ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ความดีที่เป็นพิษ การครอบงำด้วยความดี พันธนาการแห่งความดี?

กะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ต้องพูด เพราะการครอบงำด้วยความดี และการ ใช้ความดีเป็นอาวุธนี่ ยังไม่จบ ไม่สิ้นซะ ที เอ่อ เลยต้องมาพูดให้ฟัง ไม่น่าเชื่อนะ ความดี ก็ใช้ทำร้ายคน เล่นงานคนได้ละ เอ้า มันเป็นยังไง ลองมาดูกันครับ ...


ความดีที่แท้จริง ต่างจาก ความดีที่ไม่แท้จริง อย่างไร?


อย่างแรกเลย ผมน่ะไม่ปฏิเสธความดีหรอกครับ ถ้ามัน เป็นความดีที่แท้จริง ทำจากใจใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่หวังผล อะไรจากการกระทำความดีนั้นจริงๆ ทว่า เดี๋ยวนี้ มันไม่ ใช่แบบนั้น คนธรรมดา ปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ ที่ไม่ได้ มีอำนาจทางการเมืองอะไร ทำความดีกัน ก็ทำไปอย่าง นั้นๆ แหละครับ นั่นแหละ ทำไปงั้นเองไม่ได้หวังผลอะไร ของมัน คนธรรมดา อย่างเราๆ ท่านๆ นี่ จะไปหวังผลว่า ทำความดี แล้วจะได้ผลอะไรได้ละครับ? เราก็ทำไปโดย ที่แทบไม่ได้คิดด้วยว่าเราทำความดีอะไร หรือบางทีเห็น ความดีของคนอื่นใหญ่มากๆ บดบังความดีของเราไป ก็ มี เราเลยไม่ค่อยได้คิดครับว่านี่ความดีนะ ของเรานะ ไม่ ได้สนใจ คุณเป็นแบบนั้นไหมละ? (ผมคิดว่าก็ใช่แหละ) นั่นแหละ "ความดีที่แท้จริง" ทำก็เหมือนไม่ทำ ดีก็ไม่ใช่ ความดีอะไร ทำไปเปล่าๆ อย่างนั้น ทว่า คนที่มีอำนาจคน ที่ต้องเล่นการเมือง ต้องมีบริวาร ต้องมรพรรคพวกนี่นะ ก็ ทำอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่ได้หรอก เขาทำความดี กันอีกแบบ เรียกว่าทำแล้วต้องโฆษณา ต้องประชาสัมพันธ์ ต้องเอามา ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง อย่างไรบ้าง เดี๋ยวจะเล่า ต่อไปครับ สรุป ตรงนี้ก่อนว่าแยกแยะได้นะครับ ว่าดีที่แท้นี่ มันต่างจาก "ดีที่ไม่แท้จริง" ยังไง? คือ ดีที่แท้นี่ ทำแล้วมัน ก็เหมือนไม่ได้ทำ เหมือนไม่มี เหมือนมองไม่เห็น ทำแล้วว่าง เปล่าไปอย่างนั้น ไม่ทันคิดด้วยว่า นี่ฉันก็ทำความดีหรือเนี่ย?


ความดีที่ไม่แท้จริง เขาเอาไปใช้เป็นอาวุธทางการเมืองได้ยังไง?


ต่อไป ผมจะเล่าถึงว่าการใช้ความดี เป็นอาวุธในทางการเมืองนี่ เขาทำกันอย่างไร? โอ้ย มากมายหลายรูปแบบครับ ผมต้องลอง เปรียบเทียบกับรูปแบบของอาวุธก็แล้วกัน สมมุติว่าพลังความดี มีสีทอง นะ อาวุธนั้นเป็นอาวุธทิพย์มีสีทอง เช่น บ่วงบาศก์สีทอง ก็ใช้ "ผูกมัดคนด้วยความดี" ให้เขาเป็นทาสเราไปตลอด, พลัง สีทอง ก็ใช้ "ครอบงำคนด้วยความดี" คือ แผ่พลังสีทองครอบงำ เลย เช่น การสรรเสริญเยินยอ, การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ คนลุ่มหลงอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง, พลังสีทองแบบมีพิษ เช่น การ ทำความดีต่อเรา แต่ประสงค์ให้เราอ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่เติบโตเป็น ผู้ใหญ่ได้, การใช้ความดีเป็นโล่ห์กำบังหรือเกราะคุ้มตัว แสดงตัว ว่าฉันคือคนดีนะ เธอทำอะไรฉันไม่ได้ จะมีกรรมนะ เป็นต้น นี่แหละ "อาวุธที่เรียกว่าความดี" ละ มันถูกสร้างมาจากพลังจิตที่เรียกว่า ความดี มีสีทองนะ และมีหลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าเขาจะกำหนดให้ มันมีรูปแบบไหน? อย่างที่ได้ยกตัวอย่าง อธิบายไปแล้วนั่นแหละ


"ความดี" หรือ "ความไม่ดี" ไม่ได้อยู่ที่สิ่งนั้น แต่อยู่ที่คนใช้ต่างหาก?


ต่อไป ถ้าผมสมมุติว่ามีคนที่มีพลังจิตด้านดี ก่อรูปทิพย์เป็นอาวุธทิพย์สี ทองอยู่ และอีกคนหนึ่งมีพลังจิตไม่ดี มันสีดำ ก่อตัวเป็นอาวุธทิพย์สีดำ ถามว่า คนสองคนนี้ ดีหรือไม่ดี วัดกันที่ไหนอย่างไร ดูที่เขามีอาวุธชนิด ไหนหรือ? ไม่ใช่หรอก ดูที่ว่าเขาใช้อย่างไรมากกว่า คนเรามีส่วนดีบ้าง ส่วนไม่ดีบ้างในตัว ถ้าใครสักคนมีส่วนไม่ดีบ้าง อาจจะมาก แต่เขาก็ไม่ ได้ใช้มันไปทำร้ายใคร เช่น โกหกเก่ง ปั้นน้ำเป็นตัวได้ วันๆ โม้ไปทั้งวัน แต่ไม่ได้โม้เพื่อทำร้ายใคร ไม่ได้โม้เพื่อหลอกเอาอะไรจากใคร อุปมาก็ เหมือนคนมีอาวุธร้าย เอามาร่ายรำโชว์ แต่หาได้ทำร้ายใครไม่ ตรงกัน ข้าม อีกคน มีอาวุธแห่งความดี มีความดีเป็นอาวุธ แต่เขาใช้ตลอด ไม่มี ว่างเว้น ไม่เคยวางอาวุธ ไม่เคยหยุดที่จะใช้อาวุธเลย เขาใช้ความดีของ เขาเล่นงานให้ผู้คนลุ่มหลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่คนเบื่อแล้ว เข้ามาคุยเรื่อง "วิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ" ยังตามมาครอบงำถึงในนี้ โดยไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหมวดนี้เลย แต่เพราะ "พลังแห่งความดีนี้ ครอบงำรุนแรงมาก" ผู้ดูแลเว็บบอร์ดยังไม่รู้สึก ไม่รู้ตัวว่าโดนเล่นเข้าให้ แล้ว ก็มี นี่ แบบนี้ ไม่นับว่าเป็นความดีที่แท้จริง เพราะอะไร? เพราะเขานั้น ใช้ความดีไปเล่นงานคนอื่น ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม เช่น ในรูปแบบที่ ใช้การประชาสัมพันธ์ครอบงำ เป็นต้น แม้ไม่ได้ออกมาในรูปแบบทำร้าย ก็ ตาม หรือการเข่นฆ่าทำลาย ก็ตาม แต่ก็คือ "รูปแบบหนึ่งของการเล่นงาน คนอื่นด้วยความดี" เช่นกัน นี่แหละที่บอกว่า คนเราวัดความดีกันที่ไหน? ก็ มิใช่เพราะเขามีอาวุธแห่งความดีหรือความชั่วหรอก อาวุธมันไม่ผิด จะผิด ก็ที่ตัวคนนำอาวุธนั้นไปใช้อย่างไร ต่างหาก จึงเรียกว่าเป็นคนดีได้หรือไม่?


คนที่ใช้สิ่งที่ไม่ดีไปในทางที่ดี เช่น ยาพิษ, ยาเสพติด ไม่ใช่คนไม่ดี


ต่อไป ในโลกนี้ยังมีบางคนที่ใช้ของไม่ดี ไปในทางที่ดี เช่น คนที่ใช้ ยาพิษไปรักษาโรคคน เช่น ที่ทำเป็นเซรุ่มต้านพิษงูบางชนิด เป็นต้น หรือบางคนใช้มอร์ฟีนในการรักษาโรคคนด้วยการผ่าตัด ก็มี แบบนี้ เห็นได้ชัดครับว่าเขาไม่ใช่คนเลว เช่นกันยังมีคนอีกมากมายบนโลก ที่เป็นเช่นนี้ ที่ใช้ "สิ่งที่ไม่ดี" ไปในทางที่ดี เพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตัว เอง เช่น ใช้พลังมาร, ใช้พลังด้านมืด, ใช้พลังอสูร, ใช้มนต์ดำ ฯลฯ ไปในทางที่ดี เช่น ใช้เพื่อให้คนตื่นขึ้นแล้วตรงต่อธรรม อย่างพอดีไม่ ได้ทำให้เขาตายไปเลย ก็หาไม่ อันนี้ ผมมองว่าเขาน่าจะเป็นคนดีคน หนึ่ง เช่น การใช้เครื่องควบคุมธรรมชาติ ทำให้เกิดภัยพิบัติ ถ้าเขามิ ได้ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ทำเพื่อให้มนุษย์หันกลับมาดูแล ธรรมชาติและทำให้ธรรมชาติฟื้นตัว ผมเชื่อว่า "เขาก็คือคนดีคนหนึ่ง ได้" นะครับ แม้ว่าสิ่งที่เขานำมาใช้จะถูกเรียกว่า "สิ่งที่ไม่ดี" ก็ตามที เพราะที่สำคัญ มันอยู่ที่ "การใช้" ต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่ของที่ใช้ นั่นเลย


คนที่ใช้สิ่งที่ดีไปในทางที่ไม่ดี เช่น ความดีครอบงำคน ไม่ใช่คนดี


ต่อไป คนที่มีความดีมากๆ หากใช้พลังความดีของตนเองไปเพื่อ ครอบงำผู้คน ก็หาใช่คนดีแล้ว เพราะเขาใช้ความดี ไปในทางที่ไม่ ดี ไงละ อย่าหลงที่พลัง อย่าปล่อยให้พลังนั้นครอบงำคุณ อย่ายอม ให้พลังแห่งความดีนั้น ทำให้คุณลุ่มหลง อย่าหลงความดีมากเกิน ไป เพราะมันอาจทำร้ายคุณอยู่ เพราะมันอาจกำลังครอบงำคุณ ก็ ได้ เพราะคุณอาจกำลังตกเป็นเหยื่อของความดี อยู่ก็ได้ ดังนั้น คุณ จงตื่นขึ้น หลุดพ้นจาก "บ่วงบาศก์แห่งความดี" ที่พันธนาการคุณนี้ เสียทีเถิด เพราะเขาผู้ใช้ความดี ครอบงำ, ผูกมัดคุณนี้ เขาย่อมไม่ ใช่คนดีที่แท้จริงเลย เป็นเพียง ไผ้ดีจอมปลอม" ได้เท่านั้นเอง เพราะ อะไร? เพราะว่าเขาใช้ความดีไปผิดทาง เขาได้รับพลังธรรมชาติให้ มีพลังแห่งความดีแล้ว แต่กลับใช้พลังแห่งความดีนั้นไปเพื่อครอบงำ ผู้คนทั้งหลายให้ยอมสยบต่อเขาโดยดี ใช้พลังแห่งความดีเป็นเกราะ คุ้มกันตัวเองเมื่อเวลาตัวเองทำความผิด ก็ไม่ต้องรับผิด เพราะว่าเขา เป็นคนดี คนไม่ดีก็เลยต้องตายไปซะ ถูกแล้ว ดีแล้ว คนดีฆ่าคนเลวก็ ไม่ผิด เช่นนี้น่ะหรือคนดีที่แท้จริง? เวลาอยากเล่นงานใคร ก็เอาความ เลวมาครอบงำใส่ร้ายเขา ว่าเขาเลว ทหารไปฆ่ามันเลย มันเลว มันทำ ลายประเทศชาติ ฆ่ามันได้เลย ไม่ผิด ไม่บาปอะไรเลย ทำเพื่อชาตินะ แบบนี้น่ะหรือ? คนดี? โอ้แม่เจ้า น่าสงสารมนุษย์โลกที่ยอมง่ายนี่นัก!


"ผลงาน" กับความเป็นคนดี หรือคนไม่ดี นั้น ต้องแยกแยะจากกันให้ชัด


ต่อไป คำว่า "ผลงาน" ก็อย่างหนึ่ง คำว่า "คนดี" ก็อย่างหนึ่ง ต้องแยก แยะออกจากกันให้ชัด เช่น คนดีบางคนอาจไม่มีผลงานอะไรเลย ก็ได้ ก็ เพราะเขาอาจยังไม่มีโอกาสสร้างผลงาน นั่นเอง ในขณะที่คนเลวบางคน ก็อาจมีผลงานได้มากมาย เพราะอะไรครับ? เพราะเขามีโอกาสสร้างผล งาน มีอำนาจในการสร้างผลงานได้ยังไงละครับ เอาละ ดังนั้น ผลงานกับ ความดี จึงเป็นของที่ไม่ใช่อันเดียวกัน คนละสิ่งกันนะครับ ต้องแยกแยะให้ ดีด้วย คนบางคนอาจเป็นคนเลว แต่เขาอาจสร้างผลงานได้ดี มากมายได้ ก็มีครับ คนแบบนี้ก็ควรเลี้ยงไว้ แต่ต้องระวังเขาด้วย เหมือนเลี้ยงเสือ นั่น แหละครับ คนบางคนเป็นคนดีแต่ยังไม่มีผลงานเลยก็ควรเลี้ยงดูไว้เหมือน กัน เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมที่จะให้โอกาสเขาได้สร้างผลงานบ้าง อย่างไร ละครับ เอาละ หวังว่าคงจะแยกให้ออกนะครับ ระหว่างคนที่ไม่ได้ดีจริงแต่ มีผลงานเยอะ มาอวด มาโชว์ มาทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ออกข่าว ให้ เราเห็นเยอะๆ ครอบงำเราไปทุกวันๆ นั้น นั่นก็อย่างหนึ่ง อย่าสับสนกับคน ที่ดีที่แท้จริงละ เพราะมันคนละอย่างกัน คนละคนกันนะครับ พอเข้าใจนะ


นายทำความดี ลูกน้องทำความเลว นี่ก็ต้องแยกแยะจากกันให้ชัด


สุดท้าย คนบางคนเป็นเจ้าคน นายคน ทำความดีโดยไม่หวังผล ก็ มี แต่มีลูกน้องเอาความดีของเจ้านายไปเป็นอาวุธ เล่นงานผู้คนไป หมด เช่น เอาความดีของเจ้านายตนเองไปครอบงำผู้อื่น ตนเองนั้น เป็นขี้ข้า ต้องภักดีต่อนาย มันก็ถูกต้องแล้ว แต่ดันเอาความคิดแบบ ขี้ข้ามาครอบงำประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง ประชาชนเหล่านั้นเขาได้ รายได้จากการทำงานด้วยตัวเอง ไม่ได้อาศัยเงินของเจ้านายคุณที่ จะดำรงชีพแบบขี้ข้าอย่างพวกคุณ แต่พวกคุณกลับเอาความคิดที่ เหมือนขี้ข้านั้นมาครอบงำประชาชน ให้พวกเขาภักดีเหมือนคุณ นี่ มันไม่ถูกต้อง เจ้านายคุณจ่ายเงินเดือนให้คุณ คุณก็ทำงานภักดีไป แต่เขาจ่ายเงินเดือนให้ประชาชนหรือเปล่า? แล้วทำไมประชาชนจะ ต้องไปภักดีกะเจ้านายคุณด้วย? ตรงกันข้าม ถ้ามีใคร จ่ายเงินมาให้ แก่ประชาชน ครั้งละ สามร้อย ห้าร้อย ก็ดี แล้วให้ประชาชนไปชุมนุม ประท้วงเพื่อตัวเขาเอง ถามว่าประชาชนรับเงินไปแล้ว "สมควรไหม ที่จะภักดีต่อคนที่จ่ายเงินเขา?" นี่ ก็ไม่ต่างจากขี้ข้าที่ภักดีเจ้านายดัง เช่น พวกคุณหรอก (บางคนนะจ๊ะ ไม่ได้หมายถึงทุกคนที่อ่านกระทู้) ขอร้อง แยกแยะให้ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความดีครอบงำจนอยุติธรรม


จบ...


15 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"จิตวิญญาณอำมตะแห่งดาวโลก" และการเกิดขึ้นของศาสนาที่มีพระเจ้า?

ฮาโหลๆ เพื่อนๆ นี่ผมไปอ่านเรื่อง ของโธท แห่งแอตแลนติสมา แล้ว ก็คัมภีร์มรกตด้วย ก็เลยสงสัยแล้ว ก็สื่อสารถามท่านที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้น ก็เลยได้คำตอบอะไรบางอย่างมาโม้ ให้ฟังกันอีกแล้วครับท่านผู้ชม เอาละ อย่าช้าเลย เรื่องของโธทและวิหาร ศักดิสิทธิ์แห่งแอตแลนติส รวมทั้งสิ่ง ที่เชื่อมโยงไปสู่การเกิดขึ้นของอียิปต์ อีกด้วย โอ้ว แม่เจ้า ลึกลับจริงๆ ครับ


ก่อนศาสนาที่มีพระเจ้าจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดจิตวิญญาณอำมตะในโลก?


เอาละ ผมจะบอกท่านทั้งหลายว่าก่อนหน้าที่ดาวโลกจะมีศาสนาที่มีพระ เจ้าเกิดขึ้นนั้น โลกอาจมีอารยธรรมอยู่ แต่เรื่องราวทางธรรมของพวกเขา ยังไม่ได้มีรูปแบบเป็นศาสนาที่ชัดเจน มันยังเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้นเอง แต่เขาก็เชื่อเหมือนๆ กันหมดครับ คือ เขามีความเชื่อในจิตวิญญาณ, ใน สิ่งศักดิสิทธิ์, สิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น, ภูติผี-เทพเจ้า ฯลฯ แต่พวกเขายังไม่ มีความรู้เรื่อง "ภพภูมิที่ชัดเจน" ว่าดาวโลกนี้มีภพภูมิอะไรบ้างและมีใคร ที่ดูแลเป็น "เจ้าแห่งภพภูมิหรือเจ้าสวรรค์ชั้นนั้นๆ" แต่พวกเขาหลายคนก็ มีฤทธิ์มาก จิตวิญญาณของพวกเขากล้าแกร่งมาก สามารถถอดออกจาก ร่างแล้วดำรงอยู่เป็นอำมตะได้ โดยทิ้งร่างเก่าที่สิ้นสภาพแล้ว ไปสู่ร่างใหม่ คือ ร่างมนุษย์คนอื่นๆ ได้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่า "ชีวิตอำมตะ" ในแบบของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะไม่ไปไหนจากดาวโลกนี้ ดังนั้น เมื่อเขา ตายลงจึงไม่ไปเกิดยังสวรรค์ ไม่ใช่เกิดเป็นคนใหม่ในชาติภพใหม่ ทว่า ก็ ยังคงดำรงอยู่ในรูปนามแห่งจิตวิญญาณอำมตะนั้นดังเดิมครับพวกเขาไม่ ทราบว่านิพพานคืออะไร แน่นอนว่าจิตวิญญาณของพวกเขายังไม่นิพพาน และเป็นอำมตะอยู่ยังไม่ตาย ไม่เกิดสู่ภพใหม่ เขาอยู่ระหว่างภพสองภพที่ ไม่ใช่ทั้งโลกและสวรรค์ (ซึ่งไม่ใช่นรกด้วย) แล้วเขาก็เลือกหาร่างใหม่ๆ ของมนุษย์บนโลกไปเรื่อยๆ ทว่า พวกเขาไม่ใช่ซาตาน ไม่ใช่พวกมืดครับ ผมขอเรียกว่าเป็น "พลังคลาสสิค" ก็แล้วกัน ซึ่งมีหลายแบบ ถ้าพวกเขา ยอมตาย ก็จะเกิดใหม่ในภพสวรรค์ที่สูงมาก เป็นเทพต่างๆ เช่น สุริยเทพ, นารายณ์ ฯลฯ ได้เลยครับ ทว่า พวกเขาไม่ยอมตาย จึงมีจิตวิญญาณซึ่ง จรออกจากร่างก่อน ทิ้งร่างที่กำลังตายไปหาร่างใหม่เพื่อชีวิตอำมตะครับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "โธท" ผู้สื่อบอกคัมภีร์มรกต แห่งแอตแลนติสด้วยครับ


จิตวิญญาณอำมตะในโลก ทำให้ต้องมีศาสนาที่มีพระเจ้าเกิดขึ้น?


ต่อไป คำถามคือ ทำไมจึงต้องมีศาสนาที่มีพระเจ้าเกิดขึ้นในโลก? เพราะว่าโลกของเรามี "เจ้าสวรรค์แห่งโลกสวรรค์ทั้งหกชั้น" อยู่ แล้ว แต่พระเจ้าในศาสนาต่างๆ "ท่านประจำอยู่ต่างดาว" เหตุผล ทำไมเราไม่เอาแต่เจ้าแห่งสวรรค์ของโลก ก็พอ ทำไมต้องให้มีเจ้า แห่งดาวอื่นมาสร้างศาสนานั้นๆ ด้วย? (พระเจ้า) คำตอบก็คือด้วย มีมนุษย์โบราณในโลกนี้ ที่มี "ระดับของจิตวิญญาณขั้นสูง" สูงไป เกินกว่าศาสนาในยุคนั้นจะรองรับได้ ถ้าพวกเขาตายลงจะไปเกิดใน มิติที่สูงกว่าสวรรค์ทั้งหกชั้นของโลก คือ ไปพรหมโลกธาตุบ้าง, ไป สุขาวดีโลกธาตุบ้าง ฯลฯ เรียกว่าไปนอกโลก ไปดาวอื่น นั่นเอง ทว่า ในยุคนั้น ศาสนาบนโลกไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขามีจิตวิญญาณ ที่สูงเกินไปกว่าศาสนาจะบอกทางแก่เขา อีกทั้งพวกเขายังมีฤทธิ์ทำ ให้ดำรงอยู่อย่าง "จิตวิญญาณอำมตะ" บนดาวโลกนี้ได้อีก ทำให้ใน ที่สุด ศาสนาที่เล่าเรื่องราวของพระเจ้าแห่งดาวอื่นที่สูงขึ้นกว่าโลกนี้ จำต้องลงมาบอกเรื่องราวแก่พวกเขา เพื่อรองรับพวกเขาไปจากโลก ไปยังที่ๆ พวกเขาควรจะไป ไม่ใช่ค้างคาอยู่บนโลกอย่างนี้ตลอดไป!


จิตวิญญาณอำมตะเหล่านั้นจำต้องผ่านการตายก่อน จึงไปสู่ภพใหม่ได้


ต่อไป คือ จิตวิญญาณเหล่านี้ เริ่มจากความต้องการมีอำนาจเหนือความ ตาย จึงได้ฝึกวิชาฤทธิ์ขั้นสูง ให้ไม่ต้องตาย คือ ร่างกายเนื้อเน่าตายไป แต่จิตวิญญาณของพวกเขายังไม่ตาย? อ้าวเป็นไปได้ยังไง ร่างตายแต่ จิตวิญญาณไม่ตาย? โธ่ ไม่ยากเลย พอใกล้ตายใช่มั้ย พวกเขาก็จะทำ การถอดจิตวิญญาณออกจากร่าง ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาไม่ถูก สลาย ไม่ตาย ไม่เกิดใหม่ ยังคงเดิม ความทรงจำ, สัญญาขันธ์ ก็ไม่ถูก ล้างลบออกไป ยังยึดติดอยู่กับเรื่องเดิม เช่น เป็นคนยุคแอตแลนติส ก็จะ ยึดติดและจดจำเรื่องเดิมๆ นั้น แท้จริงแล้ว "ความตายคือประตูเปิดสู่มิติ ใหม่" ทำให้พวกเขาได้ชีวิตใหม่ เริ่มต้นใหม่ อย่างเหมาะสม จะได้ไม่ไป จดจำอดีตเดิมๆ มากเกินไป นั่นคือ "หน้าที่ของความตาย" แต่พวกเขา ไม่ยอมตาย ไม่ยอมผ่านกระบวนการตาย จิตวิญญาณของพวกเขาถอด ออกจากร่างโดยไม่ผ่านการตาย แล้วสามารถประสานเข้าร่างมนุษย์คน ใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้พวกเขาดำรงอยู่ได้ด้วยวิธีแบบนี้เอง พวกเขาจึงกลายเป็น "จิตวิญญาณอำมตะประจำดาวโลก" ที่ผมเรียก ว่า "กลุ่มพลังคลาสสิค" ไม่ใช่ทั้งภาคมืด และภาคสว่างอย่างแท้จริง ก็ ถ้าเขาจะเป็นภาคสว่างอย่างแท้จริง พวกเขาต้องยอมรับความตาย ต้อง ตายก่อนเพื่อเกิดใหม่ในภพสวรรค์ ไปพบพระเจ้าประจำสวรรค์นั้นๆ แล้ว (หรือเจ้าสวรรค์ชั้นนั้นๆ) จึงค่อย "รับกิจจากเจ้าสวรรค์" ลงมาทำกิจยัง โลก ถึงจะถูกตามกฏสวรรค์นะครับ แต่พวกเขา ตัดสินใจเลือกชีวิตอำมตะ ในแบบของพวกเขาเองทำให้ไม่ผ่าน "เจ้าสวรรค์ชั้นใดๆ" รับรองเลยครับ


"การชำระล้างและการสร้างใหม่" ช่วยให้จิตวิญญาณอำมตะหลุดพ้น


ต่อไป จิตวิญญาณอำมตะที่ตกค้างอยู่ในดาวโลกเหล่านี้ จะได้รับการ ชำระล้างและสร้างใหม่ ซึ่งต้องการกระบวนการตายในร่างของมนุษย์ พวกเขาก็จะกลายเป็นชีวิตใหม่ที่พร้อมไปสู่ภพภูมิใหม่แล้วครับ นี่คือ วิธีการปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นไปจากพันธนาการของดาวโลก ดวงนี้ ไปสู่ดวงดาวที่เขาควรจะไป ไปสู่อ้อมกอดแห่งพระเจ้าที่แท้จริง เพราะพวกเขายังไม่ถึงวาระที่จะนิพพาน พวกเขาก็ยังต้องไปสู่พระเจ้า และจะได้รับ "ชีวิตนิรันด์" ที่ถูกต้องเสียทีครับ ดังนั้น จึงต้องมีร่างของ มนุษย์ที่จะรองรับ "จิตวิญญาณอำมตะ" เหล่านี้ เช่น จิตวิญญาณโธท ผู้รจนาคัมภีร์มรกต แล้วสลายจิตวิญญาณเขา เพื่อให้เขาผ่านการตาย ให้ได้เกิดใหม่ (สร้างใหม่) ก็จะสำเร็จได้ครับ ในกระบวนการสร้างใหม่ หรือการเกิดใหม่ของจิตวิญญาณอำมตะแห่งดาวโลกเหล่านี้ พวกเขาก็ จะได้รับ "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์" นี้ด้วยครับ เพื่อให้เขากลายเป็นชีวิต ใหม่อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจิตวิญญาณอำมตะที่อยู่ในดาวโลกเหล่านี้ มีมาก มายครับ ตกค้างอยู่เยอะทีเดียวแม้ว่าพวกเขาไม่ใช่ภาคมืดก็ตามนะครับ เช่น พวกเขาอาจเคยเป็นฤษี ที่มีฤทธิ์มาก มีพลังจิตมาก พอตายแล้วเขา อาจยึดมั่นในตำรา, ของขลัง, ถ้ำ, สมบัติอะไรๆ ก็แล้วแต่ ฯลฯ พวกเขา ก็จะตกค้างเป็นจิตวิญญาณอำมตะที่ยังไม่ผ่านการตาย ก็ดี หรือผ่านการ ตายแล้วแต่ไม่ยอมจุติเคลื่อนไปยังภพภูมิที่ถูกต้อง ก็ดีครับ เมื่อพระพุทธ ศาสนานำปัญญาที่แท้จริงมาสู่โลกแล้ว มีพระโพธิสัตว์ลงมาโปรดสัตว์ก็ มากมาย เราก็สามารถนำทางจิตวิญญาณเหล่านี้ได้ครับเพื่อเคลื่อนย้าย "จิตวิญญาณ" ที่ตกค้างของพวกเขาไปยังภพภูมิที่ถูกต้องเสียที ทว่านี่ ไม่ใช่งานที่ง่ายนักนะครับ เพราะเราจำจะต้องมีอำนาจจิตที่เหนือกว่าเขา จึงจะทำให้จิตวิญญาณเหล่านี้ ยอมเชื่อ, ไววางใจ และให้เรานำทางได้


จิตวิญญาณอำมตะเหล่านี้ บ้างก็มีอายุมากกว่าลูซิเฟอร์เสียอีก?


ต่อไป เมื่อพระเจ้าทรงทราบเรื่องของจิตวิญญาณอำมตะบนดาว โลกนี้แล้ว ท่านจึงปล่อยให้ลูซิเฟอร์ก่อเรื่องราวบนสวรรค์ครับ ก็ พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง การที่จะห้าม หรือขัดขวางลูซิเฟอร์ ก่อนเขา จะทำอะไรลงไปนั้น "ก็ย่อมได้แน่นอนครับ" ทว่า ท่านก็ปล่อยไป ตามธรรมชาติ แล้วลูซิเฟอร์ก็ทำผิดกฏสวรรค์ ไม่ยอมรับทัณฑ์ก็ หนีลงมายังโลก นั่นคือแผนการณ์ของพระเจ้าที่จะให้เทพสวรรค์ ลงมายังโลก เพื่อดึงเอาจิตวิญญาณอำมตะที่อยู่บนโลกยาวนาน เหล่านี้ ขึ้นไปเสียที (แล้วลูซิเฟอร์ก็อยู่บนโลกแทนที่ไป อย่างนั้น มังครับ?) เป็นการปรับเปลี่ยนพลังงานที่เก่าแก่มากๆ ของโลกให้ มีผู้รับช่วงต่อไป เป็นกลุ่มใหม่ นั่นเอง ดังนั้น จิตวิญญาณเก่าแก่ที่ อยู่มาก่อนลูซิเฟอร์นี้ จึงมีทั้งฤทธิ์เดชและความรู้มากกว่าลูซิเฟอร์ ซะอีกครับ อุปมาก็เหมือนพระเจ้าใช้ลูซิเฟอร์เป็นปลาเล็ก เพื่อล่อ ปลาใหญ่ (พวกจิตวิญญาณอำมตะในดาวโลก) มาติดกับ นั่นเอง


จิตวิญญาณในร่างกายเรามีหลายตัวตน ไปเกิดหรือเข้าร่างคนอื่นก็ได้?


ต่อไป คือ จิตวิญญาณในร่างกายของเรามีหลายตัวตน สามารถที่จะให้ บางตัวตนไปเกิดก่อนที่เราจะตาย ๑ ปี ก็ได้ เพื่อให้เขากลายเป็น "ตุลกู" หรือ "ร่างใหม่" รอไว้ล่วงหน้าก่อน ก็ได้ หรือจะให้ไปอยู่เป็นภูติประจำที่ ร่างสังขารอื่นๆ ก็ได้ เพื่อใช้ร่างนั้นทำหน้าที่บางอย่างแทนเรา เป็นต้น นี่ คือ วิชาที่โธทเอง ก็บอกไว้ในคัมภีร์มรกต ทว่า เมื่อเราปล่อยจิตวิญญาณ หนึ่งดวงออกจากร่างไปอยู่ในร่างอื่นแล้ว พลังปราณภายในร่างเราจะลด ลง ทำให้สุขภาพแย่ลงหรือป่วยได้ ดังนั้น เราต้องทำการเสริมพลังปราณ ภายในให้กลับคืนมาเท่าเดิม ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีบอกไว้ในคัมภีร์ มรกต แต่ท่านอาจค้นพบในตำราอื่นๆ นี่คือ สิ่งที่ต้องทำ ต้องมีคู่กัน เพราะ การ "ถ่ายทอดจิตวิญญาณสู่ร่างผู้อื่น" ก็อาจทำให้อายุขัยท่านลดลง จน ถึงขั้นตายได้ในเวลาไม่นาน ถ้าท่านต้องการยืดอายุขัยของท่าน ก็ต้องไป รับเอา "จิตวิญญาณที่ตกค้างในโลก" มาเสริมร่างกายท่านต่อไป ซึ่งหาก ท่านไปรับเอาจิตวิญญาณมนุษย์มา ท่านก็จะทำร้ายมนุษย์คนนั้นให้มีอายุ ขัยสั้นลง จนอาจถึงแก่ความตายได้ (ผลไม่ต่างจากมหาเวทย์ดูดดาว) นี่ จึงเป็นเหตุให้ท่านควรใช้จิตวิญญาณที่ไม่ใช่มนุษย์ และเมื่อท่านได้เสริม อายุขัยตัวเองด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ท่านก็จะอยู่ในสภาพกึ่ง คนกึ่งปีศาจ ดังนั้น ท่านต้องทำการชำระล้างจิตวิญญาณนั้นๆ ให้เกิดใหม่ อีกด้วย จึงจะทำให้จิตวิญญาณดวงนั้นกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และทำ ให้ท่านกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งได้ โฮ่ วิธีการยาวจริงๆ ครับ (วิธีการส่วนหลังนี้ ในคัมภัร์มรกต ก็ไม่มีบอกไว้นะครับ มีอยู่ในที่อื่นอีกที)


เมื่อท่านมีอายุยืนยาวแล้ว ก็ควรไม่แก่ และมีเงินใช้ด้วยนะคร้าบ...


สุดท้าย เมื่อท่านสำเร็จวิชาต่ออายุขัยด้วยการเสริมด้วยจิตวิญญาณ ดังกล่าวแล้ว ได้ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แล้ว ก็ยังมีปัญหาอีกว่าแล้ว เมื่ออายุมากๆ ไม่แก่แย่หรือ? ดังนั้น ท่านจำต้องฝึกวิชาอำมฤติอีกนะ คือ วิชาที่ทำให้ร่างกายไม่แก่เฒ่า เหมือนเราหยุดอายุตัวเองไว้ ไม่มี มากไปกว่านั้นได้ หรือเคลื่อนวนย้อนกลับมาสู่ความเป็นเด็กอีกครั้ง ก็ ยังได้ นั่นแหละ ทีนี้ พอไม่แก่ ไม่ตายแล้ว ก็ต้องมีเงินใช้ ใช่ไหมครับ? เพราะถ้าอยู่ไปนานๆ บนโลกแบบไม่มีเงินใช้ แถมต้องทำงานหนักไป ตลอดชีวิต ก็สู้ตายๆ ไปซะดีกว่า ฮ่าๆๆๆ ขึ้นสวรรค์ดีกว่าใช่มั้ยละครับ ถ้าจะอยู่นานๆ บนโลก ก็ต้อง "มีเงินใช้ด้วย" ซึ่งผมแนะนำพลังไซย่า ให้คุณ เพราะมันเป็นพลังที่ทำให้คุณมีเงินใช้ โดยไม่ต้องทำงานอะไร มากมาย ถ้ามีเงินใช้เพราะทำงานหนักทั้งวัน อันนี้ ตายไปสวรรค์ดีกว่า คุณว่ามั้ยละครับ? เอาละ ที่ผมบอกมาทั้งหมดนี้ เหมาะกะคนบางคนที่ น้อยมากๆ ที่สมควรอยู่บนโลกนี้นานๆ โดยไม่กระทบโลกนักเท่านั้นเอง คนที่อยู่นานๆ แล้วสร้างผลกระทบโลกมาก ก็อย่าอยู่นานเลย ตายๆ ไป ซะเหอะ ว่ะ ฮ่าๆๆๆ (อย่ามีทัศนคติเชิงลบกับความตายละเดี๋ยวจะกลาย เป็นจิตวิญญาณอำมตะประจำดาวโลก ไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิใหม่ซะที)


จบได้แย้ววววว ...


13 ต.ค. 2555

"เสียงจากจิตอำมตะ"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ยิ่งฝึกยิ่งเพี้ยน ไม่ต้องไปฝึกอะไรทั้งนั้น (เคล็ดลับวรยุทธ์ของหลวงจีนกวาดลาน)

ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาสาระ ผมแนะนำก่อนว่า นี่เป็นเคล็ดลับการฝึกจิต ให้มีพลังภายในที่ ดีที่สุด เจ๋งที่สุดเลย จากหลวงจีนกวาดลาน หรือหลวงจีนนิรนาม ในเรื่อง ๘ เทพอสูรมัง กรฟ้า นั่นเอง หลักการฝึกงานมากครับ คือ "ฝึกโดยไม่ฝึก - ปฏิบัติโดยไม่ปฏิบัติ" นั่น แหละ เคล็ดลับของท่านละ วันนี้ ผมเลยเอา มาเล่าให้ฟังกันครับ


ทำไม ยิ่งฝึกกลับยิ่งเพี้ยน พอไม่ฝึกแล้วกลับสำเร็จได้ละ?


อ่า ถ้าคุณเคยอ่านหรือดูหนังกำลังภายในเรื่องแปดเทพอสูร มังกรฟ้ามาแล้วละก็ ก็คงจะทราบว่าในเรื่องนั้น มีคนอยู่สอง คนที่แอบขโมยอ่านคัมภีร์ของเส้าหลินไปมากมาย เอาไปฝึก จนเก่งเลย ทว่า เขาทั้งสองคนกลับต้องได้รับผลกระทบข้าง เคียงจากการฝึกนั้น เพราะอะไรละครับ? ก็เพราะอะไรที่มัน ไม่ใช่ธรรมชาติ มันก็จะขัดแย้งกับธรรมชาติแล้วมันก็จะเล่น งานธรรมชาติภายในเราภายหลัง นั่นเอง อาทิเช่น การที่ไป ฝึกลมหายใจ กำหนดให้มันเข้าหรือว่าออกให้มันเป็นยังไงก็ ช่างเถอะ ล้วนไม่เป็นไปตามธรรมชาติปกติของมนุษย์ แม้ว่า มันจะทำให้คุณได้ฤทธิ์, ได้อภิญญา, ได้อะไรๆ ที่พิเศษมาก็ ตาม ทว่า สิ่งที่คิดขึ้น, ทำขึ้น, กำหนดขึ้น อย่างไม่เป็นธรรม ชาติ นี้เอง ที่กลายเป็นผลร้ายทำลายผู้ฝึกในภายหลังเอง ? ทว่า ในคนที่เข้าใจจริงๆ ไม่ต้องฝึกอะไร ก็เหมือนฝึกอยู่ทุก วัน ทุกเวลา ดังนั้น หลวงจีนกวาดลานที่เอาแต่กวาดลานวัด ไปวันๆ เหมือนไม่ได้ฝึกยุทธ์อะไรกับใครเลย จึงกลายเป็นผู้ ที่มีพลังวัตรสูงสุดได้โดยไม่มีปัญหาอะไรจากการฝึกนั้นเลย


ใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ไม่ได้ฝึกอะไร ก็ได้ผลได้เช่นกัน?


ต่อไป การฝึกโดยไม่ฝึก, ปฏิบัติโดยไม่ปฏิบัติ นี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ เมื่อบุคคลมีปัญญาเข้าใจในธรรมะ ธรรมชาติจริงๆ เมื่อนั้นแม้ว่า เขาจะไม่ได้ฝึกอะไรเลย แค่ใช้ชีวิตปกติตามธรรมชาติ กลับเป็น ว่าเขาฝึกอยู่ทุกขณะจิต, ทุกเวลา นี่ต่างจากคนที่ฝึกอย่างมีรูป แบบ ที่พวกนั้น จะมีเวลาฝึกและเวลาที่ไม่ได้ฝึกอยู่ ดังนั้น เวลา ในหนึ่งวันของเขาจึงไม่ได้ฝึกตลอดเวลา แต่ละวันที่เสียไปของ เขาจึงถูกลดทอนลงไปโดย "ช่วงเวลาที่ไม่ได้ฝึก" ดังนั้น เวลา ของผู้ที่ฝึกโดยไม่ฝึกนี้ จึงยาวนานกว่า พลังวัตรสะสมที่ได้ย่อม จะมากกว่าเป็นธรรมดา อีกทั้งการฝึกโดยไม่ฝึกนี้ กลับทำให้ไม่ ผิดธรรมชาติ, ไม่เสียสมดุลเดิม ของธรรมชาติไป จึงไม่เกิดผล กระทบด้านลบต่อผู้ฝึกพลังจิต, พลังภายใน, พลังปราณใดเลย


ธรรมชาติจัดสรรให้ทุกคนได้รับการฝึกที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดใหม่


ต่อไป คือ ธรรมชาติได้จัดสรรให้มนุษย์ได้รับการฝึกที่เหมาะสมกับภารกิจ ของเขาอยู่แล้ว โดยไม่ต้องไปคิดค้นวิธีการฝึก, รูปแบบการฝึก ฯลฯ อะไร ใดๆ อีกเลย ถ้าเราเข้าใจธรรมชาตินี้ได้ เราก็จะพัฒนาไปได้เอง โดยไม่ใช้ การฝึกอะไรเลยก็ได้ อย่างที่หลายท่านทราบดีแล้วว่าโลกได้รับการเปลี่ยน แปลงอะไรหลายอย่าง ให้ได้รับพลังจักรวาลมากมาย และพลังเหล่านี้เอง ก็ขับเคลื่อนมนุษย์ให้ได้รับการฝึกอย่างเป็นธรรมชาติ ไปในตัวเองแล้วด้วย มันจึงไม่ต้องมีการฝึกแบบใดๆ รูปแบบการปฏิบัติ หรือการทำสมาธิในแบบ ใดๆ เลย เมื่อบุคคลเข้าใจ ถึงตรงนี้ได้ ก็จะไหลไปตามธรรมชาติ และได้รับ พลังธรรมชาติโดยไม่ต้องฝึก ทั้งยังได้รับอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลาด้วย


จักรวาลได้ออกแบบ "โลก" นี้ให้กลายเป็นสนามฝึกพิเศษทุกที่, ทุกเวลา


ต่อไป คือ จักรวาลได้ออกแบบโลกไว้อย่างดีและสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้มวล มนุษย์ได้รับการฝึกตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการฝึกแบบใดอีก ไม่ต้อง คิดค้นวิธีการฝึกจิต, ฝึกตน, ฝึกสมาธิ ฯลฯ อะไรขึ้นมาเลย ทุกอย่างล้วน เป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว มันดำเนินอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อใดที่คน ออกห่างจากธรรมะ ธรรมชาติ เขาก็เหมือนหยุดฝึก หรือฝึกผิดทางไปเอง ทำให้แทนที่จะพัฒนาและยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นได้ กลับกลายเป็นต้อง เสียโอกาสดีๆ ที่จะได้รับการฝึกนั้นๆ ได้รับพลังพิเศษไปได้ในที่สุด นั่นเอง ทุกอย่างในโลกขณะนี้ ดีอยู่แล้ว, พร้อมอยู่แล้ว, สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่เว้น แม้แต่เมื่อเกิดภัยพิบัติ นั่นก็คือ แบบแผนการฝึกอย่างหนึ่งจากจักรวาลนี้ เช่นกัน ดังนั้น ผมจึงกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าไม่ต้องไปคิดค้นหรือหาวิธี การฝึกพลัง, ฝึกจิต, ฝึกตน ฯลฯ อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องเลย เพราะมันมี อยู่แล้ว และเตรียมไว้ให้อย่างดีแล้วทั้งสิ้น เพียงคุณเห็นและเข้าใจมันเอง เท่านั้นก็พอ เมื่อคุณอยู่ในกระบวนการฝึกนี้ได้ตลอด คุณก็จะก้าวหน้าเอง


เมื่อฝึกผิดจนเกิดปัญหา จึงต้องเกิดวิชาฟอกไขกระดูก เปลี่ยนเส้นเอ็น


ต่อไป คือ คุณคงเคยได้ยินสุดยอดวิชาเส้าหลิน เปลี่ยนเส้นเอ็นและฟอก ไขกระดูก บ้างใช่ไหมครับ นั่นแหละ วิชาที่เอาไว้ใช้ล้างผลของการฝึกที่ ผิดทาง อย่างที่คุณเห็นในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าที่หลวงจีนกวาดลาน ได้ใช้วิชาบางอย่าง ทำให้คนที่ผิดวิชาไปผิดๆ ตายแล้วเกิดใหม่ ล้างวิชา ที่ฝึกมาผิดๆ นั้น (ซึ่งก็คือ อวิชชา นั่นเอง) เพราะพวกเขาฝึกแล้วทำให้มี ผลกระทบข้างเคียง ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ดังนั้น จึงต้องใช้วิชาเปลี่ยนเส้น เอ็น ฟอกไขกระดูก ในการล้างพิษอันเป็นผลจากการฝึกเหล่านั้นเสีย หาก พวกเขาไม่ได้ฝึกผิดเพี้ยนไป เขาก็ไม่ต้องพึ่งพาวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น, ฟอก ไขกระดูก นั้นเลย ดังนั้น ผมจึงสรุปไว้ว่าฝึกโดยไม่ต้องฝึก, ปฏิบัติโดยไม่ ต้องปฏิบัติ เพราะในยุคสมัยนี้ ยากที่จะหาใครมาแก้ไขผลร้ายอันเกิดจาก การฝึกที่ผิดพลาดของท่านได้ เพราะไม่มีผู้สืบทอดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นและ วิชาฟอกไขกระดูกในระดับที่สามารถรักษาให้ท่านได้ง่ายๆ อีกแล้ว นั่นเอง


การฝึกจิตที่ผิดพลาด อาจไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย แต่จิตใจก็...


ต่อไป คือ การฝึกจิตที่ผิดพลาดนั้น แม้ว่าบางอย่างไม่ส่งผลกระทบ ต่อร่างกาย ก็ตาม ทว่า ก็อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ เช่น ทำให้มี ความหลง คิดว่าตนเองได้บรรลุอรหันต์แล้ว ก็มีได้ เป็นได้ ทั้งยังอาจ ส่งผลกระทบต่อไปอีกถึงขั้น ทำให้มีพฤติกรรม การดำรงชีพที่เพี้ยน ไปจากเดิมได้ ซึ่งในสมัยโบราณคนมากมายอยากได้ฤทธิ์เดช เมื่อมี วิชา ฝึกแล้วได้ฤทธิ์เดชได้จริง ทว่า กลับต้องได้รับผลข้างเคียงตาม มาด้วยเสมอ ดังนั้น การฝึกที่ดีที่สุด จึงกลายเป็นการไม่ฝึกอะไรเลย แต่ใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมะ ธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ก็จะกลาย เป็นการฝึกตลอดเวลา ทุกวัน ทุกสถานที่ได้ แม้แต่ในยามที่นอนหลับ ก็กลายเป็นการฝึกพลังจิตได้เช่นกัน นี่แหละคือเคล็ดลับที่สำคัญที่สุด


"ดาวฤษี" ดาวแห่งดาบส, การฝึกตน, การสอนสมาธิ แต่ไม่ใช่ที่สุด?


สุดท้าย คือ การฝึกตน ก็ดี, ฝึกจิต ก็ดี, ฝึกสมาธิ ก็ดี ฯลฯ ล้วนมาจาก พลังของดาวฤษี ทั้งสิ้น ซึ่งพลังของดาวดวงนี้ ไม่ใช่พลังอันเป็นที่สุด เลย แต่จะทำให้ท่านที่ถูกพลังนี้ครอบงำต้องปฏิบัติอะไรมากมายไปซะ หมด พลังของดาวฤษีนั้น ยังไม่สูงเท่าพลังของดาวสุริยะเลย ทั้งยังไม่ อาจไปเทียบได้กับดาวไซย่าด้วย ดังนั้น จึงไม่ต้องเอ่ยถึงนิพพาน ด้วย พลังของดาวฤษีนี้ ยังไม่ได้นิพพาน ยังไม่ใช่นิพพานนี่เอง แต่จะนำพา ท่าน "ไปติดดาว" คือ ไปจุติและดำรงอยู่ในดาวฤษีนี้ ยาวนานนักหนา ไม่ได้มีความก้าวหน้าในธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งนี่ก็ไม่ได้ผิดหรือถูกอะไร เป็นเพียงธรรมะ ธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่ผมได้เอามาเล่าให้ได้ ฟังกันว่าเมื่อสร้างเหตุอย่างนี้ๆ ไว้แล้วผลจะออกมาอย่างไรก็เท่านั้นเอง


12 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ไม่ได้โม้นะ! ความไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ห่วยแตก ของใครๆ นั้น มันยอดอยู่แล้วพวกเอ้ย

เฮ้นี่ มีใครกำลังคิดอยากจะทำให้ความ ไม่ดีในตัวเองทั้งหลาย ความไม่ได้เรื่อง ความห่วยแตก ฯลฯ ทั้งหลายในตัวเอง หมด หายไป บ้างหรือเปล่า? หรือใครที่ พยายามขจัดมันออกไปบ้างไหม? เช่น พยายามขจัดความทุกข์, ความเครียด, ความหมองเศร้า, ความหม่นหมอง ฯลฯ ออกไปอะไรแบบนั้น ไม่น่า พวกเอ้ย เอ็ง คิดผิดแล้ว ทุกอย่างมันคือธรรมะ ธรรม ชาติ อย่าไปปฏิเสธตัวเองเล้ย เอ็งน่ะ มี ความเลว, ทุเรศ, ห่วยแตก, ไม่ได้เรื่อง อะไรต่อมิอะไร ก็ช่าง นั่นแหละ ยอมรับ สิ่งที่ตัวเองเป็นซะ ทั้งหมด ทุกอย่างน่ะ แหละ เพาะอะไรละ? แหม ของดีทั้งนั้น เดี๋ยวจะโม้ให้ฟังแบบซุปเปอร์เม้าท์เลย


ตัวตนหลากมิติของคุณอาจกลายเป็นทาสซาตาน เมื่อคุณปฏิเสธมัน?


เฮ้แล้วฉันไปปฏิเสธมันตอนไหนละ? อ้าวก็ตอนที่เอ็งปฏิเสธส่วนที่ไม่ดี ในตัวเองน่ะแหละ เช่น ปฏิเสธความทุกข์, ความเศร้าหมองของตนเอง ที่ไหนได้ละ ความทุกข์ความเศร้าหมองนี่ มันมีที่มาจาก "ตัวตนหลาก มิติของคุณเอง" เมื่อคุณปฏิเสธมัน คุณอาจสูญเสียตัวตนในระดับจิต วิญญาณแก่ซาตานไปแล้วได้สิ่งอื่นที่คุณต้องการมาแทนเช่น ได้ตัวตน ที่ดูแฮปปี้มากๆ ทว่า คุณไมได้บรรลุธรรมอะไรหรอกนะ มันก็แค่เปลี่ยน ตัวตนต่างมิติเท่านั้น และแย่ไปกว่านั้นคือ ตัวตนของคุณแต่เดิมที่มีความ หม่นหมองนั้น กลายเป็นทาสซาตานไปแล้ว เพราะคุณยอมให้มันไปเอง เขาเลยเอาไป คุณต้องการความสุขผ่องใส คุณก็ได้รับมา แต่ทว่า มันก็ มาจากตัวตนในโลกมืดที่แฮปปี้มากๆ เท่านั้นเอง แต่มันไม่ใช่ของดี หรือ ตัวตนที่บรรลุธรรม สว่างไสวอะไรหรอกนะ มันก็แค่ "ตัวตลกตัวหนึ่ง" ที่ ทำให้คุณขำๆ ได้ก็เท่านั้นเอง นี่หละ ผมจึงเริ่มต้นด้วยการเตือนคุณว่ามิ ควรที่คุณจะปฏิเสธ "ความไม่ดีหรืออะไรๆ ในตัวของคุณเองเลย" โอเค?


"พระอรหันต์จอมปลอม" ถูกปั้นโดยซาตาน เมื่อเขาปฏิเสธกิเลสตัวเอง


มันไม่จบแค่นั้นนะซาร่าห์ เพราะคนมากมายที่อยากได้อรหันต์และคิดจะ ตัดกิเลส หรือทำให้มันหมดไปนั้น พอเขาเพียรพยายามแรกๆ มันยังไม่มี อะไรเข้าตาซาตาน เขาก็ไม่สนใจ รอก่อน รอให้มันพยายามต่อไป ให้มัน มีบารมีมากอีกหน่อย โตพอเก็บเกี่ยวได้อีกหน่อย พอได้ที่ละ ซาตานก็จะ แลกเปลี่ยนให้ โดยเอา "จิตภาคแบ่งส่วนที่มีกิเลส" ไปเป็นทาสในภพมืด แล้วเอาตัวตนที่เป็นบริวารโลกมืดเข้ามาแทนที่ ให้มีหัวโขนที่ดูเหมือนกับ พระอรหันต์เลย เขาก็เลย "ปั้นพระอรหันต์ได้" อย่างไรละ? นั่นน่ะ ไม่ใช่ พระอรหันต์อะไรหรอก แค่คนที่แลกเปลี่ยนจิตวิญญาณกะซาตานไปโดย ที่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง พอสูญเสียจิตวิญญาณภาคแบ่งส่วนที่มีกิเลสไป ก็ เหลือแต่ส่วนที่ใสบริสุทธิ์มากๆ ไร้กิเลส ก็เลยคิดว่าบรรลุธรรมละตูแล้วก็ ตามมาด้วยการ "ถูกแทรกด้วย จิตวิญญาณฤษี ภาคมืด" ทำให้หลงคิด ไปว่า "ฉันบรรลุได้ด้วยมรรควิธี, ด้วยสมาธิ, ด้วยเหตุนั้นเหตุนี้ฯ" ไม่น่ะ ซาร่าห์นั่นมันไม่ใช่วิถีการบรรลุธรรมอะไรเลย นิพพานไม่มีเหตุเกิดได้นะ ถ้านิพพานมีเหตุเกิดได้ มันก็ต้องดับได้ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาตรัสเรื่อง นี้ชัดเจน พระอัสสชิก็บอกแก่พระสารีบุตรแต่แรกพบเลย นิพพานนั้นมัน ไม่มีเหตุเกิด แล้วใครจะไปสร้างเหตุเพื่อให้เกิด ให้ได้นิพพานได้เล่า ใน เมื่อมันเป็นเช่นนั้นเอง มานานแล้ว ไม่ใช่แต่ในอดีตเท่านั้น ไม่ว่าปัจจุบัน หรืออนาคต ก็เหมือนเดิม เช่นเดิมเช่นนั้น ไม่ขึ้นกับกาลและสถานที่ใดๆ อีกด้วย คือ ไม่ต้องนั่งขี่ม้าไปเมืองนิพพานที่ไหนหรอกจ๊ะ มันไม่ได้ขึ้นกะ ภพอยู่แล้ว มันจะหาที่ หาบริเวณ หาอาณาเขต หาเมือง หาสวรรค์วิมาน อะไรได้ที่ไหนกะนิพพานเล่า? โอ้ย มีสาระมากไป ขอโทษๆ ไม่ได้เจตนา


คนมีปัญญาเขายอมรับทุกอย่างได้ทั้งนั้นแหละ ใครสอนให้ปฏิเสธกิเลส?


อาวละ คนที่มีปัญญาเขาจะเห็นชัดว่า "ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมะ ธรรมชาติ" ทีนี้ เมื่อเขายอมรับในธรรมะ ธรรมชาติ เขาจะไปปฏิเสธ หรือไม่เอาอะไรงั้น หรือ? ไม่เลย แม้แต่กิเลส, อวิชชา, ทุกข์, ขันธ์ห้า ฯลฯ อะไรต่อมิอะไร นั้น ก็ธรรมะ ธรรมชาติทั้งนั้น คนมีปัญญาก็คือคนที่ยอมรับความจริงครับ แล้ว อะไรคือความจริงละ? แหม ทุกอย่างมันก็จริงหมดแหละ เพียงแต่มันจริงที่ มิติไหน? จริงแบบใด? เช่น จริงแบบโลกๆ, จริงแบบสมมุติๆ, จริงตามฝัน, จริงตามจินตนาการ, จริงตามการโกหก หรือว่าจริงแบบวิมุติ ฯลฯ อาวละ มันก็จริงกันทั้งนั้น เพียงแต่เป็น "ความจริงในมิติที่ต่างกัน ก็เท่านั้นเอง" ก็ ไต่ระดับไปให้เลยระดับมิติที่ ๕ ก่อนนะจ๊ะ แล้วจะเข้าใจความจริงในแบบนี้ เองละจ้า ดังนั้น การเริ่มต้นไปอ่านตำรา เขาว่ามาว่ากิเลสไม่ดี เป็นของทำ ให้เกิดผลเลวร้ายอะไร? มันก็เกิดทัศนคติเชิงลบ เอนเอียงไปแล้ว แล้วมัน ก็เอาจุดเริ่มต้นจาก อวิชชา จากความเอนเอียงนี้แหละ ไปปฏิบัติ มันก็เลย เข้าทางซาตานซะเลย มันไม่ใช่ "มรรค" ที่แท้จริงหรอก ตื่นได้แล้วนะจ๊ะ!


ยอมรับซะเหอะ เราต่างก็มีตัวตนที่บ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ กันทั้งนั้น


อาวละ ทีนี้ ตัวตนในมิติต่างๆ ของคุณๆ ทั้งหลายนั้น ถูกพระผู้สร้าง สร้างมาให้ครบองค์ทุกมิติ เพื่อให้คุณเข้าใจเพื่อนมนุษย์ทุกคน และ ทุกแบบ ดังนั้น เราทุกคนจึงมี "ตัวตนทุกแบบทุกมิติ" ไม่ว่าจะเป็นตัว ตนที่บ้า, ที่หลง, ที่ห่วยแตก, ที่เลว, ที่มืดมน ฯลฯ เรามีกันหมด และ มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะมาชำระล้างตัวตนในมิติต่างๆ เพื่อรวบรวม ตัวตนของเราให้เป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่า The one ซึ่งทุกคนสามารถ เป็น The one ได้ ในแบบของตัวเอง เมื่อเขาคนนั้นได้ทำหน้าที่รวบ รวมเศษตัวตนอื่นๆ ในมิติต่างๆ ของตัวเองให้เป็นหนึ่งได้ เขาก็จะเป็น The one ได้ ในแบบของเขาเองได้ แต่ถ้าเราปฏิเสธสิ่งไม่ดีในตัวตน ของเรา เราก็จะสูญเสียตัวตนที่ไม่ดีนั้นไป ทว่า ตัวตนนั้นไม่ดีจริงๆ แค่ ไหน? เช่น เทพหมู อาจไม่ดีที่ขี้เกียจ, เอาแต่กินกับนอน ทว่า เขาก็มี ความเป็นเทพและมีข้อดีอะไรอีกมากมาย ถ้าคุณเสียเขาไปแล้วคุณก็ จะสูญเสียส่วนดีของเขาไปด้วย และนั่น ก็ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาหรือ บรรลุธรรมอะไรเลย เป็นวิถีของคนโง่ที่เสียอะไรไปยังไม่รู้ตัวตะหากละ


ถึงเวลาใช้ "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" อย่างผู้มีปัญญากันแล้ว


อาวละ ทีนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะหันมาใช้ทุกอย่างที่เราได้รับมาจากธรรม ชาติของเรา อย่างผู้มีปัญญา คำว่าอย่างผู้มีปัญญานั้น ย่อมใช้อย่างมี สติ มีปัญญา ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป มีคำกล่าวว่า "ถ่อมตนเกิน ไปคือ ความทนงตนอย่างหนึ่ง" นั่นแหละ อะไรที่มันมากเกินไปหรือว่า น้อยเกินไป มันก็ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาทั้งนั้น แม้แต่ความดี, ความมี เมตตา ถ้ามากเกินไป ก็กลายเป็น "ตรงข้ามได้" นะจ๊ะ เช่น ถ้าแม่นั้น รักลูกมากเกินไป อาจทำให้เด็กอ่อนแอ นั่นกลายเป็นว่าแม่ทำร้ายเด็ก ก็ได้? โอเค? มันมากเกินไปไงละ มันไม่พอดีไงละ นั่นแหละ ความดีก็ มีพิษได้เหมือนดีนกยูงไงล่ะ ทีนี้ เมื่อมีปัญญาแล้วก็เห็นชัดอย่างนั้นว่า ทุกสรรพสิ่งก็คือ ธรรมะ ธรรมชาติ อยู่แล้ว เป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว หามี ความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บวก, ลบ ฯลฯ ในสิ่งนั้นๆ เองไม่ มันคือ ธรรมะ ธรรมชาติล้วนๆ ที่บริสุทธิ์ในตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งให้มี ความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บวก, ลบ ฯลฯ อะไรๆ อีก มันก็จบสมบูรณ์แล้ว


"ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วนเป็นธรรมชาติที่มีหน้าที่ของมันเอง


เอาละ ทีนี้ "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ทั้งหลาย ก็ล้วนเป็นธรรมะ, ธรรมชาติที่มีหน้าที่ของมันเอง มีเหตุผลในตัวเอง ที่มันต้องมี, ต้องเกิด, หรือว่าต้องดับไป ก็ตามที เป็นเช่นนี้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องให้คน ไปทำกรรมให้มัน "เกิดขึ้นหรือดับไป" ก็หาไม่ นั่นคือ ไม่ใช่หน้าที่อะไร? ที่เราจะต้องไปทำให้อะไรมันดับเลย เราไม่จำเป็นจะต้องไปตัดกิเลส หรือ ว่าทำกรรมอะไรให้อะไรมันสิ้นไป สูญไปเลย เพราะมันก็เป็นของไม่เที่ยง อยู่ในตัวมันเองแล้วทั้งนั้น มันเป็นธรรมะ เป็นอนิจจัง เป็นตัวที่เกิด แล้วมัน ก็เป็นตัวที่ดับ จบของมันเอง ทุกอย่างมันก็แค่ลีลาทางธรรมะ ธรรมชาติที่ มองเปลือกนอกแล้วเห็นสมมุติเป็น "มายาหลอกหลอนเกิด-ดับ" วนเวียน ไปอยู่นั่น ทั้งหมดที่เห็นนี้ "ล้วนไม่ใช่วิมุติ ล้วนไม่ใช่นิพพาน" มันเป็นแค่ เปลือกนอก เป็นแค่สมมุติ เป็นแค่ภาพมายา หาใช่ความจริงแท้ไม่ ก็เท่านี้ แท้แล้วมันจริงอยู่แล้วทั้งนั้น แท้แล้วมันนิพพานอยู่ในตัวเอง อนิจจังอยู่ใน ตัวมันเอง ทุกอย่างอยู่แล้วทั้งนั้น ไม่ใช่สาระอะไรที่เราต้องไปทำกรรมใดๆ ให้มันเป็นอะไร อย่างไรไปเลย พระพุทธเจ้าก็แค่แสดงสิ่งที่เป็นจริงอยู่แล้ว มันก็จริงอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย มันก็จริงของมันอย่างนั้น แล้วนี่เราจะต้องไปทำอะไรๆ กะมันอีกเล่า? ในเมื่อมันก็เป็นธรรมอยู่แล้วนี่


"ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วนมีค่า ขายให้ซาตานได้ทั้งนั้น?


สุดท้าย อยากจะเตือนท่านไว้ว่า "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วน มีคุณค่าในตัวมันเอง เฉกเช่นเดียวกันกับคนบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ ก็ มีคุณค่าในตัวเองเช่นกัน และมันก็ขายให้ซาตานได้ด้วยละ เช่น ถ้าคุณ ไม่อยากได้ความเหลวไหลห่วยแตกแล้ว คุณเอาไปขายให้ซาตาน มันก็ จะเอาตัวตนส่วนที่มีความเหลวไหลห่วยแตกของคุณไป ไม่ว่าตัวตนนั้นๆ จะอยู่ในมิติใดก็ตาม แล้วคุณก็อาจได้สิ่งที่คุณต้องการมาได้ จากการได้ แลกเปลี่ยนกันครั้งนั้น ดังนั้น ถ้าคุณยังไม่ต้องการให้ตัวตนหลากหลาย มิติของคุณต้องลงไปกองรวมกันที่ "ภพมืด" ละก็ คุณก็ควรระวังการไม่ ยอมรับใน "ข้อด้อย, จุดอ่อน, สิ่งไม่ดี" ในตัวคุณเองด้วย เพราะสิ่งเหล่า นี้ "ล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันในทุกมิติ" แม้ว่าการกระทำของคุณนี้ จะปรากฏเฉพาะในมิติของคุณ แต่มันมีผลแน่นอนในทุกๆ มิติ รวมทั้งตัว ตนอื่นๆ ของคุณด้วย ที่อาจตกเป็นเหยื่อของคุณเองได้ แน่นอนว่ามันอาจ ทำให้ตัวตนปัจจุบันของคุณได้อะไรมามากมาย อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมี จะเป็นไปได้ เช่น คุณอาจชนะคดีได้โดยที่ไม่น่าเชื่อเลย อะไรแบบนี้ ทว่า คุณกำลังสูญเสียตัวตนในหลากหลายมิติของคุณไปทีละตัวตนๆ หรือไม่?


จบซะที..


11 ต.ค. 2555

"เสียงจากสามประสาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS