ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

พลังแห่งความเชื่อมั่นศรัทธาสองฝ่าย คือ "ฝ่ายมืดมนและสว่างไสว" เป็นอย่างไร?

สวัสดีครับ มีเรื่องจำเป็นอย่างหนึ่งที่ผมจะขอแจ้งแก่ "บางท่าน" ที่สามารถรับได้ เข้าถึงได้ หรือเกือบจะได้ นั่นคือเรื่อง"ความเชื่อมั่นศรัทธา" ซึ่งมันมีผลต่อจิตใจและก่อให้เกิด "พลังจิตบางชนิด" ผมขอเรียกว่า "พลังศรัทธา" ก็แล้วกัน ง่ายดี เอาละ ผมจะพูดภาษาง่ายๆ ที่สุด เท่าที่จะง่ายได้ พื้นบ้านที่สุดเลยก็แล้วกัน ดังนั้นขออนุญาติพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาไม่เน้นความสละสลวยของภาษาอะไรละ


"ความศรัทธา" กับ "ความจริง" เป็นคนละสิ่งแต่เกี่ยวข้องกัน


นี่คือ อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจ คือ 1. คุณไม่จำเป็นต้องเข้าถึงความจริงทั้งหมดของจักรวาลก็ได้ คุณอาศัยความจริงเพียง 1 กำมือ ที่เหมาะสมก็สามารถนำพาชีวิตคุณไปสู่อนาคตที่สดใสได้แล้ว 2. คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อต่อทุกอย่าง, ทุกคน หรือทุกสิ่ง ก็ได้ คุณเลือกที่จะเชื่อได้ แม้ว่าคุณจะได้รับ "สัจธรรมความจริง" เพียงหนึ่งกำมือ สมมุติว่ามันมีค่า 10% คุณก็เชื่อแค่นั้น ไม่ผิดอะไรเลย... ใช้ได้ นั่นก็เหมือนคบเพลิงที่สว่างพอนำพาชีวิตคุณไปได้แล้ว เอาละ คุณต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือ ความจริงอะไรคือ ความเชื่อ และสองอย่างนี้ เกี่ยวข้องกันมาก กล่าวคือ ความเชื่อก็อาจนำพาคุณไปพบความจริง ก็ได้ หรือความจริง อาจนำพาคุณไปสู่ความเชื่อใหม่ๆ อื่นๆ อีกก็ได้ แต่ทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน เพียงแต่ส่งเสริมกันได้ ก็เท่านั้น คุณไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อที่ "เรี่ยราดฟุ่มเฟือย" เหมือนคนรวยเงินที่เทเงินเรี่ยราดไปหมดเพราะสุดท้ายคุณอาจจะหมดตัวได้และไม่เหลือ"พลังศรัทธา" ในตัวของคุณอีกเลย เพราะคุณฟุ่มเฟือยเกินไปเชื่อไปหมดเห็นเขา "แห่เชื่ออะไรกัน" คุณก็แห่เชื่อไปตามเขาหมด เช่น เขาแห่ไปเชื่อ"ขอนไม้" คุณเอามั่งเผื่อได้หวย เขาแห่เชื่อกบเทวดา คุณเอามั่ง เผื่อได้โชคกะเขามั่ง เอาหมดโว้ย สุดท้ายหมดตัวจ๊ะ! เพราะคุณฟุ่มเฟือยความเชื่อมากเกินไป คุณจ่าย "ความเชื่อ" ออกไปอย่างไม่เลือก ไม่คิด นั่นเอง



"ความศรัทธา" เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง คุณต้องบริหารเหมือนเงิน


ชาวบ้านชาวช่องทั้งหลาย ฟังทางนี้จ้า ผมจะคุยกะคุณอย่างนี้แหละบ้านๆ ที่สุด ชาวบ้านที่สุดเลย คุณจะได้เข้าใจ ดีไหม? ลูกทุ่งมากๆ ไม่ต้องสนใจความสละสลวย สูงส่งของภาษาอะไรแล้ว เอาละ นี่คือสิ่งที่ง่ายที่สุดที่คุณจะเข้าใจได้ "ความเชื่อเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง" มีได้มา, มีเสียไป, มีเกิด, มีดับ เพราะ ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ มันก็เหมอืน "เงินในธนาคารของคุณนั่นแหละ" และคุณควรจะบริหารมันให้ดีหน่อยละ อย่า ฟุ่มเฟือยเกินไปนัก ผมเห็นพวกคุณนะไม่รวยเงินกันหรอก แต่คุณฟุ่มเฟือยความเชื่อกันมากๆๆ ถึงมากที่สุด เท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย อะไรจะเชื่อได้มั่วซั่วขนาดนั้น เหมือนคนบ้าจ่ายเงินไม่ทันคิด เดี๋ยวก็หมดตัวหรอกคู้ณ ... พอๆๆ สติ โว้ย สติมีบ้างไหม? ตั้งสติหน่อย เอา สติมายัง? ตั้งสติดีๆ คุณไม่จำเป็นต้องไปเชื่อซะทุกอย่าง การที่คนอื่นเขาแห่เชื่ออะไรกันมากๆ คุณไม่ได้ไปร่วมเชื่อด้วย ก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้เสียอะไรเลย เรื่องของเขา เขาจะเชื่อผีก้อนหิน, เชื่อปลาบู่, เชื่อตอไม้, เชื่อจิ้งจก ฯลฯ อะไร แล้วคุณไม่ได้มีส่วนร่วมไปด้วย "ก็ไม่ผิด และไม่เสียอะไรเลยจ้า" เหมือนคุณไม่ได้มีเงินไปลงแทงบอลในวงนั้นกะเขา คุณก็ไม่ได้ ไม่เสียอะไรนี่นา เอาละสติมาแล้วใช่ไหม? มาซะทีเถอะน่า มาแล้วใช่ไหม? โอเค ดีมาก เอาละ "คุณเลือกที่จะเชื่อได้" และ "ไม่จำเป็นต้องเชื่อไปหมดทุกอย่าง" แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่า "คุณจะต้องเป็นปรปักษ์กับความเชื่อใดๆ" คือคุณแค่ "เฉยๆ" ไม่ใช่ทั้งเชื่อ หรือปฏิเสธความเชื่อของใคร ใครจะเชื่ออะไรมันก็เรื่องของเขา แต่เมื่อคุณมีสติ คุณจะใช้จ่าย "ความเชื่อ" อย่างระมัดระวัง เหมือนใช้จ่ายเงิน คิดก่อน ดูก่อน เลือกก่อน เหมือนจ่ายตลาดสดซะอย่างนั้น โอเค? เข้าใจไหม? ง่ายไหม? เหมือนคุณมีเงินในกระเป๋านะ เงินก็เหมือน "ความเชื่อ" คุณต้องใช้จ่าย "ความเชื่อ" ในกระเป๋าของคุณดีๆ ละ อย่าฟุ่มเฟือยให้มันมากนัก เดี๋ยวจะหมดตัวซะก่อน เหมือนคนเล่นพนันอย่างขาดสติ ไม่คิด หมดตัวนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่า "หล่อไม่เตือน" ฮ่า ฮ่า ฮ่า 



"ความศรัทธา" มีได้มา และเสียไป ทำอย่างไรจึงจะ "กำไร" ละจ๊ะ


เอาละ ชาวบ้านชาวช่องทั้งหลาย อย่างที่บอกแล้วว่า "ความเชื่อมั่นศรัทธา" มันก็เหมือนเงิน มีได้มา และเสียไปได้ คุณต้องบริหารมันให้ดีหน่อย อย่าฟุ่มเฟือยเกินไป อย่าเห็นอะไร ฟังอะไร ก็เชื่อๆๆ เพราะมีความกลัวว่าถ้าไม่เชื่อและจะเป็นบาปบ้าอะไร? หรือถ้าไม่เชื่อและจะกลายเป็นการลบหลู่อะไร? แหม ก็ไม่ใช่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อเลย เฉยๆ ไปซะ แล้วก็ไม่ได้ลบหลู่ความเชื่ออะไร ของใครซะหน่อยนี่นา ไม่มีความผิดบาปอะไรหรอกคู้ณ ... เอาละ ผมจะยกตัวอย่าง คนที่ลงทุน "ความเชื่อ" น้อยมากๆ แต่ได้กำไรอื้อซ่าเลยนะ อย่างนี้ เขาคนนั้นก็แค่เชื่อ "สิ่งศักดิสิทธิ์" ที่แท้จริงสักอย่างหนึ่ง สักท่านหนึ่ง ท่านไหนในศาสนา, ลัทธิ, นิกายอะไรก็ได้ (ที่ไม่ใช่ของปลอมนะ) เขาก็เชื่อแค่องค์นั้นเท่านั้นในชีวิตของเขา และไม่รู้อะไรมากมายนักหรอก แต่ก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยความเชื่อ เชื่อขอนไม้, ตอไม้, จอมปลวก, ก้อนหินฯลฯ มากมาย แค่ "องค์นั้นองค์เดียว" ของเขาเอง ชีวิตเขาได้อะไรมากมายเลย มันดีขึ้น สว่างไสวขึ้น เขามีชีวิตที่เรียบง่าย พอดี และเขาได้สร้างคุณงามความดี "พอสมควร" เท่านั้นเอง เมื่อตายแล้วเขาก็ได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นบริวารของท่านผู้นั้นที่เขาเชื่อถือศรัทธานั่นเอง ว้าว ทีนี้ ดูอีกท่านนะ เขาเชื่อสะเปะสะปะไปหมดเลย เทกระจายความเชื่อไปทั่ว ใช้จ่ายความเชื่ออย่างฟุ่มเฟือย เชื่อไม่หมดอย่างไม่คิดไร้สติ จนไม่เหลือ "พลังศรัทธา" ในตัวเอง ราวกับคนที่เล่นพนันแล้วเสียไปหมด จนเบลอ จนไม่รู้จะแทงอะไรดี เห็นอะไร ก็แทงแม่งมั่วมันไปหมด ยังกะมวยวัดกำลังมึน ปรากฏว่าตายแล้วไปอยู่กับก้อนหินครับ ก้อนหินที่มันเชื่อนั่นแหละ เป็นผีเฝ้าก้อนหินไปพันปี สมน้ำหน้าฮ่า ฮ่า ฮ่า บอกแล้ว ความเชื่อก็เหมือนเงิน บริหารไม่ดี มีหมดตัวนะครับ



"ความศรัทธา" เป็นพลังงาน พลังจิตชนิดหนึ่ง จงใช้มันให้เป็น!


ต่อไป ผมจะเล่าเรื่องพลังความเชื่อความศรัทธาในแบบพลังงานละอันนี้ยากขึ้นไปหน่อย มันเป็นพลังจิตชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากพลังแห่งความรัก, พลังแห่งความโกรธแค้น, พลังอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายมันก็คือ "พลังงานชนิดหนึ่ง" ก็เท่านั้นเอง เอาละ ผมจะเล่าให้ฟังว่ามันมีการ "ใช้พลังงานนี้" อย่างไร? บางคนนะ เขาจะ "สะสมพลังความเชื่อ" จากผู้คนมากมาย ถ้าคุณเป็นเหยื่อ คุณก็จะต้องลงขันความเชื่อ ทำตัวให้เชื่อไปกะเขาด้วย คุณก็จะเสียพลังความเชื่อไปให้เขาด้วย เอาละ พอเขาได้พลังนั้นมากๆ แล้ว เขาก็ทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ เช่น ให้หวยถูกเป๊ะเลย อะไรแบบนั้น เขาทำได้ แต่ว่ามันไม่คุ้มหรอกนะครับ คุณลงขันความเชื่อร่วมกับเขา ให้ความเชื่อเขาไป คุณได้หวย ได้เงินนิดหน่อย แต่ "คุณจะเสียมากกว่าที่คาดคิด" คุณเสียมากกว่านั้น อย่างที่คุณมองไม่เห็น และเขาจะลากคุณลงไปยังความมืดมิดร่วมกับเขาทีละน้อย เอาละ คุณคงนึกภาพไม่ออกและไม่เข้าใจกระบวนการเหล่านี้ละ เพราะมันเกิดในมิติที่ตาเปล่าของคุณมองไม่เห็น แต่เมื่อคุณ "ถึงเวลาต้องเสีย" คุณจะสูญเสียอย่างที่คาดคิดไม่ถึงเลยทีเดียว คุณต้องจ่ายค่าความเชื่อนี้ อย่างแพงลิบลิ่วเลยละโอเค ผมไม่ได้บอกให้คุณเลือกเชื่อใครหรืออะไรนะ แต่ให้คุณบริหารมันเหมือนกับบริหารเงินนั่นแหละ อย่าฟุ่มเฟือยมากนัก การที่คุณเชื่ออะไรก็เหมือนคุณ "ลงทุนร่วม" ไปกับสิ่งนั้น ถ้าคุณลงทุนไปกับหุ้นที่ไม่ดีนักคุณก็หมดตัวได้ แต่ถ้าคุณเลือกลงทุนไปกับสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้และมันทำกำไรให้คุณได้ ก็โอเค ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปเชื่ออะไรที่ "ไม่รู้ที่มาที่ไป" หรือ "อะไรก็ไม่รู้แต่ลึกลับดี" หรือ "แห่ตามกัน" เพราะนั่นคือความเชื่อแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ลงทุนแบบไม่ยั้งคิด ไร้สติสิ้นดี ก็เท่านั้น



"ความศรัทธาที่มืดมน และ ความศรัทธาที่สว่างไสว" ต่างกันอย่างไร?


อย่างที่บอกคุณแล้วว่าพลังศรัทธามีทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายที่สว่างไสว เมื่อคุณเชื่อแล้วคุณได้คำตอบที่สว่างไสวให้แก่ชีวิต เกิดปัญญา เห็นหนทางที่จะเดินหน้าต่อไป และ "ฝ่ายที่มืดมน" นั่นคือ เมื่อคุณเชื่อไปแล้วคุณไม่ได้พบคำตอบอะไรอย่างแท้จริง อย่างคงคลุมเครือ ไม่เกิดปัญญา มีแต่ "ความเชื่อ" อย่างนั้น ไม่ได้ให้ความสว่างอะไรขึ้นมาเลยยกตัวอย่างเช่น นาย เอ เชื่อว่า "มีมนุษย์ต่างดาวจริง" เขาก็แค่คิดว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่ มีดาวมากมายนับไม่ถ้วน "มีความเป็นไปได้" ที่จะมีดาวดวงหนึ่งที่มีมนุษย์เหมือนโลกเราอยู่บ้าง แล้วเขาก็อุเบกขาซะวางเฉย สว่างไสวไปด้วยความเชื่อเท่านี้ และไม่มีพิสูจน์อะไรทั้งนั้น แต่นาย บี เชื่อว่า "มีมนุษย์ต่างดาวจริง" จริง เหมือนกัน ทว่า เขาคิดว่าจะต้องพิสูจน์หรือเห็น UFO ให้ได้ พอไม่ได้อย่างที่คิด หรือคาดหวัง เขาก็เริ่มมืดมน เขาก็เริ่มพยายามหาทาง "สร้างอะไรก็ได้" ที่ส่งเสริมความเชื่อของตนเองต่อไป เช่น เห็นอะไรแว่บๆ บนฟ้า ก็หาว่าเป็นจานบินบ้างอะไรต่อมิอะไร บ้าง อย่างนี้ เขาจึงมีพลังความเชื่อที่มืดมนลง ทั้งๆ ที่ทั้งสองคน "เชื่อเหมือนกัน" แท้ๆ แต่พลังจิตของเขาทั้งคู่ "ไม่เหมือนกัน" ก็ได้ เอาละ คุณพอมองออกหรือยังว่า "เชื่อแบบไหนที่นำพาคุณไปสู่ความสว่างไสว" และ "เชื่อแบบไหนที่นำคุณไปสู่ความมืดมน" เห็นรึยังว่ามันต่างกัน ทั้งๆ ที่เชื่อเหมือนกันแท้ๆ เช่นกัน คนสองคนอาจเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงเหมือนกัน แต่คนหนึ่งอาจมืดมน ในขณะที่อีกคนอาจสว่างไสว แตกต่างกัน ก็ได้ หวังว่าคุณจะแยกแยะสองอย่างนี้ออกนะ



กลยุทธ์การสร้าง "ความศรัทธา" ของฝ่ายที่มืดมน จากสิ่งที่ไร้สาระ


มีคนจำนวนมาก เสพติด และชอบบริโภคสิ่งที่ไร้สาระ และไม่มีแก่นสารความจริงอยู่เลย แต่พวกเขาก็ชอบมัน ชอบสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่อาจอธิบายได้ ยิ่งมั่วๆ ยิ่งดูอลังการณ์ยิ่งใหญ่ เช่น เหมือนเป็นพระศรีอาร์ฯ ลงมาเกิดแล้วเป็นอะไรต่อมิอะไร มาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ที่ไม่อาจพิสูจน์ได้เลย ยิ่งชอบใหญ่ เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ เสพแล้วติดใจ มันในอารมณ์เอาละ ต่อไปนี้ ผมจะอธิบาย "กลยุทธ์" ของพวกเขาให้เหยื่อทั้งหลายได้ฟัง ว่าพวกเขามีกลยุทธ์ "ป้อนยาเสพติดแห่งความเชื่อ" นี้อย่างไร?


1. "การสร้างองค์ประกอบแห่งความน่าเชื่อถือ" เพราะข่าวสารของเขามันไม่มีสาระแก่นสารความจริงอะไรเลย เขาจึงต้อง "แต่งแต้มสีสัน" หรือปั้นแต่ง ปรุงแต่งมันให้น่าเชื่อ ด้วยอะไรต่อมิอะไรมากมาย เช่น การอ้างคนที่มีชื่อเสียงให้มาเกี่ยวข้องด้วยทั้งๆ ที่ท่านนั้นอาจไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย

2. "การสร้างอารมณ์ร่วมให้คล้อยตาม" เช่น เขาจะจัดสถานที่ต้อนรับให้ท่านเข้าไปในสถานที่นั้นๆ เพื่อมี "อารมณ์ร่วม" กับเขา เช่น ให้มีคนเยอะๆส่งเสริมส่งเสริมน้อมนำคล้อยตามกันมาก หรือสถานที่สวยงามอลังการณ์ ไว้ก่อน เห็นแล้ว "มันน่าศรัทธาว่ะ" อ้าว ยังไม่ทันไร จ่ายความเชื่อซะแล้ว

3. "ใช้ความยิ่งใหญ่ที่พิสูจน์ไม่ได้" เช่น อ้างว่าเป็นกษัตริย์ดังๆ มาเกิดนะไม่รู้กี่ท่านต่อกี่ท่าน อ้างมันเข้าไป ล้วนแต่พิสูจน์ไม่ได้ทั้งนั้น ใครจะไปรู้ละว่ามันจริงหรือเท็จแค่นี้ก็จับโกหกไม่ได้แล้วแต่ต้องสร้างเรื่องให้มันย่งใหญ่เอาไว้ก่อน เรียกว่าตามใจคนชอบเสพเรื่องพรรค์นี้ ซึ่งเหยื่อก็ชอบอยู่แล้ว

4. "การทำให้เห็นว่าเกิดขึ้นจริงต่อหน้า" แต่ไม่ใช่เพราะมันเป็นความจริงที่แท้จริงหรอกนะ มันแค่ "จัดฉากให้มันเกิดขึ้น" ทำให้ของไม่จริง มันเป็นจริงขึ้นมา ก็เท่านั้น เช่น เอาคนมาทำท่าเหมือนผีเข้า ร่วมกันมากๆ ให้มันมีความน่าเชื่อถือว่าจริง หรืออะไรทำนองนั้น แต่ลับหลังได้นัดกันไว้ก่อนแล้ว

5. "ใช้จิตวิทยาหมู่" เช่น การทำให้คนเข้ามาร่วมกันแล้วสร้างมาตรฐานทางสังคมย่อยขึ้นมา เช่น ถ้าใครไม่ถูกผีเข้าแสดงว่าไม่ได้เรื่อง หรือปฏิบัติไม่ได้ผล เป็นต้น คนที่ไม่เป็น ก็เลยต้องคล้อยตาม หรือมีอารมณ์ร่วมว่าเป็นไปด้วย เออออห่อหมกตามกันไปด้วย เห็นสวรรค์ไหม? เห็น (ทั้งที่ไม่เห็น)

6. "การกรอกข้อมูลยัดเยียดจำนวนมาก" เหมือนมวยที่รัวหมัดอัดเข้าไปนั่นแหละ คุณเป็นเหยื่อถูกชกซะน่วมไม่รู้กี่หมัดต่อกี่หมัด มันรัวเข้ามามั่วไป เพราะมันอัดยัดเยียดข้อมูลเข้ามากรอกหัวคุณมากเกินไป จนคุณไม่มีโอกาสที่จะใช้ "วิจารณญาณ" ได้ทันเลย ก็เลย คล้อยเชื่อตามไปซะงั้น

7. "การข่มด้วยกำลังจิต" คือ การใช้คนที่มีพลังจิต มากดจิตคุณ ข่มจิตคุณให้ยอมก้มจำนนต่อเขา เช่น เอาหลวงพ่อมานั่งโต๊ะสูงๆ เอาคุณลงไปกราบข้างล่าง แล้วหลวงพ่อก็ใช้กำลังจิตข่ม ว่าคุณยังต้องฝึกอีกมากนะยังไม่ผ่าน ต้องทำบุญเยอะนะ มีเจ้ากรรมนายเวรจะเอาเรื่อง (จิตตกละ)

8. "การล่อลวงด้วยกิเลสของเราเอง" เช่น เรามีกิเลสอยากเป็นพุทธะมั่งพระอรหันต์มั่ง, พระเจ้ามั่ง จะได้ปลดปมด้อยที่ตัวเองต้อยต่ำได้ อยากจะให้มีคนชมว่าเรายิ่งใหญ่ เป็นเช่นนั้น เขาก็ชมเรา ยกย่องเรา ให้เราเป็นได้อย่างที่เราอยากเป็น เราก็เลยเชื่อว่าเขาจะ "ถูกต้องแน่นอน" ไปเลย


เอาละ เหล่านี้คือ "พลังศรัทธาที่มืดมน" มันไม่ได้ทำให้คุณเกิดปัญญาอะไรขึ้นมาเลย มันได้แต่ "หล่อเลี้ยงคุณด้วยความเชื่อ" ให้คุณ ป้อนคุณให้เชื่อไปเรื่อยๆ ต่อไปไมที่สิ้นสุด โดยไม่รู้ว่าทางออกคืออะไร แล้วมันจบอย่างไร? หรือความจริงมันคืออะไร? คุณเสพติดความเชื่อที่เขาต้องการให้เชื่อนั้นต่อไป และนี่แหละคือ "ความเชื่อที่มืดมน" ไร้ปัญญา



ฝ่ายมืด ต้องการความเชื่อของพวกคุณเพื่อไป "เสริมอำนาจ" พวกเขา


เอาละ คำถามคือ แล้วพวกเขาจะทำให้คุณเชื่อไปทำไม ใช่ไหม? คำตอบก็คือ "เพราะความเชื่อเป็นพลังอย่างหนึ่ง" ไม่ต่างจากเงินนั่นแหละ มันมีค่าเหมือนกัน พวกเขาต้องการพลังความเชื่อไปเพื่อ "สร้างพลังอำนาจ" ให้แก่พวกเขาเองและถ้าเขาทำให้คุณเชื่อได้ว่า "มีพระศรีอาร์ฯ" ในแบบของเขาอยู่ สักวันหนึ่ง "ใครก็ไม่รู้ก็จะโผล่มาเป็นพระศรีอาร์ฯ" ให้แก่คุณซึ่งมันไม่เกี่ยวกับ "ตัวจริง" เลย ตัวจริงอาจจะมีหรือไม่? อยู่ที่ไหน? ก็ได้ทั้งนั้นแต่ "ตัวปลอม" มันจ้องจะเกิดมาเป็น "ศรีอาร์ฯ" ตามความเชื่อของคุณอยู่แล้ว พอคุณไปส่งเสริมมัน ไปแห่เชื่อมันมากๆ มันก็เกิดขึ้นมาได้ไงนั่นแหละ สิ่งที่มันต้องการ พูดง่ายๆ คือ "พวกเขากำลังปั้นสิ่งที่ไม่จริงให้กลายเป็นจริง" เช่น ปั้นพระที่ไม่ใช่พระอรหันต์ให้เป็นพระอรหันต์ เป็นต้นเพราะความอยาก เพราะกิเลส ที่พวกเขาอยากได้ อยากมี อยากเป็นกันอย่างนั้น ดังนั้น "ตัวปลอม-ของปลอม" จึงระบาดเกลื่อน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสินค้า ก็ตาม เพราะอะไร? ก็เพราะคุณ "ยังนิยมของปลอม" กันอยู่นี่เอง คุณยอมรับของปลอมมากกว่าของจริง คุณจึงไม่มีวันได้ของจริงเลยคุณส่งพลังความเชื่อให้ของปลอม ตัวปลอม คุณจึงสร้างของปลอม ตัวปลอมเหล่านั้นขึ้นมาไว้หลอกตัวเอง ให้ตัวเองเชื่อต่อไป และคุณเองนั้นแหละ จะกลายเป็น "ทาสของปลอม" เพราะเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อนั้น 



เอาละ วันนี้ ผมมาช่วยคุณเป็นการพิเศษนะ ช่วยชาวบ้นชาวช่องที่ใช้ "พลังความเชื่อ" ยังไม่เป็น และกำลังหมดตัวเพราะใช้จ่ายพลังความเชื่อด้วย "ความฟุ่มเฟือย" เอาละ จริงๆ มันยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ "พลังความเชื่อ" นี้ อีกมากมาย ในมิติที่สูงขึ้น เช่น การใช้พลังความเชื่อในฐานะ Thought รูปแบบต่างๆ (Form) เช่น การใช้พลังความเชื่อในรูปแบบการ "กำหนดอนาคตที่สว่างได้ด้วยตัวคุณเอง และ การชำระล้างภายในด้วยพลังความเชื่อ" อีกมากมาย หลายเรื่อง แต่มันไม่ใช่เรื่องพื้นบ้านสักเท่าไร มันมีความเป็น "วิชาการสูง" ไปหน่อย เอาไว้ผมจะกล่าวในมิติที่สูงขึ้นในโฮกาสหน้า ทว่า เรื่องพลังแห่งความเชื่อในวันนี้ ผมกล่าวเป็น "พื้นฐานเบื้องต้น" ไว้ก่อน ก็แล้วกัน วันหน้า เราค่อยมารับรู้ข้อมูลในมิติที่สูงขึ้นเรื่อง พลังแห่งศรัทธาความเชื่อ กันต่อไป


สำหรับวันนี้ ผมขอลาไปก่อนครับ สวัสดี ...



8 มิ.ย. 2555


"เสียงจาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment