ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

มหัศจรรย์ "พลังต่างดาว" ที่คุณไม่เคยค้นพบ และไม่เคยได้ใช้พลังนั้น มีหรือไม่?

ฮาโหลๆ ทุกๆ ท่าน อย่าซีเรียส เกินไปนะครับ เพราะวันนี้ ผมมี เรื่องเล่าสบายๆ อันไกลโพ้น ที่ มาจากดาวต่างๆ นอกระบบสุริ ยจักรวาลของคุณ ซึ่งปกติแล้ว ไม่ค่อยมีพลังงานของพวกเขา มาถึง "ดาวโลก" นี้สักเท่าไร? เพราะพลังงานของดาวต่างๆ ในระบบสุริยจักรวาล ก็เพียงพอ สำหรับการวิวัฒนาการของโลก แล้ว ทว่า มันก็ไม่แน่ครับ บางครั้ง ก็มีเหตุจำเป็นให้พลังงานนอกระบบ สุริยจักรวาล เข้ามาสู่โลกเพื่อทำกิจ เฉพาะก็ได้ ซึ่งมนุษย์โลก "น้อยมาก" ที่จะได้รับพลังนี้ครับ เพราะว่ามันน้อย จริงๆ นั่นแหละ ผมจึงเล่าให้ฟังเล่นๆ ไงครับ เพราะมันไม่ได้เป็นพลังหลัก ใหญ่สำหรับโลกของคุณ ทว่า ในบาง ครั้ง มันก็จำเป็นมาก และขาดไม่ได้ครับ เพราะพลังงานอื่นๆ ไม่อาจทำหน้าที่ได้ จึงต้องใช้พลังงานจากดาวที่ห่างไกลไป จากระบบสุริยจักรวาลครับ ดังผมจะเล่า ต่อไปนี้ครับ


พลังงานต่างดาวในระบบสุริยจักรวาล คือ พลังงานหลักที่เชื่อมโยงโลก


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ พลังงานที่เชื่อมโยงกับโลกที่เป็นพลังหลัก คือ พลังของดาวต่างๆ ในระบบสุริยจักรวาล นั้นๆ เอง ทว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะมี แต่พลังงานเหล่านี้ครับ ที่ส่งมายังโลก เพราะยังมีพลังงานที่มาจากดาว ที่อยู่ "นอกระบบสุริยจักรวาล" ที่ถูกส่งมายังโลกด้วย ซึ่งไม่มาก และไม่ บ่อยครั้งนักครับ เพื่ออะไร? เพื่อทำกิจเฉพาะของเขาตามความจำเป็นซึ่ง พลังงานหลักในระบบสุริยจักรวาล ไม่อาจทำได้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ไปเพื่อ "คานดุลยภาพ" ของพลังงานต่างดาวที่ส่งมายังโลกครับ กล่าว คือ "พลังงานจากต่างดาวทุกชนิด" ที่ส่งมายังโลกจะมี "พลังปฏิภาค" หรือพลังงานตรงข้ามที่คอยคานดุลยภาพอยู่ครับ เช่น พลังจากอาทิตย์ ก็มีพลังภาคมืดที่อยู่ในโลกคานดุลยภาพอยู่ครับ ทีนี้ "ดาวเคราะห์" ซึ่ง อยู่นอกสุดของระบบสุริยจักรวาล ยังไม่มี "คู่ปฏิภาค ที่อยู่ในระบบสุริย จักรวาล" ครับ ดังนั้น จึงต้องใช้พลังงานปฏิภาคที่มาจากนอกระบบสุริ ยจักรวาล แทนไงครับ ทีนี้ คงพอเข้าใจนะครับว่าทำไมต้องมีพลังที่มา จากนอกระบบสุริยจักรวาล มายังโลกนี้ด้วยนะครับ (แต่ไม่บ่อยนะครับ)


พลังงานแห่งดาวมฤตยู ที่สามารถใช้พลังของดาวทุกดวงไปสู่ภัยพิบัติ


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "พลังของดาวมฤตยู" ที่มีอิทธิพลต่อการเกิด ภัยพิบัติต่างๆ นั้น จะมาจาก "พลังของดาวต่างๆ" ทุกดวงในระบบสุริย จักรวาลนี้ เขาสามารถนำพลังงานเหล่านั้น "ทั้งหมดมาใช้ได้" แต่เขา จะนำมาใช้เพื่อ "ทำให้เกิดภัยพิบัติ" นะครับ เรียกว่าเขาเก่งมาก ที่ดึง เอาพลังงานของดาวทุกดวง ในระบบสุริยจักรวาลนี้ มาใช้ได้หมดครับ! ทว่า เขาไม่ได้นำมาใช้เพื่อการสร้างสรรค์นะสิ เพราะเขามีหน้าที่ทำให้ เกิดภัยพิบัติเท่านั้นครับ ดาวมฤตยูจะปรากฏเหมือน "ตัวตลกร้าย" ที่มี ภัยพิบัติมาสู่โลกพร้อมเสียงหัวเราะ นี่ละลักษณะเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ ของเขาเลยละ จำไว้ให้ดีละครับ เพราะถ้าคุณเห็นลักษณะแบบนี้ จะได้ ทราบทันทีว่าพลังของเขามาถึงที่ใด คนใดแล้วบ้างครับ ทว่า ยังมีพลัง ของดาวดวงหนึ่ง ที่สามารถนำพลังดาวทุกดวง ในระบบสุริยจักรวาลนี้ ไปใช้ได้เหมือนกัน แต่เขาจะนำไปใช้ในด้านดี ด้านสร้างสรรค์ครับ หาก จะให้คุณจินตนาการ มันเหมือนระบบสุริยจักรวาล มี "กลจักร" อันหนึ่ง ที่ควบคุมดาวทุกดวง ผมขอเรียกชื่อเล่นๆ ว่า "จักร-เทพนพเคราะห์" ก็ แล้วกัน จักรอันนี้ มีผู้ใช้ได้เพียง 2 ท่าน คือ คนที่ได้รับพลังจากดาวสอง ดวง คือ 1. จากดาวมฤตยู และ 2. จากดาวไซย่า (ซึ่งอยู่นอกระบบสุริ ยจักรวาลออกไปครับ) เขาทั้งสองคน มีพลังมากมาย ในการขับเคลื่อน "ระบบสุริยจักรวาล" นี้ด้วย "จักรเทพนพเคราะห์" แต่ไปคนละทางครับ


แม้แต่ "พลังแห่งพระสุริยเทพ" เทพฝ่ายบุญ-ให้คุณ ก็กลายเป็นภัยได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ พลังของดาวมฤตยู สามารถนำพาให้พลังของ เทพฝ่ายบุญ-ให้คุณแก่มนุษย์ กลายเป็น "ภัยพิบัติได้ด้วย" ดังนั้น แม้ว่า ท่านจะใช้พลังของพระสุริยเทพ ซึ่งเป็นเทพผู้ให้คุณแล้วก็ตาม ทว่า เขา ก็ยังสามารถทำให้พลังของพระสุริยเทพ กลายเป็นภัยแก่ผู้คน จนถึงขั้น กลายเป็นภัยพิบัติได้ทีเดียว เช่น เขาสามารถรวบพลังแสงธรรม ที่คนได้ รับจากพระสุริยเทพมารวมกัน พอมันร้อนมากพอ ก็เอาไปใช้รวมกันให้มี ให้เกิดเป็น "ภัยทางด้านความร้อน-ไฟ" เช่น ไฟใหม้, สงครามก็ได้ครับ ดังนั้น ถ้าท่านจะใช้พลังของเทพฝ่ายบุญ ไม่ว่าท่านใด ก็ตาม ท่านยังไม่ อาจใช้ได้เมื่อยังมีพลังอำนาจของดาวมฤตยูครอบงำอยู่นะครับไม่เช่นนั้น มันจะกลายเป็น "ทำคุณให้โทษ-โปรดสัตว์เป็นบาป" ไปนะครับ ในช่วงที่ ดาวมฤตยูยังมีพลังอำนาจอยู่มากนี้ คุณต้องใช้พลังของดาวไซย่าเท่านั้น ซึ่งเป็นพลังที่ไม่เหมือนกับพลังใดๆ ในระบบสุริยจักรวาลเลย เพราะเขาไม่ มีพลังอะไรแบบดาวต่างๆ ในระบบสุริยจักรวาลเลย (มีพลัง ก็เหมือนไม่มี) อย่าใจร้อน อย่าเพิ่งรีบใช้พลังอะไรในช่วงนี้ (โดยเฉพาะในปีนี้ครับ) นอก จากพลังของดาวไซย่าเท่านั้น (ซึ่งเป็นพลังไร้พลัง แต่สามารถขับเคลื่อน ระบบสุริยจักรวาลได้) พลังอย่างอื่นๆ ล้วนถูกควบคุมด้วยดาวมฤตยู ครับ


อาญาสิทธิ์อาญาธรรมของดาวเทพฯ แต่ละองค์ มีสิทธิ์ขาดไม่เหมือนกัน


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ พลังงานจากต่างดาว ที่ได้รับอนุญาติจากสากล จักรวาลแล้วว่า ทำหน้าที่ได้ในโลกนี้ ล้วนได้รับ "อาญาสิทธิ์-อาญาธรรม มีสิทธิ์เด็ดขาดในเรื่องบางเรื่องได้ เป็นการเฉพาะครับ เช่น ดาวฝ่ายบุญ ก็ มีสิทธิ์เด็ดขาดในเรื่องการให้บุญคุณแก่มนุษย์, ดาวฝ่ายบาป ก็มีสิทธิ์เด็ด ขาดในการให้บาปเคราะห์แก่มนุษย์ ไม่มีใครต้านทานหรือขัดแย้งได้ นอก จาก "พลังปฏิภาค" ที่จักรวาลได้มอบหมายให้มาทำหน้าที่ "คานอำนาจ กัน" ครับ ดังนั้น พลังของดาวทั้งหมดในระบบสุริยจักรวาล ในเวลานี้ จึง ไม่มีพลังของดาวดวงใดที่จะต้านทานพลังอำนาจของดาวมฤตยูได้ นอก จาก "พลังของดาวไซย่า" เท่านั้นครับ นี่คือ อาญาสิทธิ์-อาญาธรรม อัน เป็นสิทธิ์ขาดที่ทั้งสองดวงดาวได้รับจากจักรวาล ให้มาทำหน้าที่ของตน ที่แตกต่างกันบนโลกนี้ครับ โดยดาวมฤตยูจะทำให้เกิดภัยพิบัติ เพื่อให้ผู้ คนไม่หลงโลก และพร้อมปฏิบัติตนเข้าสู่นิพพานครับ แต่ถ้าเขาทำกิจจน รุนแรงเกินไป โลกก็จะอยู่ไม่ได้ สัตว์ที่ยังไม่ถึงวาระจะได้นิพพาน ก็จะได้ รับผลกระทบไปด้วย เพราะโลกยังต้องมีอยู่ต่อไป เพื่อรองรับปวงสัตว์ซึ่ง ยังไม่ถึงวาระนิพพานครับ ดังนั้นดาวไซย่าจึงได้รับมอบหมายทำหน้าที่นี้


พระศรีอาร์ฯ สององค์ อัลฟ่าและโอเมก้า จะได้รับพลังจากดาวทั้งสองนั้น


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือจักรวาลได้เลือกพระศรีอาร์ฯ ทั้งสององค์คือองค์ อัลฟ่าและโอเมก้าในการรับพลังงานจากดาวที่ต่างกันทั้งสองนี้ เพื่อคาน ดุลยภาพอำนาจของกันและกันไว้ ไม่ให้การทำกิจด้านใด ด้านหนึ่ง มาก จนเกินไป พระศรีอาร์ฯ องค์หนึ่งจะได้รับพลังจากดาวมฤตยูและทำหน้าที่ "ขับเคลื่อนภัยพิบัติ" ส่วนพระศรีอาร์ฯ อีกองค์จะได้รับพลังจากดาวไซย่า และทำหน้าที่ตรงกันข้ามกัน องค์แรกจะเหมือน "ตลกร้าย" ที่ตลกแต่จะมี หน้าที่นำภัยมาสู่ปวงสัตว์ องค์ที่สองจะเหมือน "ตัวไม่ได้เรื่อง" เหมือนคน ที่ไม่มีอะไรดีเลย ไม่ได้เรื่องเลย ไม่มีพลังอะไรเลยเพื่อหยุดยั้งพลังแห่งภัย พิบัตินั้น แต่นี่คือ "บุคคลิกเปลือกนอกเท่านั้น" ไม่ใช่แก่นแท้ของบุคคลนะ ครับ อย่าเพิ่งไปติดแต่เปลือกนอกนี้ พลังงานของดาวทั้งสอง มีลักษณะที่ แตกต่างจากพลังงานจากดาวอื่นๆ ทำให้ผู้ที่ได้รับมีบุคคลิกแปลกๆ เช่นนี้ ก็อย่าเพิ่งติดใจอะไรมากกับบุคลิกเช่นนั้นครับ ทว่า ทั้งคู่จะเหมือนคนบ้าๆ เพี้ยนๆ เกินๆ ทะแม่งๆ เหมือนกันแหละครับ 555 อย่าคิดมากมันก็เป็นแค่ "บุคลิกเปลือกนอก" เท่านั้นเอง มันเป็นพลังของดาวดวงนี้ เขามีลักษณะ เป็นแบบนี้กันหมดทั้ง "ดวงดาวเลย" แต่อย่าคิดว่าเขาทำหน้าที่ ของเขา ไม่ได้ละ ที่เขาทำหน้าที่ของเขาได้ก็เพราะเขาเป็นแบบนี้เองนั้นแหละครับ


"จักรเทพนพเคราะห์" จะหมุนรอบ "เสาหลักจักรวาล" ซึ่งอยู่ในอีกคน?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ จักรเทพนพเคราะห์ จะไม่อาจหมุนอยู่ได้ อย่าง โดดเดี่ยว มันจะต้องมีเสาหลักรองรับครับ เหมือนฟันเฟืองในเครื่องจักร กล มันก็ต้องมีเพลามีล้อคู่กัน ทีนี้ จะมีคนที่มีบุญบารมีคนหนึ่งครับ ที่จะมี "เสาหลักจักรวาล" ซึ่งรองรับพลังจักรเทพนพเคราะห์ของคนทั้งสองได้ ในขณะที่คนทั้งสอง กำลังมีพลังจักร เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ นั้น ก็จะมีผู้มีพลัง "เสาหลัก" มารองรับทีละคนๆ ไป ถ้าคนแรกมีพลังรองรับน้อยจนถึงที่สุด ก็จะหมดหน้าที่ รองรับต่อไปไม่ได้ จักรมีพลังอำนาจมากเกินไปแล้วก็จะมี คนที่สองถือคฑาเป็นเสาหลักมารองรับต่อไปครับ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จน กระทั่ง "คฑาอันเป็นเสาหลักแห่งจักรวาล" ออกมา คนผู้นี้จะมีบุญบารมีมี พลังอำนาจด้านความมั่นคงที่สูงมากครับ รองรับพลังของจักรนี้ได้ ก็จะได้ ร่วมพลัง สร้างบารมีร่วมกันต่อไปครับ ดังนั้น การบำเพ็ญบารมีของคนที่ใช้ พลังจักร จึงต้องคู่หยิน-หยางกับคนที่ใช้คฑาดั่งเสาหลักด้วยจึงจะช่วยให้ การหมุนเป็นไปด้วยดีครับ ซึ่งพระศรีอาร์ฯ ทั้งสององค์ที่ได้ครองจักรนั้น จะ ผลัดกันหมุนจักรไปมา (คนละทิศ) คนหนึ่งหมุนไปให้เกิดภัยพิบัติ คนหนึ่ง ก็หมุนไปในทางที่ไม่ให้เกิดภัยพิบัติอะไรเลย ผ่านคนที่รองรับด้วยเสาหลัก นี้ครับ ซึ่งคนที่ถือคฑาดั่งเสาหลักจะเรียงคิวมาบำเพ็ญตามบารมี จากน้อย ที่สุดไปมากครับ คือ คนที่มีบารมีน้อยมาก่อน พอผู้หมุนจักรมีกำลังมากขึ้น ก็จะต้องดึงเอาผู้มีบารมีมากขึ้นมารองรับแทนครับ นอกจากนี้ ยังมี "ตัวตน ในอนาคต" ที่จักรวาลเตรียมตัวให้เขาฝึกปรืออย่างยิ่งยวด รอไว้ ว่าถ้าคน หมุนจักร หมุนไปจนถึงที่สุดแล้วจะหาคนรองรับไม่ได้จะดึงเอาคนนี้มาครับ


เมื่อคุณใช้พลังของดาวไซย่า คุณจะดูไร้สาระงี่เง่าต่างจากพลังสุริยเทพ


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ เมื่อใดที่คุณเปลี่ยนไปใช้พลังของดาวไซย่าก็ จะดูเหมือนคนไร้สาระ, งี่เง่า, ขี้โม้ไปวันๆ เหมือนคนไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง และดูไม่เอาไหนสักอย่างเลย ตรงกันข้ามกับพลังที่ มาจากพระสุริยเทพ ที่จะดูมีสาระ, จริงจัง, น่าเชื่อถือ ฯลฯ มันเป็นเช่นนั้น เอง ความแตกต่างนี้ ไม่ใช่ปัญหา แต่คุณก็ต้องเดินหน้าต่อไป โม้ ในสาย ตาคนอื่นต่อไป เพราะนี่คือวิธีใช้พลังงานของคุณ ถ้าคุณจริงจังมากไปก็ จะได้รับพลังของพระสุริยเทพ ซึ่งดาวมฤตยูจะนำไปใช้ก่อไฟสงครามได้ ถ้าคุณมีสาระมากไป ก็จะได้รับพลังของพระสุริยเทพอีก ดังนั้น คุณต้อง ลอกคราบเอา "ชุดเกราะสุริยเทพ" ออกก่อน แล้วสวมชุดเกราะใหม่ของ "ดาวไซย่า" เข้าไปแทนที่ อย่าคิดมากละ มันก็แค่ "เปลือกนอก" เท่านั้น เอง ถ้าคุณไม่ทำเช่นนี้ คุณก็ไม่อาจรับพลังของดาวไซย่าได้ และไม่อาจ ที่จะหลุดยั้งกระบวนการภัยพิบัติของดาวมฤตยูได้ พร้อมมั้ย ที่จะมีเปลือก นอกเป็นคนงี่เง่า, ไร้สาระ, ตัวไม่ได้เรื่อง, เหลวไหลไม่ได้ความสักอย่าง? ในสายตาของคนอื่น แต่เพื่อภาระกิจที่สำคัญยิ่งยวดนี้ คุณพร้อมหรือยัง?


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล จงส่องทางคุณสู่จักรวาล สวัสดี


26 ก.ย. 2555

"เสียงจากดาวไซย่า"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ถึงเวลาปฏิวัติยึดอำนาจจากมารร้าย คืนพระราชอำนาจแด่ "พระพุทธเจ้า" แล้วหรือยัง?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล็กๆ อย่าซีเรียส ไปครับ เพราะมันเป็นแค่การพูดคุยกัน เฉยๆ เรายังไม่ได้ทำอะไรจริงจังไปเสีย หน่อยครับ นั่นคือ สมมุติว่า พระพุทธเจ้า ในชาติที่เป็นพระเวสสันดร ยกทุกอย่าง ให้ชูชก ก็ยังมีคนที่อุตส่าห์ช่วย จัดการ ชูชกแล้วเอาสิ่งเหล่านั้นมาคืนแก่ท่าน เลย ใช่มั้ยละครับ ทีนี้ ถ้าผมถามว่าใน ครั้งที่พระพุทธเจ้ายกพุทธศาสนาให้แก่ สัตว์สี่เหล่าใหญ่แล้ว "มันสอนไม่ได้" มัน เลี้ยงไม่เชื่อง เราอุตสาห์ปล่อยให้มันได้มี ได้อยู่ ได้เกาะกินศาสนานี้มานานแล้ว มัน ก็ยังเลี้ยงไม่เชื่อง มาแว้งกัดเรา เราควรมั้ย ที่จะ "ปฏิวัติยึดคืนอำนาจ" เพื่อถวายคืน พระราชอำนาจแด่พระพุทธเจ้า น่ะครับ เป็นกระทู้คุยกันเล่นๆ นะครับ อย่าซีเรียส


พระโพธิสัตว์ที่มี "บารมี" ไม่รีบนิพพาน จะก่อกรรมเพื่อศาสนาก็ย่อมได้


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีสะสมไว้มาก และไม่ รีบนิพพาน จะก่อกรรมมากมายเพื่อพระพุทธศาสนา ก็ได้ เพราะท่านไม่ รีบที่จะนิพพาน เมื่อก่อกรรมแล้ว ก็ยืดอกยอมรับกรรมนั้นไว้เอง เพื่อที่จะ สานต่อพระพุทธศาสนาที่แท้จริงให้มีอายุยืดยาวต่อไป ไม่ต่างอะไรกับที่ คนกลุ่มหนึ่งที่วางแผนเพื่อยึดเอาทุกอย่างจาก "ชูชก" คืนมาให้แก่พระ เวสสันดรนั้น (พระเวสสันดรจะเอาคืนมาเองไม่ได้ เพราะจะกระทบต่อสิ่ง ที่ท่านบำเพ็ญบารมีไป ถือว่าให้แล้วเอาคืน คือคนไม่มีสัจจะ) และเมื่อใด ที่พระโพธิสัตว์ "ยอมเปื้อนกรรมแล้ว" ท่านย่อมสามารถก่อกรรมได้มาก มาย ไม่ต่างจาก "เจงกิสข่าน" หรือแม้แต่ "จิ๋นซีฮ่องเต้" เลย ทว่า ท่าน ต้องยอมก่อกรรมและยอมรับกรรมนั้นไว้เอง ท่านก็จะได้รับพลังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพลังมาร แบบพระนเรศวรเคยใช้มาแล้ว ก็ดี, พลังอสูรแบบที่ เจงกิสข่านใช้มาแล้ว ก็ดี, พลังซาตานแบบจิ๋นซีฮ่องเต้ เคยใช้มาแล้ว ก็ ดี เหล่ามาร หรือสี่เหล่าใหญ่ รวมกันก็ไม่อาจต้านทานได้ ทว่า มันอาจจะ เกิดภัยพิบัติ 10 ประการที่รุนแรง เต็มอัตราศึกแบบไม่มีการผ่อนปรนและ ผู้ที่จะโดนก็คือ "พวกที่เกาะกินศาสนา" เหมือนเห็บเหาในหมาขี้เรื้อนนั้น


อย่าคิดว่า "พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว" จะมาทำอะไรในพระศาสนานี้ก็ได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะนิพพานแล้วก็จริง แต่ว่าไม่ ใช่ว่าท่านหายสูญ ไร้ไปแบบไม่มีอีก ท่านลั่นสัจจะวาจาไว้ว่าศาสนานี้จะมี อายุ 5,000 ปี และท่านก็รับรองว่าผู้ตั้งใจปฏิบัติ แม้ได้พระธรรมเหลือแม้ ตัวอักษรเดียว ก็ถึงนิพพานได้ (นั่นหมายความว่าท่านก็จะโปรดเขาให้ถึง นิพพานนั่นเอง เพราะถ้าท่านไม่โปรด แล้วใครเล่าจะทำได้? พระสาวกคน ไหน เก่งแค่ไหน เทียบเท่าพระพุทธเจ้าได้แล้ว แทนที่ท่านได้แล้วหรือไร?) นั่นหมายความว่าแม้ท่านจะนิพพาน แต่อย่าคิดว่าท่านหายสูญ ไม่ว่าท่าน จะดำรงอยู่หรือไม่อย่างไร ท่านก็ทำในสิ่งที่ท่านตรัสไว้ได้โดยท่านเป็นหนึ่ง เดียว ไม่มีใครอื่นมาแทนที่ท่านได้อีก และไม่ต้องเสนอหน้ามาทำตัวแทนที่ ท่าน รวมใจคนให้หลงตัวเอง แทนท่าน ทั้งๆ ที่ปากก็บอกว่าศรัทธาท่านนัก หนา แต่เวลาปฏิบัติ "เอาตามใจตัวเอง" อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ เอาละ ท่านอย่า ทำเป็นเล่นไปละ เพราะในประเทศนี้มีพระที่ถูกฆ่าด้วยวิธีทารุณมากมาย นี่ เราเตือนท่านด้วยความหวังดี พระถูกฆ่าตัดคอ มีมาแล้ว, ถูกฆ่ารัดคอ มีมา แล้ว ฯลฯ ต่อไป จะไม่ใช่พระ แต่จะเป็น "เห็บเหาที่เกาะกินผ้าเหลือง" ที่มี ตัวตนเป็นฆราวาสไปบงการปั้นพระหลอกลวงชาวบ้านเขาว่าองค์นั้นองค์นี้ เป็นอรหันต์ เราไม่ว่าอะไรหรอก เราเข้าใจท่านเป็นมนุษย์ต้องมีเงินเลี้ยงตัว เลยไปหากินอยู่กับพระศาสนา แต่อย่าให้มันมากนัก เกินขอบเขตไป เลี้ยง ไม่เชื่อง มาแว้งกัดผู้ดูแลพระศาสนา เมื่อนั้น ท่านจะได้พบกับ "ความจริง" ที่ท่านอาจจะไม่เคยประสบ และมันจะไม่ใช่แค่ "3 จชต." อีกต่อไปแล้ว!


"เห็บเหาที่เกาะกินผ้าเหลือง" มันจะเกาะอยู่กับ "พระดังใจดีทั้งหลาย"


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "พวกที่ทำตัวเป็นเห็บเหา" เกาะกินพระพุทธ ศาสนาอยู่นี้ จะแทรกตัวอยู่กับพระดังๆ ที่ใจดี และไม่ค่อยรู้เรื่องทางโลก มากนัก เขาทำบัญชีอะไรกัน ก็ไม่รู้ ตรวจสอบไม่เป็น มันเลยเข้าไปอาศัย เกาะกินอยู่นาน แล้วช่วยกัน "ยกยอปอปั้น" ให้พระดังรูปนั้นๆ กลายเป็น "โล่ห์กำบังของพวกมัน" เรียกว่าใครจะเล่นงานมัน มันก็จะอ้างหลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา ของพวกมัน ขึ้นมาบังหน้า เป็นโล่ห์กำบังตลอด เช่น มี ใครมาบอกว่าหลวงตาของมันไม่ใช่อรหันต์ อย่าไปหลงทางกัน นิพพาน ไปไม่ได้ด้วยการผิดศีลรับเงินทอง อย่างนี้ พวกมันก็จะเอาหลวงตานี่ละ ยกขึ้นมาเป็นโล่ห์กำบังตัว ให้เราตีกะหลวงตาเอง นี่ละ "เล่ห์เหลี่ยม" ที่ พวกมันใช้ เอาละ เขาคือ มนุษย์ เป็นคนมีเลือดเนื้อ มีจิตใจ มีครอบครัวที่ ต้องเลี้ยงดู ถ้าจะเกาะกินศาสนาต่อไป ก็เอาแต่พอดี อย่าให้มันมากไป ก็ อย่าไปขัดขวางคนที่เขาช่วยสัตว์ไปนิพพานมาก เดี๋ยวเขาจะไม่เอ็นดูอีก ต่อไป เขาจะไม่ทำตัวเป็นเขื่อนขวางวิบากกรรมให้ ปล่อยให้ภัยพิบัติ 10 ประการ มันทำงานได้เต็มที่ แล้วจะมาโอดครวญกันทีหลังไม่ได้ สัตว์มัน ดื้อด้าน สอนยาก ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่าน ว่าให้ "เฆี่ยน" ซะ ก่อนแล้วจึงจะสอนกันได้ เอาละ เราจะพยายามอดทน ต่อไป แต่ท่านก็ควร "อย่ากินให้มันเกินกันนัก" ทั้งนักการเมืองที่โกงกิน ก็เหมือนกัน ไม่ใช่เราไม่รู้ ไม่เห็น เรายังอดทน ปล่อยท่านไปด้วยเมตตา แต่ถ้ามันเกินขอบเขตเกินไป "กินกันเกินขอบเขต" ก็อย่าโทษธรรมชาติ โหดร้าย ก็แล้วกัน เพราะท่านจะไม่ได้แม้แต่จะมีสิทธิ์รบกับเราด้วยซ้ำไป ท่านจะถูกจัดการไปเสียก่อนด้วย "ธรรมะ ธรรมชาติ" ที่เอาคืนจากท่าน


ในโลกนี้มี "พลังของสิ่งศักดิสิทธิ์" ดูแลอยู่มากมาย อย่าได้ใจกันไปนัก


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในโลกนี้มีพลังของสิ่งศักดิสิทธิ์อยู่มากมาย ก็ อย่าหลงเหลิง ได้ใจ เพราะไม่มีใครปราบ ให้มันมากนัก เพราะท่านที่ทำ หน้าที่ภาคปราบ ท่านรอคิวอยู่ยาวเลยตั้งแต่ที่ "มือเบาๆ" ไปถึงท่านที่มี "มือหนักๆ" ซึ่งท่านก็เคยเห็นแล้วว่า "ทัพของพญามารฯ" นั้น มีจุดจบ อย่างไร? เมื่อแม่พระธรณีท่านทำหน้าที่ของท่าน เอาละ เราเตือนท่านก็ ด้วยความหวังดี คิดว่าท่านยังมี "ร่างสังขารเป็นมนุษย์อยู่ ยังพอมีเวลา เยียวยาได้" แต่ถ้าท่านเลี้ยงไม่เชื่อง แว้งกัดคนที่ดูแล ปกป้องภัยพิบัติที่ คอยคุ้มกะลาหัวท่านอยู่ ท่านก็ต้องได้รับผลของมันไป อย่างไม่อาจช่วย ได้ เราเห็นว่าท่านยังมีร่างสังขารเป็นมนุษย์อยู่หรอกนะ แม้ว่าจิตใจข้าง ใน จิตวิญญาณของท่านบางคน ไม่เหลือความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ก็ตาม เราก็ยังให้โอกาสท่านอยู่ แต่ท่านที่ทำหน้าที่ "ทำความสะอาดโลก" ที่ รอคิวทำงานอยู่มีมากมาย ถ้าท่านยังทำตัวไม่ได้เรื่อง สอนไม่ได้ ไม่ยอม เปลี่ยนแปลงตัวเอง และแว้งกัดผู้ที่เมตตาตท่าน ท่านก็จะได้รับผลตอบ แทนในสิ่งที่ท่านกระทำลงไป แลสิ่งศักดิสิทธิ์ที่มีจิตเมตตา ก็จะไม่รั้งให้ ท่านที่รอคิวทำความสะอาดโลก ได้ทำหน้าที่อีกต่อไป ท่านที่มีจิตเมตตา สามารถใช้บารมีเจรจาของผ่อนปรน กับท่านเหล่านั้นมานานแล้ว แต่ถ้า เห็บเหาทั้งหลาย ยังไม่รีบกลับตัวกลับใจ ก็คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างเกิด ขึ้นไปตามแต่ "ท่านผู้ทำความสะอาดโลก" จะดำเนินการ ตามยถากรรม


"ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง" ที่กำลังแพร่อิทธิพลทั้งทางโลกและทางธรรม


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ขณะนี้ "ปีศาจจิ้งจอก" ได้แปลงร่างให้งดงาม เช่นเดิม มันทำเช่นนี้ได้เสมอ และผู้คนก็หลงไหลมันเสมอ มันแปลงร่าง ให้งดงามแล้วจึงอาศัยในร่าง "สุนัข" ที่ท่านเลี้ยง ทำให้ให้หลงและไม่มี ปัญญา พิจารณา ผิดชอบ-ชั่วดี และจะนำประเทศไปสู่ความล่มสลายได้ นอกจากนี้ มันยังได้พลังจากพระธาตุ ที่ทำให้สามารถแปลงร่างเป็นพระ พุทธเจ้าได้ด้วย เมื่อมันแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มันก็แทรกในร่าง ของพระภิกษุ ทำให้พระภิกษุเป็น "พระประจบฆราวาส" เพื่อให้ได้เงินมา สร้างความเสื่อมเสียให้แก่เชื้อสายแห่งพระพุทธเจ้า แต่ฆราวาสเมื่อได้รับ การประจบจากพระ ก็ชอบกันใหญ่ หลงกลจิ้งจอกเก้าหางนั้น เอาง่ายๆ ช้าง เสียสละชีวิตรบกู้ชาติ ทุกวันนี้ ช้างมีความเป็นอยู่อย่างไร? ต้องเดิน ขอเงินเขาข้างถนน? ควาย ทำงานเหนื่อยยาก ช่วยพลิกฟื้นผืนนา ทุกวัน นี้ ควายเป็นอย่างไร? ต้องเข้าโรงฆ่าสัตว์หมด ถามหน่อย เวลาคนอีสาน กินหมา เป็นประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นเขา ที่ไม่ใช่มีแต่เขากิน คนจีน ก็ กินหมา คนเวียดนามก็กินหมา? ทว่า คนไทยไปบ้ามาจากไหน? ถึงมาต่อ ต้านคนกินหมา? ควายดีกว่าหมา ยังถูกคนกินได้ แล้วหมามันมีดีไปกว่า ควายตรงไหน? มันถึงจะไม่ถูกกิน? ไปเอาค่านิยมเลี้ยงหมาแบบฝรั่งมา เลี้ยงให้มันกลายเป็นเจ้านายเหนือหัวไปแล้ว ถึงขนาดอาบน้ำให้มัน พา มันไปอะไรต่อมอะไร อย่าให้พูดเลย ผมก็เลี้ยงหมา แต่เลี้ยงแบบบรรพ บุรุษคนไทยเลี้ยงกัน หมา ก็คือ หมา ไม่ให้มันเป็นเจ้าเหนือหัวเราไปได้ แต่คนเดี๋ยวนี้ "มันหลง" ปีศาจจิ้งจอกมันครอบงำ มันถึงเป็นกันแบบนี้นี่ ผมพูดเตือนสติท่าน ไม่ทราบว่าท่านจะตื่นขึ้นได้หรือยัง? เอ๊ะใจบ้างมั้ย ว่าปู่ย่าตายายเรา ไม่ได้เลี้ยงหมาขนาดนี้ ขนาดหมาอกไปกัดคนตาย ก็ ไม่มีใครเอาผิดมัน พอคนตีหมาหน่อย กลายเป็นเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลให้ คนกะคน ทะเลาะกันเองได้ นี่มันรักหมามากกว่าคน นี่มันโดนจิ้งจอกเก้า หางครอบงำแล้ว ผมจึงบอกว่ามันไม่ปกติจริงหรอก ลองไปพิจารณาดีๆ และคนที่ถูกแทรดด้วยจิ้งจอกเก้าหาง ก็ไม่จบแค่นี้ มันแพร่ขยายอำนาจ ไปทั้งทางโลกและทางธรรมไปแล้ว ตอนนี้ จะล่มจมกันหมดทั้งสองทาง


10 ก.ย. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แสงธรรมจากพระจันทร์ย่อมเลือนลับ เมื่อแสงธรรมจากพระอาทิตย์กลับคืนมา

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับ "ต้นธาตุต้นธรรม" ที่โลกได้รับ ส่วนหนึ่งมาจาก ภาคพื้นโลก ก็จริง แต่ก็ยังมี อีกส่วนหนึ่งมาจาก "นอกโลก" เพื่อช่วยโลกใบนี้ครับ ซึ่งเมื่อ ครั้งพระพุทธเจ้ายังอยู่ ท่านมี พลังแสงธรรมทั้ง "ภายใน" ของท่านเอง และบางส่วนก็มา จาก "ภายนอก" ซึ่งส่วนที่มา จากภายนอกนี้ มาจาก "พระ จันทร์" นะครับ ท่านเกิด, ตรัสรู้ และปรินิพพาน เกี่ยวกับพระจันทร์ ทั้งสิ้นครับ เป็นไปตามจันทรคติไม่ ใช่สุริยคติ เพราะท่านมีพลังธรรม เชื่อมโยงกับพระจันทร์ ไม่ใช่พระ อาทิตย์ครับ ทว่า หลังกึ่งกลางยุค พุทธกาล พลังจักรวาลจะเปลี่ยน ทำให้พลังแสงธรรมที่ส่องโลกจะ ไม่ใช่พลังจากพระจันทร์ แต่เป็น จากพระอาทิตย์นะครับ เอาละ ... เรามาคุยเรื่องนี้กันให้ละเอียดครับ


พลังแสงธรรมหลักที่ส่องโลกคือสิ่งที่กำหนดความเป็นไปของโลกทั้งหมด


อย่างแรกที่ผมต้องเรียนให้ท่านทราบก่อนคือ "โลกมียุคสมัยของมัน" ซึ่ง ในแต่ละยุคสมัยจะถูกกำหนดโดย "ผู้มีบารมีธรรมสูงสุด" ที่ได้รับการคัด สรรแล้วจาก "จักรวาล" นะครับ โดยปกติแล้ว เมื่อใดที่โลกมีพระพุทธเจ้า มาเกิด ก็จะนับเอาพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเป็น "หลักสำคัญ" ครับ ทีนี้ ก็มี ความแตกต่างกันอีกในรายละเอียดของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ว่าจะมี บุญบารมีสร้างมาอย่างไร ไม่เหมือนกันใช่มั้ยครับ ยุคสมัยของโลกจึงต่าง กันไปอย่างไรละครับ นอกจากนี้ "แสงธรรมหลัก" ที่เป็นพลังจักรวาลหลัก ที่ส่องโลก ก็ต่างกันไปในแต่ละยุคนะครับ เช่น ยุคตั้งแต่พระพุทธเจ้าสมณ โคดมเกิดจนถึงกึ่งกลางพุทธกาลนั้น พลังแสงธรรมหลัก จะมาจาก "พระ จันทร์" ครับ แต่หลังจากกึ่งกลางพุทธกาลไปแล้ว พลังแสงธรรมหลัก จะ มาจาก "พระอาทิตย์" จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายครับ เมื่อแสงธรรม หลักเปลี่ยนไป แสงธรรมบริวารก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยครับ นั่นคือ เทพที่ดู แลพระพุทธศาสนา ก็เปลี่ยนไป, เทพที่ดูแลโลก ก็เปลี่ยนชุดไปด้วยครับ


พลังจักรวาลที่ส่องมายังโลก แตกต่างกันในแต่ละยุค เปลี่ยนไปอย่างไร?


ต่อไปที่ผมขอเรียนให้ท่านทราบ คือ "พลังจักรวาลที่ส่องลงมายังโลก" ในแต่ละยุคสมัยนั้น "ไม่เหมือนกัน" นะครับ มันจะปรับเปลี่ยนไปตามตัว "ผู้นำสูงสุดของมนุษย์โลก" เช่น ในยุคก่อนหน้านี้ พระพุทธเจ้า จะเป็น ผู้นำสูงสุด พลังของท่านเชื่อมโยงอยู่กับ "พระจันทร์" เหมือนว่าท่านมี เชื้อสายมาจากโลกพระจันทร์อะไรทำนองนั้น ซึ่งพลังจักรวาลส่วนที่เป็น บริวารก็จะต้องสอดคล้องกับพลังหลักที่มาจากพระจันทร์ด้วย นั่นคือ จะ เป็นพลังของ "จักรราศีทั้ง 12" ประสานกันอยู่ครับ เมื่อเกิดการเปลี่ยน แปลงในส่วนของ "พลังหลักที่เป็นพระจันทร์" จึงต้องมีการเปลี่ยนส่วน "บริวารที่เป็นจักรราศี" ด้วย เมื่อจักรวาลเลือกใช้ พลังของพระอาทิตย์ เป็นพลังหลัก ก็จะมีพลังบริวารเป็น "จักรเทพนักษัตรทั้ง 12" ครับ ซึ่ง ชาวฝรั่งจะกล่าวถึงจักรนี้ในนาม "Golden sun disc" นั่นเอง เคยได้ ยินมาแล้วใช่มั้ยละครับ เอาละ เราก็มาทำความรู้จักกับ จักรกล ที่ขับดัน โลกให้หมุนไป "อันใหม่" นี้กันให้มากขึ้นดีกว่ามั้ยครับ จะได้ไม่เชยครับ


พลังแสงธรรมหลักที่เปลี่ยนไป ส่งผลต่อสัตว์โลกให้เปลี่ยนไปอย่างไร?


ต่อไปที่ผมขอเรียนให้ท่านทราบ คือ เมื่อพลังแสงธรรมหลักเปลี่ยนไป ก็ จะขับดันให้ทุกสรรพสิ่งในโลก ดำเนินไปในแบบที่แตกต่างไปจากเดิมได้ ด้วยนะครับ อะไรบ้างละ? เช่น 1. เดิมแสงธรรมจากพระจันทร์ เน้นรับ ก็ เปลี่ยนมาเป็นพลังแสงธรรมจากพระอาทิตย์ที่เน้น รุก แทน เมื่อก่อน เรา จะถูกสอนให้ "นั่งรอรับเวรกรรม ยอมรับไป" ใช่มั้ยครับ แต่ต่อไปนี้ เราก็ จะได้รับการกระตุ้นให้ "กระทำเพื่อการชดใช้กรรม" โดยไม่ต้องนั่งรอให้ กรรมเข้าตัว เราทำกิจให้ดี ให้เต็มที่ โดยมีกรอบของศีลธรรมจรรยา ฯลฯ ล้อมไว้ เราก็จะชดใช้กรรมได้โดยไม่ต้องนั่งรอรับกรรมอย่างเดียว ซึ่งเรา ได้รับการสร้างจากธรรมชาติให้มี "มือมีเท้า ไม่ใช่ไอ้ง่อย และไม่ใช่พระ อิฐพระปูน" แสดงว่าธรรมะ ธรรมชาติ ไม่ได้สร้างให้เราอยู่เฉยๆ แล้วรอ รับแต่เวรกรรม ใช่มั้ยละครับ ทว่า มันก็ไม่ผิดหรอก ถ้าใครจะทำแบบนั้น เขาถึงเรียกว่า "แสงธรรมมันต่างกันไงครับ" แสงธรรมของพระอาทิตย์ เน้นรุก แต่แสงธรรมของพระจันทร์เน้นรับ นั่งรอรับเวร รับกรรมไปเท่านั้น ซึ่งก็ไม่มีใครผิดนะครับ เป็นเพียงความหลากหลายของธรรมชาติที่ต่าง กันเท่านั้นเอง ผมถึงบอกว่ามันไม่เหมือนกันแต่ตรงนิพพานไม่ต่างกันครับ


พลังแสงธรรมบริวารที่เปลี่ยนไป ส่งผลต่อสัตว์โลกให้เปลี่ยนไปอย่างไร?


ต่อไปที่ผมขอเรียนให้ท่านทราบ คือ พลังแสงธรรมบริวารที่เปลี่ยนไปนั้น ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสัตว์โลกอีกเช่นกัน กล่าวคือ แต่เดิมแสง ธรรมบริวารคือ "เทพจักรราศี" ซึ่งเป็นเทพที่ต้องโทษมาก่อน แล้วมาขอ รับผิด รับใช้พระจันทร์จึงต้องอยู่ใน "เวลากลางคืน" เหมือนฟ้ายังมืดมน อยู่ ยังไม่สว่างไสว สังเกตุดูนะครับ คนที่ได้ตำแหน่ง, อำนาจ จะมาได้ ก็ มัก "ทำความผิดมาก่อน" เช่น สมัยก่อนฆ่าญาติตัวเอง แล้วก็ขึ้นมาได้มี อำนาจ (เช่น พระเจ้าอโศกมหาราชที่ฆ่าพี่น้องตัวเอง จนได้นามว่า พระ เจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยมมาก่อน) ส่วนขุนนางหรือข้าราชการก็ต้อง "ติดสิน บน" เพื่อให้ตัวเองได้ตำแหน่ง ได้อำนาจ มากมายครับที่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ ว่าพวกเขาเป็นคนเลวนะครับ "ระบบเวรกรรม" ของจักรวาลที่ขับเคลื่อน มาเช่นนี้ (แบบจักรราศี แห่งคืนมืดมิด) อย่างไรละครับ เอาละ แต่ต่อไปนี้ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงนะครับ เพราะเมื่อพลังหลักเปลี่ยนแล้ว พลังแสง ธรรมบริวารก็เปลี่ยนไปด้วย เป็นเทพนักษัตรที่หากินเวลากลางวัน ก็ไม่มี "ชนักปักหลัง" ไม่ได้ขึ้นมามีอำนาจ ได้ด้วยการทำผิดอะไร มาก่อนครับ


พลังแสงธรรมหลัก จะรู้เองว่าแสงธรรมบริวารทั้ง 12 นั้นเป็นอย่างไร?


ต่อไปที่ผมขอเรียนให้ท่านทราบ คือ ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมี ผู้ที่ได้รับพลังแสงธรรมหลัก (พระอาทิตย์) ซึ่งจะทราบเองว่าพลังแสง ธรรมบริวารของตนมีลักษณะอย่างไร ซึ่งเทพนักษัตรทั้ง 12 นี้จะเป็นชุด ใหม่ และเป็น "ความลับสวรรค์" ที่จะมีผู้รู้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่จะนำ พาการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่ยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง ซึ่งก่อนหน้านั้น "เทพพระจันทร์" ผู้มี "ฟ้ามืดหนุนหลัง" จะเข้ามาครอบครองอำนาจอยู่ ก่อน และพยายามไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้น เพื่อให้ตนได้ครองอำนาจต่อไป จึงพยายามบดบังพระอาทิตย์ ไม่ให้ปวงสัตว์ได้รับรู้ว่าพระอาทิตย์นี้มีอยู่ จริง จากนั้นจึงทำให้คนยอมรับ "คืนมืดและดวงจันทร์" ต่อไป นอกจากนี้ ยังอาศัยแสงธรรมจากพระอาทิตย์สะท้อนเข้าสู่โลกอีก (เพราะพระจันทร์ ไม่มีแสงในตัวเอง มักต้องรอฟังคำสั่งจากผู้อื่นก่อน) และเมื่อกระบวนการ นี้สิ้นสุดลงเมื่อไร เมื่อถึงรุ่งอรุณแห่งความสุข ฟ้าก็จะสว่าง และแสงธรรม แห่งพระอาทิตย์ก็จะเฉิดฉายสู่ปวงสรรพสัตว์นั้นๆ พร้อมการปรากฏตัวของ แสงอาทิตย์ และพลังแสงธรรมบริวารทั้ง 12 เหล่านั้น เพื่อนำพาโลกสู่ยุค ใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ กำลังดำเนินไปอย่างเป็นรูปธรรม


"พลังจักรวาลปฏิภาค" ซึ่งตรงกันข้าม จะถูกส่งมายังโลก ไร้เทียมทาน!


ต่อไปที่ผมขอเรียนให้ท่านทราบคือก่อนการปรากฏขึ้นของแสงธรรมหลัก จะมี "พลังจักรวาลปฏิภาค" ที่ส่งมายังโลก เป็นพลังงานที่ตรงกันข้ามกับ พลังแสงธรรมหลักชุดใหม่ และพลังงานเหล่านี้จะไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดที่ จะต่อกรหรือทำลายได้ นอกจาก "พลังแสงธรรมหลักและบริวาร" เท่านั้น เมื่อนั้น โลกจะเข้าสู่วิกฤติอย่างแท้จริงอยู่สักระยะหนึ่ง ท่านก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมันจะไม่นานจนเกินไป และมันจะไม่ร้ายแรงจนเกินกว่าท่านที่พร้อม เตรียมใจได้แล้ว จะรับสถานการณ์นั้นๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ก็ ไม่ใช่การทำลายล้างโลก อาจมีบางส่วนถูกจัดสรรให้จากไปบ้างแต่ก็ไม่มี การทำให้สูญพันธุ์ มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น สำหรับท่านที่เตรียมตัวได้ดี แต่สำหรับท่านที่ "ถูกคัดสรรออก" มันอาจจะดูรุนแรงไปบ้าง ก็เท่านั้นเอง ในประเด็นนี้ ผมจะไม่ขอกล่าวให้มากไปกว่านี้ เพราะยังมีท่านที่ทำหน้าที่ ในการสื่อสารข้อมูลต่างมิติ ในส่วนนี้เป็นการเฉพาะ ดูแลอยู่แล้ว ดังนั้น ก็ สามารถติดตามข่าวสารจากท่านเหล่านั้น ได้ครับ ผมขอผ่านไปสื่อสารข้อ มูลอื่นๆ เพื่อจะเสริมความเข้าใจของท่านในแง่มุมอื่นๆ ด้านอื่นๆ ต่อไปครับ


โลกยุคใหม่ จะถูกนำทางโดย "ภาคสว่าง" ไม่ใช่ "ภาคมืด" อีกต่อไป


สุดท้าย ที่ผมขอเรียนให้ท่านทราบ คือ เมื่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ ยุติลงแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว โลกจะได้รับการขับเคลื่อนโดยภาค สว่างไม่ใช่ภาคมืดดังเก่าก่อน โลกเข้าสู่ยุค "สว่าง" เหมือนเวลากลาง วัน ไม่ใช่ยุคมืดของพระจันทร์ อีกต่อไป และเหล่าอัศวินแห่งแสงสว่างที่ ได้รับการคัดสรรแล้วทั้งหลาย จะปรากฏกายขึ้นมา เพื่อนำพาปวงสัตว์ ไปสู่อนาคตข้างหน้า สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปในระดับละเอียด มากกว่าใน ระดับหยาบ โครงสร้างเก่ายังมีอยู่ ไม่จำเป็นต้องถูกทำลาย แต่พลังงาน ที่ใช้ขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไป กลุ่มคนที่มีอำนาจจะเปลี่ยนไป ผู้ขับเคลื่อน สังคม จะเปลี่ยนจากกลุ่มพลังมืด เป็นกลุ่มพลังสว่าง มันเป็นการเปลี่ยน แปลงแบบนิ่มนวลที่สุด และรักษาโครงสร้างเปลือกนอกไว้ได้ดีที่สุด ทั้ง ยังก่อให้เกิดกระบวนการทำลายล้าง "น้อยที่สุด" อีกด้วย เพราะเราไม่ ได้ต้องการให้เกิดการทำลายล้างแต่อย่างใด (ยกเว้นว่าจำเป็นต้องเกิด) กล่าวคือ เราไม่ได้มาเพื่อทำลายล้างโลก เพราะโลกยังไม่ถึงเวลาที่จะมี การทำลายล้าง มันเพียงแต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงในระดับพลังงานก็ เท่านั้นเอง เพื่อจะทำให้โลกได้รับการขับเคลื่อนไปสู่ยุคใหม่ที่แท้จริง ดัง นั้น งานของพวกเราจึงไม่ใช่การทำลายล้างโลก แต่เป็นการปรับพลังให้ เข้าสู่ยุค "พลังงานใหม่" ก็เท่านั้นเอง หวังว่าท่านทั้งหลาย คงจะเข้าใจ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระอาทิตย์ ช่วยนำทางท่านสู่โลกยุคใหม่ สวัสดี


25 ก.ย. 2555

"เสียงจากโลกยุคใหม่"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ร่วมสร้างตำนาน "ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น" พร้อมกันทั่วโลกได้แล้วครับ

โอ้แม่เจ้า ! แล้วเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเกิด จะมีได้บนโลกนี้ มันก็เริ่มเกิดขึ้น แล้ว ไม่นะ ไม่ ผมไม่ได้หมายถึงเรื่อง "ภัย พิบัติ" อะไรนั่น เพราะจิตใจของผม สนใจ โลกในด้านดีมากกว่า (แม้ว่าทราบเรื่องภัย พิบัติด้วยก็ตามที) เพราะคุณบางคนอาจจะ มองแต่เรื่องไม่น่าเชื่ออย่างภัยพิบัติ ซึ่งเป็น มุมมองที่ค่อนข้างเป็นลบ ท่านจึงยังไม่เห็น มุมมองการเปลี่ยนแปลงที่เป็นบวกไงละครับ เอาละ เดี๋ยวหาว่าผมโม้ เพราะผมไม่ได้โม้ ครับ ลองดูให้ดีสิ โลกของคุณมีการเปลี่ยน แปลงบางอย่างที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันก็ เกิดขึ้นแล้ว เช่น คนธรรมดาๆ กลายเป็นคน ที่โด่งดังได้ชั่วข้ามคืน, ดารา-นักร้อง ไม่ใช่ คนที่โดดเด่นที่สุดอีกต่อไป คนธรรมดาๆ นั่น แหละที่กำลังได้รับความนิยม นี่หละ ที่ผมจะ เรียกมันว่า "ปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่" ซึ่ง มันเป็นไปได้ยาก และไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย ทว่า มันก็เป็นไปแล้ว อย่างไรละ ก็มาดูกันครับ


พลังงานจำนวนมากที่ได้รับการปลดปล่อยออกมากำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้


อย่างแรกผมกำลังจะบอกคุณว่า "พลังงานจำนวนมาก" ซึ่งคุณก็สามารถ รับได้อย่างอิสระ ไม่จำกัดด้วยเหตุปัจจัยใดๆ พลังงานมากมายเหล่านั้น ได้ รับการปลดปล่อยออกมาแล้วจาก "ดาวโลก" ดวงนี้ก็ดี หรือว่ามาจากต่าง ดาว ก็ดี พลังงานทั้งหลาย มากมายเหล่านั้น ได้มาถึงโลกของคุณแล้วใน ระดับที่ "เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน" ถึงปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในโลก ของคุณ มันคืออะไรหรือ? เช่น การที่วงการบันเทิง, กีฬา ฯลฯ เดิมๆ ไม่ได้ โดดเด่นหรือมีบทบาทสูงสุด แต่มันเปลี่ยนไปกลายเป็นโอกาสใหม่ๆ ให้คน ธรรมดาๆ หน้าใหม่ๆ ได้เข้ามาแสดงบทบาทที่โดดเด่นยิ่งกว่า ซึ่งคุณอาจ ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ว่า คนธรรมดาๆ บางคน จะแสดงพลังของพวกเขา ให้ผูคนมากมาย ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ชัดได้อย่างไร? เอาละ ผมกำลังจะบอกว่าพวกเขา ต้องฝึกฝนตัวเองก่อน มากมาย เพื่อรอโอกาสนี้ ที่จะได้รับ "พลังพิเศษ" เพิ่มเข้าไป ซึ่งปกติ จะ มีแต่ "คนในวงการ" นั้นๆ เท่านั้น ที่เข้าใจ เข้าถึง วิธีรับพลังพิเศษเฉพาะ นั้นๆ เช่น คนในวงการบันเทิง ก็จะวิธีทำอย่างไรจึงจะขึ้นเวทีแล้วโดดเด่น พวกเขาก็จะถ่ายทอดให้คนในวงการด้วยกัน ทำต่อๆ กันมา ทว่า ตอนนี้ มันไม่ใช่แล้วเพราะ "คนธรรมดา" ก็ทำได้? เพราะอะไร เพราะพวกเขามี ความพร้อม ฝึกฝนตัวเองมาอย่างดีและได้รับพลังพิเศษเหล่านั้นไปนั่นเอง


คนธรรมดาๆ อย่างคุณ "ทุกคน" ก็สามารถรับพลังพิเศษได้ ถ้าคุณพร้อม


ต่อไปผมอยากจะบอกคุณว่า คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ก็สามารถรับ พลังพิเศษเหล่านั้นได้เช่นกันครับ มันมีมากมายเลย และพร้อมให้ทุกท่าน ได้ ไม่ต้องแก่งแย่งกันเลยครับ ขึ้นอยู่กับว่า "คุณพร้อมหรือไม่" ก็เท่านั้น เอง และนี่คือ "ช่วงเวลาแห่งโอกาสทองที่หาไม่ได้อีกแล้ว" ของทุกๆ คน ในโลกใบนี้ครับ ผมขอย้ำนะครับว่า "ทุกๆ คนเท่าเทียมกัน" แม้ว่าคุณจะ เป็นแค่ "คนธรรมดาๆ" ที่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรพิเศษเลย ไม่มีใครรู้จักมา ก่อนเลยก็ตาม ทว่า คุณสามารถรับพลังพิเศษที่ไม่ธรรมดานี้ได้ และคุณ ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ "ตำนานใหม่" ของโลก โลกในยุคที่ทำให้มี ปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ มันจะเป็นความจริงด้วย "มือของทุกคนครับ" คุณลองดูให้ดีสิ พวกเขา เหล่านั้นก็ "ล้วนเป็นคนธรรมดาๆ" ที่ดูธรรมดามาก บางคนดูเหมือนมีปม ด้อยด้วยซ้ำไป ทว่า ทำไม พวกเขาจึงสามารถแสดงบทบาทของตนเอง ออกมาได้อย่างไม่ธรรมดา ใช่ไหมละครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อ้วนมาก จน ใครต่อใครมากมายมองว่าเป็นปมด้อย, คนพิการ ทว่า กลับสร้างผลงาน ได้ดีเหนือคนปกติ ฯลฯ เอาละ ผมจึงเน้นย้ำว่า "โอกาสมาถึงทุกท่านแล้ว และมันเป็นของทุกคนที่พร้อมเท่านั้น" ยิ่งไปกว่านั้น "พลังพิเศษ" เหล่า นี้ มีความแตกต่างกันในคุณสมบัติต่างๆ อีกด้วย มันจะช่วยทำให้คุณขึ้น ไปสู่ "เวทีที่ต่างกัน" เช่น เวทีบันเทิง, กีฬา หรือแม้แต่การเมือง ก็ดีครับ มาถึงตรงนี้ ผมขอถามคุณชัดๆ ว่า "คุณพร้อมหรือยังครับ" ที่จะเป็นส่วน หนึ่งของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลก ที่ไม่เคยมี ไม่เคยปรากฏมาก่อน


ร่วมสร้างตำนาน "อนาคตของโลกยุคใหม่" ที่กำหนดได้ด้วยมือของคุณ


ต่อไปผมอยากจะบอกคุณว่า ด้วยพลังงานมากมายที่ได้รับการปลดปล่อย ออกมาจาก "ดาวโลก" ดวงนี้ก็ดี หรือจากต่างดาว ก็ดี นั้น เมื่อคุณได้รับ ไปแล้ว คุณสามารถนำพลังงานเหล่านั้นไปใช้ อย่างไรก็ได้ ดีหรือชั่วก็ขึ้น อยู่กับผู้ใช้แล้ว นั่นหมายความว่า "อนาคตของโลก ยุคใหม่" ถูกกำหนด ได้ด้วย "มือของพวกคุณ" นั่นเอง ว่าพวกคุณจะใช้พลังพิเศษเหล่านั้นใน การเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ให้เป็นไปอย่างไร? และมันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับคน เพียงคนเดียวอีกต่อไป แต่มันจะขึ้นอยู่กับคนมากมาย ที่พร้อม และรับพลัง พิเศษเหล่านั้นได้ พวกเขาจะเป็นผู้ขับเคลื่อน, กำหนดอนาคตของโลกยุค ใหม่ต่อไป และคุณ ก็สามารถเป็นหนึ่งในนั้นได้ "ถ้าคุณพร้อม" และหลัง จากยุคนี้ไปแล้ว "โลกยุคใหม่" จะถูกวางรากฐานแบบใหม่ไปยาวนานจึง ไม่ใช่โอกาสทองบ่อยครั้งนักที่คุณจะสามารถทำได้ เพราะหลังจากช่วงนี้ ไปแล้ว มันจะเริ่มเข้าที่ และพลังพิเศษจำนวนมากมาย จะได้รับการเก็บให้ เข้าที่ มันจะไม่ได้รับการปลดปล่อยอย่างอิสระเท่านี้อีกแล้ว และนั่นหมาย ถึงท่านทั้งหลายที่เคยได้รับพลังพิเศษก็จะไม่ได้รับอีกต่อไปหลังจากที่มัน ได้ทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์แล้วนั่นเอง หวังว่าคุณคงพอเข้าใจนะครับ


พลังพิเศษเหล่านั้นจะนำพาคุณไปสู่เวทีของคุณ ซึ่งมีมากมายหลายเวที


ต่อไปผมอยากจะบอกคุณว่า พลังพิเศษเหล่านั้น จะจัดสรรให้คุณไม่ต้อง รับผิดชอบหรือทำกิจอื่นๆ อันไม่ควรทำ หรือไม่ใช่ทางของคุณ แต่มันจะ ช่วย "เปิดทางสู่เวทีของคุณเอง" ถ้าคุณได้รับการเลือก, ได้รับพลังแล้ว มันจะจัดสรรเองโดยคุณไม่ได้ทำอะไรเลย มันจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ ครับ เช่น คนบางคนถูกรถชน แล้วพิการ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่แล้วก็ ได้เป็นนักกีฬาพาราลิมปิกได้รับเหรียญรางวัลมา, คนบางคน ป่วยทำงาน ไม่ได้ แต่ได้รับพลังให้มาทำหน้าที่พิเศษในเวทีของเขาเอง ก็อาจมีได้ เป็น ได้ครับ นี่แหละ การจัดสรรตามธรรมะ ธรรมชาติ มันไม่ได้เกิดจากการที่มี เจตนาอยากได้ อยากมี อยากเป็น หรอกนะครับ พวกเขาล้วนไม่ได้เจตนา มาแต่ต้น ทว่า "พวกเขา คือผู้ที่ถูกเลือก" ครับ พวกเขาถูกเลือกให้ได้รับ พลังพิเศษเหล่านั้น และทำหน้าที่ด้วยพลังพิเศษที่พวกเขาได้รับมาในเวที ของพวกเขาเอง ซึ่งแต่ละคนจะไม่ต้องสร้างเวทีนั้นขึ้นมาเองด้วยซ้ำ ด้วย จะมีคนอื่นๆ มาสร้างเวทีให้แก่พวกเขา รอให้พวกเขาขึ้นเวทีเสียก่อนแล้ว ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องพยายามหาเวทีมากเลย มันมีอยู่แล้วคุณเพียง ก้าวต่อไปอีกนิดเท่านั้น "พวกเขาทั้งหลายที่อยู่รายล้อมรอบคุณ" จะเปิด ทางให้แก่คุณเอง "ถ้าคุณคือผู้ที่ได้รับการคัดเลือก" ให้ทำหน้าที่พิเศษนั้น นะครับ ทว่า ถ้าคุณยังไม่ได้รับการคัดเลือก คุณก็จะไม่ได้รับการเปิดประตู ผู้คนมากมาย รอบตัวคุณ จะปิดก้นและขวางทางคุณไว้ ไม่ให้คุณผ่านไป ได้ครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็อย่าต่อว่าพวกเขาเลย เพราะทางนั้น ไม่ใช่ทางของ คุณที่คุณจะเดินไปนั่นเอง ต่อเมื่อคุณได้รับพลัง คุณผ่านการคัดเลือกแล้ว เท่านั้น คุณก็จะได้รับการเปิดประตู อย่างงดงาม โดยไม่มีทางอื่นใดอีกเลย


มันไม่จำเป็นต้องเป็นเวทีที่มีชื่อเสียง แม้แต่เวทีที่ไม่มีคนรู้จัก ก็เป็นไปได้


ต่อไปผมอยากจะบอกคุณว่า "เวที" ที่ผมกล่าวถึงนี้ มันไม่จำเป็นต้องเป็น เวทีที่มีชื่อเสียงก็ได้ บางเวทีก็อาจเป็นเวทีใหม่ๆ ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมา ก่อนเลย หรือบางเวทีอาจจะดูไม่เหมือนเวทีในความคิดของใครๆ เลย เช่น เป็นแค่อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณ "ทำกิจของคุณได้" ก็แล้วกัน ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เวทีแบบที่คุณเคยเห็น แต่มันเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณทำกิจได้ ก็แค่นั้นเอง นั่นแหละ "เวทีที่ผมพูดถึง" บางท่าน เผยแพร่ธรรมโดยที่ไม่มี "สถานธรรม" เลยด้วยซ้ำไป แต่เขาก็มีเวทีในการเผยแพร่ธรรม ในแบบที่ ตนเองสามารถทำกิจได้ ก็แล้วกัน อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ในตัวของมันเองที่ธรรมชาติต้องจัดสรรให้มันเป็นเช่นนั้น แล้วคุณจะทราบ เหตุผลนั้นเอง เมื่อคุณยกระดับตัวคุณถึงจุดหนึ่งได้นะครับ ดังนั้น ผมก็ขอ ให้คุณ "พอในเวทีของคุณเอง" ด้วยละ อย่าเพิ่งไปน้อยใจที่เห็นเวทีของ คนอื่นดูโดดเด่นกว่า ไปเสียก่อน เพราะนั่นมันเป็นเพียงภาพประกอบเพียง เปลือกนอกเท่านั้น มันยังมีรายละเอียดที่อยู่ในระดับแก่นแท้ภายใน ระดับ ลึกที่หลายท่านยังไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงอีกมาก บางเวทีที่ดูไม่ดี ไม่มีอะไรที่ น่าหลงใหล ก็ไม่แน่ครับ ว่าจะกลายเป็นเวทีที่สำคัญ และยิ่งใหญ่มากใน อนาคตก็ได้ ดังนั้น "นั่งประจำที่ของคุณเอาไว้ให้ดีละ" เพราะถ้าคุณทิ้ง มันไปแล้ว ก็อาจจะเสียใจภายหลังก็ได้นะ ฝากไว้ให้คิด พิจารณาดูครับ


คุณอาจต้อง "เสียสละหน้าที่การงานตามปกติ" เพื่อก้าวขึ้นสู่เวทีเฉพาะ


ต่อไปผมอยากจะบอกคุณว่า ในกระบวนการจัดสรรนี้ คุณอาจจะต้องเสีย สละหน้าที่การงานหรืออาชีพปกติของคุณเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ "เวทีเฉพาะ ของคุณเอง" เช่น นักกีฬา หลายคนจะไม่มีงานทำใช่มั้ยครับ เพื่อที่จะได้ มีเวลาทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ (แต่บางท่านก็มีอาชีพทำครับ) ในการแข่งขันที่เข้มงวด พวกคุณจะถูกเลือกและคัดออกไปเรื่อยๆ ทำให้ สุดท้ายแล้วพวกคุณต้องยอมเสียสละหน้าที่การงาน, หรืออาชีพของคุณ ไป ยอมเสียสละอนาคตในแบบหนึ่งเพื่อสร้างอนาคตในอีกแบบหนึ่งให้แก่ ตัวคุณเองครับ แม้ว่าในช่วงแรกๆ คุณอาจจะคิดว่า "ฉันก็ทำได้ดี ทั้งสอง ทางด้วยการจัดสรรเวลา" ก็ตาม แต่หลังๆ มันจะไม่อาจเป็นไปดังคุณคิด ได้อีก เพราะการแข่งขันแบบ "คัดออก" นั้น จะบีบบังคับให้คุณต้องยอม เสียสละอะไรบางอย่างไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อไป ใน เวทีที่คุณเลือกแล้ว นั่นเอง ดังนั้น "ผู้แพ้" จะได้รับการรองรับมากมาย ที่ เหมือนกับว่าเป็นผู้ชนะเลยละ ทว่า เมื่อใดที่พวกเขาถูกจัดสรรให้ออกไป จากเวทีการแข่งขัน แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการหลอกล่อด้วยอะไร ที่มาก มายก็ตาม แต่พวกเขาก็คือ "ผู้แพ้ในเวทีนั้นๆ" นั่นเอง ในขณะที่ผู้ชนะก็ จะต้องรอ "คู่แข่งขันใหม่ๆ" ให้ก้าวขึ้นมาสู่เวทีเดียวกับตน เพื่อที่จะได้มี การแข่งขันกันต่อไป นั่นเอง เอาละ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ ไม่ได้แนะนำให้ท่าน บ้าการแข่งขัน หรืออยากชนะแต่อย่างใด ทว่า มันเป็นความจริง เช่นนั้น! ที่คุณไม่อาจหนีได้พ้น มันถูกจัดสรรเช่นนั้นตามธรรมชาติ ผู้แข็งแรงกว่า ก็จะได้รับการคัดเลือกไว้ ผู้ที่อ่อนแอกว่า ก็จะถูกขจัดออกไปจากสาระบบ


สุดท้ายแล้ว คนเราจะทำสิ่งที่ดีที่สุดได้เพียง "อย่างเดียว" จึงต้องเลือก


สุดท้าย ผมอยากจะบอกคุณว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้ คุณจะสามารถทำอะไร ได้มากมาย ทำสิ่งดีๆ ได้หลายอย่างก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว คุณยังจะต้อง เลือก "สิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว" คุณไม่สามารถจับปลาสอง มือ แล้วทำให้ได้ดีทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ ดังนั้น คุณต้องยอมเสียสละ ก็ ต้องปล่อยสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ "เป้าหมายของคุณ" ออกไป เพื่อ เล็งผล เพียง หนึ่งเดียวเท่านั้น แล้วจึงลงมือทำอย่างเต็มกำลัง ให้ดีที่สุด ในสิ่งที่คุณได้ เลือกแล้วนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการยิงธนู ที่คุณจะต้องยิงทีละดอก และ เล็งเป้าทีละหนึ่งเท่านั้น มันจึงจะออกมาดีที่สุดได้ (ดีกว่า การยิงสองเป้า พร้อมๆ กัน) ดังนั้น "การเลือก" ของคุณจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมัน จะเป็นตัวกำหนดอนาคต และเส้นทางชีวิตของคุณเลยทีเดียว ก็ลองถาม ตัวคุณเองนะครับว่า "คุณมีความสุขที่สุด กับการอยู่กับอะไรได้นานๆ?" นั่นหละ "เป้าหมาย" ที่คุณควรจะเลือก ควรจะเล็งเป้าและไปให้ถึงให้ได้


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยสร้างตำนานใหม่แก่คุณ สวัสดี


24 ก.ย. 2555

"เสียงจากโลกอนาคต"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เทคนิกในการสื่อสารต่างมิติ ที่คุณก็สามารถฝึกทำได้ ไม่ยากดังนี้ครับ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ เป็นเรื่องที่ หลายท่านอาจอยากทราบครับ ว่า ผมสื่อสารต่างมิติได้อย่างไร? เอา ละ มันมีหลายวิธีนะ เหมือนคุณจะ ติดต่อใครสักคน อาจใช้มือถือ, ใช้ จดหมาย, อีเมล, ฯลฯ ได้มากมาย ใช่มั้ยละครับ มันมีตั้งแต่วิธีที่ยากๆ และวิธีที่ง่ายๆ ครับ สำหรับวิธีที่ผม ใช้นี้เป็นวิธีที่ "ทุกคนสามารถทำได้" มันไม่ต้องมีหูทิพย์ตาทิพย์นะครับแต่ สำหรับบางคนก็ย้าก ยากครับ มันก็ ขึ้นอยู่กับใจของเรานี่แหละครับ มามะ เริ่มกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา


ทุกท่านล้วนได้รับ "การสื่อสารต่างมิติ" อยู่แล้วเพียงแต่ท่านอาจไม่ทราบ


อย่างแรกผมอยากจะบอกก่อนเลยนะครับว่าทุกท่านล้วนได้รับการสื่อสาร จากต่างมิติอยู่แล้วตลอดเวลา แต่เพราะบางท่านไม่อาจแยกแยะได้ว่าส่วน ไหนมาจาก "ต่างมิติ" และส่วนไหนมาจาก "ภายในตัวเอง" นี่ละ คือสิ่งที่ บดบังทำให้ท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าตนเองได้รับการสื่อสารต่างมิติ อยู่ไม่ เว้นว่างครับ เพราะบางครั้ง สิ่งที่เราคิดว่า "เป็นความคิด ก็ดี, อารมณ์ ก็ดี, ความรู้สึก ก็ดี, ความรู้ ก็ดี, ปัญญาญาณ ก็ดี ฯลฯ" มันอาจจะไม่ใช่อย่าง ที่ท่านคิดก็ได้ เช่น ท่านคิดว่ามันเป็นความคิดของท่าน ด้วยอำนาจแห่งสิ่ง ที่เรียกว่า "อัตตา" ครอบงำให้ท่านเหมารวมว่ามันคือตัวตน ของตน ทั้งที่ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ มันอาจจะเป็น "ข้อความ ที่สื่อสารมาจากต่างมิติ" ก็ ได้ครับ ผมเห็นคนมากมายครับ ที่มีสังขารที่ไม่ได้เรื่อง, ไม่รู้เรื่องอะไรเลย บางคนสังขารเขาไม่ชอบผมด้วยซ้ำ ทว่า กายทิพย์ข้างใน ไหว้ผม แล้วก็ ด่าสังขารตัวเองให้หยุดพฤติกรรม ยิ่งกว่านั้นครับ "ตัวตนเบื้องบน" ของ เขา บางคนก็พยายามมากๆ ที่จะหาวิธีสร้างบุญบารมีร่วมกับผม ทว่า ร่าง สังขารของเขา ไม่ชอบผมเลยครับ ตัวตนข้างบนก็เสียใจที่ตัวตนข้างล่าง มันทำแบบนี้ 555 ตลกมั้ยละครับ ทว่า สุดท้ายแล้ว ตัวตนข้างล่าง ก็ต้อง ถูกจูน ถูกพลังงานต่างมิตินำพาชีวิตไปครับ ไปทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องว่าทำไม ต้องทำอย่างนั้น สังขารมันงี่เง่ามั้ยละครับ แต่มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมได้ พบเหตุการณ์เช่นนี้มามากมาย เลยไม่พูดอะไร ใครอยากว่าอะไร ก็ปล่อย ไป เดี๋ยวเขาจะได้ "โดนตัวตนเบื้องบนของตัวเอง สั่งสอน" พอตัวตนข้าง บนมันสั่งสอนไม่ดี พยายามมาสร้างบุญร่วมกับเรา แต่สังขารกลับใจคดนี่ ผมเลยแกล้ง ไม่ร่วมบุญด้วยเลย ตัวตนข้างบนก็ร้อนใหญ่ พยายามหาวิธี มากมายที่จะให้ "ตัวงี่เง่าข้างล่าง" มั้นทำบุญนั้นให้ได้ "น่าสงสารมั้ยละ" เอาละ ผมเล่าให้ฟังเล่นๆ ขำๆ นะครับ ไม่ต้องซีเรียสครับ น้อยคนครับที่จะ มีสังขารที่เข้าใจพลังต่างมิติที่สื่อเข้ามา หรือประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้


เทคนิกแรก "แยกแยะสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน" ก็จะจับกระแสต่างมิติได้ครับ


ต่อไปผมอยากจะแนะนำเทคนิกที่หนึ่ง ครับ คือ การแยกแยะกระแสพลัง ที่มาจากส่วนต่าง ให้ชำนาญ ก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าพลังงานนั้นมา จากไหน เช่น ง่ายๆ แยกให้ได้ก่อนว่าพลังอะไรมาจากภายใน (ของเรา เอง) พลังอะไรมาจากภายนอก และพลังงานเหล่านี้ ขับดัน 1. ร่างกาย 2. จิตใจ เราอย่างไร? ไม่ใช่รู้แต่ที่ขับดันร่างกายนะครับ ต้องเข้าใจถึงที่ ขับดับจิตใจ ให้เรามีอารมณ์-ความรู้สึก-นึกคิดด้วย ข้อนี้ การฝึก "จิตให้ มีสติที่ละเอียด" โดยการพิจารณากายในกาย, จิตในจิตก็จะช่วยได้มาก นะครับ เอาให้ละเอียดชนิดอณูเส้นแสงไปเลย ก็จะทราบครับว่าพลังที่มา เกี่ยวข้องกับเรา มาจากภายในหรือภายนอก เป็นของเราจริงๆ หรือว่ามัน เป็นของสิ่งภายนอกเข้ามาครอบงำ, กระทบ, มีผลต่อตัวเรา ฝึกให้ดีครับ เพราะขั้นตอนนี้เป็นรากฐานที่สำคัญมากทีเดียว ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่อาจจะ แยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะมั่วไปหมดนะครับ ยิ่งแยกแยะพลังงาน ได้ชำนาญ เช่น นี่พลังนารายณ์ภาคมืดนะ แต่นี่พลังนารายณ์ภาคสว่าง นะ อะไรแบบนี้ได้ละก็ แจ๋วเลยครับ เพราะบางครั้ง พวกกายทิพย์อาจจะ มีกายทิพย์เหมือนกัน เช่น มาใน "รูปแปลงเป็นพระพุทธเจ้า" เราก็ต้อง ใช้การจับกระแสพลังแทนครับ มันแม่นกว่า สายตามันหลอกเราได้ครับ


เทคนิกที่ 2 "สาวให้ถึงต้นตอของพลัง" ก็จะจับกระแสต่างมิติได้ครับ


ต่อไปผมอยากจะแนะนำเทคนิกที่สอง ครับ คือ การสาวให้ถึงต้นขอที่ มาของแหล่งพลังงานนั้นๆ ซึ่งจะทำได้ด้วย "จิตสู่จิต" ถ้าท่านเคยชิน กับการใช้จิตสู่จิต เราจะสาวพลังจิตที่ส่งมาที่เรา ไปจนถึงตัวต้นแหล่ง ที่ส่งพลังจิตนั้นมาได้ครับ เราก็จะทราบได้เลยว่าพลังงานนี้ พลังจิตนั้น ใครเป็นผู้ส่งมา มาจากไหน? มาทำไม และต้องการให้เราทำอะไร เพื่อ อะไร? บางครั้ง เราจะไม่ทราบนามของผู้ส่งครับ แต่เราจะพอทราบได้ เท่าที่ "จิตสัมผัสของเราจะบอกได้" เช่น บอกได้ว่ามาจากจิตพระพุทธ จิตพระโพธิสัตว์ หรือจิตมาร อะไรแบบนั้นเลย ไม่ต้องถึงขั้นทราบนามก็ ได้ครับ แค่นี้ ก็พอทำกิจของเราต่อได้แล้ว (ว่าจะเชื่อดี หรือไม่ควรเชื่อ) อนึ่ง การสาวให้ถึงต้นตอนี้ เริ่มต้นจาก "จิตสู่จิต" นี่แหละครับ เมื่อเรามี ความสามารถ "สู่จุดศูนย์กลางของพลังจิต" ที่เขาปล่อยออกมาได้ นั่น แหละครับ เราจะตรงสู่จิตเขาได้ เราก็จะทราบที่มา ทราบว่าเขาเป็นใคร ได้ในระดับหนึ่งครับ เพราะบางครั้ง "การถามอาจไม่ได้คำตอบกลับมา" เราก็เลยต้อง "สืบสาวเอาเอง" อย่างไรละครับ เมื่อเราคุ้นเคยกับต้นตอ ของแหล่งพลังงานแล้ว หลังๆ จิตรู้ของเราจะทำงานได้เองอัตโนมัติครับ คือ เวลาที่เราอยากสื่อสารไปยังจิตดวงนั้น ก็สามารถทำได้ครับ แต่ก่อน ที่เราจะส่งกระแสจิตไปได้แม่นยำขนาดนั้น เราต้องมี "สัญญา" คือจำได้ หมายรู้ในจิตของเราเสียก่อน ไม่ใช่ในสมองของเรานะครับ สังขารสมอง ของเรา มันไม่จำเป็นต้องมารู้อะไรในกระบวนการนี้หรอกครับ จิตเพียวๆ


เทคนิกที่ 3 "การรับและส่งพลัง" ด้วยการถามและการตอบ เป็นต้น


ต่อไปผมอยากจะแนะนำเทคนิกที่สาม ครับ คือ การรับและส่งพลังซึ่ง เราจะใช้การถามและการตอบเสมือนหนึ่งว่าเรากำลังพูดอยู่กับใครสัก คนหนึ่ง เหมือนเขาอยู่เบื้องหน้าเรา (ทั้งที่มองไม่เห็น) แล้วเรากำลัง จะพูดกับเขาอยู่ครับ ซึ่งจุดนี้ต้องแยกแยะให้ออกนะครับ ระหว่างคำว่า 1. บ้า 2. จินตนาการ 3. การใช้พลังจิต สามอย่างนี้ ยังไงมันก็ไม่ใช่ สิ่งเดียวกันนะครับ อย่าไปสรุปมั่วว่าคนที่ใช้พลังจิต เป็นคนบ้าเข้าละ! เอาละ อย่างหนึ่งที่ผมอยากบอกท่านก่อนก็คือ ทุกคำถามไม่จำเป็นว่า จะต้องได้รับการตอบ และทุกคำตอบก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราถูกใจ และ มีได้มากกว่า 1 คำตอบ ซึ่งขัดแย้งกันได้ ขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูลต่างมิติ ที่เขาส่งมาให้เราครับ อย่าไปยึดหรือซีเรียสในความถูกผิดมาก คนเรา ยังคิดต่างกันได้เลยครับ ดังนั้น ควรทำให้ให้กว้างไว้ก่อนนะครับ และ ถ้ามีพลังหลายแบบส่งมาให้เรา แต่ละแบบต่างกัน ต้องระวังจะให้เรา รวน, สับสน และแปรปรวนภายในได้ครับ กว่าจะเรียบเรียงสิ่งที่ได้รับ มาให้มีระเบียบ และนำเสนอผู้อื่นได้อย่างเรียบง่าย ไม่ใช่ของง่ายเลย ครับ อนึ่ง บางท่านจะสื่อสารกับ "แหล่งข้อมูลใดแหล่งหนึ่งเป็นเฉพาะ" แต่บางท่านก็อาจสื่อสารกับ "แหล่งข้อมูลหลายแหล่ง" เพื่อการตัดสิน ใจที่ดีกว่า (ฟังจากหลายๆ ท่านส่งข้อมูลมาก่อนค่อยตัดสินใจ) อย่าง นี้ก็มีครับ เช่น นักสื่อสารบางคนอาจสื่อสารกับ "มหาเทพเมตตาตรอน" อย่างเดียว เฉพาะไปเลย หรือสอง-สามท่าน ก็พอ แต่บางท่าน ก็สื่อได้ มากมายครับ กว้างขวางมาก ทั้งนี้ ก็แล้วแต่ความชำนาญของแต่ละค


เทคนิกที่ 4 "การสร้างมิติแห่งการสื่อสาร" ด้วยการมองเป็นโลกๆ หนึ่ง


ต่อไปผมอยากจะแนะนำเทคนิกที่สี่ ครับ คือ เทคนิกในการสื่อสารในแบบ ที่เป็น "มิติ" ซึ่งแตกต่างจากการสื่อสารกับเทพหรือตัวตนเบื้องสูง แบบที่ เป็น "เฉพาะท่านลงไป" แบบนี้ต่างกันนะครับ กล่าวคือ เวลาที่คุณสื่อสาร แบบเทพเฉพาะองค์ คุณก็จะสื่อกับท่านนั้นๆ ชื่อนั้นชื่อนี้ แต่เวลาที่คุณได้ เปลี่ยนมาใช้ "มิติแห่งการสื่อสาร" แทน มันจะไม่ได้มองเป็น "ตัวตนหรือ บุคคล" ครับ มันจะมองเป็น "โลกหรือดาวดวงหนึ่ง กว้างๆ คร่าวๆ" คือมี เราส่งสารไปยังมิตินั้นๆ โลกนั้นๆ ทั้งหมด "องค์รวมเป็นหนึ่ง" ไม่แยกตัว ตน บุคคล หรือเทพองค์ใด เหมือนโยนคำถามไปเทวโลก แบบกว้างๆ ว่า ใครจะตอบก็ได้ อะไรแบบนั้นครับ นี่จะเรียกว่า "การสื่อสารต่างมิติ" อัน แท้จริง เพราะสื่อเป็นมิติๆ ทั้งหมดองค์รวม ไม่แยกตัวตนครับ เช่น เมื่อเรา จะสื่อสารกับตัวตนภาคสว่าง เราก็กำหนดจิตนึกถึง "มิติแห่งตัวตนภาค สว่าง" เท่านั้นก็พอ ไม่ต้องเฉพาะเจาะจงท่าน ถามไปกว้างๆ รอจนกว่า จะได้คำตอบจากท่านใด ที่ควรแล้วจะมาตอบให้ เหมือนเราถามคำถาม ในอินเตอร์เน็ตไปกว้างๆ ไม่เฉพาะเจาะจงใครนี่แหละครับ ถ้าท่านยังไม่ ชัดเจน ก็ลองเริ่มต้นจากจินตนาการก่อน ให้นึกถึง "ดวงแก้วกลมๆ" ก็ ง่ายดี นึกถึงว่าดวงนี้เหมือนดวงดาวหรือโลกอะไรสักโลกหนึ่ง แล้วก็นึก ถึงมิติที่เราต้องการสื่อสาร เช่น อยากคุยกับคนที่เก่งศิลปะ เราก็กำหนด นึกถึงดวงแก้วนี้เป็นเหมือนโลกแห่งศิลปิน แล้วก็ส่งคำถามลงไปที่นั้น ก็ ค่อยรอคำตอบกลับมาจากดวงแก้วดวงนั้นครับ ซึ่งมันกำหนดเวลาที่เขา จะตอบกลับมาไม่ได้ครับ บางคำถาม อาจผ่านไปเป็นเดือน ถึงจะได้ครับ


เทคนิกที่ 5 "การแปลและอธิบายความหมาย" ด้วยภาษามนุษย์โลก


ต่อไปผมอยากจะแนะนำเทคนิกที่ห้า ครับ คือ การแปลและการอธิบาย ความหมาย ซึ่งบางท่านมีหูทิพย์ ได้ยินเป็นภาษาของตนเอง บางท่าน ก็ไม่มีหูทิพย์ จะได้ยินเป็น "ภาษามคธ" หรือภาษาจิตนะครับ มันจะไม่ อาจอธิบายได้ในตอนแรกครับ เคยไหมครับที่ท่านรู้สึกเหมือนเข้าใจได้ แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี? นั่นแหละครับ มันติดอยู่ที่การอธิบายก็เท่า นั้นเอง บางท่านสื่อสารได้ดี แต่อธิบายไม่เก่งก็มี มันจึงต้องมีเทคนิกใน การอธิบายเพิ่มเติมอย่างไรละครับ เอาละ ส่วนเทคนิกในการแปลภาษา จิตเป็นภาษามนุษย์นั้น ไม่ทราบจะบอกอย่างไรดีนะครับ บอกได้แต่ว่าจะ มีบางครั้งที่คุณได้รับข้อมูลแล้วเข้าใจแต่อิบายไม่ได้ นั่นคือ อาจเป็นไป ด้วยปัญหาเรื่องการแปลและอธิบายดังกล่าว ทีนี้บางครั้งคุณต้องเข้าใจ ด้วยว่า "ผู้แปล" มีศิลปะในการแปลที่ต่างกัน เช่น ในการพูดเรื่องพลังที่ อยู่ในโลก บางท่านก็แปลเป็นพลังคริสตัล เพราะอาจเน้นที่ลักษณะที่เป็น คริสตัล เป็นต้น แต่บางท่านอาจใช้คำอื่นในการอธิบาย เช่น พลังไกอา ก็ ได้ ซึ่งผมไม่ได้บอกว่านี่ต้องเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่นะครับ แต่สิ่งเดียวกัน ก็อาจได้รับการเรียกและอธิบายต่างกันได้ ก็เท่านั้นเอง บางครั้ง เรื่องการ อธิบายนั้น ก็เป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับผู้รับสารด้วยครับ เช่น ถ้าผู้รับสารนี้ เป็นฝรั่ง เก่งมาก เขาอาจต้องการการอธิบายที่ดูน่าเชื่อถือ และมีระดับคือ ภาษาวยงามเลิศหรู แต่ถ้าผู้รับสารเป็นคนไทย ก็อาจต้องการ การอธิบาย ที่ง่ายๆ ชัดๆ ลึกซึ้ง, ตรงประเด็น ฯลฯ ไม่ต้องเน้นภาษาเลิศหรูก็ได้ เป็นต้น เอาละ ในส่วนการอธิบายนั้น ผู้รับสารอาจจะเพิ่มเติมความรู้ของตนเองลง ไปเพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นก็ได้ครับ ดังนั้น จึงมีบางส่วนจะถูกผู้รับ สารเพิ่มเติมลงไปได้ แต่ไม่ใช่เพื่อประสงค์บิดเบือนนะครับ ต้องการให้เข้า ใจได้ง่ายๆ อย่างแท้จริง ก็เท่านั้นเอง จึงต้องเพิ่มเติมอะไรลงไปบ้างนะครับ


เทคนิกที่ 6 "การเลือกใช้วิธีเฉพาะในการรับสาร" ในแบบต่างๆ


สุดท้าย ผมอยากจะแนะนำเทคนิกที่หก ครับ คือ เทคนิกในการที่ คุณจะเลือกใช้วิธีเฉพาะในการรับสารเช่น บางท่านอาจใช้หูทิพย์ ตาทิพย์ ในการสื่อสารต่างมิติ ก็ได้ แต่ท่านที่ไม่มีหูทิพย์, ตาทิพย์ ก็ไม่เป็นไรครับ อาจใช้วิธีเฉพาะอื่นๆ ก็ได้ เช่น การปล่อยพลังให้ ผ่านร่าง ใช้ร่างของเราทำงาน โดยที่เราแทบไม่ได้ใช้พลังของเรา เลย ดังนั้น ก็เหมือนเราให้เขาผ่านพลังใช้ร่างของเราเต็มที่ เราจึง ไม่ได้ทำเอง สิ่งที่พูด หรือเขียนออกมา จะถูกขับดันจากพลังที่มา จากภายนอกเป็นสำคัญ เหมือนเราเป็น "หุ่นเชิดให้เขา" นั่นหละ แต่เทคนิกนี้ ก็มีจุดสำคัญอยู่ที่ "การเปิดรับพลัง-เลือกพลัง" ก่อน นะครับ เพราะไม่เช่นนั้น ร่างสังขารของคุณ อาจถูกพลังงานที่ไม่ ดี ใช้ไปในทางที่ไม่ดี ได้นะครับ เอาละ ผมคิดว่าแต่ละท่าน มีสิ่งที่ พิเศษแตกต่างกัน ดังนั้น ก็ใช้ความพิเศษของคุณที่ต่างกันนั้น ให้ เกิดประโยชน์ในด้านการสื่อสารต่างมิติได้ครับ ผลที่ออกมาก็จะไม่ ต่างกันนะครับ ถ้าเข้าใจในหลักการสื่อสารเหมือนกัน ก็ใช้ได้ครับ!


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล จงช่วยสื่อธรรมถึงท่าน สวัสดี


23 ก.ย. 2555

"เสียงจากมิติแห่งการสื่อสาร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังงานในจักรวาลนี้มีมากมาย ค้นหาแล้วลองใช้ดูสิ อย่ามัวหลงยึดแต่น้ำมัน

เจ้าข้าเอ้ยๆ น้ำมันจะหมดโลกแล้ว ทำยังไงดีละ โอ้ย ทำสงครามใน โลกมุสลิมดีมั้ย จะได้ได้น้ำมันมา ครอง อ่ะ หรือว่าไปแย่งหมู่เกาะ สแปซลี่ ดีละ จะได้ครอบครอง น้ำมันไง โอ้ย คิดแล้วคิดอีก ก็ไม่ พ้นการกระทบกระทั่งและเรื่องน่า ปวดหัวนะครับ โล๊ะมันทิ้งไป เปิดกว้างให้ตัวเอง แล้วเบิ่งตาดูจักรวาลที่กว้างขวาง นี้ครับ ว่ามันยังมีอะไรอีกมากมาย โดยเฉพาะ "พลังงานที่มนุษย์รู้จัก" มียังไม่ถึง 0.1% ของพลังงานที่ มีอยู่ในจักรวาลนี้เลย ทว่า มนุษย์ ก็ยังยึดติดกับน้ำมัน พลังงานมืด พลังงานสกปรก ที่ก่อมลพิษอยู่นั่น เมื่อไรจะเริ่มค้นหา และค้นพบพลัง งานใหม่ๆ ได้ซะทีละ เอาละ วันนี้ เรามาคุยเรื่องนี้กันครับ


"พลังงานใหม่" ทางออกของมนุษย์โลก เพื่อสันติภาพและความยั่งยืน


อย่างแรกผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า ขณะนี้พลังงานเก่าๆ ในโลกนั้น กำลังลดน้อยลงมาก แม้ว่ามันไม่ใช่พลังงานที่ดีนัก และก่อมลภาวะมาก แต่มนุษย์โลก ก็ยังยึดติดใช้มันอย่างยิ่ง จนนำไปสู่ปัญหาการแก่งแย่งใน กรรมสิทธิ์ครอบครอง เช่น หมู่เกาะสแปซลี่ เป็นต้น หรือแม้แต่สงครามซึ่ง เกิดในโลกมุสลิม ก็มีต้นเหตุส่วนหนึ่งมาจาก "น้ำมัน" นี่แหละครับ ดังนั้น ถ้าเราแก้ไขที่ต้นเหตุได้ คือ "หาแหล่งพลังงานใหม่ๆ" ที่ดีกว่า และมีอยู่ มากมายได้ ทดแทนน้ำมันได้ ปัญหาความขัดแย้งก็จะจบลง จะกลายเป็น "สันติภาพ" และ "ความยั่งยืนของโลก" ขึ้นมาแทนที่ครับ โลกของเราก็ จะปลอดภัยจากมลพิษ, สะอาดขึ้น, มีพลังงานใช้ทั่วถึง ไงละครับ นี่หละ ผมจึงเน้นให้เห็นความสำคัญของ "พลังงานใหม่" ซึ่งพลังงานหลายชนิด ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา ยกตัวอย่างง่ายๆ ไฟฟ้า นี่ตามก็มองไม่เห็น คลื่น รังสีบางชนิด ตาก็มองไม่เห็น ใช่มั้ยครับ แถมเรายังไม่มีความรู้พื้นฐาน ใน การค้นหาพลังงานใหม่ๆ นั้นเลย แล้วเราจะเริ่มต้นจากอะไรดีละ? 0 หรือ? ไม่หรอก หลายครั้งของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ มักเกิดขึ้นด้วย "ความบังเอิญ" เป็นสำคัญนะครับ แต่ด้วยนักวิทยาศาสตร์ ใส่ใจ และไม่ ละเลยสิ่งที่เกิดขึ้นจาก "ความบังเอิญ" นี้ พวกเขาจึงค้นพบสิ่งใหม่ๆ ได้ ครับ และนั่นแหละจึงทำให้เขากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์สำคัญของโลก


รากเหง้าของปัญหาวิกฤติโลกเริ่มต้นจาก "พลังงาน" แล้วลุกลามไป


ต่อไปผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า ปัญหาของโลกปัจจุบันอย่างหนึ่ง คือ ปัญหาที่มีรากเหง้ามาจาก "การขาดแคลนพลังงาน" ครับ ซึ่งคือ พลังงานน้ำมัน นั่นเอง จนเป็นเหตุให้ราคาสินค้าแพงขึ้น (เพราะน้ำมัน แพงขึ้น ค่าขนส่งสินค้า ก็สูงขึ้น) ทำให้กระทบตลาดสินค้าบางชนิดที่ ขายไม่ออก เพราะราคาแพงเกินไป และกลายเป็น "วิกฤติเศรษฐกิจ" ในที่สุด เอาละ มันคือ "รากเหง้าของปัญหาของโลกอย่างหนึ่ง" เลย ทีเดียว ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแบบ "เฉพาะหน้า-เร่งรีบ" ไม่ได้แก้ไข ที่รากเหง้าสาเหตุ คือ แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ให้รอดไปแต่ระยะสั้นๆ ที่ตนรับผิดชอบเท่านั้น (เช่น เป็นประธานาธิบดีอยู่ 4 ปี ก็มองสั้นๆ แค่ 4 ปี) เช่น การเข้าไปควบคุมตลาดน้ำมันในโลกมุสลิมด้วยการทำให้มี สงครามระหว่างประเทศ, การแก่งแย่งหมู่เกาะสแปซลี่ เพราะมีน้ำมัน, และอีกมากมายหลายเรื่อง ที่กลายเป็น "ปัญหาที่ยุ่งเหยิงใหม่ๆ ของ โลก" นี้ครับ ย้ำนะครับ มันเป็นปัญหาระดับโลก ไม่ใช่แค่ประเทศหนึ่ง ประเทศใด เท่านั้น ก็หาไม่ ดังนั้น หนึ่งในปัญหาระดับโลก นอกจากใน เรื่อง "โลกร้อน-ธรรมชาติถูกทำลาย" แล้ว ยังมีเรื่อง "พลังงาน" อีก นะครับ สิ่งที่เราต้องการและตอบโจทย์แก่เราได้คือ พลังงานใหม่ที่ไม่มี มลภาวะมากเกินไป (แบบน้ำมัน ไม่เอา) และมีใช้ได้มากกว่าน้ำมันครับ แต่หมู่เกาะสแปซลี่ ไม่ใช่คำตอบสำหรับอนาคตที่ดี ของเราครับ เพราะ เราอาจจะเลิกใช้ "น้ำมันกันแล้วในอนาคตครับ" ดังนั้น อย่าล้าหลังคิด แย่งชิงน้ำมันกันอยู่เลย คิดหา "พลังงานใหม่" ดีกว่าครับ จริงไหมครับ


"พลังงานใหม่" ที่สะอาดและมีอยู่มากมาย อยู่ไม่ไกลเกินความฝัน?


ต่อไปผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า "พลังงานใหม่" ที่สะอาด ไม่มี มลภาวะมากเกินไป และมีอยู่มากมายบนโลกนี้ "มีอยู่จริงครับ" และ ไม่ไกลเกินฝัน มันคือความเป็นจริงที่รอคอยการค้นพบโดยผู้ที่ยังไม่ ละความพยายามในการค้นหาครับ คิดดูนะครับว่าเราค้นพบพลังงาน น้ำมันมานานแค่ไหนแล้ว? วิทยาศาสตร์ของเรา ก็หยุดชะงักลงแค่นี้ หรือครับ? หรือว่าเราควรก้าวหน้าต่อไป เพื่อค้นหาพลังงานใหม่ๆ ให้ ได้ดีกว่านี้ เพื่อทดแทนหรือแทนที่พลังงานเก่า เอาละ ท่านคิดว่าจะยัง มีพลังงานที่ยังไม่ถูกค้นพบในจักรวาลนี้อีกเท่าไร? ผมบอกได้เลยว่า มันมีมากกว่า "จำนวนของสัตว์และพืชทั้งหมดในโลกและสารเคมีใน โลกรวมกัน" เสียอีก ในเมื่อคุณขยันและพยายามค้นหาสัตว์และพืช ขนิดใหม่ๆ เพื่อจะได้ใช้ชื่อของคุณตั้งให้นั้น คุณกลับละเลยและมอง ข้ามพลังงานใหม่ๆ และใช้เวลาทุ่มเทค้นหามันน้อยมากครับ ทั้งๆ ที่นี่ คือ "สิ่งที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนโลกของเรานะครับ" ดังนั้น ผม จึงอยากให้ท่านลองแบ่งความพยายามในเรื่องอื่นๆ กิจกรรมอื่นๆ ลง มาให้กับ "การค้นหาพลังงานใหม่" ให้มากขึ้นครับ เพราะมันคือ สิ่ง ที่โลกรอคอย มันคือคำตอบของการแก้ปัญหาหลายอย่าง ทั้งในเรื่อง ความขัดแย้งในโลกมุสลิม, ความขัดแย้งของจีน-ญี่ปุ่น, สินค้าแพง, หนี้สินยูโร, เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ฯลฯ ทุกอย่างครับ เห็นไหมละครับว่า มันคุ้มค่ากับการลงทุนค้นหา "พลังงานใหม่" นี้แค่ไหน ใช่มั้ยละครับ


"พลังไกอา พลังงานใหม่" พลังงานสะอาด, มีอยู่มากมาย ที่โลกรอคอย


ต่อไปผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า "ดาวทุกดวง" มีพลังงานอย่างหนึ่ง ที่แผ่ออกมาได้ ไม่ต่างอะไรกับการแผ่รังสีความร้อนของสิ่งที่มีความร้อน หรอกครับ และดาวทุกดวงมีการหมุนและเคลื่อนไหว ดังนั้น มันจึงก่อให้ เกิด "พลังงานมากมาย" ปลดปล่อยไปสู่ "จักรวาล" ครับ ทุกอย่างก็คือ "สาธารณะจักรวาล" หมายความว่า ในขณะที่ดาวโลก กำลังได้รับพลัง งานจากทุกสรรพสิ่งในจักรวาล โลกเองก็ปลดปล่อยพลังงาน แผ่ออกไป สู่ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเช่นกัน นี่แหละ ภาวะที่ผมเรียกว่า "สาธารณะ จักรวาล" และสิ่งที่อยู่ใกล้โลก, ติดพื้นโลกมากที่สุด ก็คือ สิ่งที่จะได้รับ พลังงานของโลกก่อนใคร ใช่มั้ยละครับ เอาละ อย่าไปยึดติดแต่พลังซึ่ง คุณมองเห็นได้ หรือสัมผัสได้ด้วยอวัยวะใดๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพราะโลกของคุณ ไม่ได้รับพลังงานน้อยชนิดอย่างนั้นแต่มันได้รับแบบ นับชนิดไม่ถ้วนเลยครับ และที่มากที่สุดยิ่งกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ก็คือ พลังงานที่มาจาก "ดาวโลก" นี่เองแหละครับ พลังงานนี้เหมือน "คลื่น รังสีเฉพาะตัว ที่ปลดปล่อยออกมา จากดาวแต่ละดวง" ซึ่งไม่เหมือนกัน และมาจากกิจกรรมต่างๆ ของดาวดวงนั้นตามปกติครับ เช่น การเคลื่อน ที่ของดาว ทำให้เกิดพลังงานคลื่นรังสี ที่แตกต่างกันของแต่ละดวงดาว และมันได้ปลดปล่อยพลังงานคลื่นรังสีเฉพาะตัวนี้ ไปสู่ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ ในจักรวาลนี้ด้วยครับ แต่ปัญหาก็คือ "มนุษย์โลกกลับมองไม่เห็นคลื่นที่ ว่านี้สิครับ" เรามองเห็นแต่คลื่นแสงอาทิตย์เท่านั้น เรามองไม่เห็นคลื่นที่ มาจากดาวดวงอื่นๆ เลย (เพราะอะไรนะ ?) คือ ผมกำลังจะบอกว่าอย่า ไปคิดว่าดาวฤกษ์ เช่น ดวงอาทิตย์เท่านั้นที่มี "คลื่นรังสี" แผ่ออกมา แต่ "คลื่นรังสี" มีอยู่ในทุกสิ่งครับ และแผ่ออกมาจากทุกสิ่งในแบบที่ต่างกัน ความถี่ไม่เท่ากัน ก็เท่านั้นเองครับ เพราะอะไร ก็แค่อตอมแต่ละตัวเคลื่อน ที่ มันก็แผ่รังสีได้แล้วไงครับ ดังนั้น ดาวหนึ่งดวงที่ใหญ่มาก ก็มีพลังงาน นี้แผ่ออกมาครับ แต่เราอาจมองไม่เห็นเท่านั้นเอง (เหมือนรังสีเอ็กซ์ ที่ตา ของเราก็มองไม่เห็น) และคลื่นพลังงานเหล่านี้ "ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของ แรงดึงดูดของดวงดาวจะกักมันไว้ได้ครับ" เอาละ ผมกำลังจะบอกคุณว่า "โลกของเรา ก็มีคลื่นแสงที่มองไม่เห็น" ส่องประกายออกไป ไม่ต่างจาก ดาวฤกษ์-ดวงอาทิตย์ เหมือนกันครับ และนี่คือ "พลังงานของโลก" ครับ


"พลังไกอา พลังงานใหม่" ที่มนุษย์ได้รับ และได้ใช้ก่อนใครในจักรวาล


ต่อไปผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า "พลังไกอา" ที่ผมกล่าวถึงนี้ มนุษย์ โลกจะได้รับก่อนใครในจักรวาล เพราะอยู่อาศัยบนโลกไงครับ มันจึงเป็น พลังงานที่หาง่ายและมีมากที่สุดในโลกนี้เลย ทว่า มนุษย์โลกกลับไม่ค่อย ได้ใช้ประโยชน์จากพลังงานเหล่านี้สักเท่าไร? เพราะมนุษย์โลกมีเชื้อสาย มาจาก "สุริยเทพ" เทพแห่งแสงสว่าง จึงมองเห็นผ่านแสงอาทิตย์มาก่อน ที่จะมองเห็นแสงจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ได้ครับ เอาละ อย่างไรก็ตาม ใน เมื่อมนุษย์โลกก็ได้ถูกส่งให้ลงมาเกิดบนโลกนี้ เพื่อการเรียนรู้เพิ่มเติม และ เราก็ได้กลายเป็นสัตว์โลกนี้โดยสมบูรณ์กันแล้ว เราก็ควรที่จะปรับตัวให้ได้ กับโลกใบนี้ และใช้พลังงานของโลกใบนี้ให้ถูกต้อง และมันจะทำให้เราไม่ ต้องเหนื่อยยากมากเกินไป ในการแสวงหาพลังงานใหม่ๆ มาทดแทนพลัง งานเก่าๆ ที่กำลังลดจำนวนลงไปอีกด้วยครับ เอาละ นอกจากนี้ พลังไกอา ยังเป็นพลังงานที่มีอยู่ทุกที่ในโลก หาได้ทุกที่ และมนุษย์ทุกคนก็สามารถ รับได้ครับ ดังนั้น มันจึงเป็นพลังงานที่เหมาะสมที่สุด ที่จะใช้ในโลกนี้ ครับ


ยกระดับตัวคุณเองสู่ "อุลตร้าแมน ไกอา" เพื่อพร้อมรับพลังงานใหม่!


ต่อไปผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า คุณสามารถรองรับพลังไกอา ได้ดี มากขึ้น เมื่อคุณเลื่อนระดับไปสู่ระดับ "อุลตร้าแมน ไกอา" ได้ คุณก็จะ ได้รับพลังไกอาที่มากขึ้นจนสามารถใช้พลังไกอาได้หลากหลายยิ่งขึ้น อีกด้วย แม้ว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ จะได้รับพลังไกอาเช่นเดียวกัน ทว่า แต่ละสิ่งรองรับพลังไกอาได้มากมาย ไม่เท่ากัน และนำไปใช้ประโยชน์ ได้ไม่เท่ากันอีกด้วย ดังนั้น มันจึงมีความจำเป็นเมื่อคุณต้องการใช้พลัง ไกอาให้ได้มากขึ้น คุณจึงต้องยกระดับตัวคุณเองให้ไปสู่ระดับ "อุลตร้า แมน ไกอา" ดังกล่าวด้วย อย่าลืมว่า "ระดับและพลังงาน" นั้นสัมพันธ์ กัน กล่าวคือ ผู้ที่มีระดับใด ก็จะใช้พลังงานในระดับนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่อยู่ ระดับภาคมืด ก็จะใช้พลังภาคมืดในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ ผลสำเร็จ แต่คนที่อยู่ระดับภาคสว่าง ก็จะใช้พลังภาคสว่าง ในการทำกิจ ดังนั้น หากท่านต้องการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังไกอาให้มากขึ้น คุณจึงจะ ต้องยกระดับตัวคุณเองให้รองรับกับพลังงานนั้นๆ ด้วย ซึ่งก็คือ การเลื่อน ระดับไปสู่อุลตร้าแมน ไกอา ดังกล่าว นั่นเอง เอาละ สำหรับในเรื่องการยก ระดับนั้น ผมจะไม่ลงลึกในรายละเอียดมากนักเพราะท่านที่มีความชำนาญ ในเรื่องการยกระดับมากกว่าผมจะได้มาแนะนำต่อไปในวาระเหมาะสมครับ


"โลกที่สะอาดสดใส" จะเกิดขึ้นได้ เมื่อมนุษย์โลกหันมาใช้พลังงานที่ดี!


สุดท้ายผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า เมื่อมนุษย์โลกหันมาใช้พลังงานที่ ดีจะทำให้เราได้อยู่ร่วมกันในโลกที่สะอาดสดใสเป็นโลกใบใหม่ โลกแห่ง อนาคตของพวกเขา ที่สร้างสรรค์ด้วยจิตใจที่ดีงามของพวกเขาทั้งหลาย เป็นโลกที่เป็นมิตรกับมนุษย์ โลกที่มีธรรมชาติงดงาม ไม่ถูกทำลาย และมี ความบริสุทธิ์มาก ไม่ค่อยมีภัยพิบัติอีกต่อไป มันเป็นโลกที่มนุษย์ทุกคนจะ รักและรอคอยมันครับ แต่มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้เลย ถ้ามนุษย์โลกยัง ไม่ร่วมมือกัน เพื่อกำหนดอนาคตของโลกที่สว่างไสวนี้ ให้เป็นความจริง !


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล จงนำพลังงานใหม่มาสู่ท่าน สวัสดี


22 ก.ย. 2555

"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"พลังแห่งไกอา" ที่มนุษย์ต่างดาวอยากได้รับ? ทว่า มนุษย์โลกกลับมองข้ามไป?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมีเรื่องเกร็ดเล็กๆ เกี่ยวกับพลังงานจาก "ดาวต่างๆ" ในจักรวาลนี้ ที่แตกต่างกันนะครับ โดยเฉพาะพลังงานจากดาวโลกนี้ ที่ผมเรียกว่า "พลังไกอา" ก็แล้วกัน มันมีลักษณะพิเศษครับ คือ มันจะใช้ ในการเรียนรู้พลังงานจากดวงดาวได้ ทุกดวง (ซึ่งพลังงานจากดาวอื่นๆ ไม่ มีแบบนี้) ทำให้ "มนุษย์ต่างดาวมาก มาย เข้ามาสู่ดาวโลกนี้" เพื่อจะได้รับ พลังไกอานี้ และนำไปสู่การรับพลังงาน จากดาวดวงอื่นๆ ต่อไปครับ เอาละ ชักตื่นเต้นแล้ว มาฟังกันต่อไปครับ


"พลังไกอา" ที่มนุษย์โลกหลงลืม สามารถรวมพลังดาวทุกดวงได้จริงหรือ


อย่างแรกที่ผมอยากบอกท่านคือ พลังงานของโลกนี้ (ไกอา) มีลักษณะที่ พิเศษต่างจากพลังของดาวดวงอื่นๆ กล่าวคือ แม้ว่ามันไม่ได้มีพลังมาก ไม่ ได้มีพลังพิเศษอะไร ทว่า มันกลับสามารถรวบรวมและเรียนรู้ พลังที่มาจาก ดาวต่างๆ ได้ทุกดวง ในขณะที่พลังจากดาวอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ ทำให้ผู้ ที่ได้รับพลังนี้ "มีพลังความสามารถได้ทุกอย่าง" ไม่ว่าพลังนั้น จะมาจาก ดาวดวงไหนในจักรวาลนี้ก็ตาม ดังนั้น "โลกจึงเป็นสนามฝึกที่ดีที่สุด" ใน จักรวาลนี้ สำหรับสัตว์ทุกชนิด จากทุกดวงดาว ด้วยเหตุนี้ นั่นเองครับ และ เพราะเหตุนี้ จึงมี "มนุษย์ต่างดาว" จำนวนมากมาย หลายดวงดาว เข้ามา สู่โลกนี้ เพื่อรับพลังของไกอา และใช้พลังของไกอาต่อเพื่อรับเอาพลังของ ดาวดวงอื่นๆ เข้ามารวมไว้จึงจะยกระดับตัวเองสู่ระดับ "สากลจักรวาล" ที่ แท้จริงได้ครับ ดังนั้น ในขณะที่มนุษย์โลกมากมายหลงลืมและทอดทิ้งโลก พลังของโลก เพราะอยากเป็นมนุษย์ต่างดาว อยากรับพลังของมนุษย์ต่าง ดาว พวกเขากลับสูญเสียพลังของไกอา อันเป็นพลังพิเศษมากในจักรวาล ที่มนุษย์ต่างดาวมากมายจากดาวต่างๆ ทั่วจักรวาล ต่างก็อยากได้รับครับ


"พลังไกอา" อยู่ในทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ แต่มีอยู่ใน "มนุษย์" มากที่สุด


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ "พลังไกอา" มีอยู่ในทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกนี้แต่จะมีอยู่ใน "มนุษย์" มากที่สุด คนที่ยิ่งมีความเป็นมนุษย์มาก ขึ้นเท่าไร ก็จะได้รับพลังไกอามากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามในคนที่สูญเสีย ความเป็นมนุษย์ไปมากเท่าไรก็ยิ่งมีพลังไกอาลดลงมากเท่านั้นด้วย หาก มนุษย์ต่างดาว เข้ามาสู่โลกโดยไม่ผ่านการเกิด พวกเขาจะอ่อนแอมากๆ เพราะพวกเขาไม่ได้รับพลังไกอา แต่ถ้าพวกเขาเข้ามาสู่โลกโดยผ่านการ เกิดได้ เช่น การถ่ายฝากตัวอ่อนในครรภ์มนุษย์ และคลอดสำเร็จ พวกเขา ก็จะได้รับ "พลังไกอา" ด้วย และด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้ เหล่ามนุษย์ต่าง ดาวได้ใช้เทคโนโลยีการถ่ายฝากตัวอ่อนมนุษย์ต่างดาว ในครรภ์ของคน เพื่อจะให้ตัวอ่อนได้รับพลังไกอาก่อน นั่นเอง ในขณะที่มนุษย์ต่างดาวนั้น กำลังตื่นตัวและเห็นความสำคัญ และความจำเป็นที่จะต้องได้รับพลังของ ไกอามากขึ้น ทว่า มนุษย์โลกกลับเห็นคุณค่าของพลังไกอาลดลง ทำให้ พวกเขากำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์, ศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ไป จนถึงพลังพิเศษที่แฝงอยู่ในความเป็นมนุษย์ ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมี การค้นหาอะไรเลย น่าเสียดายจริงๆ ที่มนุษย์กลับมองข้าม และไม่ค้นพบ พลังพิเศษที่ดีที่สุดในจักรวาล อย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่อยู่ในตัวเองแท้ๆ นะครับ อนึ่ง พลังงานนี้ บางครั้งผมจะเรียกว่า "พลังกลุ่มคลาสสิค" ซึ่งไม่ใช้ทั้ง พลังงานภาคสว่าง และพลังงานภาคมืด แต่มาจากดาวโลกโดยตรงครับ


"พลังไกอา" อยู่ในโลกนี้ แต่คุณต้องแยกแยะให้ออกจากพลังภาคมืด?


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ พลังไกอาอยู่ในดาวโลกดวงนี้ ซึ่งจะมีพลัง ภาคมืดปกคลุมไว้อยู่ ดังนั้น หลายท่านได้รับพลังงานภาคมืดเสียก่อน ที่ จะได้รับพลังไกอา เพราะเข้าไม่ถึงแก่นแท้ที่ซ่อนอยู่ในระดับที่ลึกขึ้น ใน พลังงานภาคมืดนั้น พลังไกอาไม่ได้มาจากเบื้องบน ไม่ใช่พลังจากดาวที่ อยู่นอกโลก ดังนั้น มันจึงมากจาก "ภาคพื้นดิน" ทว่า ที่ภาคพื้นดินนั้น ก็ มีพลังงานอื่นๆ ปกคลุมอยู่มากมาย โดยเฉพาะพลังงานภาคมืด และพลัง งานชั้นต่ำจากแหล่งต่างๆ ดังนั้น จึงไม่ค่อยมีใครค้นพบพลังงานนี้มากนัก เอาละ ผมเคยได้ยินคนพูดถึง "พลังจากคริสตัลแกนโลก" ผมไม่แน่ใจว่า มันคือสิ่งเดียวกันหรือไม่ แต่ผมกำลังจะบอกคุณว่าพลังไกอานี้ ไม่ใช่พลัง งานมืดที่มีอยู่มากมายใต้พื้นดิน และไม่ใช่พลังงานที่สกปรกเลย แต่มันคือ พลังงานสะอาด, ใส, บริสุทธิ์มาก และมั่นคงเข้มแข็งมาก อุปมาเหมือนกับ คริสตัลนั่นแหละ ทว่า นั่นคือ "ต้นแหล่งพลังงาน" ที่แผ่พลังงานออกมาให้ ทุกสิ่งในโลกและในจักรวาลนี้ด้วย ซึ่งผู้ที่อยู่ในดาวโลกนี้จะได้รับก่อนและ มนุษย์ถูกธรรมชาติสร้างมาให้ได้รับ ได้มากที่สุด ทว่า มนุษย์มากมาย ไม่ ทันได้รับพลังงานในระดับลึกของโลกนี้ แต่กลับได้รับพลังงานระดับตื้นซึ่ง เป็นพลังงานกลุ่มพลังมืดแทน ดังนั้น คุณจึงต้องค้นให้ลึกขึ้น และอย่าเพิ่ง ไปยอมรับพลังงานระดับตื้นง่าย หรือเร็วเกินไป ประกอบกับควรจะมีความ ละเอียดอ่อนที่จะเลือกรับพลังงานให้มากขึ้น แยกแยะพลังงานทั้งสองสิ่ง ให้ได้ ก็จะได้รับพลังงานไกอาที่บางท่านเรียกว่าพลังคริสตัลแกนโลก ได้


ปีหน้า (2556) จะเป็นปีที่ "พลังไกอา" มีบทบาทขับเคลื่อนโลกสูงที่สุด


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ ในปีหน้า พลังของไกอาจะมีบทบาทในการ ขับเคลื่อนโลกมากที่สุด ดังนั้น ท่านเหลือเวลาในปีนี้อีกไม่มากที่จะสะสม พลังไกอา เพราะถ้าท่านได้รับพลังไกอามากเท่าไร ท่านก็จะมีบทบาทใน การขับเคลื่อนโลกนี้ มากขึ้นเท่านั้นด้วย และนั่นหมายความว่า พลังของ เหล่า "มนุษย์ต่างดาว" จะไม่อาจมีอิทธิพลมากต่อโลก อีกแล้ว ไม่ว่าจะ เป็นพลังของสุริยเทพหรือพลังอื่นใดก็ตาม ก็ยังเป็นรอง พลังไกอา อยู่ดี เนื่องจากพลังไกอาสามารถใช้เรียนรู้และรับพลังงานจากต่างดาวได้ทุก ชนิด ทุกดวง ทำให้ผู้ที่ได้รับพลังไกอา สามารถรับพลังจากต่างดาว ได้ ทุกชนิดและสามารถใช้พลังจากต่างดาวได้ทุกชนิดอีกด้วย ทว่า อาจจะ ไม่สามารถใช้ได้ดีที่สุด, มากที่สุด เหมือนกับเหล่ามนุษย์ต่างดาว ก็ตาม ทว่า สิ่งต่างๆ ในโลกจะได้รับการจัดสรรใหม่ให้เข้าที่ตามแบบที่โลกควร จะเป็นก่อนที่จะเปิดรับพลังของสุริยเทพเป็นพลังหลักในปีถัดไป (เปลี่ยน กันพลังละปี หมุนเวียนเป็นวัฒจักร) ดังนั้น มนุษย์โลก ที่ได้รับพลังไกอา ก็จะมีบทบาทมากขึ้น พวกเขาจะมีลักษณะที่ไม่ใช่คนที่เก่งเฉพาะด้าน ก็ เพราะพวกเขาเรียนรู้รอบด้าน ทุกอย่าง เข้าใจโดยทั่วทั้งหมดแม้ว่าจะไม่ เก่งเฉพาะทางก็ตาม ทว่า พวกเขาก็เรียนรู้ได้ทุกอย่าง, เข้าใจได้ทั้งหมด นี่แหละ คือ คนที่โลกต้องการในปีหน้า เพราะปัจจุบันนี้คนเรามักจะเก่งแต่ เฉพาะด้านในสิ่งที่ตนถนัดอย่างเดียวเท่านั้น จึงเกิดความไม่เข้าใจกันและ ขัดแย้งกันมาก ด้วยไม่มีใครที่เข้าใจรอบด้าน ทำได้ทุกอย่างอย่างแท้จริง


"พลังไกอา" พลังแห่งการเรียนรู้ และเปิดรับพลังต่างดาวได้ทุกดวง


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านก็คือ พลังไกอาช่วยในการเรียนรู้พลังจาก ต่างดาวได้ทุกดวงทั้งยังสามารถทำให้เราใช้พลังจากต่างดาวได้ทุก ชนิดอีกด้วย มันจึงเป็นพลังพิเศษที่พิเศษจริงๆ พิเศษยิ่งกว่าพลังจาก ดาวดวงใดๆ ที่ผมเคยพบและสัมผัสมา เอาละ คำถามคือ แล้วต้องทำ อย่างไรจึงได้รับพลังไกอาที่ว่านี้ได้? คำตอบง่ายมากครับ คือ เราล้วน ได้รับอยู่แล้วตั้งแต่เกิดในโลกนี้นะครับ เพียงแต่เราอาจไม่ค่อยได้ใช้ก็ เลยทำให้พลังงานนี้ อ่อนกำลังลง และกลายเป็นเพียงพลังแฝงที่ซ่อน ลึก จนไม่รู้ว่านี่คือ พลังพิเศษอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเรานี่เอง เอาละ ถามว่าแล้วทำอย่างไรจึงจะดึงมันมาใช้ได้ละ? คำตอบก็คือ ใน เวลาที่เราไม่อาจจะใช้พลังอื่นใดได้ เราอาจค้นพบมันในตัวของเราเอง เช่น ในเวลาที่เราอับจนมากๆ เราจนตรอกมากๆ เราหมดสิ้นหนทางมาก ทว่า มันจะเฉียดใกล้กับพลังภาคมืดมากนะครับ เพราะหลายคนพอเข้า สู่วิถีนี้แล้ว เริ่มอับจน จนตรอกหมดสิ้นหมดทางแล้วก็ได้รับพลังภาคมืด ไปเลย ผมถึงบอกว่ามันอยู่ใกล้กับพลังภาคมืดมากไงละครับและหลาย ท่านก็ได้รับพลังภาคมืด ก่อนที่จะได้รับพลังไกอาด้วยซ้ำ เมื่อใช้พลังที่ มาจากภาคมืดไปแล้วจึงไม่ทันได้ค้นพบว่ามีพลังของไกอาซ่อนอยู่ในตัว ของเราเอง มันไม่ทันได้ปลุกขึ้นมาใช้ มันไม่ทันได้รับมาใช้ ก็กลายเป็นมี พลังภาคมืดเข้ามาแทนที่เสียก่อนครับ นั่นแหละ ปัญหาที่ทำให้ผู้คนมาก มาย ไม่ได้รับพลังไกอา อีกทั้งยังสูญเสียพลังไกอาไปด้วย เมื่อพวกเขามี การรับและเลือกใช้พลังภาคมืด ภาคมืดก็จะเอาพลังไกอาของพวกเขาไป (แลกเปลี่ยนพลังกัน) และทำให้ภาคมืดเรียนรู้และรับพลังจากต่างดาวได้ มากมาย พวกเขาจึงเก่งมากขึ้นและมีอิทธิพลมากขึ้นในโลกนี้ยังไงละครับ


มนุษย์ต่างดาวกำลังเคลื่อนย้าย ตีตัวออกห่างจากภาคมืดสู่เหล่าไกอา


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านก็คือ มนุษย์ต่างดาวจำนวนมากมาย ที่มายัง โลกนี้กลุ่มแรกๆ ซึ่งไม่ได้ผ่านการกำเนิดในโลกนี้ และยังไม่ได้รับพลัง ไกอา จะมีความอ่อนแอมากๆ และยังปรับตัวเข้ากับโลกนี้ไม่ได้ เขาจึง ต้องอาศัยมนุษย์ ซึ่งมนุษย์เหล่านี้ก็มักเป็นสายของ "ภาคมืด" ทำให้ มนุษย์ต่างดาวต้องพึ่งพาภาคมืดไปโดยพฤตินัย อย่างไม่อาจเลือกได้ ทว่า มาถึงตอนนี้ พวกเขากำลังตีตัวออกห่างจากภาคมืดแล้ว เพราะที่ ผ่านมาภาคมืดเอาเปรียบเหล่ามนุษย์ต่างดาวมาโดยตลอด ทำให้พวก เขาต้องการเลือก "สัมพันธภาพใหม่" ต้องการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับผู้ ที่ไม่ใช่ภาคมืดหรือสายของภาคมืด พวกเขาก็กำลังหาทางที่จะอยู่ได้ ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาภาคมืด ดังนั้น พวกเขาจึงต้องใช้การถ่าย ฝากตัวอ่อนเพื่อให้ตัวอ่อนได้กำเนิดในโลก และได้รับพลังไกอาด้วย ทั้ง ยังต้องการติดต่อสัมพันธ์กับมนุษย์ที่มีพลังไกอา เพื่อที่จะรวมกำลังกัน ในการทำกิจต่างๆ โดยไม่ต้องอาศับภาคมืดอีกต่อไป และผลจากการที่ พวกเขาเคลื่อนย้ายนี่เอง ทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายใน ด้านต่างๆ มนุษย์บางกลุ่มที่เคยได้รับพลังของต่างดาว กลับไม่ได้รับ ใน ขณะที่มนุษย์กลุ่มใหม่กำลังถูกเลือกให้ได้รับพลังของมนุษย์ต่างดาว นี่ เพราะพวกเขากำลังเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกว่านั่นเอง


จงยกระดับตัวท่านเองสู่ระดับ "อุลตร้าแมน ไกอา" เพื่ออนาคตของโลกนี้


สุดท้ายที่ผมอยากบอกท่านคือ ทุกท่านที่เป็นคนสามารถพัฒนาความเป็น มนุษย์ให้มากขึ้นได้จนถึงระดับที่เรียกว่า "อุลตร้าแมน ไกอา" เพื่อเตรียม รับพลังงานจากต่างดาวที่กำลังเคลื่อนย้ายมานี้ เพราะถ้าคุณไม่อาจได้รับ พลังของไกอา แม้คุณได้รับพลังจากต่างดาวไป ก็ไม่มีความหมายอะไร? ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหลือนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่คุณจะเรียนรู้และ รับพลังจากดาวโลกของคุณเอง ทำความรู้จักโลกของคุณเองให้มากขึ้น และรับพลังงานจากดาวโลกของคุณเองเสียก่อน เพราะมันคือสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นมากในการเรียนรู้ที่สูงขึ้นต่อไป ผมหวังว่าคุณจะตื่นตัวมากขึ้น ที่จะทำความเข้าใจโลกใบนี้ตามธรรมชาติที่มันเป็น เปิดรับพลังอันบริสุทธิ์ ของโลกใบนี้ โดยไม่ถูกพลังภาคมืดครอบงำ ไปเสียก่อน เพื่อยกระดับตัว คุณเองไปสู่ระดับ "อุลตร้าแมน ไกอา" อันเป็นจุดสำคัญมากในการปูพื้น ฐานในการเรียนรู้พลังจักรวาล และพลังงานจากดาวต่างๆ ทั้งหลายครับ


ขอพลังแห่งไกอา ช่วยเลื่อนระดับของท่านสู่ "อุลตร้าแมน ไกอา" สวัสดี


20 ก.ย. 2555

"เสียงจากอุลตร้าแมน ไกอา"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การให้กำเนิดสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริง(ในอดีต) และการปลุกพลังวิญญาณทุกสรรพสิ่ง

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องวิทยาการ บางอย่างจากจักรวาล มาเล่าให้ ฟังเล่นๆ นะครับ คือ วิทยาการใน การปลุกพลังวิญญาณของสิ่งที่ เดิมมีแต่ "สังขาร" ขึ้นมา เช่น ถ้าคุณตั้งโรงแรม สร้างสังขาร วัตถุให้มันแล้ว แต่มันยังไม่มีสิ่ง ที่เรียกว่าวิญญาณ และไม่มีพลัง ดึงดูดนะครับ ดังนั้น คุณต้องทำ ให้มันมีพลังดึงดูดต่อไป มันจึง จะสำเร็จเป็นโรงแรมชั้นนำ และ คุณก็จะประสบความสำเร็จใน การดำเนินธุรกิจครับ เอาละ มันไม่ใช่เรื่องของคนที่รีบ นิพพานนะครับ ท่านไหนยังไม่รีบ นิพพาน และยังใช้ชีวิตอยู่บนการ แข่งขัน ก็ลองอ่านดูนะครับ ...


สำหรับ "ผู้สร้าง" แล้ว ย่อมให้กำเนิดสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริง ได้ทั้งสิ้นครับ


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ สรรพสิ่งไม่เที่ยง มีเกิดแล้วมีดับ, ดับไปแล้ว เกิดใหม่มาแทนที่ สำหรับในกระบวนการเกิดนั้น ก็จะมี "ผู้สร้าง" เข้ามา เกี่ยวข้องในแต่ละระดับครับ เช่น สร้างระดับโลก, ระดับประเทศ, ระดับใน ครัวเรือน ฯลฯ ได้ทั้งหมดครับ ไม่เว้นแม้แต่คนสร้างหนัง สร้างตัวละคร นี่ก็ ผู้สร้างเหมือนกันครับ แต่เขาสร้างเพียงหนัง ถ้าเราเอาตัวการ์ตูนของเขา มาสร้างต่อ ก็ได้เหมือนกันครับ จากหนังอาจกลายเป็นชีวิตจริง คนจริง ก็ ได้ครับ (ถ้าเรามีบารมีสร้างได้นะ) ไม่มีสาระครับ! เป็นเรื่องกิจกรรมยาม ว่างของ "ผู้สร้าง" ก็แค่นั้นเอง ไม่ยากอะไรเลยครับ อะไรที่มีสังขารแล้ว หรือมีนามรูปแล้วก็สร้างต่อไปตามลำดับของ "ปฏิจจสมุปบาท" ก็แค่นั้น เอง ไม่แปลกอะไร อะไรที่ไม่เคยมีก็สร้างได้ทั้งนั้นแหละครับ เอาง่ายๆ แค่ เว็บไซต์, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เมื่อก่อนมีไหมครับ? แต่ตอนนี้ ละ แหม เต็มไปหมด ก็สร้างมันขึ้นไงครับ มันสร้างได้ทุกอย่างนั่นแหละ! ดังนั้น ไม่มีอะไรที่สร้างไม่ได้, ไม่มีอะไรที่ไม่อาจเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งล้วน สร้างได้, ทำให้เกิดขึ้นได้, ทำให้มีได้, ทำให้เป็นจริงระดับสมมุติได้ทั้งสิ้น


สินค้าที่คุณสร้างขึ้นมา (สังขาร-รูป) ต้องมีแบรนด์ (นาม) และวิญญาณ


ต่อไปผมจะขอยกตัวอย่าง การสร้าง ที่คุณเห็นได้ทั่วไป และมีอยู่ดาษดื่น ในทุกวันนี้ เห็นได้แทบทุกที่ครับ นั่นคือ การสร้างสินค้าใหม่ (New pro duct) ซึ่งกว่ามันจะมี "ชีวิต" ขึ้นมาได้ นอกจากคุณจะสร้างสังขารซึ่ง เป็นวัตถุให้มันแล้ว มันมีรูปแล้ว สร้างชื่อ (นาม) ให้มันแล้ว คุณยังต้องมี "พลังวิญญาณ" ปลุกให้มันมีชีวิตด้วยนะครับ เอาง่ายๆ บางโรงแรมเคย ไปไหมครับ มันไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย เหมือนอะไรที่ชั่วคราว แค่นอนๆ ไปสักคืนหนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็จากไปแต่บางโรงแรมมันมีชีวิตชีวา มีวิญญาณ ครับ เราผูกพันกับมัน พักแล้วอยากกลับมาพักอีกไงละครับ โอ้ ง่ายมาก! เข้าใจหรือยังครับ อะไรที่สร้างขึ้นมาแล้วมีพลังวิญญาณกับไม่มีพลังที่ว่า นี้ ผมคงไม่ต้องอธิบายเยิ่นเย้อนะครับ สรุปง่ายๆ ว่ามันสร้างได้ทุกอย่างที่ มีอยู่แล้ว และไม่เคยมีมาก่อนเลย (ตามแต่บารมีผู้สร้างครับ) แต่เมื่อสร้าง ขึ้นมาแล้วมันจะไปได้นานแค่ไหน? มันจะมีพลังแค่ไหน? จะมีวิญญาณมั้ย อันนี้ แตกต่างกันนะครับ เคยแวะโครงการบ้านจัดสรรบางแห่งมั้ยครับ บาง แห่งไม่นานเท่าไรก็คล้ายหมู่บ้านร้างแล้ว เก่าแล้ว เหมือนจะหมดอายุแล้ว แต่บางแห่งมีชีวิตชีวา สดชื่น มีพลังวิญญาณหล่อเลี้ยงอยู่ตลอด เอาละ นี่ ก็น่าจะพอเป็นตัวอย่างให้ท่านเข้าใจมากขึ้นได้แล้ว ใช่มั้ยครับ ทีนี้ วิศวกร ที่สร้างกันส่วนใหญ่ ถ้าบารมีไม่ถึงพระวิษณุเทพ ก็จะสร้างอะไร ที่ดูมีพลัง วิญญาณแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้ามีคนที่ดูแลวิศวกรอีกทีเช่น เจ้าของผู้สั่งสร้าง มีบารมีระดับวิษณุเทพ เมื่อสร้างแล้วก็ดูมีชีวิตชีวา มีพลังวิญญาณได้ครับ หรือสินค้าบางชนิด คนสร้างมาจากโรงงาน ดูไม่มีชีวิตเลย พอได้อาศัยคน ทำการตลาด "ปลุกชีวิตมันขึ้นมา" มันก็มีชีวิตชีวา ขึ้นมาทันทีได้เลยครับ


แม้แต่ "ตัวละคร" ในนิยาย ผู้สร้างก็สร้างให้มี "ตัวตนจริง" ขึ้นมาได้ครับ


ต่อไปผมจะอยากจะบอกว่า แม้แต่ตัวละครในนิยายที่อาจเริ่มต้นเพียงจาก จินตนาการ ก็สามารถ "ปลุกพลังวิญญาณ" ทำให้มีชีวิตชีวา มีจริงขึ้นมา ได้ครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ "พระพุทธชินราช" แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นแค่ "รูปหล่อ" อย่างหนึ่ง ต่อมา ผู้คนศรัทธามากมาย พลังจิตเข้ามารวมกันได้ มากมาย ก็กลายเป็น "พลังวิญญาณที่ศักดิสิทธิ์" ขึ้นมาได้ครับ ชัดเจนมั้ย ครับ ทีนี้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกสรรพสิ่งครับ แม้แต่การสร้างตัวละครซึ่ง อยู่ในหนัง หรือการ์ตูนขึ้นมา มันกสามารถสร้างไปจนถึง "ตัวตน" ระดับที่ เป็นวิญญาณก็ได้, สังขารก็ได้, นามรูปก็ได้ครับพวกเขาไม่ได้ใช้คุณไสย์ แบบที่พวกปลุกผี, ปลุกพระทำกันนะครับ เขาไปแบบชั้นสูง มีระดับครับ ก็ คือ "ใช้พลังจิต" อย่างไรละครับ ใช้กันทั่วไปแหละครับ ปลุกได้เก่งกว่าผู้ ที่ปลุกพระขายเสียอีก เอาง่ายๆ เช่น ทุกวันนี้เราเชื่อว่ามือถือยี่ห้อ ... จะมี คุณภาพดี รับสัญญาณได้ดีที่สุด ใช่มั้ยละครับ นั่นแหละ ปลุกพลังให้มันมี ชีวิตขึ้นมาแล้ว ทีนี้ มันจะมีชีวิตได้นานแค่ไหน ก็ต้องอาศัยพลังจิตของคน ที่ปลุกมันครับ คนรุ่นหนึ่งทำงาน ผ่านไป คนรุ่นต่อไปมาทำงานต่ออีก ถ้ามี การส่งพลังจิตต่อเนื่องไป ก็มีชีวิตอยู่ยาว ถ้าขาดตอน ทำไม่เป็น ก็ตายได้ ครับ (แบรนด์ตายไปจากตลาด) ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยครับ จะเป็นตัวละคร อะไร ก็สร้างได้ เกิดได้ มีตัวตนได้ในทุกมิติ และทุกระดับครับ ถ้าสร้างเป็น นะครับ แล้วแต่ว่าเราจะสร้างให้เป็นอะไร เป็นตัวช่วยมนุษย์โลกมั้ย? ถ้ามี คนส่งพลังแห่งความเชื่อให้มากๆ มันก็มีได้ เกิดขึ้นได้จริงๆ ครับ นั่นแหละ ที่เขาเรียกว่า "พลังแห่งความเชื่อ-ความศรัทธา" ไงละครับ มันก็ปรุงแต่ง ประกอบเหตุปัจจัยเกื้อหนุนกันมาเกิดอย่างนี้แหละ พอจะเข้าใจมั้ยละครับ


มนุษย์ทั้งหลาย คือ "ผู้กำหนด-ผู้สร้างร่วมกัน" ว่าจะให้อนาคตเกิดอะไร?


ต่อไปผมจะอยากจะบอกว่า มนุษย์โลกทุกคนเป็นผู้สร้างร่วมกัน ผู้กำหนด ให้อนาคตของโลก เกิดมี เกิดเป็นอย่างไรครับ เช่น เมื่อเราเชื่อว่าจะมีตัวที่ มาจากนอกโลก มาทำลายล้างโลก ด้วยภัยพิบัติ มันก็มีได้ครับ จากการที่ เราส่งพลังจิตปรุงแต่งหล่อเลี้ยงให้มันเกิดขึ้นมาไงละครับ แต่ถ้าเราเชื่อว่า จะมี "อุลตร้าแมน" มาช่วยมนุษย์โลกจริงๆ มันก็มาได้ครับ! มาจากไหน? ก็มาจาก "พลังจิตและเหตุปัจจัยต่างๆ" ที่เราช่วยกันปรุงแต่งขึ้นมาแหละ ครับ ดังนั้น มันไม่มีอะไรที่ไม่เป็นจริง มันเป็นไปได้ทั้งนั้นครับ อะไรที่ไม่เคย มี ไม่เคยเกิด ก็เกิด ก็มีได้ครับ นั่นด้วยอำนาจของพลังจิต ที่ผู้คนทั้งหลาย ได้ร่วมกันสร้าง ร่วมกันปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไรละครับ ดังนั้น เราซึ่งล้วนคือ มนุษย์โลก เราอยากให้มี อยากให้เกิดสิ่งใดขึ้นมาละครับ? มันก็ขึ้นอยู่กับ ตัวเราเองแล้วที่จะกำหนด ที่จะส่งพลังความเชื่อไปหล่อเลี้ยงมัน ให้สิ่งนั้น ได้ถือกำเนิด เกิดขึ้นมา อย่าลืมครับ ว่าเราคือผู้สร้างโลกร่วมกัน เราคือ ผู้ กำหนดอนาคตของโลกนี้ร่วมกันเองนั่นแหละครับ และเรากต้องรับผลที่ได้ สร้างร่วมกันมานั้นเองครับ ดังนั้น คุณอยากให้โลกนี้มีอนาคตอย่างไรครับ


เมื่อเราดูทีวี เราก็ส่งพลังจิตไปให้สิ่งที่อยู่ในทีวีนั้น ให้มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว


ต่อไปผมจะอยากจะบอกว่า ท่านทั้งหลายต่างร่วมกันสร้างอะไรมากมาย โดยเฉพาะพลังจิตมากมายที่ท่านส่งเข้าไปใน "ทีวี" ก็ดี, "เน็ต" ก็ดี นั้น ได้สร้างอะไร มากมายขึ้นมาแล้ว เพราะอำนาจแห่งพลังจิตมวลรวมของ แต่ละท่านรวมกันแล้ว มันก็มากพอที่จะสร้างตัวตน ในหลากหลายมิติได้ เลยครับ เวลานักร้องขึ้นเวทีคอนเสริต์ เราเชียร์อยู่ข้างล่าง พลังจิตซึ่งได้ รวมกันมากมาย ก็ไปที่ตัวนักร้องครับ แต่นักร้องคนนั้นจะได้พลังแค่ขณะ หนึ่งเท่านั้น เพราะพลังเหล่านั้น "จะถูกซาตานสูบไปครับ" ซาตานได้ใช้ ช่วงเวลาที่คนรวมพลังจิตกันเยอะๆ เพื่อเสริมพลังอำนาจให้ตัวเอง โดยที่ มนุษย์ไม่อาจทราบได้ มนุษย์ก็สูญเสียพลังจิตไปมากมายแล้วครับ แล้วก็ เกิดอาการ "สูญเสียความมั่นใจ" เป็นมั้ยละครับ เวลาดูดารามากๆ ดูหนัง สือที่เขาถ่ายออกมาดีมากๆ พอดูกระจกเห็นตัวเองเลยสูญเสียความมั่นใจ แต่ดารา มั่นใจเอ้า มั่นใจเอา มากขึ้น มากขึ้นทุกวัน นี่ละ พลังจิตไหลถ่าย เทไปไงครับ อันนี้ มันเป็นพลังจิตระดับสูงครับ ระดับภาคมืดและต่างดาวที่ เขาถ่ายทอดวิธีการให้มามนุษย์โลกจึงไม่เข้าใจ ไม่อาจเข้าถึงวิทยาการที่ สูงกว่าระดับของตนได้ครับ กระบวนการสร้าง "ตัวตน" ด้วยพลังวิญญาณ ที่ส่งมาทางจิตนี้มีมานานแล้วครับ ดังนั้น เราจึงได้ตัวตนของ "เลดี้ กาก้า" บ้าง ตัวตนของ "ไมเคิล แจ็คสัน" บ้าง ฯลฯ เกิดขึ้นมามากมายครับ ตัวตน เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ตาม "กิเลสความพอใจของมนุษย์" ครับ ถ้า มนุษย์อยากให้พวกเขาเป็นแบบไหน ก็จะส่งพลังจิตน้อมนำให้พวกเขาจะ ต้องเป็นแบบนั้นครับ เช่น มนุษย์อยากได้ตัวสนองความลุ่มหลง ก็สร้างตัว ตนที่ทำให้คนลุ่มหลงขึ้นมาครับ มากมายเลย แล้วมนุษย์ ก็ลุ่มหลงกันต่อ ไป ด้วย "สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา" ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่มาจากสิ่งมีชีวิตก็ดี ตัวตนที่มาจาก "วัตถุที่ไร้ชีวิต" ก็ดี (เช่น เทวรูปต่างๆ) ล้วนใช่ทั้งนั้นครับ


"ตัวตน" แห่งสิ่งดีงาม ถูกมนุษย์สร้างน้อยลงกว่าตัวตนแห่งความลุ่มหลง


ต่อไปผมจะอยากจะบอกว่า ขณะนี้ มนุษย์โลกได้ร่วมกันสร้าง "ตัวตนที่ดี งาม" น้อยกว่า "ตัวตนแห่งความลุ่มหลง" ทำให้คนมากมาย ไม่มีตัวแบบ ที่ดีให้ทำตามครับ พอใครแค่ช่วยหมาแมวจากถนนก่อนถูกรถชนได้ ก็เป็น ฮีโร่ไปเสียแล้ว เพราะอะไร? เพราะมันหาไม่เจอ คนที่ดี เป็นตัวแบบที่ดีได้ ไงละครับ มันก็เลยมีแต่แบบนั้น คำว่าฮีโร่เลยถูกใช้อย่างไม่มีระดับแบบนั้น เอาละ ทีนี้ เมื่อมนุษย์ร่วมกันสร้างตัวตนแห่งความลุ่มหลงกันมามากขึ้น ก็ จะส่งผลร้ายต่อสังคมมนุษย์เองมากมายครับ ทำให้มนุษย์โลก ตามืดบอด เบาปัญญาไม่รู้จักปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ ไม่เข้าใจธรรมชาติและสุดท้าย จึงทำร้ายธรรมชาติ อยู่ร่วมกับธรรมชาติไม่ได้ เมื่อใดที่ธรรมชาติแสดงสิ่ง ไม่เที่ยงขึ้นมา ก็กลายเป็นว่า "คือ ภัยพิบัติ" ไปเสียหมดครับ กลายเป็นว่า การที่ธรรมชาติปรับตัว ไม่เที่ยง นี่คือ "ภัยพิบัติของมนุษย์เช่นนั้นหรือ?" นี่ มันไม่ควรเป็นเช่นนี้เลยครับ เพราะมนุษย์ที่แท้จริง ย่อมปรับตัวกับโลกได้ ก็ จะได้รับประโยชน์มากมายจากความไม่เที่ยงของธรรมชาติได้ครับ เช่น ถ้า ถึงฤดูฝน ก็โชคดีได้น้ำทำนา, ฤดูร้อน ก็โชคดีได้แสงแดดตากปลา เป็นต้น


จงรวมพลังสร้าง "ตัวตนที่ดีงาม" ขึ้นมา เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์


สุดท้าย ผมจะอยากจะบอกว่า เราควรรวมพลังกันเพื่อสร้างตัวตนที่ดี งามขึ้นมา เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ในอนาคต และลด ละ เลิก ส่งพลังจิตไปหล่อเลี้ยงตัวตนที่เป็นภัยต่อมวลมนุษย์ด้านต่างๆ เสีย ก็ จะสามารถกำหนดทิศทางของโลกในอนาคตได้ด้วยตัวของเราเอง นี่ คือ สิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ครับ จากสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่เลยก็จะเกิด ขึ้นได้ครับ เช่น ถ้าเราเชื่อว่า "นักการเมืองที่ดีมีแค่คนเดียว แม้ว่าเขา จะโกงกิน เราก็เอา" เชื่ออยู่อย่างนี้ มันก็อยู่อย่างนี้ไปตลอดครับ ทว่า ถ้าเราเชื่อว่า "แผ่นดินนี้ไม่สิ้นคนดี สักวันหนึ่งคนดีจะขึ้นมาปกครอง" มันก็จะเกิดขึ้นได้ครับ ทว่า ตอนนี้พลังแห่งความเชื่อแบบนั้นยังมีน้อย เกินไปครับ เพราะพวกเขายังเชื่ออยู่ในคนเดิมๆ ทั้งๆ ที่แผ่นดินนี้ มีคน อยู่มากมาย ทำไมยอมให้เขาผูกขาดตัวเองได้ง่ายๆ อย่างนั้นละครับ? ทำไมเราไม่เปิดกว้างให้ตัวเองได้มีโอกาส ได้พบ ได้เจอ คนที่ดีกว่านั้น ละ? เมื่อเราทั้งหลายไม่ส่งพลังจิต พลังแห่งความเชื่อว่าจะมีคนที่ดีมา ช่วยเหลือเรา มันก็จะไม่มี ไม่เกิดขึ้นได้ครับ เอาละ ผมไม่ได้ต้องการให้ คุณหลง รอคอยใครสักคน จนไม่อาจพึ่งตัวเองได้นะครับ มันคนละเรื่อง กัน ถ้าคุณมีสติปัญญาดี คุณแยกแยะได้ระหว่าง "การพึ่งตัวเอง" และ การส่งพลังจิตสร้างตัวตนใหม่ๆ ลงมาช่วยโปรดสรรพสัตว์ โอเคมั้ยครับ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดา จงช่วยน้อมนำคุณสู่ตัวตนที่ดีงาม สวัสดี


21 ก.ย. 2555

"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS