนกัน ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้า โปรดสัตว์ได้วงกว้างมาก ก็จะนำพาปวงสัตว์ไปสู่นิพพานได้มากขึ้นด้วย


"พระนิตยโพธิสัตว์" ที่แบ่งภาคบำเพ็ญผิดไป อาจต้องบำเพ็ญเป็นอื่น


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ ยังมีพระนิตยโพธิสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งที่แบ่งภาค บำเพ็ญบารมีผิดพลาด เช่น บางภาคแบ่งของท่านอาจก่อกรรมหนักจน ขวางการตรัสรู้ ก็ได้ และทำให้ภาคแบ่งนั้นๆ ไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธ เจ้าได้ เช่น จิ๋นซีฮ่องเต้ แบ่งภาคมาจากพระอสุรินทราหูโพธิสัตว์ แต่ได้ ก่อกรรม "ปิตุฆาต" ไว้ (ฆ่าบิดาตนเอง) ทำให้ไม่อาจจะตรัสรู้สำเร็จเป็น พระพุทธเจ้าได้ ในกรณีนี้ ภาคแบ่งนั้นต้องบำเพ็ญ "มหาโพธิสัตว์" เพื่อ รับใช้ "สุขาวดี" ก่อน แล้วจึงหาหนทางของตนเองใหม่ เพราะไม่อาจที่ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว นั่นเอง เช่น อาจจะเลือกนิพพานในชาติ สุดท้ายในฐานะ "พุทธบิดา" ก็ได้ หรืออาจจะบำเพ็ญเป็นบิดา ของพระ นิตยโพธิสัตว์บางองค์ รับวิบากกรรมหมดแล้วก็เข้านิพพานในยุคใดยุค หนึ่ง ก็ได้เช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เพื่อจัดสรรให้ตัวตน อื่นๆ ของพระนิตยโพธิสัตว์ (ซึ่งแบ่งภาคออกมาหลายตัวตนมาก) ให้มี หน้าที่, ตำแหน่งที่ต่างกันออกไป นั่นเอง ดังนั้น ในระหว่างบำเพ็ญบารมี จึงมีวิบากกรรมบีบให้พระนิตยโพธิสัตว์ต้องกระทำกรรมหนัก จนเป็นเหตุ ให้ไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่น ฆ่าบิดา-มารดา, ฆ่าพี่-น้อง ร่วมสาย โลหิต ฯลฯ เป็นต้น กรรมหนักเหล่านี้เป็นเหตุให้ไม่อาจจะได้ตรัสรู้เป็นพระ พุทธเจ้า จำต้องบำเพ็ญบารมีเป็นอย่างอื่นไป แต่กรรมบางอย่าง แม้มาก แต่ไม่กระทบต่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็มี เช่น ทำสงครามฆ่าคนตาย มากมาย แต่คนที่ฆ่านั้นเป็นอริราชศัตรู อย่างนี้ ไม่ขวางการบำเพ็ญบารมี


"พระนิตยโพธิสัตว์" ที่แบ่งภาคบำเพ็ญผิด จะเข้าหาพระนิตยโพธิสัตว์


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ เมื่อพระนิตยโพธิสัตว์ "ภาคแบ่งใด" บำเพ็ญ บารมีผิดพลาด หลงทาง ไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ท่านก็จะ บำเพ็ญบารมีใหม่ ในฐานะอื่น โดยเริ่มต้นจากการบำเพ็ญเป็น มหาโพธิ สัตว์ แล้วเข้าหาพระนิตยโพธิสัตว์องค์อื่นที่ยังมีโอกาสตรัสรู้ได้ จากนั้น ก็จะเลือก "ตำแหน่งที่เหมาะสม" สัก 1 ตำแหน่ง เช่น พ่อบังเกิดเกล้า, พ่อบุญธรรม, พ่อตา ฯลฯ เป็นต้น เพื่อให้ตนได้มีที่อาศัยและสามารถได้ นิพพานได้ในชาติสุดท้าย (เพราะตนไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เอง ได้แล้ว) ด้วยเหตุนี้ ท่านก็จะนำพา "ปวงสัตว์ มากมาย" ที่เกี่ยวพันกับ ตน แต่ตนไม่อาจโปรดได้ มาเกี่ยวข้องด้วยกับพระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้น ดังนั้น แม้พระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ได้มีบริวาร มากมาย แต่เพราะสามารถโปรดเขาเหล่านี้ได้ ก็จะได้บริวารตามมาอีก มากมายมหาศาลเลยทีเดียว ดังนั้น พระนิตยโพธิสัตว์แม้ไม่ได้เกิดเป็นผู้ นำประเทศอะไร แต่ถ้ามีจิตกตัญญูต่อบิดามารดา โปรดบิดามารดาที่โปรด ได้ยาก ได้สำเร็จได้ ก็จะได้บริวารมากมายไม่ต่างจากการบำเพ็ญบารมี เป็นผู้นำประเทศเลยทีเดียว เพราะเป็นการโปรด "ผู้นำ" ของเหล่าสัตว์ ทั้งหลาย นั่นเอง เมื่อโปรดผู้นำได้ ผู้นำคนนั้นก็จะไปโปรดบริวารตนต่อไป


ลักษณะนิสัยของสัตว์แต่ละยุคจะมี "องค์ธรรมทั้งสอง" เป็นตัวต้นแบบ


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ สัตว์แต่ละยุคที่ได้รับการจัดสรรให้มาเกิดเป็น มนุษย์จะมี "ลักษณะนิสัยและพฤติกรรม" แตกต่างกันไปในแต่ละยุคซึ่ง จะขึ้นอยู่กับ "องค์ธรรมบิดา และ องค์ธรรมมารดา" เป็นสำคัญว่าท่านมี ลักษณะนิสัยอย่างไร เช่น ถ้าองค์ธรรมมารดา มาจากสัตว์ตระกูล นก ก็ จะมีลักษณะนิสัยคล้ายนก ดังเช่นใน "ภัทรกัป" นี้ มนุษย์โลกทั้งหลาย มาจากองค์ธรรมมารดาในตระกูล "กาเผือก" ทั้งหมด แต่มีบิดาบุญธรรม เป็น "วัว" ดังนั้น มนุษย์จึงมีนิสัยคล้ายนก แต่มีความเป็นอยู่ การหากินที่ เหมือนวัว มันเป็นอย่างไร? เช่น นกจะส่งเสียงร้อง ชอบสื่อสารทั้งวัน ใน คนทั้งหลายที่มาเกิดในกัปนี้ ก็นิยมการสื่อสารกันทั้งวัน, ส่วนวัวจะหากิน โดยการเล็มหญ้า แล้วจึงเอามาเคี้ยวเอื้องภายหลัง ดังนั้น คนในยุคนี้ จึง มักเก็บเล็กผสมน้อยก่อน แล้วจึงเอามาย่อยภายหลังว่าจะนำทรัพย์นี้ ไป ใช้ทำอะไร ก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็จะมีปัญหาในการดำรงชีพได้ ทว่า แม้ว่าสัตว์ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในยุคนี้ จะมีองค์ธรรมบิดา-มารดาที่ มาจากสายของพระพุทธเจ้าสมณโคดมแล้ว ยังมีสายของพระนิตยโพธิ สัตว์องค์อื่นๆ ด้วย ทำให้มนุษย์โลกมีลักษณะผสมผสานกันหลายแบบได้ แต่มนุษย์โลกแบบที่จะดำรงชีพอยู่บนโลกได้อย่างสันติสุขเรียบง่าย ก็จะ มีลักษณะที่เดินตามรอยขององค์ธรรมบิดา-มารดาของพระพุทธเจ้าองค์ ปัจจุบัน นั่นเอง ซึ่งก็คือ "สายพันธุ์นกและวัว" ดังที่ได้อธิบายมาแล้วนั้น


พระพุทธเจ้าจะเดินตาม "พุทธบิดาทั้งสอง" และโปรดพุทธบิดาทั้งสอง


สุดท้ายที่ท่านควรเข้าใจคือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะมีพุทธบิดาผู้ให้ กำเนิดเป็นผู้ให้กำเนิดสังขารร่างกายก่อน แล้วจึงมีพุทธบิดาเลี้ยง ที่ให้ การดำรงอยู่ เช่น พระพุทธเจ้าสมณโคดม มีพุทธบิดาเป็นกษัตริย์สูงส่ง (พันธุ์นก) แต่มีการดำรงอยู่แบบนักบวชเดินดินกินตามพื้น (วัว) เพราะ มีพุทธบิดาเลี้ยงเป็นพราหมณ์ นั่นเอง อนึ่ง ในพุทธประวัติท่านไม่พบว่า มีพุทธบิดาเลี้ยง เพราะนี่เป็น "ตำแหน่ง ทางธรรม" ไม่ใช่ตำแหน่งทาง โลก ท่านจึงมองไม่เห็นสิ่งนี้ แต่สิ่งนี้ก็มีอิทธิพลต่อพระพุทธเจ้า ทำให้มี ลักษณะการดำรงชีพแบบที่คล้ายวัว หรือแบบนักบวชที่เดินบิณฑบาตร เก็บเล็กผสมน้อยไป แล้วจึงค่อยมานั่งฉันกินภายหลัง ซึ่งแบบนี้จะต่าง ไปจากพระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตตรัย ที่ท่านจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ แล้วจึงได้พบพุทธบิดาเลี้ยงที่อยู่ในสายพันธุ์ตระกูล "เสือ" อีกในภาย หลัง ดังนั้น วิถีชีวิตการดำรงอยู่ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงต่าง กันบ้างในรายละเอียดเล็กน้อย เท่านั้น แต่ทุกพระองค์ก็ล้วนนำพาสัตว์ เข้านิพพานได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีวิถีชีวิตการดำรงอยู่คล้ายสัตว์ใดก็ตาม


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย จงส่องนำทางชีวิตท่าน สวัสดี


31 ส.ค. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ในชีวิตนี้ มีอะไรบ้างที่ท่านได้มาโดยบุญจริงๆ หรือก่อกรรมเพื่อให้ได้มา?

สวัสดีครับ วันนี้ ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรดี จริงๆ ครับ เลยเอาเรื่องเล็กๆ คือ เรื่อง การสำรวจดูตัวเรา ของๆ เรา ดูว่าสิ่ง ที่เราได้มาโดยบุญจริงๆ มีกี่อย่างและ สิ่งที่เราได้มาด้วยการก่อกรรมมีเท่าไร คิดแล้วเป็นกี่เปอร์เซนต์ ง่ายดีไหมครับ ยกตัวอย่างนะครับ คู่ของท่าน เขามา เอง มาโดยบุญ โดยท่านไม่ได้ก่อกรรม อะไรให้ได้มาหรือเปล่า? หรือว่าท่านมี กรรม ก่อกรรม ตามจีบ เอาอกเอาใจให้ เขาชอบและเพื่อให้ได้มาครอง? เอาละ นี่ไง ดูง่ายๆ ว่าคู่ครองของท่านเป็นคู่บุญ หรือคู่กรรม ก็ได้มาด้วยบุญหรือกรรมน่ะ แหละครับ เอาละ ทีนี้ เรามาเช็คดูอย่าง อื่นกันบ้างนะครับ จะได้เห็นความจริงกัน


สิ่งที่ท่านมีอยู่ทุกวันนี้เพราะ "ท่านเป็นผู้มีบุญ" หรือเพราะก่อกรรม?


อย่างแรก ที่อยากให้ท่านลองสำรวจตัวเองคือ สิ่งต่างๆ ที่ท่านมีอยู่นี้ ท่านได้มาโดยบุญสักกี่เปอร์เซ็นต์ และได้มาด้วยการก่อกรรมกี่เปอร์ เซ็นต์ ยกตัวอย่างง่ายๆ พอเราหิวน้ำ น้ำนั้นได้มาโดยบุญ เขาให้ มัน มีเอง หรือว่าท่านใช้เงินไปซื้อ ก่อกรรม ด้วยการใช้อำนาจเงินซิ้อมัน มาเป็นของท่าน? เอาละ ของทั้งหลายที่ท่านได้ครอบครองอยู่ มันมา โดยการก่อกรรมใช้อำนาจเงิน แลกเปลี่ยนมามั้ย? หรือว่ามีคนเอามา ให้ท่านเอง เหมือนพระที่อยู่เฉยๆ มีคนเอาของมาทำบุญให้ กี่อย่างละ เปรียบเทียบกับของที่ท่านได้มาด้วยการก่อกรรม เอาเงินไปซื้อมา มัน มากน้อยแตกต่างกันอย่างไร? ทีนี้ ท่านก็จะประเมิณได้ง่ายๆ ว่าท่าน ใช้ชีวิตแบบ "ปล่อยไปตามบุญกรรม" กี่ % และ "ก่อกรรมตามใจที่ ดำริเอง ตั้งเจตนาเอง เลือกทำเอง" กี่ % เอาง่ายๆ ละ ถ้าเกิน 50% นี่พอเข้าข่าย "โสดาบัน" ได้หรือไม่? (อาจจะไม่ใช่ ก็ได้ ต้องไปดูสิ่ง อื่นประกอบด้วย) แต่ถ้าไม่ถึง 50% นี่ ดูท่าคงห่างไกลจากคำว่าพระ โสดาบันไปแล้วหรือไม่ครับ? เพราะดูแล้วก่อกรรมเพื่อให้ได้มาเกินไป กว่าครึ่งเสียแล้ว อันนี้ จะเรียกว่า เชื่อในกฏแห่งกรรมได้มากแค่ไหน?


คู่ครองของท่านนั้นเป็น "คู่บุญ" หรือ "คู่กรรม" หรืออื่นๆ อย่างไรกันแน่?


ต่อไป ที่อยากให้ท่านลองสำรวจตัวเองคือ "คู่ครอง" ของท่านละ ท่านได้ เขามาด้วยการที่ท่านไม่ได้ก่อกรรมอะไรเลย เขามาเองมั้ย? เช่น พ่อ-แม่ พามาให้แต่งงานด้วยหรือเปล่า? หรือว่าจริงๆ แล้วท่านคิดเอง ทำเองและ ก่อกรรมเลือกของท่านเองทั้งหมด เอาละ ถ้าท่านได้คู่มาด้วยการก่อกรรม เขาก็คือ "คู่กรรม" แต่ถ้าท่านไม่ได้ก่อกรรมอะไร เขามาเอง ได้เขามาเอง จึงนับว่าเป็น "คู่บุญ" นะครับ ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ยังไม่ใช่ "คู่บารมี" ซึ่ง จะได้มาจากการบำเพ็ญบารมีต่างก็บำเพ็ญบารมีของตนไป ไม่ได้ต้องการ ให้ได้มาซึ่งกันและกัน แต่แล้วด้วยผลแห่งบารมีนั้นๆ ก็ทำให้ท่านต้องมาคู่ กัน โดยไม่อาจมี "บุญกรรม" ใดมาขวางกั้นได้ เพราะบารมีของทั้งสองถึง กัน เทียบเทียมกัน ไม่อาจมีสิ่งใดขวางได้ ก็ทำให้ต้องมาคู่กัน แบบนี้มีมั้ย? เมื่อท่านตรวจเช็คดูแล้ว ท่านก็จะทราบว่าคู่ครองของท่านนั้น เป็นคู่บุญ, คู่ กรรม หรือคู่บารมี เอาละ มันจะมาต่างกันมากครับ คือ คู่กรรมนั้นจะมาชวน ให้เราลุ่มหลง และดูดีมากในช่วงแรก จนเราอดใจไม่ได้ ที่จะก่อกรรมอะไร ให้ได้เขามาครอง เลยกลายเป็น "คู่กรรม" ไงครับ ส่วนคู่บุญนั้น จะเข้ามา แบบเราไม่ได้ต้องการ แต่เราก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร มาโดยบุญจริงๆ ครับ ส่วน คู่บารมีนี่ จะมายามที่เราบำเพ็ญบารมียิ่งยวด และจนถึงจุดหนึ่ง ทั้งเขาและ เราต่างก็ไม่มีใครเหนือใครได้ ทัดเทียมกัน ก็เลยต้องมาคู่กัน จะได้จบเรื่อง ครับซึ่งเกิดขึ้นได้ยากและส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากได้ด้วยบารมีด้วย


สัตว์เลี้ยงของท่านนั้นมาโดย "บุญ" หรือ "กรรม" หรือ "บารมี" กันแน่


ต่อไป ที่อยากให้ท่านลองสำรวจตัวเองคือ "สัตว์เลี้ยงของท่าน" ท่านได้ มาด้วยการก่อกรรมไหม? เช่น เอาเงินไปซื้อมา หรือมาโดยบุญ เช่น เขา มาหาเราเองถึงบ้าน เราเลยเลี้ยงเขาไว้ หรือมาโดยบารมี เช่น ขณะที่เรา บำเพ็ญบารมีอยู่ เขามาช่วยเราหรือบำเพ็ญบารมีร่วมกับเราด้วย เช่น ม้า ศึก, ช้างทรง ฯลฯ เป็นต้น โดยเฉพาะหมาแมวสวยๆ ที่ท่านรัก มาได้ด้วย วิธีการใด มาด้วยการใช้เงินไปซื้อมามั้ย? หรือมาด้วยการที่เขามาเองถึง ที่บ้าน ลองดูดีๆ นะครับ หมาแมวที่ท่านกำลังหลงรักอยู่ ลุ่มหลงอยู่นั้นมา ได้ด้วยวิธีการใด ถ้ามาโดยกรรม เขาก็อาจนำกรรมมาให้ครับ เช่น ทำให้ เราลุ่มหลง จากเคยมีปัญญาตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ก็โง่ลง ตัดสินใจผิด บ่อยๆ หรือเปล่า? เพราะสัตว์นั้นอาจนำพา "จิตวิญญาณเทพนักษัตร" ก็ ดี, ปีศาจ ก็ดี ฯลฯ มาด้วยได้นะครับ สัตว์อาจเป็น "พาหะนำวิญญาณ" ที่ ดีหรือไม่ดี เข้ามาในบ้านของท่าน ก็ได้ แต่อย่าหลงใน "รูปลักษณ์" ภาย นอกมากละ เพราะท่านอาจถูกครอบงำด้วยจิตวิญญาณที่อาศัยมากับสัตว์ ตัวนั้นได้ ที่แน่ๆ คือ ถ้าสัตว์นั้นมาด้วยบุญ ก็จะนำบุญมาหนุนเรา ถ้าสัตว์นี้ มาโดยกรรม ก็จะนำกรรมมาให้ แต่ถ้ามาโดยบารมี ก็จะสร้างบารมีกับเรา


"พาหนะ" ของท่านนั้นมาโดย "บุญ" หรือ "กรรม" หรือ "บารมี" กันแน่


ต่อไป ที่อยากให้ท่านลองสำรวจตัวเองคือ "พาหนะทรง" ของท่านละ มา โดยบุญ, โดยกรรม หรือโดยบารมี? เช่น รถที่ท่านใช้ ท่านได้มาเพราะใช้ เงินตัวเองซื้อ ก็เป็นการก่อกรรม ไม่เดือดร้อนใครมาก (แต่ก็มีทั้งควันดำ- เสียงรบกวน ฯลฯ ด้วยนะครับ อย่าลืม) หรือว่าได้มาเพราะบุญ มีคนเอามา ให้เอง เวลาท่านจะใช้ ท่านก็ไม่ได้ใช้ด้วยดำริ ด้วยเจตนาของท่านเอง แต่ เพราะเขาบอกให้ไป ก็ไป อะไรแบบนั้นหรือไม่? หรือว่าได้มาแล้ว คิดเอง- ทำเอง ตั้งดำริ, เจตนาเอง ไม่รอให้วิบากกรรมนำพา ก็ทำกรรมใช้เสียเอง เลย อย่างนั้นหรือเปล่า? หรืออย่างไร? อย่าลืมนะครับว่ารถยนต์หนึ่งคันนี้ มีกรรมประกอบกันขึ้นมามากมาย ตั้งแต่วัตถุดิบที่นำมาผลิตจะต้องระเบิด ภูเขา เอาแร่เหล็กมาถลุงก่อนมั้ย? น้ำมันที่ใช้ต้องขุดเจาะเอามาหรือไม่? แต่ละขั้นตอนการผลิตก่อมลพิษเท่าไร? ก่อกรรมเท่าไร? คนซื้อรถ คนใช้ รถก็ต้องร่วมกรรมนั้นไปด้วยนะครับ ภูมิใจมากมั้ยที่มีเงินซื้อรถ? หรือว่ามี ความภูมิใจในผลบุญที่พึงได้ของตน ก็พอใจแล้ว อยู่เฉยๆ มีคนเอามาให้ เท่าไรก็พอใจเท่านั้น ไม่ได้ก่อกรรมเพื่อให้ได้มามากกว่านั้น หรืออย่างไร สรุปแล้วท่านมี พาหนะคู่บารมี, พาหนะคู่บุญ หรือว่า พาหนะคู่กรรม กัน แน่? เอาละ แล้วอย่างไหนที่ท่านควร "ภูมิใจ" แบบที่ได้มาด้วยบารมีมั้ย หรือที่ได้มาด้วยการก่อกรรมให้ตนได้ครอบครองตามใจ ตามกิเลสตนนั้น


"คนมีบุญ" ก็ดี "ผู้มีบารมี" และ "คนก่อกรรมขึ้น" ก็ดี สามคนนี้ต่างกัน


ต่อไป ที่อยากให้ท่านทราบ คือ คนมีบุญ, คนมีบารมี และคนก่อกรรมขึ้น สามบุคคลนี้ มันต่างกัน สังคมโลกมักไป "นับถือคนก่อกรรมขึ้น" คือ คน ที่ก่อกรรมให้ได้มา ซึ่งอำนาจ, ชื่อเสียง, เงินทอง, บริวาร ฯลฯ มากมาย ซึ่งคนประเภทนี้มีอยู่มากมายในสังคมโลก และไม่มีใครสอนให้เขาเข้าใจ เรื่องเหล่านี้เลย เขาก็ยิ่งก่อกรรมเพื่อให้ได้ครอบครองกันใหญ่ แม้แต่พระ เทศน์ก็เทศน์ไม่ถูกที่คัน มันก็ไม่หาย ความหลงโลก มันก็ยังมากมายอยู่ ด้วยเพราะขาดแสงธรรม นั่นเอง คนไม่รู้ ว่าเขากำลังอยู่บนโลกนี้ได้ด้วย การก่อกรรม มิใช่ด้วยผลบุญเก่าสนองผล แต่อย่างใดไม่ ผู้คนทั้งหลายก็ หลงคนผิด ไปนิยมชมชอบคนที่ก่อกรรมขึ้น ก่อกรรมเก่ง คนที่ประสบผล สำเร็จทางโลกได้ด้วย "การก่อกรรม" แทนที่จะนิยมคนที่อยู่ได้ด้วยบารมี ด้วยบุญของเขาเอง แบบนั้นไม่เด่น ไม่ดัง เพราะก่อกรรมแข่งกับเขาไม่ได้ เลยไม่ค่อยมี ไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยเป็น อะไรกับเขา มีน้อยกว่าเขา กลายเป็น เหมือนคนที่ "ไม่มีบุญ" คนที่ต่ำต้อยไปเลย เพราะคนอื่นเขาก่อกรรมแก่ง แย่งกันมากมาย เขาทำกรรมกันเก่งทำให้สังคมยอมรับได้ว่าประสบความ สำเร็จในชีวิตได้ด้วยการก่อกรรมสารพัดประการ ไม่ได้อยู่เฉยๆ รอผลบุญ


สิ่งที่ได้มาด้วยบุญบารมี ต่อให้ด้อยค่า ก็น่าภูมิใจกว่าได้มาด้วยกรรม


ต่อไป ที่อยากให้ท่านทราบ คือ สิ่งใดที่เราได้มาโดยเราไม่ก่อกรรมให้ ได้มา เราได้มาเพราะผลบุญของเราเอง หรือเพราะบารมีของเราเองก็ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ แม้ว่าจะดูด้อยค่า ไม่มีราคา หรือน้อยกว่าคนอื่น ก็ดี แต่เมื่อได้มาด้วยบุญ, บารมีแล้ว ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควรภาคภูมิใจ ที่ เราไม่ต้องไปก่อกรรมกับใคร เราก็ได้มาด้วยผลบุญ ด้วยบารมีของเรา เอง ทว่า คนเราในปัจจุบันอาจแยกแยะไม่ออกระหว่าง สิ่งที่ได้มาด้วย ผลบุญ-บารมี และการก่อกรรมเพื่อให้ได้มา และโลกมนุษย์ถูกสอนให้ หลงผิดว่าการได้มาด้วยการก่อกรรมด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ แทนที่จะนิยมการได้มาด้วยผลบุญ ด้วยการไม่ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้ใด ดังนั้น สังคมโลกนี้ จึงเต็มไปด้วยคนที่นิยมก่อกรรม พร้อมที่จะแก่งแย่ง กันให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนนั้นต้องการและท้ายที่สุด สังคมโลกจึงวุ่นวายไป ด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน และการก่อกรรมของปวงสัตว์ทั้งหลาย จึงไม่ มีสันติสุขได้อย่างแท้จริง และท้ายที่สุด ก็นำไปสู่ "สงคราม" ได้นั่นเอง


ลองมาภาคภูมิใจกับ "สิ่งที่ได้มาด้วยบุญบารมี" กันตั้งแต่วันนี้เถอะ?


สุดท้าย ที่อยากให้ท่านทราบ คือ คนเราไม่จำเป็นต้องไม่ก่อกรรมอะไร เลย ถ้าเขายังไม่รีบนิพพาน เขาก็ก่อกรรมทั้งดีและชั่วต่อไปได้ แต่เขา ไม่จำเป็นต้องก่อกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดๆ เขาอาจก่อกรรมเพื่อช่วย คน, ช่วยสังคม, ช่วยโลกก็ได้ โดยไม่ได้ก่อกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใด เลย ส่วนสิ่งที่ตนได้มานั้น ก็มาได้ด้วยผลบุญบารมีของตนจริงๆ คือ ได้ มาเอง หรือได้มาโดยไม่ได้ก่อกรรมเบียดเบียนใคร แม้ว่าสิ่งที่ตนได้มา จะไม่ได้มีราคามาก หรือไม่ได้เป็นที่นิยมของคนในสังคม ก็ตาม แต่ถ้า เราได้มาด้วยผลบุญ, บารมีของเรา เราก็ภาคภูมิใจได้เต็มที่ว่าเราได้มี สิ่งนี้ ได้มาด้วยผลบุญ ผลแห่งบารมีของเราเอง ไม่ได้ก่อกรรมต่อใครๆ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย จงช่วยท่านให้ตื่นโลกฉับพลัน สวัสดี


30 ส.ค. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จิตวิญญาณ "เจ้า" ที่กำลังแย่งชิงกันครอบครองทุกส่วนของผืนแผ่นดิน?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง เหมือนนิทานเล่นๆ อย่าคิดมาก เอา เป็นว่าเหมือนฟังนิทานเรื่องหนึ่ง ก็ แล้วกัน มันเป็นเรื่องของความเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นในยุคนี้ ที่ผมสังเกตุเห็น แล้วเอามาเล่าให้ฟังนะครับ เชิญฟังครับ


ช่วง "สับเปลี่ยนเวร" ของเหล่าเทพ จิตวิญญาณมากมายตั้งตัวเป็นเจ้า?


อย่างแรกที่ผมอยากเล่าให้ฟังคือ ยุคนี้เป็นยุคที่มีการสับเปลี่ยนเวรของ เหล่าเทพทั้งหลาย ที่ดูแลทั้งสามภพแม้แต่ที่ดูแลในภาคพื้นโลก ก็มีการ เปลี่ยนเวรกันด้วย ช่วงเวลาที่มีการสับเปลี่ยนเวรนี้เอง จะมี "ช่องโหว่" เกิดขึ้น หรือช่วงเวลาที่การสับเปลี่ยนยังไม่ลงตัว จะเกิดช่องว่างมากพอ ที่จะให้ "บางสิ่ง" แย่งชิงกันเป็นใหญ่ ตั้งตัวเป็นเจ้ามากมาย พวกนี้ ไม่ ใช่เทพที่สวรรค์ส่งลงมาให้เป็นเจ้าประจำที่ต่างๆ หรอกนะครับ พวกเขา เป็นแค่ "พวกฉกฉวยโอกาส" ช่วงที่เทพองค์เก่าหมดวาระจากไป และ ยังไม่มีเทพองค์ใหม่มารับตำแหน่ง ยังไม่ลงตัวเท่าไร ก็เลยตั้งตัวขึ้นเป็น เจ้า มีมากมายหลายแบบครับ ทั้งเจ้าที่, เจ้าท่า, เจ้าทุ่ง, เจ้าบ้าน, เจ้า ฯ เยอะแยะไปหมด บ้างก็มาอยู่กับร่างมนุษย์ แล้วตั้งตัวเป็น "เจ้าพ่อ-เจ้า แม่" เยอะแยะเลยครับ พวกเขาตั้งตัวเองนะครับ สวรรค์ไม่ได้แต่งตั้งเขา ของจริง เทพองค์จริงที่สวรรค์แต่งตั้งยังมาไม่ถึง ยังไม่เรียบร้อย ไม่ลง ตัว เขาก็อาศัยจังหวะนี้แหละ ตั้งตัวเองเป็นเจ้ากันใหญ่ เต็มไปหมด ทั้ง แบบที่อยู่ในเมือง ก็มี เช่น เจ้านาย, เจ้าของกิจการ ฯลฯ พวกนี้ ก็ใช่นะ ครับ เป็นพวกที่มี "จิตวิญญาณ" ตั้งตัวเป็น "เจ้า" มาอยู่ด้วยในสังขาร


"เจ้าเถื่อน" และมนุษย์ที่มีจิตใจอยากเป็นเจ้า จะประสานกันเป็นหนึ่ง


ต่อไปที่ผมอยากเล่าให้ฟังคือ จิตวิญญาณจรหรือพวกสัมภเวสีเหล่านี้ จะแย่งกัน "ยึดครอง" ส่วนต่างๆ ของโลก เพื่อการอยู่อาศัยของตนให้ ตนได้มีที่อยู่, ที่ยึดในโลก แล้วตั้งตัวเป็นเจ้าทันที เช่น สัมภเวสีบางตน ที่ได้โอกาสช่วงที่เจ้าที่ หรือพระภูมิองค์เดิมหมดวาระ ก็เข้าแทรกแทน ตั้งตัวเองเป็นเจ้าที่ ยึดครองที่นั้นๆ ไปเลย และพวกนี้จะประสานในร่าง ของมนุษย์ที่มีจิตใจคล้ายๆ กัน เช่น มนุษย์ที่อยากได้ที่ในป่าสงวน เขา ก็จะถูกสัมภเวสีบางชนิดเข้าแทรกให้อยากเป็น "เจ้าของที่ดิน" ในเขต ป่าสงวนนั้นๆ เขาก็ทำการเข้ายึดครองในช่วงที่เทพผู้ดูแลหมดวาระไป ยังมีอีกหลายแบบครับ เช่น บางคนทำนาอยู่ดีๆ ก็ถูก "สัมภเวสี" เข้าสู่ ร่าง ตั้งตัวเป็น "เจ้าทุ่ง" ก็จะยึดมั่นถือมั่นในที่นาของตน หวงมากๆ ไม่ เหมือนคนปกติครับ อันนี้ ผมเคยเห็นมากับตัวเอง คือ คนๆ นี้เขาเป็นเจ้า ของที่นานั้น แต่มันผิดปกติมาก ถึงขนาดเอาปะทัดไปจุดไล่นกที่เข้ามา ในที่นาของตนเอง เดินวนเวียนไปมา เพื่อเฝ้านาทั้งวัน ราวกับกลัวว่าจะ มีใครมา "ยกที่นาเอาของตนไป" ได้อย่างนั้นเลย ผิดปกติจริงๆ แต่มีนะ ครับ ผมเคยพบมาแล้ว แบบที่ "หวงบ้าน" ก็มี อันนี้เป็นพวกที่ตั้งตัวเป็น "เจ้าเรือน" ถึงขั้นตายคาเรือนกลายเป็น "ผีบ้านผีเรือน" ไปแล้วก็มีครับ เอาละ พวกนี้ เป็นพวกที่ตั้งตัวเองขึ้นเป็นเจ้าประจำที่นั้นๆ ไม่มีใครเขามา แต่งตั้งให้ อาศัยจังหวะที่ตำแหน่งว่าง ก็เข้าแย่ง เข้าแทรกเลย และจะส่ง ผลต่อ "มนุษย์โลก" มากมายให้มี "นิสัยหรือพฤติกรรม" เช่นนี้ด้วย ซึ่ง พวกเขาจะประสานอยู่ในร่างสังขารมนุษย์ นั่นเอง เอาละ ท่านลองไปเบิ่ง ตาดูโลก ดูสังคมของท่านให้ดีๆ อีกทีนะครับว่ามีคนที่มีนิสัยแบบนี้หรือไม่ สิ่งที่ผมอธิบายนี้ มีอยู่จริงไหม? เกิดขึ้นจริงหรือยังในสังคมโลกของท่าน


การเคลียร์ "เจ้าเถื่อน" ออกไป เพื่อเปิดทางให้ "เทพ" เข้าประจำที่


ต่อไปที่ผมอยากเล่าให้ฟังคือ สิ่งที่ผู้มีบารมีควรทำได้ คือ การเคลียร์ "เจ้าเถื่อน" ออกไป แล้วเชิญเทพที่คุ้มครองดูแล ลงมาประจำที่นั้นๆ แทน เพราะมันมีผลต่อผู้คนที่อยู่อาศัยมากครับ ท่านเคยเห็นไหมคน ที่หลงตัวเองว่าเป็น "เจ้า" เช่น เจ้านาย ฯลฯ พวกเขาทำตัวน่าเบื่อ มี นิสัยแย่ขนาดไหน? ทำผิดไม่เคยปรับปรุงตัวเอง มีแต่โยนโทษไปให้ ลูกน้อง ฯลฯ นั่นแหละ "เจ้านาย" ที่ผมบอกว่าเป็น "เจ้าเถื่อน" ไงละ เอาละ ทีนี้ ที่เราต้องการคือ "เทพที่สวรรค์ประทานมาให้" ครับ ไม่ว่า จะประจำที่ไหนๆ? ประจำบ้านเรา, ประจำที่ดินของเรา, ประจำบริษัท ของเรา, ประจำหมู่บ้านของเรา, ประจำประเทศของเรา ฯลฯ เราล้วน ต้องการ "เทพที่ถูกต้องตามกฏสวรรค์" ครับ เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่ดี ไม่ถูก "เจ้าเถื่อนครอบงำ" ให้หลงทิศผิดทางไปในทางที่เสื่อม ทางที่ ไม่ดีครับ อย่างแรกที่ผมต้องแจ้งแก่ท่านคือ "ขณะนี้โลกของท่านได้มี เจ้าเถื่อนยึดครองไปหมดแล้ว" และท่านจะต้อง "ทำสงครามศักดิสิทธิ์ เพื่อยึดคืนมาให้แก่เหล่าเทพ" นะครับ ไม่เช่นนั้น โลกมนุษย์ฉิบหายแน่ มันเป็นการต่อสู้ใน "มิติทิพย์" นะครับ แล้วมันจะส่งผลต่อเนื่องไปยังใน มิติของวัตถุสสารอีกที มันจึงถูกเรียกว่า "สงครามศักดิสิทธิ์" ไงครับซึ่ง มันจะเป็นไปโดยสันติวิธีและโดย "สันติภาพ" นะครับ เมื่อชัยชนะมาถึง เทพทั้งหลายจะเข้าประจำที่และโลกมนุษย์จะสงบสุข ไร้เจ้าเถื่อนซึ่งมา ครอบงำ บงการชีวิตพวกเรา มีแต่เทพที่มีจิตตรงต่อสิ่งศักดิสิทธิ์ มาช่วย ให้เราตรงต่อสิ่งศักดิสิทธิ์เช่นกันครับ และนั่นทำให้ชีวิตของเราเจริญขึ้น


"เจ้าเถื่อน" กับ "เทพสวรรค์" ที่ได้รับการแต่งตั้ง แตกต่างกันอย่างไร?


ต่อไปที่ผมอยากเล่าให้ฟัง ก็คือ แล้วเจ้าเถื่อนกับเทพสวรรค์ ที่ได้รับการ แต่งตั้งนั้นจะแตกต่างกันอย่างไรละ? เอาละ มันมีวิธีตรวจดูนะครับ ง่ายๆ คือ 1. เจ้าเถื่อนจะไม่ขึ้นตรงต่อ "เจ้าสวรรค์" จะถือตัวเป็นใหญ่ไม่ขึ้นแก่ ใครเลย 2. เจ้าเถื่อนจะมีความหวงแหนและไม่ค่อยเปิดรับ "คนนอก" ให้ เข้ามาในอาณาเขตของตนในขณะที่เทพฯ จะต้อนรับขับสู้อย่างดี 3. เจ้า เถื่อนจะมีจิตใจมืดมนหรือไม่มีธรรม ไม่นิยมในธรรม แต่เทพสวรรค์จะเป็น ผู้ตรงต่อธรรม 4. เจ้าเถื่อนจะมีคุณสมบัติไม่พอดีกับที่ๆ ยึดครอง แต่เทพ จะมีคุณสมบัติพอดีกับสถานที่นั้นๆ ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไปเช่น พระภูมิซึ่ง อยู่ตามบ้านคน จะมาจากเทวดาชั้นที่หนึ่ง เช่น ยักษ์ ก็ได้ แต่จะไม่ใช่มาร ซึ่งมาจากสวรรค์ชั้นที่หกเรียกว่าถูกต้องตรงไปตรงมาตามระเบียบสวรรค์ ที่ควรจะเป็น ไม่เว่อร์ ไม่ดีจนเกินไป ไม่มากจนเกินปกติ ซึ่งจะมีทุกที่ และ ในทุกตำแหน่งนะครับทั้งในบริษัทเอกชน ก็มีประจำทุกตำแหน่งครับ ทั้งที่ อยู่ระดับ "การเมืองการปกครอง" ระดับล่าง จนถึงระดับประเทศ ก็ไม่ต่าง กันนะครับจะต้องมีเทพดูแลทุกตำแหน่ง ทุกจุด ทุกที่ ทุกอย่างขนาดเขื่อน หรือแม่น้ำ ยังต้องมีเทพดูแลเลยครับ ดังนั้น ช่วงเวลานี้ ซึ่งยังไม่ได้มีการ ปรับเคลียร์เอา "เจ้าเถื่อน" ออกไป เพื่อเปิดทางให้เทพเข้ามาประจำที่จึง กลายเป็น "ช่วงเวลาแห่งความยากเข็ญ" ไปครับ จะกินเวลายาวนานสัก ระยะหนึ่ง จนกว่าจะเคลียร์สำเร็จ ก็จะลงตัว เทพเข้าประจำที่ได้ครบหมด


"เทพสวรรค์" จะบำเพ็ญบารมีแล้วรอรับการแต่งตั้ง จะไม่ยื้อแย่งใคร?


ต่อไปที่ผมอยากเล่าให้ฟัง ก็คือ เทพสวรรค์จะมีวิสัยไม่ยื้อแย่งใคร ต่อ ให้มี "ที่ให้ยึดครอง" อยู่ตรงหน้า ก็จะไม่ยึดครอง (เพราะไม่ใช่เจ้าที่) แต่จะรอ "การแต่งตั้ง" จากสวรรค์ก่อน จึงจะรับตำแหน่งได้ จึงจะไม่มี การไปยื้อแย่งกันนะครับ เทพเขาไม่ทำอย่างนั้นกัน ซึ่งระหว่างรออยู่นี้ ก็คือ "ช่วงเวลาแห่งการบำเพ็ญบารมี" ของเขาครับ ซึ่งจะสอดคล้อง กับ "ร่างสังขารของมนุษย์" คนหนึ่งด้วย ทั้งเทพและมนุษย์จะประสาน กันครับ เหมือนเป็นคนๆ เดียวกันแต่อยู่ต่างมิติกันนะครับ เหมือนเทพคือ ตัวตนต่างมิติของเรานั่นเอง เรากับเทพจะบำเพ็ญบารมีคู่ขนานไปคล้าย เป็นหนึ่งเดียวกันครับเพียงแต่คนละมิติเท่านั้นเอง เมื่อบำเพ็ญสำเร็จแล้ว ก็จะรับ "การแต่งตั้งจากสวรรค์" ได้ครับ ดังนั้น ในช่วงที่รอการแต่งตั้งนี้ จะมี "จิตวิญญาณจร" และ "ร่างสังขารมนุษย์" กลุ่มหนึ่ง ที่ยื้อแย่งกัน ตั้งตัวเป็นเจ้าครับ เป็นเจ้าในที่ต่างๆ มิติต่างๆ จุดต่างๆ เรื่องต่างๆ กันไป มีมากมายเลยครับ พวกเขาจะออกมาครอบครองอำนาจก่อน และทำให้ โลกปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่เข้าที่เข้าทาง เพราะการแก่งแย่งแข่งขันกันไปมา นั่นเอง โลกมนุษย์ในช่วงนี้จะวุ่นวายมากครับ จนกระทั่งเคลียร์ พวกเขา ได้หมดแล้ว เทพประจำที่หมดแล้ว ทุกอย่างก็จะลงตัวและโลกก็จะเข้าสู่ ความสันติสุขอย่างแท้จริงครับ ดังนั้น "พวกแรกที่มีอำนาจ" จึงยังไม่ใช่ "ตัวจริง" ที่สวรรค์ประทานมาให้นะครับ ต้องรอจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่ ก็จะได้เห็น "ตัวจริง" ของทุกตำแหน่ง, ทุกที่ ฯลฯ บนโลกใบนี้ต่อไปครับ


"เทพสวรรค์" จะประสานพลังกับ "ร่างสังขารมนุษย์" เพื่อกระทำกิจนั้นๆ


ต่อไปที่ผมอยากเล่าให้ฟัง คือ เทพสวรรค์จะ "เลือกร่างสังขารมนุษย์" ที่ มีความสอดคล้องกับท่านเพื่อประสานพลัง แล้วกระทำกิจต่างๆ อันควรต่อ ไป มันเป็นภาวะของการเชื่อมโยงกันของ "สองมิติ" (แท้จริง มีการเชื่อม โยงกันมากกว่าสองมิติอีกครับ แต่ผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ เท่านี้ก่อน) เพื่อ กระทำกิจ ซึ่งจะผ่าน "ร่างสังขารมนุษย์" เป็นเครื่องเชื่อมโยง ดังนั้น เราก็ จะมี "ตัวตนหลากหลายตัวตน" ใน "หลากหลายมิติ" เชื่อมโยงถึงกัน จึง สามารถขับเคลื่อนไปได้ในทุกๆ มิติ ดังนั้น "มนุษย์แต่ละคน" จึงกลายเป็น ตัวแทนของเทพ ที่กระทำกิจการต่างๆ บนโลกมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์บาง คนก็อาจกลายเป็น "ตัวแทนของปีศาจในการทำกิจของปีศาจ" ได้เช่นกัน ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าพวกเขาจะเชื่อมโยงเข้ากับอะไร มิติไหน? ทว่า ในช่วงก่อน ที่จะมีการประสานพลังกันนั้นๆ "ร่างสังขารที่ถูกเลือก" จะถูกเตรียมพร้อม ก่อน ด้วยกรรมวิธีต่างๆ เขาจะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอิสระนักและเหมือนมีอะไรที่ คอยควบคุมเขาโดยที่เขามองไม่เห็น หรือถูกทำให้มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ไปอย่างไม่น่าเชื่อ ต้องทำอะไรที่ตัวเอง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำ ต้องถูก ล้อมกรอบหรือมีกฏระเบียบอะไรมากมายทั้งที่มองเห็นบ้าง มองไม่เห็นบ้าง เอาละ นี่เป็นแค่ตัวอย่างนะครับ อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าใครที่มีอาการคล้าย นี้จะต้องเป็นเช่นนี้เสมอไป มันยังต้องพิจารณาอะไรอีกหลายตัวแปรนะครับ


"ตำแหน่งทางโลก" กับ "ตำแหน่งทางธรรม" นั้นต่างกัน อย่างไรบ้าง?


สุดท้ายที่ผมอยากเล่าให้ฟัง คือ ตำแหน่งทางโลกกับตำแหน่งทางธรรม นั้น "ไม่เหมือนกัน" เช่น แม่ของเราอาจมีบุญได้เลี้ยงดูเรา จนเราอายุได้ 30 ปี เราจะแต่งงานออกเรือน ไปอยู่ครอบครัวอื่น เป็นอันหมดกรรมของ เรากับแม่ ทว่า ถ้าแม่ของเราสร้างบารมีร่วมกับเราใหม่แล้วได้บารมีจะมา เป็น "พี่น้องกับเรา" อย่างนี้ เรากับแม่ ก็จะมีบุญกรรมเกี่ยวเนื่องกันได้อีก แต่ไม่ได้ในฐานะเดิมแล้ว "บุญกรรม" จะทำแต่งให้เหมือนเป็นพี่น้องกันก็ เท่านั้น คำว่า "แม่-ลูก" จึงเป็นแค่ "ตำแหน่งทางโลก" แต่แท้จริงแล้วใน "ตำแหน่งทางธรรม" เขาทั้งสองก็เป็น "พี่น้องกัน" อย่างนี้ ก็มีได้ เป็นได้ ครับ เหมือน "สามี-ภรรยา" คู่ไหนหมดบุญกรรมร่วมกันแล้ว จะมีเรื่องให้ อยากหย่าขาดกันไป แต่ถ้าสร้างบุญบารมีในปัจจุบันร่วมกันได้อีก ก็ต่อให้ มีเวลาอยู่ร่วมกันได้อีกแต่อาจจะในฐานะอื่นก็ได้ เช่น อยู่เหมือนเพื่อนกันก็ แค่นั้นเอง อันนี้ ท่านพอเข้าใจนะครับ เพราะผมคิดว่าหลายท่านน่าจะเคย มีประสบการณ์ชีวิต แบบนี้มาบ้าง ที่ใครบางคนมีสัมพันธภาพกับเราในรูป แบบที่ต่างไปจากเดิม (แต่ก็ยังคบกันได้) หรือการที่เรามี "ตำแหน่งสมมุติ ทางโลก" อย่างหนึ่ง แต่ทำไม วิถีชีวิตจริง บุญกรรมจึงทำให้เราต้องตกที่ นั่งอยู่ในอีก "สถานะหนึ่ง" เช่น เหมือนว่าเราได้เป็นเจ้านายใหญ่แต่ทำไม จึงเหมือนมี "ใครอีกคน" ที่ใหญ่กว่าคอยสั่งการเราได้ตลอด แบบนี้ ก็มีได้ ใช่ไหมครับ นั่นแหละ ที่ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่า "ตำแหน่งทางโลกกับ ตำแหน่งทางธรรม" นั้นไม่เหมือนกัน ตำแหน่งทางโลกเป็นของสมมุติ ซึ่ง อุปโลกขึ้นให้แก่เรา แต่ตำแหน่งทางธรรมนั้นเป็นของจริงจึงส่งผลต่อชีวิต เราจริงๆ เราจึงเรียกว่าเป็น "วิมุติธรรม" ที่ไม่ใช่ "ของสมมุติ" ไงละครับ!


ขอพลังแสงธรรมแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงส่องให้ท่านแจ้งโลก สวัสดี


29 ส.ค. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

 瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เทคนิกการใช้ Thought form นำทิศทางของพลังต่างดาวและพลังต่างๆ

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องเกร็ดความรู้ เป็นเทคนิกการใช้ Thought form เพื่อเหนี่ยวนำทิศทางของพลังงานใน รูปแบบต่างๆ เพื่อนำพลังงานเหล่านั้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์นะครับ เอาละ ผมจะพยายามอธิบายให้ง่ายที่สุดเช่น เคย เชิญท่านทั้งหลายอ่านได้เลยครับ



พื้นฐานเทคนิกการใช้ Thought form (กระแสจิตเหนี่ยวนำรูปแบบ)


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ "จิตเป็นต้นเหตุแห่งพลังงาน" ในร่างกาย ของเรา และจิตไม่ได้อยู่นิ่งเฉยตลอดเวลา แต่มีการเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยง อยู่ตลอด ดังนั้น มันจึงส่งผลต่อ "พลังงานที่ปลดปล่อยออกมา" ตลอด อีกด้วย ในบางคนมีจิตที่แปรปรวน พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็สับสน จึงไม่มีพลังมากพอที่จะเกิดผลใดๆ ดังใจหมายได้ แต่บางคนก็มีสมาธิดี รวบรวมพลังจิตในแบบต่างๆ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดผลต่างๆ ได้ เช่น ในกิจ การงานต่างๆ ก็สามารถทำได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ดังนั้น เราจึงควรหันมา สนใจเรื่อง "พลังจิต" สักนิด โดยนอกเหนือจากการฝึก "พละห้าอันเป็น พื้นฐาน" แล้ว (ได้แก่ สมาธิ, สติ, ปัญญา, ศรัทธา, วิริยะ) การฝึกที่จะ ใช้พลังจิตไปใน "รูปแบบต่างๆ" ที่เรียกว่า Thought form ซึ่งผมจะ ได้แนะนำต่อไปคือ การใช้กระแสพลังจิตเหนี่ยวนำ "รูปแบบ" ของพลัง งานขึ้นมาก่อน ก่อนที่จะใช้ "พลังจิตรูปแบบนั้น" ในการทำกิจต่างๆ ต่อ ไปเช่น การรวมพลังจิตเป็น "ดวงแก้วกลมๆ ใสๆ" เพื่อใช้ในการเพ่งหยั่ง ดูเรื่องราวในอดีต, อนาคต ฯลฯ หรือการใช้พลังจิตเป็น "เสาเอก" ปักลง ไปยังจุดที่เราต้องการวางรากฐานสิ่งใหม่ๆ เพื่อวางรากฐานให้ยั่งยืน เป็น ต้น นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดรูปแบบที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" ด้วย เช่น ใน การปรับตัวอยู่กับผู้ใหญ่ เราอาจกำหนดรูปแบบพลังงานเป็น รูปธรรมชีวิต ที่เหมือนเด็ก ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน ทว่า ท่านควรเข้าใจก่อนว่าในการทำ เช่นนี้ ไม่ใช่การ "ใช้สมองคิด" นะครับ มันเหมือนการ "ระลึกนึกถึง" เช่น เวลาเราคิดถึงใครบางคน หรือการจินตนาการถึงรูปร่างอะไรบางอย่างมาก กว่าที่จะเป็นการคิดนะครับ (คิดมากปวดหัว) อันนี้ หวังว่าพอเข้าใจนะครับ


Thought form ที่ต่างกัน มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในกิจกรรมที่ต่างกัน?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ Thought form ที่ต่างกัน ย่อมมีคุณสมบัติที่ ต่างกันไปด้วย ดังนั้น มันจึงเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันเช่น ใน ผู้ที่ต้องการเก็บพลังงานสะสม อาจกำหนด Thought form เป็นรูปดวง แก้วเพื่อเก็บพลังงาน ในคนที่ต้องการขับเคลื่อน-ขับดันให้เกิดการดำเนิน ไปของกิจกรรมต่างๆ มักใช้ Thought form รูป "จักรกล" นอกจากนี้ ยังมี Thought form อีกมากมายหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ Thought form ในกลุ่มที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" ซึ่งท่านสามารถเลือกใช้ทำกิจกรรม ได้หลากหลายมากเหมือนการ "สวมหัวโขน" หรือการเลือกใช้คนให้เข้า กับงานฉะนั้น ซึ่งสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ท่านควรทราบคือ การประสาน กันของ Thought form และผู้ใช้ ในบาง Thought form ที่ใหม่มากๆ และท่านไม่เคยใช้เลย ท่านอาจใช้ได้ไม่ดีนักในช่วงแรก แต่เมื่อท่านได้เคย ใช้บ่อยๆ จนเกิดความชำนาญมากขึ้น ท่านก็สามารถใช้งานมัน ได้อย่างดี ทีเดียว ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะใช้ Thought form ท่านก็ควรศึกษาให้เข้า ใจก่อนว่า Thought form แต่ละชนิดมีอะไรบ้าง มีคุณสมบัติและข้อควร ระวังในการใช้อย่างไร? เพื่อที่จะเลือกใช้ Thought form ได้เหมาะสม


"Thought form และ Real form" สองอย่างนี้ ไม่เหมือนกันยังไง?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "Thought form และ Real form" นั้นไม่ เหมือนกัน เพราะ Thought form มีที่มาจาก "กระแสพลังจิต" มันจึง ยังไม่ใช่ของจริงในตอนแรก แต่ Real form ในที่นี้ ผมใช้หมายถึงของ จริง ที่มีอยู่จริง และใช้งานได้จริง ซึ่งไม่ได้เกิดจากการใช้กระแสจิตเพื่อ เหนี่ยวนำให้เกิด อย่างไรก็ตาม สองอย่างนี้ เกี่ยวข้องกันอย่างมาก เช่น เมื่อคุณใช้ Thought form ไปนานๆ อย่างถูกวิธี มันก็จะส่งผลให้เกิด Real form ขึ้นมาได้เหมือนกัน เหมือนกับแรกๆ คุณฝันไปเอง จินตนา การไปเอง แต่เพราะคุณเชื่อมั่นและทำมันอย่างดี มันก็กลายเป็นจริงได้ เพราะ "การกระทำที่สะสมนานๆ วันนั้นของคุณเอง" เอาละ คุณพอเข้า ใจในกฏข้อนี้หรือไม่? ของจริงไม่ได้เกิดจากการคิดฝันเอา แต่มันเกิดมา จากการกระทำที่ถูกต้องตรงทางของคุณเอง แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นได้ การใช้ Thought form เหนี่ยวนำหรือนำทางชีวิตคุณไปก่อน จึงกลาย เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่จะทำให้ "ของจริง" นั้นๆ เกิดขึ้นได้ ลำดับต่อไป ดังนั้น ในระหว่างที่คุณยังใช้ Thought form อยู่ คุณไม่ควรที่จะหลง ว่ามันคือของจริง จนกว่าคุณจะได้รับ "ของจริง" นั่นแหละ มันจึงจะเกิด อานุภาพที่เต็มกำลังของมันได้ แต่ถ้าคุณไม่เลือก Thought form สัก แบบหนึ่ง คุณก็จะไม่รู้ทิศทางในการใช้ "พลังจิต" ของคุณเลย มันจะทำ ให้คุณใช้พลังจิตไปอย่างไร้ทิศทางและกระจัดกระจาย น่าเสียดายมั้ยละ


พื้นฐานด้าน "ดุลยภาพแห่งพลังงาน" ภายในสังขารมนุษย์ เป็นไฉน?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในร่างสังขารมนุษย์มีดุลยภาพแห่งพลังงาน แบบ "หยิน-หยาง" หรือแบบทวิภาวะ (คู่ตรงข้าม) ข้อนี้แตกต่างจาก "มนุษย์ต่างดาว" ดังนั้น การที่มนุษย์โลกจะใช้พลังจากแหล่งใดแหล่ง หนึ่งนานๆ หรือมากเกินไป "จึงไม่ได้" เพราะสิ่งนี้มันจะส่งผลกระทบต่อ ดุลยภาพภายในสังขารของมนุษย์โลกได้ ดังนั้น คุณจึงต้องฝึกการใช้ พลังงานแบบ "ทวิภาวะ" ก่อน เป็นพื้นฐาน เพื่อไม่ให้เสียดุลยภาพภาย ในร่างสังขารของคุณเอง เช่น การเลือกใช้ Thought form ที่มีพลัง งานสายร้อน ก็ควรมีพลังสายเย็นคอยคุมดุลยภาพภายในด้วย ไม่เช่น นั้น คุณอาจพบภาวะที่เรียกว่า "การเสียดุลยภาพภายใน" และเกิดการ ตีกลับของพลังงานเช่น เดิมใช้พลังสายร้อนกลับกลายเป็นพลังสายเย็น สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เสมอใน "สังขารมนุษย์" ดังนั้น คุณจึงควรระวังให้มากใน จุดนี้ด้วย เพราะถ้าเกิดการพลิกกลับของพลังงานแล้ว คุณอาจได้รับผล กระทบที่รุนแรงมาก อย่างที่คาดไม่ถึงทีเดียว ดังนั้น ผมจึงแนะนำวิธีการ ใช้พลังงานแบบ "ทวิภาวะ" แก่คุณก่อน เพื่อให้เกิดดุลยภาพขึ้น ไม่เกิด ภาวะ "พลิกกลับของพลังงาน" ดังที่ผมได้อธิบายมา และมันจะช่วยคุณ ให้ปลอดภัยได้มากกว่าการใช้พลังงานแบบ "ขั้วเดียว" หวังว่าคงเข้าใจ เช่น ในคนที่ใช้พลัง "ภาคสว่าง" แท้แล้วพวกเขาก็ต้องมี "พลังภาคมืด" เป็นพื้นฐานรองรับด้วย เพื่อให้ร่างสังขารของเขา "คงดุลยภาพ" ไว้ได้


"ดุลยภาพแห่งพลังงาน" แบบ "พลังฟ้า-ดิน" (พลังต่างดาว-โลก)


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ท่านสามารถเลือกระบบดุลยภาพของพลัง งานในแบบต่างๆ ได้มากมาย เช่น แบบร้อน-เย็น, ชาย-หญิง, ขาว- ดำ, สว่าง-มืด, เทพ-มาร ฯลฯ แต่ยังมีอีกแบบหนึ่งที่ผมอยากจะแนะ นำให้ท่านทดลองใช้ คือ ระบบพลังงานทวิภาวะแบบ "ฟ้า-ดิน" หรือ "พลังต่างดาว-พลังไกอา (โลก)" ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้ วิทยาการจากต่างดาวได้ เข้าใจถึงมาตรฐานระดับสากลจักรวาลได้ และยังสามารถปรับตัวเข้ากับโลกนี้ได้ดีอีกด้วย ไม่ใช่หลุดโลกแล้วก็ ปรับตัวเข้ากับโลกไม่ได้ ก็หาไม่ และด้วยวิธีนี้คุณจึงมีความคิด, และ ปัญญา ฯลฯ เทียบเท่าระดับ "มาตรฐานสากลจักรวาล" ได้ ในขณะที่ คุณก็ยังเดินดิน อยู่ร่วมกับสัตว์โลกนี้ อย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อหรือทำ ตัวแตกต่างมากเกินไป เรียกว่าคุณสามารถปรับตัวไปสู่ระดับจักรวาลก็ ได้ หรือจะปรับตัวลงมาอยู่กับสัตว์โลก เป็นคนธรรมดาเดินดินคนหนึ่งก็ ได้เช่นกัน และด้วยวิธีนี้ ยังช่วยป้องกันภาวะ "จิตวิญญาณ หลงไปอยู่ ในที่ว่างแห่งจักรวาล" ได้อีกด้วย ซึ่งบางท่านอาจได้เคยพบปัญหานั้น มาแล้ว ในขณะที่พยายามจะเชื่อมโยง ติดต่อกับต่างดาว จิตวิญญาณ ของเขาอาจหลงทาง จรหลุดออกไปยัง "ที่ว่างในอวกาศ" ก็เป็นไปได้ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานั้น การฝึกพลังแบบ "ทวิภาวะ" จึงช่วยให้ คุณปลอดภัยได้ ทว่า ในช่วงการฝึกนั้นๆ คุณอาจไม่ก้าวหน้าเท่าไร แต่ มันจะเป็นพื้นฐานให้แก่คุณเพื่อให้คุณ "กำเนิดใหม่" และเมื่อคุณกำเนิด ใหม่แล้ว คุณก็จะสามารถเป็นได้ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องฝึก อีกต่อไป (ดังนั้น คุณไม่ควรจมปลักกับการฝึกเกินไป แต่ควรใช้การฝึกนี้ เป็นพื้นฐานไปสู่ "การกำเนิดใหม่" เพื่อเป็นสิ่งนี้อย่างเป็น "ธรรมชาติ")


เทคนิกการใช้พลังงาน "ภาคพื้นดิน" เหนี่ยวนำพลังงานจาก "ต่างดาว"


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ เราสามารถใช้พลังภาคพื้นดินที่มีบางอย่างที่ "ตรงกันข้าม" กับพลังงานของ "ต่างดาว" เพื่อเหนี่ยวนำพลังงาน จาก ต่างดาวได้ เช่น การใช้พลัง "ภาคมืด" เพื่อเหนี่ยวนำพลัง "ภาคสว่าง" ซึ่งคุณควรมีความเข้าใจในพลังงานแบบต่างๆ ที่สามารถเข้าคู่ตรงข้าม กันได้ด้วย นั่นหมายความว่าคุณควรเข้าใจพลังงานของภาคพื้นดินและ พลังงานจากต่างดาวในแบบ "คู่ตรงข้าม" เพื่อจะเลือกใช้พลังงานภาค พื้นดินที่ "ตรงข้าม" กับต่างดาว ในการเหนี่ยวนำพลังงานจากต่างดาว เช่น พลังงานขั้วบวก (ดาวไซย่า) ก็จะมีพลังขั้วลบที่ตรงข้ามกันจะคอย เหนี่ยวนำกันได้ เมื่อคุณสามารถเหนี่ยวนำพลังคู่ตรงข้ามได้แล้ว สิ่งต่อไป ที่คุณควรเข้าใจคือ "การประสานพลังสองอย่าง" ไม่ใช่การผสมให้กลาย เป็นสิ่งเดียวกัน แต่คุณจะต้องใช้พลังงานที่ตรงกันข้ามนี้ อย่างไร ให้ไม่มี ปัญหาขัดแย้งหรือทำลายล้างกันเองภายใน เพราะถ้าคุณไม่ผ่านขั้นนี้ จะ กลายเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เพราะพลังที่ต่างกันสองอย่างจะหักล้างหรือ ทำลายกันเองภายใน ทำให้คุณได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไปด้วยได้ครับ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล จงนำทางชีวิตให้แก่คุณ สวัสดี


28 ส.ค. 2555

"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS