ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพ หรือทำงานทางโลกเสมอไป ก็ได้?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ ของ การดำรงอยู่ของมนุษย์ในโลกนี้ ที่ต่าง กันออกไป บางท่านสามารถดำรงอยู่ใน โลกนี้ได้ "โดยไม่ต้องมีอาชีพการงาน" แต่เขาก็มี "หน้าที่โดยธรรม" นะครับ เหมือนต้นไม้ เหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่ มันก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่นั่นแหละ ครับ ปกติ เราจะเห็นแต่ "พระ" คือ ผู้ที่ ไม่มีอาชีพแต่สามารถอยู่ได้ ทว่า ฆราวาส ก็สามารถอยู่อย่างนั้นได้ครับ เอาละ วันนี้ ผมจะมาคุยเรื่องนี้ให้ฟังกันแบบง่ายๆ ครับ


ระบบ "สัตว์สังคม" และการ "พึ่งพาอาศัยกัน" ถูกสร้างขึ้นในโลกนี้?


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ ในดาวดวงอื่น หรือโลกธาตุอื่นๆ หรือใน มิติทิพย์ของโลกนี้ ก็ดี "สัตว์ที่มีบุญ จะได้เสวยบุญของตนเอง" โดยที่ ไม่ต้องรอให้ใครมาให้ หรือผ่านการทำงาน ทำกรรมให้ได้มาแต่อย่างไร เพราะมาโดยผลบุญอยู่แล้ว อยู่เฉยๆ ก็มีปรากฏขึ้นมาเองครับ ทว่า ใน มิติทางกายภาพของ "โลกมนุษย์" จะแตกต่างไปจากนั้น ผู้มีบุญบารมี จะถูกกำหนดให้ไม่อาจที่จะอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ผลบุญออกดอกผลมาเอง ได้ แต่จะต้องได้รับผ่านระบบที่เรียกว่า "การพึ่งพาอาศัยกันของสัตว์โลก ซึ่งเป็นสัตว์สังคม" เช่น การเกิดขึ้นของทารกก็จะได้รับจากผู้อื่นก่อน ได้ รับจากพ่อแม่ ก่อน เป็นต้น ซึ่งการพึ่งพาอาศัยกันเป็น "ธรรมดาของโลก นี้" นะครับ ธรรมชาติเขาสร้างมาให้มีอย่างนั้น ไม่ให้มีบุญออกมาได้เอง เหมือนในมิติทิพย์ หรือในโลกธาตุอื่น เขาต้องการให้เกิดการพึ่งพากันใน หมู่สัตว์คือ สัตว์ที่มี "บุญน้อย-กรรมมาก" ก็จะได้รับบุญจากการให้ความ ช่วยเหลือ "ผู้มีบุญบารมี" ส่วนผู้ที่มีบุญบารมีแล้วจะไม่ได้รับบุญโดยการ เกิดเองมากนัก เพราะระบบนั้นเขาวางไว้ให้แก่ "พระปัจเจกพุทธเจ้า" นะ ครับ เช่น การเกิดขึ้นของป่าหิมพานต์ หรือป่าที่พระปัจเจกพุทธเจ้า จะเข้า ไปอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยพึ่งพาใคร แต่แบบนี้ ไม่ใช่ระบบส่วนใหญ่ เพราะ ระบบส่วนใหญ่ เขาวางระบบไว้ให้สัตว์โลกต้องพึ่งพาอาศัยกันนั่นเองครับ


การดำรงอยู่แบบ "นักบวช" หรือ "พราหมณ์" คือ การโปรดสัตว์โลก ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในโลกนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีบุญบารมี ไม่ต้อง มีอาชีพการงานทางโลกอีกแล้ว เขาได้สร้างบุญบารมี ได้ทำอะไรมาพอ สมควรแล้ว และเขาจะได้รับการจัดสรรให้ต้องอยู่ในอีกแบบหนึ่งคือ ให้ อยู่แบบ "เนื้อนาบุญของโลก" หรืออยู่แบบ นักบวช ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ บวชเป็นพระ ก็ได้ เช่น เขาอาจเป็นพราหมณ์, ฤษี เป็นต้น เอาละ เขาจะ ดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วย "การรับทักษินาทาน" จากผู้อื่น เพื่อทำตนเป็นเนื้อ นาบุญของโลก เป็นที่พึ่งพิงของสัตว์โลก พวกเขาจึงไม่ต้องทำงานทาง โลก หรือมีอาชีพใดๆ อีก ซึ่งมันจะเกิดขึ้นโดย "ธรรมชาติจัดสรร กรรม นำพา" ไม่ได้เกิดจาก "การก่อกรรมให้ได้เป็น" พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะ เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องการมีอาชีพเหมือนคนปกติ ทว่า มันจะไม่อาจ เป็นเช่นนั้นได้เลยครับ เพราะธรรมชาติได้จัดสรรให้เขาได้ทำหน้าที่ ซึ่ง สำคัญมากคือ "เนื้อนาบุญของโลก" ไปแล้ว เขาจึงต้องทำหน้าที่นี้ แม้ ว่าเขาจะไม่มีอาชีพใดๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีหน้าที่ ไม่ทำกิจ อะไร ไม่มีบทบาทอะไร ก็หาไม่ ตรงกันข้าม พวกเขามีหน้าที่ที่สำคัญมาก คือ การเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นที่พึ่งทางบุญให้แก่สัตว์อื่นครับ ถ้าไม่ มีพวกเขามารับทักษิณาทาน คนทางโลกก็จะอยู่อย่างยากลำบาก จะไม่ มีบุญเลี้ยงตัวและจะไม่สามารถทำหน้าที่ทางโลกได้ตามปกติดังเดิมก็ได้ ซึ่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นพระภิกษุเสมอไป สามารถเป็นฆราวาสก็ได้



การดำรงอยู่แบบ "นักบวช" หรือ "พราหมณ์" คือ การโปรดสัตว์โลก ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในโลกนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีบุญบารมี ไม่ต้อง มีอาชีพการงานทางโลกอีกแล้ว เขาได้สร้างบุญบารมี ได้ทำอะไรมาพอ สมควรแล้ว และเขาจะได้รับการจัดสรรให้ต้องอยู่ในอีกแบบหนึ่งคือ ให้ อยู่แบบ "เนื้อนาบุญของโลก" หรืออยู่แบบ นักบวช ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ บวชเป็นพระ ก็ได้ เช่น เขาอาจเป็นพราหมณ์, ฤษี เป็นต้น เอาละ เขาจะ ดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วย "การรับทักษินาทาน" จากผู้อื่น เพื่อทำตนเป็นเนื้อ นาบุญของโลก เป็นที่พึ่งพิงของสัตว์โลก พวกเขาจึงไม่ต้องทำงานทาง โลก หรือมีอาชีพใดๆ อีก ซึ่งมันจะเกิดขึ้นโดย "ธรรมชาติจัดสรร กรรม นำพา" ไม่ได้เกิดจาก "การก่อกรรมให้ได้เป็น" พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะ เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องการมีอาชีพเหมือนคนปกติ ทว่า มันจะไม่อาจ เป็นเช่นนั้นได้เลยครับ เพราะธรรมชาติได้จัดสรรให้เขาได้ทำหน้าที่ ซึ่ง สำคัญมากคือ "เนื้อนาบุญของโลก" ไปแล้ว เขาจึงต้องทำหน้าที่นี้ แม้ ว่าเขาจะไม่มีอาชีพใดๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีหน้าที่ ไม่ทำกิจ อะไร ไม่มีบทบาทอะไร ก็หาไม่ ตรงกันข้าม พวกเขามีหน้าที่ที่สำคัญมาก คือ การเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นที่พึ่งทางบุญให้แก่สัตว์อื่นครับ ถ้าไม่ มีพวกเขามารับทักษิณาทาน คนทางโลกก็จะอยู่อย่างยากลำบาก จะไม่ มีบุญเลี้ยงตัวและจะไม่สามารถทำหน้าที่ทางโลกได้ตามปกติดังเดิมก็ได้ ซึ่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นพระภิกษุเสมอไป สามารถเป็นฆราวาสก็ได้


การล่มสลายของพราหมณ์ ทำให้พราหมณ์เข้าแทรกในพระพุทธศาสนา


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ แต่ดั้งเดิมมาธรรมชาติสร้างให้โลกนี้มีเนื้อนาบุญ ที่เรียกว่า "พราหมณ์" ซึ่งไม่ใช่เรื่องการแบ่งแยกวรรณะ อย่างที่บางท่าน ถูกสอนจนฝังทัศนคติเชิงลบลงไปว่าระบบชนชั้นวรรณะเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ แท้จริงแล้ว มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการณ์นั้นเลย มันถูกสร้างมาอย่างดี ก็ เพื่อรองรับ "เนื้อนาบุญของโลกฝ่ายฆราวาส" ซึ่งจะมีมาเกิดอย่างแน่นอน แต่ด้วยผลกระทบจากการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา ทำให้ระบบวรรณะ ล่มสลายลงและผลกรรมนี้ "ย้อนหวนกลับคืนสู่พระพุทธศาสนา" เสียเอง ทำให้ "พราหมณ์และนักบวชนอกรีต" ไม่มีที่อาศัย ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ใน พระพุทธศาสนา อาศัยผ้าเหลืองห่มกายแทน ทั้งๆ ที่พวกเขานั้น มีจริตเป็น พราหมณ์ มิใช่พระ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีจิตตรงนิพพานเลย มีแต่จิตที่คิด สร้างทำสิ่งต่างๆ, รักษาสิ่งต่างๆ, ทำลายล้าง บางสิ่งบางอย่าง ฯลฯ ตาม วิถีแห่งพราหมณ์นั้นๆ ดังนั้น การช่วยเหลือพระพุทธศาสนาให้ผ้าเหลืองนี้ บริสุทธิ์ขึ้น จึงต้องดึงเอาพราหมณ์ออกจากหมู่พระ เพื่อให้ผ้าเหลืองแก่ผู้ ที่เป็น "พระแท้" เท่านั้น ดังเช่นที่พระอุปคุตและพระเจ้าอโศกมหาราชเคย ทำร่วมกัน ทว่า การจะสึกพระทั้งที่ไม่ผิดปาราชิก ก็ไม่ได้ และเมื่อพวกเขา ออกจากผ้าเหลืองแล้ว ถ้าไม่อาจดำรงอยู่ได้แบบนักบวช ก็ไม่ได้อีก ดังนั้น จึงจำเป็นต้อง "สร้างนักบวชฝ่ายฆราวาส" (ผ้าขาว) ให้ดำรงอยู่ได้ จึงจะ ทำการคัดเอาพราหมณ์ออกจากพระแท้ได้ในลำดับต่อไป พระพุทธศาสนา จึงจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และผู้สึกออกจากพระ ก็เป็นกำลังสำคัญใน การช่วยเหลือพระพุทธศาสนาได้ต่อไป นั่นก็คือการพึ่งพาอาศัยกัน นั่นเอง


การดำรงอยู่ของพราหมณ์ ที่ไม่ใช่วรรณะและไม่ใช่ศาสนาพราหมณ์


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ นักบวชฝ่ายฆราวาสหรือที่เรียกง่ายๆ กันว่า "พราหมณ์" นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นวรรณะใดวรรณะหนึ่ง หรือศาสนา พราหมณ์ ก็ได้ แต่หมายถึง การดำรงอยู่ของ "นักบวชฝ่ายฆราวาส" ซึ่ง ธรรมชาติจัดสรรค์แล้วให้อยู่บนโลกนี้ได้โดยที่ไม่ต้องมีอาชีพใดๆ ทั้งนี้ สวรรค์ได้พยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ "หลายชาติ" เพื่อแยกเอาผู้ ที่เป็นพราหมณ์ออกจากผ้าเหลือง ทำให้พระพุทธศาสนานี้บริสุทธิ์ขึ้น ทว่า ประสบความสำเร็จเพียงในชาติซึ่ง "พระอุปคุตและพระเจ้าอโศก มหาราช" ร่วมบารมีกัน เท่านั้นเอง แต่เพราะไม่มีการสร้างระบบรองรับ "เหล่าพราหมณ์ให้ดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ดังเดิม" ทำให้ เหล่าพราหมณ์ กลับเข้ามาสู่ผ้าเหลือง และพระพุทธศาสนาอีก ดังเดิม ดังนั้น การช่วย พระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ มีการปฏิบัติที่ถูกต้องตรงทางจึงต้องเริ่มต้น ที่การสร้างระบบรองรับ "เหล่าพราหมณ์" แล้วตามมาด้วยการสึก โดย สมัครใจของผู้ที่เห็นชัดเจนแล้วว่าตนปฏิบัติไม่ตรงตามคำสอนของพระ พุทธเจ้า หรือไม่ได้มีจริตที่จะเป็นพระภิกษุอย่างแท้จริง เพราะมีจริตเป็น พราหมณ์มากกว่า นั่นเอง ดังนั้น การเกิดขึ้นของ ระบบรองรับพราหมณ์ จึงไม่ใช่การทำลายพระพุทธศาสนา แต่เป็นการช่วยชำระความบริสุทธิ์ ให้แก่พระพุทธศาสนา เหมือนดังที่พระเจ้าอโศกมหาราชและพระอุปคต เคยได้ร่วมบารมีกัน กระทำจนสำเร็จมาแล้ว (แต่ยังไม่ครบถ้วน) นั่นเอง


การ "ยุติกรรม" ที่พระพุทธศาสนาทำให้วรรณะพราหมณ์ "ล่มสลาย"


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เพราะพระพุทธศาสนาเคยทำกรรมเอาไว้ ทำ ให้ระบบวรรณะสิ้นไป ด้วยความเข้าใจว่าระบบวรรณะคือสิ่งเลวร้าย ก็ ดี หรือเพราะไม่เจตนา ก็ดี แต่กรรมนั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และมีผลแล้ว นี่ จึงเป็นเหตุให้ "พราหมณ์ครอบงำพุทธ" ในเวลาต่อมา การเคลียร์พลัง งานกรรม พลังงานเก่าในเรื่องนี้จึงช่วยชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ ขึ้น ซึ่งเราต้องไม่ลำเอียง เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือพระพุทธศาสนา มากไป เพียงเพราะว่าเราเกิดชาวพุทธ อย่างนั้น จะยิ่งทำให้การแก้ไขมิ อาจทำได้ ไปใหญ่ จำต้องมีใจที่เป็นกลาง และมองเห็นกรรมอันเป็นเหตุ ต้นแต่เดิมที่ "ผูกกันมา" ให้ชัดเจนก่อน จึงจะแก้ไขให้ถูกต้องได้ ดังเช่น การนำ "ระบบพราหมณ์" มาคืนแก่เหล่าพราหมณ์เสีย ก็จะยุติกรรม ซึ่ง ดำเนินมา แต่ครั้งสมัยพุทธกาลได้ ทำให้เหล่าพราหมณ์ ไม่เข้าแทรกใน พระพุทธศาสนาอีกต่อไป เป็นการจบวงจรอุบาทว์ของพระพุทธศาสนาไป หนึ่งวงจร ซึ่งเราต้องเข้าใจ "สัจธรรมความจริงของโลกนี้" ด้วยว่า การ ที่โลกมีพราหมณ์มารับทักษินาทาน นั้นเป็นปกติของโลก ไม่ผิดแต่อย่าง ใด เคียงคู่ไปกับการมีพระพุทธศาสนา ก็ได้ แม้ว่าพราหมณ์เหล่านั้น จะมี พฤติกรรมที่แตกต่างไปจากพระ หรือมีสิ่งไม่ดีบ้าง แต่ถ้าพวกเขามีบุญที่ ได้ทำไว้แต่ปางก่อน ให้ได้รับทักษินาทานได้โดยไม่ต้องมีอาชีพใดๆ พวก เขาก็ย่อมสามารถรับได้ โดยไม่มีความผิดแต่อย่างใด ตราบเท่าที่ผลบุญ ของเขายังสนองผลอยู่ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะหมดบุญแล้ว ก็เท่านั้น


มนุษย์โลกเกิดมาต่างกันเพราะบุญกรรมต่างกัน ไม่ใช่เรื่องชนชั้นวรรณะ


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ มนุษย์โลกเกิดมาบนโลกนี้ด้วย "บุญกรรม" ที่ ต่างกัน จึงมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน ดั้งเดิมโลกจึงจัดสรรให้มีวรรณะ แต่อยู่กันได้อย่างดี ไม่มีการเหยียดชนชั้นวรรณะ แต่ภายหลัง เกิดปัญหา ระหว่างวรรณะขึ้น "ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาที่ตัวระบบวรรณะ" แต่มันเป็นด้วย "ตัวบุคคล" แต่ละบุคคลในวรรณะนั้นๆ ต่างหาก กระทำกรรมชั่ว ทำให้มี ปัญหาขึ้น และถูกคิดว่าสาเหตุมาจากระบบวรรณะ จึงทำให้มีการทำลาย ระบบชนชั้นวรรณะไป ด้วยข้อหาว่า เป็นระบบที่ทำให้คนถูกเหยียดหยาม หรือถูกแบ่งแยกให้แตกต่างกัน เอาละ ผมไม่ได้ต้องการรื้อฟื้นระบบวรรณะ เพื่อที่จะย้อนยุคถอยหลัง กลับไปสู่อดีต หรอกนะครับ ผมก็เพียงเล่าให้ฟัง ถึงความล่มสลายของระบบๆ หนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้ผิดที่ตัวระบบ แต่มันมาจาก ตัวบุคคลแต่ละบุคคลต่างหาก ที่มีทั้งดีและไม่ดี ปนๆ กัน และทำให้ระบบนี้ ต้องล่มสลายไป ที่ผมกล่าวมานี้ เพียงให้ท่านเข้าใจเป็นเบื้องต้น และสิ่งที่ ควรจะเกิดขึ้นต่อไป มันไม่ใช่ระบบชนชั้นวรรณะแต่เป็นการ "พึ่งพาอาศัย กันของสัตว์โลก" ที่มากขึ้นพอที่จะรองรับ "การดำรงอยู่ของนักบวชฝ่าย ฆราวาส" ได้ โดยที่เขาสามารถรับทักษินาทานจากผู้อื่นได้โดยไม่มีอาชีพ นี้ต่างหากที่ผมต้องการ ซึ่งมันสอดคล้องกับธรรมชาติของสัตว์โลกอยู่แล้ว


จงสร้างระบบ "พึ่งพาอาศัยกัน" ขึ้นมา ก่อนที่โลกจะฉิบหายด้วยปัจเจกฯ


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ โลกนี้จะอยู่ได้ สัตว์โลกต้องเข้าใจถึงการดำรง อยู่ร่วมกันแบบ "สัตว์สังคมที่พึ่งพาอาศัยกัน" คือสัตว์บางตนแม้ไม่ทำงาน ก็สามารถอยู่ได้ด้วย "ทักษินาทาน" จากสัตว์เหล่าอื่น นี่แหละ "เนื้อนาบุญ ของโลก" ที่จะทำให้โลกดำรงอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าขาด "เนื้อนาบุญเหล่านี้" แล้ว โลกก็คงต้องฉิบหายลงไป ไม่อาจอยู่ได้ด้วยแนวคิด "ตัวใครตัวมัน กู ทำงาน เงินของกู กูต้องได้" ความคิดเชิงปัจเจกชนเช่นนั้น ไม่อาจช่วยให้ โลกนี้ดำรงอยู่ได้เลย ความเห็นแก่ตัว หรือคิดเอาตัวรอดเฉพาะตนนั้นแหละ ที่จะทำลายโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือโลกนี้ให้ดำรงอยู่ ได้ต่อไป จึงต้องฟื้นฟู "ระบบพึ่งพาอาศัยกันของมนุษย์โลก" ซึ่งเป็นสัตว์ สังคม ให้กลับคืนมาให้ได้ การที่คนกลุ่มหนึ่งทำงานแล้วคิดว่าเงินของตน ที่ได้จากการทำงาน ก็ต้องเป็นของตนเท่านั้น เป็นความคิดที่ผิดมาก และ จะทำให้โลกนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว ดังนั้น ในบางศาสนาเช่นศาสนาอิสลาม จึงมีศีลธรรมชัดเจนว่าจะต้องบริจาค "ซะกาต" ประมาณ 10% ของเงิน ที่มีอีกด้วย นั่นแหละ วิถีที่ช่วยให้โลกนี้ยังคงดำรงอยู่ได้ ไม่ฉิบหายไปก่อน


ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยให้ท่านตื่นแจ้งฉับพลัน สวัสดี


27 ส.ค. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สร้าง "บุญบารมีพิสดาร" อย่างไร จึงกลายเป็น "มนุษย์ต่างดาว"

สวัสดีครับ วันนี้ เป็นเรื่องเกร็ดเล็กๆ ของการสร้างบุญบารมีนะครับ เพื่อให้ท่านที่อยากทราบความเกี่ยวข้องของการสร้างบุญบารมี และการเลื่อนระดับของจิตวิญญาณ จนถึงระดับที่เรียกว่า "ต่างดาว" ดังรายละเอียดที่ผมจะอธิบายง่ายๆ สบายๆ ดังนี้ครับ


"การสร้างบุญบารมี" ที่ช่วยในการเลื่อนระดับและไม่ช่วยเลื่อนระดับ


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ การสร้างบุญบารมีนั้น ถ้ามองในมุมของการเลื่อนระดับแล้ว จะมีสองแบบ คือ การสร้างบุญบารมีที่ไม่ช่วยให้มีการเลื่อนระดับ (ขึ้นแนวดิ่ง) แต่เป็นการ "ขยายวงบุญออกไปในแนวราบ" และการสร้างบุญบารมีที่ช่วยให้เกิดการเลื่อนระดับขึ้นไปในแนวดิ่ง แต่ไม่ขยายวงกว้างในแนวราบ อันนี้ แตกต่างกันนะครับ ยกตัวอย่างกรณีที่ 1 (ไม่เลื่อนระดับ) ก็เหมือนกับเทวดาที่ไม่ได้เลื่อนชั้นสวรรค์แต่มีบุญมากขึ้น มีอะไรๆ มากขึ้น มีบริวารมากขึ้น เป็นการขยายวงบุญในแนวราบครับและกรณีที่ 2 เหมือนกับเทวดาตนนั้นได้เกิดใหม่ในสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้น แต่ไม่มีวงบุญขยายมากขึ้นในแนวราบ ซึ่งกรณีหลังนี้ ช่วยให้มี "ธรรม" พัฒนามากขึ้นได้ด้วย คือ ยิ่งสูงขึ้นก็ใกล้นิพพานมากขึ้น



"การสร้างบุญบารมี" ที่ช่วยในการเลื่อนระดับจนถึงระดับมนุษย์ต่างดาว


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การสร้างบุญบารมีที่ช่วยในการเลื่อนระดับนั้นๆ สามารถยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ ให้ "เทียบเท่ามนุษย์ต่างดาว" ได้ โดยก่อนที่จะไปสู่จุดนั้นได้ มนุษย์ผู้นั้นต้องบรรลุ "สัจธรรมสากล-พื้นฐาน" เสียก่อน จึงจะไต่ระดับไปสู่จุดนั้นได้ ดังนั้น การสร้างบุญฐารมีแบบนี้ จึงมีเป้าหมายในเรื่อง "การบรรลุธรรม" เช่นกัน เมื่อบรรลุสัจธรรม-พื้นฐานแล้ว ก็สามารถเลือกได้ว่าจะตรงสู่ "นิพพาน" ภายใน 5,000 ปีเลยหรือไม่ ถ้าไม่รีบนิพพาน ก็สามารถเวียนว่ายตายเกิดในจักรวาลนี้ โดยจะจุติไปต่างดาว ในโลกธาตุใดโลกธาตุหนึ่ง นอกเหนือจากโลกธาตุนี้ ก็ได้ตามแต่บุญบารมีจะมี จะส่งผลถึงได้ ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้น พัฒนาไปเทียบเท่ากับ "มนุษย์ต่างดาว" ได้ ทั้งที่ยังไม่ตาย



"การสร้างบุญ" ช่วยขยายผลแนวราบ, "การสร้างบารมี" ช่วยแนวดิ่ง


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การสร้างบุญ กับการสร้างบารมี นั้นไม่เหมือนกัน คนที่มีบุญมากอาจมีบารมีน้อย ก็ได้, ส่วนคนที่มีบุญน้อย ก็อาจจะมีบารมีมาก ก็ได้ เพราะสองอย่างนี้ ไม่เหมือนกันแต่มักคู่กันไปเสมอๆ ในคนที่ทำบุญแล้วหวังผลบุญ เขาก็จะได้ผลบุญนั้นแต่เขาจะไม่ได้บารมีที่เรียกว่า "ทานบารมี" เลย เพราะเขายัง "อยากได้ผลบุญกลับคืนมาทุกครั้งที่ทำบุญ" ส่วนคนที่ทำบุญแล้วอธิษฐานอุทิศผลบุญให้ผู้อื่นนั้นจึงจะจัดเป็น "ทานบารมี" ได้ ซึ่งเมื่อทำแล้วเขาก็จะไม่ได้รับผลบุญ เพราะได้ยกให้แก่ผู้อื่นแล้ว (แต่ผู้รับ จะได้รับได้หรือไม่ ก็แล้วแต่ผู้รับ อีกเช่นกัน) แต่เขาจะได้ "บารมี" แทน แทนที่เขาจะได้เสวยผลบุญในสวรรค์ชั้นเดิมที่มีผลบุญมากขึ้น กลายเป็นว่าเขาอาจได้เลื่อนระดับไปสู่สวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นไปแทน แต่ผลบุญของเขาก็จะไม่มากขึ้น เพราะได้ยกให้แก่ผู้อื่นแล้ว



"มโนธาตุ" (จิต) ของมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ต่างกัน ทำไม?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ มโนธาตุ (จิต) ของมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาวนั้น ไม่ต่างกันเลย มาจากธาตุในจักรวาลนี้ ชนิดเดียวกัน ไม่ต่างกันส่วนที่ต่างกันนั้น "เป็นส่วนอื่น" คือ ส่วนสังขารขันธ์ ส่วนวิญญาณขันธ์เป็นต้น ดังนั้น มนุษย์จึงสามารถ "พัฒนาจิตวิญญาณตนเอง" เพื่อเลื่อนระดับให้ "เทียบเท่ากับมนุษย์ต่างดาว" หรือเข้าสู่ "มาตรฐานสากลของจักรวาล" ได้ โดยที่ยังมีบางส่วนเช่น สังขารขันธ์ที่ยังเหมือนเดิม แต่จิตวิญญาณของเขาก็เลื่อนระดับขึ้นไป เทียบเท่ากับมนุษย์ต่างดาวได้ เมื่อเขาละสังขารขันธ์นี้ไปแล้ว เขาก็ต้องจุติไปยัง "ต่างดาว" หรือโลกธาตุอื่น ซึ่งเหมาะสมกับวิวัฒนาการของเขา นี่คือ "การวิวัฒนาการ ในระดับจักรวาล" ซึ่งปวงสัตว์ทั้งหลาย ก็สามารถจุติไปมา เพื่อเกิดในดาวแต่ละดวงได้ จากดาวดวงหนึ่งไปสู่ดาวดวงหนึ่ง เราจึงเรียกการเวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ว่า "การท่องจักรวาล" เหมือนกับการท่องไปในวัฏฏสงสารนั้น



"วิญญาณธาตุ" (ธาตุที่ชอบเข้าไปรู้) สามารถพัฒนาเทียบเท่าต่างดาว


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เนื่องจาก "จิต" ของเราและมนุษย์ต่างดาว นั้นไม่ต่างกัน ดังนั้น สิ่งที่เราจะพัฒนาจึงไม่ใช่จิต แต่เป็นส่วนอื่นและไม่ใช่ที่สังขารขันธ์ด้วย เพราะเราเกิดมาเป็นคนมีสังขารแบบนี้แล้ว จะต้องใช้มันต่อไป ส่วนนี้เป็นส่วนที่ต้องเจริญเติบโตไปตามแบบมนุษย์โลก ทว่า ส่วนที่สามารถพัฒนาได้คือ "วิญญาณขันธ์" การพัฒนาวิญญาณขันธ์ให้เลื่อนระดับขึ้นไป นั้นสามารถทำได้ และทำให้เกิดวิวัฒนาการในระดับวิญญาณจนถึงระดับที่เรียกว่า "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์" คือมีหรือได้วิญญาณขันธ์ที่มีวิวัฒนาการสูงเทียบเท่า "สิ่งศักดิสิทธิ์" มาจาก "การกำเนิดใหม่" นั่นเอง ดังนั้น จึงส่งผลให้เรามีปัญญา, วิทยาการ หรือความรู้ ที่เทียบเท่าหรือไม่ต่างจากมนุษย์ต่างดาวได้ เพราะการพัฒนาที่ "วิญญาณขันธ์" หรือตัวธาตุที่ชอบเข้าไปรับรู้ นี่เอง เราไม่จำเป็นต้องไปพัฒนาที่จิต ซึ่งบริสุทธิ์เช่นกัน ไม่ต่างกัน อยู่แล้ว ซึ่งบางคนก็เรียกว่า "การซักฟอกธาตุขันธ์" ก็มี แต่จะไม่เรียกว่า "การชำระล้างจิต" นะครับ เพราะชำระล้างส่วนอื่น ไม่ใช่จิต


เมื่อท่านยกระดับวิญญาณขันธ์ของท่านขึ้นไปสู่ธรรม จึงจะถึงต่างดาว


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ ท่านจะไม่ได้รับวิทยาการจากต่างดาวที่แท้จริงและสมบูรณ์ครบส่วนได้ ถ้าท่านยังไม่ได้ธรรมในระดับพื้นฐานของโลก ถ้าท่านพยายามที่จะไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งวิทยาการจากต่างดาว ก็จะได้รับของที่ไม่แท้จริงไป เช่น วิทยาการจาก "ภาคมืด" แทน ซึ่งจะมีเนื้อหาไม่สมบูรณ์ ไม่ครบส่วน และนำพาท่านไปผิดทางได้ ดังนั้น ท่านจึงจำเป็นต้องเลื่อนระดับ ไปสู่การบรรลุธรรมให้ได้ด้วย ท่านจึงจะได้รับวิทยาการจากต่างดาวได้ และยิ่งท่านมี "ธรรม" มากเท่าใด ท่านจะยิ่งรับวิทยาการจากต่างดาวได้มากเท่านั้น ซึ่งส่วนนี้ไม่ใช่มาจากการสร้าง "บุญบารมี" โดยตรง แต่เป็นผลจากบุญบารมีส่งไป "ตรงทาง" อีกด้วย


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล จงช่วยยกระดับจิตของท่าน สวัสดี



26 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คนเราสามารถทำผิดหรือเลวได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าทำดีผิดธรรมชาติจะมืด

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องเล็กๆ มาคุยกันง่ายๆ สบายๆ ไม่ยากครับ เป็นเรื่องการทำความผิด, ความเลว (ในสายตาของคนบางคน) แต่มันไม่ผิดจริงตามธรรมชาติ มันเป็นอย่างไร? และการทำความดี, ทำถูก แต่ผิดธรรมชาติ มันเป็นอย่างไร? อ๊ะ ฟังดูงงๆ เอาละ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง


การทำผิดหรือเลว (ในสายตาของบางคน) อาจเป็นธรรมชาติภาคสว่าง?


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ การทำผิดหรือเลว (ในสายตาของบางคน) นี้ มันอาจไม่ใช่ความผิด หรือความเลวที่แท้จริง มันเป็นเพียงแค่ธรรมชาติของสัตว์โลก ก็ได้ เช่น เสือที่ฆ่าสัตว์อื่นกิน ถามว่าเสือต้องถูกพิพากษาในข้อหา "ฆ่าสัตว์อื่นตายโดยเจตนา" หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ ใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเสือทำความดี ไม่ยอมฆ่าสัตว์อื่นกินละ มันก็ผิดธรรมชาติ ใช่มั้ย? นี่หละที่บอกว่าเป็น "ความดีที่ผิดธรรมชาติ" ทีนี้ เรามองสัตว์ในป่า มันง่าย ลองมามอง "สังคมมนุษย์" กันบ้าง มันยุ่งยาก และซับซ้อน กว่าที่เราจะเข้าใจได้ง่าย ผมอยากจะบอกว่าคนเราก็เหมือนสัตว์ในป่า คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนบางคนมีธรรมชาติแบบเสือ, คนบางคนมีธรรมชาติแบบวัว แต่เราจะมองว่าคนที่ดุเหมือนเสือ เป็นคนเลวหรือคนผิดไปเลยไม่ได้ และจะไปหลงคนที่เชื่องน่ารักแบบวัว ว่าเป็นคนดี ทำถูกและเลี้ยงง่าย ไม่ได้อีกเช่นกัน ก็ถ้าประเทศมีสงครามขึ้นมา ประเทศที่นิยมแต่คนประเภทวัว คงต้องสูญซึ่งเอกราชของชาติ เป็นแน่แท้ เอาละ ทีนี้ ท่านพอเข้าใจหรือยังว่าคนที่ทำผิดหรือเลว (ในสายตาทางโลกของคนบางคน) เขาอาจไม่ได้ผิด หรือว่าเลวจริงๆ ตามธรรมชาติหรอก เช่น ผู้ชายบางคนชอบผู้หญิงสองคนพร้อมกันมันไม่ผิดนะครับ ตามประเพณีไทยแต่เดิมมา ผู้ชายสามารถแต่งงานได้ถึงสองคน ไม่ผิดอะไรเลย เขาถึงมีคำว่าเมียหลวง เมียน้อย มาแต่บรรพบุรุษเราแล้ว มันคือ ประเพณีไทยนะครับ แต่เดี๋ยวนี้ มันแปลก มีคนหาว่าผู้ชายที่ชอบผู้หญิงสองคนพร้อมกัน เป็นคนเลว คนผิด คนเจ้าชู้ไป ซึ่งมันไม่ใช่เช่นนี้ ตามธรรมชาติแล้วมันไม่ผิดนะครับ แต่ถ้าเราไปว่าเขาเข้า มันก็ผิดจากประเพณีไทยได้ครับเพราะบรรพบุรุษเรา ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงได้มากกว่าหนึ่งคนครับ นี่ มันยังมี "ความผิด-ความเลว" ที่มันไม่จริง มันไม่เป็นธรรมชาติอีกมากที่ถูก "ปรุงแต่งขึ้น" ภายหลัง ท่านพอเข้าใจหรือยัง



การทำดีหรือถูก (ในสายตาของบางคน) อาจเป็นธรรมชาติของภาคมืด?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การทำความดีหรือความถูกต้อง ในสายตาของคนบางคน ก็อาจเป็น "การฝืนธรรมชาติ-ผิดธรรมชาติ" ก็ได้ เช่น คนที่มีกรรมต้องมีภรรยาแต่ไม่เอา ฝืนธรรมชาติไปบวชพระเสีย อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นการฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ ใช่ไหมละครับ ทีนี้ การฝืนกรรม-ฝืนธรรมชาตินี้ มันอาจมีได้ทั้ง "สว่างและมืด" กล่าวคือ ท่านที่มีบารมีนั้นจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ "ในทางที่ดี" ได้ในระดับหนึ่งเท่าที่กำลังบารมีจะพอฝืนได้ แต่มากกว่านั้นเมื่อไร "จะกลายเป็นมืด" นะครับ ยกตัวอย่างเช่น หมอรักษาคนไข้ ฝืนกรรม ช่วยคนให้หายจากโรค แรกๆ หมอก็ยังมีความสว่างอยู่ เพราะบารมีมากพอฝืนกรรม ช่วยคนได้ แต่พอต้องทำงานทั้งชีวิต มันปฏิเสธคนไข้ไม่ได้ มันก็ต้องฝืนกรรมต่อไป จน "เกินบารมีจะรองรับได้" มันก็กลายเป็น "ภาคมืด" ได้นะครับ เพราะคนเราป่วย ก็ต้องมีวิบากกรรมทั้งนั้นจึงป่วยครับ ส่วนหมอที่ช่วยคนให้หาย แรกๆ อาจยังมีบารมีทำได้ แต่พอเกินบารมีจะรองรับได้แล้ว ทีนี้ มันจะมืดแล้วครับ มันจะไม่สว่างเหมือนเดิม จากเดิมที่เป็น "หมอดีมีอุดมการณ์ อุทิศตน สละตัว" ก็จะกลายเป็น "ขี้เกียจ เบื่อคนไข้ รำคาญนางพญาบาล" ฯลฯ และแอบเบียดบังเวลาราชการไปหากินในคลีนิคส่วนตัว หรือไม่ก็รับจ้อบโรงพยาบาลเอกชน เอาละ ทีนี้ ตื่นแจ้งมั้ยครับ ว่า "หมอมืด" น่ะ มันมืดได้ยังไง?



"จรรยาบรรณ" ในการทำงานของ "ทุกหน้าที่" ช่วยให้พ้นจากภาคมืด?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การทำงานทางโลกทุกอย่าง ล้วนเสี่ยงที่จะถูกภาคมืดดึงไปได้ง่ายและสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ท่านทำงานได้อย่างปลอดภัยจากเงื้อมมือของภาคมืดได้ ก็คือ "จรรยาบรรณ" นะครับ มันไม่ใช่ "ศีล" เพราะมันไม่ได้เป็นข้อห้ามไม่ให้ทำไปเสียทีเดียว มันเป็น "กรอบล้อมเราไว้ให้เราทำได้ ในกรอบนั้นๆ ไม่เกินความพอดีไปครับ" สรุป คือ ตราบใดที่คุณยังมี "จรรยาบรรณในวิชาชีพของคุณ" ดีอยู่ คุณจะไม่ถูกภาคมืดครอบงำดึงไป แต่ถ้าคุณผิดจรรยาบรรณมากถึงจุดหนึ่ง มันจะเกินกว่าที่บารมีของคุณจะรองรับได้ เช่น การที่คุณเป็น "นักข่าว" คุณต้องมีอะไรที่เป็นจรรยาบรรณในการทำงานบ้าง? การที่เอาคนมาสัมภาษณ์ทะเลาะกันให้เป็นข่าวดัง แล้วพวกเขาก็มีชีวิต มีสังคมที่ต้องอยู่อาศัยแต่พวกเขาก็ถูกนำเสนอ "ออกข่าว ด้านเดียว เรื่องเดียว" คือ เรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันอยู่นั้น "ภาพลักษณ์ของเขาก็ถูกทำลาย คือ ถูกขายให้แก่รายการทีวี" รายการทีวีดังไป เร็ทติ้งขึ้น คนชอบดู สนใจแต่คนที่มาร่วมรายการ เขาจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง? อันนี้ ผมไม่ต้องพูดหรอก ท่านที่มีวิชาชีพในด้านนี้ ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้ว "ทุกอย่างดีกว่าผม" เสียอีก เอาละ ทว่า เมื่อท่านทำบ่อยๆ ท่านก็จะเข้าสู่ "ภาคมืด" ได้ในที่สุด เพราะท่านไม่เคารพใน "จรรยาบรรณ" ในวิชาชีพของท่านเอง ท่านก่อกรรมเกินกว่าบารมีจะรับได้



"ลูซิเฟอร์" จะครอบงำท่านด้วย "ความดีจอมปลอม" และใส่ร้ายผู้อื่น?

ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ลูซิเฟอร์ ผู้นำแห่งภาคมืดจะหลอกลวงท่านให้เข้าใจผิดใน "ความถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" เอาละ ต่อให้ผมรู้ว่าอะไรถูกผิดดีชั่วจริงๆ ผมก็จะ "ไม่ชี้นำคุณ" มันเป็นสิ่งที่เราควรเคารพ "มุมมองและความเชื่อส่วนตัวของแต่ละคน" อันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเขา และรอจนกว่าเขาจะพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงมุมมองหรือแนวคิดเอง โดยที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องรออยู่โดยไม่ทำอะไรเลย เราสื่อสารกับเขาได้ แต่ไม่ใช่การชี้นำครับการสื่อสารที่ไม่ใช่การชี้นำ แต่นำเสนอข้อมูลหรือความคิดเห็นของเราแล้วปล่อยให้เขาคิดพิจารณาเอง อันนี้ คือ "จรรยาบรรณของนักสื่อสาร" เช่น กัน เอาละ ทีนี้ในโลกของคุณจะมี "ความถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" ที่มาจากมุมมองของคนมากมายรอบตัวคุณ เต็มไปหมด พวกเขาสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ "โดยไม่ใช้สื่อ" คือ สื่อสารตามธรรมชาติ แม้มีการชี้นำหรือการครอบงำกัน ก็ไม่นับว่าผิดหลักการใช้สื่อนะครับ (อันนี้ เฉพาะจรรยาบรรณของผู้ใช้สื่อเท่านั้น) ทว่า ท่านควรมีปัญญามากพอเท่าทันการถูกครอบงำโดยอะไรต่อมิอะไรให้มาก บางครั้ง "ความถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" ที่ท่านได้รับรู้หรือถูกสอนมานั้น มันอาจจะไม่จริงเลยก็ได้ ในขณะเดียวกัน มันอาจตรงกันข้ามไปเลย เพราะท่านอาจได้รับรู้จากภาคมืดอยู่ พวกเขาย่อมมีมุมในการมองโลกที่ต่างไป เช่น การมองว่าคนติดยาเสพติด เป็นคนผิด คนเลวอะไรแบบนี้ หรือมองวัยรุ่นตีกันตายว่าผิดหรือเลว อะไรแบบนั้น ซึ่งแท้จริงแล้วมันอาจเป็นธรรมชาติปกติของมนุษย์ ที่จะได้รับการเรียนรู้ ไปจนถึงที่ "คุก" เลย แล้วกลับออกมาคิดได้ เข้าใจโลก ก็อาจเป็นไปได้ ดังนั้น เขาก็อาจจะดิ้นรนทำความผิด ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ได้เข้าคุก แต่มันก็อาจจะไม่ผิดอะไร? นี่อาจเป็นธรรมชาติของบางคน ที่จะเรียนรู้โลกด้วยการผ่านคุก ก็อาจเป็นไป เอาละ ผมคงไม่ขอ "ตัดสิน" ว่าอะไร "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" นะครับ มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะไปทำเช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับมุมมองครับ



การ "ตีตราบาป" ผู้อื่นด้วย "ความถูก-ผิด-ดี-ชั่ว จอมปลอม" คืออะไร?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การตีตราบาปให้ผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นถูกตีตราไปทั้งชีวิตว่าเป็นคน "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" เช่น คนนั้นคือคนเลว ทำลายประเทศเราฆ่ามันได้เลย ไม่ผิด เป็นการทำเพื่อประเทศชาตินะ เพื่อประเทศชาตินะจงฆ่ามันซะ อะไรแบบนี้ เป็นต้น คือ "อ้างว่าทำเพื่อประเทศ" แล้วตีตราคนที่มีภาพลักษณ์เสียหายหรือทำความผิด ว่ามันผิด ฆ่าได้ ไม่เป็นอะไร เพราะเป็นการทำเพื่อประเทศ อะไรแบบนั้น ถ้าเราทำเพื่อประเทศแบบนั้น แล้วจะมีประเทศเป็นแบบไหนละครับ ประเทศของเราก็มีแต่ความป่าเถื่อน, มีศาลเตี้ย หลอกใช้คนมีสีไปทำเพื่อประเทศชาติด้วยการให้ฆ่าประชาชน ทั้งๆ ที่ทหารเขามีไว้เพื่อรบกับ "อริราชศัตรู" ไม่ได้เอาไว้ใช้ฆ้าประชาชน หรือมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร ทว่า มันก็เกิดขึ้นได้ เมื่อมีการครอบงำแบบ "เบ็ดเสร็จเด็ดขาด" ครับ กระบวนการนี้ ก็จะเริ่มต้นจาก "การตีตรา" ก่อน คือ "ตีตราบาป" หมายหัวคนนั้นคนนี้ ว่าเป็น "พวกทำลายชาติ" ก็มีสมัยก่อนก็ตีตราบาปว่าเป็น "พวกคอมิวนิสต์" ก็ใช้ได้แล้ว ฆ่ากันตาย จนไม่สนใจอะไร เพราะคิดว่ามันเลว มันเป็นคอมมิวนิสต์ ฆ่าแล้วไม่ผิด อะไรนี่ประเทศมันถึงเข้าสู่ "กลียุค" ไป นี่น่ะหรือการทำเพื่อประเทศ? มันเป็นการทำลายประเทศมากกว่า เอาละ ผมเริ่มจะลึกลงการเมืองมากไปแล้ว มันไม่ควรเข้าไปแตะเลย ประเทศนี้ อ่อนไหวทางการเมือง มากเกินไป ฮ่า ฮ่า ฮ่าเอาละ นับว่าผมเพียงแต่ "ยกตัวอย่าง" เท่านั้นเองว่า กระบวนการตีตรานี้มันจะนำไปสู่อะไรต่อไปได้ ซึ่งคุณเอาตัวเองออกมาจากมันได้ ถ้าเข้าใจว่า"เราไม่ควรไปตัดสินความถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" ของใคร หรือการตีตราในรูปอื่นใดเช่น การตีตราว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์, เป็นโจรใต้, เป็นเสื้อแดง ฆ่าได้ไม่ผิดอะไร? เพราะทำเพื่อประเทศอะไรแบบนั้น อันนี้ จะนำไปสู่ "กลียุค" ครับ



การ "ใส่หัวโขน" ผู้อื่นและการ "ปั้นตัวละครให้เกิดใหม่" มัน คืออะไร?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ นอกจากนี้ ลูซิเฟอร์ยังมีกลยุทธ์ในการสวมหัวโขนให้คนนั้นคนนี้ และยังปั้นให้เขา "เกิดเป็นสาธารณชน" อีกด้วย ให้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักทั่วไป ทำเบื้องหน้าให้เลิศหรูอลังการเพื่อหลอกล่อให้คนอีกมากมาย อยากได้, อยากมี, อยากเป็น เช่นนั้นบ้าง ก็จะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป รอให้ลูซิเฟอร์สวมหัวโขนให้ ไม่ก็รอให้เขาปั้นแต่งให้เกิดใหม่เป็น "สาธารณชน" เรียกว่าถ้าคุณพร้อมจะ "ขายทั้งตัวและจิตวิญญาณ" และมีดีมากพอ ก็มาเลย เขาก็พร้อมจะปั้นแต่งให้มีเวที, มีอำนาจ, มีเงิน, มีชื่อเสียง, และได้เกิด ตามที่คุณต้องการละ แต่นี่ไม่ใช่ "การเกิดใหม่แบบภาคสว่าง" หรอกนะ? มันเป็นการเกิดใน ภพมืดต่างหากละ คุณเคยรู้จักคน "ผ่านสื่อ" มาแล้วมากมายใช่มั้ย พวกเขามีตัวตนใน "ความรู้จัก" ของพวกคุณ คุณรู้จักเขาผ่าน "ตัวตนที่สื่อปั้นให้นั้นๆ" ซึ่งมันไม่ใช่ตัวตนของเขาจริงๆ หรอกแต่มันเป็น "ตัวตนที่ลูซิเฟอร์ปั้นให้" ทำให้เขาเกิดเป็นตัวตนนั้นๆ เช่น ตัวตนของฮีโร่, ตัวตนของผู้นำ, ตัวตนของพระอรหันต์ ฯลฯ เขาทำได้ทั้งนั้น เขาปั้นให้เกิดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร แม้แต่ "พระเจ้า" เขาก็ปั้นให้เกิด ให้เป็นได้ เพราะถ้าคุณนั้นต้องการ "ตัวตนใดสักตัวตนหนึ่ง" ที่จะเป็นที่รู้จักในสาธารณชนละก็ นั่นแหละ สิ่งที่คุณจะต้องได้รับผ่าน "ลูซิเฟอร์" คุณควรเข้าใจคำว่า "บุคคลสาธารณะ" ที่แท้จริง และ "แบบสร้างได้-ปั้นได้" (ด้วยการสื่อสาร, การประชาสัมพันธ, การโฆษณา, การทำการตลาดให้ เป็นต้น) สองอย่างนั้นต่างกันสิ้นเชิง บุคคลสาธารณะในอดีต ไม่มีการปั้นแต่งด้วย "เครื่องมือสื่อสาร" ใดๆ นะครับ เขาสร้างคุณงามความดีจนเป็นที่ประจักษ์, จดจำ และตราตรึงใจผู้คนทั้งหลายเอง และมักจะมาภายหลังที่เขาตายแล้ว ยามที่มีชีวิตอยู่ ไม่ค่อยมีใครรู้จักมาก ไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจากใครครับ แต่เมื่อตายไปแล้ว "โลกจารึก" ให้เองครับ ภาคสว่าง เขาทำงานต่อให้ เพื่อจะยกขึ้นเป็น "แบบอย่างที่ดีจริงๆ" ให้ผู้อื่น คนอื่น เดินตามรอยเขานะครับ



คนเราจะทำผิดหรือเลวอะไร ก็ไม่ใช่สิทธิ์ของเราที่จะไปตัดสินใครได้?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ ใครเขาจะทำผิด, ทำชั่ว หรือทำดี, ทำถูกอะไร ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะไปตัดสินครับ ถ้าเราไปตัดสิน เราก็จะได้ความจงเกลียดจงชังคนที่ทำผิด ทำชั่ว หรือไม่ก็ได้รับความลุ่มหลงในคนดี, คนที่ถูกต้อง ไป นั่นไม่ใช่ "ทางหลุดพ้น" ทั้งสองทางเลย เรามาดู "ตัวเราเองดีกว่า" เมื่อใดที่คุณ "เลิกตัดสินคนอื่น" แล้วมองย้อนกลับมาที่ตัวคุณเอง นั่นแหละ คุณเริ่มต้นที่จะค้นพบ "เหตุ" ที่แท้จริงของทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณแล้วว่ามันไม่ได้มาจากสาเหตุ "เพราะใครผิด, ใครเลวต่อคุณ" แต่มันมาจาก "ตัวคุณเองเป็นต้นเหตุ" ทำให้คุณมีชีวิตอย่างไร? ในปัจจุบันนี้ มันก็มาจาก "เหตุภายในตัวคุณเอง" ทั้งนั้น และนี่จะเป็น "กุญแจ" ในการไขไปสู่ "ประตูแห่งการยกระดับตัวคุณเอง" ที่จะเริ่มต้นจากจุดนี้เองนะครับ แต่ถ้าคุณยัง "เพ่งจับผิดคนอื่น" อยู่เนืองๆ คุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณจะเสียเวลเปล่าไปกับการเพ่งมองความผิดของคนอื่น โดยที่ "คุณจะไม่มีการเลื่อนระดับ" ตัวคุณขึ้นไปได้เลย โอเคมั้ย?


ขอพลังตัวตนภาคสว่างของคุณทั้งหลาย จงยกระดับจิตคุณขึ้นไป สวัสดี



25 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

โพธิสัตว์บารมีล้นแล้วไม่ได้มาสร้างบุญแต่จะเป็นตัวกระทำกรรม เป็นโจรยังได้

สวัสดีครับ วันนี้มีเกร็ดความรู้เล็กๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระโพธิสัตว์ซึ่งมีบุญบารมีมากหรือเต็มแล้ว ท่านจะมีวิถีการเวียนว่ายตายเกิดในสามภพที่ต่างไปจากท่านอื่นๆ นะครับ อาทิเช่น พระเมตตรัยโพธิสัตว์ จะมีบุญบารมีเต็มแล้ว ท่านจะ "บุญไม่ทำ กรรมไม่สร้าง" คือ ไม่ทำอะไรเลย อยู่แบบผู้มีศีลบริบูรณ์ เสวยผลบุญของตนไปวันๆ ไม่ทำอะไร ส่วนพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ท่านจะมีบารมีล้นเกินกว่าพระเมตตรัยโพธิสัตว์แล้ว ท่านก็จะไม่กลัวการเวียนว่ายตายเกิด ไม่กลัวกรรม คือ มีจิตตรงเห็นว่าทำกรรมแล้วก็ต้องรับกรรม แต่ท่านยอมรับกรรมนั้นเพื่อขับเคลื่อนโลกธรรมให้ปวงสัตว์ได้ถึงนิพพานครับ ท่านยอมแม้จะเกิดมาเป็น "โจร" นะครับ แปลกใช่ไหมเอ่ย? เอาละ วันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ


อย่ายึดติดแต่ความดีหรือผลบุญ ภารกิจของสวรรค์มีทั้งสองด้าน (ดี-ร้าย)


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ "สวรรค์ไม่ใช่ขี้ข้ามนุษย์โลก ที่จะต้องมาทำอะไรสนองกิเลสมนุษย์" แต่สวรรค์มีหน้าที่ของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ต้องการหรือไม่ก็ตาม พอใจหรือไม่ก็ตาม สนองกิเลสมนุษย์หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นความจำเป็นตามกฏแห่งกรรมแล้ว สวรรค์ก็ต้องทำเช่นนั้นเช่น บางครั้ง มนุษย์มีกรรมต้องตายด้วยน้ำท่วมพร้อมๆ กันทั้งเมือง ท่านก็ต้องทำให้มันเกิดขึ้น เพื่อขับเคลื่อนให้เป็นไปตามกรรมนั้นๆ ทว่า ไม่ใช่ว่าเทพทุกองค์จะทำได้นะครับ เทพเขามี 2 กลุ่ม กลุ่มที่ประทานบุญให้มนุษย์ก็มี กลุ่มที่ประทานเคราะห์กรรมให้มวลมนุษย์ ก็มี เทพกลุ่มไหนมีหน้าที่ทำอะไรก็ต้องทำอย่างนั้นจะไปทำอย่างอื่น นอกลู่นอกทางไม่ได้นะครับ ดังนั้นมันไม่มีหรอกคำสอนที่ว่า "ให้ยึดมั่นทำความดี ยึดติดละเว้นความชั่ว" นั่นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนานะครับ แท้จริงแล้วมันไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นอะไรได้เลย ทั้งความดีและความชั่ว ยึดติดความดีแล้วจะได้ถึงนิพพานหลุดพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้หรือ? ไม่มีหรอก ถ้ามีอย่างนั้นพระเจ้าจักรพรรดิที่ทำความดีก็นิพพานไปได้โดยไม่ต้องรอให้โลกมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หรอก เทพสวรรค์ต้องทำตามหน้าที่ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง หรือคิดเอาเองว่านั่นดี นี่เลว รู้ได้หรือว่าอะไรดีแท้ อะไรเลวจริง? ไม่หรอก เทพที่รู้ว่านั่นดี-นี่เลว นั้นมีแต่ "ลูซิเฟอร์" ที่ขโมยกินผลไม้แห่งการหยั่งรู้ไปเท่านั้น มันรู้ไม่จริงหรอก ที่คิดว่าฉันทำความดี และทำดีมากๆ แล้วหลงตัวเองว่าตนทำดี หลงดีในตนนั้น ก็เป็น "มาร" ดื้อด้านสอนไม่ได้ ไปก็เยอะแล้วเพราะอะไร? เพราะมันหลงดี มากเกินไปจนสอนไม่ได้ นั่นเอง เอาละ ทีนี้ คุณเข้าใจไหมว่า "เทพสวรรค์ทำตามหน้าที่ จะมาคิดเองว่า อะไรดีอะไรเลว มารู้ดีเกินกว่าเจ้าสวรรค์ ไม่ได้นะครับ" เจ้าสวรรค์สั่งอะไร ก็ต้องทำไปตามหน้าที่นะครับ แต่พระโพธิสัตว์ (สูงกว่าเทพ) นี้ต่างจากเทพด้วยท่านมีปัญญาบารมี ใช้ปัญญาบารมีคิดเอง ทำเอง โปรดสัตว์เอง ได้ครับแต่ท่านก็ต้องยอมรับกรรมที่จะตามมาด้วยครับ ซึ่งท่านมีบารมีในตนรองรับได้



โพธิสัตว์บางองค์ลงมาทำเลว (ในสายตาคน) แต่มันมีเหตุผลที่คาดไม่ถึง


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ยังมีพระโพธิสัตว์บางองค์สร้างบารมีมาจนล้น ก็จะไม่ลงมาทำ "ส่วนประทานบุญให้มนุษย์" แต่ ท่านจะทำ "ส่วนประทานบาปเคราะห์" ให้มนุษย์แทน อันนี้ ท่านมี "อาญาสิทธิ์อาญาธรรม" เต็มที่มีอำนาจเต็มกำลัง ทำได้เต็มที่ครับ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ปวงสัตว์ก็จะมีหนี้กรรมที่ไม่มีทางใช้ได้หมด เสียที มันก็เข้านิพพานไม่ได้นะครับ เพราะยังชำระหนี้กรรมไม่หมด จะหลงดี ติดดี เลือกเอาแต่ดีๆ ไม่ได้ครับ คนเราต้องแฟร์ในอดีตชาติเคยทำมาทั้งส่วนดีและเลว ถึงเวลารับบุญ ก็ดีใจกันใหญ่ แต่พอเวลารับกรรม จะไม่ยอมรับ อันนี้ ก็ไม่ได้นะครับ ดังนั้น ในสายตาบางคน พระโพธิสัตว์องค์นั้นอาจลงมาทำกรรมเลว แต่แท้แล้วนั่นคือ หน้าที่ที่ต้องทำครับ มันคือการโปรดสัตว์อย่างหนึ่งเช่น การเกิดมาเป็นคนฆ่าสัตว์ไม่ใช่ว่าเขาอยากเป็นนะครับ แต่เขาถูกกำหนดมาให้ทำ เลือกไม่ได้ และถ้าทำแล้วสัตว์ที่มีกรรมนั้น ก็จะชำระกรรมหมด ปลดกรรมได้ หมดกรรมนั้นไปครับ ซึ่งวิถีการบำเพ็ญบารมีแบบนี้ เป็นแบบเฉพาะในพระโพธิสัตว์ "สมันตภัทร" นะครับ ไม่มีในพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ เพราะองค์อื่นๆ ไม่มีบารมีมากพอที่จะทำได้ครับ เฉพาะองค์นี้องค์เดียวเท่านั้น ที่จะทำได้ครับ



ผมไม่ได้สอนให้คุณทำเลว "เฉพาะบางท่านเท่านั้น" ที่มีบารมีกระทำได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ผมไม่ได้สอนหรือชี้นำให้คุณทำความเลวอะไรเลย เพราะเรื่องแบบนี้ "ธรรมชาติจะจัดสรร" เอง และเขาผู้ถูกเลือกแล้วก็จะไม่อาจปฏิเสธได้ จะถูกบังคับ จะถูกควบคุมให้ต้องทำเช่นนั้น แม้เขาจะไม่อยากกระทำก็ตาม คุณไม่มีสิทธิ์ไปคิดเองว่าตัวคุณหรือตัวใคร จะมีหน้าที่กระทำการ ประทานบาปเคราะห์ ให้คนอื่นได้ นอกจากว่าเขาจะถูกธรรมชาติจัดสรรเองเท่านั้น ซึ่งท่านผู้ถูกเลือกแล้วนี้จะได้รับพลังจากดาวเทพนพเคราะห์ผู้ประทานบาปเคราะห์ทั้งสององค์ใหญ่ คือ พระราหู, พระเกตุ โดยพระราหูจะกระทำโดย "กิเลส" ความลุ่มหลงเป็นพลังขับเคลื่อนแต่พระเกตุจะมี "ความใสซื่อไร้เดียวสา" หรือความไม่รู้ ไม่เจตนา เป็นตัวขับเคลื่อน ทั้งสองเมื่อทำกิจร่วมกัน ก็จะประทานบาปเคราะห์กรรม ให้แก่ มวลมนุษย์ได้มากมายโดยที่ทั้งสองนั้น "ต่างก็มีบารมีรองรับผลนั้นๆ ได้" จึงได้รับเลือกแล้วจากธรรมชาติจากสวรรค์ให้เป็น "ตัวกระทำ" ฝ่ายบาปเคราะห์ (ไม่ใช่ฝ่ายประทานบุญนี่นะ) ทว่า ถ้าทั้งสองบำเพ็ญบารมีจนพ้นไปจาก "โพธิสัตว์" จนถึง "พุทธะ" แล้วก็สามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปนั่งในตำแหน่ง "พระยูไลทั้ง 7" แห่งดาวเทพนพเคราะห์ "ฝ่ายประทานบุญ" ได้ ท่านก็หลุดพ้นจากวังวนในการก่อกรรมนี้ ไม่ต้องไปทำกรรมให้แก่มวลมนุษย์อีกต่อไป ทว่า หน้าที่ทุกหน้าที่มีความสำคัญทั้งสิ้นไม่ต่างกันเลย ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป ดังนั้น แม้ใครจะเกิดมาต่ำต้อยเป็นเพียงคนฆ่าสัตว์ก็ไม่อาจปรามาสเขาได้ว่าจิตใจของเขาต้องต่ำต้อย หรือเลวร้ายไปด้วย ถ้าท่านมีปัญญาหยั่งลึกเห็นแจ้งในเรื่องกรรมแล้ว ก็จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้เอง



คนบางคนทำไม? ทำบุญไม่ขึ้นเลย แต่ทำเลวขึ้น สำเร็จได้ง่ายเสียจริง?


ต่อไปที่ท่านควรทราบก็คือ "ผู้ที่ถูกเลือกแล้ว" ว่าให้เป็นตัวกระทำกรรมที่จะประทานบาปเคราะห์กรรมให้แก่ผู้อื่นนั้น จะเป็นผู้ทำบุญไม่ขึ้น ทำความดีไม่ได้ หรือไม่สำเร็จ ซึ่งเขาจะรู้ จะเอ๊ะใจ และจะเข้าใจเองในเรื่องนี้ว่า ที่เขาทำความดีไม่ได้นี่ มันเป็นเพราะอะไร นอกจากนี้ เขายังทำเลวได้ง่ายๆ สำเร็จได้ง่ายอีกด้วย ทว่า เขาจะมีกำลังบารมีในการกระทำความเลวนั้นๆ ได้ระดับหนึ่ง พอหมดกำลังบารมีของเขาแล้ว "กรรมก็จะตามเขาทัน" ซึ่งเขาจะทราบดีอยู่แล้ว "โดยไม่ต้องให้ใครมาสอน" เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเขาทำกรรมเลวอย่างนี้ เขาจะต้องได้รับผลกรรมอย่างไร? ในวันหนึ่งข้างหน้านั้น และเมื่อถึงที่สุดแห่งการกระทำ เขาก็จะปลงตกและบรรลุธรรมได้ไม่ยากเลย เหมือนการบรรลุธรรมของ "องคุลีมาล" ฉะนั้น กล่าวง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ฝ่าย "บุญหรือบาป" เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขาตามนั้น ฝ่ายบุญ ก็ต้องประทานบุญ, ฝ่ายบาป ก็ต้องประทานบาป ให้แก่มวลมนุษย์ จะไปทำอย่างอื่น "ไม่ได้" และเมื่อเขาทำจนหมดภารกิจนี้แล้ว เขาก็จะเข้าสู่วิถีธรรม "ปลงตก" บรรลุธรรมได้ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่เกิดมาสร้างความดี หรือองคุลีมาลที่เกิดมาสร้างกรรม ก็ไม่ต่างกันเลย ต่างก็สามารถบรรลุธรรมได้ทั้ง ฝ่ายบุญและบาป



"ลูซิเฟอร์" จะสร้างภาพว่า "ตนคือตัวดี-พระเจ้า" และใส่ร้ายฝ่ายบาป

ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "ลูซิเฟอร์" (นารายณ์ภาคมืด) ผู้เป็นปรปักษ์ของอสูรราหู (เขาไม่ถูกกันจากครั้งกวนน้ำอำมฤติ) จะสร้างภาพทำตัวให้เป็น "ตัวดี" ให้คนหลงใหล และศรัทธาเขาราวกับพระเจ้า หรือผู้ยิ่งใหญ่ในโลก โดยผ่านร่างสังขารของมนุษย์ที่เป็นเครื่องมือของเขาและจะใส่ร้ายอสูรราหู ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นอสูรว่าเป็นตัวร้าย ทว่า ธรรมชาติของสัตว์ เสือ ก็ต้องฆ่าสัตว์อื่นกินเป็นธรรมดา มันไม่ได้ผิดหรือเลวร้ายอะไร นี่คือ "ธรรมะ ธรรมชาติ เป็นไปตามกฏแห่งกรรมแต่ต้นแล้ว" จึงมีเสือมาฆ่าสัตว์อื่นกิน คงดุลยภาพของระบบนิเวศน์ไป เช่นกัน อสูรราหูก็คือ "อสูร" เกิดมาเป็นอสูร ย่อมมีวิถีชีวิต การดำรงชีพแบบอสูรแต่เขาได้รับการ "แต่งตั้งจากสวรรค์ให้เป็นเทพเจ้าแห่งดาวนพเคราะห์" คือมีหน้าที่ "ประทานบาปเคราะห์แก่ปวงสัตว์" แล้ว โดยอาญาสิทธิ์, อาญาธรรม "สมบูรณ์" ดังนั้น หากลูซิเฟอร์จะฝืนกฏแห่งกรรมนี้ ฝืนธรรมชาตินี้ ก็อาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ท่านจะพบเห็นได้บ่อยๆ ทว่า สุดท้ายแล้วสวรรค์ย่อมไม่เข้าข้าง "ผู้ฝืนกฏแห่งกรรมฝืนธรรมชาติ" แม้ว่าเขาจะอ้างความดี ก็ตาม แต่การทำความดีอย่างขาดความเข้าใจในระบบกรรมนั้น ก็จะนำโลกไปสู่ "ความวิบัติ" ได้ ดังนั้น มันจึงเป็นได้แต่เพียง ความดีจอมปลอมก็เท่านั้นเอง ไม่อาจเป็นความดีที่แท้จริงได้เลย เพราะความหลงดีนี้นั่นเอง



"ธรรมจอมปลอม" คือ การอ้างความดีเพื่อครอบงำมนุษย์อย่างไร้ปัญญา


ต่อไปที่ท่านควรทราบ ก็คือ ในโลกนี้ยังมี "ธรรมะจอมปลอม" อยู่อีกมาก
เช่น ธรรมะที่ "อ้างความดีมาบังหน้า" เพื่อหลอกให้คนยอมรับได้ง่ายๆ ก็
เพื่อที่จะ "ครอบงำจิตใจผู้คน" ให้ผู้คนหลงเชื่อ เพราะหลงดี ติดดี คิดว่า
เขามาดี แต่มันเป็น "ดีจอมปลอม" เป็น "ความดีที่มีพิษ" ไม่ใช่ความดีที่
แท้จริง ถ้ามันเป็นความดีที่แท้จริง มันก็ดีนะสิ ใครก็ต้องการ ใครก็ยอมรับ
ทว่าถ้ามันไม่ใช่ความดีที่แท้จริง มันเป็น "ความดีจอมปลอม" แอบแฝงมา
เพื่อ "ครอบงำจิตใจผู้คน" ให้หลงใหล, ให้ยึดติดเขา ราวกับเป็นพระเจ้า
เสียเอง นั่น ไม่ใช่ความดีที่แท้จริงเลยเป็น "ความมืดหลง" ที่อ้างความดี
มาบังหน้า ก็เท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับ "ประเทศมหาอำนาจ" ที่อ้างว่าจะมา
ช่วยเหลือประเทศเล็กน้อย ล้าหลัง เอาความดีบังหน้า แต่ไม่ได้มีเจตนาที่
ดีที่แท้จริง ทว่า มีเจตนาจะมาฉกฉวยเอาผลประโยชน์หวังจะกอบโกยผล
ประโยชน์จากประเทศเล็กๆ ไปเป็นของตนก็เท่านั้น นี่แหละมันไม่ใช่ความ
ดีที่แท้จริง มันเป็น "ความดีจอมปลอม" ดังนั้น พวกจอมปลอมเหล่านี้ จะ
ใช้ "ความดีบังหน้า" จะ "อ้างความดี" และสอนให้ทำดี นับถือคนดี แต่ก็
ไม่มีประชาชนคนไหน ที่มีปัญญาเห็น "สัจธรรมความจริง" ขึ้นมาได้เลย
ต่างก็ "ตามืดบอด" หลงดี ติดดี ในตัวของเขาและภพที่เขาสร้างขึ้น เอาไว้ครอบงำผู้คนนั้น นี่แหละ ผมจึงแนะนำคุณว่าอย่ายึดติดในความดีหรือความชั่ว แต่ต้องมีปัญญาหลุดพ้นให้ได้ทั้งสองส่วน แล้วคุณจะเข้าใจใน"ระบบกฏแห่งกรรม" และความจำเป็นในการทำกิจ "ส่วนบุญและบาป"



การเกิดมาเป็น "โจร" ของพระโพธิสัตว์บารมีมาก ก็มีได้ เกิดได้เช่นกัน


สุดท้ายที่ท่านควรทราบ ก็คือ พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมากเกิน ล้นเกินแล้ว
อาจมาเกิดเป็นมิจฉาชีพได้ เช่น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ สามารถมาเกิด
เป็นโจรได้ แต่นั่นก็คือ "ร่างอวตารของสิ่งศักดิสิทธิ์" ที่คุณไม่ควรลบหลู่
เหมือนกับ "พระนารายณ์" ก็มีปางอวตารมาเป็น "ปรศุราม" ซึ่งมีจิตเป็น
อสูร เข่นฆ่าล้างบางตระกูลกษัตริย์ก็มีมาแล้ว เพราะนี่คือ "กรรม" อันเป็น
อจิณไตยสำหรับผู้ที่ยังไม่มีญาณหยั่งถึงได้ ดังนั้น ในโลกนี้ จึงมีมหาโจร
หรือโจรบางคนที่กลายมาเป็น "วีรบุรุษ" ก็มีได้ เป็นได้ เพราะเหตุนี้นั่นเอง
เอาละ สิ่งหนึ่งที่ท่านควรทราบไว้คือ "แม้แต่พระอรหันต์ ก็มีปัญญาเท่าใบ
ไม้ในกำมือ" ยังมีเรื่องบางเรื่องที่อยู่นอกกำมือที่ท่านจะพึงทราบได้ ท่านก็
ไม่อาจทราบได้ถึงเรื่องเหล่านั้น แต่บางท่านอาจไม่มีใบไม้ในกำมือแบบนั้น
แต่เขาอาจมี "ญาณหยั่งรู้พิเศษ" เช่น พราหมณ์บางคนอาจได้ญาณหยั่ง
รู้อดีต หรืออนาคต ก็มีได้ เป็นได้เหมือนกัน ผมไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อ
ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา หรือยกว่าใครเหนือใครนะครับ แต่เอา
มาเป็นตัวอย่างประกอบความเข้าใจของท่านผู้อ่าน ก็เท่านั้น สุดท้ายนี้ สิ่ง
ที่เราไม่คาดคิดในโลกมนุษย์นี้, ในสามภพนี้, ในจักรวาลนี้ ยังมีอีกมาก ก็
ขอให้ท่าน "ทำใจกว้างๆ" อย่าเพิ่งไปตัดสินสิ่งที่ตนยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่
รู้จริง ผมไม่ได้สอนว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ แค่แนะการ ไม่ตั้งธง ไม่ให้
มี "ทัศนคติเชิงลบหรือบวก" ก่อนที่จะรับข้อมูลอย่างหนึ่งอย่างใด เท่านั้น



24 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"ทิพยทรัพย์" ก่อเกิดจากอำนาจจิต เมื่อจิตคลายอำนาจนั้น ย่อมนิพพานได้?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอกล่าวถึงเรื่องการเข้าถึงธรรมของ "พระวิสุทธิเทพ" ด้วยวิธีสอุปาทิเสสนิพพาน โดยการพิจารณา "ทิพย์ทรัพย์" ซึ่งเกิดจากอำนาจจิตของตนรั้ง "รูปนาม" นั้นไว้เมื่อจิตคลายอำนาจนั้นๆ รูปนามก็สิ้นไปแล้วถึงแก่นิพพาน ท่านก็จะบรรลุอรหันตผลได้ด้วยวิธีนี้ ซึ่งจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดตามเคยนะครับ


ของทิพย์ต่างๆ สามารถกลับสู่ภาวะนิพพานได้ เมื่อจิตคลายพลังยึดโยง


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ "ทิพย์ทรัพย์" หรือของทิพย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอำนาจจิตของเทพเทวดา เช่น เกิดจากอำนาจจิตแห่งการบำเพ็ญศีลบารมี เป็นต้น เหล่านี้ สามารถนิพพานได้ เมื่อจิตนั้นคลายพลังงานยึดโยงและด้วยวิธีนี้ จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพพาน" ได้ เช่นกันไม่ต่างจาก "กิเลสนิพพาน" ซึ่งเป็นอีกแบบหนึ่ง ของสอุปาทิเสสนิพพานดังนั้น ในการพิจารณา "กิเลส" จนถึงขั้นที่ "กิเลสนิพพาน" ก็ดีหรือการพิจารณา "ของทิพย์" จนถึงแก่ของทิพย์นิพพาน ก็ดี ล้วนนำไปสู่การได้บรรลุอรหันตผลแบบ "สอุปาทิเสสนิพพาน" ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะใช้เข้าสู่ธรรมได้ อนึ่ง ท่านควรเข้าใจว่า "ของทิพย์" นั้นเกิดจากอำนาจจิตของผู้บำเพ็ญบารมีไว้แต่กาลก่อน จึงเกิดเป็นของทิพย์แบบต่างๆ ขึ้นด้วยอำนาจจิตนั้น เมื่อจิตคลายอำนาจแห่งการยึดโยงลง มันก็จะกลับคืนสู่นิพพานได้ ทว่า ท่านจำต้องพิจารณาเป็นชั้นๆ ไป เช่น จากชั้น รูปนามเป็น "ของทิพย์" ให้ละเอียดลงเหลือแต่ "ธาตุต่างๆ" จากธาตุต่างๆ จึงจะไปสู่ "นิพพาน" อีกที คือ ค่อยๆ พิจารณาให้ละเอียดลงไปเรื่อยๆ จากหยาบลงไปสู่ละเอียดลงไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านั้น ก็จะถึงซึ่ง "นิพพาน" ได้



ของทิพย์ต่างๆ อาจทำให้ท่านคิดว่าท่านบรรลุอรหันตผลแล้ว ทั้งที่ไม่ใช่


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ของทิพย์ต่างๆ ทำให้เจ้าของมีอำนาจจิตสูงจนคล้ายกับว่าได้สำเร็จอรหันตผลแล้ว เช่น "ดวงแก้วมณี" ซึ่งเกิดจากการบำเพ็ญ "เนกขัมบารมี" อาจทำให้ท่านคิดว่าท่านพ้นแล้วจากอำนาจแห่งกาม ทั้งที่จริงแล้วท่านยังไม่เกิดปัญญาแจ้งเลยว่า "กามคืออะไร" ท่านก็เพียงตกอยู่ใต้อำนาจแห่ง "การควบคุมกาม" เท่านั้นเอง ดังนั้น การทำให้"ของทิพย์นิพพาน" นั้น จึงทำให้เทวดาหรือคนที่มีของทิพย์ชนิดนั้นๆ พ้นไปจากความหลงได้ และเมื่อของทิพย์นั้นๆ นิพพานแล้ว บุคคลนั้นก็จะเกิดปัญญาเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่ตนบำเพ็ญมานั้นเพื่ออะไรเป็นที่สุด? ดังนั้น การเข้าถึงนิพพานแบบ "สอุปาทิเสสนิพพาน" โดยการใช้ของทิพย์มาเป็นเครื่องพิจารณาจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้หลุดพ้นจากความหลงอย่างหนึ่งเพราะยังมีอีกหลายท่านที่มี "ของทิพย์" ที่มีอำนาจมาก จนทำให้คิดว่ามีธรรมถึงนิพพานแล้ว เช่น "ดาบทิพย์" ส่งผลให้ผู้นั้นมีอำนาจจิตในการตัดฉับพลันได้ทุกอย่าง จิตมีอำนาจในการตัดไม่เหลือเยื่อใยเช่นนั้น จึงคิดว่ามีธรรมถึงนิพพานแล้วก็มี ทว่าเขายังยึดติดกับการ "ตัด" อยู่ ยังติดในมรรควิธีแห่งการตัด, การละ อยู่ ซึ่งยังไม่ได้เกิดปัญญาที่แท้จริง ตราบจนกว่าจะพิจารณา "มรรควิธีแห่งการตัด" หรือ "ดาบทิพย์" นั้นๆ จนถึงแก่นิพพานก็จะบรรลุอรหันตผลได้ เป็นผู้ที่ไม่ต้องพึ่งพาหรือยึดติดการตัดได้อีกต่อไป



การบรรลุอรหันตผลแบบ "เจโตวิมุติ" (จิตเข้าถึงนิพพาน) มีหลายแบบ


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การบรรลุอรหันตผลสองแบบใหญ่คือ เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ต่างกันชัดเจนตรงที่ ผู้บรรลุด้วยปัญญาวิมุตินั้นไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดนิพพานไป จิตไม่ต้องเข้าถึงนิพพานโดยตรง แต่อาศัยปัญญาเข้าถึง (ปัญญาเข้าถึงนิพพาน ไม่ใช่จิตสัมผัสนิพพาน โดยตรง) แต่การเข้าถึงอรหันตผลแบบเจโตวิมุตินั้น จำต้องให้จิตสัมผัสภาวะนิพพาน โดยตรงเช่น มีบางสิ่งนิพพานไป (แบบสอุปาทิเสสนิพพาน) จึงจะบรรลุธรรมได้ เช่น การพิจารณากิเลสจน "กิเลสนิพพาน" ไปก็ได้, การพิจารณารูปนามในของทิพย์จนของทิพย์นิพพานไป ก็ได้, การพิจารณาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งจนขันธ์นั้นนิพพานไป ก็ได้ เช่น วิญญาณขันธ์นิพพาน, สัญญาขันธ์นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็บรรลุอรหันต์ได้เช่นกัน ซึ่งในการพิจารณานี้จะมี "อำนาจจิต" เกี่ยวข้องด้วย จึงจัดเป็น "เจโตวิมุติ" นั่นเอง ในการพิจารณาด้วยปัญญาเฉยๆ ไม่มีอำนาจจิตเกี่ยวข้องด้วยนั้น จะไม่เกิดการนิพพานบางส่วนของสิ่งที่พิจารณานั้นๆ แต่ด้วยปัญญาเข้าถึงนิพพานได้โดยที่ยังไม่มีสิ่งใดนิพพานให้จิตได้สัมผัส แต่ปัญญาก็เข้าถึงแล้วก็นับว่าได้อรหันตผลแบบ "ปัญญาวิมุติ" เช่นกัน ทว่า การเข้าถึงนิพพานในแบบ "เจโตวิมุติ" ซึ่งทำให้ของทิพย์นิพพานนั้น มีข้อดีกว่า คือ เป็นการเก็บสิ่งที่มีฤทธิ์ให้หมดไปจากวัฏฏะสงสารก็จะไม่มีของทิพย์ชนิดนั้นๆ ไว้ให้ใครได้ก่อกรรมได้อีกแล้ว ดังนั้น ผมจึงแนะนำให้พิจารณาของทิพย์ให้เข้าสู่นิพพานด้วย เพื่อเป็นการ "เก็บกวาดของเก่าฯ" ของตนเอง ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติหรือในชาตินี้อีกด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่หนึ่งที่ผู้สร้างจะต้องลงมาทำลายล้างสิ่งที่ตนเองทำไว้ ให้กลับคืนสู่สภาวะนิพพานให้ได้ในที่สุด



ของทิพย์ที่เกิดจากการบำเพ็ญบารมี อาจทำให้ท่านหลงว่าบรรลุธรรม


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ยังมีอีกมากมายหลายท่านที่คิดว่าตนได้ธรรมได้บรรลุอรหันตผลแล้ว เพียงเพราะบำเพ็ญบารมีจนเกิดเป็น ของทิพย์ชนิดต่างๆ ขึ้น เช่น บางท่านได้ "คัมภีร์ทิพย์" จนมีปัญญามาก นึกว่ามีธรรมถึงอรหันต์แล้วก็มี ทว่า นั่นเป็นผลจากการบำเพ็ญบารมี เป็นฤทธิ์ที่มาจากคัมภีร์ทิพย์เท่านั้น ไม่ได้มาจากผลแห่งการบรรลุอรหันต์แต่อย่างใด ยังมีอีกมากมายหลายท่านที่มี "ของทิพย์" แล้วทำให้คิดว่าตนบรรลุธรรมถึงอรหันต์แล้ว และทำให้ยึดติดใน "ของทิพย์" ใช้ของทิพย์นั้นในการเอาชนะกิเลส หรือทำให้มีปัญญา เป็นต้น ท่านเหล่านี้จะมี "รูปแบบ" ของตนอยู่เหมือน "มรรควิธีเฉพาะตัว" เช่น บางท่านใช้การตัด, บ้างใช้การควบคุมด้วยศีล, บ้างใช้ความรู้ตามตำราที่ตนมี, บ้างใช้พลังแสงซึ่งส่องออกมาจากดวงแก้ว ก็มี ฯลฯ ดังนั้น ผมจึงต้องเตือนท่านว่าเครื่องมือเหล่านี้ ทำให้ท่านหลงคิดว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว ทั้งๆ ที่มันยังไม่ใช่ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากอำนาจจิตในการบำเพ็ญบารมีของท่าน เท่านั้นมันยังไม่ใช่การบรรลุธรรมที่แท้จริง ในการบรรลุธรรมที่แท้จริง จะไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆ และไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือของทิพย์ใดๆ อีกต่อไปแล้ว



จิตประภัสสร ยังไม่เกิดปัญญา แค่บริสุทธิ์เฉยๆ จำต้องชิมรสนิพพาน !


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ จิตนั้นมีลักษณะประภัสสร คือ บริสุทธิ์อยู่ในตัวเองแล้ว สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ในที่นี้คือ "กิเลส" ซี่งไม่ใช่ตัวจิต ไม่ได้อยู่ในจิต ไม่ได้เกาะเกี่ยวกับจิตแต่อย่างใด เหมือนกับ "ดวงจันทร์กับเมฆที่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน" ท่านจึงไม่ต้องไปขัดถูจิตอีก เพียงรอจังหวะที่มันไม่เที่ยง กิเลสเกิดแล้วดับเองได้ เกิดดับๆ อย่างนั้น เรียกว่า "ของจร" หรือ "กิเลสจร" คือ เหมือนเมฆน้อยลอยเลื่อนจรมาแล้วจรไป เกิดแล้วก็ดับไปเอง เมื่อใดที่ถึงจังหวะกิเลสดับ ก็ไม่มีอะไรบดบังจิต ถ้านิพพานอยู่ตรงหน้าจิต จิตก็เข้าถึงนิพพานได้ เช่น ถ้าพิจารณาวิญญาณขันธ์จนวิญญาณขันธ์นิพพานแล้ว ขณะที่ไม่มีกิเลสบดบัง ก็สามารถบรรลุอรหันตผลได้เลย ไม่ต้องไปขัดถู ทำความสะอาดจิตแต่อย่างใดเพราะจิตนั้นประภัสสรอยู่แล้ว ส่วนที่ท่านเคยอ่านมาพบว่าจิตมี 121 ดวงนั้นพระอาจารย์ท่าน "แต่งเพิ่มภายหลัง" เป็นของเถรวาทก็จริง แต่ไม่ใช่ของดั้งเดิม เป็นของแต่งเพิ่ม ท่านเรียกกันว่า "พระอรรถกาจารย์" คือ พระอาจารย์ผู้รจนาธรรมเพิ่มเติมจากของเดิม มันไม่ใช่ของดั้งเดิมแต่ก่อน เหมือนของมหายานก็มีแต่งเพิ่มเติม (แต่เถรวาทไม่ยอมรับว่าตนก็มีแต่งเพิ่มเหมือนกัน บางท่านนะ) ท่านแต่งไว้เพื่อพิจารณาในแบบที่เฉพาะตัวของท่านเอง ภายหลังเราเรียกจิตแบบนั้นว่า "จิตสังขาร" คือ ผลที่เกิดหลังจากจิตที่ถูกปรุงแต่งแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ "จิตประภัสสร" ซึ่ง "จิตสังขาร 121 ดวงนี้" ไม่มีในคำสอนเดิมด้วย เอาละ ท่านพอนึกภาพออกหรือยัง? จิตจริงๆ บริสุทธิ์ แต่ก็ยังซื่อใสบริสุทธิ์อยู่ยังไม่เกิดปัญญาจนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน หรือได้ชิมนิพพาน (พูดแบบบ้านๆ แบบอุปมา) คือ เหมือนคนโง่ที่บริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนแต่ยังไม่รู้จักนิพพาน มีกิเลสมาขวางคั่นไว้ พอกิเลสดับไป (ตามหลักอนิจจัง) มันก็พร้อมบรรลุธรรมได้



เมื่อพิจารณาของทิพย์จนถึงนิพพานแล้ว ท่านก็จะได้ "ฤทธิ์พร้อมธรรม"


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เนื่องจากการพิจารณาของทิพย์จนถึงนิพพานนั้นเป็นการบรรลุธรรมแบบ "เจโตวิมุติ" ดังนั้น ท่านจึงได้อิทธิฤทธิ์พร้อมด้วยบรรลุธรรมในคราวเดียวกันและเป็นสิ่งที่ท่านควรทำเพราะจะช่วยให้ท่าน "เก็บของเก่า" กลับคืนสู่นิพพานได้ ไม่เหลือทิ้งไว้ในสามภพนี้ และไม่ต้องให้ใครมาสืบทอดต่อไป เพราะการสืบทอดต่อไปนั้นหมายถึง การนำไปใช้ก่อให้เกิดกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ล้วนแล้วแต่นำไปสู่ชาติภพใหม่ทั้งสิ้น และถ้าท่านบรรลุธรรมแบบปัญญาวิมุติแล้วท่านไม่ได้ "เก็บของเก่ากลับคืนนิพพาน" ท่านก็จะได้อรหันต์แต่จะไม่ได้นิพพาน คือ ยังนิพพานไม่ได้ จนกว่าจะเก็บกวาดของเก่าของท่านเข้าไปสู่นิพพานด้วย เพราะของๆ ท่าน ถ้าท่านไม่เก็บกวาด แล้วจะให้ใครมาเก็บให้แทน? ท่านคือผู้บำเพ็ญบารมีมาได้ของสิ่งนั้น ท่านอื่นไม่ได้ทำมา ไม่มีส่วนสร้างมา แล้วเขาจะทราบได้อย่างไรว่ามันสร้างมาได้อย่างไร และจะนิพพานได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่ท่านเป็นผู้กระทำให้ของทิพย์เหล่านั้นถึงแก่นิพพาน? เอาละ ดังนั้น ท่านจึงมีภารกิจอีกประการหนึ่ง คือ "การเก็บของทิพย์เข้านิพพาน" ด้วย ก่อนที่ท่านจะนิพพานไปได้ ไม่เช่นนั้น ท่านอาจจะต้องอรหันต์แล้วรออยู่จนกว่าจะมีใครช่วยทำให้ของทิพย์ของท่านนิพพาน



ของทิพย์สามารถนิพพานได้ จากการใช้แบบไม่ก่อให้เกิดกรรมใหม่ๆ ?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ ท่านสามารถทำให้ของทิพย์นั้นๆ "นิพพาน" ได้ด้วยการ "ใช้แบบไม่ให้เกิดกรรมใหม่" ของทิพย์นั้นๆ ก็จะสิ้นสภาพในที่สุด เพราะการใช้งานมากถึงจุดหนึ่ง นั่นเอง ซึ่งท่านควรบำเพ็ญตนด้วยการใช้ของทุกอย่างจนพังไป เช่น ท่านใส่เสื้อ ก็ใส่จนกว่าจะขาดก็เลิกใส่ แต่อย่าเลิกใส่ทั้งที่ยังใช้งานได้เพราะว่ามันอาจจะเป็นเหมือนกับการฝึกจิตท่านให้ใช้ของไม่ถึงที่สุด ไม่ถึงนิพพาน ไม่ถึงจุดดับสลายได้นอกจากนี้ ท่านควรฝึกที่จะใช้ของต่างๆ ในทางโลก "โดยไม่ก่อให้เกิดกรรมใหม่" ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป เพื่อไม่ให้เกิดกรรมใหม่สืบชาติต่อภพต่อไป ทว่า ถ้าท่านยังไม่รีบนิพพาน วิธีการต่างๆ ที่ผมได้แนะนำมานี้ก็ไม่จำเป็นสำหรับท่านเลย ท่านไม่จำเป็นต้องรีบเก็บกวาดของเก่า ของท่าน ท่านสามารถปล่อยไว้ในสามภพที่ใดที่หนึ่ง ที่มีเทพ-เทวดาดูแลให้หรือสืบทอด "ของทิพย์วิเศษ" นั้นๆ แก่ผู้อื่นที่เหมาะสมต่อไปก็ได้ เพื่อที่ท่านจะได้ "ใช้ในการเวียนว่ายในสามภพนี้" ต่อไปในชาติภพเบื้องหน้า


ขอพลังของสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยประสานแสงธรรมแก่ท่าน สวัสดี



23 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"ร่างอวตารของสิ่งศักดิสิทธิ์" เช่น ร่างอวตารของพระกวนอิม, พระศรีอาร์ฯ ฯลฯ เป็นอย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ เรามาคุยกันเรื่องง่ายๆ เล็กๆ คือ เรื่อง "ร่างอวตารของสิ่งศักดิสิทธิ์" เช่น ร่างอวตารของพระศรีอาร์ฯ ท่านคงอยากทราบว่า เป็นใครกันบ้าง? และจะดูออกได้อย่างไร? เอาละ เรามาคุยกันง่ายๆ สบายๆ ในประเด็นนี้กันครับ


"ภาคแบ่งฯ" กับ "ร่างอวตารฯ" จะมีการดำเนินในในวัฏฏะฯ ที่ต่างกัน


อย่างแรกที่ท่านควรทราบและแยกแยะให้ได้ก่อนคือ "ภาคแบ่งฯ" และ "ร่างอวตาร" สองอย่างนี้ คล้ายกันมาก แต่ไม่เหมือนกันนะครับ มันต่างกันอย่างไรละ? อย่างนี้ ภาคแบ่งฯ นี้ ถ้าแบ่งภาคมาจากองค์ใด ท่านจะเดินตามรอยองค์นั้นเพื่อกลับสู่ "จิตเดิมแท้" ไม่เปลี่ยนแนวทางไปอย่างอื่น เช่น ภาคแบ่งของพระเมตตรัยโพธิสัตว์ ถ้าแบ่งออกมาบำเพ็ญบารมีสมมุติแบ่งได้เป็น "เทพเต่ามังกร" เมื่อบำเพ็ญบารมีแล้ว ก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิม นั่นคือ การดำเนินไปของ "ภาคแบ่ง" ดังนั้น ท่านจะมี "องค์ต้นธาตุต้นธรรม" ที่แบ่งภาคท่านมาเป็น "ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น" ซึ่งเป็น "ตัวตนที่สว่างไสว" อยู่เบื้องบนคอยชี้นำทาง ท่านจะมีรอยกรรมและจะกระทำหน้าที่คล้ายกัน เดินตามรอยกันเลย ทว่า "ร่างอวตาร" นั้น จะไม่เป็นเช่นนั้น ร่างอวตารฯ จะเปลี่ยนวิธีการบำเพ็ญของตนไปตามแต่ว่าจะ "อวตารเป็นอะไร" ยกตัวอย่างเช่น พระศรีอาร์ฯ อาจอวตารมาเกิดเป็นผู้หญิงหนึ่งชาติ (ชาติเดียวเท่านั้น) ก็จะอวตารเป็นพระอวโลกิเตศวรก่อนแล้วมาเกิดเป็นผู้หญิง สมมุติว่าเป็น "บูเช็คเทียน" ก็แล้วกันนะ นี่ วิถีการบำเพ็ญารมีก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ต่างกันออกไป อย่างนี้เรียกว่าอวตารฯ



พระศรีอาร์ฯ อวตารเป็นพระรามเจ้า, พระรามเจ้าอวตารเป็นพระศรีอาร์ ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ สิ่งศักดิสิทธิ์และพระนิตยโพธิสัตว์ สามารถจะอวตารเป็นอีกองค์ได้เช่น พระรามเจ้าอวตารเป็น "พระเมตตรัยโพธิสัตว์" ในขณะที่พระเมตตรัยโพธิสัตว์อวตารเป็น "พระรามเจ้า" อย่างนี้ ก็เป็นไปได้ เพื่ออะไร เพื่อที่จะศึกษาแนวทางการบำเพ็ญบารมีของกันและกันนั่นเอง ซึ่งมันก็คือ การแลกเปลี่ยนแนวทางการศึกษาเรียนรู้ในวัฏฏะฯ ที่ต่างมุมมองกันนั่นเอง ดังนั้น ท่านที่ติดตามพระเมตตรัยโพธิสัตว์ก็อาจจะได้บำเพ็ญบารมีร่วมกับ "พระรามเจ้า" ซึ่ง "อวตารเป็นพระเมตตรัย" ก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากผลแห่ง "การอวตาร" นั่นเอง ดังนั้น แม้แต่พระเมตตรัยเองก็อวตารเป็นพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ได้ด้วย เช่น พระกษิติครรภ์อวตาร, พระสมันตรภัทรอวตาร, พระมัญชุศรีอวตาร ฯลฯ เป็นต้น แต่ "จิตเดิมแท้ของท่านมาจากพระเมตตรัยโพธิสัตว์" นั่นเอง หรือถ้าท่านต้องการ นามแบบเต็มๆ ก็ควรจะเรียกว่า "พระเมตตรัยะ-กษิติครรภ์อวตาร" (พระเมตตรัยะที่อวตารเป็นพระกษิติครรภ์ เป็นต้น) แต่ปกติจะไม่ตั้งนามอย่างนี้นะครับ อันนี้ เราตั้งกันเพื่อให้เข้าใจเรื่องอวตารเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงก็มีหลายท่านที่เป็นร่างอวตาร เช่น พระถังซัมจั๋ง นี่ก็ร่างอวตารของพระ "เมตตรัยโพธิสัตว์" ที่อวตารเป็นพระกษิติครรภ์อีกที เหมือนกับพระนางบูเช็คเทียน ก็เป็นร่างอวตารของพระเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่อวตารเป็น พระอวโลกิเตศวรอีกที พอจะเข้าใจไหมครับ? เอาละ ต่อไปผมจะบอกวิธีจับสังเกตุว่า "ร่างอวตาร" นั้น ท่านสวมรอยอวตารเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์องค์อื่นแล้วเล่นละครไม่ค่อยเหมือน "องค์ต้นแบบ" อย่างไร? ในโพสต่อไปครับ



"องค์ต้นแบบ" จะคงเดิม 100% แต่ "องค์อวตาร" จะแตกต่างไป ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ องค์อวตารจะไม่สามารถบำเพ็ญบารมีได้ดังเช่น องค์ต้นแบบถึง 100% ได้เลย มันจะมี "ข้อแตกต่าง" เฉพาะตัวของท่าน อันอาจเกิดจากบุญกรรมทำมา ไม่เหมือนกัน เบี่ยงเบนให้มันมีวิถีทางที่ต่างออกไปครับ และเหตุนี้เอง ท่านจึงสามารถจับสังเกตุ ได้ว่า "องค์ไหนคือองค์อวตาร" เพราะมันมีพิรุจน์ ที่จับผิดได้ว่าแตกต่างไปจากองค์ต้นแบบ นั่นเอง เช่น พระอวโลกิเตศวร จะไม่มีวิสัยที่ทำตัวเสมอชายหรือเหนือกว่าชายแบบ "พระนางบูเช็คเทียน" เช่นนั้น นี่ละที่เราพอจับสังเกตุได้ว่า "องค์นี้เป็นองค์อวตาร" ไม่ใช่องค์ฯ ที่มาจากองค์ต้นแบบจริงๆ หรือพระถังซัมจั๋งที่เผลอไปหลงเสน่ห์นางแมงมุมจนไปให้สัจจะว่าจะแต่งงานด้วย ต่อมา ก็ผิดสัจจะไม่ยอมแต่งงานเพราะรู้ว่านางเป็นปีศาจแมงมุม อันนี้ ก็เป็นพิรุจน์ที่เราจับได้ว่าไม่ใช่องค์พระกษิติครรภ์องค์ต้นแบบนะครับ (องค์ต้นแบบจริงๆ ไม่หนีไป เพราะกลัวปีศาจแบบนี้ แต่ท่านจะกล้าหาญและยอมเสี่ยงตายที่จะโปรดสัตว์ครับ) เอาละ ทีนี้ ในโลกของเรา มีทั้งองค์อวตารและภาคแบ่งฯ มาเกิดร่วมกันถ้าท่านต้องการ "เดินตามรอย" ดั้งเดิมที่ถูกต้อง ท่านก็ควรดูตัวอย่างที่ได้จาก "องค์ภาคแบ่ง" ดีกว่า เพราะองค์อวตารนั้น จะมีอะไรที่แตกต่างไป ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ทว่า มันก็เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งของการบำเพ็ญบารมี ก็เท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้โลกเรานี้มีสีสันขึ้นมากเลยทีเดียว ซึ่งผมจะได้เล่าต่อไปว่าเรื่องราวความวุ่นวายนั้นเป็นอย่างไร?



แล้ว "ท่าน" ละ เป็นองค์อวตารขององค์ใด หรือองค์ภาคแบ่งฯ กันแน่ ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ "ตัวท่านเองละ" แบ่งภาคมาจากจิตเดิมแท้ขององค์ใด? หรือเป็น "ร่างอวตาร" ขององค์ใดบ้างไหม? เอาละ อย่าคิดว่าผมชวนคุณให้หลงตัวเองนะ แต่มันเป็นความจริงว่าในโลกนี้ คนเราทุกคน ก็มาจากสิ่งศักดิสิทธิ์กันทั้งนั้น แต่เราหลงลืม และไม่เคยคิดที่จะ "ติดตามรากเหง้า-กำเนิดแห่งจิตวิญญาณ" ของตนเองเลย เราจึงไม่เห็นคุณค่าและความสามารถของตนเอง เอาละ ผมยกประเด็นนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการให้คุณหลงตัวเองมากขึ้น แต่ต้องการให้คุณลอง "ค้นหาจุดกำเนิดของจิตวิญญาณของคุณเอง" ว่ามารากเหง้ามาจากท่านใด สิ่งศักดิสิทธิ์องค์ใด และท่านจะได้เดินตามรอยนั้นได้ถูกต้องไม่หลงทางไปทางมืด หรือทางมาร ไม่ทำตัวเหลวแหลก เหลวไหล เพราะท่านก็คือ "ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์องค์หนึ่ง" เหมือนกัน (ท่านก็ควรที่จะทำตัวให้ดี เพื่อเป็นเกียรติ์แก่สิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ ใช่ไหมครับ) เอาละ ทีนี้เรามาติดตามหา "จุดกำเนิดของจิตวิญญาณของพวกเรากัน" ว่ามีที่มาจากที่ใด? ซึ่งมันไม่ยากเลย เพราะสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ จะส่งพลังลงมานำทางเราอยู่ตลอด และถ้าเรามีจิตสัมผัสละเอียดหรือช่างสังเกตุสักนิดก็จะทราบได้ว่า "ต้นกำเนดของพลังงานที่ส่งมานั้น มาจากท่านใด" เราก็จะเดินตามทางของท่านได้ไม่ยากเลยครับ เอาละ ท่านผู้อ่านท่านใด ที่สัมผัสได้บ้างแล้ว ก็ลองเล่าประสบการณ์มาแชร์ให้กันดูบ้าง ก็ได้นะครับ



องค์อวตารของพระยูไลจะสำเร็จ "พุทธะ" ได้ในชาติเดียวที่เกิดนั้นเลย


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ สำหรับองค์อวตารของพระยูไล จะสามารถได้ "พุทธะ" ได้ชาติเดียวที่มาเกิดนั้นเลย ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ดี แต่ถ้าไม่ตั้งใจให้ดี หรือมีสิ่งอื่นดึงให้ออกนอกทางไป ก็จะไม่ได้พุทธะในชาตินั้นๆ ทว่า จะมีอะไรมากมายมาน้อมนำดึงไปให้ "ปฏิบัติอย่างยิ่งยวด" เพื่อให้ได้พุทธะในชาตินั้นๆ เลย ทำให้ "ร่างอวตารของพระยูไล" จะได้รับวิบากกรรม หรือต้องทำกิจอะไร มากกว่าคนทั่วไปได้ เพื่อเร่งให้ได้ถึง "พุทธะ" ในชาติเดียว นั่นเอง ทีนี้ "พุทธะ" หรือพระยูไล ก็มีหลายแบบ เช่น พุทธะที่มาจากตำแหน่ง "ดาวเทพนพเคราะห์ทั้ง 7" ก็อย่างหนึ่ง พุทธะบำเพ็ญทาง "ไภษัชยคุรุพุทธะ" ก็แบบหนึ่ง (แบบนี้ จะไม่ถือบัญชีบุญ-กรรม แต่จะถือหม้อยา "ธรรมโอสถ" แทน) พุทธะที่บำเพ็ญทาง "พระอมิตาภะ" ก็อย่างหนึ่ง แล้วยังมีพุทธะในแบบอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ พระยูไลเองก็อาจจะ "อวตารเป็นยูไลองค์อื่น" ก็ได้เช่น พระยูไลไภษัชฯ อาจจะอวตารเป็นพระยูไลแห่งดาวเทพนพเคราะห์ ก็ได้ อนึ่ง ท่านควรทราบด้วยว่าการที่สิ่งศักดิสิทธิ์จะอวตารเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์องค์อื่นได้นั้น ท่านก็ต้องมีบารมีมากพอที่จะเข้าถึงสิ่งที่ท่านอวตารนั้นๆ ไม่ใช่ว่าพระโพธิสัตว์จะอวตารเป็นพระยูไลได้ (เพราะบารมีต่ำกว่า) เราจะไม่เรียกว่าการอวตาร ถ้าพระโพธิสัตว์สำเร็จพุทธะ เราจะเรียกว่าการบำเพ็ญบารมีถึงพุทธะ แต่ไม่เรียกว่าอวตาร



พระกวนอิม ก็คือ "องค์อวตารของพระอมิตาภะพุทธเจ้า" แห่งสุขาวดี


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ พระยูไลบนสุขาวดี ได้อวตารพระองค์เองลงมาทำหน้าที่ในระดับที่ล่างลง มากมาย เช่น ระดับเทพ, ระดับโพธิสัตว์เพื่อให้ปวงสัตว์สามารถเอื้อมถึงท่านได้ หรือแม้แต่พระโพธิสัตว์บางองค์เช่น พระศรีอาริยเมตตรัย ที่จะมาโปรดสัตว์ในยุค "ยากเข็ญ - ซึ่งสัตว์มีบุญน้อย-กรรมมาก" นี้ ท่านยังต้องอวตารลงมาเป็น "พระกษิติครรภ์" ก็มี เพื่อให้ท่านสามารถโปรดสัตว์ที่มาจากนรกได้ (มนุษย์โลกในยุคนี้จะมีที่มาจากสัตว์เบื้องล่าง จากอบายภูมิสี่) นี่คือวิธีที่ "ท่านที่มีบุญบารมีมากจะใช้เอื้อมลงมาโปรดสัตว์" ท่านจึงต้อง "อวตารลงมา" อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าบุญบารมีเต็มของท่าน นอกจากนี้ ท่านก็ควรทราบว่าพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีพอเหมาะ พอควรกับสัตว์โลกยุคปัจจุบัน คือ พระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่ง "อวโลกิเตศวร" สำหรับพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในรูปกายอื่นจะมีบุญบารมีสูงเกินไป สัตว์โลกจะเอื้อมไม่ถึง ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจ ถ้าเราจะได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้เรื่องราวของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่มากกว่าพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ และเพราะเหตุนี้ นี่เอง "พระยูไลอมิตาภะ" จึงต้องแบ่งภาคแล้วอวตารมาเป็น "พระกวนอิม" ซึ่งมีรูปกายแบบอวโลกิเตศวรและเพราะเหตุนี้ พระโพธิสัตว์รูปกายอื่น จึงไม่ค่อยมีบทบาทโดดเด่นท่ามกลางหมู่สัตว์เท่าใด และเพราะเหตุนี้ ด้วยเหมือนกันที่ "องค์ดาไลลามะ" จะนับว่าเป็นองค์แทนของ "พระอวโลกิเตศวร" ในขณะที่ "ปันเชนลามะ" ซึ่งเป็นองค์แทนของ "พระยูไล" กลับมีอำนาจน้อยกว่าและอยู่อย่างลับๆ มูลเหตุนี้ท่านพอจะเข้าใจหรือไม่? ที่ไม่เลือกองค์แทนของพระยูไล (ปันเชนลามะ) ให้มีอำนาจกว่าองค์แทนของพระอวโลกิเตศวร (ดาไลลามะ)



พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมากจะอยู่เบื้องหลังพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อย ?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบ คือ ในยุคยากเข็ญ ที่ปวงสัตว์มีกรรมมาก-บุญน้อยนี้ พวกเขาจะเอื้อมถึงได้แต่พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อย คือ ท่านที่มีรูปกายเป็น "อวโลกิเตศวร" เท่านั้น น้อยคนนักที่จะเอื้อมได้ถึงท่านที่มีบุญบารมีมากกว่านี้ ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้า "ผู้หญิง" กลายเป็น"ผู้นำประเทศ" ทั้งๆ ที่มีผู้ชายที่มีความสามารถสูงกว่า มากมาย แต่ว่าคนก็ไม่เลือกเขา หรือทำไมผู้หญิงจึงมีตำแหน่งสำคัญมากขึ้น มีอำนาจมากขึ้นในโลกยุคสมัยนี้ นั่นแหละ ยุคนี้ มนุษย์ทั้งหลาย เอื้อมได้เท่านั้นไม่อาจเอื้อมพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากกว่านั้นได้และท่านใดที่ได้ทำบารมี "มากเกินเอื้อมแล้ว" ปวงสัตว์ก็ไม่อาจเอื้อมเอาท่านกลับมาได้อีกท่านก็อาจจะต้องจรออกไปนอกประเทศ ทั้งๆ ที่คนมากมายร้องหาให้มาท่านก็ไม่อาจกลับมาได้ เพราะอะไร? เพราะท่านสร้างบารมีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมถึงได้ ไปแล้ว! ดังนั้น ท่านเหล่านี้ จึงต้องกลายมาเป็น"ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง" ผู้นำหญิงทั้งหลายแทน ทว่าผู้ชายหลายคนที่มีบารมีเป็น "อวโลกิเตศวร" ก็มีมาก ท่านจะสังเกตุเห็นได้ว่าผู้ชายเจ้าสำอางค์ หน้าขาวใส ตี๋ๆ จีนๆ แต่งตัวดีๆ ทั้งหลาย (ซึ่งเป็นลักษณะของอวโลกิเตศวร) มักจะได้มีอำนาจ มีบทบาทในทางโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ชายที่มีความสามารถสูงๆ เก่งมากๆ บารมีล้นเกินไป จะไม่ได้เข้ามาถึงจุดนี้ได้เลย ทว่า แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอำนาจหรือตำแหน่งใดๆ เหตุไฉน? พวกเขาจึงมี "อิทธิพล" ต่อสังคมโลกนี้ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ได้เล่า?


ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงปลุกเหล่าร่างอวตารให้ตื่นขึ้น สวัสดี



22 ส.ค. 2555


"เสียงจากร่างอวตาร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สิ่งศักดิสิทธิ์จะอวตารมาในปางใดเพื่อช่วยโลกในยุคใดกันบ้าง?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล็กๆ คือ เรื่อง "การจุติของเทพเทวดา" ซึ่งมีหลายแบบ เป็นเกร็ดความรู้ ให้ฟังกันง่ายๆ นะครับ แต่คิดว่ามันจะมีประโยชย์พอที่จะช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากการถูกครอบงำด้วย "ตัวปลอม" ได้ครับ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาคุยกันง่ายๆ เลย


การจุติของเทพเทวดา อย่างไรที่เราจะเรียกว่า "อวตาร" และ "ปาง"?


เอาละ อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจก่อนคือ การจุติของเทพเทวดา อาจจะมาจากหลายสาเหตุ 1. หมดบุญ 2. ต้องโทษทัณฑ์ 3. อาสามาเกิดเอง 4. รับ "กิจ" จากสวรรค์ ฯลฯ เอาละ อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ คำว่า"อวตาร" นั้น จะใช้เฉพาะเทพเทวดาที่จุติมาตามแบบที่ 4. คือ รับกิจจากสวรรค์ ซึ่งท่านจะมาเกิดแล้วมี "รูปนาม" ที่เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพระนารายณ์อวตารลงมาเกิด ท่านจะไม่เหลือมีรูปนามเดิม เป็นนารายณ์อีก นี่คือ ความไม่เที่ยง ท่านจะมีรูปนามใหม่ ตามแต่สวรรค์ จะกำหนดให้เช่น หมูเผือก (ปางที่ 1), เต่าทอง (ปางที่ 2) ฯลฯ คือ ท่านอาจลงมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ได้ (รูปนามเปลี่ยนไป) และเมื่อตายลงแล้วจากชาตินี้จะต้อง "ท่องไปในวัฏฏะสงสารเอง" นั่นหมายความว่า พระนารายณ์องค์ใดที่ยอม "อวตาร" ลงมาในปางใดปางหนึ่ง ท่านต้องยอมสละ "ความสุขในวิมานของตน" แล้วลงมาเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร ในรูปนามอื่น ซึ่งยังไม่ทราบเลยว่าเบื้องหน้าถัดจากชาติที่อวตารแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรต่อไปแต่ก็ต้องมี "ผู้เสียสละ" เมื่อมีผู้เสียสละแล้ว เหล่าทวยเทพฯ ต่างก็จะช่วยอำนวยพรชัย และคอยช่วยเหลือท่านมากมาย อย่างแรกเลย พระพรหมก็จะช่วยเปิด "ยุคสมัยให้ท่าน" มียุคสมัยของตนเอง ท่านจะเป็นหนึ่งในยุคของท่านนั้นๆ และเหล่าพราหมณ์ทั้งหลาย จะได้รับสาร์นจาก องค์พรหมเพื่อรอคอยพร้อมต้อนรับการ "อวตารมา" ของสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ สืบต่อไป



คำว่า "ปาง" และ "ยุคสมัย" ของสิ่งศักดิสิทธิ์แต่ละองค์ต่างกันไฉน?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ คำว่า "ปาง" นั้น ท่านจะนับให้เฉพาะท่านที่ได้รับ "กิจจากสวรรค์" เท่านั้น การจุติลงมาโดยไม่ได้รับกิจจากสวรรค์เช่น ลงมาเก็บบารมีเพิ่มของตนเอง เมื่อเห็นท่านอื่นๆ ได้รับกิจสวรรค์ลงมาตนก็ลงมาช่วยบ้าง จะได้บารมีบ้าง อย่างนี้ เขาไม่นับ "ปาง" ให้ แต่จะนับปางให้เฉพาะ "ภาคกิจจากสวรรค์" เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากิจของพระนารายณ์ใน "กัปนี้" มีทั้งหมด 10 ชาติที่ต้องลงมากระทำ ท่านก็จะนับให้ว่ามี "10 ปาง" จากนั้น เจ้าสวรรค์ท่านก็จะเรียกประชุมองค์ที่มีบารมีคือ พระนารายณ์ทั้งหมด สมมุติว่าในพรหมโลก มีทั้งหมด 1 ล้านองค์ ท่านก็จะเรียกถามความสมัครใจก่อนว่า "พระนารายณ์องค์ใด ที่จะยอมสละตนลงไปเกิดในปางใดบ้าง?" ถึงตอนนี้ ก็จะเหลือไม่มากนักจากนั้น ก็ค่อยมาคัดตามคุณสมบัติและความเหมาะสมอีกทีเช่น ถ้ามี 1 แสนองค์อาสาเป็น "ปางกัลกี" (ได้เกิดเป็นมนุษย์) แต่มีเพียง 0 องค์ ที่อาสามาเป็น "ปางวราหาวตาร" (หมูป่า) อย่างนี้ ของมันก็แน่อยู่แล้ว ใครๆ ก็ต้องอยากได้ปางดีๆ ใช่ไหมครับ แต่สุดท้าย ก็ต้องเลือกตามคุณสมบัติที่เจ้าสวรรค์ท่านจะทราบดีด้วย "ญาณของท่าน" ว่าท่านใดเหมาะสมที่จะอวตารลงมาในปางใด ท่านก็จะประชุม จัดสรร กันจนได้ครบ 10 ปาง จึงจะนับปางให้ท่านเหล่านั้น และท่านเหล่านั้นเมื่อได้ปางแล้ว ท่านก็จะได้มีบริวารเทพเทวดาที่คอยช่วยเหลือ "ทั้งสวรรค์" เพื่อให้ภารกิจของท่านนี้ประสบผลสำเร็จ และหลังจากลงไปเกิดแล้ว ท่านจะเวียนว่ายในวัฏฏะนี้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับท่านเองแล้ว อันนี้ "ต้องพึ่งตัวเอง" ไม่มีผู้ใดช่วยได้เมื่อท่านได้ปางแล้ว ท่านก็จะได้ "ยุคสมัย" ของตัวเองตามมาด้วย กล่าวคือ ท่านจะมาเกิดในยุคสมัยของตนๆ ก็จะยิ่งใหญ่มากในยุคสมัยนั้นๆ ไม่มีใครเหนือกว่าได้ ท่านก็นั่งรอยุคสมัยของตนไปบนสวรรค์ จนกว่าจะถึงวาระท่านก็จะ "อวตาร" ลงมาในรูปลักษณ์นั้นๆ เพื่อทำกิจของตนต่อไป



เทพเทวดาที่ไม่ได้จุติมาในรูปปางนั้น สามารถมาได้ในรูปแบบใดบ้าง?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ เทพเทวดาไม่จำเป็นต้องรอให้ได้รับ "ปาง" ก่อน สามารถจุติลงมา "ก่อนจะหมดอายุขัยบนสวรรค์" ก็ได้ เพื่ออะไรก็เพื่อหลายสาเหตุครับ เช่น 1. เพื่อเก็บบารมีเพิ่ม 2. เพื่ออวตารใหม่3. เพื่อชดใช้ความผิดบนสวรรค์ และ 4. เพราะว่าหมดวาระบุญแล้วฯลฯ เอาละ เราจะมาพูดกันทีละกรณีไป ท่านจะได้เข้าใจนะครับ เช่น กรณีที่ 1 คือ มาเก็บบารมีเพิ่ม เช่น เทพ-เทวดาและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่จุติลงมาเกิดในยุคนี้ เพื่อช่วยกิจพระพุทธศาสนา ตนก็จะได้บารมีเพิ่มครับ กรณีที่ 2 คือ จุติลงมาเพื่ออวตารใหม่ เช่น เดิมตนได้เสวยบุญบารมีในรูป "เทพ" อาจจะลงมาเพื่อบำเพ็ญให้ได้อวตารในรูป "เซียน" (แต่อวตารนี้ ไม่มีปางนะครับ เขาไม่นับปางให้) กรณีที่ 3 คือ ชดใช้ความผิดบนสวรรค์ เช่น เทพตือโป้ยก่าย ได้ทำผิดกฏบนสวรรค์ต้องโทษทัณฑ์มาเกิดเป็นหมูหลายชาติแล้วจึงเป็นคน ต้องพบความรักที่สุดแสนรันทดอีกหลายชาติ เมื่อพบพระถังซัมจั๋งแล้ว จึงจะหมดกรรมได้ขึ้นสวรรค์ตามเดิม เอาละ และแบบที่ 4 หมดบุญนี้ คงไม่ต้องอธิบายมากนะครับ หมดบุญแล้วก็ต้องจุติตามระเบียบนั่นเองครับทีนี้ ผมขออธิบายเพิ่มในกรณี "อวตาร" เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่กันบ้าง ยกตัวอย่างเช่น จากรูปลักษณ์ "กษิติครรภ์" สามารถอวตาร มาเพื่อจะได้รูปลักษณ์ใหม่เป็น "เมตตรัยโพธิสัตว์" ก็ได้ครับ อันนี้ พอจะเข้าใจไหมครับ? อย่าไปยึดว่าความเป็นรูปลักษณ์กษิติครรภ์ หรือพระเมตตรัยยะนี่เป็น "ตัวตนของตน" ของใครคนใดคนหนึ่งนะครับ มันก็ไม่ต่างจากรูปลักษณ์ของพญานาค, พญาครุฑ ฯลฯ ที่ก็มีได้หลายตนดังนั้น แม้แต่พระกวนอิมฯ ก็ "อวตาร" ลงมาเป็น "พระกาลี" ก็ได้ครับ



เทพเทวดาที่ไม่ได้จุติมาในรูปใดเลย สามารถใช้วิธีใดบ้างทำกิจบนโลก?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ แล้วถ้าเทพเทวดาไม่ได้จุติลงมาบนโลก ท่านจะมีวิธีทำกิจของตนได้อย่างไรบ้าง ก็มีได้หลายแบบครับ เช่น 1. ลงมาประสานงานกับมนุษย์ชั่วคราว 2. ประสานพลังกับสังขารมนุษย์ 3. แบ่งภาคส่วนลงมาแทนตน ฯลฯ ลองมาดูแบบแรกก่อน คือ การลงมาประสานงานกับมนุษย์ ก็ไม่ยากครับ มาได้ 2 กรณี 1. เจ้าสวรรค์ท่านให้กิจจึงลงมาได้ 2. เพราะมนุษย์ร้องขอ ถือเอาเป็นกิจนิมนต์ ก็ได้ครับ เช่น "วันไหว้เจ้า" ถ้ามนุษย์ไหว้ท่านๆ ประสงค์จะลงมาให้พร ท่านก็มาได้ครับ อ้างเหตุนี้ลงมาได้ แต่ต้องผ่าน "พระอินทร์" ก่อน สมมุติว่าท่านมาจากพรหมโลกก็ดี หรือ "สุขาวดีโลกธาตุ" ก็ดี ก็มาที่สวรรค์ชั้นที่สองก่อน ติดต่อที่ "กองอำนวยการ คือ พระอินทร์" ครับ แค่เรื่องจัดเวรเทพเทวดาที่จะลงมาเกี่ยวข้องกับโลกนี้ ก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย พระอินทร์เหนื่อยแลว ไม่มีเวลาที่จะไปใช้บัญชีบุญกรรม ดูกรรมของสัตว์ทีละกรรม ทีละตนได้ไหวนะครับ เอาแค่ใช้ "การจัดตารางเวรเทพเทวดา" นี่ ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วครับ พระอินทร์จึงเป็น "ศูนย์กลางของการโปรดสัตว์โลก" สำหรับเทพเทวดาที่มาจากทุกสารทิศก็มาติดต่อท่านก่อนทั้งหมด เอาละ เราจะเรียกท่านว่า "เง็กเซียนฮ่องเต้ฯ" ก็แล้วกัน จะได้เข้าใจ นึกภาพออก ทีนี้ ลองมาดูเทพเทวดาที่ประสานพลังกับมนุษย์บ้าง แบบนี้ท่านจะเลือก "ร่างสังขาร" ที่เหมาะสมนะครับ แล้วจึงประสานพลังลงมา ทำให้คนๆ นั้นเหมือน "ตัวแทน" ของท่าน บ้างก็จะเป็นร่างทรง ก็มี แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นร่างทรงนะครับ ทำตัวเหมือนคนปกติ แต่ได้รับพลังจากท่าน อันนี้ ก็ได้เหมือนกัน ส่วนแบบสุดท้าย คือ การแบ่งภาคให้ "ตัวตน" อีกตัวหนึ่งลงไปทำกิจโปรดสัตว์ แล้วท่านก็จะคอยช่วยอยู่ในสวรรค์อีกที แบบนี้ ก็เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด ใน "สุขาวดีโลกธาตุ" นะครับ



"เทพนอกรีต" จะไม่ได้อยู่ในระบบการทำกิจแบบนี้ แล้วพวกเขาทำยังไง?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ นอกจากระบบปกติที่ผมกล่าวถึงมาแล้วนี้ ยังมี "เทพนอกรีต" ที่ทำหน้าที่นอกระบบออกไปอีก เอาละ พวกเขาก็คือ เทพที่ "หนีทัณฑ์สวรรค์ลงมา" กบดานในโลกมนุษย์ที่เราเรียกว่า "ซาตาน" ก็ดี ภาคมืด ก็ดี นั่นแหละ ทีนี้ เขาก็ทำกิจเหมือนกับว่าเป็นเทพที่ถูกต้องเลย คำถามคือ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรละครับ ว่าเรากำลังประสานงานอยู่กับผู้ที่ทำตามกฏสวรรค์หรือว่า "เทพนอกรีต" นี่ละปัญหาละ? เพราะมันเหมือนกันมาก จนแทบแยกแยะไม่ออกเลย เทพนอกรีต ก็ทำกิจเหมือนเดิม เพราะเขายังไม่ตายจากความเป็นเทพ เขาก็ดูเหมือนเดิมทุกประการ มนุษย์ก็ไม่รู้เขาได้รับกิจสวรรค์มาไหม? มาอย่างถูกต้องหรือไม่? บางก็มาทำดี มาให้พรแก่เรา ฯลฯ อย่างนี้ เราจะทราบได้อย่างไรละว่าเขามาแบบไหน? นอกรีตหรือไม่? คำตอบคือ "มนุษย์ไม่มีทางรู้หรอก" นอกจากจะมี "ญาณขั้นสูง" ที่มากพอจะเชื่อมต่อกับ "เจ้าสวรรค์ได้" ก็จะถามท่านได้โดยตรงว่าท่านนี้มาทำกิจตามบัญชาสวรรค์หรือไม่? แล้วทั้งเทพที่มาอย่างถูกต้องและเทพนอกรีต ก็ทำงานแข่งกันบนโลก อย่างนี้ มนุษย์จะแยกแยะได้ยังไง? เป็นไปได้ยากมากครับ แต่ถ้าท่านมีปัญญาจริงๆ ท่านก็อาจจะเข้าใจได้เช่น ถ้าท่านเข้าใจเรื่อง "ยุคสมัย" และ "ปาง" ท่านก็จะทราบว่าภายใน 5,000 ปีนี้เป็นยุคสมัยของ "พระนารายณ์ปางที่ 9" หรือ "พระพุทธเจ้า" นั่นเอง ไม่มี "นารายณ์องค์อื่น" มาอีก ถ้าท่านเห็น "รูปลักษณ์ของนารายณ์มาโปรดท่าน" แสดงว่าเขาไม่ใช่อวตารครับ เพราะถ้าอวตารไปแล้วจะไม่เหมือนเดิม แต่จะเหมือนรูปลักษณ์ที่สวรรค์กำหนดไว้ให้นะครับดังนั้น ถ้ามีพระนารายณ์รูปลักษณ์นี้มาติดต่อท่านก็ต้องเช็คว่าท่านมาได้อย่างไร? ถูกกฏสวรรค์หรือเปล่า? ยิ่งถ้ามาแบบ "ตามกิเลส" ของเรา ก็ต้องระวังหน่อย เช่น เราอยากได้ตำแหน่ง ส.ส. อ้าว ท่านก็มาให้พร นี่มันก็แปลกๆ อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น ถ้าเจอแบบนี้ ก็ควรระวัง ตั้งสติ นะครับ



สิ่งศักดิสิทธิ์ "อวตาร" มาในปางต่างๆ อาจทำกิจที่ส่งผลลบต่อมนุษย์ได้


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจคือ เทพสวรรค์ที่มาในปางต่างๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องมา "สนองกิเลสมนุษย์" เลยแม้แต่น้อย แต่ท่านมาด้วย "กิจสวรรค์" ซึ่งก็อาจนำมาซึ่งภัยต่างๆ แก่มนุษย์ก็ได้ ทว่า นั่นอย่าได้โทษใครอื่นเลย คนที่ได้รับผลร้าย ภับพิบัติทั้งหลาย ก็ล้วนได้รับเพราะ "กรรมของตน ก่อไว้เป็นเหตุมาก่อนทั้งนั้น" เช่น พระกาลี เมื่อท่านอวตารลงมา ใน "กลียุค" ก็จะมาพร้อมความมืดมนและการเข่นฆ่ามากมาย แต่อย่าไปโทษท่านละมันเป็นกรรมของปวงสัตว์ในยุคนั้น สมัยนั้น ทว่า ท่านจะลงมาหรือทำกิจก่อนยุคของท่านไม่ได้ เช่น ในยุคนี้ ยังไม่ใช่ "กลียุค" เพราะยังเป็นยุคที่พระพุทธเจ้าทำกิจอยู่จนกว่าจะครบ 5,000 ปี ยังนับว่าอยู่ในยุคนารายณ์ปางที่ 9 อยู่ จะยังไม่ใช่ "กลียุค" ยังไม่ใช่ "ยุคของพระกาลี" อันนี้พอจะเข้าใจ ใช่ไหมครับ? (ก่อนหน้าที่ ก็มีคนเข้าใจผิดเยอะมากว่ายุคนี้เป็นกลียุค ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่นะครับ) เอาละ ตราบใดที่ท่านทั้งหลาย ยังคงช่วยให้พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ต่อไป มันจะไม่เกิด "กลียุค" ขึ้นครับ ท่านพอเข้าใจหรือยัง? มันจะยังเป็นยุคของการ "รักษา" อยู่คือ เราต้องรักษาพระพุทธศาสนาไว้ เหมือนแนวทางของพระนารายณ์เทพแห่งการรักษานี่เอง พอเข้าใจนะครับ ส่วนอีกพวกหนึ่งที่บอกว่า "พระศรีอาร์ฯ" จะมาเป็นใหญ่แล้วในยุคนี้ ก็ไม่ใช่นะครับ ยังไม่ใช่ยุคของท่านเลย มันยังไม่ถึงครับรอไปอีกครับ รอให้หมดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นี้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน แต่ก็มีบางท่านพยายาม "สวมรอยเป็นพระศรีอาร์" และตั้งตนเป็นใหญ่สร้างยุคสมัยของตนเองขึ้น ในขณะที่พระศรีอาร์ฯ องค์จริงนี้ ก็ลงมาครับแต่มาแต่ลงมาแบบ "เก็บบารมีส่วนตัว" เหมือนพระบรมโพธิสัตว์ที่ต้องมาสร้างบารมีของตนนะครับ ไม่ได้มาในฐานะ "ปางใด" ดังนั้น ท่านจึงยังไม่ได้มี "ยุคสมัยของตน" มันยังไม่ใช่ยุคของท่าน ทำอะไร ก็ไม่ได้ดีนักครับ ยังมีความยากลำบากไปหมด เหมาะกับการสร้างบารมียิ่งยวดครับ ดังนั้น ท่านก็ไม่ต้องมีชื่อเสียง หรือความเด่นดังเป็นที่รู้จักอะไรเลย เพราะมันไม่จำเป็นในการ "ลงมาเก็บบารมี" ครับ แบบนี้ เขาจะลงมาเงียบๆ เก็บบารมีเงียบๆ เพราะถ้าดังมากไป ก็จะไม่ได้บารมีนะครับ มันจะบำเพ็ญเพี้ยนไปหมดเลยส่วนหนึ่ง บางตัวตนของท่าน ก็ลงมา "ค้ำศาสนา" ครับ แบ่งงานกันไป ก็มี "หลายตัวตน" นี่ครับ ภาระหน้าที่ก็มีหลายอย่าง ตัวตนไหน จับงานใดได้ ที่สร้างบารมีให้แก่ตัวได้ ก็จับงานนั้นไป ทำไป เพราะถ้าไม่ทำก็จะไม่มีบารมีเลี้ยงตัว เมื่อเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารแล้วก็อาจไม่รอดจากนรกครับ



สิ่งศักดิสิทธิ์ที่ไม่ได้ "อวตาร" มาในปางต่างๆ อาจเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ได้


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจคือ สิ่งศักดิสิทธิ์ที่ไม่ได้อวตารลงมาในปางใดๆ ก็อาจกลายเป็น "ที่พึ่ง" ของมวลมนุษย์ได้ เช่น ในกลียุคนั้น พระกาลี ได้รับกิจสวรรค์ลงมาโดยตรง โลกจะมืดมน เต็มไปด้วยการเข่นฆ่า ทว่า ยังมีเหล่าสิ่งศักดิสิทธิ์อีกกลุ่มที่อาจจะไม่ได้รับโองการสวรรค์ลงมา แต่ท่านก็อาจทำกิจที่ตรงข้ามและขัดแย้งกับสวรรค์ได้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากเวรกรรมเหล่านั้น "ด้วยบารมีของท่านเอง" ดังนั้น ท่านควรเข้าใจในเทพ-เทวดาด้วยว่า "พวกเขาต้องทำตามบัญชาสวรรค์" แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ส่งผลลบต่อมนุษย์ก็ตาม ท่านควรให้เกียรติ์เทพเทวดาเหล่านั้น ทว่า ท่านก็ยังสามารถร้องขอหรือเชื่อมต่อกับ "เทพเทวดาเหล่าอื่น" ที่ไม่ได้มีปางลงมาเกิด เพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านั้น ได้เช่นกันทว่า ท่านเหล่านี้ "จะต่ำต้อย" และขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง ทำอะไร ก็ไม่ขึ้น เพราะไม่ใช่ยุคของท่าน ท่านจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ มากไม่ได้ท่านก็ต้องมีสภาพที่ตกต่ำและไม่อาจจะช่วยเหลือใครได้มากนัก แบบนั้นเป็นธรรมดา ไม่ว่าท่านจะเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน เช่น เป็นพระศรีอาร์มาเกิด ถ้าไม่ใช่ยุคของท่านๆ ก็ต้องต้อยต่ำ เป็นธรรมดา แต่ถ้าท่านจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ เข้าร่วมกับ "ภาคมืด" เมื่อไร ท่านก็อาจได้รับการปั้นให้ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย มีชื่อเสียง มีอำนาจ มีพวกพ้องบริวาร มากมายได้ ทว่าสุดท้าย ท่านก็จะต้องพบกับความมืดมน และตกลงสู่ภพมืดในที่สุด นั่นเอง


ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยให้ท่านตื่นจากโลกนี้เถิด สวัสดี



21 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS