ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

เมื่อพระศาสนาหักกลางคุณจะต่อสายธรรมจากใคร? พบมนุษย์ติดดาวได้ที่นี่

สวัสดีครับ ผมจำเป็นต้องอธิบายถึงเรื่องพื้นฐานต่อไป เพราะหลายท่านยังคงไม่เข้าใจนะครับ นั่นคือ เรื่อง "ศาสนาที่หักกลาง" มันมีผลต่อการสืบทอดสายธรรมเพราะมันหักกลางยุคพุทธกาล มันจึงสืบทอดสายธรรมตามเดิม คือ พระสงฆ์ไม่มีความสามารถในการสืบทอด "สายธรรม" ได้ดังเดิมอีก และนี่คือ "โจทย์ปัญหา" ที่พวกเราทั้งหลาย ได้ถูกส่งลงมาเพื่อช่วยในเรื่องนี้นะครับ ลองพิจารณาดูนะครับ...


การศึกษาและปฏิบัติธรรมโดย "ไม่เชื่อมสายธรรม" ทำให้เป็นปัจเจกฯ ได้


อย่างแรกที่ท่านควรทราบก่อนคือ ท่านไม่ควรศึกษาและนำธรรมะไปปฏิบัติเองโดยไม่มีการต่อสายธรรมจากครูบาอาจารย์ หรือผู้ดูแลใดๆ เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ท่านเข้าสู่ "วิถีปัจเจกฯ" และอาจตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ ได้ อันจะส่งผลต่อไปคือ ท่านต้องนิพพานในระยะเวลาอันสั้น ไม่อาจอยู่ได้นานเพราะไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกฯ นั่นเอง ดังนั้น นี่ก็คือ สิ่งแรกที่ผมต้องเตือนท่านให้ระวังไว้ก่อน เพราะปัจจุบันท่านสามารถหาตำรา-คัมภีร์ธรรมะหรือแม้แต่วีซีดีธรรมะ และอะไรอีกมากมายมา "ศึกษาด้วยตัวเองได้" โดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์ดูแล หรือใครเชื่อมต่อกับท่านเลย ดังนั้น ผมน่าจะเรียกว่า "ข้อห้าม" เล็กๆ ได้นะครับ ก็คือ ห้ามนำธรรมะไปปฏิบัติเองโดยไม่ผ่านการต่อสายธรรม ท่านจะไปรับรู้, รับฟังธรรมะจากที่ใด ก็ตาม ควรมีการต่อสายธรรม มีครูบาอาจารย์ดูแล และไม่ถูกปล่อยให้ศึกษา-ปฏิบัติเองนะครับดังนั้น อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจก็คือ "พระพุทธศาสนาคือ ศาสนาที่มีการเชื่อมต่อสายธรรม ไม่ใช่ศาสนาที่ปฏิบัติตัวใครตัวมัน ไม่เชื่อมโยงกับใคร" เพราะการปฏิบัติเอง ตรัสรู้เอง เป็นวิถีของพระปัจเจกฯ ไม่ใช่พุทธศาสนา!



การเชื่อมต่อสายธรรมแบบ "พุทธดั้งเดิมแท้" และแบบ "พุทธลัทธินิกาย"


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ พระพุทธศาสนาที่มีการต่อสายธรรม แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ 1. พุทธดั้งเดิมแท้ (ที่ ไม่มีลัทธิ-นิกาย) และ 2. พุทธแบบมีลัทธินิกาย ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่นิกายเซนของพระมหากัสสปะเป็นต้นมา ซึ่งในปัจจุบันโลกนี้ ไม่มีเหลือพระพุทธศาสนา แบบดั้งเดิมแท้อีกแล้ว บนโลกมนุษย์จะเหลือแต่พระพุทธศาสนาแบบมีลัทธิ-นิกาย เท่านั้น ส่วนพระพุทธศาสนาแบบไม่มีลัทธินิกาย (แบบดั้งเดิมแท้) จะมีอยู่ก็แต่บนสวรรค์เท่านั้น ซึ่งท่านสามารถเชื่อมต่อได้เมื่อท่านละสังขารแล้วมีโอกาสได้เกิดบนสวรรค์นั้นๆ ดังนั้น เมื่อท่านต่อสายธรรมบนโลกด้วยการบวช ท่านจะออกจากพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ และเข้าไปสู่พุทธศาสนาแบบมีลัทธินิกาย และจะไม่ได้นิพพานภายใน 5,000 ปี แต่จะได้จุติยังสวรรค์สุขาวดีอยู่ยาวนานโดยไม่รีบนิพพาน เพื่อฉุดช่วยสรรพสัตว์ให้นิพพานไปก่อนตน (ตามปรัชญาของสุขาวดี) ดังนั้น หากท่านต้องการเชื่อมต่อสายธรรมกับ "พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" ท่านจำเป็นต้องต่อสายธรรมให้ถูกด้วย ไม่ใช่นั้น ท่านก็ไม่ได้เชื่อมต่อสายธรรมกับพุทศาสนาแบบดั้งเดิมอยู่ดี



"พระรัตนตรัยดั้งเดิมแท้" และ "พระรัตนตรัยจอมปลอม" ที่ถูกสร้างขึ้น?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้จะมีพระรัตนตรัยดั้งเดิมแท้ แต่พระพุทธศาสนาแบบมีลัทธิ-นิกาย จะไม่อาจเข้าถึงสิ่งนี้ได้ จะมีแต่ "พระรัตนตรัยจอมปลอม" เท่านั้น มันไม่เหมือนกันอย่างไร? เอาละผมจะอธิบายให้ง่ายที่สุดนะ 1. พระพุทธ ของแท้คือ ส่วนที่เป็นพระธรรมกายที่เหลือจากการทำสอุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานบางส่วน) ซึ่งไม่ใช่ส่วนของพระธาตุนะครับ พระธาตุที่เหลือจากการนิพพานบางส่วนนั้น ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าแท้ ของแท้คือ พระธรรมกาย ที่เหลือแต่ "มโนธาตุ" ที่ไร้ลักษณ์ ไร้รูป เหมือนแสงแห่งธรรม และยังไม่นิพพานไปหมด ยังทำกิจโปรดสัตว์อยู่จนกว่าจะครบ 5,000 ปีครับ 2. พระธรรมที่แท้จริงไม่ได้มาจากตำราใดๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้ตำราสอนใครนะครับ ท่านเขียนตำราได้ก็จริงแต่ท่านไม่เคยทำ (ทั้งๆ ที่ทำได้แต่ท่านก็ไม่ทำ เพราะทราบว่ามันไม่ช่วยให้ใครบรรลุแบบต่อสายธรรมได้) พระธรรมที่แท้จริงจะมาจากจิตสู่จิต หรือจากพระธรรมกายของพระอรหันต์โดยตรงเท่านั้น ไม่ได้ มาจากตำรานะครับ คนที่ศึกษาธรรมะจากตำราได้แค่สุตตมยปัญญา แต่ถ้าบรรลุได้เองก็จะอยู่นอกธรรมวินัยเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าครับ 3. พระสงฆ์ที่แท้จะนับจากพระสาวกที่ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้าเท่านั้นครับ ท่านที่ไม่ได้ปรินิพพานก่อนนั้น ได้เข้าร่วมสังคายนาพระไตรปิฎก และร่วมสร้างนิกายเซนกับพระมหากัสสปะไปหมดแล้ว ท่านเหล่านั้น "ทำสังฆเภท" แตกหน่อแตกกอ ออกจากพระพุทธศาสนาดั้งเดิมไปหมดแล้ว ไม่ใช่พระสงฆ์แท้ครับที่นี้ท่านพอแยกแยะพระรัตนตรัย "ของแท้" และ "ของปลอม" ได้หรือยัง?



ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงและเชื่อมต่อกับ "พระรัตนตรัยดั้งเดิมแท้" ได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ เมื่อท่านไม่เข้าสู่วิถีปัจเจกฯ ท่านต้องการต่อสายธรรม และท่านก็ได้ทราบแล้ว ว่ามีสายธรรมทั้งที่เป็น "ดั้งเดิมแท้" และที่เป็น "ลัทธิ-นิกาย" (สังฆเภท) ถ้าท่านต้องการต่อสายธรรมกับพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ ท่านก็ต้องออกจากพระพุทธศาสนาที่มีลัทธินิกายเหล่านั้นให้ได้ก่อนเป็นเบื้องต้น และท่านจึงจะค้นหาพระรัตนตรัยที่แท้จริงได้ต่อไป อนึ่ง พญามารหลังจากครอบงำพระมหากัสสปะแล้วก็ได้ทำอะไรที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำ และไม่ได้สั่งให้ทำ และไม่เคยมีในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้มากมายยิ่งกว่าสิ่งที่พระเทวทัตจะทำเสียอีก เช่น การสังคายนาพระไตรปิฎก, การใช้ "เสียงข้างมากของหมู่สงฆ์" เพื่อโหวตหาความถูกต้องของพระธรรม (ซึ่งพระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยทำแบบนี้ เพราะเสียงข้างมากอาจผิดก็ได้ อาจพากันหมดไปทั้งหมู่ ก็ได้)และอะไรอีกมากมายที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ เอาละ ที่นี้ เราจะมาเชื่อมต่อกับพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมแท้กัน ซึ่งเราต้องเริ่มต้นจาก "พระรัตนตรัยแท้" ให้ได้ก่อน คือ พระพุทธแท้, พระธรรมแท้และพระสงฆ์แท้ ถ้าเราหาสามอย่างจริงแท้นี้ไม่ได้ ก็ไม่ถึงพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ได้ ซึ่งการเข้าถึงนั้นไม่ยากเลย เพียง "จิตสู่จิต" เท่านั้นเองก็สามารถเข้าถึง ซึ่งพระรัตนตรัยแท้ได้ โดยไม่ต้องเดินทางค้นหาเลย



การดำเนินไปของพระพุทธศาสนาหลังกึ่งพุทธกาลคือ "มนุษย์ติดดาว"


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ เมื่อพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ ไม่เหลืออยู่อีกแล้วในโลกนี้ (เหลืออยู่แต่บนสวรรค์เท่านั้น) การดำรงอยู่ของชาวพุทธก็จะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมคือ จะเหมือน "ชาวคริสต์" เพราะอะไร? ก็เพราะชาวคริสต์ใช้วิธีเชื่อมต่อกับพระเจ้าต่างดาวของเขาโดยที่พระเจ้าไม่มีสังขารเป็นมนุษย์บนโลก เช่นกันในเมื่อพระพุทธเจ้า-พระสงฆ์สาวกของท่านไม่มีขันธ์ห้าเหลือบนโลกแล้ว (เพราะได้ดับขันธ์ห้านิพพานโดยรอบไปหมด เหลือแต่มโนธาตุไว้โปรดสัตว์จนครบห้าพันปีเท่านั้น) ดังนั้น การที่เราจะ "เชื่อมต่อสายธรรม" กับท่านเหล่านี้ได้จะต้องใช้วิธีเดียวกันกับชาวคริสต์ที่เชื่อมต่อกับพระเจ้าที่ไม่มีสังขารเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันได้แบบ "ข้ามพ้นขีดจำกัดของสังขาร" เป็นการต่อเชื่อมพระพุทธศาสนาที่หักกลางแบบหนึ่ง ที่ไม่ฝืนธรรมชาติ และกฏแห่งกรรมมากเกินไป และท่านควรทราบว่า มโนธาตุ ที่เหลือจากการดับขันธปรินิพพานนั้นจะไร้รูป, ไร้ลักษณ์ ส่องสว่างดั่ง "แสงแห่งธรรม" จะเชื่อมต่อสายธรรมถึงท่านได้ไม่ยาก เหมือนการที่ท่านรับพลังจักรวาลนั่นแหละ ให้ท่านระลึกว่ามี "พระธรรมกายหรือแสงแห่งธรรม" อยู่เหนือจักระที่เจ็ด (เหนือศีรษะขึ้นไป) เหมือนดวงดาว ส่องสว่างอยู่เหนือศีรษะท่านส่งพลังแสงแห่งธรรมลงมา ไม่ยากใช่ไหมครับ? นั่นแหละ ผมจึงมีคำเรียกเก๋ๆ ว่า "มนุษย์ติดดาว" ด้วยเหตุนี้ นั่นเอง ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องบรรลุถึงอรหันตผลก็ได้เพราะท่านสามารถไปเชื่อมต่อสายธรรมที่สวรรค์และได้อรหันตผลและนิพพานบนสวรรค์นั้นได้ ท่านจึงปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสได้โดยไม่ต้องบวช (เฉพาะท่านที่ถึงอรหันตผล จึงจำต้องบวช)



การปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหันต์ จะส่งผลให้ท่านดำรงอยู่บนโลกได้ยาก?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ท่านที่บรรลุอรหันตผลบนโลกแล้ว จำต้องบวชพระจึงจะทรงขันธ์ได้ไม่เช่นนั้นท่านจะละสังขารภายใน 7 วัน ทว่า ในเมื่อไม่มีพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ให้ท่านบวชอีกแล้ว แล้วท่านจะบวชเข้าในพระพุทธศาสนาลัทธิ-นิกายใด? เมื่อท่านเข้าสู่ลัทธินิกายนั้นๆ ท่านก็ต้องปฏิบัติตามเขา และท่านก็จะไม่ได้นิพพานใน 5,000 ปี แต่จะไปจุติยังโลกอื่นเช่น สุขาวดีโลกธาตุแล้วไม่ได้นิพพานยาวนาน มีชีวิต มีสุข อำมตะเช่นนั้นเอง ซึ่งอาจผิดไปจากจุดประสงค์เดิมของท่านได้ ดังนั้น แม้แต่การบวชก็ยังมีปัญหา ถ้าท่านบวชแล้วออกจากลัทธินิกายนั้นๆ ท่านจะจรธุดงค์ไปก็จะเหมือน "สายหลวงปู่เทพโลกอุดร" ซึ่งอยู่ในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ซึ่งปัจจุบันหลวงปู่ทั้งหลาย (ท่านมีหลายรูป) ได้ละสังขารไปหมดแล้ว จึงส่งผลให้ท่าน "ไม่มีหมู่คณะ และจะกลายสภาพเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า" ได้ และผลจากการที่ท่านเข้าสู่วิถีปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็ต้องละสังขารในระยะเวลาอันสั้นอยู่ดี ไม่อาจทรงขันธ์ทำกิจบนโลกได้นาน ดังนั้น ธรรมซึ่งอยู่ยนโลกหลังกึ่งกลางพุทธกาลจึงไม่มีใน "ผ้าเหลือง" (ผ้าเหลืองอยู่ในลัทธิ-นิกาย เป็นสังฆเภททั้งหมด) จึงมีเฉพาะในฆราวาส และมีได้ก็เพียง "อนาคามี" เท่านั้น (เพราะถ้าถึงอรหันต์แล้วอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องตายไป) ดังนั้น เมื่อท่านไม่อาจจะอยู่แบบอรหันต์ได้ ท่านก็ต้องอยู่แบบอนาคามี คือ อยู่แบบมีตัวตนสักหนึ่งตัว ก็คือ ตัวตนแห่งมนุษย์ติดดาว ที่กล่าวถึงนั่นเอง



ถ้าท่านไม่ติดอะไรเลยจะอยู่ได้ยาก ดังนั้น ท่านจึงต้อง "ติดดาว" สักดวง


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ถ้าท่านไม่ติดอะไรเลย ท่านจะบรรลุอรหันต์และละสังขารอย่างรวดเร็ว เพราะบนโลกไม่มีหมู่คณะให้ท่านอยู่ร่วมแล้วและท่านจะกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผิดยุคที่ต้องนิพพานไปอย่างเร่งด่วนดังนั้น ถ้าท่านประสงค์จะอยู่ต่อเพื่อสานกิจพระพุทธศาสนา หรือกิจอื่นก็ดีท่านจึงต้อง "ติดอะไรสักอย่างหนึ่ง" ไว้บ้างเล็กน้อย เพื่อไม่ให้มีธรรมเกินไปคงระดับธรรมไว้ที่ "อนาคามี" ก็พอ และสิ่งที่ข้าพเจ้าแนะนำท่านให้ติดก็คือ "แสงแห่งธรรมจากพระธรรมกายของพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า" ที่ข้าพเจ้าเรียกสั้นๆ ว่า "ติดดาว" นั่นแหละ ไม่เช่นนั้น ท่านก็อาจจะถูกดึงไปอยู่ในกลุ่ม "มนุษย์ต่างดาว" เช่น มนุษย์จากดาวสุขาวดีโลกธาตุ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดหรือเลวร้ายอะไร เพียงแต่ถ้ามันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของท่าน ท่านต้องการจะต่อสายธรรมตรงสู่พระพุทธเจ้าจริง พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้จริง ท่านก็ควรจะต่อสายธรรมให้ถูก ซึ่งมันก็มีสองสายใหญ่ดังที่ผมเรียกเป็นชื่อเก๋ๆ ให้เลือกว่า "มนุษย์ติดดาว" กับ "มนุษย์ต่างดาว" เท่านั้นเอง


ขอพลังแห่งพระธรรมกายนั้น จงประสิทธิ "แสงแห่งธรรม" สู่ท่าน สวัสดี



3 ส.ค. 2555


"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ตำนานแห่ง "สี่อัศวินชัมบาลา" ค้ำจุนพระพุทธศาสนาอย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอเล่าเรื่องของสี่อัศวินชัมบาลาต่อเลยก็แล้วกันนะครับเพราะค่อนข้างเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงไปของพระพุทธศาสนา จึงค่อยๆ กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร เราจึงควรนำมาศึกษาร่วมกันนะครับ เชิญครับ


"มารพุทธะ" ต้นกำเนิดของนิกายเซน และการสังคายนาพระไตรปิฎก


มารพุทธะ เป็นหนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลา ผู้พิทักษ์ "ธรรมวินัย" ฝ่ายมารซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ "นิรมาณกายของพระพุทธเจ้า" ที่ทำให้ผู้คนเห็นท่านมีกายทิพย์เป็นพระพุทธเจ้า นั่นเอง แต่กายนี้มิใช่ "ธรรมกาย" เพราะมีธรรมกายอีกกายหนึ่งของท่านซึ่ง "ไร้ลักษณ์" ด้วยเพราะวิญญาณขันธ์ได้นิพพานไปก่อนแล้ว จึงไม่มีวิญญาณขันธ์ห่อหุ้ม มีแต่ "มโนธาตุ" เท่านั้น นั่นคือ "ส่วนธรรมกาย" ของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีรูปลักษณ์แห่งพุทธะเลย เอาละ กล่าวถึง "มารพุทธะ" เมื่อถ่ายทอดสู่พระมหากัสสปะด้วยวิธี "แลกจีวร" ระหว่างพระพุทธเจ้าและพระมหากัสสปะแล้ว จึงเริ่มกิจของตนประสานกับพระมหากัสสปะหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว โดยการทำ "สังคายนาพระไตรปิฎก" อันเป็นสิ่งที่ "คิดเอง ทำเอง" ไม่ใช่รับสั่งของพระพุทธเจ้าเลย (แต่ก็เป็นไปด้วย โพธิจิตร่วมด้วย ทำให้เราได้มีตำราธรรมจนถึงทุกวันนี้) แล้วพระมหากัสสปะจึงขึ้นเป็น "ผู้นำสงฆ์องค์แรก" นี่จึงนับเป็นจุดเริ่มของ "การแตกหน่อ-แตกกอ" ขึ้นเป็นนิกายเซนนั่นเอง ทว่า นี่คือ วิธีการสืบทอดศาสนาให้มีอายุยืนยาวต่อไป ถ้าไม่ทำก็อาจจะไม่เหลือศาสนาให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษากัน ทว่า เมื่อทำแล้วก็ทำให้เกิดความแตกแยก แตกต่างจากพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ไป ได้เช่นกัน



"ลูซิเฟอร์" ต้นกำเนิดของ "ธรรมจากตัวอักษร" และตำรามูลกัจจายน์


ซาตานลูซิเฟอร์ ได้ถ่ายทอดสู่พระมหากัจจานะ ดูแลต่อไป เพราะไม่มีผู้ใดจะคุมซาตานลูซิเฟอร์ได้เท่าท่านอีก ซาตานลูซิเฟอร์ได้กินผลไม้ทิพย์แห่งการหยั่งรู้ไป ทำให้เหมือนมีสัพพัญญูญาณ รู้ไปหมดทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ (การรู้มาก กับการมีปัญญาแจ้ง เป็นคนละอย่างกัน) พระมหากัจจานะ ก็รู้ใจ อ่านใจพระพุทธเจ้าได้ เพราะอาศัยลูซิเฟอร์นี่เองทำให้ท่านเข้าใจว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้าใช้ภาษาบาลีสันสกฤษ ซึ่งนานวันไป ความไม่เที่ยง อาจทำให้ผู้คนไม่ได้ใช้ภาษานี้ และลูกหลานจะไม่มีใครเข้าใจพระธรรมแบบที่มีตัวอักษรของพระพุทธเจ้าได้ ดังนั้น ท่านจึงได้รจนาคัมภีร์มูลกัจจายน์ ขึ้นมา เพื่อให้คนรุ่นหลังสามารถแปลและมีความเข้าใจในภาษาที่ใช้ในพระพุทธศาสนาได้ ทว่า "พระธรรมกาย" ที่ถ่ายทอดธรรมแท้ของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้ใช้ภาษานั้น แต่ทรงใช้ภาษา "มคธ" ต่างหาก คำว่าภาษามคธ นั้นยังไม่ใช่ภาษาที่ชาวมคธใช้กันทว่ามันหมายถึง "ภาษาจิต" หรือ "จิตสู่จิต" อันเป็นภาษาดั้งเดิมของสัตว์ในโลกนี้ ที่มนุษย์ ก็ดี, สัตว์เดรัจฉาน ก็ดี, เทวดา ก็ดีล้วนใช้กัน ดังนั้น ธรรมแท้จึง "ไร้อักษรอธิบาย" ส่วน "ธรรมอันเป็นเพียงกุศโลบายหลอกล่อ" ที่ไม่ได้ช่วยให้บรรลุธรรม (แต่แค่หลอกล่อเป็นกุศโลบายเฉยๆ) นั้น เป็นสิ่งที่มีอักษรและอธิบายได้ทั้งสิ้น ต่างจาก "ธรรมแท้จากพระธรรมกาย" เป็นธรรมไร้อักษร, ไร้คำอธิบาย, เป็นภาษามคธ, เป็นธรรมแบบจิตสู่จิต นั่นเองดังนั้น "ลูซิเฟอร์จึงกลายเป็นตัวผู้รู้มากแต่ไม่หลุดพ้น" ถ่ายทอดต่อกันมาเป็นภูเขาพุทธธรรมที่บดบัง "สัจธรรมแท้" บดบังพระธรรมกายนั้นเรื่อยมา



"เทพกระต่ายขาว" ต้นกำเนิดของ "ธรรมผ้าขาว" และการรับขันธ์สาม


พระอานนท์เป็นผู้ที่ได้รับพุทธานุญาติโดยตรงจากพระพุทธเจ้าให้สามารถผ่อนปรนสิกขาบทได้เล็กน้อย ทว่า พระอานนท์ก็ไม่เคยผ่อนปนรสิกขาบทในหมู่ผ้าเหลืองเลย แต่ท่านได้เคยให้ศีล 10 แก่พราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งต้องการบวชเป็นพระมาก แต่ไม่อาจจะบวชได้ ท่านเรียกว่า "ขันธ์ 3" คือ ศีล, สมาธิ, ปัญญา ในส่วนของศีลนั้น ท่านได้ผ่อนปรนสิกขามาจาก ศีลภิกษุนั่นเอง ดังนั้น พระอานนท์จึงได้ผ่อนปรนสิกขาบทเสียเฉพาะในฆราวาสก็เท่านั้น แต่มิได้แตะต้องในส่วนของสงฆ์เลย ทว่า เทพกระต่ายขาวที่ท่านได้รับการสืบทอด ต่อจากพระพุทธเจ้านั้น เป็นเทพที่ใช้ "ปราณเสพติด" ในการดึงคนให้เข้ามาใกล้ ให้คนเสพติดธรรมะ ทำให้ธรรมะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ช่วยให้หลุดพ้นได้ จำจะต้องได้ "ยาแก้" จากพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าโดยตรงเท่านั้น จึงจะเลิก "เสพติดธรรมะ" ได้ ไม่เช่นนั้น ท่านที่เข้ามาศึกษาพระธรรมในพระพุทธศาสนา ก็จะเกิดอาการเดียวกันคือ เสพติดธรรมะ ขาดไม่ได้ ต้องอ่าน ต้องดู ต้องฟังธรรม อยู่ตลอด ติดอยู่อย่างนี้ขาดไม่ได้ ทว่า นี่ไม่ได้เลวร้ายหรือผิดพลาดอะไร เป็นธรรมดาของการดึงปวงสัตว์ไว้ก่อน รอจนอินทรีย์แก่กล้าก็จะได้รับ "ธรรมโอสถ" นั้นๆ เอง จึงจะหลุดพ้นและได้เข้าใจว่า "มีธรรมก็เหมือนไม่มีธรรม" ไม่ต้องมีธรรม ก็มีธรรมได้ ไม่ต้องเสพติดธรรมะ อีกต่อไปนั้นเป็นอย่างไร นี่จึงพ้น "ติดธรรม"



"อสูรทศกัณฐ์" ต้นกำเนิดของธรรม "ว่างเปล่าไร้ดวงใจ"


พระอชิตะ เป็นผู้ที่ได้รับบาตรของพระพุทธเจ้าไปได้และมีอิทธิฤทธิ์มาก ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณ "อสูรทศกัณฐ์" ไป อสูรตนนี้ ถอดดวงใจทิพย์ได้ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า"ว่างเปล่าไร้จิตไร้ใจ" ซึ่ง ก็ไม่ใช่การบรรลุธรรมที่แท้จริงเป็นเพราะถูก "ถอดดวงใจทิพย์" ไปก็เท่านั้น ทำให้คนทั้งหลายที่ถูกทำเช่นนี้ คิดว่าตนได้บรรลุธรรมแล้วเพราะติดที่"กับดักของความว่างเปล่า" แต่ว่า "ไร้ซึ่งหัวใจแห่งความว่างเปล่า" ซึ่งแม้ว่าอาการนี้จะทำให้เป็น "เหตุใกล้นิพพานก็ตาม" ทว่า ถ้ายังไปไม่ถึง "หัวใจแห่งความว่างเปล่า" ก็จะไม่อาจบรรลุธรรมได้ เพราะหัวใจแห่งความว่างเปล่านั้นมิใช่ความว่างเปล่า แต่กลับเป็น "ความอิ่มเต็มด้วยสัจธรรมแท้อันไม่เคยสูญหาย - ไม่เกิด - ไม่ดับ - ไม่กลับกลาย เป็นสิ่งเดิม สิ่งสุดท้าย สิ่งเดียวกัน" ดังนั้น จึงก่อให้เกิดลัทธิ ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องความว่างเปล่ามาก แต่กลับไม่เข้าถึงนิพพานได้เพราะสูญเสีย "ดวงใจทิพย์" ไปนั่นเอง ไม่เข้าถึงหัวใจแห่งความว่างเปล่าได้ นั่นเอง นอกจากนี้ ยังกลับกลายเป็นนิกาย "มหายาน" ต่อมาอีก ด้วยเพราะมุ่งเน้นการช่วยให้พระภิกษุได้มีปัจจัยในการดำรงชีพมากเกินไป (แบบมหายาน) ซึ่งทั้งที่จริงแล้ว "คนเราทุกคนมีบุญกรรมของตัวเอง" ไม่มีใครที่จะมาทำตัวเป็นผู้นำหมู่สงฆ์เพื่อจะบอกว่าตนมีบุญมาก จะได้นำบุญมาหล่อเลี้ยงคณะบริวารได้ก็หาไม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น บุญของใคร ก็ของมัน กรรมของใครก็ของมัน ทำแทนกัน ยกให้กัน ก็ไม่ได้ แล้วไฉนจะต้องไปหาวิธีช่วยให้พระได้มีลาภมากด้วยเล่า? อันนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำ (แต่ก็มีผู้ทำ ในภายหลัง)



ทั้งหมดนี้ล้วน "เป็นมายาภาพของกรรม" มิใช่ความถูกหรือความผิด


สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวล ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เกิดจากสี่อัศวินชัมบาลานั้น ก็คือ "มายาภาพแห่งกรรม" อันเกิดขึ้นในโลกคือละครแห่งกรรมนี้มิใช่ ความผิดแต่ประการใด แต่ก็ไม่ใช่ความถูกต้องอะไร ให้ต้องมาทำตามๆ กัน ก็หาไม่ เอาละ มันไม่ใช่ทั้งความถูก-ผิด หรือดี-ชั่วอะไร? ทั้งนั้น มันเป็นแค่ "กรรม" และความไม่เที่ยง ผันแปรไปตายุคสมัย เท่านั้นและมันยังคง "เล่นต่อไป" ตราบเท่าที่ ยังไม่ถึงเวลาปิดฉากละครโรงนี้ลงไป ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงเวลาชำระล้างจิตวิญญาณทั้งสี่ดวงนี้ ตราบที่ยังไม่ถึงวาระสิ้นอายุพุทธกาล 5,000 ปี มันก็จะต้องมี "ร่างสังขาร" ที่รับสืบทอด "สี่อัศวินชัมบาลา" ผู้ยอมเสียสละสวมเกราะศักดิสิทธิ์แต่เต็มไปด้วย "อาถรรพ์" เหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันได้สืบทอดไปอยู่กับผู้ที่ไม่มีธรรมมากพอแล้ว ย่อมพากันเตลิดเปิดเปิงไปสู่นรก ไม่ก็ภพมืดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นแน่แต่ถ้ามันอยู่กับผู้มีธรรมแก่กล้า มันก็อาจจะไม่แผลงฤทธิ์มากเกินไป เหมือนกับที่อยู่กับพระสาวกองค์สำคัญทั้งสี่องค์แรก นั้น ท่านก็ไม่ได้สร้างกรรม สร้างบุญอะไรมาก ท่านทำเพียงจุดเล็กๆ เพื่อศาสนานี้ก็เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรมากมายใหญ่โตอะไรเลย แต่เพียงเท่านั้นก็พอแล้วดังนั้น การเจริญรอยตามพระสาวกองค์สำคัญนี้ จึงไม่ใช่การสร้างทำอะไรมากมาย แต่เป็นการทำ "จุดเล็กๆ" ที่สำคัญจริงๆ ก็พอแล้ว เพื่อ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ "พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" ให้ถูกเปลี่ยนจนกลายพันธุ์ไป



เมื่อ "เทพกระต่ายขาว" ได้รับการชำระล้างแล้ว เทพองค์ใหม่จะมาแทน


หลังกึ่งกลางยุคพุทธกาล หนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลาจะได้รับการชำระล้างไปก่อนคือ "เทพกระต่ายขาว" ส่งผลให้ "เทพนักษัตรทั้ง 12 องค์" จะถูกเปลี่ยนยกทั้งชุดด้วย ซึ่งเทพนักษัตรชุดใหม่ที่ลงมานี้เป็นพาหนะทรงของ "พระสุริยเทพ" หรือ "พระอาทิตย์ยูไล" ทั้งสิ้น พระธรรมที่เคยมีในพุทธศาสนา "สายเทพ" แต่เดิมต่อสายมาจากพระจันทร์ยูไลมีความเย็นเน้นรับมากกว่ารุก และอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ก็จะเปลี่ยนไปเป็น "มีไฟที่จะทำกิจ" มากขึ้น, "เน้นรุกมากกว่ารับ" และ "ไม่อยู่เฉยๆ มีหน้าที่ทำก็จะทำไป" เป็นแบบ "การทำงานคือการปฏิบัติธรรม" และ "ไม่แยกพระและฆราวาสมาก" ทั้งพระและฆราวาส ล้วนปฏิบัติได้เท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่ต่างกันเลย เพราะเนื่องจากพระธรรมอันเป็นเหตุใกล้นิพพาน (แต่ไม่ใช่ที่มาจากพระธรรมกายฯ) นั้น มาจากพระอาทิตย์ยูไล นั่นเอง มาเป็นเครื่องดึงดูดคนให้เข้ามาธรรม ปูพื้นฐานเบื้องต้นเป็น "เหตุใกล้" ก่อนบุคคลจะมีอินทรีย์แก่กล้าและพร้อมรับธรรมจาก "พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า" โดยตรง ต่อไป ดังนั้น "พระธรรมแท้" ยังคงมาจาก "พระธรรมกาย" นั้นดังเดิม แต่ "พระธรรมอันเป็นกุศโลกบายหลอกล่อ" จะเปลี่ยนไป คือ มีที่มาจากพระอาทิตย์ยูไล แทนพระจันทร์ยูไล แสงธรรมของท่าน จะส่องทั้งทางโลกและทางธรรม สว่างไสว แจ้งไปหมด ทำให้เข้าใจแจ้งโล่งโจ้งทั้งทางโลกและทางธรรมรอบทิศ โลกจะไม่มืดมิดดุจรัตติกาลแต่จะสว่างไสวดุจเวลากลางวันนั้น ส่วน "สามอัศวินชัมบาลา" ท่านอื่นจะยังคงอยู่ดังเดิม



สุดท้ายนี้ พลังของอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะถูกชำระล้างไปหนึ่งในสี่ส่วนทำให้ พลังงานใหม่เข้ามาแทนที่ได้ 1 ใน 4 ส่วน อีก 3 ส่วนยังคงเดิมพลังงานเก่าที่ได้รับการชำระล้างคือ พลังของเทพกระต่ายขาว ทำให้มี "เทพนักษัตร 12 องค์" ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน และเทพชุดใหม่นี้จะทำหน้าที่รับพลังธรรมจาก "พระอาทิตย์ยูไล" แทน จากเดิมที่เคยรับพลังธรรมของพระจันทร์ยูไล ซึ่งธรรมของพระยูไลนี้ จะเป็นธรรมอันเป็น "เหตุใกล้นิพพาน" แต่ยังไม่ใช่ "ธรรมแท้" เพราะธรรมแท้นั้นจะมาจาก "พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" เท่านั้น แต่ท่านจำต้องเข้าใจด้วยว่าธรรมอันเป็นกุศโลบายหลอกล่อ ธรรมอันเป็นเหตุใกล้เหล่านี้นั้นเป็นเหมือนการปูพื้น เป็นเหมือนบันใดขั้นหนึ่งของการฉุดช่วยปวงสัตว์ซึ่งอยู่ชั้นล่างต่ำลงไปให้มาใกล้ "พระธรรมแท้" อันเป็นธรรมไร้อักษรซึ่งเป็น "อไทฺวตธรรม" (ธรรมที่ไร้อักษร ไร้คำอธิบาย) อันเป็นธรรมที่พ้นแล้วจากความเป็น "ทวิภาวะ" (ของคู่ตรงข้าม) เป็นทวารตรงสู่นิพพานโดยแท้จริง


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายนั้น จงเปิดดวงตาธรรมท่านด้วย สวัสดี



1 ส.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"อภิสิทธิ์ชน" ผู้ที่ธรรมชาติเปิดให้เต็มที่เพื่อ "ทำลายล้างพระพุทธศาสนา"

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องอธิบายให้เหล่าชาวพุทธหรือศาสนาอื่นเข้าใจ คือ เรื่อง "อภิสิทธิ์ชนผู้มีหน้าที่ทำลายล้างศาสนา" ซึ่งจะมีทุกศาสนานะครับ เป็นไปตามดุลยภาพของธรรมะธรรมชาติ มีเกิด มีดับ ตามวาระ ไม่เที่ยงทุกสิ่งเป็นเช่นนั้น ทว่า มันไม่จำเป็นว่าผู้สร้างต้องเป็นผู้ทำลายล้างเสมอไปครับเป็นได้ทั้งสองกรณีคือ ผู้สร้างมาทำลายล้างเอง ก็ได้ หรือ ผู้สร้างอาจมีบารมีได้ช่วย "ผู้ทำลายล้าง" ไว้ เพื่อให้เขามาทำหน้าที่นั้นแทนครับ เอาละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า จะได้เล่าให้ละเอียดครับ


โลกนี้ไม่เที่ยง สิ่งใดถูกสร้างขึ้น เมื่อหมดวาระแล้วต้องถูกทำลายล้าง?


เหตุที่ต้องทำลายล้างเพราะ "หมดวาระ" แล้วนั่นเอง โลกไม่เที่ยง โลกเป็นเช่นนี้ สิ่งใดที่หมดวาระแล้วย่อมต้องดับไป และในกระบวนการทำให้ดับไปนั้น จะต้องมี "ผู้ทำลายล้าง" ลงมาเป็น "ตัวกระทำ" ซึ่งพวกเขาจะมีอย่าง "อภิสิทธิ์ชน" คือ มาแบบที่ใครก็ไม่อาจเอื้อมที่จะขวางเขาได้บ้างมาในฐานะอันสูงส่งและไม่มีใครกล้าแตะได้เลย เขาก็จะทำหน้าที่นั้นได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่มีใครค้านหรือต้านทานได้ ด้วย "ความหลง" เป็นตัวขับเคลื่อน ธรรมชาติสร้างให้เขาได้ทุกอย่าง ได้อะไรมากมาย ทำให้มีความหลงมาก และทำไปโดยไม่มีใครต้านทานหรือห้ามไว้ได้ เมื่อนั้นเขาก็จะกลายสภาพเป็น "มือทำลายล้าง ไปทำลายล้าง สิ่งที่ผู้อื่นสร้างขึ้น" หลักการสำคัญคือ 1. เขาไม่ยอมแพ้ใคร แพ้ใครไม่เป็น จะเอาชนะอย่างเดียว 2. ใครก็เอาเขาไว้ไม่อยู่ ไม่มีใครห้ามเขาได้ ไม่มีใครสักคนขวางเขาได้เลย เมื่อมีคุณสมบัติครบสองข้อสำคัญนี้แล้ว เขาก็จะเป็นอภิสิทธิ์ชนผู้มีหน้าที่ "ทำลายล้าง" สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะ "พระพุทธศาสนา" นั้น



"อภิสิทธิ์ชนผู้ทำลายล้าง" ทำหน้าที่สำเร็จแล้วก็ตกสู่นรก พักยาวนาน


ทว่า ไม่มีผู้ใดหนีกฏแห่งกรรมพ้น เมื่อเขาได้ทำลายล้างอย่างไม่มีใครที่จะห้ามหรือต้านทานได้แล้ว เขาก็ต้อง "รับกรรมนั้นๆ เพียงผู้เดียว" เต็มที่ เต็มกำลัง เขาต้องตกนรกยาวนาน และพักผ่อนอยู่ในนรกนั้น ไม่ต้องมีชาติภพมาเกิดเป็นมนุษย์อีกยาวนานเลยทีเดียว ซึ่งผู้ที่หลงเข้ามาทางนี้แล้ว ยากที่จะถอนตัวได้ เพราะอะไร? เพราะ "ไม่มีใครอยากตกนรกยาวนานแบบนั้น" นั่นเอง ดังนั้น เมื่อเขาคนนั้นหลงหลุดเข้ามาทางสายนี้แล้วธรรมชาติก็เปิดทางให้เขาได้ "หลงตัวเองเต็มที่" ไม่มีใครสอน, ใครห้ามใครต้านทาน ได้เลย เขาก็จะหลงเตลิดเปิดเปิงไป เข้าสู่ทางสายนี้ และได้กลายเป็น "อภิสิทธิ์ชนผู้มีหน้าที่ทำลายล้างศาสนา" ไปในที่สุด ตัวอย่างพระพุทธศาสนายุคของพระสมณโคดม ได้แก่ พระเทวทัต นั่นเอง เขาผู้นี้มีอภิสิทธิ์จะมาทำลายล้างพระพุทธศาสนาได้เมื่อถึงวาระคือ สิ้นอายุพุทธกาล 5,000 ปี ระหว่างนั้น เขาจะเพียรพยายามทำลายล้างครั้งแล้ว ครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ตกนรกครั้งแล้วครั้งเล่าและได้รับอภิสิทธิ์ถูกฉุดช่วยมาจากนรกครั้งแล้ว ครั้งเล่า ทว่า ก็กลับมาทำอีกเรื่อยๆ แต่ไม่สำเร็จจนถึงวาระสิ้นอายุพุทธกาล เขาก็สามารถทำสำเร็จได้เต็มที่, เต็มกำลังของเขา



"อภิสิทธิ์ชนผู้ทำลายล้าง" จะถูกหลอกให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เพื่อ?


ธรรมชาติจะจัดสรร หลอกล่อ ให้เขาหลงทาง เข้าทางแห่งการทำลายล้างนั้น โดยการจัดสรรให้เขาหลงว่าตัวเองมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อจะได้ทำนั่น ทำนี่ ได้ตามใจชอบที่ตนคิดว่าดีเหลือหลาย แต่ด้วยไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา การทำความดีกลายเป็นยาพิษ ทำให้เป็นการทำลายล้างพระพุทธศาสนาแต่เดิม เพื่อทับถมด้วย "ของใหม่" ที่ตนคิดว่าดีเลิศแล้ว ถูกต้องแล้ว (แต่ไม่ถูกจริง) นั่นแหละ การทำลายที่แนบเนียนที่สุด และได้รับการยอมรับ มากที่สุด เลยไม่มีใครห้าม ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือต้านทานได้เลย เขาจึงจะทำหน้าที่ทำลายล้างได้อย่างดีที่สุดสำเร็จอย่างงดงามที่สุด จะไม่ทิ้งเชื้อเหลือ "ของดั้งเดิมที่ถูกต้อง" เอาไว้เลย เพราะหากทิ้งเชื้อเหลือไว้ ก็จะกลายเป็นเชื้อกรรม เชื้อบุญ เชื้อให้คนทั้งหลายมาสานต่อสายบุญ สายบารมี ไม่มีที่สิ้นสุด มีชาติภพต่อเนื่องยาวไป ไม่อาจนิพพานได้ นั่นเอง ดังนั้น ในกระบวนการทำลายล้างนั้น จึงต้องมี "กุศโลบายที่แยบคาย" อย่างยิ่ง เช่น หลอกว่าเขาคือพระศรีอาร์ฯ ทั้งที่ "ไม่จริง" และหลอกให้เขาได้อำนาจไปเพื่อ "ทำตามใจได้เต็มที่" และจะกลายเป็นการทำลายล้างของเดิมจนหมดสิ้นในที่สุด ในขณะพระศรีอาร์ฯ องค์จริงจะทราบใน "กุศโลบายหลอกลวง" นี้ และไม่หลงกลโดยง่ายเลยเอาละ ฟังให้ดีครับที่รัก "พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สร้างบุญบารมีมา" มีจำกัด ได้เท่าไรต้องเสวยเท่านั้น จะเกิดตัวไม่ได้ ผิดธรรมชาติ ผิดกฏแห่งกรรม ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา ไม่มีโกงกันครับ ทีนี้ "บุญที่ได้พระราชามาค้ำพระพุทธศาสนา" นั้น ก็เช่นนั้น สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดม สร้างบุญบารมีมาสรุปแล้วจะได้ "พระธรรมราชา 7 พระองค์" (ดังภาพที่ท่านเห็นพระพุทธเจ้าเกิดแล้วก้าวเดินไปบนดอกบัว 7 ดอก คือ เจ็ดแว่นแคว้น) สรุปคือ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ "ไม่ได้มีบุญจะได้พระเจ้าจักรพรรดิมาค้ำพระพุทธศาสนาเลย แม้แต่องค์เดียว" แต่ พระศรีอาริยเมตตรัย ต่างหากที่สร้างบารมีมาถึง 4 เท่า คือ 16 อสงไขยที่จะได้พระเจ้าจักรพรรดิมาค้ำพระพุทธศาสนา และได้ "เพียง 1 องค์" เท่านั้น แล้วพระพุทธเจ้าองค์นี้ที่สร้างบารมีมาเพียง 4 อสงไขย (น้อยกว่าถึง 4 เท่า) จะเอาบุญบารมีตรงไหนมาโกง มาได้พระเจ้าจักรพรรดิถึง 5 พระองค์ (ตามคำทำนายว่าจะมี5 องค์ แต่ละองค์ดูแล แต่ละ 1,000 ปี จนครบ 5,000 ปี) ซึ่งมันไม่จริงเอาละ สรุปคือพระพุทธเจ้าองค์นี้ "ไม่ได้โกง" แต่มันมี "บางสิ่ง" ที่กำลังหลอกใช้ ให้คนบางคนหลงกลและทำตัวเป็น "ผู้ทำลายล้าง" อยู่ นั่นเอง



บุญบารมีที่จะได้พระธรรมราชาหมดแล้ว ที่เหลือฝากไว้ให้พระโพธิสัตว์


พระพุทธเจ้าสมณโคดมสร้างบุญบารมี มาได้ "พระธรรมราชา 7 องค์" มาค้ำจุนพระพุทธศาสนา และบุญเหล่านั้นได้ "เสวยจนหมดแล้ว" ไม่มีอีก จะโกงบุญกันนั้น เป็นไปไม่ได้ ต้องฝากพระพุทธศาสนาไว้ให้แก่พระโพธิสัตว์แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิ, พระธรรมราชา จะยุ่งไม่ได้ เพราะไม่มีบารมีจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ ฯลฯ ได้ ท่านเหล่านั้นมีฐานะ "เทพ" คือไม่มีบารมีทำตามใจตัวเอง ต้องทำตาม "ระเบียบกฏแห่งกรรมฯ" อย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น ทำดีเกินไป ก็ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา ขอย้ำ ก่อนที่สามภพจะได้รับภัยกันหมด มากไปกว่านี้ ขอร้อง "หยุด" เสียเถิดเพื่อทำอย่างตรงไปตรงมาตามกฏแห่งกรรม อย่าโกงกรรม ดีเกินไป ก็ไม่ได้ทว่า พระโพธิสัตว์ ก็ดี, พุทธะ ก็ดี ล้วนมี "บารมีของตนเอง" ที่จะทำได้และรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นได้ ข้อนี้ต่างจากเทพ ต่างจากพระธรรมราชาและพระเจ้าจักรพรรดิ ท่านสามารถทำได้ด้วย "บารมีของตนเอง" แต่จะต้องพิจารณาให้ดีๆ เพราะการกระทำเหล่านี้ "ฝืนกฏแห่งกรรม-ฝืนธรรมชาติ" มาตั้งแต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว "ยื้ออายุพระพุทธศาสนาให้ยาวไปถึง ห้าพันปีแล้ว" มันทำได้ ด้วยบารมีของพระโพธิสัตว์และพุทธะเท่านั้น ไม่อาจทำได้ ระดับเทพ ขอให้เข้าใจตรงนี้ร่วมกันด้วย! หมายความว่า ถ้าจะเกิดมีพระธรรมราชาหรือพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ดี ต้องมาได้ด้วย "พุทธะหรือพระโพธิสัตว์" ใช้บารมีของตนลงมาค้ำจุนเท่านั้นไม่อาจมาจากเทพได้ (พระเจ้าจักรพรรดิ ปกติจะมาจากเทพฯ ชั้นที่สาม)



พระโพธิสัตว์ที่ยอมฝืนกฏแห่งกรรม จะต้องรับ "ซาตาน" จึงจะทำได้ !


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าการยื้ออายุพระพุทธศาสนานั้น "ฝืนกฏแห่งกรรมฝืนธรรมชาติ" แต่มันทำได้ ถ้าทำด้วย "ผู้มีบารมี" เสียอย่าง ทว่า ในกลไกลฝืนกฏแห่งกรรม ฝืนธรรมชาตินั้น จะสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยพลังของ "ซาตานลูซิเฟอร์" ผมจึงได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่าเขาก็คือหนึ่งในสี่ "อัศวินชัมบาลา" อย่างไรละครับ เขาเป็นอัศวินชัมบาลาได้ก็ด้วยเหตุนี้ และถ้าไม่ใช่เขา ก็ไม่ได้ครับ มีแต่เขาที่ฝืนกฏแห่งกรรม ฝืนธรรมชาติได้ ดังนั้น คนที่ "อยากเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ" จะรับพลังสายเทพภาคสว่าง ไม่ได้ จะต้องรับ "พลังของลูซิเฟอร์" ภาคมืด ปั้นให้เป็นให้ได้ ดังใจฝัน ตามใจปรารถนา ตามใจต้องการเท่านั้น และเมื่อได้รับพลังภาคมืดไปแล้ว โอกาสที่จะ "ทำสิ่งที่ผิดเพราะความมืดมน" ก็เป็นไปได้สูง และเมื่อได้ทำผิดพลาดไป มันก็คือ "การทำลายล้างพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" นั่นเอง สุดท้าย พระพุทธศาสนาก็หนีความจริง ฝืนกฏแห่งกรรม ไม่พ้น "ถูกทำลายล้างอยู่ดี" เอาละ ดังนั้น อย่าฝืนกรรมให้มันมากเกินไป เอาแต่พอดี ที่เรามีพระพุทธศาสนาเลยเกินมา ถึงทุกวันนี้ ก็ฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ "โกงเขามามากแล้ว" เอาละ อย่างไรเราก็จะโกงกันต่อไป ขโมยดอกบัวบานของคนอื่นกันต่อไปจนกว่าจะสิ้นยุคแห่ง "คนขี้ลักขี้ล่าย" เราก็ต้องดำเนินกันต่อไปอย่างนี้ ดังนั้น ก็อย่าไปโกรธแค้นคนที่ทำลายล้างพระพุทธศาสนาเขาเลยและก็อย่าไปตกหลุมพรางกลายเป็น "มือทำลายล้างพระพุทธศาสนา" เสียเองละ เพราะมันมีพลังกรรมของพระพุทธศาสนา ชักชวนขับดันให้ทำลายล้างอยู่ตลอดไม่ใช่เพราะใครเลวหรือใครผิดหรอก ก็พระพุทธศาสนามีกรรมอย่างนั้นจะหนีกรรมหรือ? จะฝืนกรรมหรือ? จะโกงกรรมหรือ? คงเป็นไปไม่ได้!



เพราะพระพุทธศาสนาฝืนกฏแห่งกรรม จึงมีกรรมเป็นเงาตามตัวตลอด


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าพระพุทธศาสนานี้ ฝืนกฏแห่งกรรม ฝืนธรรมชาติมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น เราก็จะฝืนกันต่อไปเพื่อปวงสรรพสัตว์ แต่เราก็ต้องเคารพกกแห่งกรรม ยอมรับความจริงกันบ้างว่า "พระพุทธศาสนามีกรรมมีเงาตามตัว ให้ถูกทำลายล้างอยู่ตลอด" นี่คือ ความจริงแท้ เพราะแม้แต่พุทธะ ที่มีใจอยากทำเพื่อพระศาสนานี้ ยังสร้าง "ลัทธินิกายใหม่ๆ" ที่ทำให้พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ "หายลบ ถูกกลบเกลื่อนไป" ได้เลย จะเอาอะไรกับพระโพธิสัตว์ ยิ่งมีจิตใจที่ดีงามอยากทำเพื่อพระพุทธศาสนาก็จะทำร้ายทำลายพระพุทธศาสนาให้มากขึ้นไปอีก ด้วยการทำสิ่งที่ตนคิดว่าดีเลิศแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนาดั้งเดิมทั้งนั้น เพราะอะไร? ก็เพราะ "ตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่รีบนิพพาน" แล้วจะนำพาสรรพสัตว์ตรงนิพพานได้ด้วยตัวเอง ได้อย่างไร? ตลกมาก นะคะ (ขำๆ) เอาละ "ความหวังดีที่ไม่รู้จริงทั้งหลายนั้น" ก็ได้ทำร้าย ทำลายพระพุทธศาสนามาตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำลายกันอยู่ "ด้วยเจตนาดีกันทั้งนั้นแหละ" อย่าตกใจ อย่าจิตตกละ ! นี่ไม่ใช่การตำหนินะ เป็นการกล่าวความจริงให้ตื่นแจ้ง ก็เท่านั้นเอง ทุกท่านทำดีกันทั้งนั้นแหละ และได้บุญบารมีมากกันทุกคน แต่ไม่มีใครได้นิพพานเพราะการทำความดีแบบนี้ กันซักคน เพราะอะไร? เพราะทำให้คนอื่นเขาไม่ได้นิพพานนะสิ ตัวเอง ก็เลยมีกรรมไม่ได้นิพพานไปด้วย เอาละ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก นะ ทุกอย่างมันก็แค่ "มายาภาพของโลกแห่งละคร" ที่ล้วนดำเนินไป "ตามกรรมอย่างตรงไปตรงมา" ก็เท่านั้นเอง อย่าเครียดมาก! ใครอยากทำอะไร ก็ทำไป ผมไม่ได้ขวางท่าน ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมอยู่แล้ว แม้แต่พระพุทธศาสนาก็หนีสัจธรรมความจริงไม่พ้น ปลงได้ก็จบ



พระพุทธศาสนาเหมือน "เรือที่ถูกยิงจนพรุน" ท่านรีบไปให้ถึงนิพพานเถิด


เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดว่าพระพุทธศาสนาที่ท่านเห็นว่าเจริญรุ่งเรืองมากไปด้วย "ถาวรวัตถุ" มากมายนี้ มีทรัพย์สมบัติรวมมูลค่าแล้วมหาศาลนั้นแท้แล้ว ไม่ต่างจาก "เรือที่ถูกยิงจนพรุน" มันงดงามอลังการก็แค่เปลือกนอก ก็เท่านั้น มันแทบจะไม่เหลือเค้าโครงของเดิม พระศาสนาดั้งเดิมแท้ให้เห็นเลย ไม่ต่างอะไรจาก "เรือที่ถูกยิงจนพรุน" ไปหมดแล้ว มันงดงามอลังการทั้งลำเพราะถูกสร้างให้ยิ่งใหญ่ไปด้วย "ถาวรวัตถุ" แต่มันไม่ได้ "อุดรอยรั่ว" ที่ถูกยิงจนพรุนเหล่านั้นได้เลย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็รั่วออกไปสู่ "มหาสมุทรแห่งวัฏฏะสงสารตามเดิม" ไม่อาจไปถึงฝั่งพระนิพพานได้ และมันกำลังจะจมมิจมแหล่อยู่ทุกขณะอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านทั้งหลายก็จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเร่งพายเรือไปให้ถึงฝั่งพระนิพพานเถิดเพราะ "มันใกล้จะจมอยู่แล้ว" มันแทบไม่มีอะไร ปกป้องให้ถึงฝั่งนิพพานได้เลย มันมีแต่สิ่งที่ "ดึงปวงสัตว์ออกไปสู่วัฏฏะสงสาร" กันทั้งนั้น ไม่ได้มีใครมองหา "รูรั่ว" แล้วช่ยกันอุดมันเลย มีแต่คนสร้างใหม่ ตามใจที่ตัวเองอยากจะได้, อยากจะมี, อยากจะเป็น, อยากจะไปเสวยบุญกันในชาติหน้านั้น เลยไม่มีใครรู้ว่า "แล้วสรรพสัตว์รั่วออกไปนอกเรือ ไม่ถึงนิพพานได้อย่างไร?" เพราะไม่มีใครสนใจ "รูรั่ว" ไม่มีใครสนใจ "อุดรูรั่ว" สนใจแต่จะสร้างบุญบารมีแข่งกัน ตามแต่ใจที่ตัวเองต้องการอยากจะได้นั้นเองเอาละ ไม่มีใครผิดนะ ไม่มีใครถูกด้วย (ซักคนเลยจริงๆ) มันเป็นแค่กรรมของพระพุทธศาสนานี้ ก็เท่านั้นเอง ผมไม่ได้ต่อว่าใครทั้งนั้น เพียงแต่ร้องบอกให้ท่านที่ปรารถนานิพพานจริงๆ รีบตรงสู่นิพพาน อย่าให้สิ่งอื่นใดมาดึงท่านออกนอกลู่นอกทางไป ก็เท่านั้น เพราะ รูรั่วในเรือ มันเยอะ นั่นเอง



สุดท้ายนี้ ขอสรุปสั้นๆ ว่า "พระพุทธศาสนานี้มีกรรม" ฝืนกรรมมามากแล้ว และ "หนีสัจธรรมความจริงไม่พ้น" จึงเกิดมี "อภิสิทธิ์ชนผู้ทำลายล้างพระพุทธศาสนา" ขึ้น ในแบบต่างๆ ที่คนยอมรับ และพร้อมยินดีรับเพราะ "กรรมบังตา" ทำให้มองไม่เห็นว่า "ความหวังดีนั้นๆ ทำร้ายพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" ไปเสียแล้ว เอาละ พวกเขาไม่ผิดอะไรนะ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ทำได้ถูกต้องด้วย มันเป็นไปตามกรรม อย่างที่มันควรจะเป็นก็เท่านั้นเอง คนที่ไม่อยากมีกรรม ก็ "ไม่ต้องทำอะไรเลย" จะดีที่สุดละไม่ทำอะไร ก็ไม่ต้องผิด เรียกว่า "ศีลบารมีแก่กล้า" นั่นเอง ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย เพราะถ้าท่าน "กระทำโดยไม่กระทำ" เสีย ท่านก็ไม่ต้อง"ทำผิดไปโดยไม่เจตนา" อีกต่อไป และไม่ต้องเป็น "อภิสิทธิ์ชนผู้นั้น" ไม่ต้องไปทำอะไรให้พระพุทธศาสนามากเอาแค่ "ตัวเองให้ถึงนิพพานก็พอ" นั่นแหละ ทำเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องตรงทางที่สุดแล้ว


ขอพลังแห่งพระธรรมกายจงฉุดช่วยท่านให้พ้นจากอภิสิทธิ์ชนฯ สวัสดี



31 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มนุษย์ที่ใช้ "พลังงานระดับสูง" จะไม่มีภาระหน้าที่ทางโลกเหมือนปุถุชน?


สวัสดีครับ วันนี้มีเกร็ดความรู้เล็กน้อยมาฝากเพื่อความเข้าใจในเรื่อง "พลังงานที่ส่งผลต่อการดำรงชีพที่ต่างกันของมนุษย์" นะครับ สรุปก็คือ มนุษย์ที่มีพลังงานในระดับชั้นที่สูงมากๆ จะไม่มีภาระหน้าที่ทางโลกแบบปุถุชนนะครับ ดังนั้น ท่านจึงมักให้ "บวชพระ" เสีย เพื่อให้ทางโลก เห็นเปลือกนอกเข้าใจสมมุติ และอยู่ร่วมกันได้ ไม่ล่วงเกินกันและกันครับ เอาละ เรามาเข้าเนื้อหารายละเอียดแบบง่ายๆ กันครับ


ระดับชั้นพลังงานที่เกี่ยวพันกับ "ภารกิจทางโลก" คือ ไม่เกินชั้นที่สาม


อย่างแรกท่านต้องเข้าใจก่อนว่า โลกนี้มีระดับชั้นของพลังงานหลายชั้นและมันส่งผลต่อการดำรงชีพของมนุษย์ที่มีพลังงานต่างชั้นกันด้วย เช่น พลังงานในระดับไม่เกินสวรรค์ชั้นที่สอง ก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของท้าวจตุโลกบาล แหม แค่ชื่อก็บอกแล้วครับว่ามีหน้าที่อนุบาลโลกโดยตรงซึ่งมีด้วยกัน 4 ท่าน นั่นเอง ในนี้ก็มีพระอินทร์ผู้อยู่สวรรค์ชั้นที่สองด้วย ดังนี้ จึงสรุปได้ง่ายมากครับว่า พลังงานในระดับสวรรค์ชั้นที่สองของโลกนั้นมีความเกี่ยวพันกับภารกิจทางโลกมาก ในขณะที่ระดับชั้นที่สาม จะมีสองแบบคือ 
1. แบบพระภิกษุ อันนี้ไม่มีความเกี่ยวพันกับภารกิจทางโลกแล้ว 2. แบบ "พระเจ้าจักรพรรดิ" ซึ่งอยู่สวรรค์ชั้นที่สาม อันนี้ ก็ยังมีเกี่ยวพันอยู่บ้าง แต่ "เฉพาะบางยุคสมัย" เท่านั้น นะครับ ผิดยุคผิดสมัยไม่ได้เลยส่วนพลังงานระดับชั้นที่สี่ (ดุสิต ที่อยู่ของเซียนและพระโพธิสัตว์) ก็ไม่มีภารกิจเกี่ยวพันกับทางโลกแล้วแต่ท่านมีบารมีที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ครับทางท่านจะทำก็ได้ แต่ต้องมี "ผู้ทำการอัญเชิญก่อน" นะครับ ไม่งั้น ท่านก็ทำกิจไม่ได้ อย่างนี้ก็มีครับ ท่านเหล่านี้ เหนือแล้ว พ้นแล้ว จากทางโลกครับ นอกจากนี้ ยังมีเทพและมารชั้นห้าและหกขึ้นไปอีก ทั้งสองชั้นนี้ไม่มีภารกิจทางโลกครับ เกิดมาก็มีบุญเสวยเลย ไม่ต้องทำอะไร ว่างมากก็เอาเวลาไปแกล้ง, ไปทดสอบใจ, ไปขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของคนอื่นเขา (แบบมาร) อีกแบบก็ทำตัวสูงไม่สนใจใคร และใครก็อย่ามายุ่ง แบ่งแยกตัวเองออกจากกลุ่มอื่นๆ (เทพชั้นที่หก) เสวยบุญของตนไป ไม่ไปยุ่งกับใครเขา อย่างนี้ก็อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพลังงานเหล่านี้ "มนุษย์ก็มีได้" ก่อนจะตายนะครับ มีได้จากการทำตัวเอง ทำให้พลังงานภายในนั้นพัฒนาขึ้นได้เมื่อพัฒนาไปเหมือนสวรรค์ชั้นใด จะมีวิถีชีวิตอยู่เหมือนสวรรค์ชั้นนั้นเลย "ไม่ต้องรอชาติหน้า" นะครับ มันเกิดขึ้น เป็นจริงทันที ในชาตินั้นเลยครับ


ระดับชั้นพลังงานที่เกี่ยวพันกับ "ภารกิจจักรวาล" คือ พลังจากต่างดาว


ต่อไปท่านต้องเข้าใจด้วยว่า ยังมีมนุษย์บางกลุ่มที่มีวิวัฒนาการทางพลังงานที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ อยู่ในโลกนี้ด้วย เช่น กลุ่มที่มีพลังงานเชื่อมโยงถึงดวงดาวต่างๆ กลุ่มเหล่านี้จะไม่มี "ภารกิจทางโลก" แต่จะมี "ภารกิจจักรวาล" แทนนะครับ พวกเขาจะไม่ทำงานแบบปุถุชน แต่จะมีหน้าที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายจากจักรวาล จากดวงดาวของเขาในแบบต่างๆ ที่ไม่อยู่ในระบบรายได้หรือเงินเดือนนะครับ อย่างไรก็ดี พวกเขาก็ยังต้องดำรงชีพในแบบมนุษย์โลก พวกเขาต้องได้รับการสนับสนุนจากมนุษย์โลกกลุ่มอื่นครับดังนั้น บางครั้ง พวกเขาก็อาจบวชเป็นพระ เพื่อให้ได้รับการสนุบสนุนนั้นๆ และจะได้ทำหน้าที่ของพวกเขาได้สะดวกยิ่งขึ้น (แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ให้แก่พระพุทธศาสนาโดยตรง ก็มี) แน่นอนว่า การดำรงอยู่ในโลกของพวกเขาจึงยากลำบาก เพราะพวกเขาขาดพลังของโลก มีแต่พลังจากต่างดาวไงครับ ทำให้พวกเขาต้อง "ประสานงานหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์" กับพวกมนุษย์โลกเพื่อการดำรงอยู่ของพวกเขา และด้วยจุดอ่อนนี้เอง ทำให้มนุษย์โลกบางกลุ่มที่มีความโลภ แสวงหาผลประโยชน์ จากกลุ่มที่มีพลังต่างดาว และส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของพวกเขาในที่สุด เอาละ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของปัญหาการทำหน้าที่ของผู้มีพลังต่างดาวเท่านั้นเพราะในภารกิจจักรวาลนั้น พวกเขายังต้องฟันฝ่าอุปสรรคอีกมากมายเกินกว่าปุถุชนจะคาดคิดได้ ดังนั้น จึงมีมนุษย์โลกจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะประสานพลังกับต่างดาวได้อย่างแท้จริง และอุทิศตนทำกิจนั้นได้จริง



"วิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ" ของมนุษย์ส่งผลต่อระดับของภารกิจ


ต่อไป สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจคือ มนุษย์โลกแต่ละคนมีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน มนุษย์โลกที่มีวิวัฒนาการทางจิตฯ ต่ำ ก็จะปนอยู่ วนอยู่ ในเรื่องทางโลกมาก ไม่อาจจะหลุดพ้นจากวังวนทางโลกได้แต่มนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทางจิตฯ สูง ก็จะไม่มีเรื่องทางโลกนัก เหมือนคนแก่ที่อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องทำงานอะไรแล้ว ก็มี แต่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เขาไม่ได้ไม่ทำอะไรเลย เขาทำอยู่ แต่ทำใน ภารกิจของจักรวาล แทนซึ่งบางครั้ง ทำให้เขาเหมือนไม่ทำอะไรเพื่อโลกเลย หรือไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้เลย ก็มี แต่หลายครั้งเขาได้ทำในระดับของพลังงาน นั่นเอง ซึ่งเป็นภารกิจชั้นสูงที่ทำได้ยาก และมีคุณค่าต่อโลก และจักรวาลนี้มาก มากเสียยิ่งกว่าภารกิจทางโลกเสียอีก ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะไปพบเห็นนักการเมือง สร้างผลงานเชิงรูปธรรมมากมายแค่ไหน นั่นยังเทียบไม่ได้กับการทำหน้าที่ของพวกเขา ผู้รับภารกิจจากจักรวาล นี้เลย เพราะอะไรหรือ? "ก็เพราะระดับมันต่างกัน" ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นั่นเอง ทว่า ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์โลกทุกคนที่ไม่ทำอะไรนั้น กำลังทำภารกิจให้จักรวาลอยู่หรอกนะ จะเหมารวมง่ายๆ อย่างนั้นไม่ได้ มันต่างกันระหว่างคนที่ไม่ทำอะไรจริงๆ กับคนที่ไม่มีภารกิจทางโลก (แต่มีภารกิจจักรวาล)



30 ก.ค. 2555


"การสื่อสารขัดข้อง"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทำไมบรรลุธรรมแล้ว ถ้าไม่รีบบวชจะดูเหมือน "คนบ้า" บ้างก็คนเหลวไหล?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอปูพื้นฐานเรื่องสัจธรรมขั้นต้นก่อนนะครับ ยังไม่ขึ้นไปสู่ระดับที่สูงเกินไป ฐานแน่นจะไปได้อย่างมั่นคงนะครับ อย่าลืม เอาละวันนี้ ผมจะอธิบายเรื่อง "การบรรลุธรรม" ซึ่งในฆราวาสหลังบรรลุธรรมใหม่ๆ จะมีอาการแปลกๆ ได้ถ้าไม่รีบบวชนะครับ เรามาดูกันให้ละเอียดครับ


การบรรลุธรรมส่งผลให้มี "จิตหนึ่ง" เดียวได้ ภายใน 7 วันอาจตาย?


สำหรับการบรรลุธรรมนั้น โดยปกติจะบรรลุเมื่อจิตในร่างเหลือ 1 ดวงที่เรียกว่า "ภาวะจิตหนึ่ง" ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน สำหรับฆราวาสแล้วก็จะมีช่วงเวลานั้นประมาณไม่เกิน 7 วัน ถ้าเขาบรรลุธรรมแล้ว ยังมีจิตในร่างเพียงหนึ่งดวง ครบ 7 วัน ไม่ได้บวชพระ ก็จะละสังขารนิพพานไปในเพศฆราวาสนั้นเอง แต่ถ้าบวชพระได้ทันก่อน ก็จะได้เทพที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง (ชั้นเดียวกันมนุษย์ ไม่สูงไปกว่านั้น) มาคุ้มครองร่างทำให้จิตวิญญาณเพิ่ม ไม่ได้เป็นจิตหนึ่งดังเดิม เดิมใสบริสุทธิ์ ก็ได้รับการ "บวกเพิ่ม" อะไรบางอย่างเข้าไป เช่น "ความเป็นพระ" ซึ่งไม่ใช่ภาวะใสบริสุทธิ์ 100% นะครับ ความเป็น "พระ" ก็คือ รูปนามตัวตนหนึ่ง ที่เมื่ออยู่ในธรรมวินัยแล้ว จะไม่ก่อกรรมเกินขอบเขต และทำให้มีโอกาสนิพพานได้ในชาตินั้น ก็เท่านั้นเอง ทว่า สำหรับ "ฆราวาสแล้ว" ถ้ามีบารมีของตนเอง แล้วบรรลุธรรมในเพศฆราวาส อยู่จนเกิน 7 วันก็ไม่ละสังขาร ก็มีได้ในกรณี ได้รับ "จิตวิญญาณ" อื่นๆ คุ้มครองสังขารไว้ ทำให้ไม่อยู่ในภาวะจิตหนึ่ง ซึ่งจิตวิญญาณที่คุ้มครองสังขารไว้ ไม่ให้ละสังขารภายใน 7 วันนี้ จะไม่ค่อยเหมือนจิตวิญญาณที่ปกป้องผู้ที่บวชพระ เพราะเขาจะมี "ลักษณะที่ไม่เอื้อต่อการนิพพาน" อยู่ ทำให้ผู้ที่รับจิตวิญญาณนั้นไปคุ้มครองสังขารมีลักษณะ "แปลกๆ" คือ จิตที่ใสนั้นไม่แสดงตัว ธรรมกายนั้นมีก็เหมือนไม่มี มันใสจนไม่มีใครเห็นหรือคิดว่าจะมี แต่ส่วนที่ "บวกเพิ่ม" นี่เองที่แสดงตัวชัดเจน จนเหมือนกับเป็นผู้นั้นเต็มตัว (ทั้งที่ไม่จริง) เช่น จิตวิญญาณที่ช่วยคุ้มครองสังขารบางเป็นมาร ก็แสดงออกอย่างมาร, เป็นอสูร ก็แสดงออกอย่างอสูร กลายเป็นว่าฆราวาสที่บรรลุธรรมเหมือนคนไม่ปกติไปเลย เพราะสาเหตุเหล่านี้นั่นเอง 



อย่าตัดสินคนที่ "เปลือกนอก" เพราะเขาอาจเป็น "ฆราวาสใจพิสุทธิ์"


ดังนี้ ผมขอเรียก "ฆราวาสที่บรรลุธรรมแล้วยังไม่ได้บวชพระ" ว่าคือ 
"ฆราวาสใจพิสุทธิ์" ไปก่อนก็แล้วกัน พวกเขาถ้ามีบารมีครองสังขารได้เองโดยไม่ต้องครองจีวรแล้ว ก็จะมีได้ในกรณีพระโพธิสัตว์ นะครับซึ่งพระโพธิสัตว์แต่ละองค์จะมีบารมีเกี่ยวข้องกับ "จิตวิญญาณ" ต่างกลุ่มกันไป เช่น พญามาราธิราช ก็มีบารมีเกี่ยวข้องกับมาร, แต่ถ้าเป็นพระอสุรินทราหู ก็มีบารมีเกี่ยวข้องกับอสูร เป็นต้น ในกรณีถ้าท่านเดินมรรคตรงทางก็บรรลุอรหันตผลได้ก่อน (แต่ยังไม่ได้นิพพานก็ได้ครับ) และถ้าบรรลุธรรมในเพศฆราวาสโดยไม่ได้บวชพระ ก็จะเข้าข่ายเป็นผู้ที่เรียกว่า ฆราวาสใจพิสุทธิ์ มีลักษณะ "ใสหุ้มเกราะ" หรือ "0 + X" คือ ใสแล้วถูกบวกด้วยอะไรบางอย่างเข้าไป ส่วนที่ใสบริสุทธิ์ไม่แสดงตัว มองไม่เห็น มีเหมือนไม่มี แต่ส่วนที่ถูกบวกเพิ่มเข้าไป ก็แสดงตัวชัดจนเหมือนกับมีแต่ส่วนนั้นส่วนเดียวไปเลยเช่น ถ้าบวกด้วยมารก็เหมือนเป็นมารเต็มตัวไปเลย (แท้แล้วไม่ใช่ ไม่เต็มตัว ส่วนที่ไม่ใช่ ไม่แสดงฯ) ด้วยเหตุนี้ จึงให้ท่านระวังด้วยว่า "อย่าตัดสินคนแต่เปลือกนอก" บ้างก็มีเปลือกนอกเหมือน "คนบ้า" บ้าง, "คนเหลวใหลที่ไม่เอาไหน" บ้าง, "คนไม่สังคมโลก-ไร้มนุษย์สัมพันธ์" บ้าง, "คนแล้งน้ำใจ-ดีไม่ทำกรรมไม่สร้าง" บ้าง, "คนไร้อนาคต-อยู่ไปวันๆ" บ้าง ฯลฯ เหล่านี้ อาจจะเป็น"เปลือกนอก" ของผู้บรรลุธรรมได้ ในขณะคนที่มีเปลือกนอกน่าศรัทธานั้น "ส่วนใหญ่ยังไม่บรรลุธรรม" แต่เพราะ "ยึดติดตัวตนที่ต้องทำตัวให้น่าศรัทธานั้น" ทำให้ไม่บรรลุธรรม (ยังไม่ใช่ธรรมชาติ ยังปรุงแต่งอยู่)



"อรหันต์แท้" ไม่เหมือนพระอรหันต์ ส่วนคนที่เหมือนอรหันต์นั้น "เทียม"


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ "พระอรหันต์แท้ๆ ไม่มีเหลือตัว
ตนแห่งความเป็นพระอรหันต์" มีแต่ตัวตนที่ยอมรับวิบากกรรม ทำให้มีวิบากกรรมตกถึงตัว ทำให้ท่านมี "เปลือกนอก" ที่ดูไม่น่าจะใช่อรหันต์ได้ เพราะนั่นคือ "วิบากกรรม" ที่ท่านเสวยอยู่ในหมดในชาตินี้ ก่อนจะนิพพาน ก็เท่านั้น ในขณะที่ คนที่เหมือนพระอรหันต์นั้น "ล้วนเป็นของเทียมเท็จ" (ยกเว้นก็แต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น) ทำไมจึงกล้ากล่าวขนาดนี้ ท่านฟังตรงนี้ให้ดี "มีแต่พระศาสดาเท่านั้นที่ขจัด "อนุสัย" ต่างๆ ได้หมด สิ่งนี้มีเฉพาะในพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว เท่านั้นเอง ก็แม้แต่พระมหากัจจานะ ที่เคยมีลักษณะงดงามน่าศรัทธาในตอนแรก ภายหลังได้กลับกลายเป็นพระอ้วนและมีบุคลิกเปลี่ยนไปและยังมีพระสาวกอีกมากที่มีลักษณะแบบนี้ เช่น พระชินปัญจระ ที่เดิมก็งดงามด้วยจริยาวัตรเช่นกัน ภายหลังเมื่อหญิงสาวฯ โผเข้ากอดท่านก็จะจบลงแค่นั้น แม้แต่พระอานนท์ที่มีจริยาวัตรงาม ก็ไม่อาจเหมือนพระพุทธเจ้า ท่านก็มีลักษณะเหมือน "มาร" บ่อยๆ เพราะถูกมารหลอกบ่อยๆ (ท่านเอง ก็ยอมรับต่อพระพักตรพระพุทธเจ้า) ทั้งยังทำผิดหลายอย่าง จนถูกพระมหากัสปะปรับโทษเอา นี่คือ "ธรรมดาของพระอรหันต์ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า" ย่อมมี "วิบากกรรม" ของตนไม่อาจไถ่ถอนอนุสัยเก่าได้หมดหากดูเพียงแต่เปลือกนอกแล้ว ท่านอาจจะคิดว่าท่านเหล่านี้ไม่เหมือนพระอรหันต์เลย! ทว่า ยังมี "ผู้ที่ยึดติดตัวตนแห่งความเป็นอรหันต์" อยู่กลุ่มหนึ่ง ที่ทำให้ตัวเองมีเปลือกนอกเหมือนพระอรหันต์, ไม่ได้เป็นโดยธรรมชาติ แต่เป็นไปด้วย "การกระทำให้มันเป็น" (ปรุงแต่ง) เหล่านี้คือ "อรหันต์เทียม"



"ความเป็นพระ" มีไว้ให้ฆราวาสผู้บรรลุธรรมแล้ว จำต้องทรงขันธ์อยู่ต่อ


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ "บุคคลไม่จำเป็นต้องบวชพระ" 
เลย สามารถนิพพานได้โดยไม่ต้องมีเรื่องการบวชหรือการเป็นพระอะไรอีก แต่ที่ต้องบวชพระก็เพื่อ "ทรงขันธ์ต่อไปเพื่อทำกิจของสงฆ์" เท่านั้น เอง ดังนั้น การบวชจึงจำเป็นเฉพาะ "ท่านที่บรรลุอรหันต์แล้วเท่านั้นเอง" ท่านที่ยังไม่ได้บรรลุถึงอรหันต์ เช่น ยังได้เพียงอนาคามีอยู่ ล้วนไม่มีเหตุจำเป็นใดที่จะต้องบวชเลย ส่วน "การบวชตามประเพณีไทย" นั้น เป็นอีกเรื่อง คนละเรื่องกัน สามารถทำได้ตามจารีตประเพณีนั้นแต่จะเรียกว่าการ"บวชตามประเพณี" คือ บวชแล้วสึกไป โดยไม่ได้ถือธรรมวินัยมาก ก็ได้ เช่น ผู้บวชไม่มีคุณสมบัติตามธรรมวินัย แต่จารีตประเพณีที่นั่นยอมรับกันก็บวชได้ "นอกธรรมวินัย" แต่อยู่ใน "จารีตประเพณี" นั่นเอง เช่น การมี "ภิกษุณี" ขึ้นนอกธรรมวินัยนั้น แต่หากสังคมยอมรับ และประเพณีเปิดมีให้ได้ ก็นับว่าได้ตามจารีตประเพณี (แต่อยู่นอกธรรมวินัยฯ ก็เท่านั้นเอง) เช่น ในกรณีฆราวาสหญิงบรรลุอรหันตผลแล้ว ทรงขันธ์ได้ยาก อาจจะมีการบวชเพื่อทรงขันธ์ทำกิจต่อไป โดยอาศัยจารีตประเพณีแต่ไม่ได้อยู่ใน "ธรรมวินัย" ก็นับว่า "ทำได้" (ซึ่งหมู่สงฆ์เหล่าอื่น อาจไม่ยอมรับ แต่คนในสังคมยอมรับ ใส่บาตรให้ก็นับว่าใช้ได้) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นไปตามกรรมของปวงสัตว์ในแต่ละยุคสมัยเท่านั้นเอง (คือคนละเรื่องกับ "ธรรมวินัย")



ผู้ถือบวชใน "ลัทธิ-นิกาย" ต่างๆ ล้วนอยู่นอก "ธรรมวินัย" แล้วทั้งสิ้น


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ "พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้นั้นไม่มีลัทธิ-นิกาย" ทุกลัทธิ-นิกาย ที่ท่านรู้ ล้วนอยู่นอกพระพุทธศาสนาดั้งเดิมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเถรวาทหรือธรรมยุติ ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เกิดได้จาก "บุญกรรม" ปรุงแต่งสร้างกันมา เป็นเหตุกรรมตามยุคสมัย ที่แปรเปลี่ยนไป ไม่ใช่พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ นับจาก "พระมหากัสสปะ" ที่ได้สังคายนาพระไตรปิฎก ก็นับว่าเกิดลัทธินิกายใหม่แล้ว ที่เรียกว่า "นิกายเซน" นั่นเอง ดังนั้น คำว่า "พระพุทธศาสนาหักกลาง" คือ ไม่มีพระพุทธศาสนาเดิมแท้ที่ไร้ซึ่งลัทธิ-นิกายอีกแล้ว มีแต่เฉพาะที่แตกแยกเป็นลัทธิ-นิกายต่างๆ ก็เท่านั้นเอง การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง จึงได้สองแบบด้วยกัน คือ 1. แบบหาที่บวชไม่ได้ แล้วละสังขารตายไปภายใน 7 วัน (เหมือนสมัยพุทธกาล ก็มี) 2. แบบไม่ละสังขารตาย เพราะอาจหาที่บวชได้ในนิกายต่างๆ หรือเพราะเหตุอื่น แต่จะไม่ได้ นิพพานจะจุติไปยัง "ภพหน้า" อีก อย่างน้อยหนึ่ง "ภพชาติ" แล้วนิพพานในภพชาตินั้น แบบนี้จะไม่ได้นิพพานบนโลกมนุษย์แต่สามารถไปต่อสายธรรมพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ที่อยู่บนสวรรค์ "ที่ยังไม่ขาดสาย" ได้แต่ในกรณีนี้ ท่านจะต้องไม่ยึดติดในลัทธิ-นิกายนั้นๆ ท่านก็เพียงอาศัยลัทธิ-นิกายนั้นอยู่ชั่วคราวไป แต่มีจิตแน่วแน่ศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านจึงจะไม่จุติไปยัง "สุขาวดี" อันมีพระยูไล (เจ้าลัทธิ) รออยู่


ท่านต่อสายธรรมกับพระพุทธเจ้า "ในโลกนี้" หรือ "ต่างดาว" กันแน่?


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งก็คือ พระพุทธเจ้า นั้นมีทั้งในโลกนี้
และในดาวดวงอื่น ซึ่งพระพุทธเจ้าในโลกนี้ คือ พระสมณโคดม จะช่วยให้ท่าน "นิพพานภายใน 5,000 ปี" ไม่เกินนั้นในโลกนี้ ไม่ไปโลกอื่นๆ ถ้าท่านต่อสายธรรมได้ตรงจริงๆ แต่ถ้าท่านต่อสายธรรมไม่ตรง เช่น ไปมีจิตตรงต่อหลวงพ่อ, หลวงปู่, คุรุ, ครูอาจารย์ ฯลฯ ซึ่งบางท่านได้จุติที่ "สุขาวดีโลกธาตุ" ไปเรียบร้อยแล้ว ท่านก็จะไม่ได้นิพพานในโลกนี้ ในห้าพันปีนี้ ท่านก็ไม่ได้ แต่ท่านจะได้ในโลกธาตุอื่น คือ "สุขาวดี" และจะมีอายุยืนยาวานกว่าห้าพันปีกว่าจะได้นิพพาน ในลัทธิเถรวาททราบเรื่องนี้ดี จึงใช้กุศโลบายว่า "ไม่มีพระพุทธเจ้าที่ใดอีก นอกจากในโลกนี้" นั่นก็เพื่อช่วยให้ท่านได้นิพพานเร็วๆ ง่ายๆ ไม่ออกนอกดาวดวงนี้ไปก็เท่านั้นเอง ส่วนมหายาน ก็มักพูดเรื่องพระพุทธเจ้า (หรือพระยูไล) ที่อยู่ในโลกธาตุอื่นๆ จนกลายเป็น "ความคิดเห็นที่แตกต่างไป" ท่านพอจะเข้าใจในเรื่อง "ความจริงและกุศโลบาย" ที่แตกต่างกันของมหายานและเถรวาทนี้แล้วหรือไม่? ว่าทำไมจึงกล่าวแตกต่างกันในเรื่องพระพุทธเจ้านอกโลกเอาละ ณ เวลานี้ ยุคนี้ ผมเห็นว่า "กุศโลบาย" หลอกล่อนั้นๆ ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ผมก็ขอนำเสนอข้อมูลแบบตรงมาตรงไปให้ฟังอย่างนี้ ก็แล้วกัน



พระพุทธเจ้าในโลกนี้ "เกิดได้ยาก" แต่พระพุทธเจ้าในสุขาวดีเกิดได้ง่าย


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ พระพุทธเจ้าในโลกนี้นั้น "เกิดได้
ยากมาก" ในขณะที่พระพุทธเจ้าในสุขาวดีโลกธาตุและโลกธาตุอื่นๆ นั้น เกิดได้ง่ายมาก เพราะอะไร? เพราะ 


1. พุทธะ คือ ภาวะเดิมแท้ของจิตทุกดวง อยู่แล้ว ดังนั้น พุทธะ จึงเกิดได้ง่ายมาก และดาวที่รองรับพุทธะ ก็คือ "สุขาวดีโลกธาตุ" (และยังมีโลกธาตุอื่นๆ อีกมากด้วย ที่รองรับพุทธะฯ) 

2. พุทธะ เมื่ออยู่ในโลก "ผิดยุคสมัย ผิดเวลา" ไม่อาจจะขึ้นเป็น "เจ้า" แห่งพุทธะได้ แต่จะได้เป็น "เจ้าแห่งพุทธะ" ในวิมานของตนเอง ในดาวอื่นเช่น สุขาวดี เพื่อไม่ให้โลกมียุคสมัยที่แปรปรวนผิดยุคสมัยไป นั่นเอง 

3. พระพุทธเจ้าในโลกนี้ นอกจากจะสำเร็จ "พุทธะ" แล้ว ยังต้องรอยุคสมัยของตน และสาวกทั้งหลายของตนให้พร้อมกันด้วย จึงจะเกิดมีพระศาสนาขึ้นมาบนโลกนี้ได้ ดังนั้น จึงไม่อาจสำเร็จพุทธะก่อน แล้วค่อยมาฉุดช่วยคนไปสู่สุขาวดีได้ แต่ต้องเป็นความพร้อมในหมู่คณะเดียวกันนั้น

เอาละ เหตุผลเบื้องต้นเพียง 3 ข้อก็พอที่จะบอกถึงความยากในการเกิดพระพุทธเจ้าบนโลกหรือในดาวดวงนี้ได้แล้ว หวังว่าคุณจะมองเห็นความสำคัญ และคุณค่าของ "พระพุทธเจ้าบนโลก" นี้ ที่ต่างจากพระพุทธเจ้าในโลกธาตุอื่น หรือในดาวดวงอื่น นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าในโลกนี้ จะได้นิพพานเร็วที่สุด ในขณะที่ดาวดวงอื่นมีอายุขัยยาวนานและต่างยังไม่รีบนิพพานกันทั้งนั้น (บ้างหลังบรรลุอรหันต์แล้วก็อยู่ต่อไปเป็นกัปๆ เลยก็มี)


ขอพลังแห่ง "พระธรรมกาย" นั้นจงส่องสว่างเปิดตาธรรมแก่คุณ สวัสดี



29 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จิตวิญญาณมืด พญามาร-ปีศาจนกฮูก-ผีดูดเลือด ผู้ครอบงำระบอบยุติธรรม

สวัสดีครับ วันนี้ ผมอยากจะเล่านิทานก็แล้วกัน เพื่ออธิบายถึงบางสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และครอบงำระบบยุติธรรมอยู่ ให้ท่านให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร และทำงานอย่างไร? ประชาชนคนธรรมดาอย่างเรา จะได้ไม่ถูกคนอื่นเขาหลอกได้ง่ายๆ นะครับ


"ความยุติธรรม" ไม่มีในกฏหมาย มีอยู่แต่ใน "กฏแห่งกรรม" เท่านั้น


อย่างแรกที่สุด "สัจธรรมความจริงของโลก" ที่คุณควรเข้าใจคือ ความยุติธรรมที่แท้จริง มันไม่เคยมาจากระบบกฏหมายหรอกครับ โดยระบบแล้วเปิดช่องมากมาย ให้คุณสามารถ "ใช้ช่องโหว่ของกฏหมายเพื่อทำความผิด" ได้ โดยที่คุณไม่ต้องรับโทษ แต่มันเปิดเฉพาะ "คนระดับบน" ก็เท่านั้น เพราะอะไร? เพราะคนระดับบนสร้างกฏหมายขึ้นมา พวกเขาก็แค่สร้างมันขึ้นมากดข่มและครอบงำคนระดับล่างเท่านั้น พวกเขารู้ว่ากฏหมายมีช่องโหว่ให้เล่นอย่างไร เพราะพวกเขามีอำนาจในการตรามันขึ้นมาไงละ พวกเขามีเงิน มีอำนาจ มีเส้นสาย พรรคพวกในรัฐสภามากพอที่จะตรากฏหมายที่เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องของตนเอง เอาละ อย่าเพิ่งไปมองคนที่ทำแบบนั้นในด้านลบหรือเลวร้ายนะครับ แต่ต้องเข้าใจให้ชัดว่า "นี่คือ ธรรมดาของประชาธฺปไตย" ครับ ใครมีทุนมากกว่าคนนั้นก็ได้รับชัยชนะไป ไม่ว่าจะเป็น "ทุนทางปัญญา-ความรู้ด้านกฏหมายที่มากกว่า" ก็ดี, "ทุนทางทรัพย์-จ้างทนายดีๆ มารับใช้ได้" ก็ดี, "ทุนทางเส้นสายอำนาจทางการเมือง" ก็ดีที่สามารถจะตรากฏหมายเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องของตนได้ "โดยชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย" มันไม่ใช่ความผิดนะครับ ถ้าคุณเข้าตามระบบ ระบอบ จนถึงจุดที่คว้าอำนาจมาได้เขาก็ยอมรับกันครับว่า "คุณเจ๋ง คุณทำได้" คุณคือผู้ชนะ และเป็นผู้ที่จะกำหนดความชอบธรรมขึ้นได้ด้วย "กฏหมาย" ครับ นี่คือ ความจริงของโลกนี้นะครับ มันไม่ได้เป็นปรัชาญาที่สวยหรูตามทฤษฏีในตำราอะไรเลยแต่นี่ละ "ความจริงของชีวิต-ความจริงของโลก" ไม่ได้มีใครผิดหรือถูกนะ ทุกคนก็ดิ้นรนไปตามทาง ตามกติกา เท่านั้น ผมจึงบอกว่าความยุติธรรมที่แท้จริงมีอยู่แต่ใน "กฏแห่งกรรม" เท่านั้น ไม่มีในกฏหมายครับ



"พญามาร" ภาคมืดผู้สร้าง "กฏหมาย" ขึ้นมาในโลกและใช้มันยังไง?


อย่างที่สอง เป็นเรื่องในมิติทิพย์คือ "ที่มาของกฏหมายทั้งหลายล้วนมาจากพญามาราธิราช (ภาคมืด) ทั้งสิ้น" พญามารหมดบุญแล้วตกสวรรค์จึงต้องมากบดานอยู่ในโลกมนุษย์ และได้สร้างกฏหมายขึ้นใช้ เขาก็คือผู้สร้าง, ผู้รักษา กฏหมายทั้งหลายเหล่านั้น และท้ายที่สุดเขาจะต้องมาเป็น "ผู้ทำลายล้างกฏหมาย" เหล่านั้นเองครับ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นซึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว เขาจะมาเกิดใหม่ และจะถูกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมเล่นงานก่อน จนเมื่อจิตของเขามืดดำ มีความแค้นเก็บกดถึงที่สุด ก็จะสำเร็จเป็นพญามารอีกครั้ง แต่ทีนี้ เขาจึงเริ่มกิจทำลายล้างได้ครับ แต่กว่าจะถึงจุดนั้น กฏหมายก็ถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมืองเพื่อสนองประโยชน์ส่วนตน" ของคนกลุ่มต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมามีอำนาจ ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้วครับ พวกเขาล้วนรู้ดีว่า "กฏหมายทั้งหลายก็ล้วนมีช่องโหว่" ทั้งนั้น ก็พวกเขาตรามันขึ้นมาเองนี่ครับ แต่พวกเขาจะมีวิธีซ่อนไม่ให้คนอื่นรู้ และพวกเขาจึงได้ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ตรงนั้นในการทำความผิดมากมายหลายประการ และกลายเป็นคนที่มีอำนาจในสังคม เรื่องของเรื่อง มันก็อย่างนี้เอง ละครับ นี่คือ "ความชอบธรรมตามระบบประชาธิปไตย" ไม่ได้ผิดอะไรเลย มันเป็นอย่างนี้เอง นั่นแหละครับสรุป ก็คือ "พญามารคือผู้ตรากฏหมาย" ขึ้นมาบนโลกนี้ผ่านสังขารต่างๆ นั่นเอง เขาคือ "จิตวิญญาณผู้สร้างกฏหมาย" และต้องมาทำลายมันเอง



"ปีศาจนกฮูก" และ "มัจจุราชมาร" จะแทรกอยู่ในร่าง "ผู้พิพากษา"


อย่างที่สอง คือ "ผู้พิพากษา" (ศาล) จะมีจิตวิญญาณสองดวงที่เข้ามาเกี่ยวข้องและแทรกในร่างของผู้คนที่รับหน้าที่นี้ได้แก่ มัจจุราชมารและ "ปีศาจนกฮูก" ซึ่งทั้งสองตนนี้ จะมีมุมมองในการพิพากษาที่ต่างกัน กล่าวคือ "ปีศาจนกฮูก" จะจับ "ปีศาจหนู" กิน หรือเล่นงานพวกที่กินสกปรก, โกงกิน, ฮั้วะกัน, ติดสินบน ฯลฯ เป็นต้น เรียกว่าเป็นปีศาจที่เล่นงานปีศาจด้วยกัน เขาจะมีความสุขุมรอบคอบ น่าเกรงขาม และมีบุคลิกที่น่าศรัทธา เงียบสงบนิ่ง และทรงภูมิปัญญาด้านกฏหมาย แต่ก็จะจับปีศาจหนูกิน คือ ลงโทษคนที่โกงกิน นั่นเอง ส่วนมัจจุราชมาร เขาจะตัดสินคดีด้วยความโกรธแค้น ใช้ความรู้สึกส่วนตนในการตัดสิน เขาจึงมีลักษณะเหมือน "ท่านเปา" หน้าดำคร่ำเครียดและดุดันกว่า ดูไม่น่านับถือมากกว่า แต่ก็มีด้านที่เล่นงานคนทำความผิดแบบ "รุนแรงเกินไป" เหมือนกัน หากท่านเห็นสัญลักษณ์ของอิลูมินาติ จะเห็นรูปนกฮูก ใช่มั้ยครับ นั่นแหละ พวกเขาใช้ปีศาจนกฮูกในการครอบครองอำนาจทางศาล



"ปีศาจค้างคาว" (ผีดูดเลือด-vampire) จะแทรกอยู่ในร่าง "ทนาย"


อย่างที่สาม คือ "ทนายความ" จะมีจิตวิญญาณบางชนิดอยู่ด้วย เช่น ปีศาจค้างคาว ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่หากินกลางคืน หรือหากินกับพวกมืด หรือล่าจิตวิญญาณมืดเป็นอาหาร เหมือนกับปีศาจนกฮูก นั่นแหละเพราะพวกเขาจะสูบเลือดสูบเนื้อ เก็บเงินค่าทำคดีกับเหยื่อไปมากมายจนฝรั่งมีคำเสียดสีว่าเป็น "ผีดูดเลือด" นั่นเอง เมื่อพวกปีศาจหนู ต้องการได้รับชัยฃนะในชั้นศาล พวกเขาหนีการตามล่าของปีศาจนกฮูกก็ต้องยอมให้ "ปีศาจค้างคาว" ดูดเลือดแทน ไม่ตาย แต่ก็แทบหมดตัว! ชนะคดีได้ รอดได้ ไม่ต้องถูกพิพากษาแต่ก็ต้องจ่ายเงินให้ทนายความไปมากมาย พวกทนายมากมายจึงมี "ผีดูดเลือด" หรือ ปีศาจค้างคาวหรือคนไทยเรียกว่า "เวตาร" นั่นแหละ เขาคือ จิตวิญญาณที่เกิดจากคนที่มีความรู้มากแต่หวงวิชาความรู้ ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใคร ซ้ำยังใช้วิชาความรู้ไปหากิน เล่นงานคนอื่น ไม่สนใจความถูกผิดที่แท้จริง จึงมีสภาพกลายเป็น "ปีศาจผีดูดเลือด" เช่นนั้น ถ้าพวกเขาไม่ดูดเลือด ก็จะต้องอ่อนแอและเกิดอาการ "หนาวสั่น" ขึ้นมา ทว่า ก็มี "ปีศาจ" ที่บำเพ็ญธรรมเหมือนกัน เช่น ปีศาจค้างคาวที่บำเพ็ญศีลบารมีจะไม่ดูดเลือดสัตว์อื่น เขาจะมีอาการหนาวสั่นได้ง่าย และอ่อนแอ จนกวาจะได้สำเร็จธรรม ก็จะ "กำเนิดใหม่" เป็นมนุษย์ได้เต็มตัว (ปีศาจที่ดีก็มีนะ) มีหนังหลายเรื่องเชียวที่ได้รับแรงบันดาลใจนี้ ไปแต่งเป็นเรื่องราว เช่น แบทแมน อัศวินรัตติกาล ซึ่งเปิดมุมมองต่อผีดูดเลือดในด้านดี ก็มีครับ



ปีศาจที่หากินกลางคืน บางพวกก็ "ล่าจิตวิญญาณมืด" เป็นอาหาร


ท่านฟังไม่ผิดหรอกครับ "ผีกินผี" มีอยู่จริง ซึ่งผีที่มีฤทธิ์มากขนาดนี้เราจะเรียกว่า "ปีศาจ" นะครับ ในบรรดาปีศาจเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะเลวทั้งหมดนะครับ เขาเกิดเป็นปีศาจเพราะกรรม นะครับ แต่บางตนก็ต้องใจทำความดีเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นปีศาจ ก็มีมากมายครับ! ทีนี้ ปีศาจที่หากินกลางคืน ก็มีพวกหนึ่งเป็น "นักล่าจิตวิญญาณมืด" นะครับ พวกเขาจะหากินอยู่กับพวกจิตวิญญาณมืดทั้งหลาย เมื่อคนเข้าสู่ทางมืดขายวิญญาณให้ซาตานแล้วจิตวิญญาณมืดจะแทรกในร่างควบคุมเขา เขาจะทำความผิดไปโดยขาดสติ ไม่ใช่ไม่มีเจตนานะครับ แต่ด้วยความไม่รู้ตัวเท่าทัน เพราะขาดสติ นั่นเอง ถึงจุดหนึ่ง เขาก็จะ "ถูกจับและเข้าสู่กระบวนการพิพากษา" ครับ ทีนี้แหละ ก็จะโดนเล่นงานโดยปีศาจที่หากินกลางคืนทั้งหลายแหล่ เริ่มตั้งแต่ตำรวจที่จับเขา ก็มีทั้ง "เทพแมว" และ "ปีศาจแมว" ซึ่งหากินกลางคืนทั้งนั้นโดยเฉพาะพวก "ปีศาจหนู" จะเป็นอาหารของพวกเขาได้ดี ทว่า ปีศาจนั้นไม่ใช่ "จิตวิญญาณมืด" นะครับ อันนี้ ต้องแยกกันให้ชัด พวกเขาก็แค่ "หากินกลางคืน" หรือ "จับจิตวิญญาณมืด" กิน เท่านั้น แต่ไม่ใช่พวกจิตวิญญาณมืดไม่ใช่พวกซาตานนะครับ พวกเขาสามารถบำเพ็ญธรรมได้ด้วย และเมื่อพวกเขาบำเพ็ญสำเร็จก็จะ "กำเนิดใหม่" เป็นมนุษย์ได้



เรื่องบนโลกย่อมเป็นไปตามกรรมแม้แต่ "พญายม" ก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสิน


อีกประการคือ ท่านต้องเข้าใจว่า "กฏแห่งกรรม" จะตัดสินพิพากษาความผิด-ถูก ของปวงสัตว์เอง ระบบบนโลกเดินตามแบบนี้มานานจนแม้แต่ "พญายม" ผู้มีหน้าที่ "พิพากษา" วิญญาณในนรกก็ไม่มีสิทธิ์จะก้าวก่าย "เรื่องบนโลก" นะครับ ท่านมีอำนาจเฉพาะในนรก เพราะท่าน "มีสิทธิ์อำนาจในการปกครองเฉพาะนรก" แต่สำหรับบนโลกนั้นท่านไม่มีสิทธิ์ครับ ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะเห็นการพิพากษาใดบนโลก ก็ดี จงทราบว่าไม่มี "พญายม" มาทำงานให้นะครับ โลกไม่ใช่ที่ทำงานที่พญายมจะมาทำงานครับ ท่านทำงานในนรก ชัดไหมครับ ดังนั้น ผู้ซึ่งทำงานพิพากษาตัดสินคดีกันบนโลกนี้ จึงไม่มีพญายม ผู้ทรงความยุติธรรมที่แท้จริงหรอกครับ ดังนั้น ฟังให้ดีนะครับ "ไม่มีใครมีสิทธิ์อำนาจที่จะพิพากษาตัดสินใคร" บนโลกนี้ครับ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหน ที่จะล่วงรู้ถึง "เวรกรรมแต่เก่าก่อน" ของมนุษย์แต่ละคนได้ ดังนั้น ผู้ที่เข้ามาตัดสินพิพากษาผู้อื่น จึงมีแต่จิตวิญญาณที่ไม่ใช่ภาคสว่างดังกล่าวอนึ่ง คำว่า "วันพิพากษา" แบบศาสนาคริสตร์นั้น ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะมีโองการให้อำนาจใครตัดสินใครได้นะครับ โปรดฟังให้ดีอีกครั้ง มนุษย์ทุกคนภายใต้แสงธรรมแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลายนั้น "ล้วนเท่าเทียม" กัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใครในการ "พิพากษา ตัดสิน ความดี-ชั่ว-ถูก-ผิด" ของใครได้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามกรรม เทพทั้งหลายจะเป็นผู้ดำเนินการเอง ไม่มีการให้อำนาจแก่มนุษย์ใดเหนือผู้อื่นให้ทำเช่นนั้น



ผู้ใดใช้อำนาจตัดสินลงโทษผู้อื่น ผู้นั้นพึงรับกรรมที่เกิดขึ้นนั้นๆ เอง


อีกประการคือ ท่านต้องเข้าใจว่าท่านที่ยิ่งได้อำนาจ ยิ่งใช้อำนาจ ก็ยิ่งต้อง "รับกรรมจากการใช้อำนาจของตน" ไม่ว่าท่านจะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ตาม แม้แต่ "พระเจ้าจักรพรรดิ์" หากได้ใช้อำนาจตัดสินลงโทษใครแล้ว ท่านก็ต้อง "รับผลกรรมจากการลงโทษผู้อื่น" นั้นไปเองแม้ว่าคนๆ นั้นจะมีความผิดจริง ชัดแจ้งทุกประการ ก็ตาม เพราะเขาก็จะได้รับ "กรรมเมื่อถึงวาระเอง" เขาทำกรรมชาตินี้ เขาอาจได้รับชาติหน้า ก็ได้ ดังนั้น เมื่อใดที่ท่านลงมือตัดสินเขาเองว่าผิดแล้วลงโทษเขาท่านก็ต้อง "รับผลจากการลงโทษนั้น" ไปด้วย เราจึงกล่าวแก่ท่านว่า "โลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปพิพากษา-ตัดสิน ความถูก-ผิด-ดี-ชั่ว แก่ใครได้" ถ้าท่านทำอย่างนั้น "ท่านต้องรับผลกรรมที่ทำนั้นเอง" ดังนั้น จึงมีบางท่านไม่อยากเป็นพระราชา เช่น พระเตมีย์ใบ้ ถึงขนาดยอมแกล้งเป็นบ้าใบ้ เพื่ออะไร? เพื่อให้พ้นจาก "นรก" เพราะท่านระลึกชาติได้ว่าได้ตกนรกไปเพราะเกิดเป็นพระราชามาก่อน นั่นเอง แม้ว่าท่านจะตัดสินคดีถูกต้อง ก็ตาม แต่เมื่อท่านใช้อำนาจลงโทษเขา ท่านก็ได้ก่อกรรมต่อเขาแล้ว ท่านก็ต้องรับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน ไม่อาจจะหนีพ้นได้เลย!



สุดท้ายนี้ ผมได้เล่าเรื่องราวของกระบวนการยุติธรรมบนโลกมาทั้งหมดแล้วใน "มิติของโลกทิพย์" ตั้งแต่ที่มาของกฏหมายบนโลก และผู้ที่มาเกี่ยวข้องในกระบวนการนี้ ทั้งหลายแหล่ ซึ่งล้วนมิใช่ "ภาคสว่าง" เลยเพราะเราล้วนมีการเคารพ "กฏแห่งกรรม และมีเทพฯ ที่ดูแล" เรื่องราวเหล่านี้อย่างเป็นระบบดีแล้ว ฟังให้ดีอีกครั้งนะครับ "ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม มิใช่ตามกฏหมาย" และกรรมย่อมมี "วาระสนองผลของมัน" อาจช้า หรือเร็ว ชาตินี้ หรือชาติหน้า ก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องจับคนทำความผิดมาลงโทษให้ได้ในชาตินี้เลย ก็หาไม่ สิ่งนี้ "อยู่นอกระบบกรรม" นะครับ มนุษย์ทำกันเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเทพและภาคสว่างนะครับ ต้องแยกแยะให้ชัดเจน "ต่อพระพักต์ของพระผู้เป็นเจ้า" เราชาวมนุษย์ล้วนเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่มีใครที่มีอำนาจเหนือใคร ไม่มีใครที่จะพิพากษาตัดสินใครได้ แม้ก็แต่ "ผูแอบอ้างโองการสวรรค์" ที่ใช้อำนาจพิพากษาในการเล่นงาน "ศัตรู" ของตน เพื่อให้ตนได้มาซึ่งอำนาจ ก็เท่านั้นเอง!


ขอพลังแห่งแสงธรรม จงฉุดท่านให้พ้นจากวังวนของการตัดสิน สวัสดี



28 ก.ค. 2555


"เสียงจากวันพิพากษา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กฏหมายไม่ใช่สิ่งสูงสุดในการปกครอง และอาจกลายเป็นฉนวนทำลายประเทศ?

ลูกเอ๋ย ยังมีความเข้าใจผิดอย่างยิ่งอย่างหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในโลกนี้ ในช่วงหลังมานี้ คือ ความเชื่อที่ว่าการปกครองที่ดี ต้องมีกฏหมายเป็นสิ่งที่สูงสุด ลูกเอ๋ย ฟังให้ดีนะ ความเชื่อนี้เป็น "มิจฉาทิฐิ" และเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างยิ่ง ที่เหล่านักกฏหมายสร้างขึ้นเพื่อยกตัวเองให้เหนือคนเหล่าอื่นแล้วกดข่มคนเหล่าอื่นให้ต่ำลงไปเพื่อให้ตนเองได้ความชอบธรรมในการขึ้นมามีอำนาจในการปกครอง มันเป็นแนวคิดที่ผิดพลาดหลายจุดมาก ผมจะเล่าให้ฟังต่อไป ว่ามันผิดพลาดอย่างไร?


"มหาตมะ คานธีร์" ผู้หันหลังให้กฏหมายแล้วหันมาใช้จารีตในชาติตน


ก่อนอื่น ผมจะขอยกตัวอย่าง "บุคคลสำคัญของโลก" ท่านหนึ่ง ได้แก่ มหาตมะ คานธีร์ ซึ่งเป็นคนอินเดีย ได้ไปเรียนกฏหมายจากต่างประเทศทว่า เมื่อเขาพยายามใช้ความรู้ที่ตนเรียนมาจากเมืองนอก เพื่อต่อสู้ให้ประเทศอินเดียได้รับเอกราช ก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะอะไรหรือ? เพราะกฏหมายที่ว่าทั้งหลายในโลกนี้ ก็มีที่มาจากประเทศที่ยึดครองอินเดียนี้นั่นเอง เอาละ หลังจากนั้น ท่านก็เปลี่ยนไปใช้ "จารีตของคนอินเดีย" ที่จะต่อสู้กับอำนาจการครอบงำของประเทศมหาอำนาจ ในที่สุด ท่านก็ได้รับชัยชนะพร้อมด้วยสันติภาพ นับเป็นการปลดแอกที่งดงามและสงบที่สุดเท่าที่พอจะหาได้ในโลกนี้ทีเดียว นี่คือ "ตัวอย่าง" ให้เห็นว่าบางครั้งสิ่งที่ลูกถูกครอบงำและสอนมาว่า "กฏหมายคือสิ่งสูงสุด" มันไม่จริงเสมอไป



แม้แต่ "นักกฏหมาย" ก็ไม่มีใครสักคนที่จะยอมอยู่ใต้กฏหมายเลย?

สิ่งต่อไปที่คุณถูกพวกนักกฏหมายหลอกลวงอย่างยิ่ง คือ แม้แต่นักกฏหมายเอง ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่ยอมอยู่ใต้กฏหมาย พวกเขานั้นคิดว่ากฏหมายเป็นแค่ "ทาสรับใช้" หรือ "เครื่องมือหนึ่ง" ของพวกเขาที่จะเล่นงานคนที่รู้กฏหมายน้อยกว่าพวกเขา ก็เท่านั้น เอาง่ายๆ ไม่มีศาลที่ใดในโลกนี้หรอก ที่จะยึดความจริง, ความถูกต้อง หรือว่าความยุติธรรม ทุกศษลในโลกล้วนยึด "ผลจากชัยชนะของการต่อสู้ของทนายสองฝ่าย จากหลักฐานอ้างอิงต่างๆ" แม้ว่าหลักฐานเหล่านั้นจะ "ไม่ครบและทำให้ผิดกลับเป็นถูก หรือถูกกลับเป็นผิด" ก็ตามเขาเรียกกันว่า "ผู้ใช้กฏหมายต้องมีศิลปะ" หรือ "ศิลปะในการใช้กฏหมาย" ไม่มีใครโง่และทื่อจนยอมจำนนต่อกฏหมายอย่างแท้จริงหรอก พวกเขามีแต่จะใช้กฏหมายในมือเอารัดเอาเปรียบคนที่รู้น้อยกว่าโดยไม่สนใจว่าอะไรคือความจริง, ความถูกต้อง, ความยุติธรรมดังนั้น อย่าโง่ นะลูกนะ เอาง่ายๆ คนรวยทำผิด เขาไม่ต้องรับโทษ ก็ได้ ถ้าเขาฟาดเงินให้ทนายดีๆ ทำคดีให้เขาชนะ เขาก็ไม่ต้องรับโทษนี่คือ "ความจริงที่เป็นจริงของโลก" นะลูกนะ กฏหมายจึงไม่ใช่สิ่งที่สูงสุด หรือศักดิสิทธิ์อย่างที่ลูกถูกหลอกให้หลงอยู่ "มาตั้งนานแล้ว"



"เหนือกฏหมาย" ยังมี "สัจธรรม, กฏแห่งกรรม, ศีลธรรม, จริยธรรม"


สิ่งต่อไปที่ลูกควรรู้อย่างยิ่งคือ "กฏหมาย" เป็นแค่ เหลนของบางสิ่งที่มีมาก่อน เพราะอะไร? เพราะมันเกิดทีหลัง และมันก็มาจากสิ่งเหล่านั้นมันจึงมีทั้ง "พ่อ" มี "ปู่" มี "ปู่ทวด" ที่เหนือกว่ามันอยู่อีกมากมายเช่น สัจธรรม (ปู่ทวด), ศีลธรรม (ปู่), จริยธรรม (พ่อ) ของกฏหมาย ด้วยกฏหมายเกิดได้ ก็ด้วยสิ่งเหล่านี้มีมาก่อน และกฏหมายทั้งหลาย ก็เอามาจากแนวคิดของสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น นะลูกนะ และสิ่งเหล่านี้ "ยังไม่ตาย" ฟังไว้ให้ดีนะลูกนะ "ปู่ทวด, ปู่ และพ่อของกฏหมาย มันยังไม่ตาย" มันยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น มันจึงยังทำหน้าที่เป็น "บรรทัดฐานในการปกครองประเทศ" ได้อย่างเต็มกำลัง และ "เหนือกฏหมาย" อย่าลืมนะลูกนะว่า"บรรทัดฐานในการปกครองประเทศมีมากมาย" กฏหมายเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งให้ผู้ปกครอง นำมาใช้ในการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ถ้ามันกลายมาเป็น "ตัวปัญหา" เมื่อไร พ่อของมัน ก็ดี, ปู่ของมัน ก็ดี, ปู่ทวดของมัน ก็ดี ฯลฯ จะจัดการมันเอง ในฐานะที่มันก่อปัญหานัก และลูกไม่ต้องกลัวนะว่าประเทศหรือสังคมจะอยู่ไม่ได้ ตราบใดที่รากเหง้ายังอยู่ ปู่ทวด, ปู่และพ่อของกฏหมาย มันยังมีชีวิตอยู่ เอาละ ลูกเอ๋ย ต้องพูดแรงแบบนี้ ก็เพื่อให้ลูกตื่นขึ้น นะลูกนะ ตื่นได้แล้ว อย่าให้ใครมาครอบงำลูกตลอดไปได้ละ



"กฏหมาย" มี "ต้นทาง" มาจากสวรรค์ชั้นหกแต่จารีตมาจากพรหมโลก


เอาละ ลองมามองในมุมต่างมิติกันบ้าง แล้วลูกจะตกใจถึงความจริงเรื่องหนึ่ง คือ "กฏหมายที่ลูกคิดว่าสูงสุดนั้น" มาจากสวรรค์ชั้นที่หก มารเป็นผู้ต้นคิด ต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นกำเนิด กฏหมาย นะลูกนะ ทว่า ยังมีสิ่งที่ใช้มาก่อนกฏหมาย และเหนือกฏหมายมาตั้งนานแล้ว คือ "จริยธรรม" หรือ"จารีตประเพณี" เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ มาจาก "พระพรหม" เป็นผู้สร้างขึ้นให้แก่โลกและมนุษย์ได้ใช้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นะลูกนะ สิ่งนี้มาจาก"พรหมโลก" ที่สูงกว่าสวรรค์ชั้นที่หก ดังนั้น จารีตประเพณีจึงเป็นสิ่งที่มีฐานะเหนือกฏหมาย โดย "ธรรม" โดยพิจารณาจากระดับของพลังงานต้นทางที่สร้างมันขึ้นมา นะลูกนะ และแน่นอนว่าเมื่อพญามารเป็นผู้สร้างกฏหมายขึ้นมาเพื่อกดขี่ผู้คนให้ยอมก้มจำนนต่อตน เขาก็ต้องมารักษาที่เขาสร้างขึ้น และบังคับใช้ให้ได้ ยิ่งกว่านั้นคือการหลอกลวงว่า มันคือสิ่งสูงสุด ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย นะลูกนะ มันเป็นแค่การครอบงำ ก็เท่านั้น



ความจริงอีกข้อคือ "กฏหมาย" ถูกใช้น้อยมากและทีหลังบรรทัดฐานอื่นๆ


เอาละ ต่อไปนี้เป็นสัจธรรมความจริงอีกข้อที่ลูกควรรู้และตื่นได้แล้ว เพราะในความเป็นจริง กฏหมายถูกใช้น้อยมากเมื่อเทียบกับบรรทัดฐ่านอื่นๆ ขอยกตัวอย่างเช่น ใน 100 กรณีที่มีการทำผิดหรือขัดแย้งกัน มักจบลงด้วยการเจรจาถึงกว่า 50% จบลงด้วยการใช้จารีตประเพณีกว่า 25% และจบลงด้วยการยอมความเพราะตำรวจช่วยแก้ไขความขัดแย้งนั้นอีก 20% ดังนั้น ในความผิดและความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นบนโลกเข้าสู่ชั้นศาลจริงๆ ไม่น่าจะถึง 5% นะลูกนะ ดังนั้น กฏหมายจึงมีผลจริง ในทางปฏิบัติน้อยมาก มากกว่า ศีลธรรม, จารีตประเพณี, การเจรจายอมความ ฯลฯ อีกดังนั้น ถ้าลูกถูก "กักดักของกฏหมาย" ดึงดูดให้หลงวนอยู่กับมันอยู่ ละก็"ยกระดับตัวเอง" ขึ้นมาเสีย ก่อนที่ลูกจะตกต่ำลงไปสู่สวรรค์ชั้นมาร ทั้งที่ลูกสามารถไต่ระดับไปเหนือกว่านั้น ได้มากมายอย่างน้อยก็ พรหมโลก นะ



"กฏหมาย" สำคัญในประเทศที่ "ไร้รากเหง้าของตนเอง" เช่น USA


เอาละทีนี้ ทำไมกฏหมายมันถึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญกันนักหนา มันมาจาก USA นะลูกนะ ประเทศนี้ "ทำลายรากเหง้าของผืนแผ่นดินตัวเอง" ด้วยการทำลายจารีตประเพณีดั้งเดิมของชาวอินเดียนแดง และพวกเขาก็บุกยึดเข้าไปสร้างชาติร่วมกัน จากหลายเชื้อชาติ พวกเขาไม่อาจจะมีรากเหง้าหรือจารีตประเพณีร่วมกันได้ (เพราะมาจากหลายแหล่งจึงเกิดความแตกต่างทางจารีต และไม่มีเวลาพอ ที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกันได้) พวกเขาจึงต้องใช้ "กฏหมาย" อ้างอิงร่วมกัน เพื่อจะได้จบปัญหาความขัดแย้งลงได้ เพราะมันไม่มีรากเหง้าไงลูก เพราะมันไม่มีจารีจประเพณีใดที่จะใช้แล้วเป็นที่ยอมรับร่วมกันของคนทุกเชื้อชาติได้ไงลูก ทว่า นั่นมันเป็นเพราะความจำเป็นของประเทศเขา มันเลยเกิด "กระแส" ที่ทำให้บางประเทศไปเอาอย่างบ้าง ไปเอากฏหมายเขามาใช้บ้าง เพราะคิดว่ามันดีนักหนา แท้แล้วเพราะมัน "อับจนหนทาง" แล้วต่างหากละลูก ด้วยมันไม่มีศีลธรรม, จารีตประเพณี ฯลฯ ให้ใช้ ไงละลูก มันถึงต้องทำเช่นนั้นเอาละ ประเทศไทยของลูกมีรากเหง้า "ไม่เคยขาด" นะลูกนะ อย่าไปหลงตามตูดพวกเขานั้น ลูกใช้ ปู่ทวด, ปู่ และบิดาของกฏหมายได้ อย่าลืมละ!



สุดท้ายแล้ว นะลูกนะ "กฏหมายมันมาจากใคร?" ใครเป็นบิดาสร้างมันขึ้นมา? ลูกเอ๋ย ก็คนไม่ใช่หรือที่สร้างมันขึ้นมา ถ้ามันกลายเป็นตัวปัญหาก่อเรื่อง เป็นฉนวนสร้างความขัดแย้งนัก ก็อย่าให้มันได้เกิดเลย ทำแท้งมันซะ มันจะมายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ "ผู้สร้าง" มันขึ้นมาได้อย่างไร? เอาละ นี่ไม่ใช่การสอนให้คนแหกคอกหรือผิดกฏหมายนะ อย่าเข้าใจผิดไปอย่างนั้น แต่ให้เข้าใจว่าทำไม ทนายความบางคนที่เรียนกฏหมายมากๆ เขาถึงทำผิดหรือว่าความให้คนทำผิด แล้วพลิกคดีให้ชนะได้ โดยไม่สนว่าความจริง เป็นเช่นไร? ความยุติธรรมแท้จริง เป็นเช่นไร? เอาละ หวังว่าลูกคงเข้าใจ ไม่ใช่ให้ลูกไปทำผิดกฏหมาย หรือแหกคอก ทำลายมันนะ แต่ให้ลูก "รู้จักใช้มันอย่างที่มันควรรับใช้ลูก" ไม่ใช่ให้ลูกซึ่งเป็นคนเป็นมนุษย์ สร้างมันได้แท้ๆ ต้องมายอมจำนน เป็นทาสของมันตลอดไปเอาละ ในแง่การเมืองการปกครองยังมีอะไรที่เหนือกว่านั้นอีกมากมายแต่เอาแค่นี้ก่อน แค่ประเด็น "กฏหมาย" ซึ่งเป็นประเด็นขัดแย้งนี้ก่อน


ขอพลังแห่งพระผู้สร้างจงนำทางให้ลูกพ้นความเป็นทาสของกฏหมาย สวัสดี ... 



27 ก.ค. 2555


"เสียงจากปู่ทวด"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS