ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ไม่ใช่ชาวพุทธก็ "ตรัสรู้พุทธะ" ได้ แต่ถ้าอยู่นอก "ธรรมวินัย" ก็ยังไม่นิพพาน?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมยังขอปูพื้นฐานธรรมในพุทธศาสนาต่อไปก่อนนะครับ เพราะมันสำคัญมากทีเดียยวสำหรับท่านที่คิดจะไต่ระดับให้สูงขึ้นไปถึงจักรวาล ท่านเจริญรอยตามพระโมคคัลลานะ ก็จะได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนะครับ ดังนั้น ในวันนี้ ผมขออธิบายคำสองคำ คือ "พุทธะ" และ "นิพพาน" ให้ชัดเจนขึ้นไปอีกครับ


"พุทธะ" คือ วิวัฒนาการสูงสุดของจิตวิญญาณ อันเป็นสัจธรรมสากล


กล่าวคือ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในหรือนอกพุทธศาสนา คุณก็สามารถที่จะเพิ่มวิวัฒนาการของคุณถึงระดับ "จิตวิญญาณพุทธะ" ได้ มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะอยู่ในพุทธศาสนาหรือไม่? อุปมาเหมือน "บัวบาน" นั้น ไม่เกี่ยวว่าจะมีแสงธรรม หรืออยู่ในวงล้อมของแสงธรรมก่อนหรือไม่ ดอกบัวอาจเจริญได้ดีจนบานแล้วเสียก่อนจะถึงเวลาได้รับแสงธรรม ก็มี ดังนั้น คำว่า พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาบัวสี่เหล่า แล้วเลือกบัวเหล่าบน เช่น บัวบาน ก็คือ เลือก "ผู้ที่มีจิตวิญญาณพุทธะ" มาก่อน นั่นเอง ซึ่งไม่ต้องอธิบายธรรมอันใดก็มีญาณตรัสรู้ถึงนิพพานเองได้แล้ว (แต่จะได้หลังพระพุทธเจ้าๆ จะตรัสรู้เป็นองค์แรก แต่ไม่ใช่องค์เดียวที่ได้ญาณนี้ ก็เท่านั้น) ซึ่งในบรรดาผู้ที่ได้ "ญาณตรัสรู้" (พุทธะ) ทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ที่ละสักกายทิฐิได้ ท่านจึงบรรลุธรรมเป็น "อรหันตสัมมาสัมพุทธะ" ส่วนพุทธะท่านอื่นนั้นไม่อาจจะทลายสักกายทิฐิได้ ต้องอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า จึงจะยอมจำนนเป็นสาวก จึงจะละสักกายทิฐิตนได้ ดังนั้น ในยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านยังไม่ได้มีศาสนายิ่งใหญ่ คนส่วนใหญ่อยู่นอกศาสนาของท่านมาก่อน จำนวนคนที่ตรัสรู้พุทธะมากมาย ก็อยู่นอกพระพุทธศาสนาเช่นกันแล้วพระพุทธเจ้า จึงทำให้พวกเขาละสักกายทิฐิบรรลุอรหันต์ เข้ามาบวชใน "พระพุทธศาสนา" ในภายหลัง เมื่อพวกเขาอยู่ใน "ธรรมวินัย" นี้แล้วจึงมีโอกาสนิพพานได้ แต่ถ้าเขาอยู่นอกธรรมวินัย จะไม่ได้นิพพาน แต่จะได้จุติยัง "สุขาวดีโลกธาตุ" แล้วเกิดเป็นพระยูไล (พุทธะ) อยู่บนนั้นเอง



ศาสนาอื่นๆ ก็รู้สัจธรรมสากล หรือ "นิพพาน" นี้ได้ โดยไม่ได้อยู่ในพุทธ?


และเพราะเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าพุทธะ สามารถเกิดได้นอกธรรมวินัย แต่ไม่อาจนิพพานได้นอกธรรมวินัย (ดังนั้น ธรรมวินัยจึงสำคัญต่อที่คนจะได้นิพพานหรือไม่ อย่างยิ่ง) ดังนั้น การรูถึง "สัจธรรมสากล" เช่น การมีญาณหยั่งรู้ได้ถึง "นิพพาน" นั้น จึงมีได้ "ทุกศาสนา" เพราะมันคือ"สัจธรรมสากล" เช่น บางท่านอาจเรียกในนามอื่นว่า "เต๋า" หรือไม่มีแม้คำจะเรียกหรืออธิบายได้ ก็มี ดังนั้น หากท่านเข้าใจว่า "สัจธรรมแท้" กับ"นิพพาน" เป็นคนละตัวกัน เช่น คิดว่า ธรรมะ ธรรมชาติ สัจธรรมอันแท้มีอยู่ก่อน แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้นิพพานทีหลัง นิพพานเป็นอีกเรื่อง ธรรมะธรรมชาติ เป็นอีกเรื่อง ... ถ้าท่านเข้าใจอย่างนี้ ท่านกำลังเข้าใจผิดอย่างยิ่งแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย นิพพานคือ สัจธรรม เป็นธรรมะ ธรรมชาติที่แท้จริง มีอยู่จริง มีมานานแล้วและมีอยู่ต่อไป ไม่แปรผัน ไม่ใช่เพิ่งมามี มาสร้าง มาตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้าภายหลัง ก็หาไม่ ดังนั้น คำว่า "สัจธรรม" ก็คือ "ความจริงหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงในศาสนาใดก็ตาม" ล้วนเหมือนกันทั้งหมด ต่างกันแต่การใช้สมมุติบัญญัติในการอธิบายก็เท่านั้นเพียงแต่ว่าพวกเขาที่มีปัญญารูแจ้งในสัจธรรมและนิพพานนั้น อาจจะไม่รีบนิพพาน ไม่ได้อยู่ใน "ธรรมวินัย" นี้ และไม่ได้นิพพาน ก็เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ถึงสัจธรรมสากลนี้ได้ ก็หาไม่ (รู้ไม่ได้แปลว่าจะได้) ดังนั้น "สัจธรรมสากล" จึงเป็นสากล ไม่อาจแยกว่าเป็นของศาสนาใด ก็มีได้ รู้ได้ ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่จะทำได้ถึงนิพพานหรือไม่? ก็เท่านั้นเอง



พุทธะหรือพระยูไล บางองค์มาสร้างศาสนาอื่น แต่ก็รู้ถึงนิพพานเช่นกัน


นอกจากนี้ ยังมีผู้มีบารมีธรรมมีจิตวิญญาณเป็นพุทธะจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่มาสร้าง "ศาสนาอื่นๆ" ไว้เพื่อรองรับปวงสัตว์ที่ไม่มีบุญถึงพุทธศาสนา ก็มีได้ เป็นได้ และท่านเหล่านี้ก็ล้วน "บรรลุถึงสัจธรรมสากลทั้งสิ้น" ทว่า ท่านอาจจะไม่ได้เรียกธรรมนั้นว่านิพพาน ก็เท่านั้นเอง ท่านได้เข้าถึงแล้ว แต่ได้ให้ธรรมไว้อีกส่วนซึ่งแตกต่างจากพระพุทธศาสนา แต่เพียง "เปลือกนอก" เท่านั้น แต่แก่นแท้แล้วไม่ต่างกันเลย ดังนั้น "ทุกศาสนาไม่ได้มุ่งเน้นสอนให้ยึดติดว่าต้องทำความดี-ละเว้นความชั่ว-ทำใจให้บริสุทธิ์" อย่างชาวพุทธชอบเหมารวมอย่างนั้น ก็หาไม่ แต่ฟังให้ดี "ทุกศาสนาสอนให้ไม่หลงโลกไม่หลงติดในสมมุติ เพื่อมุ่งสู่สัจธรรมสากลสูงสุด" เท่านั้น ซึ่งคำว่าสัจธรรมสูงสุดนั้นก็อาจมีชื่อเรียกและวิธีการเข้าถึงที่ต่างกันออกไป เช่น การที่บางศาสนามุ่งให้จิตตรงต่อพระเจ้าก่อน แล้วจะได้สถิตย์ยังสวรรค์ของพระเจ้าก็หลุดพ้นจากทุกข์และจากความไม่เที่ยงของโลกนี้ได้ สุดท้ายก็นิพพานได้ เช่นกันแต่นิพพานด้วย "วิถีที่แตกต่างกัน" เช่น บางคนนิพพานเมื่อละสังขารบนโลกนี้ แต่บางคนยังต้องไปเกิดบนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วอยู่ที่นั่นยาวนานระยะหนึ่ง จนถึงจุดหนึ่งก็จะนิพพาน โดยไม่ต้องลงมาเกิดอีก



มนุษย์ที่มีเชื้อสายไกอาจะนิพพานบนโลก แต่ต่างดาวจะต้องกลับดาวแม่


และเนื่องจากว่า "มนุษย์บนโลกนี้" มี "เชื้อสายทางจิตวิญญาณ" ที่ต่างกัน บ้างมีเชื้อสายของไกอา (ชาวโลก) แต่บ้างก็มีเชื้อสายต่างดาว ดังนั้นพวกเขาจึงนิพพานในวิถีที่แตกต่างกัน กล่าวคือ มนุษย์ที่มีเชื้อสายไกอานี้จะนิพพานในโลกนี้ ไม่ไปยังโลกธาตุหรือดาวดวงอื่นๆ แต่กลุ่มที่มีเชื้อสายจากดาวดวงอื่น หรือโลกธาตุอื่น พวกเขาจะต้อง "กลับสู่ดาวแม่" ของเขาก่อน แล้วจึงจะนิพพานในดาวดวงนั้นหรือโลกธาตุนั้นๆ และเพราะเหตุนี้จึงมี "ศาสนาต่างๆ" ที่ไม่ใช่แต่พุทธศาสนาเท่านั้น และศาสนาหลายศาสนาก็มี "พระเจ้า" และเรื่องราวของ "สวรรค์ในโลกหน้า" ซึ่งไม่ได้อยู่ในโลกนี้ อีกด้วย อย่างไรก็ดี ยังมี "เชื้อสายมนุษย์ต่างดาว" อีกกลุ่มหนึ่งที่มายังโลกเพื่อช่วยเหลือพระพุทธศาสนา พวกเขาจึงเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับศาสนาพุทธมาก ก็เท่านั้นเอง แต่เมื่อพวกเขาละสังขารจากโลกแล้ว เขาจะมีวิถีที่ดำเนินไปข้างหน้าแตกต่างจาก "ชาวโลกที่มีเชื้อสายไกอา" หรือจะกล่าวให้ชัดไปเลยก็คือ "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของชาวโลกที่มีเชื้อสายไกอา" นั่นเอง ในขณะที่ศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งหลายนี้เป็นศาสนาของชาวโลกที่มีเชื้อสายของ "ต่างดาว ซึ่งพวกเขาจะมี พระเจ้า" รอพวกเขา อยู่ต่างดาวส่วนพระพุทธเจ้า ก็คือ ผู้มีเชื้อสายต่างดาวที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าเป็นผู้เหมาะสมที่จะลงมาโปรดและสร้างศาสนาให้แก่ "ชาวโลกที่มีเชื้อสายไกอา" นั่นเอง เรื่องเชื้อสายของจิตวิญญาณนั้น สำคัญมาก เพราะจะส่งผลต่อการดำเนินไปของแต่ละท่านในวิถีที่แตกต่าง และศาสนาที่ต่างกันด้วย



มนุษย์ที่มีเชื้อต่างดาวที่นิพพานบนโลกได้แก่พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกฯ


ยังมี "มนุษย์ที่มีเชื้อสายต่างดาว" อีกประเภทที่นิพพานบนโลก คือ มนุษย์ที่มีบารมีมากพอเอาตัวรอดได้เองและ "ไม่ชอบการอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้า" พวกเขาก็จะเอาตัวรอดถึงนิพพานได้เองบนโลกนี้ โดยไม่ต้องไปดาวแม่ ไม่ต้องกลับไปสู่อ้อมกอดของพระเจ้าอีก ซึ่งจะมีสองแบบคือผู้ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า เท่านั้นเอง ซึ่งคนสองแบบนี้ ในระหว่างการเดินทางเวียนว่ายตายเกิดในจักรวาล จะมีแนวคิดซึ่งจะออกไปอยู่นอกการปกครองของพระเจ้า ซึ่งมีจำนวนมากทีเดียวที่ "ไปไม่รอด" ก็มีและส่วนน้อยมากที่จะ "ไปรอดได้ด้วยตนเอง" ดังนั้น พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงมีได้น้อย และเกิดได้น้อยบนโลกใบนี้ แต่สำหรับผู้ที่ได้ "พุทธะ" แล้วยังไม่นิพพาน พร้อมทั้งยังนำพาสาวกของตนกลับไปยัง "ดาวแม่" ได้ นั้น มีได้นับไม่ถ้วน เรียกว่าเป็น "หมื่นพุทธะ" ความเป็นพุทธะนั้น เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของจิตวิญญาณอยู่แล้ว การกลับคืนสู่ภาวะเดิมแท้ของจิตวิญญาณ จึงไม่ใช่ของแปลกใหม่ใดสำหรับจิตวิญญาณแต่อย่างใดเลย ดังนั้น "พุทธะ" จึงเกิดได้มากมายไม่ยากนัก บนโลกนี้ ดุจดัง "เม็ดทรายในมหานที" ก็ดี หรือ "บัวบาน" ที่มีอยู่มากมายในหนองน้ำก็ดี



การเข้าถึงซึ่ง "พุทธะ" ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็น เพราะเป็นดังรากเหง้าดังเดิม


ดังเดิมแท้นั้น จิตวิญญาณของมนุษย์ มาจาก "พุทธะ" แล้วจรท่องไปในจักรวาลและภพภูมิต่างๆ เพื่อพัฒนา, เรียนรู้ และเลือกทางเดินใหม่ ของตนเอง สุดท้าย จิตวิญญาณสามารถกลับคือสู่นิพพานในรูปแบบ "พุทธะหรือแบบอื่นที่เหมาะสม ก็ได้" ดังนั้น การกลับคืนสู๋ภาวะเดิมแท้ของจิตฯ คือ "พุทธะ" นั้นจึงไม่ยากแต่อย่างใด (แต่ไม่ได้หมายความว่าจิตนั้นคือพุทธะ นะครับ) เพราะจิตเดิมแท้มาจากพุทธะแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธะเสมอไป ก็เข้าถึงซึ่งนิพพานได้ เพราะ "เลือกทางเดินใหม่ได้เอง" จึงไม่จำเป็นต้องยึดว่าต้องมีจิตเป็นพุทธะเสมอไป ทว่า ผู้ใดที่จะเลือกกลับคืนสู่พุทธะ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าความเป็นไปได้เลย ดังนั้น จะกล่าวว่าจิตนี้คือ พุทธะ ไปเสียเลยก็ไม่ได้ แต่ควรกล่าวว่าจิตเดิมแท้มาจากพุทธะ แต่มีวิธีทางเลือก สามารถเลือกทางเดินใหม่ได้มากมาย จึงไม่จำเป็นต้องกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ ก็ได้ ก็สามารถถึงซึ่งพระนิพพานได้ เช่นกัน แต่หากผู้ใดจะกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ "ก็ไม่ใชเรื่องยากเกินไป" และเมื่อเข้าสู่ความเป็นพุทธะแล้ว "ไฉนเลย จะไม่ล่วงรู้ในพุทธวิสัยอันเป็นอจิณไตยนี้" ก็เมื่อเป็นพุทธะแล้ว ย่อมมีพุทธวิสัยดุจเดียวกันกับพุทธะอื่นๆ ด้วย ดังนี้ฯ



สุดท้ายนี้ "พุทธะ" คือ ภาวะดั้งเดิมของจิต ไม่ยากเกินไปเลยที่จิตนั้นจะกลับคืนสู่ภาวะดั้งเดิมนั้น ท่านทั้งหลาย จงมีกำลังใจฮึกเหิม เพื่อที่จะกลับคืนสู่ภาวะเดิมแท้ของจิตนั้นเถิด แม้ไม่ถึงซึ่งพุทธะ แต่ด้วยได้พระบารมีของพระพุทธเจ้าสมณโคดมทรงโปรด "นิพพาน" ก็ไม่ใช่ที่ห่างไกล ไม่ใช่ของยากอีกต่อไป มิใช่ ไม่ยากเพราะเราดีเลิศอะไร แต่ที่ไม่ยากเพราะได้บารมีของพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงโปรดสัตว์แล้ว จวบจนถึงสิ้นพุทธกาล 5,000 ปีนี้ ท่านยังมีโอกาสอยู่ ที่จะเข้าถึงซึ่ง "บรมสุขอันหาสิ่งใดเทียบมิได้นั้น" เร็วเถิด อย่าได้ให้เวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปเปล่าเลย สหายธรรมทั้งหลายเอ๋ย พระธรรมอันสว่างไสวนั้น ส่องสว่างกระจ่างแจ้ง แก่ท่านทั้งหลายแล้ว ความมืดมิดและความ หม่นหมองทุกข์ตรมทั้งหลาย จักพลันมลายไป โดยง่ายดายสหายธรรมทั้งหลายเอ๋ย ท่านจงเร่งทำกิจอันควรให้สำเร็จสมดังความประสงค์ของท่านเถิด "พุทธะ" อยู่ไม่ไกล อยู่ที่ใจของท่าน "นิพพาน" อยู่ไม่ไกล อยู่ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องค้นหา ไม่ต้องไขว่คว้าแย่งชิง แต่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด สหายธรรมที่รักเอ๋ย มันอยู่ในท่านเองอยู่แล้ว มิต้องเหนื่อยยากแลกสิ่งใดมาเลย มันเป็นของท่านอยู่แล้ว!


ขอพลังแห่งธรรมกายนั้น จงส่องสว่างให้ท่านเบิกบานโดยพลัน สวัสดี



25 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อันตรายและอาการที่เกิดจากการใช้พลังจิตที่ผิดพลาด และแนวทางแก้ไข

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอปูพื้นฐานในเรื่องข้อควงระวังในการใช้พลังจิตที่ผิดพลาดนะครับ เพราะสำคัญมากทีเดียว เมื่อท่านพลาดไป จะได้ระลึกรู้ตัวได้เร็ว และแก้ไขได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป ดังต่อไปนี้ครับ


อาการ "จิตวิญญาณจรออกจากร่างแล้วไม่กลับคืน" จะทำอย่างไร?


ปัญหานี้เกิดขึ้นมากนะครับ ในคนที่มี "มโนมยิทธิ" จะเกิดได้ง่ายกว่าคนปกติครับ วิธีแก้ง่ายมากครับ คือ "กายานุสติปัฏฐาน" จำต้องมีสติอยู่กับกายเนืองๆ เช่น ทำงานแล้วก็ให้มีสติ, สมาธิ กับการใช้ร่างกายตลอดนะครับ ในกลุ่มผู้ปฏิบัติแนวเซนจะได้มโนมยิทธิกันทั้งนั้นนะครับและเขาจะไม่ให้เรานั่งสมาธิเฉยๆ หรืออยู่นิ่งมากไป เพราะจิตมันจะจรออกไปยังภพภูมิต่างๆ ง่ายครับ เขาจะให้เราทำงานวุ่นอยู่เรื่อยๆ จะไม่มีการนั่งสมาธินะครับ เพราะสมาธิมีแล้วในขณะทำงาน แต่ถ้าเราไปนั่งสมาธิ หรือนิ่งเฉยมากไป จิตวิญญาณจะจรออกไปยังภพภูมิต่างๆ ง่ายครับ เอาละ ทีนี้ ในคนที่จิตวิญญาณจรออกจากร่าง จะเป็นอย่างไร? ก็ดูไม่ยากครับ เขาจะเหมือน "เหม่อลอย หรือนึกคิดอะไรอยู่ยาวๆ" หรือ"เหมือนมีโลกส่วนตัว" แบบนี้ จิตวิญญาณเขาอาจจรไปอยู่ในภพภูมิที่ใดสักแห่งหนึ่ง ทำให้สังขารของเขามีโลกส่วนตัวครับ อันนี้อาจยังไม่มีอันตรายมากเท่ากับบางท่านที่ "จิตวิญญาณหลงออกไปอยู่กลางที่ว่างในจักรวาล" จะทำให้เขารู้สึกหลง, หลงทาง, หลงตัวเอง คิดว่าตนเองคือ เจ้าของจักรวาล หรือเจ้าของทุกสิ่งได้ เขาจะเหมือนรับข้อมูลมาจากจักรวาลแหล่งต่างๆ ได้ แต่จิตวิญญาณของเขา "หลงอยู่" นะครับ เขากลับมาสู่พื้นดินไม่ได้ เรียกว่า "ยิ่งใหญ่มากจนปกติไม่เป็น" นะครับ ถ้าพบใครเป็นแบบนี้ อย่าเพิ่งไปหลงเชื่อเขา และอย่าเพิ่งไปมองเขา ในแง่ลบนะครับ เขากำลังหลงและต้องการ "ผู้นำทาง-ให้กลับคืนปกติ" ครับนอกจากนี้ ยังมีที่อันตรายกว่านี้คือ "จิตวิญญาณถูกจับ" เช่น ถูกกักขังถูกพันธนาการไว้ ในภพภูมิหรือที่ต่างๆ ทำให้ส่งผลต่อการดำรงชีวิต ต่อสังขารที่ยังไม่สิ้นอายุขัยนั้นได้ครับ เช่น ทำให้ตกอยู่ใต้อำนาจบางคนได้



การใช้พลังงานพื้นฐานของจิต ที่ผิดวิธี ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้


อีกข้อหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ การใช้พลังงานพื้นฐานของพลังจิตที่ผิดวิธีไปทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ เช่น พลังงานภาคดำ ทำให้มีความเป็น "มิจฉาทิฐิ" หลงผิดไปได้, พลังงานภาคมืด ทำให้มืดมนและจมในทุกข์, พลังงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายหรือจิตใจ คือ ใช้แล้วทำให้ตนเองได้รับผลกระทบด้านลบ เช่น ใช้ทำร้ายคนอื่น แล้วย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้ด้วย ก็มีนะครับ ซึ่งพลังงานเหล่านี้ ไม่แนะนำให้ใช้นะครับ แต่ก็มีบางท่านที่ "ก่อนศึกษา" ไม่ทราบมาก่อนว่าพลังจิตที่ตนใช้นั้นมีพื้นฐานมาจากพลังงานสายใด เมื่อได้เรียนไปแล้ว จึงเริ่มเข้าใจและมีความรู้แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ง่ายๆ อีกแล้ว ก็มีครับ เช่น พระหลายรูป ที่คิดจะเอาดีทางอภิญญา อาจได้ครูถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์ให้ แทนที่จะได้มีวิชชาสายที่ถูกต้อง เช่น สายกรรมฐานที่ถูกต้อง เป็นต้น ผมคิดว่า เรื่องนี้ท่านอาจจะทราบดีนะครับว่าผลของการใช้พลังงานที่ผิดพลาด กลายเป็นปัญหามากขนาดไหน ดังนั้น ท่านที่ไม่ชำนาญก็ควรปฏิบัติเพื่อธรรม หรือเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณจะดีกว่าครับ เอาความเข้าใจ เอาปัญญาก่อนแล้วค่อยไปฝึกอภิญญาภายหลังจะปลอดภัยกว่าครับเพราะพลาดแล้วแก้ยาก



จิตวิญญาณที่จรออกจากร่างไปแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง?


กรณีที่ "จิตวิญญาณ" บางดวงของท่าน จรออกจากร่างไป ก็มีหลายทางที่เป็นไปได้ ทั้งด้านดีและร้าย ทางด้านดีคือ จิตนั้นจรออกไปยังภพภูมิที่ดี กลายเป็นตัวตนภาคสว่างคอยนำทางให้แก่สังขารเบื้องล่าง แบบนี้ พบได้บ่อยๆ ในท่านที่ถอดกายทิพย์ไปสวรรค์บ่อยๆ แล้วจิตวิญญาณดวงนั้น อาจไม่อยากจะกลับคืนสู่สังขารและภพมนุษย์อีก วิธีการแก้ไขคือ จำต้องพอใจในความเป็นมนุษย์ การดำรงชีพแบบมนุษย์ และภพมนุษย์หากจิตวิญญาณดวงนั้นไม่พอใจในภพ (วิภาวะตัณหา) เขาก็จะจรไปยังภพภูมิที่เขาต้องการและอยู่ได้ และยากมากที่จะเรียกเขากลับมา (เช่น พิธีเรียกขวัญ) ในด้านร้าย หากจิตนั้นหลงทางไปยังจักรวาล ท่านจำเป็นต้องส่งสัญญาณเรียกหาผู้ที่ชี้ทางให้แก่ท่านได้ เช่น พระพุทธเจ้า, ท้าวผกาพรหม (ซึ่งในปัจจุบันท่านไม่ได้ประจำพรหมโลก แต่ประจำอยู่กลางจักรวาล) หรือ แม้แต่พระบิดาจักรวาล ท่านจำต้องร้องขอความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ เพื่อหาทางกลับให้ได้ ไม่เช่นนั้น ท่านจะหลงไปและทำให้สังขารของท่านที่อยู่บนโลก เกิดปัญหาต่างๆ ได้ เช่น การหลงตัวเอง การไม่เข้าใจตัวเอง การหลงโลก หลงภพ และมีความคิดว่าตนเป็นเจ้าของจักรวาล เป็นต้น อีกวิธีหนึ่ง คือ ท่านก็ต้อง "สละจิตวิญญาณ" ดวงนั้นไปเสียเพื่อไม่ให้เขาส่งผลมายังท่านได้อีก ท่านจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่มีจิตวิญญาณนั้นแต่ท่านจะต้องใช้จิตวิญญาณดวงอื่นในการดำรงชีพแทน ซึ่งก็ได้เช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าจิตวิญญาณมีความคิด จิตใจ ของเขาเอง



การฝึกพลังจิตที่ผิดพลาด ก่อให้เกิดพลังจิตได้แต่จะเกิดผลร้ายมากกว่า


อีกกรณีหนึ่งคือ การได้รับการแนะนำให้ฝึกพลังจิตที่ดีและถูกต้อง แต่ถูกดัดแปลงหรือทำให้ผิดเพี้ยนไป เพราะตัวเองฝึกผิดพลาดหรือเพราะเหตุใดก็ตาม เช่น พลังธรรมจักร ที่หมุนไปทางสว่าง ถ้าไม่ผ่านการทดสอบก็อาจเกิดภาวะ "ตีกลับ" ไปหมุนทางด้านมืดได้ เมื่อเกิดเหตุการนี้กับท่านสิ่งที่ท่านควรทำอย่างยิ่งคือ "หยุด" หยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อนไม่ว่าจะเป็นความคิด, การพูด หรือการกระทำ เพื่อไม่ให้หลงทางมากไปกว่าเดิม ในบางท่านฝึกพลังอย่างหนึ่งแล้วเกิดภาวะ "ตีกลับ" ทำให้สิ่งที่ฝึกกลายเป็นสิ่งตรงข้ามได้ เช่น จากเดิมฝึกพลังสายร้อน ธาตุไฟ อาจตีกลับเป็นพลังสายเย็น ธาตุน้ำแข็งได้ นอกจากนี้ ยังมีบางท่านฝึกพลังหยินแล้วตีกลับเป็นหยาง (หญิงกลายเป็นชาย) และหยางกลายเป็นหยิน (ชายก็กลายเป็นหญิง) ก็มีได้ เป็นไปได้เหมือนกัน ท่านควรเข้าใจอย่างหนึ่งคือมนุษย์จะมี "ดุลยภาพหยิน-หยาง" หรือพลังคู่ตรงข้ามในตัว ไม่อาจจะคงสภาวะเพียงขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างเดียวได้ ทำให้เกิดภาวะ "ตีกลับ" ได้เมื่อฝืนฝึกพลังด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การฝึกแบบพลังคู่ตรงข้าม (พลังหยิน-หยาง) จึงเป็นทางออกอย่างหนึ่ง ในการแก้ไขนี้



การมี "ครูบาอาจารย์ที่มีสังขาร" คอยดูแลอย่างใกล้ชิดคือทางออก


เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา การมีครูบาอาจารย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดและคอยบอกทางแก้ไขให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป จึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าการฝึกเองคนเดียว เพราะการฝึกด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้ดูแลนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับ ผลกระทบจากการฝึกพลังจิตที่ผิดวิธีดังนั้น เมื่อท่านได้รับตำราหรือข้อมูลในการฝึกจิตใดไปแล้ว ก็ตาม ก็ควรแสวงหาครูหรือผู้ดูแลที่ไว้ใจได้ด้วย ที่ท่านสามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที และตลอดเวลา คือ ท่านควรไปอยู่กับครูท่านนี้ต่อเนื่องจนกว่าท่านจะฝึกสำเร็จ จึงจะออกไปได้ ถ้าท่านฝึกผิดพลาดครูผู้ดูแล ก็จะให้การช่วยเหลือ หรือแก้ไขให้ได้ อนึ่ง บางครั้ง ครูท่านนั้น อาจไม่สามารถดูแลได้ทุกอย่างได้ บางอย่างอาจเหนือบ่ากว่าแรงดังนั้น การรับศิษย์เพื่อฝึกพลังจิตนั้น จึงไม่ได้รับกันง่ายๆ เพราะต้องดูแลอย่างมากจนกว่าจะสำเร็จการฝึกพลังจิตได้อย่างแท้จริง นั่นเอง นี่คือ เหตุผลที่ว่าทำไม บางท่านพยายามหาครูบาอาจารย์ในการฝึกจิตแต่มันกลับไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด และศิษย์ต้องมีศรัทธาแน่วแน่เชื่อใจอาจารย์อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น ถ้าไม่อาจดูแลศิษย์ได้ จะกลายเป็นการสร้าง "นักพลังจิตด้านลบ" ขึ้นมาแทน และจะกลายเป็นผลร้ายไป 



สายธรรมและแนวทางในการฝึกจิตแบบตรงกันข้าม อาจช่วยท่านได้


นอกจากครูบาอาจารย์จะคอยดูแลให้ความช่วยเหลือท่านได้แล้ว ยังมี "สายธรรมตรงข้าม" ซึ่งฝึกพลังจิตแบบตรงกันข้ามอยู่ ในบางครั้ง ก็อาจช่วยเหลือท่านได้ เช่น เมื่อท่านฝึกวิชชาสายร้อน แล้วเกิดตีกลับมีพลังสายเย็นมาแทนที่ ท่านไม่อาจจะแก้ไขได้ บางครั้งท่านจำเป็นต้องอาศัยมุมมองและความรู้ ของผู้ที่ฝึกพลังจิตสายตรงข้าม เช่น พลังจิตสายเย็น เป็นต้น ซึ่งระดับ "กูรู" แล้ว จะทราบกันดีว่า หากท่านไม่อาจจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง ยังมีกูรูท่านอื่นใดพอจะหาทางออกหรือช่วยแก้ไขให้ได้บ้าง เรียกว่า ระดับกูรูนั้น เขาจะรู้ทาง รู้ธรรมกันเอง เมื่อเกิดมีปัญหาแบบนี้ขึ้น เขาสามารถยื่นมือช่วยเหลือกันได้เช่น ถ้าคนที่ฝึกจิตไม่สำเร็จแล้วเริ่มกลายสภาพเป็นนักพลังจิตด้านลบ กูรูผู้ที่ฝึกพลังสายตรงข้าม ก็อาจสามารถช่วยล้างพลังภายในของเขาได้ด้วย เพื่อไม่ให้เขากลายเป็นนักพลังจิตด้านลบ ถลำลึกไปมากกว่าเดิม ที่เรียกว่าการ "ทำลายอภิญญา" นั่นแหละ กูรู ท่านสามารถเก็บอภิญญาคืนกลับได้กรณีที่จำเป็นและแก้ไขไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องทำเช่นนั้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้กลายเป็นปัญหาต่อไป นั่นเอง (หลายท่านอาจเคยโดนแล้ว)


เอาละ วันนี้ เล่าให้ฟังแค่พอเล็กน้อยสบายๆ อย่าเครียดมากละ สวัสดี



24 ก.ค. 2555


"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย


瑠璃

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จิตประภัสสร-จิตหนึ่ง-จิตพุทธะ กับ ญาณตรัสรู้-การบรรลุธรรม สัมพันธ์อย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอกลับมาปูพื้นฐานธรรมให้ท่านแข็งแกร่งขึ้น เพื่อไม่ให้ท่านหลงทางหากท่องไปกลางจักรวาลนะครับ เอาละ เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้ คือ เรื่องของจิตที่หลายท่านยังสับสนอยู่มากเลยทีเดียว ผมจะขออธิบายลัด-สั้น-ง่าย-สบายๆ ก็แล้วกัน เชิญฟังครับ


"จิตหนึ่ง" ไม่เที่ยง อย่ายึดมั่นถือมั่นว่ามนุษย์จะต้องมีจิตหนึ่งอยู่ตลอด


ความเข้าใจผิดของคำว่า "จิตหนึ่ง" มีมากมายหลายประการ เช่น บ้างไปเข้าใจผิดคิดว่า "จิตหนึ่ง" คือ ภาวะเที่ยงของมนุษย์ หรือมนุษย์จะมี "จิตดวงเดียว" อยู่ตลอด "ซึ่งผิดถนัด" มันไม่ใช่อย่างนี้เลย ความจริงคือ "มนุษย์มีจิตวิญญาณหลายดวง" ทำให้สับสนและยากแก่การเข้าถึงธรรม พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คนบรรลุธรรมได้ง่ายขึ้นด้วยการ "โปรดเขาขณะเขามีจิตหนึ่ง" ซึ่งไม่ได้เกิดจากการรวมจิตให้เป็นหนึ่งจากการทำสมาธิแต่อย่างใด แต่เกิดจากการอาศัยจังหวะที่จิตวิญญาณดวงอื่นๆ จรออกจากร่าง "ชั่วขณะ" นั้นเอง ก็โปรดด้วยธรรมบริสุทธิ์ เขาที่มีจิตวิญญาณ มีอินทรีย์พร้อมมูลอยู่แล้ว จะบรรลุธรรมได้ง่ายมากแบบ "ฉับพลันขณะ" หรืออาศัยช่วยเวลาสั้นๆ ที่จิตวิญญาณดวงอื่นๆ จรออกจากร่างแบบฉับพลันขณะนั้น ในการถ่ายทอดธรรมจึงบรรลุธรรมได้ง่าย เพราะช่วงเวลาที่คนมีจิตหนึ่งนั้น "สั้นมาก" จึงต้อง "ฉับพลัน" ทันที เหมือนสายฟ้าฟาด (วัชระ) ดังนั้น คำว่า ฉับพลัน จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ ทว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จิตวิญญาณดวงอื่น ก็ต้องกลับเข้ามายังสังขารตามเดิม ทำให้สังขารนั้นๆ ไม่ได้มี "จิตหนึ่ง" อีกอีกประการ คำว่า "จิตหนึ่ง" ไม่ได้แปลว่า จิตนั้นคือพุทธะอะไรเลย ซึ่ง"ท่านฮวงโป" หลงคำว่าพุทธะมากไป ทำให้ยึดมั่นพุทธะ คิดว่าจิตคือพุทธะไปเสียหมด แท้แล้วจิตไม่ได้เป็นอะไร ไม่ใช่ทั้งพุทธะหรืออะไรทั้งสิ้น จิตมันบริสุทธิ์ของมันแต่มีวิญญาณขันธ์ปรุงแต่ง ทำให้เห็นเป็นกายทิพย์ต่างๆ กันไป พุทธะบ้าง, โพธิสัตว์บ้าง, มารบ้าง, เทพบ้าง ก็เท่านั้น



"จิตประภัสสร" ก็คือ ลักษณะของจิตทุกดวง ล้วนบริสุทธิ์เหมือนกันหมด


อีกประการหนึ่งคือ "จิตประภัสสร" ก็คือ ธรรมะ, ธรรมดา, ธรรมชาติของจิต มันมีลักษณะเหมือนกันทั้งหมด คือ "ประภัสสร" บริสุทธิ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจิตของเทพ, ยักษ์, มาร, พรหม, โพธิสัตว์, พุทธะ ฯลฯ ก็ไม่ต่างกันและ "ไม่เกี่ยวกับการบรรลุธรรม" กล่าวคือ ไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จะไปยึดโยงว่า "คนที่มีจิตบริสุทธิ์จะต้องบรรลุธรรม" อันนี้ "ผิดถนัด" อย่าไปยึด-สรุปเช่นนี้ คนมีจิตใสซื่อแต่โง่ และไม่มีปัญญา ก็มี คำว่าบริสุทธิ์ ไม่ได้แปลว่ามีปัญญาถึงนิพพานได้แล้ว ก็หาไม่ อันนี้ ต้องเข้าใจด้วย ดังนั้น จะบอกว่าคนทุกคนก็บรรลุธรรมหมดเพราะมีจิตบริสุทธิ์เหมือนกันโดยไม่ต้องทำอะไรนั้น "ไม่ได้" การบรรลุธรรม ได้ผลเป็น "อรหันต์" ที่เรียกว่า "อรหันตผล" นั้น ต้องเดินตาม "มรรค" ที่ถูกต้องเป็น "เหตุ" จึงก่อผลเป็นการบรรลุธรรมได้"อรหันตผล" ออกมาเป็นผลได้ ซึ่งการได้ผลเป็นอรหันต์นั้นจะไปยึดมั่นว่า"ต้องนิพพานแน่นอน" ก็หาได้ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น อรหันต์กับนิพพาน มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน อรหันต์คือผลจากการเกิดปัญญาแจ้งในนิพพาน โดยอาศัย"มรรคเป็นเหตุ" แต่ "นิพพานไม่เกิด-ไม่ดับ ไม่เนื่องด้วยอะไร มาเป็นเหตุให้เกิด เพราะไม่เกิด และไม่ดับ ด้วยไม่ใช่สมมุติใดๆ นั่นเอง" ดังนั้น เมื่อมีจิตประภัสสรเหมือนกันหมดแล้ว ปัญหาจึงไม่ใช่การฝึกจิตหรือทำให้จิตมีสภาพเปลี่ยนไปอย่างไร? ปัญหาคือ "ขันธ์ห้า" ที่ปรุงแต่ง "รอบจิต" อยู่ต่างหาก หากดับขันธปรินิพพานได้ ก็เข้าถึงนิพพานได้ ถ้าจิตนั้นไม่ไปทำอะไรอีก เช่น ไม่อธิษฐานอะไรไว้ ไม่ตั้งสัจจะอะไรไว้ ไม่ตั้งเจตนาจะทำไว้จิตจะไม่ส่งตัวเองไปสู่ตัวตนใหม่ ไม่เกิดอีก และตรงสู่นิพพานทันที แต่ถ้าทำการอธิษฐานจิตไว้ เช่น จะโปรดสัตว์ให้ถึง 5,000 ปี อย่างนี้ จิตจะคงอยู่ในฐานะ "มโนธาตุ" ยังไม่นิพพานอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้น 5,000 ปี



"จิตพุทธะ" กับ "การบรรลุธรรม" นั้นคนละอย่างกัน ยึดโยงกันไม่ได้


อีกประการหนึ่งคือ เราจะมียึดมั่น โยงใยว่าคนที่มีจิตพุทธะนั้นต้องบรรลุธรรมนั้น "ไม่ได้" คนที่มีบารมีแก่กล้า มีจิตวิญญาณถึงขั้นเป็นพุทธะ ก็อาจจะยังไม่บรรลุธรรม แต่ "พร้อมบรรลุธรรมทันทีโดยไม่ต้องฟังธรรม" ก็เท่านั้น เช่น ผู้ที่ "ยอมละสักกายทิฐิ" ไปบวชเป็นสาวกพระพุทธเจ้า ก็เพียงปลงผม หรือห่มจีวรเท่านั้น "โดยไม่ต้องฟังธรรม" ก็บรรลุอรหันต์ได้ทันที เพราะจิตวิญญาณเขาเป็นพุทธะมีญาณตรัสรู้ได้ด้วยตนเองอยู่แล้วติดอยู่เพียง "สักกายทิฐิ" เท่านั้นสิ้นไปด้วยการยอมเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเมื่อใด ก็บรรลุธรรมเมื่อนั้น ดังนั้น จึงมีคนที่เหมือนได้ธรรมขั้นตรัสรู้เองได้อยู่ แต่เขาอาจจะยังไม่ใช่พระอริยบุคคล จนกว่าเขาจะมีการละสักกายทิฐิได้ก่อน จึงจะบรรลุอรหันต์ได้ ซึ่งผู้ที่จะทำให้เขาละได้ก็มีแต่เพียง "พระพุทธเจ้า" เท่านั้นเอง ดังนั้น ท่านต้องแยกแยะระหว่าง "ญาณตรัสรู้" ที่มีอยู่ในพุทธสาวก และ "อาสวขยญาณ" ที่มีในผู้บรรลุอรหันต์ทั้งหลาย "เป็นคนละญาณกัน" เพื่อให้เข้าใจผู้ที่มีลักษณะพร้อมบรรลุธรรม หรือผู้ที่มีจิตวิญญาณถึงพุทธะแล้ว แต่ยังไม่ได้บรรลุธรรมนั้นผมจึงขอใช้ "สมมุติบัญญัติ" ทางโลก เรียกว่า "เซียนพุทธะ" ก็แล้วกัน



"จิตวิญญาณที่พร้อมบรรลุธรรม" ไม่จำเป็นต้องเป็น "พุทธะ" ก็ได้?


อีกประการหนึ่ง คือ จิตวิญญาณที่พร้อมบรรลุธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องมีวิวัฒนาการถึงขั้น "พุทธะ" ก็ได้ แต่ต้องมีวิวัฒนาการสูงระดับหนึ่งคือ "จิตวิญญาณตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไป" ที่ไม่ใช่มาร ล้วนพร้อมบรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธะเลย เช่น จิตวิญญาณโพธิสัตว์ (อยู่สวรรค์ชั้นที่สี่) สามารถบรรลุอรหันต์ได้ เรียกว่า "อรหันตโพธิสัตว์" จิตวิญญาณพรหม สามารถบรรลุอรหันต์ได้ เรียกว่า "อรหันตพรหม" หรือแม้แต่จิตวิญญาณเทพ สามารถบรรลุอรหันต์ได้เรียกว่า "วิสุทธิเทพ" ก็มี เอาละ "นี่เป็นแค่ชื่อเรียก" เท่านั้น อย่าไปสับสนกับเพียงแค่การใช้คำซึ่งเป็นเรื่องสมมุติเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง สำหรับ "จิตวิญญาณที่ไม่มีวิวัฒนาการสูงพอ" คือ อยู่ในมิติที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไป ก็จะต้อง "กำเนิดใหม่" ให้อยู่ในระดับมนุษย์ขึ้นไปก่อน จึงจะ "พร้อมรับธรรมได้" นั่นเอง ดังนั้น บางลัทธินิกาย จึงเกิดการแตกแยกกันเพราะเหตุเรื่องนี้ เช่น ทางนิกายเซน จะมุ่งเน้นให้มี "โพธิจิต" หรือ "จิตโพธิสัตว์" แล้วบรรลุด้วยการถ่ายทอดธรรมโดยรับจากอาจารย์ (ไม่ได้ตรัสรู้เอง) จนมีคำพูดติดหูว่า"ศิษย์โง่ มาเรียนเซน" บ่อยๆ ในขณะที่วัชรยานจะเน้น "พุทธะ" หรือการเข้าถึงการตรัสรู้ด้วยตนเอง แล้วจึงละสักกายทิฐิ มา "ต่อสายธรรม" ในภายหลัง (เพื่อไม่ให้เป็นเซียนพุทธะ) ดังนั้น จึงมุ่งเน้นการเข้าถึงด้วย"ประสบการณ์ตรง" ไม่ผ่านการบอกเล่าหรือรับธรรมจากอาจารย์ท่านใด



ไม่มีใคร "อ่านตำราเองแล้วบรรลุเองได้" เพราะไม่ใช่ยุคพระปัจเจกฯ


นี่ยังไม่ใช่ยุคพระปัจเจกฯ การใช้ตำรา อ่านตำราธรรม จึงทำได้เพียง "สุตมยปัญญา" เท่านั้น ต่อให้มีความเข้าใจสูงมากเท่าใด มันก็ยังไม่ใช่ "ภาวนามยปัญญา" แม้ว่าไปเพียรภาวนาเอง ก็ใช่ว่าจะบรรลุธรรมเองได้ เพราะไม่ใช่ยุคพระปัจเจกฯ ที่จะมาบรรลุธรรมเอง แต่มีบ้างที่คนบางคนจะเข้าถึง "พุทธะ" ตรัสรู้ถึงนิพพานได้เอง แต่เขาก็ไม่อาจเรียกได้ว่าบรรลุอริยผล เรียกได้ว่าบรรลุธรรมอย่างอื่น เช่น บรรลุเซียน (แต่ไม่ถึงขั้นโสดาบันเพราะยังมีสักกายทิฐิอยู่) เขาก็สามารถตรัสรู้ธรรมถึงนิพพานได้เอง แต่เขายังไม่ได้นิพพาน เมื่อเขาตายลงจะจุติไปยังสุขาวดีโลกธาตุเกิดใหม่เป็น "พระยูไล" หรือ "พุทธะ" พระองค์หนึ่ง เท่านั้นเองการที่ใครจะบรรลุธรรมได้ต้อง "ผ่านการต่อสายธรรม" จากท่านที่บรรลุธรรมแท้จริง เช่น พระพุทธเจ้า โดยตรง, หรือพระอรหันตสาวก ทว่า ถ้าท่านไปฟังธรรมจากพระอรหันต์มา เป็นลูกศิษย์เขา แล้วอยู่ๆ กลับมาคิดอะไรได้เอง อย่าคิดว่านี่คือ การบรรลุธรรม มันไม่ใช่แบบนี้ ถ้าท่านจะได้บรรลุธรรมตามสายธรรมจากพระอรหันต์รูปใด ท่านจะบรรลุเมื่อฟังธรรมโดยตรงขณะนั้นๆ เลย ต่อหน้ากันเลย ไม่ใช่มาบรรลุเองภายหลัง นั่นไม่ใช่การบรรลุโดยการต่อสายธรรม เอาละ เรื่องธรรมะเป็นเรื่องซึ่งละเอียดอ่อนมากมีรายละเอียดปลีกย่อยมีมากมายที่ไม่อาจอธิบายได้หมดในที่นี้


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายนั้นช่วยให้ท่านตื่นแจ้งโดยพลัน สวัสดี



23 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลูซิเฟอร์ดึงเทพ-ผู้คนสู่ภพมืดได้อย่างไร (ฟง-อวิ๋น-Frozen คือ ใครกันแน่?)

สวัสดีครับ วันนี้ เรามาคุยกันง่ายๆ สบายๆ เรื่องพื้นๆ คือ เรื่องที่ว่าลูซิเฟอร์ดึงเอาเทพและมนุษย์ลงสู่ภพมืดได้อย่างไร? และจิตวิญญาณผู้รับใช้สำคัญของเขาทั้งสามนั้นคือ ฟง-อวิ๋น-Frozen แท้แล้ว ตัวจริงของเขาคืออะไรกันแน่? เอาละ ฟังกันเล่นๆ เป็น "นิทาน" ก็แล้วกันนะครับ อย่าซีเรียสมาก!


กายที่แท้จริงของ ลูซิเฟอร์-ฟง-อวิ๋น-frozen คือ อะไรกันแน่?


ทั้ง 4 นี้ล้วนเคยเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์มาก่อนนะครับ แต่ด้วย
ทำผิดกฏสวรรค์แล้วหนีทัณฑ์สวรรค์มา จึงกลายเป็น "ซาตาน" ครับ เอาละ เขาทั้ง 4 นี้ เมื่ออยู่บนสวรรค์ คือ ท่านใดกันแน่ เริ่มจากท่านแรก ลูซิเฟอร์ เดิมก็คือ "พระนารายณ์องค์หนึ่ง" ครับแต่เพราะแอบกิน "ผลไม้แห่งการหยั่งรู้เข้าไป" ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของสวรรค์ เขาจึงรู้เรื่องอะไรมากมาย แม้แต่ด้านที่ไม่ดีนักของ "พระเจ้า" นะครับ เขาก็เลยเลิกศรัทธาพระเจ้า และกลายเป็นซาตาน ตามมาด้วย บุตรของเขา คือ พระกามเทพองค์หนึ่งเดิมเกิดความรักกับพระเทวีองค์หนึ่งซึ่งมีศักติที่สูงกว่าจึงอกหักแล้วเกิดภาวะเยือกเย็นภายใน ไม่รักใครอีกเลย ท่านอยู่เหนือรักและใช้ความรักเป็นอาวุธเล่นงานผู้คนทั้งหลายกลายเป็นซาตานไป ตามมาด้วย "มารเคลื่อนย้ายบุญกรรม" เขากลายเป็นซาตานผู้รับใช้ของลูซิเฟอร์ ที่ผมเรียกชื่อเล่นๆ ว่า "ฟง" ตามมาด้วยมารอีกตนคือ "มัจจุราชมาร" กลายเป็นซาตาน ผมเรียกเขาว่า "อวิ๋น" เอาละ เมื่อท่านรู้จักซาตานที่สำคัญถึงสี่ตนแล้ว ผมจะได้เล่าต่อไป



วิธีการดึงคนสู่ภพมืดสไตล์ "ลูซิเฟอร์" นั้น ทำกันอย่างไร?


ที่นี้เรามาลองดูวิธีการดึงคนและเทพลงสู่ภพมืดของตัวละครแรกของเรา คือ ลูซิเฟอร์ ... ลั้ลลา ดูสิว่าเขาจะมีวิธีดึงคนลงสู่ภพมืดอย่างไร? อ่า ไม่ยากเลยครับ คนไหนก็แล้วแต่ที่มีจิตอยากได้ มีกิเลส แค่คิดเท่านั้นเองครับ เช่น คิดว่าอยากสร้างวัดจัง แค่เนี้ยแหละ ลูซิเฟอร์ก็จะมาทำให้โดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรมบวงสรวงหรือบนบานอะไรเลยหรือจะมีพิธีกรรมบนบานก็ได้ แล้วแต่ ได้ทั้งนั้น ที่สำคัญมันอยู่ที่ "ท่านมีอะไรดีในตัว" ที่มีค่าพอที่เขาจะสนใจหรือเปล่า? เช่น มีจิตวิญญาณที่มีพลังอำนาจมากๆ มีฤทธิ์มากๆ หรือมีบารมีมากๆ เขาก็จะต้องการมากครับ เพราะสิ่งที่ลูซิเฟอร์ต้องการมากที่สุดในโลกนี้ ก็คือ "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์" เขามีจิตหยั่งรู้เพราะกินผลไม้แห่งการหยั่งรู้เข้าไป จึงรู้ว่าการได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์จะทำให้เขากลับคืนสู่สวรรค์ได้ครับ แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อยู่ที่มนุษย์คนไหน เขาจึงหาไปเรื่อยๆ ดึงวิญญาณคนมาเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่พบสักทีครับ นั่นแหละ เหตุที่เขาต้องการวิญญาณมนุษย์! ซึ่งเขาจะให้พรหรือให้คนๆ นั้นได้ดังใจต้องการก่อน แล้วเขาก็จะแลกเอาวิญญาณของคนๆ นั้นไปเป็นค่าตอบแทนนั่นเองครับ



วิธีการดึงคนสู่ภพมืดสไตล์ "ฟง" นั้น ทำกันอย่างไร?


ที่นี้เรามาลองดูวิธีการดึงคนและเทพลงสู่ภพมืดของตัวละครตัวที่สองของเรา คือ "ฟง" กันบ้างนะครับ เอาละ ฟงก็เคยเป็นพญามารตนหนึ่งในสวรรค์ชั้นที่หกนะครับแต่เขาไม่ได้มีอำนาจสูงสุด แต่มีฤทธิ์ไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะเขามีวิชามารประหลาด เคลื่อนย้ายพลังงานต่างมิติได้ทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่บุญกรรมนะครับ เขาสามารถย้ายพลังบุญของคนๆ หนึ่งไปให้คนอีกคนหนึ่งได้ เขาจึงสามารถแลกเปลี่ยนอะไรกับคนได้มากมาย ตามที่คนร้องขอเลยครับ เช่น คนๆ หนึ่งอยากสวยหรือหล่อในชาตินี้ ก็จะร้องขอเขา เขาก็จะทำให้ได้เลยครับ (แต่สุดท้าย คนๆ นั้นต้องสูญเสียอะไรบางอย่างให้เขานะครับ อาจจะไม่ใช่จิตวิญญาณ เช่น ต้องยอมแลกกับบุญอย่างอื่นแทน) ฟงจึงเชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรองและการแลกเปลี่ยน มีพลังในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจทุนนิยมมากเลย ซึ่งเขาสามารถทำให้ทุกอย่างที่คนต้องการ กลายเป็นสินค้าได้ครับ อะไรละที่คุณต้องการแล้วไม่มีขาย? เขาทำให้มันมีได้เลยครับ วิเศษมั้ยละ? ดังนั้น พลังของฟงจึงมีผลมากกับคนที่มี "ความโลภ" นะครับ (กิเลสอื่น เขาไม่นิยมเล่น)



วิธีการดึงคนสู่ภพมืดสไตล์ "อวิ๋น" ละ ทำกันอย่างไร?


ตัวละครตัวต่อไปของเรา คือ "อวิ๋น" หรือก็คือ มัจจุราชมาร นั่นเอง เขาก็คือ พญามารตนหนึ่งในสวรรค์ชั้นที่หกซึ่งสามารถแปลงกายให้เป็นพระยามัจจุราชได้แต่ไม่ใช่พระยามัจจุราชองค์จริง ซึ่งเป็นแค่ เทพสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนะครับ ทีนี้ วิธีการของอวิ๋นมีหลายวิธีครับ เช่น ทำให้คนนึกว่าถึงคราวตายแล้ว จึงร้องขอว่าอย่าให้ฉันตายเลย ก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของเขาครับ คือ เขาจะช่วยให้ไม่ตายแต่จะต้องทำงานรับใช้เขา เช่น กลายเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย อะไรแบบนั้น (ซึ่งสุดท้าย ก็ต้องตายอยู่ดี) หรือบ้างก็ถูกสั่งให้ใช้พลังจิตทำร้ายคน ฆ่าคนเยอะๆ ครับ เพราะนี่คือ สิ่งที่มัจจุราชมารต้องการ เขาต้องการให้คนตายไปซะ และทำลายล้างระบบ ระบอบทุกอย่างครับ เพราะเขามี "ความอาฆาตสูง" จริงๆ นอกจากนี้ เขาก็ให้พลังพิเศษหรือของทิพย์วิเศษ แก่คนที่มี "ความอาฆาตแค้น" ให้ไปแก้แค้นคู่อริของตนแล้วต้องแลกด้วยการเป็นทาสของเขาศรัทธาเขาแต่ผู้เดียวครับ เขาจึงถนัดจะใช้ความโกรธแค้นและความหวาดกลัว (กลัวตาย) ของคนเป็นเครื่องมือครับ



วิธีการดึงคนสู่ภพมืดสไตล์ "Frozen" ละ ทำกันอย่างไร?


ตัวละครตัวต่อไปของเรา คือ "Frozen" หรือก็คือ กามเทพภาคมืด ซี่งตกสวรรค์แล้ว นั่นเอง แหม ไม่ยากเลย ชื่อก็บอกชัดเจนว่าเป็นกามเทพ เขาเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก มีอำนาจอยู่เหนือความรัก และใช้ความรัก ความหลง ของคนและเทพเป็นเครื่องมือครับ ทว่า เดิมที่เขาเป็นเทพสวรรค์เขาจะมีบัญชีสวรรค์ ไว้ดูว่าใครจะคู่กับใคร นะครับ แต่เมื่อเขาไม่ได้ทำงานบนสวรรค์แล้ว เขาจะไม่ทราบเลยว่าใครควรคู่กับใคร? เขาจึงใช้พลังอำนาจแห่งกามเทพ ไปในทางที่ตัวเองต้องการ ไม่สนว่าใครจะได้รับผลอย่างไร ที่สำคัญคือ เขาจะจับคู่ให้คนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ หรือคนที่ไม่ควรรักกัน เพราะผิดประเพณีฯ เช่นเป็นเพศเดียวกัน, คนกับสัตว์, คนกับอมนุษย์, ลูกกับแม่ ฯลฯ เป็นต้น เพื่ออะไรละ? ก็เพื่อให้คนทำผิดประเวณีไงละ พอมีคนหรือเทพทำผิดประเวณีแล้ว เขาผู้นั้นก็จะกลายสภาพเป็นพวกของภาคมืด หรือบริวารซาตานในที่สุด เห็นหรือยังว่าเขามีวิธีลากคนลงสู่ภพมืดนี้ได้อย่างแนบเนียนได้อย่างไร? ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยละ! นอกจากนี้ ด้วยความที่เขามีพลังภายในเป็นธาตุน้ำแข็งทำให้เขาใจเย็นจนเลือดเย็น รักใครไม่เป็น แต่ทำให้คนอื่นรักได้มากมาย กลายเป็นทาสของความรักของเขาไป แล้วก็ยังเป็นคนที่ฉลาดมีปัญญามาก เท่าทันเล่ห์กลของคนอื่นอีกด้วย 



เทพสวรรค์ที่แท้จะมีบัญชีสวรรค์และทำงานตามบัญชีนั้นๆ


สิ่งที่ท่านควรทราบอีกประการหนึ่งคือ เทพสวรรค์ที่แท้จริงเขาจะมี "บัญชีสวรรค์" เพื่อใช้ในการทำงานของเขาครับเช่น เทพแห่งโชคลาภ ก็จะมีบัญชีแห่งโชคลาภ เพื่อมอบโชคลาภให้คนที่ควรได้ตามบัญชีสวรรค์นั้นๆ ครับ สำหรับ "ซาตาน" หรือเทพที่ตกสวรรค์แล้ว จะไม่มีบัญชีสวรรค์นี้พวกเขาจึงทำงานตามใจตัวเอง หรือทำอย่างที่ตัวเองคิดโดยไม่สนใจว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ สวรรค์มีบัญชาอย่างไร อนึ่ง ท่านต้องทราบอีกนิดหนึ่งว่า "พระโพธิสัตว์" จะมี "บารมี" ที่จะคิดเองทำเองในสิ่งต่างๆ ได้ตามควรแต่เทพจะไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น เพราะไม่มีบารมีมากพอจะรับผิดชอบผลที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ นอกจากนี้ "พุทธะ" ไม่ต้องมีบัญชีสวรรค์ก็ได้ สามารถสั่งงานพระโพธิสัตว์ได้เลยเพราะมี "ญาณหยั่งรู้ได้ด้วยตนเองแล้ว" นี่คือ ข้อต่างครับด้วยเหตุนี้ "ซาตานหรือภาคมืด" จึงมักไปอาศัย "ร่มบารมีของพระโพธิสัตว์หรือองค์พุทธะ" เพื่อทำกิจต่างๆ เพราะไม่มีบัญชีสวรรค์อยู่ในมือ ต้องทำงานตามรับสั่ง ของท่านเหล่านี้จึงจะไม่เกิดปัญหาหรือถ้าเกิดปัญหาก็มีผู้รับรองผลให้ครับ



คนส่วนใหญ่ มักไม่มีความ "อดทนรอ" ที่จะรับบุญจากเทพสวรรค์


สิ่งที่ท่านควรทราบอีกประการหนึ่งคือคนบนโลกจำนวนมากที่เสวยผลบุญกันอยู่นั้น พวกเขากำลังเสวยผลบุญมากเกินไปผิดเวลาและมีสภาพไม่ต่างจาก "ชูชก" กล่าวคือพวกเขาเสวยผลบุญเกินกำลังและกำลังถูกภาคมืดครอบงำลงสู่ภพมืดไป พวกเขาไม่มีความอดทนที่จะรอ "เทพสวรรค์" มามอบผลบุญให้ เช่น เทพแห่งโชคลาภยังไม่ทันมาถึง เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่ "ซาตานแห่งโชคลาภ" ก็มาถึงคนผู้นั้นๆ ก็รับโชคลาภจากซาตานไปเสียก่อนแล้ว พวกเขาคิดว่ามันคือโชคดีจริงๆ, เป็นผลบุญของเขา ที่แท้จริงบ้าง ฯลฯ แท้แล้ว ไม่ใช่เลยผมจะบอกวิธีสังเกตุให้นะว่าอะไรคือ "บุญที่แท้จริง" อะไรคือบุญจอมปลอม ยกตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งอยู่เฉยๆ ได้รับโชคลาภโดยญาติเสียเขาจึงต้องได้รับมรดกไป โดยที่ยังไม่ได้ก่อกรรมอะไรเลย แบบนี้ ก็คือ "บุญ" ครับ มันออกผลมาเอง โดยเขาไม่ได้ก่อกรรมอะไรเลย ทว่า คนอีกคนหนึ่ง เอาเงินไปแทงหวย ก่อกรรมเล่นพนัน แล้วก็ได้เงินจากหวยมา แบบนี้ไม่เรียกว่า "ผลบุญ" ครับ มันคือ "ผลกรรม" ที่ทำขึ้นในชาติปัจจุบันนี้ โอเค? พอเห็นอะไรแล้วบ้างหรือยัง? ว่าคนปัจจุบันไม่ได้มีบุญเยอะกันจริง อย่างที่พวกเขาได้รับ แต่พวกเขาได้ก่อกรรมปัจจุบันขึ้นมามากมาย เพื่อให้พวกเขาได้มี, ได้เป็น อย่างที่พวกเขาได้รับอยู่ ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จทางโลกทั้งหลายของมนุษย์นั้นก็คือ "ซาตาน" ไงครับ



โอเค? ลั้ลลาๆ อย่าเพิ่งซีเรียสเกินไปนะครับ บอกแล้วว่าเล่าให้ฟังกันเล่นๆ เป็นนิทานก็เท่านั้นเองครับ ทำใจเบาๆ สบายๆ อย่าคิดอะไรมาก ปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่มั่งอย่าทำเองไปซะหมด เรื่องที่เล่าให้ฟังมานี้ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ใหม่อะไรสำหรับโลกใบนี้นะครับ มันมีมานานแล้ว และก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีกิเลสที่ถมไม่เต็มเสียที เรียกว่าเรื่องเก่า เอามาเล่าให้คนกลุ่มใหม่ ฟัง "คนข้างบน" เขารู้กันมาตั้งนานแล้ว ดังนั้น ก็ไม่ต้องไปตกอกตกใจอะไร ฟังแค่พอรู้ ไม่ต้องถึงกับหลงไปนะครับ


ขอพลังแห่งขั้วบวกช่วยให้คุณพอใจสิ่งที่คุณมีอยู่ สวัสดี



21 ก.ค. 2555


"เสียงจากดาวไซย่า"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"รักเหนือขอบเขต" รักกับอมนุษย์-สัตว์-เพศเดียวกัน ก็ได้ทั้งสิ้น?

สวัสดีครับ เห็นหัวข้อในวันนี้ อย่าเพิ่งตกใจ คิดว่าจะเป็นการเผยแพร่แนวคิดวิปริตหรือลัทธิประหลาดนะครับแต่นี่คือ "สัจธรรมความจริงแห่งความรักที่เหนือขอบเขตใดๆ" หรือก็คือรักที่บริสุทธิ์แท้จริง ที่ท่านอาจจะได้เคยได้รับฟังจากที่ใดมาก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทัศนาครับ


"ความรัก กับ กาม" เป็นคนละสิ่งกัน ท่านจะต้องแยกแยะออกจากกัน


อย่างแรกที่ท่านควรทราบก่อนอื่นเลยก็คือ ความรักและกามนั้น เป็นคนละสิ่งกัน หมายความว่าอะไร? ความรักแท้ที่บริสุทธิ์และเหนือขอบเขตใดๆ จะขวางกั้นนั้น ไม่เกี่ยว ไม่เนื่องด้วยกิเลส, ตัณหา หรือกามฯ เลยมันเป็น ความรักที่บริสุทธิ์ อย่างแท้จริง และไม่เนื่องด้วยสังขารใดๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ทุกสังขารหรือแม้แต่ไม่มีสังขารก็ตาม เช่น ความรักที่เกิดกับอมนุษย์, ปีศาจ, นางงู, นางแมงมุม, สัตว์เดรัจฉาน, มนุษย์เพศเดียวกัน ฯลฯ ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะสิ่งนี้ไม่เนื่องด้วยสังขาร ไม่เกี่ยวกับกามแต่อย่างใด และมันไม่มีความผิดแต่ประการใดเลย เพราะตราบใดที่เราไม่ได้ใช้สังขารในการเสพกาม เราไม่ได้ผิดประเวณี มันก็คือ "ความรักที่บริสุทธิ์" ที่ไม่ถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยอะไร ใดๆ เลย มันเป็นสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ใน "เบื้องลึกของจิตใจอันแสนลึกลับ" และเป็นความลับของจิตที่ปิดซ่อนไว้ เพราะมันอาจรัก และเรียกร้องต่อสิ่งที่สังคมปฏิเสธ หรือไม่ต้องการ ก็ได้? เพราะนี่คือ "พลังดึงดูด ที่มาจากจิตเบื้องลึก" อย่างแท้จริง มันพ้นแล้วจากเรื่องที่เกี่ยวเนื่องด้วยสังขารใดๆ มันจึงอาจเรียกร้อง"บางสิ่ง" ที่ "พร้อมเติมเต็ม" ให้แก่มัน และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์และสมดุลแม้ว่ามันจะขัดแย้งกับค่านิยมในสังคมก็ตาม



"ความรัก" คือ พลังดึงดูดเพื่อการหลอมรวมของสองมโนธาตุให้สมดุล


อย่างที่สอง ที่ท่านควรทราบคือ "ความรักคืออะไร?" แท้จริงแล้วมันก็คือ "พลังดึงดูด และถ่ายเทให้" ของมโนธาตุ (จิต) สองดวง ที่พร้อมหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเติมเต็มกันและกันให้สมดุลและสมบูรณ์ ซึ่งผลที่ได้คือ "วิวัฒนาการขั้นสูงสุดแห่งมโนธาตุสายพันธุ์มนุษย์" ซึ่งก็คือจิตวิญญาณ "พุทธะ" นั่นเอง สรุปง่ายๆ ก็คือ จิตวิญญาณจะดึงดูดหรือถ่ายเทพลังงานให้แก่กัน เพื่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายให้สมดุลและกลับคือสู่ภาวะสูงสุดของจิตวิญญาณหรือ "พุทธะ" นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น การหลอมรวม มโนธาตุของ "พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์" ซึ่งพร้อมแล้วด้วยขณะนั้น มโนธาตุที่ถูกฝังไว้แนบแน่นว่าจะไม่ขอบรรลุพุทธะตราบสัตว์นรกไม่หมดสิ้น มโนธาตุนั้นได้นิพพานหมดเหลือแต่"วิญญาณขันธ์" จะผสมบวกเข้ากับ "จิตวิญญาณของอวโลกิเตศวร" ที่ได้ทำการดับวิญญาณขันธปรินิพพานแล้ว เหลือแต่ "มโนธาตุ" ทั้งสองนี้(วิญญาณของพระกษิติครรภ์ และ มโนธาตุของพระอวโลกิเตศวร) จะมาผสมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและสำเร็จเป็น "พุทธะ" โดยสมบูรณ์ หรือแม้แต่การหลอมรวมกันของจิตวิญญาณ "พระเมตตรัยโพธิสัตว์ กับจิตวิญญาณอื่นๆ" เช่น จิตวิญญาณเทพนักษัตร หรือพระนารายณ์ ก็สามารถสำเร็จถึง"พุทธะ" ได้เช่นกันเพราะนี่คือการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของจิตวิญญาณ



"พระศรีอาร์ฯ องค์ปฐม" ของภัทรกัปหน้า จะตรัสรู้ด้วยวิธีดังกล่าวนี้


อย่างที่สาม ที่ท่านควรทราบคือ แม้แต่การตรัสรู้ของพระศรีอาร์ฯ องค์ปฐมของภัทรกัปหน้า ก็จะเกิดจากการผสมของจิตวิญญาณสองดวงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยจิตวิญญาณดวงหนึ่งจะอยู่ในร่างของ "สตรีเพศ" มาก่อน และเป็นจิตวิญญาณภาคแบ่งของท่านเอง ซึ่งจรไปอาศัยในร่างของสตรีเพศ เนื่องจากท่าน "ไม่มีสังขารเป็นสตรีเพศ" อีกแล้ว ดังนั้น ท่านจึงต้องแบ่งภาคส่วนจิตวิญญาณออกไปอยู่ในร่างของสตรีเพศเพื่อเรียนรู้และเข้าใจสตรีเพศแทน ในขณะที่ร่างสังขารที่พร้อมจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นจะมีความเป็นชาย (หยาง) ตามปกติ เมื่อจิตวิญญาณสองดวง หลอมรวมกันแล้ว ท่านจึงจะตรัสรู้เป็น "พุทธะ" ได้สำเร็จ และไม่ต้องไปเกิดในสังขารของสตรีเพศโดยตรงก็สามารถเข้าใจในความเป็นสตรีเพศได้ด้วยวิธีแบบนี้ และผลจากสิ่งนี้ ทำให้ท่านมีกำลังในการโปรดสตรีเพศได้ด้วย ข้อนี้จะแตกต่างจากพระศรีอาร์ฯ องค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ที่ไม่สามารถโปรดสตรีเพศได้ 



"การสอนเรื่องความรัก-ใคร่" ของธรรมยุคนี้ ทำให้เกิดทัศนคติเชิงลบ

อย่างที่สี่ ที่ท่านควรทราบคือ หากท่านได้อ่านตำราไตรปิฎก ท่านจะพบว่ามีการสอนเรื่องความรักใคร่ในเชิงลบเช่น การมองว่ากามเลวร้ายหรือความรักมีแต่ด้านของความลุ่มหลงและเป็นกิเลสเท่านั้น แต่ไม่มีใครมาแจ้งความจริงให้กระจ่างว่าแล้วทำไมคนเราต้องมีกามกัน ทำไมต้องรักกัน? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ทราบว่ามาจากการสอนของพระพุทธเจ้าจริงหรือว่ามาจากการแต่งตำราไตรปิฎกของคนรุ่นหลังกันแน่? แต่ในความจริงแล้วก็คือ "ความรักและความใคร่" เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ไม่มีความถูกหรือผิด, ดีหรือชั่ว, บวกหรือลบในตัวมันเอง ทั้งสิ้น บุคคลที่ไม่เข้าใจก็จะลุ่มหลงมันได้ ส่วนผู้ที่กลัวถูกมันครอบงำให้ลุ่มหลงก็จะเอนซ้ายคือมอง "ความรักและความใคร่ในแง่ลบ" และพยายามกดข่มความรู้สึกไว้ด้วย "ธรรมวินัย" ต่างๆ และทำให้ไม่มีใครสักคน ที่เข้าใจ หรือรู้แจ้งในสิ่งที่เรียกว่า "ความรักหรือความใคร่" นี้เลย ทว่า นี้ไม่ผิดแต่ประการใดเพราะเป็น "ธรรมะที่เหมาะสมกับคนในยุคนี้แล้ว" นั่นเอง มันเป็นธรรมที่ใช้ได้กับปวงสัตว์ที่พร้อมจะเข้านิพพานในยุคนี้ (แต่ไม่เหมาะกับยุคหน้า)



เมื่อท่านรักใครสักคนหนึ่งท่านไม่จำเป็นต้องเป็น "ตัวตนตัวนั้น" ก็ได้?


อย่างที่ห้า ที่ท่านควรทราบคือ เมื่อท่านรักใครหรืออะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องเป็นตัวตนตัวนั้น เช่น ถ้าพระสาวกรักพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าพระสาวก จะต้องเป็นเกย์ เสมอไป มันก็แค่ "ความรักที่บริสุทธิ์" เท่านั้นเอง ความรักหรือแม้แต่ความใคร่ ก็เป็น "ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของชีวิตทั้งหมดของท่าน" (Slice of life) ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องเป็นมันทั้งตัวตนของท่าน และท่านไม่ควรปล่อยให้ความคิด"เศษเสี้ยวเล็กๆ" นั้น "กลืนกินท่านไปทั้งตัวตน" ยกตัวอย่างเช่น ถามว่าคนที่เคยทำงานขาย เขาต้องเป็น "นักขายทั้งชีวิต" หรือเปล่า? คนที่เคยทำนา จะต้องเป็นชาวนาทั้งชีวิตหรือไม่? ไม่เลย มันก็อาจเป็นแค่"ส่วนเสี้ยวหนึ่งในชีวิตทั้งหมดของท่าน" ก็เท่านั้นเอง อย่าให้ส่วนนี้มาครอบงำและกลืนกินท่านไปหมดทั้งตัวตนได้ ท่านสามารถไปเป็นอะไรๆ ได้อีกมากมาย คนบางคนมีหลายอาชีพ หลายบทบาท หลายตัวตนแล้วเขาต้องเป็นตัวตนไหนทั้งชีวิตหรือไม่? ไม่เลย เขาก็คือเขาที่สามารถจะ"สวมหัวโขน" แล้วถอดมันออกมาได้ หลากหลายใบ ก็เท่านั้นเอง คนที่มีความรักกับอะไรสักอย่าง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวตนนั้น เช่น ถ้าเขามีความรักกับเพศเดียวกัน เขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็น "ผู้รักร่วมเพศ" เพราะเขาก็คือเขา ที่มีความรักแบบนั้น เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ หนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง เขายังเป็นอะไรได้อีกมากมาย การที่เขาถูกเรียกว่าเป็น "เกย์" ก็ดี, เลสเบี้ยน ก็ดี, ฯลฯ มันคือ "การตีตรา" ของสังคมที่จองจำเขา กักขังให้เขาต้องอยู่กับ "ตัวตน" หรือ "หัวโขน" นั้นๆ เพียงอันเดียว ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับคนที่ถูกเรียกว่า "คนพิการ" เขาอาจแค่มีความพิการเป็น "ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ส่วนหนึ่งของชีวิต" ก็เท่านั้น แต่เขาเป็นอะไรได้อีกมากมาย ไม่ใช่แค่ "คนพิการ" ดังที่สังคมตีตราให้เขาเป็น เท่านั้น?



"กาม" เป็นสิ่งที่ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขต แต่ "ความรัก" ไม่มีขอบเขต


อย่างที่หก ที่ท่านควรทราบคือ "กาม" ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตไม่ออกไปนอกขอบเขต การออกนอกขอบเขตของกาม ทำให้ผิดศีล ผิดประเวณีได้ ซึ่งส่งผลให้จิตวิญญาณของท่าน "มืดมัวหมองลง" ถ้าท่านผิดเฉพาะความคิด ท่านอาจได้รับ "พลังมืดดำ" เพียงบางส่วน ซึ่งท่านสามารถจะชำระล้างได้ ไม่ยาก ไม่นานเกินไป แต่ถ้าท่านผิดโดยสังขาร่วมด้วย ท่านก็จะได้รับพลังดำมืดมาก และต้องใช้เวลาในการชำระล้าง ที่ยาวนานขึ้นนั่นคือ "ผลจากการผิดในกาม" ทว่า สำหรับ "ความรัก" แล้ว มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "ขอบเขต" ยิ่งถ้าท่านสามารถมีความรักได้อย่างไร้ขอบเขต มีพลังในการข้ามขอบเขตหรือกำแพงที่ขวางกั้นความรักของท่านไปได้นั่นจะยิ่งทำให้พลังแห่งรักของท่าน "ไร้ขีดจำกัด" ไปมากยิ่งขึ้น มันจะทำให้"ดวงใจของท่านใหญ่โต" ยิ่งขึ้น หัวใจที่ยิ่งใหญ่และพองโต จะเป็นหัวใจที่มีพลังมาก รับพลังและส่งพลังได้มากยิ่งขึ้น จะขยายขีดจำกัดในใจของท่านออกไปได้อีก ไม่ว่า ท่านจะเคยมีอะไรเป็นกำแพงขวางกั้นในใจ หรือมีอะไรเป็นเครื่องขวางกั้นพลังแห่งรักของท่าน ทุกอย่างจะถูกทำลายให้สิ้นไปด้วย "พลังแห่งรักที่ไร้ขอบเขตนั้น" มันคือ พลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งกำแพงที่ขวางกั้นใดๆ ก็ไม่อาจขวางกั้นมันได้เพราะพลังแห่งรักที่ไร้ขอบเขตนั้นเอง



สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมด ยังเป็นเพียงแค่ "ข้อมูลเบื้องต้น" สำหรับท่านเท่านั้น ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ค้นพบมันหรือมีความรักที่ไร้ขอบเขตนั้นได้ด้วยตัวของท่านเอง ท่านก็จะไม่มีทางเข้าใจความรักอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่นั้นได้เลย ท่านจะถูกจำกัดกรอบให้อยู่แต่ ความรักของชายหญิงเท่านั้น ซึ่งมันไม่อาจจะทำให้ท่าน "ค้นพบสิ่งใหม่ๆ" ได้ทว่า ท่านจำเป็นต้องมีศีลที่แก่กล้าไว้ด้วย ในการเข้าถึงซึ่ง "ความรักที่ไร้ขอบเขตนี้" เพราะหากท่านทำผิดศีล หรือผิดประเวณีแล้ว ท่านอาจจะไม่ได้ค้นพบความรักที่บริสุทธิ์และไร้ขอบเขตนี้อีกเลย ด้วยพลังแห่งความมืดดำจะครอบงำและขวางกั้นท่านไว้และท่านจะถูกพลังมืดดำนั้นพันธนาการ กักขังท่านไว้ในคุกแห่งความตรอมตรม ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ


ขอพลังแห่งรักอันบริสุทธิ์ไร้ขอบเขตนั้น จงจุดไฟรักในใจของท่าน สวัสดี



20 ก.ค. 2555


"เสียงจากหัวใจ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วิทยาการ "การอยู่เหนือสามภพและกฏแห่งกรรม" ของชาวต่างดาว

สวัสดีครับ วันนี้ เราจะเหินฟ้าไต่ระดับสู่วิทยาการระดับสูงกันแล้วนะครับ คือ วิทยาการของชาวต่างดาว ซึ่งเข้าใจในหลักสัจธรรมพื้นฐานแล้ว แต่ยังหาวิธีที่จะดำรงอยู่ต่อ โดยไม่รีบนิพพานซึ่งมีมากมายหลายวิธีมาก ผมจะค่อยเล่าไปครับ เพราะมันเป็นระดับที่สูงมากหากท่านไม่ชำนาญหรือพื้นฐานยังไม่ได้ ก็ต้องระวังในการไต่ระดับ ตามผมมานะครับ เอาละ เชิญทัศนาได้เลยครับ


"การอยู่เหนือสามภพและกฏแห่งกรรม" ที่ไม่ใช่แบบมารหรือภาคมืด?


อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจก่อนคือ หากคุณมีปัญญาและเข้าใจในหลักการของสัจธรรมสากลแห่งจักรวาลได้ คุณก็สามารถใช้ปัญญานั้นในการดำรงอยู่ในแบบที่ต่างกันได้ ซึ่งมันไม่ใช่การผิดกฏหรือฝืนกฏแห่งกรรม แต่เป็นการอยู่เหนือมันนั่นเอง เช่น ท่านที่ทราบแล้วว่าการทำดีก็ต้องได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว บางท่านจึงเลือกทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว แบบนี้ ทำให้พวกเขากำหนดอนาคต ของพวกเขาเองได้ และยังไม่นิพพาน เพราะพวกเขาเลือกที่จะมีอนาคตที่ดีงาม จึงเลือกทำแต่สิ่งที่ดีงาม และละเว้นจากความชั่ว พวกเขาไม่ได้หยุดสร้างบุญ หรือความดีก็จะได้บุญนั้นสืบชาติภพต่อไป เอาละ นี่คือ ความเข้าใจเบื้องต้นที่ท่านจะต้องทราบก่อนที่จะอ่านข้อมูลในรายละเอียดระดับที่ลึกและสูงขึ้นต่อไปว่าสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ไม่ใช่การเป็นมิจฉาทิฐิ, ไม่ใช่วิทยาการของมาร ไม่ใช่การอยู่นอกสามภพแบบภาคมืด แต่เป็นวิทยาการที่สูงกว่านั้นคือ วิทยาการของชาวต่างดาวที่สูงกว่าสัจธรรมพื้นฐานจริงๆ ไม่เป็นอื่น



"พลังแห่งแสงสว่าง" กำหนดอนาคตตัวเองได้แบบ "มนุษย์ดวงอาทิตย์"


ต่อไปคือ วิทยาการแรกที่ผมจะขอนำเสนอ คือ วิทยาการของชาวต่างดาวที่มาจากดวงอาทิตย์ พวกเขาสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้โดยไม่ต้อง "ปล่อยไปตามกรรม" แล้วนั่งรอรับผลของมัน โดยที่ตนเองไม่อาจทำอะไรได้เลย อย่างนั้น ก็หาไม่ เพราะพวกเขามีวิทยาการที่ล้ำหน้ามากที่จะกำหนดอนาคตของตัวเองให้ "สว่างสดใส" อยู่เสมอ ด้วยการทำให้ตัวเองมีพลังแสงที่สว่างไสวโดยรอบอยู่ตลอด และผลจากการทำได้เช่นนั้น ก็ทำให้พวกเขาได้รับแต่พลังด้านสว่างเสมอ พวกเขาจึงมีแต่ความสุขสว่าง ไม่ต้องพบกับความทุกข์, ความมืดมนเลย แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ เรียบง่ายไม่ได้มีชีวิตที่วุ่นวายซับซ้อนอะไรมาก ไม่ได้ร่ำรวยอลังการมากมายนักแต่พวกเขาก็มีแต่ความสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องพบกับความทุกข์ความมืดมนเลย ซึ่งมนุษย์โลกก็สามารถรับวิทยาการของพวกเขานี้ ไปใช้กำจัดความทุกข์ ความมืดมน ของตนเองได้ แต่มนุษย์จะไม่อาจทำได้อย่างพวกเขาแบบ 100% เราอาจทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่เที่ยง เป็นบางครั้งเท่านั้น



"พลังแห่งขั้วบวก" กำหนดอนาคตตัวเองได้แบบ "มนุษย์จากดาวไซย่า"


ต่อไปคือ วิทยาการการกำหนดอนาคตตัวเองแบบชาวไซย่า ซึ่งพวกเขาจะใช้หลักการสร้างพลังขั้วบวกขึ้นมา พลังขั้วบวกแตกต่างจากพลังแห่งแสงสว่าง แต่มันก็สว่างได้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่มากเท่า และไม่ร้อนแบบพลังจากชาวดวงอาทิตย์ ก็เท่านั้น พลังขั้วบวกมีลักษณะเหมือนประจุไฟฟ้าคือ ไฟฟ้าขั้วบวกหรือแม่เหล็กขั้วบวก มันไม่มีความร้อนหรือความเย็นมันเป็นกลางด้านอุณหภูมิ แต่มันไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า เพราะมันเลือกมีแต่ขั้วบวกหรือประจุบวกเท่านั้น ทว่า ผลจากการทำเช่นนี้ ทำให้พวกเขามี "พลังดึงดูด" สูง และมันก็จะช่วยดึงดูดสิ่งที่เป็นบวกหรือสิ่งดีๆ เข้ามาหาพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างมีความสุข และยังไม่ได้นิพพาน เพราะการเลือกขั้วเลือกข้างอย่างนี้ นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังทำให้เกิดการไหลเวียนของประจุไฟฟ้าและทำให้เกิดพลังงานจำนวนมากขึ้นได้ด้วย ด้วยวิทยาการนี้ มนุษย์โลกก็ได้รับมาด้วยเช่นในงานขายตรง ก็มักถ่ายทอดวิทยาการนี้เพื่อใช้ในการดึงดูดลูกค้าอยู่เสมอๆ นอกนี้ ชาวไซย่ายังมีการ "ฟื้นฟูพลังขั้วบวก" ของพวกเขาเองได้เสมอ เมื่อเขาใช้พลังขั้วบวกออกไปมากๆ ปล่อยพลังงานออกไปมากๆ พลังภายในก็จะลดลง พวกเขาจึงต้องเพิ่มพลังเติมคืนส่วนลดนั้น โดยไม่ได้ใช้การดูดซับมาจากใคร แต่พวกเขาใช้หลักการ "กระตุ้นฟื้นฟูจากภายใน" ของพวกเขาได้เองทำให้พลังของพวกเขาเหมือนไม่ได้ลดลงเลย พวกเขาจึงสร้างประจุไฟฟ้าขั้วบวกได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำตามได้แต่ไม่ถึง 100%



"พลังแห่งการเลือกรับ" กำหนดอนาคตตัวเองได้แบบ "มนุษย์ดวงจันทร์"


ต่อไปคือ วิทยาการของชาวต่างดาวที่มาจากโลกพระจันทร์ พวกเขาจะมีความเป็นเลิศด้าน "การเลือกรับ" ถ้าเทียบกับชาวดวงอาทิตย์แล้ว พวกนี้ก็คือ "ฝ่ายรับ" ในขณะที่ชาวดวงอาทิตย์จะเป็นฝ่ายรุก (ปล่อยพลังงาน) ชาวดวงจันทร์จะฉลาดและเป็นเลิศในการเลือกรับซึ่งพวกเขาจะรับแต่พลังงานด้านสว่าง โดยเฉพาะพลังงานจากดวงอาทิตย์ ทำให้พวกเขา ซึ่งไม่มีแสงสว่างได้ด้วยตัวเอง กลับกลายเป็นผู้มีแสงสว่างได้ พวกเขาจึงไม่ต้องเหนื่อยยากสร้างพลังงานด้านสว่างหรือขั้วบวกขึ้นมาเองแต่พวกเขาจะใช้การเลือกรับหรือเรียนรู้จากผู้อื่น แล้วใช้วิทยาการที่ดีเลิศนั้นๆ สะท้อนกลับไป ทำให้พวกเขาดูเหมือนมีพลังด้านสว่าง หรือพลังด้านดีอื่นๆ ได้ ด้วยวิธีนี้ นั่นเอง ผลจากการที่พวกเขาทำแบบนี้ ทำให้พวกเขา ยังชำระพลังงานเก่าไม่หมด และยังไม่อาจนิพพานได้ แต่พวกเขาจะดำรงอยู่ในจักรวาลนี้อย่างมีความสุขเพราะพวกเขา "ฉลาดในการเลือกรับ" นั่นเอง ซึ่งมนุษย์สามารถรับวิทยาการนี้ได้ใช้ได้ แต่จะไม่อาจทำได้อย่างพวกเขา 100% นอกจากนี้ พวกเขายังเก่งในการสะท้อนกลับ สิ่งที่ไม่ดี, ไม่งาม พลังด้านมืด พลังงานด้านลบทั้งหลายอีกด้วย ทำให้พวกเขาไม่ต้องรับสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเหล่านั้น พวกเขาจึงกำหนดอนาคตที่ดีงามของตัวเองได้ด้วยวิธีการนี้



"พลังแห่งการฝึกจิต" กำหนดอนาคตตัวเองได้แบบ "มนุษย์ดาวพฤหัส"


ต่อไปคือ วิทยาการของชาวต่างดาวที่มาจากดาวพฤหัสฯ (หรือดาวฤษี) พวกเขามีวิทยาการสำคัญคือ การฝึกจิตต่างๆ ตามแบบของผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่วิทยาการของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้เป็นต้นธาตุ ต้นธรรม หรือคนต้นคิดริเริ่มก็ได้ พวกเขาลงมาศึกษาวิทยาการของผู้อื่นและฝึกฝนปฏิบัติทางจิต ที่เรียกว่า "การฝึกจิตแบบต่างๆ" ดังนั้น พวกเขาจึงยังไม่อาจจะนิพพานได้ เพราะพวกเขาจะวนเวียนอยู่กับการฝึกจิตที่ไม่มีจุดสิ้นสุดเสียที แม้พวกเขาจะฝึกจิตได้ผลแล้ว พวกเขาก็ยังฝึกต่อไป เพราะการฝึกนั้นจึงทำให้พวกเขาสามารถรักษาสภาวะของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้เกิดมาเป็นอย่างนั้นตามธรรมชาติของมันอย่างนั้น พวกเขาจึงต้องมีการฝึกจิต ฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเพื่อให้ได้มี ได้เป็น อย่างนั้นอย่างที่พวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเช่นนั้น ตามธรรมชาติเลย เพราะพวกเขาใช้การฝึกเพื่อให้ได้เป็น พวกเขาจึงไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ทว่า มันก็ทำให้พวกเขารักษาภาวะของการดำรงอยู่และเป็นเช่นนั้นได้ยาวนานซึ่งมนุษย์เองจะเรียกพวกเขาว่า "ครู" เพราะพวกเขาชอบการเป็นครูสอนสมาธิ, สอนการฝึกจิตให้แก่มนุษย์ และมนุษย์จะทำตามพวกเขาได้ ไม่ถึง100% อีกเช่นกัน เพราะมนุษย์ไม่ใช่ชาวดาวพฤหัสฯ โดยกำเนิด นั่นเอง



"พลังแห่งการแข่งขัน" กำหนดอนาคตตัวเองได้แบบ "มนุษย์ดาวอังคาร"


ต่อไปคือ วิทยาการของชาวต่างดาว ซึ่งมาจากดาวอังคาร พวกเขาจะใช้พลังจากการแข่งขันฯ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกับตัวเอง เช่น การทำลายสถิติของตัวเอง หรือการแข่งขันกับผู้อื่นแบบมีผู้ชนะและผู้แพ้ โดยที่ฝ่ายชนะ จะสามารถกำหนดและวางอนาคตภาพรวมได้ทั้งหมด ฝ่ายที่แพ้ต้องยอมรับใน "กฏกติกาใหม่" นั้น ทำให้พวกเขากำหนด "กฏกติกาใหม่" ก็ดี, "อาณาเขตใหม่" ก็ดี, "สัญญาใหม่" ก็ดี ฯลฯ ได้ทั้งนั้น พวกเขาจึงมีพลังในการกำหนดอนาคตได้ด้วยวิธีนี้และเพราะเหตุที่พวกเขาได้กำหนดอนาคตเอง พวกเขาจึงยังไม่ได้นิพพาน แต่พวกเขาก็สามารถเลือกชีวิตที่ดีได้ด้วยตัวเองหลังจากที่พวกเขาได้รับชัยชนะ ดังนั้น พวกเขาจึงหาวิธีที่จะได้รับ "ชัยชนะ" ในการแข่งขัน ก็ดี, ในการทำสงคราม ก็ดี, ฯลฯ เพื่อจะได้กำหนดอนาคตของตัวเองได้ใหม่ให้ดีขึ้นได้ตามที่พวกเขาปรารถนาโดยเกมของพวกเขาจะไม่มีการแบ่งปันหรือเจรจาต่อรอง ฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็จะต้องยอมรับทั้งหมด ฝ่ายที่ชนะก็สามารถกำหนดหรือกินรวบได้ทั้งหมดซึ่งพวกเขามีความสามารถสูงมาก ในการแข่งขันต่างๆ หรือแม้แต่การทำสงครามเพื่ออนาคตใหม่ ที่พวกเขาสามารถกำหนดได้เอง แต่มนุษย์จะรับวิทยาการจากพวกเขาได้ไม่ 100% อีกเช่นกัน (ดังเหตุผลที่กล่าวแล้ว)



"พลังแห่งแบ่งส่วน" กำหนดอนาคตตัวเองได้แบบ "ชาวสุขาวดีโลกธาตุ"


ต่อไปคือ วิทยาการของชาวต่างดาว ซึ่งมาจาก "สุขาวดีโลกธาตุ" บ้างพวกเขามีวิทยาการในการดำรงอยู่โดย "ไม่ต้องลงมารับกรรมยังโลกนี้" ด้วยการ "แบ่งภาคส่วนพลังงานที่ไม่ดี" หรือ "ส่วนดำมืด" ออกมาแล้วให้กำเนิด "รูปธรรมชีวิต" ในระดับพลังงานตัวตนใหม่ๆ แล้วพวกเขาจะคอยดูแลตัวตนที่เกิดใหม่ (ซึ่งเป็นจิตวิญญาณ) โดยการให้พวกเขาลงเกิดยังโลกมนุษย์แทน จากนั้นก็คอยทำหน้าที่เป็น "ตัวตนภาคสว่างหรือตัวตนในมิติที่สูงขึ้น" ที่คอยส่องสว่างนำทางจิตวิญญาณส่วนแบ่ง ที่มาเกิดเป็นคนยังโลกมนุษย์นั้น พวกเขาจึงไม่ต้องรับกรรมรับแต่ส่วนบุญไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดและดำรงอยู่อย่าง "ชีวิตอำมตะ" ทั้งนี้ในการแบ่งส่วนพลังงานลงมาแต่ละครั้ง พวกเขาจะเสียพลังงานบางส่วนไป ทำให้พวกเขาต้องทำสมาธิ, เก็บตน, หรือสั่งสมพลังงานใหม่ๆ เพิ่มเติ่มส่วนที่เสียไปนั้นด้วย พวกเขาจึงมีความสามารถในการทำสมาธิและการฝึกจิตและเป็น "ต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นวิชชา" ทางด้านการฝึกจิตทั้งหลายอย่างแท้จริง ซึ่งมนุษย์จะรับวิทยาการเหล่านี้ ฝึกตามได้ แม้ไม่ 100% ก็ตามซึ่งในกรณีมนุษย์นั้น ปกติ จะแบ่งภาคส่วนพลังงานได้ 1 ครั้งต่อ 1 ชีวิตนอกจาก มนุษย์ผู้นั้นจะมีวิธีการเพิ่มเติมพลังส่วนที่ขาดหายแบบพิเศษ ก็จะสามารถแบ่งภาคส่วนพลังงานได้หลายครั้ง ในหนึ่งชาติของมนุษย์นั้น



เอาละ ผมได้แนะนำวิทยาการของชาวต่างดาวไปบ้างบางส่วนแล้ว แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด มันเป็นแค่การแนะนำเบื้องต้นเท่านั้น ท่านจะสามารถทำได้จริงก็ต่อเมื่อท่านได้รับวิทยการอย่างสมบูรณ์จากต่างดาวด้วยตัวเอง ก็เท่านั้น ผมเพียงแต่แนะนำให้ท่านรู้จักวิทยาการเป็นเบื้องต้น เท่านั้นเอง ซึ่งวิทยาการเหล่านี้ก็ล้วนได้ถ่ายทอดมาสู่โลก "ยาวนานแล้ว" ทว่า เพราะปะปนอยู่กับวิทยาการของโลก จึงทำให้ท่านไม่อาจจะแยกแยะได้ว่าอะไรคือวิทยาการของอะไร? ซึ่งผมให้หลักการในการสังเกตุเบื้องต้นไปแล้วว่า "วิทยาการที่สูงที่สุดของโลกนี้มาจากสวรรค์ชั้นมาร" เช่น การฝืนกฏแห่งกรรม, การใช้ความคิดกำหนดสรรพสิ่ง ฯลฯ ซึ่งมันไม่ได้ดีแท้จริง ไม่อาจเทียบเท่าได้กับวิทยาการจากต่างดาวเลย และถ้าใช้หลักการนี้เทียบดูวิทยาการต่างๆ เราก็จะทราบได้ว่าวิทยาการใด มันมีระดับที่สูงกว่าสวรรค์ชั้นที่หกบ้าง ท่านก็จะทราบได้ทันทีว่า มันมาจากนอกโลก หรือต่างดาว นั่นเอง โอเค ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ ลองดูละ!


ขอพลังแห่งพระบิดาจักรวาลจงเปิดใจท่านสู่วิทยาการที่สูงขึ้น สวัสดี...



18 ก.ค. 2555


"เสียงจากจักรวาล"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"ร่างตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์" ที่มีสังขารทำหน้าที่เชื่อมโยงกันมนุษย์เป็นไฉน?

สวัสดีครับ วันนี้ผมคุยเรื่องง่ายๆ สบายๆ ไม่ยากเกินไป แต่เป็นเรื่องพื้นฐานอีกข้อที่คุณควรจะทราบด้วย คือ เรื่องการเป็นตัวแทนสิ่งศักดิสิทธิ์ (God agency) ของมนุษย์บางร่างสังขาร เอาละ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า อ่านสบายๆ ไปนะ อย่าซีเรียสมาก ทำใจง่ายๆ เบาๆ ครับ


สิ่งศักดิสิทธิ์ จำเป็นต้องประสานพลังมายังร่างตัวแทน เพื่อทำกิจบางอย่าง


อย่างแรกท่านควรทราบคือ สิ่งศักดิสิทธิ์ที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้น ก็มีขีดจำกัดในการทำกิจ อย่างที่ผมได้บอกแล้วคือ ท่านไม่อาจทำแบบมนุษย์ได้ ท่านจึงมีพระบุตรหรือเทวทูตลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นร่างสังขาร ที่พูดคุยกับมนุษย์ได้ กระทำการบางอย่างแทน โดยท่านจะประสานพลังงานบางส่วนลงมาที่ร่างสังขารนั้นๆ ไม่ใช่การ "ซ้อนกาย" คือ ไม่ได้มีองค์ท่านเข้ามาแทรกในร่างสังขารนั้นๆ การเข้าแทรกซ้อนในกาย มีได้ในจิตวิญญาณที่อยู่ในมิติที่ต่ำกว่า คือ มิติที่เทียบเท่าหรือต่ำกว่ามนุษย์ แต่สิ่งศักดิสิทธิ์ที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นไป จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะร่างสังขารของมนุษย์ไม่ค่อยบริสุทธิ์จะส่งผลกระทบต่อพลังงานดั้งเดิมของท่าน ให้เปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น ท่านจึงทำเพียง "ส่งพลังงานบางส่วนลงมาที่ร่างสังขารนั้นๆ" และร่างสังขารนั้นๆ ก็จะฝึกรับพลังที่เรียกว่า "พลังจักรวาล" คือ พลังที่มาจากจักรวาลโดยอาจไม่ทราบมาก่อนว่า "ต้นตอ ต้นธาตุต้นธรรมของแหล่งพลังมาจากองค์ใด"



การเชื่อมต่อ "สายธรรม" ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็ใช้วิธีเดียวกันนี้


อย่างที่สองที่ท่านควรทราบคือ แม้แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งได้กระทำการดับขันธปรินิพพานไป "บางส่วน" แล้ว ท่านยังไม่รีบนิพพานทั้งหมดก็เพื่อโปรดสัตว์ต่อไปเฉกเช่น พระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ที่โปรดสัตว์ยาวนานถึง 8 พันปี ก็มี, 8 หมื่นปี ก็มี ฯลฯ ดังนั้น การที่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จะมีอายุพุทธกาลสัก 5 พันปีโปรดสัตว์เกินกว่าสังขารจะดำรงทรงอยู่ได้ ก็มีได้เป็นได้ ไม่ผิดแต่ประการใด และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเหลือแม้ว่าท่านไร้ซึ่งสังขารแล้ว ท่านก็ยังเมตตาหาวิธีโปรดสัตว์ต่อไป ด้วยการดำรงอยู่ "เหนือสังขาร" แน่นอนว่าท่านไม่เหลือสังขารแล้ว แต่ท่านยังเหลือจิตหรือ "มโนธาตุ" ที่ยังถ่ายทอดธรรมได้แบบ "จิตสู่จิต" ขอเพียงมีผู้พร้อมและระลึกถึงท่าน ร้องขอหรือนิมนต์ท่าน ท่านก็สามารถโปรดได้ทันที และนอกจากนี้ ท่านยังสามารถประสานกับ "นิรมาณกาย" ของท่าน ที่ยังไม่ได้เข้านิพพาน เพื่อประสานพลังลงมาโปรดสัตว์ได้ด้วย โดยนิรมาณกายของท่าน (หรือจิตวิญญาณดวงนอกที่เคยช่วยท่านสร้างศาสนามาก่อน) จะ "ซ้อนอยู่ในกาย" ของมนุษย์ที่ได้รับการเลือกแล้ว ให้เป็น "ตัวแทน" ของสิ่งศักดิสิทธิ์ และจะทำหน้าที่รวมคนที่ใช่เข้ามาใกล้ๆ จากนั้น ท่านก็จะประสานพลังธรรมลงมาปรกโปรดในช่วงเวลาที่เหมาะสม บุคคลก็ย่อมจะบรรลุธรรมได้ ถ้าเขาไม่หลงคิดไปว่าเขาตรัสรู้เอง แต่เพราะเขาได้รับพลังธรรมจากพระพุทธเจ้า (เพราะเวลานี้ยังไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกฯ) สิงนี่เกิดมีได้ บางท่านคิดว่าตนเองตรัสรู้เองหรือไร? เพราะไม่มีครูคนใดมาสอน กลับรู้ได้ด้วยตนเอง ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะพระพุทธเจ้าทรงช่วยโปรด ถ่ายทอดพลังธรรมบางอย่างมานั่นเอง นี่คือ การถ่ายทอดธรรมซึ่งไม่ผ่านพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า แต่จากพระธรรมกายฯ โดยตรง



ร่างสังขารของมนุษย์ที่เป็น "ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ต่างๆ" เป็นอย่างไร


อย่างที่สามที่ท่านควรทราบคือ ยังมีร่างสังขารมนุษย์ที่เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ต่างๆ ต่างกันไป เช่น บ้างเป็นร่างตัวแทนของพระพุทธเจ้า, บ้างเป็นร่างตัวแทนของพระบิดาจักรวาล บ้างเป็นร่างตัวแทนของพระสุริยเทพมากมาย เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งร่างตัวแทนเหล่านี้ "ไม่ใช่ร่างทรง" เพราะไม่มีการเข้าทรงแต่อย่างใด แต่เป็นร่างผ่านพลังธรรมของสิ่งศักดิสิทธิ์เหล่านี้ก็เท่านั้นเอง ซึ่งหากท่านต้องการ "ต่อสายธรรมโดยตรง ถึงสิ่งศักดิสิทธิ์นี้โดยไม่ผ่านสาวกของท่าน" ท่านก็ต้องเชื่อมต่อพลังธรรมผ่านร่างตัวแทนที่จะกระทำการแทนสิ่งศักดิสิทธิ์ในภาคพื้นดิน "บางอย่าง" ไม่ใช่ว่าแทนที่ไปเสียทุกอย่าง เช่น การถ่ายทอดธรรมบางช่วงเวลา เป็นต้น สิ่งสำคัญคือ ท่านจะหา "ร่างตัวแทนฯ" (God agency) เหล่านั้นได้อย่างไร และท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเขาคือ ตัวแทนที่แท้จริง หรือตัวปลอมมาหลอกกันแน่? เอาละ มันยังมีวิธีที่จะพิจารณาต่อไป ซึ่งผมจะอธิบายให้ง่ายที่สุด



ร่างสังขารของมนุษย์ที่เป็น "ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ต่างๆ" เป็นดังนี้


อย่างที่สี่ที่ท่านควรทราบคือ ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ จะไม่ได้มีบารมีธรรมเท่ากับสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ แต่เขามีลักษณะบางประการที่ทำหน้าที่เป็น "ร่างตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์" ได้ก็แล้วกัน เช่น ร่างตัวแทนของพระศรีอาริยเมตตรัย ก็ไม่ใช่พระศรีอาริยเมตตรัยองค์จริง แต่สามารถเชื่อมโยงรับพลังของท่านเพื่อทำหน้าที่ในภาคมนุษย์ นำธรรมในแบบของท่านลงมาปรกโปรดมนุษย์ได้ เอาละ อย่างแรกที่ท่านจะสัมผัสได้คือ ท่านจะรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นจริงๆ แต่ทำไมเขาจึงมีลักษณะบางประการที่ไม่น่าจะใช่ หรือยังมีความเป็นปุถุชนมาก เช่น ยังมีกิเลส ยังมีความโลภอยู่ละ? ทั้งๆ ที่เขาก็มีธรรมที่พูดออกมาแล้วเหมือนของจริงเลย? (พูดได้ แต่ทำไม ทำจริงไม่ค่อยได้?) นั่นละ คือลักษณะของตัวแทนละ ทว่า ท่านอย่าเพิ่งตำหนิ หรือมองเขาในแง่ลบเลย เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขาในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งศักดิสิทธิ์ก็จำเป็นจะต้องใช้เขา "ชั่วคราว" เพราะร่างสังขารมีขีดจำกัด ในการรับพลังของสิ่งศักดิสิทธิ์ต่างๆ ด้วย ดังนั้น พวกเขาจะทำงานช่วงหนึ่ง และจะพักหลังจากนั้นเช่น บางท่านอาจจะล้มป่วยและทำกิจไม่ได้อีกเลย ก็มี



ร่างสังขารของมนุษย์ที่เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ต่างๆ มีหลายแบบ


อย่างที่ห้าที่ท่านควรทราบคือ ร่างสังขารที่เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์มีมากมายหลายท่าน และหลายองค์ เช่น บ้างเป็นองค์แทนของพระเจ้าก็มี, บ้างเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า ก็มี, บ้างเป็นองค์แทนของพระบิดาจักรวาล ก็มี, บ้างเป็นองค์แทนของพระสุริยเทพ ก็มี ฯลฯ ซึ่งท่านก็ควรเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดด้วยว่าตัวจริงของเขา กับการที่เขาเป็นตัวแทนนี้ต่างกัน เช่น พระเมตตรัยโพธิสัตว์อาจจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นร่างตัวแทนของพระเจ้า หรือพระบิดาจักรวาล หรือดาวมฤตยู ก็ได้ ดังนั้น จึงมีเปลือกนอกในระดับพลังงานเป็นอย่างอื่น ในขณะที่พลังงาน ระดับชั้นในก็ยังคงเป็นท่านเช่นเดิม ทว่า ท่านก็สามารถรับพลังธรรมของสิ่งศักดิสิทธิ์จาก "ตัวแทน" ทั้งหลายเหล่านี้ได้ แม้ว่าเขาอาจจะพูดไม่เก่ง หรือไม่รู้จะอธิบายธรรมนั้นอย่างไร แต่บางท่าน ยังมีความสามารถในการรับพลังธรรมและถ่ายทอดพลังธรรมเหล่านี้ได้ บางครั้ง หากท่านได้พบกับ "ผู้อธิบาย ขยายความธรรม" ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังธรรม แต่ทำหน้าที่อธิบายหรือพูดแทนท่านที่พูดไม่เก่ง เมื่อทำงานประสานกันเป็นคู่ ก็สามารถทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้นได้เช่นกัน เอาละ สิ่งที่ท่านต้องทราบอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครบรรลุธรรมได้ด้วยการอ่านตำรา เพราะยุคนี้ไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกฯ ท่านจะบรรลุธรรมได้จริงไม่ว่าธรรมของสิ่งศักดิสิทธิ์ใดก็แล้วแต่ "ท่านต้องเชื่อมต่อสายธรรม เชื่อมต่อพลังธรรม" ให้ถูกต้องยังตัวแทนฯ ที่แท้จริงเท่านั้น ท่านจึงจะ "มีโอกาส" บรรลุธรรมได้แท้จริง



พระพุทธศาสนาหักกลาง จำต้องเชื่อมต่อผ่านตัวแทนของพระพุทธเจ้า


อย่างที่หกที่ท่านควรทราบคือ ถึงกึ่งกลางยุคพุทธกาล พระพุทธศาสนาจะหักกลาง กล่าวคือ การถ่ายทอดธรรมจากพระอรหันต์สาวกที่มีสังขารอยู่บนโลก จะไม่อาจทำได้ดังเดิมอีก เพราะ "พลังงานบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป" ขัดขวางไว้ ทำให้พลังธรรมไม่อาจเชื่อมโยงต่อทอดกันได้ จะมีความคลาดเคลื่อนและผิดพลาดไปเล็กน้อยเสมอ จนไม่อาจบรรลุธรรมได้จริง แม้ว่าจะดูเหมือนบรรลุธรรมมากก็ตาม เช่น การกล่าวว่านิพานไม่ใช่อะไรสักอย่าง ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะให้ยึดถือเลย ดูเหมือนว่าจะพูดได้ถูกต้อง แต่คนฟังอาจเข้าใจว่า "นี่คือการปฏิเสธทุกอย่าง" สุดท้าย ก็เลยปฏิเสธทุกอย่างว่ามันไม่ใช่นิพพาน ผลก็คือ การเป็นคน "ติดการปฏิเสธ" ไป ซึ่งมันไม่ใช่วิถีของการบรรลุธรรม เพราะการบรรลุธรรม ย่อมเกิดจาก"ยอมรับสัจธรรมความจริง" ไม่ใช่ "การปฏิเสธสิ่งที่คิดว่าไม่ใช่นิพพาน" เอาละ นี่ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น ยังมีความคลาดเคลื่อนที่คาดไม่ถึงอีกมากในการบรรลุธรรม ซึ่งทำให้ "ท่านต้องต่อสายธรรมตรงจากพระธรรมกายที่เหลืออยู่หลังปรินิพพานของพระพุทธเจ้าโดยตรง" หรือก็คือ การมีจิตตรงจิต ของพระพุทธเจ้า (จิตสู่จิต) แบบวิถีเซน เพื่อรับธรรมจากท่านโดยตรงเท่านั้น ซึ่งท่านสามารถพิสูจน์ได้ ด้วยการร้องขอให้ท่านโปรดในวาระที่ท่านพร้อมจริงๆ ท่านจะได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง อย่างปาฏิหาริย์ ซึ่งมีหลายท่านได้รับแบบนี้มาแล้วโดยไม่ต้องรับผ่านพระสงฆ์ 



"ร่างสังขารจะถูกเลือก" โดยสิ่งศักดิสิทธิ์ เพื่อให้เป็นตัวแทนของท่าน?


อย่างที่เจ็ดที่ท่านควรทราบคือ สิ่งศักดิสิทธิ์แต่ละท่าน จะเลือกร่างสังขารที่เป็นตัวแทนของท่านเอง ทว่า ร่างสังขารเองก็สามารถเลือกสิ่งศักดิสิทธิ์ได้เช่นกัน เช่น มนุษย์บางคนอาจไม่เลือกพระศิวะแต่เลือกรับพลังจากพระนารายณ์แทน ก็มี นั่นคือ "สิทธิ์ของท่าน" ถ้าท่านมีความสามารถในการเลือก ท่านก็ยังเลือกได้อยู่แต่ถ้านไม่มีอะไรที่ดีมากพอที่จะเลือกได้ ท่านก็ต้องยอมรับไปโดยไม่อาจเลือกได้ โดยมีหลักการง่ายๆ คือ ร่างสังขารใดที่มีความคิด, จิตใจ, พฤติกรรม, หรือการบำเพ็ญบารมีมา คล้ายสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ ก็สามารถที่จะเป็นตัวแทนของท่านได้ แม้ว่าจะทำได้ไม่ถึง ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ดังนั้น ร่างสังขารตัวแทนฯ ก็ยังมีระดับที่แตกต่างกันอีกด้วยว่าสามารถทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน จิตใจและประพฤติตัวได้ดีแค่ไหน?


ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์จงนำพาคุณพบกับตัวแทนที่คุณต้องการ สวัสดี



17 ก.ค. 2555


"เสียงจากตัวแทนฯ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS