ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

สัตว์เลี้ยงของท่านเป็นสื่อนำวิญญาณ "ได้ทั้งดีและร้าย" ดังนั้นควรทำอย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล่าเป็นเกร็ด ความรู้เล็กๆ สำหรับท่านที่ชอบสัตว์ เลี้ยงนะครับ เชื่อมั้ยครับว่ามันสามารถ เป็นสื่อนำวิญญาณ ได้ทั้งฝ่ายดีและร้าย นะครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมันเป็นหลักหรอก แต่ขึ้นอยู่กับเราเป็นสำคัญมากกว่าครับ เอาละ เราลองมาคุยรายละเอียดกันดีกว่า


ทุกสรรพสิ่งที่ทำให้ท่าน "เปิดใจรับ" ล้วนพร้อมทำหน้าที่สื่อนำวิญญาณ


อย่างแรกที่อยากให้ท่านทราบเป็นพื้นฐานก่อนคือ อะไรก็แล้วแต่ที่สามารถ ทำให้ท่าน "เปิดใจรับ" ได้ มันย่อมสามารถทำหน้าที่เป็น "สื่อนำวิญญาณ ต่างๆ" ได้ เช่น ทีวี ที่ท่านดูทุกวัน, ดอกไม้ข้างทาง, ก้อนหิน ที่เก็บมาจาก ชายหาด, ของที่ระลึกที่เก็บมาจากป่า, เครื่องรางของขลังทุกชนิด ที่ท่าน มีใจเปิดรับมัน, คนหรือสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ทุกอย่าง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ก็ ล้วนทำหน้าที่เป็น "สื่อนำวิญญาณ" ได้ (Soul media) แต่ในที่นี้ ผมจะ ขอพูดเฉพาะเจาะจงลงไปในเรื่อง "สัตว์เลี้ยง" ก่อนก็แล้วกัน ว่าสิ่งนี้จะนำ เอาวิญญาณฝ่ายดีหรือร้าย เข้ามาสู่ "ชีวิตของคุณ" ได้อย่างไร ซึ่งหลัก การมันไม่ยากครับ เป็นหลักการสากลที่ใช้ "เปิดใจคุณ" ทำให้คุณเปิดใจ รับ อะไรก็ได้ที่ทำเช่นนั้นได้ มันก็ทำหน้าที่เป็น "ผู้เปิดหน้าต่างหัวใจ" ให้ คุณเปิดรับ "วิญญาณ" ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดี หรือร้าย ก็ได้ทั้งนั้นครับ ดังนั้น อย่าไปเก็บอะไรมั่วซั่วมาจากชายทะเล หรือป่าละครับ เพราะมันเป็นสื่อนำ วิญญาณที่เร่ร่อนอยู่แถวนั้น มาสู่ชีวิตคุณและนำพาวิบากกรรมของมัน มา ร่วมกับคุณได้ เอาละ ต่อไปเราจะพูดเฉพาะเรื่องของ "สัตว์เลี้ยง" ก็แล้วกัน


เทคนิกสำคัญของการทำคุณไสย์คือ ทำให้ท่าน "เปิดใจรับ" อย่างไร?


ต่อไปที่อยากให้ท่านทราบเป็นพื้นฐานก่อนคือ ความรู้พื้นฐานอย่างแรก ที่พ่อมด, หมอผี, นักไสยเวทย์, นักพลังจิต ฯลฯ ควรเข้าใจก่อน นั่นคือ เทคนิกการทำให้คนเปิดใจรับ เช่น การทำนายทายทัก จี้ชี้ลงไปเพื่อให้ เขาตกใจหรือยอมเปิดใจรับ เขาก็จะได้รับอะไรบางอย่างไป เช่น พลังที่ ทำให้เกิดเหตุตามคำทำนายจริงๆ ครับ หรือบางท่านก่อนจะถูกคุณไสย์ อาจมีอะไรหล่นมาบนหลังคาบ้าน แล้วตกใจไปทักเข้า ของก็เข้าตัวครับ ซึ่งบางครั้ง เขาไม่ได้ตั้งใจปล่อยมาใส่ใคร แต่อาจเป็นช่วงเวลาที่เขาจะ ต้องปล่อยออกมา (เรียกว่า ช่วงปล่อยของ) ไงครับ ของมันแรง เก็บกด ไว้ที่หนึ่งที่ใดตลอดไม่ได้ ก็ต้องมีการปล่อยออกมาเป็นช่วงๆ ครับ ทีนี้ ก็ จะเข้าตัวคนทั่วไปได้ เช่น คนเลี้ยงผีรักสวยรักงาม ปล่อยมันไปแล้ว มัน ก็อาจจะไปอยู่แถวๆ กอดอกไม้ที่ไม่มีเจ้าที่ เจ้าทาง หรือเทพคอยดูแลที่ดี พอ รอคนหลงๆ มา เปิดใจรับ เด็ดดอกไม้ไป ผีมันก็เข้าตัวได้ด้วยวิธีนี้ได้ ครับ คือ อาศัยใจคนเปิดรับ แล้วเอา "สื่อนำวิญญาณ" นั้นไป ก็จะไปกับ คนๆ นั้นได้ ทีนี้ การใช้เทคนิกแบบนี้ มีอยู่ทั่วไปครับ สารพัดวิธี แม้แต่คน ที่ใช้สื่อทีวี, วิทยุ ฯลฯ เหล่านี้ ก็สามารถใช้สื่อพวกนี้ เปิดใจให้คนรับเอา สิ่งที่ตนมีอยู่ ไปได้นะครับ ดังนั้น แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ไม่เว้นครับ ไม่ต่างกัน


จิตวิญญาณอาศัย "สัตว์เลี้ยง" เพื่อให้ท่านเปิดใจ ก่อนครอบงำท่าน?


ต่อไปที่อยากให้ท่านทราบคือ จิตวิญญาณเร่ร่อนบางชนิด อาศัยสัตว์ เลี้ยงที่ท่านรัก เมื่อท่านเปิดใจรับมัน ผีเร่ร่อนนั้นก็อาศัยมากับสัตว์เลี้ยง เกาะมาเป็นพาหะสื่อนำ แล้วครอบงำท่านอีกที เวลาที่ท่านเปิดใจรับไง ครับ ทว่า ไม่ใช่ว่าสัตว์เลี้ยงทุกตัวจะเลวร้ายไปหมดนะครับ บางตัวนั้น ก็เป็นสื่อนำ "เทพนักษัตร" ได้ครับ เราต้องลองสังเกตุมันดีๆ รู้จักเลือก ครับ คนโบราณเขาถึงขนาดมีตำรับตำราดู "ลักษณะสัตว์" ให้ดีก่อนที่ จะเอาเข้าบ้านเลยนะครับ ไม่ใช่อะไรก็เอามาเลี้ยง สุ่มสี่สุ่มห้า ไม่คิดให้ ดีก่อน โอ้ย บรรพบุรุษไทยโบราณทำมาดีมาก มีมรดกทางวัฒนธรรมที่ ไม่ล้าหลังใครนะครับ อย่าลืมซะละ ทว่า เดี๋ยวนี้เรามี "เงิน" เงินไงครับ ที่เป็นพระเจ้าเก๊ เราใช้เงิน แล้วอยากได้อะไร ก็ได้ทั้งนั้น อยากซื้ออะไร ก็ได้ทั้งนั้น เอาหมาตัวนั้น เอาแมวตัวนี้ เห็นสวยงามตามสมัยนิยม ก็เอา มา ไม่ทันได้พิจารณาอะไร นี่ละ ถึงถูกอะไรไม่รู้ ครอบงำทำให้ปัญญาก็ มืดบอด ต่ำลง มัวหมอง แยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่ได้ เห็นคนเลวเป็นคนดี เลือกเป็น ส.ส. ทีไร ห่วยทุกที ทำไมแค่คนดีคนเลวยังแยกไม่ออก นี่ละก็ เพราะมันมี "อะไรบางอย่างกระทำให้เป็นเช่นนั้นอยู่" และมันมาจากไหน ละ มาได้หลายสาเหตุ และหนึ่งในสาเหตุนั้นที่ผมอยากเตือนท่านก็คือมัน มากับ "สัตว์เลี้ยง" ของท่านนี่ละ ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาผมไปซื้อสัตว์มา จากคนที่ดีมีบารมี ผมจะได้สัตว์เลี้ยงและพลังงานที่ดีตามมาครับ ทว่า ถ้า ผมไปซื้อสัตว์เลี้ยง มาจากคนที่ไม่ดี ผมจะได้สัตว์เลี้ยงที่นำพาพลังงานที่ ไม่ดี ตามมาครับ นี่พอเข้าใจได้มั้ยครับ ว่ามันส่งผลไม่เหมือนกันอย่างไร?


"สัตว์เลี้ยง" ที่ไม่สวยงามเลย แต่ถ้ามีผู้มีบารมีให้มา ก็จงเลี้ยงไว้?


ต่อไปที่อยากให้ท่านทราบ คือ หลักการในการดูลักษณะสัตว์เลี้ยง ก็ อาจใช้ได้ดีบางกรณี แต่บางสถานการณ์ ก็ใช้ไม่ได้นะครับ สมมุติว่า มีคนดีมีบารมี เอาสัตว์เลี้ยงมาให้ท่าน แม้สัตว์นั้น ดูไม่ดี, ไม่สวยงาม อะไรเลย ก็เลี้ยงไว้เถอะครับ มันเป็นสิ่งที่ดีงามแน่นอน แต่ถ้ามันสวย งามน่าหลงไหลมากเลย แต่มันมาจากคนไม่ดี มาจากการซื้อได้ด้วย เงิน ฯลฯ อันนี้ต้องระวังให้มากครับ ว่ามันอาจจะเป็นสื่อนำสิ่งที่ไม่ดีก็ ได้ ตามมาสู่ชีวิตของคุณ เอาละ นอกจากนี้ สัตว์เลี้ยงแต่ละชนิด ก็มี ระดับของพลังงานไม่เท่ากัน สมมุติว่าสัตว์เลี้ยงของคุณมีแต่พลังที่ดี นะ แต่ต่างชนิดกัน ระดับพลังงานของมันก็ไม่เท่ากันอีก เช่น พลังใน ช้าง มากกว่าม้า, ม้า ดีกว่า วัวควาย, วัวควาย ยังดีกว่า ไก่, ไก่ ยังดี กว่า หมา เป็นต้น เอาละ เวลาเราจะชอบ จะหลงรักสัตว์อะไรสักอย่าง หนึ่ง มันจะสะท้อนถึง "ระดับชั้นของบารมีเราด้วยครับ" เช่น ผู้มีบารมี สูง จะไม่นิยมสุนัข แต่จะชอบช้าง-ม้า มากกว่า, คนที่เป็นได้แค่ลูกน้อง ก็จะชอบสุนัข ครับ ดังนั้น ก็อย่าไปหลงอะไรที่จะพาคุณเสื่อมต่ำไปมาก เพราะมันลากพาไปได้ ก็ไม่ต่างจากสุภาษิต "คบคนพาล พาลไปหาผิด คนบัญฑิต บัญฑิตพาไปหาผล" หรอกนะครับ เลือกกันหน่อยว่าจะชอบ อะไร? รักอะไร ชอบอะไร มันส่งผลต่อความคิด จิตใจ และระดับชั้นของ พลังงานของเราได้เลยครับ คลุกคลีกับสิ่งที่เสื่อมต่ำมากๆ ก็พาเราไปที่ ต่ำครับ คบหาสิ่งมงคลมากๆ บ่อยๆ ก็พลอยพาชีวิตเราพัฒนา เจริญขึ้น


"สัตว์เลี้ยง" ที่สวยงามมาก ก็เลี้ยงมันอย่างที่มันเป็น อย่าเกินพอดี?


ต่อไปที่อยากให้ท่านทราบ คือ สัตว์เลี้ยงที่สวยงามมาก ก็ไม่ต่างจาก เมียที่สวยงามมาก ถ้าท่านหลงเมียที่รูปงามมากเกินไป จนเสียคน มัน ก็เป็นไปได้ครับ สัตว์เลี้ยงที่สวยงามนี้ ก็เหมือนกัน มันก็ไม่ต่างไปจาก เมียรักของคุณหรอก อย่าไปหลงที่รูปมันงามมากเกินไป แต่ควรทำตัว ให้เป็น "ผู้นำ-ผู้ปกครอง" ที่ดี ผู้นำครอบครัวที่ดีควรทำอย่างไรกับสิ่ง ที่ตนเองรักในครอบครัวละครับ? นั่นแหละ ก็ควรทำอย่างนั้น กับสัตว์ที่ คุณเลี้ยงเหมือนกัน ควรเลี้ยงหมาให้เป็นหมา อย่าเกินความพอดี จนมี "หมาเป็นเจ้านายเหนือหัวตัวเอง" ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำทุกอย่าง เพื่อเอาใจ มัน อาบน้ำให้มัน ให้อาหารมันแพงๆ (กว่าที่ซื้อให้คนกิน) นี่ละ มันจะ เพาะบ่มนิสัยให้คุณเสียนิสัยได้แล้วทำให้คุณสูญเสียความเป็นผู้นำไป คุณจะไม่ได้ "ขี่มังกร-ขี่พยัคฆ์" แต่คุณทำได้แค่ "ขี่หมา" เท่านั้น มัน จะไปได้ไกลเท่าไรกันเชียว? อย่างมากก็แค่ "ขี้ข้าชั้นดีที่เลีย, ประจบ เก่ง" ก็เท่านั้นเอง เอาละ ถ้าคุณอยากเป็นเหมือนหมาที่มีเจ้านายเลี้ยง ดี ก็ไม่ว่ากัน เอาเลย เลี้ยงมันดุจพระราชา, ดุจพระเจ้าต่อไป แต่ถ้าคุณ ไม่คิดแค่นั้น ไหนๆ เกิดมาเป็นคนแล้ว เหนือกว่าหมาแล้ว คุณก้าวหน้า ต่อไปได้ คุณก็จะไม่หลงมันเกินไป เลี้ยงหมาตามธรรมะ ธรรมชาติ ให้ "หมายังคงเป็นหมา" ไม่ใช่ไปเทิดทูนมันเป็นพระราชา ในบ้านของตน


"สัตว์เลี้ยง" ที่มีคุณจริงๆ เราก็เคารพกราบไหว้ดุจเทพได้ ไม่ผิดครับ?


ต่อไปที่อยากให้ท่านทราบ คือ ถ้าสัตว์เลี้ยงนั้นบำเพ็ญบารมี สร้างคุณ งามความดีจริงๆ เราก็เคารพกราบไหว้ได้ครับ ผมไม่ได้ต่อต้าน, อิจฉา โกรธแค้น, หรือรังเกียจอะไรมันเลย แต่เราต้อง "แยกแยะให้ชัดเจน" ครับ ไม่ใช่หลงมัวเมาไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปหมด คิดว่ามันเป็นแค่สัตว์ จะเอา อะไรกะมันนัก จะไปดุอะไรกับมันนัก ที่ไหนได้ มันเป็นสื่อนำวิญญาณ ร้ายเข้ามาครอบงำคุณได้ครับ อย่าประมาทไปเหมือนกับของทุกสิ่งที่ คุณไปเอามาจากไหนไม่รู้ เอามาเข้าไว้ในบ้าน นั่นแหละครับ สัตว์เลี้ยง ก็เหมือนกัน (ทุกอย่างมีวิญญาณ เป็นสื่อนำวิญญาณได้หมด ตามหลัก ปฏิจสมุปบาทเมื่อมี "นามรูป" จึงมีวิญญาณและสมมุติทุกอย่างในโลก ก็มี "นามรูป" ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ ก้อนหิน ก็มีวิญญาณครับ แต่ไม่ใช่มี แบบเป็นตัวเป็นตน (อัตตา) นะครับ) เอาละ ทีนี้ เราสามารถเคารพและ ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างดี ก็ได้ ถ้าเขาเป็นสัตว์ที่มีคุณมากครับ เช่น เคยได้ สร้างคุณงามความดีไว้มาก เมื่อตายไปเราจะสร้างอนุสรณ์ไว้กราบไหว้ ก็ได้ครับ เพราะเขาก็คือ "เทพนักษัตร" องค์หนึ่งเหมือนกัน ทว่า ก็อย่า มั่วครับ สัตว์บางตัวเป็นเทพนักษัตร แต่สัตว์บางตัวก็เป็น "ปีศาจ" ครับ


"สัตว์เลี้ยง" สามารถประสานพลังกับคุณได้ ดุจมีร่างหนึ่งเดียวกัน?


สุดท้ายที่อยากให้ท่านทราบ คือ แม้ว่าสัตว์เลี้ยงไม่อาจจะประสานร่าง สังขารเป็นหนึ่งเดียวกับคุณได้ก็จริง ทว่า เขาสามารถประสานพลังใน ร่างของเขาร่วมกับคุณ หรือคุณจะประสานพลังเข้าร่วมกับเขา ราวกับ เป็น "ร่างเดียวกัน" ก็ได้ครับ เมื่อเขาทำหน้าที่เป็นสื่อนำวิญญาณแล้ว พลังวิญญาณนั้นจะเข้ามาประสานกับคุณ ก็ได้ และมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ด้วยครับ และนั่นทำให้ "คนเลี้ยงสัตว์ ติดนิสัยสัตว์ ที่ตนเลี้ยง" ได้ครับ ในบางคนที่ขึ้นช้างไปรบ ก็ดี, ขี่ม้าไปรบ ก็ดี, ฯลฯ เขาจะประสานพลัง จิตใจร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับสัตว์ตัวนั้นที่เขาขี่ครับ และทำให้เกิดพลังซึ่ง ประสานร่วมกันมากขึ้นเป็นทวีคูณทีเดียว ทว่า ถ้าคุณไปร่วมพลังกับสิ่ง ที่ไม่ดี ผลออกมาก็ไม่ดีครับ เช่น ร่วมใจกับหมา คุณก็เหมือนหมา ได้นะ ครับ, ประสานใจกับช้าง ก็เหมือนช้างได้ครับ (ทำงานใหญ่, งานระดับ ชาติได้) เรื่องนี้ เกิดขึ้นจริงและบ่อยมาก จนคุณอาจไม่ทันสังเกตุว่ามัน มีสาเหตุและผลเป็นเช่นนี้ เอาละ เมื่อท่านทราบแล้ว จะจัดการอย่างไรก็ แล้วแต่ท่านแล้ว ผมไม่อยากพูดมาก เพราะคนที่ "กำลังหลง สัตว์ที่ตน รัก" มันเตือนอย่างไร ก็ไม่ได้ครับ ความหลงรัก ที่ไม่ใช่ความเมตตาอัน แท้จริง มีอยู่มากมาย เพียงแต่พวกเขามัก "อ้างความรัก" อ้างว่ารักมัน รักสัตว์ แล้วโยนบาปให้คนที่ตักเตือนว่าเป็นคนเลว ไร้เมตตาต่อสัตว์ แต่ กลับไม่ดูความจริง ไม่แยกแยะผิดชอบชั้วดี ก็มีครับ ผมคงเตือนได้เท่านี้


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายนั้น จงช่วยเปิดตาธรรมให้คุณ สวัสดี


12 ก.ย. 2555

"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การฝาก "ตัวอ่อนต่างมิติ" ที่กำเนิดใหม่ ผ่านการโปรดของตัวตนกลุ่มอื่น?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเทคโนโลยีการถ่ายฝาก ตัวอ่อน ที่ได้รับมาจาก "ต่างดาว" และได้นำ มาใช้ในโลกแล้ว เป็นการถ่ายฝากตัวอ่อนใน ครรภ์ของหญิงคนอื่น เป็นต้นครับ ทีนี้ เราจะมา ศึกษา "ต้นรากเหง้าของวิทยาการ" นี้ดูว่าจะมี หลักการเบื้องต้นมาอย่างไร ซึ่งชาวต่างดาวได้ ใช้วิทยาการนี้ในการถ่ายฝากตัวอ่อนของตนใน ร่างมนุษย์โลกมานานแล้ว หลักจากนั้น มนุษย์ โลกจึงได้นำวิทยาการนี้มาปรับใช้บ้างครับ เอาละ เราลองมาดูที่มาของวิทยาการนี้กันครับ


การกำเนิดใหม่ "ผ่านการโปรดด้วยตัวตนกลุ่มอื่น" หมายความว่าอะไร?


อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ เรามิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เราในที่นี้ จะ มี "กลุ่มตัวตนในเครือข่ายของเรา" อยู่หลายตัวตน ในมิติต่างๆ ซึ่งล้วน มีที่มาจากกลุ่มเดียวกัน และเชื่อมโยงถึงกัน ราวกับว่าเป็นคนๆ เดียวกัน ทีเดียว ทว่า อย่างไรก็ดีเราก็มี "ตัวตน" ของเราเองแยกกันราวกับว่าไม่ ได้เป็นตัวตน ตัวเดียวกันอย่างนั้นแหละ ผมจึงเรียกว่า "กลุ่มตัวตนเครือ ข่ายหลากมิติ" นั่นเอง ทีนี้ เมื่อมีตัวตน ตัวหนึ่งตัวใด มีธรรมมาก มีแสง สว่างมาก เขาก็จะมี "พลังแห่งการให้กำเนิดใหม่" ได้มาก เขาก็จะทำ หน้าที่ชำระล้างตัวตนอื่นๆ ที่มืดมนอยู่ แล้วให้กำเนิดตัวตนนั้นๆ ใหม่ได้ ตัวตนที่กำเนิดใหม่แล้ว จะอาศัยอยู่ใน "ร่างสังขาร" ของผู้โปรด เพื่อมี หน้าที่ช่วยเหลือร่างสังขารนั้นต่อไป ในฐานะ "ภูติ" ตนหนึ่ง ทว่า หาก มี "ตัวตนในกลุ่มเครือข่ายอื่นๆ" เข้ามาขออาศัยบารมีให้เราช่วยโปรด ละ? เราจะให้กำเนิดเขาใหม่ได้หรือไม่? คำตอบคือ ได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะ ให้เขาอยู่ในร่างสังขารของเราในฐานะภูติได้ เขาจะกลายเป็น "ตัวอ่อน ต่างมิติ" ที่ต้องกลับไปสู่ "ร่างสังขาร" ของคนที่มาจาก "ตัวตนในเครือ ข่ายของเขา" ตัวตนใดตัวตนหนึ่งที่เหมาะสม ก็ได้ เช่น ถ้าตัวตนในกลุ่ม พระศรีอาร์ฯ ช่วยโปรดจิตวิญญาณดวงหนึ่งของพระยามาราธิราชฯ ได้ แล้ว กำเนิดใหม่แล้ว จิตวิญญาณที่กำเนิดใหม่ดวงนั้นๆ ไม่อาจจะอยู่ใน ร่างสังขารของพระศรีอาร์ฯ ได้ จะต้องได้รับการ "ถ่ายฝากตัวอ่อนต่าง มิติ" นี้ไปสู่ "ตัวตนตัวหนึ่งของพระยามาราธิราชฯ" ที่มีร่างสังขารเป็น "มนุษย์" จึงจะพัฒนาและเติบโตต่อไปได้ จนกว่าจะสิ้นสุดวาระชาตินั้น


"องค์ธรรมบิดา" ผู้ให้กำเนิดและ "องค์ธรรมมารดา" ผู้อุ้มครรภ์เลี้ยงดู


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ เมื่อผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณนั้นๆ ช่วยชำระจิต วิญญาณที่มืดมนให้สว่างไสว กำเนิดใหม่ได้แล้ว แต่ไม่อาจจะให้เขาอยู่ ในร่างสังขารได้ จำต้อง "ถ่ายฝากตัวอ่อนต่างมิติ" ไปสู่ร่างสังขารอื่นที่ รับได้ ก็จะนับว่าผู้ให้กำเนิดใหม่นี้คือ "องค์ธรรมบิดา" ของจิตวิญญาณ ที่เกิดใหม่นั้น ส่วนร่างสังขารซึ่งรับจิตวิญญาณที่เกิดใหม่นั้นไปอยู่ในตัว ต่อเพื่ออุ้มชู และทำให้เกิดการพัฒนาการต่อไป ก็คือ "องค์ธรรมมารดา" นั่นเอง นี่คือ การให้กำเนิดจิตวิญญาณต่างมิติ ที่จำต้องอาศัยบุคคลร่วม มือกันอย่างน้อย สองท่าน คือ องค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดา ซึ่งใน การกำเนิดใหม่นี้ เราจะนับว่าจิตวิญาณนั้นสำเร็จ "เซียน" และนับให้ว่า เป็น "มนุษย์" ได้สมบูรณ์ ไม่ใช่จิตวิญญาณมืดหรือว่าสัมภเวสีอีกต่อไป ถ้าเขากำเนิดใหม่เป็นกุมาร เขาจะมีตำแหน่งคือ "เซียนกุมารนาจา" นั่น เอง ทว่า นี่ไม่ใช่วิถีของพระพุทธศาสนาจึงไม่อาจนับได้ว่าได้สำเร็จธรรม ขั้นใดๆ หากต้องการสำเร็จธรรม จำต้องเข้าสู่วิถีธรรมในพระพุทธศาสนา อีกต่อหนึ่งครับ ซึ่งจิตวิญญาณมืดต่างมิติที่ต่ำกว่ามนุษย์ทั้งหลายล้วนจะ ต้อง "ผ่านการกำเนิดใหม่" เช่นนี้ ก่อนทั้งหมด จึงจะพร้อมรับธรรมนั้นได้


"กฏแห่งตัวตายตัวแทน" และ "พลังงานใหม่ที่แทนที่พลังงานเก่า" ?


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ ในโลกนี้มีกฏอย่างหนึ่ง ผมเรียกง่ายๆ ว่าตัว ตายตัวแทน นะครับ มันคืออะไร? มันก็คือ "ตำแหน่งทางธรรม" ที่มีอยู่ ทุกตำแหน่งจะต้องมีผู้สืบทอดต่อไปจนกว่าจะหมดวาระหน้าที่ครับ หรือ ก็คือ "การต้องมีตัวตายตัวแทน" มาแทนที่ในตำแหน่งทางธรรมของตน ตนจึงจะเลื่อนก้าวไปสู่จุดอื่นได้ เช่น แม่พระคงคาประจำประเทศไทย ซึ่ง เดิมอาจจะมีอยู่ สมมุติว่าชื่อ "แม่ปลาบู่ทอง" ก็แล้วกัน ทีนี้ แต่ละท่านจะ มี "วาระในการทำหน้าที่อยู่" เมื่อหมดวาระหน้าที่แล้ว จะได้รับการโปรด และปลดปล่อยไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นครับ แล้วตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่ยังต้อง มีผู้ทำหน้าที่ต่อ เพราะประเทศยังไม่ถึงวาระล่มสลายก็จะหา "ตัวตายตัว แทน" มาแทนที่ตนครับ วิธีการไม่ยาก ผีแม่ปลาบู่ทอง ก็จะไปเลือกเอาผู้ ที่เหมาะสม สักหนึ่งคน แล้วดลใจให้เขาทำอะไรสักอย่างพอเป็นพิธี ให้รู้ กันว่ายอมรับตนแล้ว เช่น ตนก็จะบัลดาล ให้เขาร่ำรวย ได้ดังใจต้องการ เมื่อเขาหมดบุญแล้ว เหมาะสมพอที่จะมาแทนที่ตนได้ ก็จะตกน้ำตาย จะ กลายเป็นแม่พระคงคา แทนตน เป็นต้น นี่เรียกว่าพลังงานใหม่ มาแทนที่ พลังงานเก่า นั่นเอง เอาละ เมื่อมีการโปรดจิตวิญญาณตกค้าง ชำระล้าง พลังงานเก่า ให้กำเนิดใหม่ ก็จะมี "พลังงานใหม่" ที่มาจาก "ตัวตายตัว แทน" เช่นนี้ มาทำหน้าที่แทน เป็นปกตินะครับ ใครที่ได้แหล่งบุญดีก็จะมี บุญพ้นไป ไม่ต้องเป็นตัวตายตัวแทนของใคร ใครที่ทำบุญสร้างบารมี ไม่ พอหรือหมดบุญก็จะต้องกลายเป็น "ตัวตายตัวแทน" ของผู้อื่นไปนะครับ เช่น ลูกที่ไม่สรางบุญบารมีอะไรเลย อาศัยพ่อแม่อย่างเดียว สุดท้าย ก็จะ ต้องได้รับช่วงต่อ "อะไรบางอย่าง" มาจากพ่อ และกลายเป็น "ร่างใหม่" ของเขา แทนพ่อของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทายาทอสูร หรือจิตวิญญาณอื่น ใด ในมิติสูงหรือต่ำก็อยู่ภายใต้กฏตัวตายตัวแทนนี้เหมือนกันหมดนะครับ


ช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยน "พลังงานใหม่ที่แทนที่พลังงานเก่า" ...


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ ช่วงยุคกึ่งกลางพุทธกาลนี้ คือ ช่วงเวลาแห่ง การปรับเปลี่ยนพลังงานในโลกครั้งใหญ่และมันจะส่งผลต่อการเกิดภัย พิบัติบ้าง ด้วยนะครับ เพราะผลจากการเคลื่อนย้ายของพลังงานใหม่ที่ เข้ามาแทนที่พลังงานเก่าและพลังงานเก่าที่ได้รับการปลดปล่อยออกไป จะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อธาตุทั้งสี่ในโลกได้ ตามอำนาจของพลังนั้น เช่น ถ้าพลังงานที่เปลี่ยนแปลงเป็นพลังของแม่พระคงคาที่มีอำนาจดูแล ทั้งประเทศไทยก็ส่งผลกระทบต่อน้ำในประเทศไทยทั้งประเทศได้นะครับ เอาละทีนี้เราจะมามองภาพรวมของทั้งโลกกัน ทั้งโลกก็มีการปรับเปลี่ยน ของพลังงานทั้งหมดนะครับ และส่งผลให้จิตวิญญาณที่ดูแลโลกในส่วน ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยพลังงานใหม่ที่เข้ามาแทนที่ จะเป็นคนที่มี สังขารอยู่บนโลกแล้วตายลงไป นี่ละ ซึ่งก็คือ "ตัวตายตัวแทน" ของพลัง งานเก่านั่นเอง คนเหล่านี้จะถูกเลือก และได้รับการช่วยเหลือจากพลังงาน พิเศษเหล่านั้น ให้ได้ร่ำรวย ประสบความสำเร็จ และอะไรอีกมากมาย เพื่อ จะทำให้พวกเขา "ติดหนี้" และต้องชดใช้ ชำระหนี้ด้วยตัวเอง มาทำงาน แทนที่พวกเขาครับ ดังนั้น "ทุกที่บนโลกนี้" ล้วนรอให้ "คนตายเพื่อจะไป เป็นตัวตายตัวแทนของตน" ทั้งสิ้น เช่น ถนนหนทาง ก็มี "ผีเจ้าทาง" ที่มี หน้าที่ดูแลเฝ้าถนน, เจ้าที่ แต่ละแปลง ก็จะมีผีเจ้าที่ มาตายแล้วหวงที่ไว้, เจ้าทุ่ง ก็จะมีชาวนาที่ยึดติดที่นาเกินไป ตายแล้วเป็นผีเจ้าทุ่ง ฯลฯ เอาละ อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะถ้าคุณ "ให้กำเนิดพลังงานใหม่" ได้ซะอย่าง คุณ ก็จะไม่มีทางไปเป็น "ตัวตายตัวแทน" ของใครบนโลกนี้ได้เลย เพราะคุณ สามารถผลิต "จิตวิญญาณใหม่ๆ" ขึ้นมาจาก "พลังงานเก่า" แทนที่คุณ ได้เสมอๆ นั่นเอง ดังนั้น โชคดีนะครับ ที่คุณได้มาศึกษาในนี้ก่อน เพราะว่า คุณจะทราบวิธี "การให้กำเนิดใหม่" และกระบวนการทั้งหมดนี้ ก่อนใครๆ


สิ่งที่ท่านสามารถสังเกตุได้ด้วยตาเปล่าช่วง "ให้กำเนิดพลังงานใหม่"


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ เทคนิกในการสังเกตุด้วยตาเปล่าว่าท่านจะมี การกำเนิดใหม่หรือไม่? และมีใครมารับช่วงต่อจิตวิญญาณที่กำเนิดนั้น หรือไม่? ก็มีดังนี้ครับ คือ 1. ท่านจะไม่เหมือนเป็นตัวของตัวเอง 100% นัก เหมือนเป็นคนอื่น เหมือนต้องทำอะไรอย่างคนอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเอง ด้วย จิตวิญญาณดวงนั้นที่มาอาศัยคุณนำพาวิบากกรรมของเขามาสู่คุณด้วย 2. ท่านจะต้องพบเจอกับคนที่เกี่ยวข้องกับ "จิตวิญญาณดวงนั้นๆ" เช่น เช่น ถ้าท่านโปรดจิตวิญญาณนางเอื้อย ท่านก็จะต้องพบเจอกับคนที่เป็น แม่ปลาบู่ทองและพ่อของเอื้อยมาเกิด นั่นแหละ สิ่งที่เขาพัวพันอยู่ไม่ยอม ไปเกิดได้เพราะมีห่วงอย่างนั้น 3. ท่านจะต้องเข้าหาธรรม หรือปฏิบัติ ทั้ง ที่ไม่น่าจะต้องทำ บางครั้งสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเราเนี่ย? มันไม่น่าจะใช่ เราที่ต้องมาทำนะ? (ก็ทำเพื่อโปรดเขาไง) 4. เมื่อท่านกำลังจะให้กำเนิด เขา ท่านจะมีอาการคล้ายคนท้องได้ เช่น อยากกินของเปรี้ยวๆ ทั้งที่ท่าน ก็ไม่ได้ท้องจริงๆ ซะหน่อย หรืออาการอื่นๆ ที่คล้ายคนท้อง และ 5. ท่านก็ จะได้พบกับ "ร่างสังขาร" ที่จะมารับ "จิตวิญญาณ" ที่กำเนิดใหม่นี้ไปต่อ บางครั้ง เขาจะแย่งกันรับต่อ บางทีมาหาท่าน 3-4 ตัวตน เพื่อรับสิ่งนั้นไป แต่ท่านก็จะรู้สึกเองว่าใช่หรือไม่ใช่ แล้วท่านจึงจะปล่อยให้ไป เอาละ ทั้ง 5 ข้อนี้ ก็พอสังเกตุได้นิดหน่อยนะครับ ซึ่งเรื่องราวชีวิตของท่านจะเหมือนสิ่ง ที่ท่านโปรดเลย เช่น ถ้าท่านโปรดนางเอื้อย ชีวิตท่านก็จะเหมือนเขาได้แต่ เมื่อท่านได้เจอตัวจริงแล้ว ท่านจะพบว่าตัวจริงทำหน้าที่ได้ดีกว่าท่าน และ ท่านพร้อมที่จะ "ส่งมอบ" ภาระหน้าที่ให้เขาได้ต่อไป โดยท่านไม่ต้องทำ อีกต่อไป เพราะมีคนมารับช่วงทำแทนแล้ว ท่านก็จะเลิกอยากทำไปเองได้


พลังงานเก่าที่หมดวาระแล้ว จะหาตัวตายตัวแทน แล้วมาให้ท่านโปรด?


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ ถ้าท่านคือผู้ที่สามารถให้กำเนิดจิตวิญญาณ ใหม่ได้ ท่านโปรดพวกเขาได้ พวกเขาก็จะมาหาท่าน แต่ก่อนที่พวกเขา จะมาหาท่าน พวกเขาจะหา "ตัวตายตัวแทน" มาทำหน้าที่แทนตนก่อน เมื่อนั้นพวกเขาก็จะมาหาท่าน เมื่อพวกเขาได้รับการโปรดแล้ว "ตัวตาย ตัวแทน" ก็จะตายลงเพื่อไปเป็น "พลังงานใหม่" ประจำตำแหน่งในทาง ธรรม ตำแหน่งเดิมนั้น ดังนั้น ยิ่งท่านโปรดจิตวิญญาณเก่าได้มาก คนจะ ตายมาก ตามมาด้วย เพื่อทดแทนที่กัน แต่ท่านไม่ได้ต้องการให้มีใครมา ตายหรอกใช่มั้ย ท่านทำแต่ส่วนโปรดจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนที่คนตาย ก็มาจาก "สิ่งอื่นกระทำ" คือ เจ้ากรรมนายเวรของพวกเขา นั่นเอง กรณี นี้ ก่อนจะมีตัวตายตัวแทน "ตัวตนหลากมิติ" จะแข่งขันกันเองก่อน เช่น ถ้า สมเด็จพระนเรศวร เป็นเทพที่คนไทยยังนับถือ และตำแหน่งนี้ยังจะมี อยู่ต่อไป หากท่านได้แบ่งภาคมาเกิด (หลังได้เป็นโพธิสัตว์แล้ว) เป็นตัว ตนมากกว่า 1 ตัวตน สมมุติ 5 ตัวตน ทั้ง 5 ตัวตนนี้ จะต้องบำเพ็ญบารมี แข่งกัน จนกระทั่งตัวตนใด "ยอมแพ้" แค่นั้น ก็จะได้ตำแหน่งนั้นไป ส่วน คนที่ยังไม่ยอมแพ้ ก็จะเลื่อนลำดับไปสู่ "ตำแหน่งเทพที่สูงขึ้น" ต่อไปได้ คนที่แพ้ จะได้รับอะไรมากมายในทางโลก เพื่ออะไรครับ? เพื่อให้เขาติด หนี้แก่ "จิตวิญญาณ-พลังงานเก่า" ก่อนที่พลังงานเก่า จะเอาเขาไปเป็น "ตัวตายตัวแทน" อย่างไรละครับ ส่วนพลังงานเก่านั้น ก็จะไปหาท่านผู้มี ธรรม พอที่จะโปรดเขาได้แท้จริง เพื่อที่จะได้กำเนิดใหม่ เลื่อนระดับให้สูง ขึ้นไป อย่างไรละครับ แหม! สบายไป ไม่ต้องอยู่เฝ้าภาคพื้นโลกจะได้ขึ้น สวรรค์แล้วมีคนมาเฝ้าผืนแผ่นดินแทนตัวเองแล้ว นั่นแหละเขาทำอย่างนี้


สมภารสรางวัด กลายเป็น "ผีเสื้อวัด" คนไปช่วยกลับได้วิมานชั้นฟ้า?


สุดท้ายที่ท่านควรเข้าใจคือ การทำบุญ "สร้างอะไรในโลกนี้ ทุกอย่าง" จะมี "ผีเฝ้าหมด" แต่ถ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สวรรค์เขามอบให้คนมาสร้างก็ จะเรียกว่า "มีตำแหน่งเทพให้ท่านที่เฝ้า" ครับ เช่น สร้างนา ก็มีผีเจ้าทุ่ง เฝ้านา, สร้างบ้าน ก็มีผีเรือนเฝ้าบ้าน, สร้างวัด ก็มีผีเสื้อวัด คอยเฝ้า ฯลฯ เอาละ ถ้าไม่อยากนั่งเฝ้าประจำผืนที่บนโลกเป็น 1,000 ปีทิพย์ ก็ต้องมี ความรู้ มีปัญญาจริงๆ หน่อยครับ เพราะ "สมภารที่สรางวัด ตายไปกลาย เป็นผีเสื้อวัด" เยอะแยะ (แต่ก็ยังดีกว่าพระที่ตกนรก เกิน 50% ของทั้ง หมดนะครับ และอีกเกินกว่า 25% ของพระตายแล้วกลายเป็นเปรตครับ) เอาละ คนหลายคน ไม่ได้เป็นตัวเจ้ากี้เจ้าการในวัด แต่มีใจบุญ ก็ช่วยเขา ไป พวกนี้ ตายแล้วไปสูงกว่าพวกยึดวัด ได้วิมานบนสวรรค์ครับ ส่วนคนที่ สร้างบารมีในการสร้างครั้งนั้นสูงสุด เช่น ไม่ได้ใช้เงินสร้าง, ไม่ได้เป็นผู้มี ชื่อเสียงอะไร แต่ทำงานจริงๆ จังๆ พวกนี้ ที่ทีบุญบารมีสูงสุด จะตายแล้ว ไปเกิดเป็น "เทพเจ้าของวิมานมีบริวารมากมาย" นะครับ เรียกว่าไปได้สูง กว่าสมภารเจ้าของวัดเสียอีก แปลกใจมั้ยละครับ เอาละ "ตามนุษย์มันมืด มัว" แต่ "ดวงตาสวรรค์ แจ้งชัด" เลยมองเห็นต่างกัน ก็เท่านั้นเองละครับ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย จงช่วยท่านให้การกำเนิดใหม่ สวัสดี


11 ก.ย. 2555

"เสียงจากองค์ธรรมบิดา"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังงานที่ปลดปล่อยจากจุดใดในโลก เช่น จุดที่แผ่นดินไหวเกี่ยวกับพลังจิตยังไง?

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ เกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติที่จะมา จากจุดใดในโลกนี้ เกี่ยวข้องกับ "พลังจิต" ของมนุษย์แต่ละคน อย่างไร? เอาละ มันเกี่ยวโยงกัน นะครับ ชักตื่นเต้นแล้วสิ เพราะ ถ้าเรารู้ เราทำนายได้ละก็ มันก็ จะทำอะไรได้อีกมากเลยใช่มั้ยละ อย่าช้าเลย เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ


พลังงานเก่าของผู้บำเพ็ญบารมี เชื่อมโยงอยู่ในบางจุดของโลกใบนี้?


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ ผู้มีพลังจิตมากๆ คือ ผู้บำเพ็ญบารมีมา มาก (นอกจากผู้ที่ฝึกฤทธิ์โดยไม่สนใจจะบำเพ็ญบารมีแล้วผู้มีบารมี ก็เป็นผู้ที่มีพลังจิตมาก อีกประเภทหนึ่งครับ) โดย "พลังงานเก่า" จะ ถูกเก็บไว้ใน "ที่ใดที่หนึ่งในโลกนี้" แล้วจึงรอเวลาที่จะได้รับการปลด ปล่อยออกมา เมื่อผู้มีบารมีท่านนั้น เวียนว่ายตายเกิดมาอีกชาติ ท่าน ก็จะบำเพ็ญบารมีจนสะเทือนถึง "พลังงานเก่า" ของตน ซึ่งเคยได้รับ การ "ผนึกไว้ในบางจุดของโลกนั้น" ในที่สุด พลังงานนั้นจะถูกปลด ปล่อยออกมา เช่น พลังงานที่เป็นรูปธรรมชีวิตต่างๆ เช่น ภาคแบ่งส่วน พลังงานที่เป็นมังกร ซึ่งแบ่งออกมาใหม่ๆ แล้วยังควบคุมได้ยากจนต้อง ผนึกไว้ในภูเขาบางแห่งในโลก เมื่อผู้บำเพ็ญบารมีที่แบ่งภาคส่วนพลัง งานนั้นมาเกิดใหม่ แล้วบำเพ็ญบารมีมากพอ พลังงานส่วนที่ถูกผนึก ก็ จะได้รับการปลดปล่อยออกมา แล้วกลับมาสู่ร่างสังขารของเขา กลาย เป็น "พลังงาน" ส่วนหนึ่งที่เขาจะได้รับเพิ่มไป เพื่อการพัฒนาให้สูงขึ้น


พลังงานเก่าที่ถูกผลึกไว้ เมื่อปลดปล่อยแล้วอาจทำให้แผ่นดินไหวได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เมื่อพลังงานเหล่านี้ได้รับการ "ปลดปล่อย" ก็จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น ถ้าพลังงานถูกผนึกอยู่ที่ ใต้ดิน ก็อาจส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ถ้าพลังงานถูกผนึกอยู่ใน น้ำ ก็อาจทำให้เกิดคลื่นซึนามิได้ ดังนั้น หลังการปลดปล่อย จึงทำให้ เกิด "ภัยพิบัติ" ในรูปแบบที่แตกต่างกันได้ ซึ่งมูลเหตุที่พลังงานเหล่า นี้ได้รับการปลดปล่อยมักมาจาก "การที่มีผู้มีบุญบารมี" มากพอที่จะ ชำระล้างพลังงานเก่าเหล่านี้ได้ มาเกิดพร้อมแล้ว นั่นเอง เช่น กรณีที่ พระถังซัมจั๋งได้ปลดปล่อย "ซุนหงอคง" ออกมาก็เกิดแผ่นดินไหวได้ เช่นกัน พอนึกภาพออกแล้วใช่ไหมครับ (แม้จะดูเป็นนิยายไปหน่อยแต่ คิดว่าทำให้เข้าใจและเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นนะครับ) ทีนี้ เมื่อเกิดแผ่น ดินไหวหรือภัยพิบัติใดขึ้นก็ดี อย่าเพิ่งตกใจนะครับ หลายครั้ง มีความ สูญเสียไม่มากเกินไป เช่น เสียหายเฉพาะทรัพย์สิน แต่คนตายไม่มาก นะครับ เอาละ เราควรหันมามองแง่ดีบ้าง นั่นคือ มันเป็นโอกาสดีที่จะมี ผู้มีบุญบารมี มาปลดปล่อยพลังงานที่ชำระล้างได้ยากแล้ว และสิ่งนี้ ก็ จะนำมาซึ่งสิ่งดีงามในอนาดคตต่อไป เหมือนซุนหงอคง ที่ใช้พลังเพื่อ ช่วยเหลือพระถังซัมจั๋ง อัญเชิญพระไตรปิฎกจากอินเดียได้สำเร็จไงละ


เมื่อใช้หลักการเช่นนี้ เราจึงทำนายแผ่นดินไหวได้ ด้วยการสังเกตุบุคคล?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ หากเราใช้หลักการนี้ และหลักการนี้ได้รับการ พิสูจน์ว่าใช้ได้จริง เราจึงจะทำนายภัยพิบัติได้ครับ เช่น ทำนายแผ่นดิน ไหวจากการสังเกตุการบำเพ็ญบารมีของผู้มีบารมี ถ้าเรามีนักพลังจิตที่ มีญาณหยั่งรู้อดีตก็หยั่งดูอดีตของคนที่บำเพ็ญบารมีมากๆ เช่น คนที่ถูก เสนอข่าวดังๆ ทางทีวี เราตรวจเช็คดูอดีตชาติแล้วถ้าพบว่าเขาเคยสร้าง บารมีไว้ที่ใดมากๆ บริเวณนั้นแหละครับ จะเกิดภัยพิบัติได้ เช่น ที่ผ่านมา ไม่นานนี้ เกิดแผ่นดินไหวที่ "มลฑลยูนนาน" ประเทศจีน ในช่วงนั้นผมก็ ได้รับข่าวทางทีวีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับบุคคลที่บำเพ็ญบารมี และสัมผัสได้ว่า เขาเคยเกิดเป็นผู้ปกครองแค้วนยูนนาน (แต่เป็นคนไทย-อิสลามนะครับ) ผ่านมาไม่นานก็เกิดแผ่นดินไหว (แต่ผมไม่ใช่นักทำนาย และไม่ต้องการ ทำนายภัยพิบัติด้วยนะครับ) นั่นคือผลกระทบจากความเชื่อมโยงกันของ พลังงานเก่าที่ถูกผนึกไว้ของผู้มีบุญบารมีผู้นั้น เอาละ มีข้อสังเกตุนิดหนึ่ง ครับ ผู้มีบุญบารมีท่านนั้น ต้องบำเพ็ญบารมียิ่งยวด เสียสละอะไรมาก จน ถึงจุดสะเทือนใจอย่างรุนแรงด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญบารมีแล้วได้ดีก็ ไม่สะเทือนอะไรนะครับเช่น บำเพ็ญบารมีส่งเสริมลูกจนลูกเสียชีวิตเป็นต้น


ภาคมืดจะขัดขวางกระบวนการปลดปล่อย ด้วยการช่วยเหลือคนนั้นก่อน?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในกระบวนการนี้ จะมีการคานดุลยภาพอำนาจ ด้วย "ภาคมืด" ซึ่งภาคมืดได้ครอบงำโลกนี้ ทั้งยังสร้างถาวรวัตถุเอาไว้ มากมาย ทำให้พวกเขาไม่ต้องการเห็น "อนิจจังของโลก" เลยแม้แต่นิด ดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็น "ฮีโร่ของมนุษย์โลกที่หลงโลก" เพราะพวก เขานี่เองที่ช่วยขัดขวางกระบวนการนี้ ทำให้การปลดปล่อยไม่สำเร็จและ ทำให้โลกสงบนิ่งอยู่ต่อไป ไม่เกิดภัยพิบัติ เอาละมองในทางโลก ภาคมืด ทำดีแน่นอน แต่มองในทางธรรมแล้ว มันขัดแย้งกับธรรมชาติ กับกฏแห่ง กรรมนะครับ ทว่า เราคนกลาง ก็อย่าเพิ่งใส่ทัศนคติทางใดมาก แต่เรานั้น ก็ควรเคารพกฏแห่งกรรมด้วยนะครับ (ในขณะที่ก็ต้องมีจิตเมตตาต่อภาค มืดด้วย) ทีนี้ ภาคมืดเขาจะทำอย่างไรครับ? คำตอบคือ เขาก็จะเข้ามาหา ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยเหลือให้ไม่ต้องถึง "จุดสะเทือนอารมณ์" นั้นๆ ซึ่ง เป็น "จุดสำเร็จแห่งการบำเพ็ญบารมีด้วยนะครับ" กล่าวคือ เขาทำให้การ บำเพ็ญบารมี "ไปไม่ถึงที่สุด" นั่นเอง ขวางไว้ด้วยการ "ทำความดี" ตอบ เช่น คนที่บำเพ็ญบารมีเหนื่อยยากมากๆ แทบหมดแรงแล้ว เกือบบารมีเต็ม แล้ว ทว่า เขามาขวางไว้ก่อนที่จะเต็มและจะส่งผลสะเทือนโลก ด้วยการมี บริวารมาช่วย ก็ดี, เอาเงินมาช่วย ก็ดี ฯลฯ นั่นแหละ เขามาแบบนี้เอง ทว่า เขาไม่ได้ให้ฟรีๆ นะครับ แต่มาพร้อมเงื่อนไข แลกเปลี่ยน ซึ่งมองทางโลก แล้วคุณได้อะไรมากมาย ทว่า ถ้าคุณเห็นทางธรรม จะรู้ว่าคุณขาดทุนครับ


คนที่ภาคมืดช่วยจะถูกปั้นให้กลายเป็น "ฮีโร่" แต่สอบตกในทางธรรม


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ คนที่ยอมรับการช่วยเหลือจากภาคมืด จะไป ไม่ถึงดวงดาว จะเข้าทางภาคมืด จะถูกภาคมืดปั้นให้กลายเป็น "ฮีโร่" ในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง ในวงการใด วงการหนึ่ง ได้ทั้งหมดครับ แต่ นี่หมายความว่า "คุณสอบตก ในการบำเพ็ญบารมีครั้งนี้แล้ว" นั่นเอง ผมอยากจะพุดให้คุณเห็นภาพชัดๆ ง่ายๆ เปรียบเทียบกันคือ ระหว่าง คนที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาคมืด บำเพ็ญบารมีถึงที่สุด สะเทือน ใจเพราะมันยิ่งยวดจริงๆ จนถึงขั้นปลดปล่อยพลังงานเก่าที่อยู่ใต้โลก ได้ กับคนที่ยอมรับการช่วยเหลือจากภาคมืด และไปไม่ถึงจุดนั้น จะมี วิถีชีวิตไปคนละทางกันเลยนะครับคือ คนที่ถูกภาคมืดปั้นจะกลายเป็น ฮีโร่หรือคนดังที่เป็นที่รู้จักในระดับสาธารณชนแล้วถูกภาคมืดวางแผน ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการเช่น จากนักร้อง มาเป็นดารา จากดารามา เป็นพิธีกร นักข่าว จากนั้นมาเป็น ส.ส. เป็นต้น แต่พอตายลงก็ไปสู่ภพ มืด มิติมืดครับ ไม่มีรายชื่อที่จะได้คิวเกิดในสามภพนี้เลย ต่างจากท่าน ที่บำเพ็ญบารมีถึงที่สุดได้ บางท่านก็กลายเป็น "มาร" ครับ แต่นับว่ามี ผลสำเร็จครับ เหมือนพญามาราธิราชไง เป็นพญามาร แต่ก็บำเพ็ญได้ สำเร็จ พอเข้าใจมั้ย เช่น บางคนถึงที่สุดแห่งการบำเพ็ญบารมี ต้องสูญ เสียลูกชายที่รักไป เขาก็มีความโกรธแค้นเกิดขึ้น บารมีก็สำเร็จนะครับ แต่จะได้ไปสวรรค์ชั้นมาร ซึ่งมันยังดีกว่าลงสู่ภพมืด ที่ไม่มีคิวได้เกิดใน สามภพเลยใช่มั้ยครับ ทีนี้ ท่านพอมองเห็นภาพอนาคตสองแบบนี้ไหม?


คนที่สอบผ่านทางธรรม แม้ว่าอาจจะถูกมองว่าล้มเหลวทางโลก แต่...


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ คนที่บำเพ็ญบารมีสำเร็จ หลายท่าน ถูกมายา แห่งโลก ทำให้สังคมมองบิดเบือนผิดเพี้ยนไปด้วย "อวิชชา" ด้วยคนใน สังคมส่วนใหญ่ยังมิได้บรรลุธรรม พวกเขาจึงมองผู้บำเพ็ญบารมีสำเร็จ ผิดไปว่าเป็นผู้ล้มเหลวทางโลก เช่น ถ้ามีพระราชาคนหนึ่งไปตัดหัวเพื่อ ถวายเป็นพุทธบูชา ในยุคนี้ คนก็คงมองกันว่า "ล้มเหลว สิ้นคิด คิดสั้น และคงทุกข์ใจจนไม่มีทางออกแล้ว" เป็นต้น เห็นภาพออกมั้ยครับ ชัด นะครับว่า "มุมมองของคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้บรรลุธรรมนั้น" ผิดไปยัง ไง เอาละ ทีนี้ ก็มาดูวิถีชีวิตของผู้ที่ "ล้มเหลวในทางโลกแต่สำเร็จทาง ธรรม" กันบ้าง เขาจะมีชีวิตอย่างไร? คำตอบก็คือ ชีวิตของเขาจะหมด ความวุ่นวายเก่าก่อนที่เขาเคยมี ไป แล้วจะมีชีวิตใหม่ที่เรียบง่ายขึ้นครับ แต่อย่างไรเสีย "เขาก็อยู่ได้ในโลกนี้" และไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดต้องไปมี ชีวิตเหมือนสัตว์ในอบายภูมิสี่นะครับ เช่น ไม่ต้องไปเป็นคนเร่ร่อน เหมือน สัมภเวสี ไม่ต้องไปขอทานเหมือนเปรต ก็มีชีวิตพออยู่ พอกิน พอมี พอได้ ครับ เพียงแต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรแบบชาวโลกเขาอยากเป็นกัน ดังนั้น เมื่อมองจากสายตาของสังคมส่วนใหญ่ เขาก็คือ กลุ่มคนที่ถูกมอง ข้าม นั่นเอง เพราะไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนกับคนในสังคมส่วนใหญ่นี้


พระอรหันต์ที่ผ่านจริง ไร้ชื่อเสียง แต่อรหันต์เก๊ กลับถูกปั้นให้โด่งดัง?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ วิถีทางที่แตกต่างทั้งสองทางนี้ คือ ทาง ที่บำเพ็ญบารมีจนถึงที่สุดโดยไม่ร้องขอให้ภาคมืดช่วย และวิถีทาง ที่ยอมรับการช่วยเหลือจากภาคมืดนั้น ต่างกันมาก และมีได้ในคนที่ อยู่ในทุกวงการครับ แม้แต่วงการศาสนาทุกศาสนา เช่น ในหมู่พระ ที่อยากเป็นพระอรหันต์ เขาไม่ได้มีทุกข์ทางโลกแล้วจึงไปบวช ก็มี บางท่านบวชพระตั้งแต่เด็ก ถามว่า "ความทุกข์ทางโลกของท่านที่ ท่านผ่านมาด้วยประสบการณ์ตัวเองมีอะไร?" ขอโทษนะครับ ความ ทุกข์ ก็ดี, ประสบการณ์ของพระบางรูป ก็ดี นั้นๆ ก็ยังเทียบไม่ได้กับ "คนเร่ร่อนที่อยู่ข้างถนน" เลย คุณเข้าใจคำว่า "วัชรยาน เขาดูคน ที่ประสบการณ์ตรงจากชีวิตจริงหรือเปล่า?" กล่าวคือ คนที่จะบรรลุ ธรรมจริงๆ มันก็ผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ นี่มาก่อนนั่นแหละ ที่ บวชอยู่สบายในผ้าเหลืองมาแต่เด็ก จะไปเห็น "ทุกข์อันแท้จริง" ใน โลกนี้ได้จากที่ไหน? แล้วมันจะได้อริสัจสี่กัน ณ ที่ใด? ในกุฎิหรือใน อะไรของมัน ไม่มีหรอก ถ้าสบายอยู่ในผ้าเหลืองแล้ว จะหาความทุกข์ ในอริยสัจสี่แบบคนที่ผ่านประสบการณ์ทางโลกมาได้อย่างไร? เอาละ มันไม่จบแค่นี้ ภาคมืด ก็ครอบงำให้มันหลงตัวเอง เพราะมันเรียนมาก เรียนปริยัติมาเยอะ มันเลยคิดว่า กูอรหันต์แล้ว! นั่นแหละ "อรหันต์ปั้น ได้" ละ ปั้นโดยภาคมืดเขา นั่นเอง ไม่ใช่ของจริง เป็นของเก๊ มีอยู่มาก มายในประเทศนี้ เอาละ ฟังไว้ให้ดีนะ พระอรหันต์ในความเป็นจริง ไม่มี ที่มีชื่อเสียงหรอก ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความโด่งดังอะไรทั้งนั้น แต่คนที่ เขาเกิดมาตามหลังที่ท่านตายไปแล้ว เขามาเขียนตำราเอาไว้ มันก็เลย ทำให้ดูเหมือนดัง เวลาเราไปอ่านตำรา โอ้ แหม ดังจริงหนอ นั่นมันใน ตำรา อย่าไปหลงมาก! อย่าไปอยากดังอย่างที่อ่านมาในตำรามากนัก เดี๋ยวจะเตลิดเปิดเปิงไป เอ้า เตือนเท่านี้ละ ไม่อยากพูดมาก สอนยาก!


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย ช่วยส่องประสบการณ์จริง สวัสดี


9 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เมื่อท่านไม่คิดเกิดอีกแล้ว ท่านอาจไม่ได้นิพพาน และกลายเป็นสัมภเวสีได้?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล็กๆ ซึ่งเป็น เกร็ดความรู้ มาคุยกันสบายๆ เบาๆ ไม่ยากนะครับ เรื่องของคนที่คิดว่า เขาน่าจะได้นิพพานแล้ว แต่แล้วก็ ไม่ได้ครับ อ้าว มันพลาดไปตรงไหน นั่นสินะ น่าสนใจมั้ยครับ ว่าพระที่มี ความน่าศรัทธา ชอบประกาศตนว่า นี่คือชาติสุดท้ายแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว นั้น เขาไม่ได้นิพพาน แล้วกลายเป็น สัมภเวสีได้อย่างไร มาดูกันเลยครับ


เมื่อท่านไม่คิดเกิดอีกแล้ว ท่านอาจไม่มีที่เกิดและไม่ได้นิพพานด้วย ก็ได้?


อย่างแรก ที่ผมอยากเตือนท่านด้วยเจตนาดี และหวังดีต่อท่านอย่างจริงใจ คือ "สิ่งที่คุณไม่เท่าทัน" บางอย่าง มีอยู่จริง และสามารถหลอกลวง และ ครอบงำให้คุณคิดว่าคุณได้นิพพานแน่แล้ว คุณไม่ต้องเกิดอีก อะไรแบบนี้ แต่มันได้จริงหรือเปล่าละ? ถ้าคุณไม่ได้เกิดอีกแล้ว แต่ไม่ได้นิพพานละ อ่ะ แล้วอย่างนี้ คุณจะไปอยู่ไหน? คำตอบง่ายมากเลยครับ เพราะคุณจะได้มี เพื่อนมากมายเหลือคณานับใน "ภพมืด" มันอยู่นอกสามภพ เทพเขาไม่มี ใครยอมรับว่านี่เป็นภพนะครับ แต่เรายืมคำมาเรียกใช้เฉยๆ บางท่านเรียก ว่า "อันตรภพ" ไงละครับ มันก็คือ ภาวะที่อยู่นอกระบบสามภพของโลกนี้ เป็นพวกแอบๆ ซ่อนๆ อยู่ เป็นสัมภเวสี รอเกิด แต่ไม่มีชื่อในบัญชีรายชื่อที่ จะได้เกิดอีกเลยครับ เพราะไปตั้งจิตเอาไว้อย่างนั้นว่าจะไม่ขอเกิดอีก บ้าง จะเป็นชาติสุดท้ายของตนแล้วบ้าง ทว่า "ปฏิบัติไม่ถึงนิพพานจริง" ครับ เพราะหลายคนถูกพลังมืดครอบงำ ให้คิดว่าได้อรหันต์แน่แล้ว ชาตินี้ชาติ สุดท้ายแล้ว ไม่ได้เกิดอีก ก็เลย "รับเงินรับทอง" กันสนุกไปเลย เรียกว่า "เฮ้ย ไหนๆ นี่ก็ชาติสุดท้ายของมึงแล้ว เอาให้มันเต็มที่กันไปเลยโว้ย" นี่ ละมันมาแบบนี้และมันก็ทำกันแบบนี้ พอเห็นภาพออกชัดไหมครับว่ามีจริง


โทษแห่งความเป็น "อรหันต์เทียมเท็จ" ต่างจากผู้มีปัญญาที่แท้จริงยังไง?


ต่อไป ผมอยากให้คุณแยกแยะสองสิ่งนี้ให้ได้ก่อน คือ ผู้มีปัญญาที่แท้จริง กับ "ผู้ที่ทำเหมือนมีปัญญา แต่มันไม่ได้มีจริง" เช่น ไปเรียนเปรียญธรรม 9 ประโยคมา บ้าง, จบ นักธรรมชั้นตรี, โท, เอก บ้าง, ได้ปริญญาตรีของ หลักสูตรในห้องเรียนบ้าง ฯลฯ แล้วคิดเอาเองว่า "กูอรหันต์แล้วว่ะ" 555 อาจารย์ผมเขาเรียกว่า "หันหมู-หันหมา" หันไป หันมา ก็งี่เง่าเหมือนเดิม เอาละ ขอโทษนะที่ผมใช้คำแรง เจตนาให้คุณตื่นแจ้งจริงๆ ให้เต็มตาอย่า สลึมสลือให้มากนัก ของแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องการมีความรู้ หรือการคิดได้ คิดไปเอง หรืออะไรทั้งนั้น พอหลงเข้าไปแล้ว มันก็ไปกันไกล การที่เราจะ ไปนั่งเรียน ทำข้อสอบ อะไรนั้น มันทำได้ จบกันได้ เก่งกันได้ แต่มันไม่ใช่ วิถีของการบรรลุธรรมอะไรเลยแม้แต่น้อย เดียวนี้มีกันเกลื่อน ผมขอเรียก ว่า "นักวิชาการศาสนา" ก็แล้วกัน พวกนี้ทำได้เหมือนพระอรหันต์นะหละ ปฏิบัตินั่งสมาธิอะไรก็ทำได้ แต่ไม่รู้จริงๆ หรอกว่าการมีปัญญา กับการมี ความรู้ การเลียนแบบ เหมือนลิงเห็นคนนั่ง ก็นั่งตามนี่ มันต่างกันอย่างไร เอาอย่างนี้ ถามหน่อย คนๆ หนึ่งอาจโง่มากไม่รู้อะไรในไตรปิฎกเลย ถาม ว่าเขาจะมีปัญญาหลุดพ้นได้โดยไม่ใช่ผู้รู้หรือไม่? หรือว่า เขาต้องรู้ก่อน (ยึดติดว่าต้องรู้ก่อนเสมอ) ถึงจะมีปัญญาได้? ไอ้ความรู้กับปัญญา อะไร มันเกิดก่อนกัน? เช่น มะม่วงมีมาก่อน ความรู้เรื่องมะม่วงไหม? หรือความ รู้เรื่องมะม่วง มันต้องมีมาก่อนมะม่วงเกิดบนโลก เอ้าไปคิดกันเองไม่พูดละ


สิ่งที่คล้ายปัญญา แต่มันก็ยังไม่ใช่ปัญญา แถมงี่เง่ายิ่งกว่าเดิมอีก?


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็นสิ่งที่เหมือนปัญญา แต่มันไม่ใช่ปัญญาอ่ะ แล้วมันจะเป็น "ตา" หรือไง? (ตา เป็นชื่อเล่น ของคุณปัญญาครับ) เช่น คนบางคนปฏิเสธทุกอย่างบอกว่าอย่าไปยึดมันเลย อะไรก็ไม่ใช่ ทั้งนั้น อย่างนี้แหละ "งี่เง่าบัดซบ" ไม่ยึดอะไรเลยหรือ? งั้นเอาสมบัติ มาให้ผมละกัน ผมเอาเอง 555 บางคนก็บอกว่าตัดฉับพลันเลย อะไร เกิดปุ๊บ ตัดวงจรฉับพลันเลย ยังงี้ เวลาหิว ก็ตัดฉับพลัน ไม่ต้องกินได้ ไหม? นี่ก็โง่ไปอีกแบบ บ้างก็มีสติรู้ตลอด ต้องรู้มันไปซะหมด อ้าว ถ้า เกิดสติไม่ทันรู้ ไม่รู้ทัน อ้าวผิดอีก เออ ทีนี้มันก็นั่งรู้ เดินรู้ ยืนรู้ อะไรๆ ก็รู้ทั้งหมด ไม่รู้ นั้นทำไม่เป็นซะแล้ว ใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ ก็ไม่ ได้ อันนี้ก็งี่เง่าไปอีกแบบ โอ้ย เยอะแยะอย่าให้ผมพูดเลย สรุปก็คือ ไม่ ต้องไปหาข้อสรุปอะไรกับธรรมะทั้งนั้น สรุปเมื่อไร ได้ความโง่กลับมา ทุกที ชอบหาข้อสรุป จุดจบกันจังว่าสรุปแล้วมันคืออะไร พอจับได้ ก็ ยึดไอ้สิ่งที่จับได้นั่นต่ออีก นี่แหละ มันถึงไม่จบเสียที เป็นแมววิ่งไล่จับ หางตัวเอง มันจะจบได้อย่างไรกัน ในเมื่อมันพยายามจะ "จับความ ธรรม" ให้ได้ข้อสรุป ให้ได้อะไรสักอย่าง เช่น ฉันสรุปได้แล้วว่า ไม่ยึด สักกะอย่าง อะไรแบบนี้ ก็มี, บ้าง ก็ไปสรุปว่า ก็ปล่อยวางทุกอย่าง สิ มันไม่ใช่ แต่ก็ไม่เชิง ทั้งนั้นแหละ ดูเหมือนจะใช่ แต่ไม่ใช่ ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่ แต่มันก็เกือบๆ จะใช่ นั่นแหละ ถึงบอกว่าไม่ต้องไปสรุปกับมัน


ภัยมืดที่ครอบงำผู้ต้องการเป็น "พระอรหันต์" เขาก็ปั้นให้เป็นได้ทั้งนั้น


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็น "กระบวนการปั้นพระอรหันต์เทียม" เหมือน กับการปั้นพระพุทธรูป, หล่อพระ ฯลฯ นั่นแหละ มันก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จริงๆ หรอกนะ แต่คนก็นิยมชมชอบกัน เหมือนกันเลย พระอรหันต์เทียม นี่ก็เหมือนกัน มีอยู่เกลื่อนบ้านนี้เมืองนี้ไปหมด ไม่ต่างอะไรกับ "นาฬิกา โรเล็กซ์ปลอม" นั่นแหละ เพราะอะไร? เพราะคนบ้านนี้เมืองนี้ ชอบของ ปลอมกัน ทั้งนิยมชมชอบ, ทั้งยอมรับ และทั้งปกป้อง และสร้างภาพว่า ไม่มีหรอกของปลอม ทั้งๆ ที่ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งโลกแล้วว่าเป็นแหล่งของ ปลอม ปลอมได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งนายกฯ ยังไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม หรือ นายกตัวจริงอยู่ดูไบ ก็ไม่รู้? ผู้หญิงเดินไปเดินมาบนถนน ยังไม่แน่ว่าอาจ เป็น "ผู้หญิงปลอม" ก็ได้ หมอศัลยกรรมเขาก็ทำได้ ทุกอย่างปลอมหมด ของจริงมีมั้ย? "มี" แต่ไม่มีโอกาสได้เกิด เพราะคนชอบและยอมรับของ ปลอมไปแล้ว แม้กระทั่งอรหันต์ ก็ปลอมกันได้ พระเจ้าจักรพรรดิ ก็ปลอม กันได้ ปลอมได้ทุกอย่าง ประเทศนี้จึงเป็นประเทศแห่งความลวงโลกและ ความ "จอมปลอม" อ้าว ที่ผมพูดนี่ ไม่ได้ต้องการจะทำลายภาพลักษณ์ อะไรหรอกนะ พูดให้ตื่น ให้คิด ให้ได้ปัญญา ให้พัฒนาให้ดีกว่านี้ต่อไป มิ ได้ต้องการลบหลู่อะไรท่านเลย เพราะท่านแตะไม่ได้กันอยู่แล้ว ถือว่า "ติ เพื่อก่อ" ก็แล้วกัน รู้แล้วก็ไปทำให้มันจริง จะปกป้องของปลอมไปทำไม!


ภาคมืดปั้นคนให้เป็น "พระอรหันต์" ได้อย่างไร?


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็นว่าภาคมืดเขาปั้นคนให้ เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร? ไม่ยากเลยครับ มันก็ เริ่มต้นจากเลือกคนที่คล้ายๆ พระอรหันต์มาหน่อย แล้วก็หาคนมาเยอะๆ มาแห่ห้อมล้อม เชื่อกันว่ามัน คืออรหันต์ และห้ามแตะนะ แตะไม่ได้ แตะแล้วผิด บาป "ไอ้ มุขห้ามแตะ" นี่ มันใช้กันได้ดี ในเมืองนี้ แตะไม่ได้ นี่ อ้าว แล้วแต่ อยากไม่ให้ใครแตะก็เอา จะได้เหมือน "ขี้ก้อนหนึ่ง" หรือ "หมาเน่าตัวหนึ่ง" ที่ไม่มีใครเขาอยากแตะ เพราะมันน่ารังเกียจ ไม่คิด จะให้ใครเจียรไนเลย ก็เอา ไม่อยากให้ใครเขามา ตำหนิเลยก็เอา จะได้ไม่ต้องเป็นเพชรกะเขา เพราะ หาช่างมาแตะ มาเจียรไน มาตำหนิอะไร ไม่ได้เลย ก็เอา จะได้เป็นก่อนขี้ เป็นหมาเน่ากันทั้งประเทศไป ไม่ต้องเป็นเพชรกะเขาแล้ว เหลวแหลกกันไป เพราะ อะไรก็ "แตะไม่ได้" นี่ละ เดี๋ยวนี้ มันมีพร้อมแล้วนี่นะ จะใช้เงินซื้อโหษณาประชาสัมพันธ์ปั้นให้ใครเชื่อว่า ใครเป็นอรหันต์ กันก็ได้ทั้งนั้นแหละ แถมถ้าไม่เชื่อ ก็ จะเป็นบาปกรรมอีก หาว่าลบหลู่อีกนั่น เอาละ ไม่ว่า กันละ พูดให้ฟังเฉยๆ ใครอยากจะเชื่ออะไร? นับถือ ก้อนขี้หมา, ไหว้ตอไม้ขอหวยอะไร ก็ทำกันไปเถอะ ใครทำอะไร ก็ได้อย่างนั้นเองนั่นแหละ ยุคก่อนสุโขทัย มานี่ ย้อนยุคไปเกือบ 1,000 ปี เขาเจริญกว่านี้ เพราะ อย่างน้อยเขาก็เลือกไหว้เทพเจ้าฮินดู ไม่ไหว้ ไม่หลง เชื่ออะไรก็ได้ ที่ให้หวยกูได้แบบนี้ เหมือนนางกากี ไม่ เลือกผัว เขาให้ไก่ชิ้นหนึ่งเอาแลกเป็นเมีย มันก็เอา ก็ ได้กันไป ไม่เลือก ไม่รู้จักเลือกที่จะรัก จะศรัทธาอะไร กันแล้ว ก็ทำกันไป ตามใจชอบ ก็แล้วกัน ลูกหลานนาง กากี แค่เขาให้หวยได้ ก็ยอมไปกราบไหว้บูชา โดยไม่ เลือกว่าสิ่งนั้นเป็นเทพหรือปีศาจ ด้วยซ้ำไป นั่นแหละ คนสมัยนี้ ก้าวหน้ากว่ายุคขอมเรืองอำนาจมากว่าพัน ปี ยังไม่ต่างอะไรกับสมัยยุคหิน เห็นอะไรแปลกๆ ก็ไป ไหว้ ไปนับถือว่าเป็นเทพเจ้ากันหมด เออ นี่มันเจริญขึ้น หรือว่าล้าหลังลง ก็ลองดูกันเอาเองเถิด เจ้าประคุณเอ๋ย


ทำไมธรรมะเขาไม่มีคำอธิบาย ก็เพราะมันทำให้เบี่ยงเบนได้อย่างนี้?


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็นว่าธรรมะที่แท้จริง เขาไม่มีคำอธิบายเพราะ อะไร? ไม่ใช่เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้หรอก จะให้อธิบายมันก็ ทำได้ แต่จะให้มันตรงเป๊ะๆ เลยนี่ไม่ได้ หรอก เขาถึงว่าธรรมแท้ไม่มี คำอธิบาย เพราะมันมี "ตัวที่ชอบเอาคำอธิบายไปใช้" โดยที่ไม่มี ไม่ ได้ปัญญาก่อนจริงๆ เช่น พวกพราหมณ์ฤษีบางพวก (ไม่ใช่ทุกคนนะ) ชอบมาเอาข้อสรุป หรืออะไรที่อ่านแล้วเข้าใจ ไปสอนคนอื่นเขาต่อทั้ง ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย พวกนี้ เข้าใจอะไรได้ง่าย หรือเร็วกว่า เขาหน่อย ก็เลย "ตั้งตัวเป็นครูคนอื่น" ที่เข้าใจอะไรได้ยาก หรือเข้าใจ ทีหลัง ก็เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้ มีปัญญาอะไรจริงๆ ดังนั้น เขาจึงไม่นิยม จะบอกว่าสรุปแล้วนิพพาน เป็นอย่างนั้น หรือเป็นอย่างนี้อะไรกัน ด้วย พอมีข้อสรุปแล้ว เดี๋ยวก็จะมี "พวกเอาข้อสรุปไปใช้เป็นแบบเรียนต่อ" ซึ่งมันไม่อาจจะทำได้อย่างนั้น การบรรลุธรรมมันไม่อาจเกิดได้เช่นนี้ ต่อให้เอาข้อสรุปที่ใช่ ตรงมากๆ ไปเรียนต่ออะไรกัน มันก็ได้แค่ความ รู้ ความเข้าใจ เท่านั้นเอง มันไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ยิ่งพวกที่ชอบมา อ่านของคนอื่นแล้วไม่ได้นับถือเจ้าของ ต้นสายธรรม เพราะตัวเองนี่ หลงตัวเอง ว่าจะไม่ก้มหัวให้ใคร ไม่ยอมเป็นศิษย์ใครอยู่แล้ว แอบมา ขโมยอ่านของเขา เข้าใจแล้วก็ไปตั้งตัวเองเป็นครู แบบนี้ นี่มีอยู่มาก โดยไม่รู้ว่าต้นสายธรรม เขามีกลไกลควบคุมธรรมของเขาอย่างไร? บางพวกเอาไปฝึกเอง ขโมยไปทดลองทำเอง สิ่งไม่ดีเข้าตัวก็มีมาก นั่นหละ ธรรมะมันมีกลไกลควบคุมภายในมันเอง มาแอบลักขโมยไป มันไม่ได้ดอก สุดท้าย ก็ต้องจ่ายคืน อยู่ดี เอาละ ไม่พูดมากละ หวังว่า คงเข้าใจคำกล่าวที่ว่าทำไม ธรรมะไม่อาจอธิบายได้ จะให้อธิบายมัน ก็ได้ แต่มันจะไม่ได้ธรรมจริงๆ กัน ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ คงเข้าใจแล้วสินะ


8 ก.ย. 2555

"เสียงจากสามท่าน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"เงาที่ติดตามคุณอยู่" เป็นเจ้ากรรมนายเวร หรือภูติผีปีศาจแบบใด?

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ คือ เรื่องจิตวิญญาณที่มักติดตามเราเช่น เงาตามตัว ในทางอียิปต์โบราณเขาก็ จะนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของ เขาด้วย เรียกว่า Shadow เหมือนกับ ขันธ์ห้าในพระพุทธศาสนาเลย (แต่ไม่ ใช่ขันธ์ห้านะครับ) เอาละ ลองมาดูกัน ถึงรายละเอียดแบบง่ายๆ สบายๆ ครับ


คนที่หมดพลังบุญมีแต่พลังกรรมจะมี "เจ้ากรรมนายเวร" เป็นเงาตามตัว


อย่างแรก ผมอยากยกตัวอย่างกรณีที่ง่ายที่สุด ที่ท่านมีพื้นฐานความรู้กัน มาบ้างแล้วคือ "เงาในกรณีที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร" นะครับ เขาจะมาถึงที่ ตัวเราได้ เมื่อเราหมดบุญ และมีกรรมเข้าถึงตัวครับ เขาจึงมาติดตามใกล้ๆ เรา เพื่อที่จะได้ทำให้เราได้รับเหตุเภทภัยต่างๆ ตามแต่อำนาจของพวกเขา จะสามารถดลบันดาลได้ครับ ดังนั้น เจ้ากรรมนายเวรก็มีหลายระดับนะครับ ถ้าเราไม่ยอมรับกรรมระลอกแรก เล่นงานเจ้ากรรมนายเวรไปหมดได้ แต่มี พลังกรรมอยู่ เรายังชำระสะสางไม่หมดพลังงานนั้นจะจูนเอาเจ้ากรรมนาย เวรกลุ่มใหม่ที่มี "อำนาจมากกว่ากลุ่มแรก" มาเรื่อยๆ เป็นลำดับไปครับ ถ้า เรายอมรับแต่โดยดี ก็จะได้รับเบาๆ ครับ แต่ถ้าเราดื้อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลา ที่เราต้านทานพลังกรรมไม่ไหว มันจะเหมือนน้ำในเขื่อนที่ถูกขวางกั้นไว้ให้ นานก็จะมีมากขึ้น แรงขึ้น และเลวร้ายกว่าการยอมรับง่ายๆ เหมือนผ่อนส่ง ดอกเบี้ยเงินกู้ทีละน้อย ค่อยเป็นไปครับ มันจะโดนตูมเดียว แรงๆ ไปเลยพอ นึกภาพออกใช่ไหมครับ เอาละ นี่คือกรณีแรกที่เงาตามตัวเราเป็นลบต่อเรา


คนที่หมดพลังบุญและกรรมแต่มี "บารมี" จะมีเงาตามตัวเป็นอย่างไร?


ต่อไป ผมอยากยกตัวอย่างกรณีที่ไม่มีทั้งพลังกรรมและพลังบุญ แต่มี "บารมี" บ้างละ แล้ว "เงาตามตัวเขาจะเป็นอะไร?" คำตอบง่ายมาก ก็ คือ ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร และไม่ใช่เทพผู้อำนวยโชคดีครับ แต่จะเป็น "จิตวิญญาณ" ที่มาอาศัยบารมี ตามแต่บารมีนั้นจะสอดคล้องรับไว้ได้ เช่น ถ้าเป็นบารมีแบบพระกษิติครรภ์ก็จะรองรับ "สัตว์จากอบายภูมิ 4" ได้ครับ ได้ทั้ง สัตว์นรก, เปรต, อสุรกาย ฯลฯ เช่น พระที่มีจิตเมตตา มี บารมีแบบนี้ บางที ยังไม่ถึงวาระบุญจะเข้า เทพยังไม่มาประจำการณ์ ยังไม่มีเทพแบบเทพวานรมาช่วยดูแล แต่จะมีเปรต, สัตว์นรก ฯลฯ มา รายล้อมรอบได้ เมื่อมีคนไปทำบุญก็จะมีเปรตเกาะไปกับคนทำบุญ ซึ่ง ส่งผลให้คนทำบุญ ต้องมีชีวิตที่แย่ลง เช่น ประหยัดเกินไป, สมถะเกิน ไป คิดว่าดีและถูกต้อง ที่ไหนได้ เปรตครอบงำดลจิตดลใจให้ประหยัด แบบไม่ถูกวิธี ก็มีครับ อันนี้ ก็แตกต่างกันไปตามบารมีนะครับ บางท่าน ก็มีบารมีโปรดมาร, โปรดสัตว์ในภพมืด คนที่เข้ามาร่วมบารมีด้วย อาจ ได้รับมารแทรกร่างไปแทน ทว่า มารก็ยังดีกว่าเปรตนะครับ อย่างน้อย ก็เป็นผู้ทำบุญมาก มีบุญเลี้ยงตัวได้อยู่ เอาละ นี่แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น


คนที่มีพลังบุญ (ไม่มีกรรม) แต่ไม่มี "บารมี" จะมีเงาตามตัวเป็นอย่างไร?


ต่อไป ผมอยากยกตัวอย่างกรณี คนที่มีพลังบุญเสวยอยู่ ยังไม่ได้รับกรรม ในช่วงนี้แต่ไม่มี "บารมี" เขาจะมี "เงาตามตัวเป็นอะไร?" คำตอบก็ง่ายนะ ครับ คือ เทพผู้อำนวยผลบุญให้นั่นเอง จะคอยตามมาทำหน้าที่อำนวยผล บุญให้ตามที่เขาควรจะได้รับนั้นๆ อันนี้ ก็คงไม่ต้องอธิบายมาก แล้วถ้าใน กรณีที่ผู้มีบารมี ตกเคราะห์ได้รับวิบากกรรมบ้างละ จะเป็นอย่างไร? อาทิ เช่น พระพุทธเจ้ามีกรรมถึงตัวท่านๆ ก็จะใช้บารมีเท่าที่มี สามารถทำให้มี กรรมแบบเบาบางลงได้บ้างนะครับเช่น ใช้ขันติบารมี อดทนต่อคนที่มาต่อ ว่าพระองค์ ไม่นานเท่าไรก็จบครับ แต่ถ้าไม่มีขันติบารมีคงจะว่าตอบโต้กัน ไปมาไม่รู้จบ กรรมที่จะเบา ก็คงหนักขึ้นใช่ไหมครับ อันนี้ เล่าเป็นของแถม ก็แล้วกัน เพื่อจะได้เห็นภาพรวมครบเหมือนได้ต่อจิ๊กซอว์ครบทุกตัวน่ะครับ


คนที่มีพลังบุญ (ไม่มีกรรม) และมี "บารมี" จะมีเงาตามตัวเป็นอย่างไร?


ต่อไป ผมอยากยกตัวอย่างกรณี คนที่มีพลังบุญเสวยอยู่ ยังไม่มีกรรมสู่ ตัวในช่วงนี้ และมี "บารมี" เขาจะมี "เงาตามตัวเป็นอะไร?" คำตอบก็คือ นอกจากเขาจะมีเทพอำนวยผลบุญให้แล้ว เขาก็จะได้เทพที่ติดตามร่วม บำเพ้ญบารมีด้วยครับ ไม่ใช่เทพมาแค่ช่วงหนึ่งแล้วหายไปตามแรงบุญ แล้ว อันนี้ แตกต่างจากท่านที่มีบารมีแต่พลังบุญยังไม่เข้านะครับ กล่าว คือ ถ้าท่านไปหาท่านที่มีบารมีเหมือนกันแต่คนหนึ่งไม่มีบุญ กรรมยังมา ถึงตัวท่านอยู่ ท่านก็อาจจะได้ "เปรต" กลับมาอยู่ด้วย ก็ได้ แต่ถ้าท่านนี้ (ผู้มีบารมี) อดทนเก็บตัวสักระยะ รอให้เสวยวิบากกรรมหมดแล้ว และมี พลังบุญเข้ามาแล้ว จิตวิญญาณชั้นต่ำ ก็จะไม่เข้ามาอีก แต่จะเป็นเหล่า เทพที่ดีเข้ามาแทน ถ้าเราไปพบท่านเหล่านั้นในช่วงนี้ เราก็จะได้พลังที่ ดีติดตามมาได้เหมือนกันนะครับ และจิตวิญญาณเทพที่ดีเหล่านี้ อาจจะ ดลจิตดลใจเราให้ติดตามท่านผู้นั้น เพื่อร่วมบำเพ็ญบารมีด้วยกันไปเลย ก็ได้ครับ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรม-บำเพ็ญบารมี บางท่าน แม้ว่าได้ถึงธรรม แล้ว บางท่านจำต้อง "เก็บตัว" สักระยะหนึ่งนะครับ รอให้วิบากกรรมได้ สิ้นไปก่อน แล้วผลบุญเข้าแล้วก็ค่อยออกไปโปรดสัตว์ ก็ได้ผลดีกว่าครับ


ท่านจะทราบได้ว่า "เงาตามตัวท่านเป็นอย่างไร?" ด้วยการสังเกตุดังนี้


ต่อไป ผมอยากจะแนะนำเทคนิกในการสังเกตุดูว่า "เงาติดตามตัวของ ท่าน" นั้นเป็นอะไร? เอาละ ง่ายมากเลย ท่านเคยสงสัยมั้ยว่า มันมีบาง อย่างเกิดขึ้นรอบๆ ตัวท่าน บ่อยๆ ซ้ำๆ และไม่รู้จะอธิบายเหตุผลอย่าง ไร? เช่น คนรอบข้างตัวท่านที่เข้าหาท่าน มักเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว ทว่า พอเข้าหาท่านไม่นาน ก็จะมีเรื่องกับสามีและอาจถึงขั้นหย่าร้างกันเลย เช่นนี้บ่อยๆ พอเป็นหม้ายแล้ว ก็มาหาท่าน ท่านเจอแต่แบบนี้ รายล้อม รอบท่านไป ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็มี ประจำ? เอาละ นี่แหละ "เงาประเภท หนึ่ง" ที่ท่านมองไม่เห็น แต่เกิดขึ้นรอบตัวท่านจริงๆ อย่างในกรณีนี้ ก็ คือ "ผีแม่หม้าย" นั่นเอง เห็นชัดมั้ยครับ ทว่า เป็นจิตวิญญาณที่มีฤทธิ์ มากนะครับ ไม่เหมือน เปรต, ปอบ, กระสือ อันนั้นชั้นต่ำ ไม่ค่อยมีฤทธิ์ อะไรหรอก มีได้ พบได้ ในท่านที่มีบารมีแต่มีกรรมเสวยอยู่ ในพระบาง รูป มีคนไปรายล้อมท่านเยอะครับ แล้วทั้งหมดก็บ้าทำบุญ แต่มีจิตเป็น "มิจฉาทิฐิ" หลงทาง มีธรรมบิดเบือนผิดเพี้ยนหมดเลย เอาละ ทายสิ! ว่าท่านนี้มี "เงาตามตัวเป็นอะไร?" แหม ง่ายมากเลย "มาร" นั่นเอง ที นี้วัดของมาร ก็จะมีระเบียบเรียบร้อย สวยงามมาก สะดวก ครบครันไม่ ต่างจากสวรรค์ชั้นสูงสุด คือ ชั้นที่หกเลย นั่นแน่ ชัดมั้ยละครับ เอาละ ยังมีพระที่มี "เงาตามตัว" เป็นอะไรอีกหลายแบบนัก ดูไม่ยากแล้วใช่ มั้ยละครับ ทีนี้ ท่านก็ "คิดดีๆ เลือกดีๆ" ว่าพร้อมควรไปหาท่านเหล่านี้ แล้วหรือยัง? หรือควรรอให้ท่านผ่านพ้น "ช่วงเสวยกรรมไปก่อน" มั้ย?


ภูติในกายของท่าน (Ka) และ เงาตามตัว (Shadow) ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน


ต่อไป ท่านควรจะแยกแยะระหว่าง "ภูติประจำตัวของท่าน" และ "เงาที่ ติดตามท่าน" ให้ได้ สิ่งที่แยกได้ชัดที่สุดคือ "ภูติประจำตัวท่านจะอยู่ใน ร่างของท่าน" เขาก็คือ ท่านเองนั่นแหละ ที่ถอดกายทิพย์จรเข้าออกไป จากร่างได้ ส่วน "เงาที่ติดตามท่าน" นั้น ก็จะไม่อาจแทรกเข้ามาในร่าง ท่านได้ เขาจึงต้องแทรกในร่างของ "คนที่ติดตามหรืออยู่รายล้อมท่าน" แทน เช่น ถ้าพระรูปหนึ่งมีบารมี ทำให้เปรตตามขอส่วนบุญเป็นแถวๆ ก็ จะมีภูติในร่างแบบหนึ่ง ส่วนเปรตเหล่านี้เข้าร่างท่านไม่ได้ แต่จะคอยมา แทรกเข้าร่างของคนที่อยู่รายล้อมรอบตัวแทน หรือคนที่ไปทำบุญแล้วมี จิตเปิดรับท่านพอดี เปรตที่อยู่รอบๆ ก็แทรกเข้าได้ครับ ท่านพอจะเข้าใจ ถึง Ka และ Shadow แล้วใช่ไหมว่ามันไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ยังมีคำ ว่า "Ba" ซึ่งไม่ได้อยู่ในร่างสังขารของท่าน แต่เป็นตัวตนในมิติที่สูงขึ้น ของท่าน ที่สว่างไสวคอบนำทางท่านอยู่เบื้องบน นั่นเอง หรือเทพประจำ ตัวของท่าน ก็ว่าได้ ท่านพอจะเห็นความสัมพันธ์ของจิตวิญญาณทั้ง 3 แบบนี้แล้วใช่หรือไม่? เอาละ ทีนี้ ท่านอาจมีประสบการณ์แบบว่าไปเจอ คนมีฤทธิ์มีบารมี เขาจี้ทักท่านว่าจะป่วย แล้วท่านก็ป่วยจริงๆ เลย บ้าง มั้ย? เอาละ บางท่านอาจมีญาณหยั่งรู้อนาคตทำนายแม่นได้จริง ทว่าก็ ไม่ใช่ทุกท่าน จริงอยู่ว่า "รูปการณ์เปลือกนอก" มันแสดงออกมาชัดเจน ว่าเขาทำนายแม่นยำ แต่แท้แล้วไม่ใช่เรื่องดวง และการทำนายเลยครับ มันคือเรื่อง "การกระทำทางพลังจิต" โดยตรง กล่าวคือ เขาจี้ทักคุณให้ เปิดรับ "จิตวิญญาณสัตว์นรก" ที่เป็นเงารอบตัวเขา คุณรับไปแล้วก็จะมี อาการป่วยเกิดขึ้นได้ ไม่ยากเลยครับ เอาละ คุณเข้าใจเรื่องพลังจิตมาก ขนาดนี้แล้วก็อย่าตกเป็นเหยื่อของ "นักพลังจิตด้านลบ" เหล่านี้เลยครับ


เงาตามตัว (Shadow) จะทำสิ่งที่ขัดแย้งหรือตรงข้ามกับท่านเพราะ?


สุดท้าย ท่านควรจะทราบคือ เงาตามตัวเหล่านี้ เขาไม่ใช่แสงสว่างใน ตัวท่าน เมื่อท่านสว่างไสวแล้ว ท่านคิดอย่างทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่ดี งามมากมาย แต่เงาเหล่านี้คือสิ่งตรงข้าม ที่จะทำให้ท่านกระทำออก ไปแล้ว ไม่เป็นไปอย่างที่คิด มันจะตรงกันข้ามครับ เหมือนแสงกับเงา ไงละ เช่น เมื่อท่านปรารถนาดีอยากช่วยชาวบ้านอัมพวาให้มีรายได้ ต่อเนื่องทุกวัน (จากเดิมแค่วันหยุด) ท่านก็เลยคิดว่าจะสร้างโรงแรม ให้มีนักท่องเที่ยวาพัก จะได้มี "นักท่องเที่ยวมาประจำ" ตลอดทุกวัน ชาวบ้านก็ได้มีรายได้ต่อเนื่อง กิจกรรมตลาดน้ำ ก็จะได้มีทุกวัน นี่คือ การส่งเสริม อย่างที่ท่านคิดว่าดี ทว่า เมื่อมี "เงา" เหล่านี้มาร่วมด้วย ผลจะตรงข้ามเลยครับ เคยเห็นอะไรแบบนี้ไหมครับ เจตนาดี คิดดีแต่ ทำไม ตั้งใจทำดีแล้ว ผลออกมาตรงกันข้าม เอาละ "ฝากท่านไปเช็ค ดูเงาของท่านเองด้วย" ครับ ว่าตอนนี้ เงาของท่านเข้าข่ายเป็นอะไร?


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยคุณให้สว่างไสวขึ้น สวัสดี


7 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังพิเศษ มีกลไกลควบคุมตามธรรมชาติที่ท่านได้รับแล้ว อาจไม่รู้ก็ได้?

สวัสดีครับ วันนี้ มีเกร็ดเล็กๆ เรื่อง พลังพิเศษและการควบคุมโดยสิ่ง ที่เรียกกันว่า "กลไกลควบคุมตาม ธรรมชาติ" กล่าวคือ ..พลังพิเศษ ทั้งหลาย ล้วนแต่มีกลไกลควบคุม ที่เราอาจไม่รู้หรือมองไม่เห็นอยู่จึง สามารถควบคุมผู้ที่มีพลังพิเศษ ผู้ ที่ได้รับพลังพิเศษได้ อย่างไรบ้าง? วันนี้ เราจะมาคุยเรื่องนี้กันนะครับ


พลังพิเศษที่ท่านได้รับ อาจทำร้ายท่านเอง ถ้าท่านใช้ไปอย่าง "ผิดครู"


อย่างแรกที่ต้องบอกท่านก่อนคือ เมื่อท่านได้รับพลังพิเศษไปแล้ว นำไป ใช้ผิดทาง ท่านก็อาจได้รับผลร้ายได้อย่างที่ท่านไม่คาดคิด เพราะท่าน อาจไม่ทราบว่าพลังพิเศษเหล่านี้ มีกลไกลควบคุมอยู่ตามธรรมชาติ ถ้า ท่านนำไปใช้มากเกินไปจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านเอง? หรือนำไปใช้ทำสิ่ง ที่ผิด จะเกิดผลอย่างไรกลับมา? การนำพลังพิเศษไปใช้อย่างผิดทางนี้ ผมขอยืมใช้คำว่า "ผิดครู" ก็แล้วกันนะ คนไทยคงคุ้นเคยดี ซึ่งพลังอัน นี้มันมีลักษณะที่ "ถูกควบคุม" ในแบบที่แตกต่างกันออกไปครับ กล่าว คือ พลังพิเศษแต่ละอย่างถูกควบคุมในแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่า พลังทุกชนิดแหละครับ มันมีธรรมชาติที่ถูกควบคุมอยู่ในตัวมันเองด้วย ทว่า ท่านอาจไม่ทราบ จนกว่าท่านจะ "เลยขอบเขต" ของการใช้พลัง พิเศษนั้นๆ ไป ท่านก็จะได้รับผลกระทบอันนั้น และก็ทำให้ท่านสำนึกได้


พลังพิเศษประเภทที่ถูกควบคุมโดย "บารมีธรรม" ใช้ธรรมควบคุมยังไง


ต่อไปที่จะบอกท่านคือ พลังพิเศษประเภทแรกที่ผมจะกล่าวถึงนี้ ถูกควบ คุมโดย "บารมีธรรม" หมายความว่า ถ้าท่านมีบารมีธรรมมาก ท่านก็จะ เรียนรู้ได้มาก แต่ถ้าท่านมีบารมีธรรมน้อย ก็จะเรียนรู้ได้น้อย แต่ถ้าท่าน ฝืนเรียนรู้เพื่อให้ได้พลังพิเศษ ท่านอาจจะได้ฤทธิ์เดชเพิ่มมากจริงแต่ว่า ท่านจะถูกพลังพิเศษนั้นทำร้ายท่านเองจากภายใน หรือหากท่านอยาก ได้ฤทธิ์เดชมากขึ้นโดยการดัดแปลงเอาเอง ท่านก็จะต้องรับผลจากการ ทดลองด้วยตัวเอง โดยเอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ในสิ่งที่ท่านคิดเอง ดัด แปลงขึ้นใหม่นั้น ผลร้ายทั้งหมด ท่านก็จะได้รับมันไปเองทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่ ผมกล่าวถึงนี้มันจะสนองผลในอนาคต ที่ท่านอาจจะยังไม่ทันสังเกตุเห็น สำหรับท่านที่ฝึกพลังพิเศษแบบนี้ ท่านจะพัฒนาก้าวหน้าสูงขึ้นไปได้ จะ ต้องมี "บารมีธรรม" เพิ่มขึ้นหรือหากท่านพัฒนาฤทธิ์เดชเพิ่มขึ้นไปแล้ว จะต้องใช้พลังธรรมที่มากกว่า "ควบคุมฤทธิ์เดช" เอาไว้ด้วย ไม่เช่นนั้น พลังพิเศษเหล่านั้น ก็อาจย้อนหวนมาทำร้ายตัวท่านเองได้เช่นเดียวกัน?


พลังพิเศษประเภทที่ถูกควบคุมโดย "บุคคล" ใช้บุคคลควบคุมกันยังไง


ต่อไปที่จะบอกท่านคือ พลังพิเศษประเภทต่อไปที่ผมจะกล่าวถึงนี้ จะถูก ควบคุมโดย "บุคคล" หมายความว่า จะมีบุคคลอื่นที่เข้ามาควบคุมผู้ที่ ได้รับพลังพิเศษเหล่านั้นอีกที ซึ่งมักไม่ใช่ใครอื่นไกล มักเป็นเหล่าผู้ได้ รับพลังเหล่านั้นเอง นั่นแหละ เช่น ผู้ที่ได้รับพลังพิเศษอาจมีมากกว่า 1 คน หรือเป็นคู่ๆ ทั้งสองคนจะได้รับพลังพิเศษที่ตรงกันข้ามกันเช่น ขณะ ที่คนหนึ่งได้รับพลังสายร้อน คนหนึ่งอาจได้รับพลังสายเย็น คนหนึ่งได้ รับพลังเสื่อมสลาย คนหนึ่งอาจได้รับพลังฟื้นฟูสภาพ เป็นต้น ซึ่งการใช้ "การควบคุมอิทธิฤทธิ์" แบบนี้ พบได้บ่อย และคนที่ควบคุมกันเอง ก็มัก มาจาก "สายธรรมเดียวกัน" เองนั่นแหละ ที่ควบคุมกันเอง คนนอกสาย ธรรม มักไม่อาจที่จะเข้ามาจัดการอะไรได้ เพราะไม่อยู่ในวงบุญวงกรรม ด้วยนั่นเอง สายธรรมแบบนี้ จึงมักมีลูกศิษย์เป็นคู่ๆ เป็น หยิน-หยาง กัน


พลังพิเศษประเภทที่ถูกควบคุมโดย "ปัญญา" ใช้ปัญญาควบคุมยังไง?


ต่อไปที่จะบอกท่านคือ พลังพิเศษประเภทต่อไปที่ผมจะกล่าวถึงนี้ จะถูก ควบคุมโดย "ปัญญา" หมายความว่า บุคคลจะพัฒนาพลังพิเศษให้ไปสู่ ชั้นที่สูงขึ้นได้จะต้องใช้ "ปัญญาทางธรรม" เข้าช่วยก่อน จึงจะมีฤทธิ์มี เดชมากขึ้นได้ ทว่า เมื่อมีพลังพิเศษมากขึ้นแล้ว ความคิดอยากเอาชนะ อยากทำร้ายใคร อยากใช้พลังพิเศษ ก็ลดลงไปด้วยในตัว กล่าวคือ ยิ่งมี พลังมาก กลับยิ่งไม่อยากใช้พลัง เพราะอะไร? เพราะเขามีปัญญาแล้วมี ปัญญาก่อนที่จะผ่านด่านอิทธิฤทธิ์ได้ นั่นเอง คนที่ได้ปัญญาแล้วก็จะปลง ปล่อยวางมากขึ้นไปเป็นลำดับ จากเดิมที่คิดไม่ดี อยากได้ฤทธิ์มากๆ เพื่อ ไปทำร้ายคนอื่น พอเกิดปัญญาพอปลงได้กลับไม่คิดอยากจะได้ พอไม่คิด อยากจะได้ กลับได้ฤทธิ์เพิ่ม กลับสำเร็จวิชาอะไรแบบนั้น นี่แหละ ที่ผมได้ กล่าวว่าเขาใช้ "ปัญญาควบคุมพลังพิเศษ" อีกที ซึ่งมันเป็นการควบคุมที่ ไม่ต้องมีใครมาควบคุม มันเป็นธรรมชาติของพลังพิเศษชนิดนั้นๆ เอง ที่มี สภาพควบคุมตัวเองโดยปัญญา เช่นนั้น แบบนี้ไม่ต้องใช้ธรรมกดข่ม ด้วย มีปัญญาแจ้งแล้วนั่นเอง (แตกต่างจากประเภทที่ต้องใช้บารมีธรรมกดข่ม)


ท่านที่ฝึกพลังพิเศษทำไมไม่ก้าวหน้า เพราะท่านไม่ทราบการควบคุมนี้


ต่อไปที่จะบอกท่านคือ ท่านที่ฝึกพลังพิเศษบางท่าน ไม่ก้าวหน้าเพราะ ไม่ทราบว่ามี "กลไกลควบคุมตัวมันเองอยู่" เหมือน "หีบสมบัติที่ต้องมี กุญแจ" ไขจึงจะเปิดออกมาใช้งานได้ พลังพิเศษก็เป็นเช่นนั้น ท่านจะ ไขเอาพลังงานพิเศษเหล่านั้นออกมาในแต่ละ "ระดับชั้นที่สูงขึ้นได้" ก็ ต้องทราบก่อนว่า "กลไกลควบคุมเป็นอย่างไร?" และเมื่อท่านทราบจึง สามารถไขกุญแจ ปลดล็อกนั้นได้ ท่านก็จะผ่านด่าน ไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ ดังที่กล่าวแล้วว่า พลังพิเศษบางชนิดต้องมีบารมีธรรมเพิ่มจึงพัฒนาไป ได้ เช่น ถ้าศีลบารมีแก่กล้าขึ้น พลังพิเศษก็จะมีกำลังกล้าแข็งขึ้น ขณะ ที่พลังพิเศษบางชนิด ต้องใช้ปัญญาจึงจะผ่านด่าน มีพลังพิเศษเพิ่มขึ้น ได้ ในขณะเดียวกัน พลังพิเศษบางชนิดกลับผ่านด่าน พัฒนาให้สูงขึ้น ได้ด้วยการใช้ "คนเป็นคู่ๆ ควบคุมกัน" ดังนั้น เขาจึงต้องฝึกเป็นคู่ และ จะเลื่อนชั้นขึ้นได้ พร้อมๆ กัน เพื่อควบคุมกันและกัน (จึงต้องเก่งขึ้นไป พร้อมๆ กัน) ดังนั้น เมื่อท่านทราบแล้ว ท่านก็ลองค้นหาดูว่าพลังพิเศษ ที่ท่านมีอยู่นั้น ถูกควบคุมด้วยกลไกลใด ต้องใช้ "กุญแจพิเศษ" ชนิด ใดจึงจะไขเอาพลังขั้นสูงขึ้นออกมาได้ ทีนี้ท่านก็จะเลื่อนขั้นได้ไม่ยาก


ท่านที่ฝึกพลังพิเศษ ทำไมก้าวหน้าแต่กลับมีสุขภาพกาย-ใจ ที่แย่ลง?


ต่อไปที่จะบอกท่านคือ ท่านที่ฝึกพลังพิเศษบางท่านแม้ว่าฝึกพลังพิเศษ ได้ก้าวหน้าแต่ทำไม จึงมีผลร้ายสนองคืนท่าน ทำไม ท่านยิ่งฝึก ยิ่งเก่ง แต่กกลับยิ่งมีสุขภาพกาย-ใจ แย่ลงหรือมีปัญหาบางประการเกิดขึ้นได้ เอาละ นั่นอาจเป็นเพราะ "กลไกลควบคุม" ที่ผมได้กล่าวถึงนี้เอง ทำให้ ท่านได้รับผลกระทบเช่นนั้น ดังนั้น ท่านควรหยุดฝึกก่อน แล้วจึงทบทวน ดูว่าที่ท่านพัฒนาขึ้นมาได้ ด้วยเพราะเหตุผลใด และท่านก้าวข้ามหรือมี เทคนิกอะไรที่ผิดพลาด จึงทำให้ท่านฝึกแล้วมีปัญหามากมายเช่นนั้นได้ เช่น บางท่านยิ่งฝึกยิ่งมีอาการ "โรคร้อนในกำเริบ" มากยิ่งขึ้น บางท่าน ยิ่งฝึกกลับยิ่งมีอาการ "โรคภูมิแพ้มากขึ้น" หรือบางท่านยิ่งฝึกกลับยิ่งมี อาการ "โรคเครียดเพิ่มขึ้น" ดังกล่าวเหล่านี้ เป็นต้น เอาละ ถ้าท่านกำลัง มีปัญหาเช่นนี้ ท่านควรหยุดฝึกก่อน แล้วลองทบทวนตัวเองให้ดี แล้วค่อย กลับมาฝึกใหม่ให้ถูกวิธีนะครับ แล้วท่านจะผ่านไปสู่ขั้นสูงได้ ไม่มีปัญหา


ไม่มีใครได้รับรู้ก่อนว่าฝึกพลังพิเศษนี้แล้ว จะถูกควบคุมด้วยกลไกลใด?


สุดท้ายที่จะบอกท่านคือ ผู้ฝึกหรือได้รับพลังพิเศษทั้งหลาย ล้วนเริ่มต้น จากการไม่รู้มาก่อนว่าถ้าฝึกพลังพิเศษหรือได้รับพลังพิเศษนั้นไปแล้วก็ จะ "ถูกควบคุมด้วยกลไกลธรรมชาติ" อย่างไร? แต่เมื่อมารู้ทีหลัง บาง ท่านก็ "สายไปแล้ว" จึงต้องหาใครสักคนช่วย "ล้างอวิชาให้" เพื่อจะ เซ็ตระบบพลังงานภายในใหม่ ให้เป็น 0 ก่อน แล้วจึงจะรับ "ธรรม" อัน บริสุทธิ์ถูกต้องได้ ยกตัวอย่างเช่น พระสงฆ์จำนวนมากมายที่อยากจะมี อะไรติดตัว ได้อะไรดีๆ ไปบ้างจากการบวชครั้งหนึ่งในชีวิต บางคนคิดที่ จะธุดงค์ ก็ต้องมีวิชาติดตัวก่อน จึงเอาตัวรอดจากป่าได้ ไปธุดงค์ได้ ทีนี้ ท่านก็จะแสวงหาครูบาอาจารย์กันละ ว่าท่านใดเก่ง ท่านใดมีวิชาดี ท่าน ก็จะไปฝากตัวเป็นศิษย์ "โดยไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้นก่อน" ท่านก็รับเอา วิชาจากครูบาอาจารย์มา ที่ถ่ายทอดสืบๆ กันมา รู้มากบ้าง น้อยบ้าง ครบ บ้าง ไม่ครบบ้าง ถึงที่สุดบ้าง ไม่ถึงที่สุดบ้าง ฯลฯ บางคนมารู้ทีหลังว่าสิ่ง ที่ตนเรียนมานั้นเป็น "วิชานอกรีต" เป็นไสยศาสตร์ที่ใช้กระทำผู้คน และ จะมีฤทธิ์ได้เมื่อมี "จิตวิญญาณร้าย" ที่เราไปหามาเลี้ยงไว้ เมื่อถึงวันคืน ปล่อยของ ก็ต้องปล่อยให้จิตวิญญาณร้ายไปหากินเอง ไม่ปล่อยไป ก็ไม่ ได้ เพราะเขาจะเครียด และดุร้าย จะทำร้ายคนเลี้ยง เรียกว่าของเข้าตัวนี่ เลยต้องปล่อยไป พอปล่อยไปแล้วก็ไปเล่นงานชาวบ้าน ป่วยกันมากมาย ชาวบ้านพอป่วยก็มาหาหลวงพ่อต้นตอปัญหานี่แหละ พอมาหา ก็หาย ก็ เลยเชื่อถือศรัทธากันใหญ่ โดยไม่รู้ว่า "หมอแก้ ก็คือ หมอทำ" มันคือคน คนเดียวกันนั่นแหละ 555 เอาละ มันเริ่มต้นจากไม่รู้ คือ ไม่เจตนา แต่พอ หลวมตัวไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร? ผมจึงนำมาเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ ไว้เตือนใจท่านทั้งหลาย ก่อนที่ท่านอยากจะฝึกพลังพิเศษเอาไว้ให้คิดดีๆ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายฯ นั้น จงรักษาผู้ประพฤติธรรม สวัสดี


6 ก.ย. 2555

"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังแห่งการสร้าง "ตัวตนในมิติต่างๆ" ซึ่งกำหนดได้ด้วย "ตัวคุณเอง"!

สวัสดีครับ วันนี้ ก็เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ เป็นเคล็ดลับในการสร้างตัวตนในมิติที่ ต่างกัน ของท่าน ดังที่ได้เล่าเรื่องมิติที่ เหลื่อมซ้อนกันหลากหลายมิติแล้ว จึง อยากแนะนำถึง "ตัวตนของเรา" ที่อยู่ ในแต่ละมิติ ซึ่งกำหนดได้ด้วยตัวเราเอง ครับ ดังนั้น เราจึงเป็น "ผู้สร้างตัวตน" ในมิติต่างๆ ด้วยตัวเราเอง ดังนั้น เราจึง กำหนดได้ครับว่าเราจะปั้นให้ตัวตนของ เราในแต่ละมิติ เป็นอย่างไร? วันนี้ เราก็ มาคุยเรื่องนี้แบบง่ายๆ สบายๆ กันครับ


"ตัวตนในมิติต่างๆ" ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังจิตของคุณเอง ถ้าไม่นิพพาน?


อย่างแรกที่เราควรเข้าใจก่อนคือ ถ้ายังไม่นิพพาน เราก็จะเป็นผู้สร้างตัว ตนของเราในมิติต่างๆ เองนะครับ ไม่ใช่ใครอื่นมาสร้าง เพียงแต่เราไม่ได้ สร้างแบบวิถีปัจเจกฯ แบบไม่เกี่ยวข้องกับใคร ทุกขั้นตอนของการสร้างนี้ จะมี "ตัวตนมากมายรายล้อม" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ให้เราได้สร้าง ตัวตนของเราโดยอาศัยพลังของ "สัมพันธภาพ" เช่น พลังที่เรากระทำต่อ บุคคลอื่นแล้วสะท้อนย้อนกลับมากลายเป็น "ตัวตนในอนาคต" ของเรา ก็ มีได้ เป็นต้นครับ นี่คือ ลีลาของตัวตนที่ยังไม่นิพพานนะครับ เรากำลังพูด กันในมิติที่ยังไม่นิพพาน และการเกิดขึ้นของตัวตนต่างๆ ในมิติต่างๆ มาก มาย เพื่ออะไรครับ? ก็เพื่อ 1. ถ้าคุณยังไม่รีบนิพพาน คุณจะได้เข้าใจถึง วิถีการกำหนดตัวตนตัวต่างๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง เช่น ตัวตนในอนาคตและ 2. ถ้าคุณรีบนิพพาน คุณจะได้เท่าทัน และว่องไวต่อการสร้างตัวตนของ คุณเองและจะได้ "หยุด" กระบวนการได้ทันก่อน" ที่ตัวตนนั้นจะถูกสร้าง ขึ้นจนสำเร็จ ดังนั้น การเรียนรู้เรื่องการสร้างตัวตน จึงเป็นเรื่องที่ควรสนใจ


"ตัวตนในมิติต่างๆ" ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังจิตของคุณเอง ถ้าไม่นิพพาน?


ต่อไปที่เราควรเข้าใจก็คือ ถ้าคุณยังไม่รีบ "นิพพาน" คุณควรอาจโพส นี้นะครับ เพราะผมจะกล่าวถึงการสร้างตัวตนในแต่ละมิติของคุณ ด้วย ตัวของคุณเองในมิติปัจจุบัน มิติแห่งสังขารและมิติแห่งทิพย์ที่คุณมีอยู่ นี้ คุณทำได้ด้วยตัวของคุณเอง คุณออกแบบ และวางแผนได้ด้วยว่าจะ ให้มีตัวตนมากมายในแต่ละมิติอย่างไร? เช่น สามารถใช้ตัวตนที่คุณมี ความต้องการให้ไปอยู่ในมิติแห่งแสงสว่าง สัก 1 ตัวตน คุณก็สามารถ ที่จะสร้างได้ หรือถ้าต้องการให้มีตัวตน "ภาคมืด" บ้าง สัก หนึ่ง ตัวตน เพื่อที่จะเชื่อมโยงกับโลกมืด ทำความเข้าใจเหล่าวิญญาณมืดบ้าง คุณ ก็สามารถทำได้ครับ ซึ่งมีหลายวิธีมากครับ เช่น ถ้าคุณมีพลังภายใน ที่ มากพอ คุณก็สามารถแบ่งส่วนพลังงานออกมาได้ แต่ถ้าจิตวิญญาณใน ตัวคุณไม่มีวิวัฒนาการที่สูงพอ มันจะไม่ได้รูปธรรมชีวิตนะครับ มันจะได้ แค่ "เศษส่วนพลังงาน" เท่านั้น คุณสามารถแบ่งส่วนพลังงานให้เกิดขึ้น เป็น "รูปธรรมชีวิต" หนึ่งตัวตนในมิติใดๆ ได้ก็ต่อเมื่อ คุณมีวิวัฒนาการ ทางจิตวิญญาณขั้นสูงพอที่จะทำได้เท่านั้นเช่น จิตวิญญาณระดับพุทธะ เป็นต้น เอาละ ยังมีอีกหลายวิธี ที่คุณจะจัดการกับ "ตัวตนของคุณที่อยู่ ในมิติต่างๆ เช่น การที่คุณชำระล้าง ซักฟอกตัวตนในมิติต่างๆ เพื่อให้มี วิวัฒนาการสูงขึ้น เป็นต้น ซึ่งมันจะส่งผลต่อตัวตนปัจจุบันของคุณด้วย!


หยุดวงจรการสร้าง "ตัวตนในมิติต่างๆ" เสีย ถ้าคุณต้องการนิพพาน


ต่อไปที่เราควรเข้าใจก็คือ ถ้าคุณต้องการ "นิพพาน" ขึ้นมาละ คุณก็ ต้องทำอีกสิ่งที่แตกต่างไปจากการสร้างตัวตนดังที่ผมได้อธิบายมานั้น คือ คุณควรระวังการเกิดขึ้นของ "ตัวตนตัวใหม่ๆ ในมิติต่างๆ" ซึ่งมัน จะค่อยๆ พัฒนาจากพลังจิตระดับอ่อน หรือมวลแห่งกรรมระดับเล็กขึ้น ไปจนกลายเป็น "ตัวตน" ที่แน่นอนชัดเจนขึ้นมา การตัดวงจรนี้ก็คล้าย การคุมกำเนิดนั่นแหละ แต่เป็นการคุมกำเนิดตัวตนของคุณเองในมิติที่ แตกต่างกันออกไป ซึ่งถ้าคุณมีจิตวิญญาณขั้นสูง ที่มีวิวัฒนาการมาก พอ และมีปัญญาสูง คุณก็จะว่องไวต่อการก่อตัวขึ้นของตัวตนต่างๆ ใน แต่ละมิติ และสามารถที่จะหยุดวงจรการเกิดของตัวตนเหล่านั้นๆ ได้ทั้ง หมด ทั้งในระดับที่เกิดจากพลังจิต, พลังจากการกระทำทางกายและวจี ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนมีผลต่อการเกิดขึ้นของตัวตนในมิติต่างๆ ทั้งสิ้น ฟังดูแล้วเป็นเรื่องยากทีเดียวและไม่อาจทำได้จริงคือ แม้คุณจะพยายาม เท่าไร มันก็ต้องมีที่ผิดพลาดขึ้นมาเป็นตัวตนได้สักตัวตนหนึ่ง ในบางมิติ จนได้ละน่า? เพราะอะไร? เพราะถ้าคุณยังไม่มีวิวัฒนาการในระดับที่จะ ทำได้ คุณก็ยังทำไม่ได้หรอก บอกไปก็ทำให้คุณไปเลียนแบบเหมือนลิงที่ พยายามเลียนแบบให้เหมือนคน แต่ลิงไม่ใช่คนจริงๆ หรอกนะครับ ดังนั้น การที่คุณจะทำได้นั้น คุณก็ต้อง "เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ" เสีย ก่อนแล้วคุณจึงจะทำได้โดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องฝึกไม่ต้องเลียนแบบเลย


พลังแห่งการบริหารและเชื่อมโยง "ตัวตนในมิติต่างๆ" เข้าด้วยกัน?


ต่อไปที่เราควรเข้าใจก็คือ ท่านที่มีตัวตนในมิติต่างๆ อยู่มากมายนั้น สามารถที่จะเชื่อมโยงพลังงานของตัวตนต่างๆ เข้าด้วยกัน แล้วยัง สามารถที่จะแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ระหว่างตัวตนต่างมิติได้ด้วย เช่น สมมุติ ผมเขียนเรื่อง "ชัมบาลา" อยู่ ก็อาจมีตัวตนอีกตัวหนึ่ง ของ ผมที่สร้างหนังเรื่อง "ชัมบาลา" อยู่ก็ได้ หรือเวลาที่ผมโพสกระทู้ที่ เกี่ยวข้องกับการเมือง การอาจมีตัวตนที่ตัวหนึ่งของผมที่รับช่วงไป ทำต่อให้มันเกิดขึ้นจริง ก็ได้เช่นกัน นี่คือประสิทธิภาพหลังจากการ เชื่อมโยงตัวตนแต่ละมิติเข้าด้วยกัน โดยที่พวกเราไม่ต้องมาพบเจอ กันเลย พอนึกภาพออกหรือไม่ครับ? คนๆ หนึ่งอาจทำหน้าที่เหมือน "คลังปัญญา" เขามีหน้าที่ถ่ายทอดภูมิปัญญา โดยไม่ต้องลงไปทำ ก็จะมี "ตัวตนหลากหลายมิติ" ทำแทนให้เองทั้งหมด ซึ่งสิ่งที่ผมได้ เขียนอยู่นี้ "ได้เป็นจริงแล้ว" ผมจึงนำมาเขียนนะครับ ดังนั้น ท่านก็ ลองติดตามดูได้ว่าผลงานเขียนของผม จะมีตัวตนตัวใด ในมิติใดที่ นำไปปฏิบัติ และก่อให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา นี่คือ ผลของการที่มี การเชื่อมโยงกันของพลังงานหลากหลายตัวตน หลากหลายมิติไง ละครับ และเราก็จะทราบได้ว่า "ตัวตนตัวอื่นๆ ในมิติอื่นๆ" ของเรา อยู่ที่ใด เป็นใคร กำลังทำอะไรได้บ้าง โดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีเราที่ อยู่เบื้องหลังนะครับ อ่า ฟังดูแปลกๆ แต่มันก็จริงอย่างนั้นแหละครับ


บางครั้งคุณอาจมีความรู้สึกเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้ แต่คุณก็ทำไปอย่างนั้น


ต่อไปที่เราควรเข้าใจก็คือ เมื่อคุณได้เชื่อมโยงพลังงานของคุณเข้าไปใน "ระบบตัวตนหลากมิติ" ได้แล้ว คุณจะได้รับและเป็นผู้ให้ ทั้งพลังงานและ อื่นๆ เช่น ความรู้สึก-นึกคิด, จิตใจ, อารมณ์, ขุมปัญญา ฯลฯ เพื่อแชร์กับ ตัวตนอื่นๆ ในมิติที่ต่างกันนั้น ทำให้บางครั้งคุณอาจรู้สึกได้ถึงความไม่ใช่ ตัวคุณในปัจจุบัน แต่มันเป็นอาจจะเป็นความเป็นตัวคุณในมิติอื่นๆ ที่คุณก็ พอจะเข้าใจได้ เช่น ความเป็นตัวตนของคุณในอดีต, ในอนาคต, ในมิติที่ มองไม่เห็น ฯลฯ คุณอาจต้องทำอะไรบางอย่าง? ที่ไม่ใช่ตัวคุณในปัจจุบัน นัก ทว่า ถ้าคุณเข้าใจถึง "สภาวะหลังได้รับการเชื่อมโยงแล้วนี้" คุณก็จะ สามารถดำเนินบทบาทของตัวคุณเองในแบบ "หลากหลายมิติ" ได้ ซึ่งก็ อาจทำให้คุณรู้สึกแปลกไปจากปกติที่เคยเป็นบ้าง อันเป็นผลมาจากความ เหลื่อมซ้อนกันของมิติที่ต่างกันนั่นเอง เอาละ ผลกระทบนี้คุณอาจได้รับไป บ้าง แต่ถ้าคุณเข้าใจมัน มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณมากเกินไป เช่น ใน ผู้ชายบางคนที่เชื่อมโยงพลังงานของตนเองอย่างเหนี่ยวแน่นกับตัวตนซึ่ง เป็น "สตรีเพศ" ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง เหนี่ยวแน่นมากไปก็ทำให้ผู้ชายคนนั้น คิดว่าตัวเองเป็น "ผู้หญิง" ก็ได้ครับนี่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้หญิงจริงๆ แล้ว เกิดมาในร่างชายหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะ ผลของความเหลื่อมซ้อนกัน ของพลังงานต่างมิติเท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจตรงนี้ เขาก็จะไปแปลง เพศคือ ทำลายตัวตนแห่งเพศชายในปัจจุบันของเขาเสีย ซึ่งผมไม่แนะนำ ให้ทำนะครับ เพราะ "ตัวตนทุกตัวตน" มีหน้าที่ มีเหตุผลของมันที่ต้องเป็น เช่นนั้นเองนะครับ ตัวตนนั้นไม่ได้ผิดอะไร เป็นธรรมชาติของมัน เพียงแต่ ถ้าเราเชื่อมโยงพลังงานกับตัวตนที่หลากหลายได้ เราอาจถูกทำให้คิดว่า เราผิดปกติ เราไม่ใช่เรา เราเป็นตัวอื่น ก็ได้ครับ อันนี้ ไม่ใช่ความผิดปกติ


บางครั้งคุณก็อาจต้องเล่นบทผู้นำบ้าง ผู้ตามบ้าง พระเอกบ้าง ผู้ช่วยบ้าง


ต่อไปที่เราควรเข้าใจก็คือ ในการเชื่อมโยงพลังงานของตัวตนหลากหลาย มิติเข้าด้วยกันนี้ บางครั้ง ท่านก็อาจจะต้องเล่นบท ผู้นำ บ้างในบางครั้ง แต่ ต้องเล่นบท ผู้ตามบ้างในบางคราวหรือบางครั้งคุณอาจเป็นเหมือนพระเอก ในขณะที่บางครั้ง คุณอาจจะต้องเป็นเหมือน "ผู้ช่วย" ที่ไม่โดดเด่นอะไร? เอาละ นี่คือเรื่องปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณได้เชื่อมโยงตัวตนของคุณ เข้าสู่ระบบเครือข่ายฯ นี้แล้ว เพราะคุณจะไม่ได้ทำกิจ โดยตัวตนเดี่ยวๆ อีก ต่อไปแต่คุณจะทำงานเป็นทีม โดยเริ่มต้นจากทีมที่มาจากตัวตนต่างๆ ของ คุณเองในแต่ละมิติที่ค่อยๆ เชื่อมโยงเข้ามาสู่ระบบมากขึ้นเรื่อยๆ เอาละที่ ผมบอกว่า "จะค่อยๆ เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น" เพราะอะไร เพราะว่าแรกเริ่มเดิมที การเชื่อมต่อกันของตัวตนต่างๆ ในมิติต่างๆ อาจมี ปัญหา ตีบตัน เหมือนท่อส่งน้ำ หรือคลองที่ตีบตันหรือตื้นเขินไปนานแล้วก็ ต้องมีการทำอะไรบางอย่าง ให้มันดำเนินสะดวก เชื่อมต่อ เชื่อมโยงถึงกัน ให้ได้ ใช่มั้ยครับ ทีนี้ พอคุณสามารถสร้างระบบนี้ได้ มันจะมีพลังมวลรวม ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ดึงดูดให้เศษเสี้ยว ตัวตนอื่นๆ ค่อยๆ ถูกจูนเข้ามา ถูกดึงเข้า มาในระบบที่ยิ่งใหญ่นี้นะครับ ผมจึงกล่าวว่ามันจะค่อยๆ เข้ามาไงละครับ และเมื่อมีการร่วมตัวเป็นเครือข่ายแล้วแต่ละตัวตนบางครั้งอาจจะเป็นผู้รับ บ้าง เป็นผู้ให้บ้าง เป็นพระเอกบ้าง เป็นผู้ช่วยบ้าง เป็นผู้นำบ้าง ผู้ตามบ้าง ไม่มีสาระอะไรให้ยึดติดครับ มันเป็นการทำกิจโดยส่วนรวม ปรับไปตามแต่ ละสถานการณ์ที่เหมาะสมครับ ดังนั้น คุณไม่ควรยึดติดกับ "หัวโขน" เกิน ไป เพื่อให้คุณสามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบตัวตนหลากมิติฯ นี้ได้ง่ายขึ้น


"ศูนย์กลางแห่งทุกตัวตน" นั้นย่อมไม่ยึดติดในตัวตนใดตัวตนหนึ่งเท่านั้น


สุดท้ายที่เราควรเข้าใจก็คือ ในระบบ "เครือข่ายตัวตนหลากมิติ" นี้ ก็จะมี "ศูนย์กลาง" (Center) ของทุกตัวตนอยู่ แต่การที่ "ตัวตนตัวหนึ่งตัวใด จะกลายเป็นศูนย์กลาง" ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะธรรมชาติของแต่ละตัว ตนก็ต้องการที่จะเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้นำกันทั้งนั้น และอีกประการหนึ่งคือ ศูนย์กลางของทุกๆ ตัวตน จะได้รับและถ่ายทอด พลังงานต่างๆ ให้แก่ตัว ตนอื่นๆ ดังนั้น เขาอาจจะเกิดภาวะสับสนในใจได้มากมาย ถ้าเขามีความ ยึดมั่นในตัวตนปัจจุบันของเขามากไป หรือถูกครอบงำโดยตัวตนอื่นๆ ได้ เขาก็จะได้รับผลกระทบจาก "ภาวะความเหลื่อมซ้อนกันของตัวตนในมิติ ที่หลากหลาย" นี้ ทันที ดังนั้น การไปสู่ "ตัวตนศูนย์กลาง" จึงไม่ใช่เรื่อง ง่าย และต้องมีภาวะอนัตตาอย่างแท้จริง ไม่ยึดติดในตัวตนใดๆ อย่างแท้ จริง เพราะบางครั้ง คุณอาจเหมือนเด็ก, คนแก่, ผู้หญิง, ผู้ชาย ฯลฯ ได้ มากมาย ทั้งๆ ที่คุณก็ยังเป็นตัวของคุณอยู่อย่างในปัจจุบัน เท่านั้นเอง?


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยนำทางคุณถึงที่สุด สวัสดี


5 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ความเหลื่อมซ้อนกันของมิติทางโลกและทางธรรม อาจทำให้คุณได้แม่เป็นเมีย?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล่าเล็กๆ ที่ เป็นเกร็ดความรู้ เรื่อง "มิติ" มาเล่า สู่กันฟังนะครับ คือ มันมีมิติสองมิติ ที่เกี่ยวข้องกันมากๆ คือ มิติทางโลก และมิติทางธรรม ซึ่งมันจะเหลื่อมซ้อน กันอยู่ตลอด และส่งผลต่อวิถีชีวิตของ เรา ทำให้ เรามีวิถีชีวิตที่บิดเบือนเบี่ยง เบนไปจากที่ควรจะเป็นไป อันเป็นผล มาจากการเหลื่อมซ้อนกันของสองมิติ ไงครับ (ถ้ามีผลจากมิติเดียว คงไม่มี ความเบียงเบบนขนาดนี้) เอาละ มา ฟังกันเลยดีกว่าครับ


มิติทางโลก และ มิติทางธรรม ที่เปรียบเสมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?


อย่างแรกเลย ผมอยากให้ท่านทราบถึง ความซับซ้อนของมิติต่างๆ ซึ่งมี ผลเกี่ยวเนื่องกันด้วยทั้งหมด แต่ด้วยความเข้าใจของมนุษย์มีน้อย เขาจึง เข้าใจถึงมิติต่างๆ ได้ทีละมิติเป็นส่วนใหญ่ และทำให้เขาขาดความเข้าใจ ในองค์รวมของทุกๆ มิติ จนเกิดคำถามขึ้นว่าทำไม จึงเป็นเช่นนั้น เพราะถ้า ดูตามมิติใดมิติหนึ่งเดียวแล้ว มันน่าจะได้ผลอีกแบบหนึ่ง แต่ด้วยเพราะใน ความเป็นจริง สรรพสิ่งไม่อาจแยกออกจากมิติใดได้เลย ทำให้การมองสิ่ง ใดก็ตามในมิติเดียวนั้น "ใช้ไม่ได้" หรือทำให้รู้สึกเหมือนว่าเกิดความบิด เบือน คลาดเคลื่อนไปจากความเข้าใจในมิติหนึ่งเดียวนั้นๆ เอาละ อย่างไร ผมก็ต้องคุยกับคุณไปแบบ "ทีละมิติ" เพราะคุณไม่อาจเข้าใจในแบบมิติ องค์รวมได้ โดยผมจะแยกมิติสองมิติออกจากกัน คือ มิติทางโลกและมิติ ทางธรรม ไม่ได้แยกกันจริงๆ นะครับ มันเป็นการ "แยกเพื่อพิจารณา" ก็ เท่านั้นเองและสองมิตินี้แท้จริงแล้วก็แยกกันไม่ออกเลย มันเป็นหนึ่งเดียว กันอยู่ตลอดอยู่แล้ว แต่เพื่อให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมจึงจำต้องทำเช่นนี้ และผลที่ออกมาก็เหมือน "ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน" ซึ่งผมจะพูดต่อไป


กรณีศึกษา "การหย่าร้าง" ของคู่สมรสที่เร็วเกินไป เกิดจากอะไร?


ต่อไปผมอยากจะยกกรณีศึกษา ให้คุณลองพิจารณาง่ายๆ สักหนึ่ง กรณี ก็แล้วกัน คือ ยุคสมัยปัจจุบัน ทำไมคู่สมรสหย่าร้างกันเร็วเหลือ เกิน คำตอบคือ เพราะผลจากมิติทางธรรมส่งมาได้แค่นั้น กล่าวง่ายๆ ก็คือ บุญกรรมส่งผลให้เขาได้เป็นคู่สมรสกันไม่ยืนยาว ได้แค่นั้น แต่ ถ้าเทียบกันคนในยุคก่อนทำไม เขาจึงอยู่กันได้นาน? คำตอบคือ เขา ได้สร้าง "บุญกรรม-บารมี" ในปัจจุบันร่วมกัน เพื่อสานต่อบุญกรรมที่ มีมาในอดีตให้ยืดยาวขึ้นไปอีก นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขามีบุญที่ จะครองคู่อยู่ด้วยกัน 2 ปีแล้วหมดไป แต่ในระหว่าง 2 ปีนั้น เขาได้ทำ บุญ, สร้างบารมีร่วมกันด้วย มันก็จะยืดอายุและทำให้ความเป็นคู่ครอง ของพวกเขา ยืดยาวไปได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่ทำต่อเลยในที่สุด ก็ไม่จีรัง ไม่เที่ยงครับ เป็นความรักที่ไม่ยั่งยืนไปได้ ไม่อาจเอาชนะความไม่เที่ยง ไปได้ครับ ดังนั้น ในกรณีศึกษานี้ เราจะเห็นว่า "ในมิติทางธรรม" นั้นมี ความไม่เที่ยง มีวาระความดำรงอยู่จำกัด แต่เมื่อทำบางอย่างต่อเนื่องก็ จะทำให้มิติทางโลกเกิดเป็นผลยืดยาวออกไปได้ ในฐานะเดิม คือ เป็นคู่ สมรสกันดังเดิม ทว่า ยังมีบางกรณีที่ "สัมพันธภาพเปลี่ยนแปลงไป" ก็ คือ จากเดิมอาจเป็นคู่รัก อาจเปลี่ยนเป็นเหมือนเพื่อนหรือพี่น้องแทน ก็มี อันนี้ เป็นผลจากการเบี่ยงเบนจากความเหลื่อมซ้อนกันของสองมิตินี่เอง


"สถานภาพที่สับสน" ของ "ตัวตนในสองมิติ" อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ต่อไปผมอยากจะยกกรณีศึกษา กรณีที่ผลจากความเบี่ยงเบนของความ เหลื่อมซ้อนกันของสองมิติ ส่งผลให้ "สถานภาพของบุคคล" เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่คู่สมรสหมดบุญกรรมกันแล้ว แต่ได้อาศัยผลบุญ ในปัจจุบันสร้างร่วมกันต่อไป แล้วยังไม่หย่าขาดกันอยู่ในครอบครัวเดียว กันต่อไปแต่ภายใต้ "สถานภาพทางธรรม" ที่เปลี่ยนไป เช่น เป็นพี่-น้อง กัน แทนที่จะเป็นคู่ครองกันเหมือนเดิม ดังนั้น "ตัวตนในมิติของทางโลก" เขาทั้งสองคือ "คู่สมรส" แต่ "ตัวตนในมิติของทางธรรม" เขากลับกลาย เป็น "พี่น้อง" กัน อันนี้ พอเห็นภาพชัดไหมครับ? คิดว่าบางท่านอาจได้มี ประสบการณ์แบบนี้มาบ้างแล้วที่ "สัมพันธภาพของท่านเปลี่ยนไป" แต่ก็ ยังคงดำรงสัมพันธภาพกับใครๆ เอาไว้ได้เช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนสถานะ ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ ยังมีกรณีที่สัมพันธภาพมีความแตกต่างไปจากนี้มากเช่น กรณีที่อดีตชาติ แม่และลูกชาย เคยเป็นสามี-ภรรยา กันมาก่อน แล้วหมด บุญที่จะเป็นแม่ลูกกันในชาตินี้ ทว่า ได้อาศัยผลบุญกรรมแห่งการเป็นสามี ภรรยากันมาในอดีตชาติ เพื่ออยู่ร่วมบุญกรรมกันในชาติปัจจุบันต่อไปอีกก็ จะทำให้สัมภันธภาพของแม่-ลูก เปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับ สามี-ภรรยาได้ แต่โดยทางโลกแล้ว ก็ยังเป็นแม่ลูกกันเหมือนเดิม ตัวตนแห่งความเป็นสามี ภรรยานั้นจะมีเฉพาะในทางธรรมเท่านั้น แต่ในชีวิตจริง ก็จะมี "ความเบี่ยง เบน" เกิดขึ้นได้ด้วย เช่น การที่แม่-ลูกชาย งอนกันบ่อยๆ ราวกับคู่รัก เป็น ต้น ไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมต่างๆ ที่เหมือนกับสามีภรรยากันจริงๆ ก็ได้ครับ (และไม่สมควรจะมีอย่างยิ่งเลยครับ) เอาละ ทีนี้ ท่านพอเห็นภาพของมิติ ทางธรรม (เช่น ผลจากบุญกรรม) อันส่งผลให้เกิดความเบี่ยงเบนของมิติ ทางโลกหรือยัง? ในบางครอบครัว เป็นยิ่งกว่านี้ ในอดีตชาติ พ่อเป็นสามีที่ มีภรรยาสองคน ในชาติปัจจุบัน ภรรยาคนหนึ่งตามมาเป็นภรรยากันอีกได้ ไม่นานก็หย่ากัน แล้วมีภรรยาอีกคนตามมาเกิดเป็น "ลูกชาย" ซึ่งพ่อผู้นั้น เลือกที่จะอย่กับลูกชายแทนภรยา อย่างนี้ ก็มี ฟังดูแล้วซับซ้อนไหมครับ?


จะทำอย่างไรถ้ามิติทางธรรม ไม่หนุนส่งผลของมิติทางโลก (หมดบุญ)


ต่อไปผมอยากจะยกตัวอย่างที่มักเกิดขึ้นและพบได้บ่อยๆ คือ การหมด บุญที่จะมีฐานะใดฐานะหนึ่งร่วมกัน เช่น หมดบุญที่จะได้เป็น เจ้านาย- ลูกน้องกันแล้ว หรือหมดบุญที่จะเป็นพ่อ-ลูกกันเร็วผิดปกติ เช่น เมื่อได้ ให้กำเนิดแล้วก็หมดบุญทันที ลูกก็ตกเป็นกำพร้าทันที แบบนี้ก็มีได้ครับ แล้วจะทำอย่างไรละ ถ้ามิติทางธรรม ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ของท่าน ในมิติทางโลก? มันทำให้ชีวิตของท่านไม่ค่อยแน่นอน และผันผวนมาก จนทำให้รู้สึกถึงความไม่มั่นคงเอาเสียเลย ก็ไม่ยาก เพียงแต่ท่านต้องมี ความเข้าใจในเรื่อง "สัมพันธภาพในมิติทางธรรม" เสียก่อน เช่น ถ้าใน มิติทางธรรม ท่านจะมี "ภรรยา" 2 คน มีบุตรถึง 10 คน ทว่าในมิติทาง โลก ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้แน่ๆ แล้ว ท่านก็สามารถใช้ "สมมุติทางโลก" อื่นๆ ที่เหมาะสม เช่น การให้ตำแหน่ง "เรขานุการ" แก่ภรรยาน้อย (ใน มิติทางธรรม) และการรับเอา "เด็ก 10 คน" เข้ามาทำงานในบริษัท ใน ตำแหน่งต่างๆ เช่นนี้ ก็ได้เช่นกัน เห็นไหมครับ บุญกรรมเก่าหนุนส่งมามี ปัญหาเรื่อง "สถานภาพปัจจุบัน" เราก็หาสมมุติ, สถานภาพใหม่ๆ ที่มัน เหมาะสมรองรับเขา ก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่รับเขา คุณก็อาจจะสูญเสีย ทั้งคน ที่เคยร่วมบุญบารมีกับคุณมาในอดีตไปเลยทีเดียว ใช่มั้ยละครับ อนึ่ง ใน ปัจจุบัน ท่านก็ยังสามารถสร้างบุญบารมีร่วมกับคนที่หมดบุญกรรมต่อกัน แล้วได้ เพื่อที่จะรักษาพวกเขาไว้ด้วย "สถานภาพทางธรรมอื่นๆ" แต่ใน ตำแหน่งทางโลก พวกเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม ก็เท่านั้นเอง ซึ่งวิธีนี้ ท่าน ก็จะไม่ต้องเกิดความผันผวนในชีวิตมากเกินไป ทว่า ท่านจะหมดโอกาส ที่จะได้รับ "คนใหม่ๆ" ที่จะเข้ามาในชีวิตของท่าน "แทนที่คนเก่าๆ" ซึ่ง หมดวาระบุญกรรมกันไปแล้ว อีกด้วย อันนี้ ท่านควรพิจารณาให้ดีๆ ครับ


การเลือก "สัมพันธภาพใหม่" อาจทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปและดีขึ้นได้?


ต่อไปผมอยากจะยกตัวอย่างในกรณีที่คุณไม่ได้เลือกที่จะรักษาสัมพันธ ภาพเดิมไว้ แต่คุณยินดีที่จะยอมให้มัน "จบสิ้นลงไป" ตามมิติทางธรรม เพื่อที่จะเปิดโอกาสตัวคุณเองให้ได้พบกับ "คนใหม่ๆ" ที่จะเข้ามาทำกิจ แทน "คนเก่าๆ" และคุณจะได้สร้างสัมพันธภาพใหม่กับคนใหม่ๆ ได้บ้าง เอาละ มันก็อาจทำให้ชีวิตของคุณ "พลิกผันไปได้" มากมาย เหมือนกับ กลายเป็นคนอีกคนไปเลย เช่น สามเณรที่บวชอยู่นานๆ หมดบุญกรรมนั้น แล้ว จึงสึกกลับได้ภรรยา ที่ส่งหนุนนำให้กลายเป็นนักการเมืองไป แบบนี้ ก็อาจมีได้ เป็นได้ เราเรียกว่าการเลือกสัมพันธภาพใหม่ ซึ่งมันก็อาจจะดี กว่าเก่ามากมายเลยก็ได้ แต่คนเรามัก "ยึดติดในสิ่งเดิม" มากเกินไปจน "กลัวการเปลี่ยนแปลง" และมักมีทัศนคติเชิลลบกับการเปลี่ยนแปลง ว่า มันจะทำให้ชีวิตแย่ลง ซึ่ง "ไม่จริง เสมอไป" เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้น มีทั้งดีขึ้นและแย่ลง ไม่ได้มีแต่แย่ลงเสมอไป เท่านั้น ใช่มั้ยครับ ดังนั้นถ้า เรายอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้าง ยอมให้ "สัมพันธภาพใหม่ได้เกิด ขึ้นได้บ้าง" ชีวิตของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ดังเช่นที่ คังซีฮ่องเต้ยอมรับขันทีอุ้ยเสี่ยวป้อเป็นเพื่อน ผลออกมาเปลี่ยนแปลงชีวิต ของคนทั้งสองไปราวฟ้ากับดินไปเลย นั่นแหละ สัมพันธภาพใหม่ที่เข้ามา เปลี่ยนแปลง "ชีวิตเดิมๆ ของคุณ" ซึ่งมันอาจไม่ได้ย่ำแย่เสมอไปเลยครับ


"ความสูญเสียคนรักเก่า" อาจทำให้คุณได้รับ "สิ่งดีๆ สิ่งใหม่" เข้ามา


ต่อไปผมอยากจะยกตัวอย่างในกรณีที่บางท่านสูญเสียคนที่รักไป อย่าง ไม่น่าจะเป็น อย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น หรือเร็วเกินไป เช่น บางคนที่ลูกชาย ตายก่อนที่จะได้บวช ทว่า ผมอยากให้ท่านลองมองโลกในแง่ดีดูบ้าง ว่า นี่อาจจะเป็น "การหมดบุญกรรมร่วมกัน" ของท่านและบุตรชายคนนั้นๆ และทำให้เกิด "สัมพันธภาพใหม่" เปิดทางให้ท่านได้พบเจอกับคนที่จะ เข้ามาทำหน้าที่ "เหมือนลุกชายคนเก่า" ของคุณ นั่นคือ สัมพันธภาพ ใหม่ นั่นเอง ถ้าคุณใจกว้างพอ บางทีคุณอาจจะพบว่าพระเจ้าไม่ได้ร้าย กับคุณเลย แต่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่คุณแล้วในช่วงเวลาหนึ่งๆ และเมื่อ ถึงช่วงเวลาหนึ่งๆ คุณก็อาจจะต้องได้รับ หรือเปลี่ยนบางสิ่งออกไปจาก ชีวิต เพื่อเปิดรับสิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตของคุณ ก็ได้ นั่นคือ แม้ว่า บางคนจะเสียลูกชายไป เขาอาจจะได้พบเจอคนอื่นที่ทำหน้าที่เหมือนว่า เป็นลูกชายของเขาอีกคน และถ้าเขาใจกว้างมากพอ เขาก็สามารถที่จะ รับ "สัมพันธภาพใหม่" นั้นในฐานะ "บุตรบุญธรรม" ก็ได้ ท่านพอจะเห็น อะไรไหม? ตรงกันข้าม ถ้าท่านมัวแต่จมปลักอยู่กับความทุกข์ และความ ตายที่ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ ท่านก็จะไม่ได้อะไรเลย นอกจาก จะมีแต่เสียไป อย่างเดียวเท่านั้น คือ นอกจากจะเสียคนรักแล้ว ยังจะเสียใจอีกมากด้วย ดังนั้น ขอเพียงคุณ "เปิดใจให้กว้างไว้เสมอ" คุณอาจจะได้รับสิ่งดีๆ เข้า มาในชีวิต แทนที่สิ่งเดิมๆ ที่ขาดหายไป มีเก่าไป ใหม่มา ได้มา เสียไป นี่ ก็คือสัจธรรมชีวิตอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังไปได้ตลอด


ผลของมิติทางธรรม อาจทำให้คุณต้องทำการจัดตำแหน่งใหม่บ่อยๆ?


สุดท้าย ที่ผมอยากจะแนะนำคือ เนื่องจากผลของบุญกรรมมากมายใน อดีตชาติที่มีมากมายหลายระลอกคลื่นนั้น ทำให้สถานภาพปัจจุบันของ คุณไม่เที่ยงเอาเสียเลยและหลายอย่างไม่อาจดำรงอยู่ได้นานนัก ดังนั้น บางครั้ง คุณอาจต้อง "จัดสัมพันธภาพใหม่" บ่อยๆ เหมือนกันการที่คุณ ปฏิรูปองค์กร, ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของคนในองค์กร บ่อยๆ ประมาณนั้น เช่น บางครั้ง ตำแหน่งภรรยาทางธรรม ของคุณอาจจะเปลี่ยนไปบ่อยขึ้น คุณอาจจะต้องหา "ตำแหน่งทางโลก" ที่เหมาะสมมารองรับ เช่น ให้เขา มาเป็นลูกน้องของคุณ ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยไม่ได้รับมาในรูป ของภรรยา เช่นนี้ ก็ได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว ในคนที่บำเพ็ญบารมีก้าวหน้าไป เรื่อยๆ จะเกิดภาวะที่เรียกว่า "การเปลี่ยนกลุ่มสัมพันธภาพใหม่" อยู่บ่อย ครั้งได้ เหมือนกับการเลื่อนชั้นจากสวรรค์ชั้นหนึ่งไป ชั้นสอง, สาม, สี่ นั้น ก็ส่งผลให้ท่านต้องบำเพ็ญบารมีร่วมกับคนกลุ่มที่ต่างไปด้วยเช่นกัน ทว่า ถ้าพวกเขาบำเพ็ญบารมีตามท่านได้ทัน พวกเขาก็ยังคงเลื่อนชั้น เลื่อนขั้น ตำแหน่งตามคุณไปได้เหมือนเดิม แต่ถ้าพวกเขาตามไปไม่ทัน ก็จะหมดก็ จะไม่มีสถานภาพระหว่างกันต่อไปอีก คือ จบลงเท่านั้นเอง ดังนั้น ในวิถีนี้ จึงขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย ว่าจะมีระดับในการเลื่อนชั้นเร็วมากน้อยแค่ไหน ถ้าใครไปได้เร็วกว่า ก็จะไปก่อน เช่น ลูกน้องอาจบำเพ็ญบารมีเร็วกว่าเจ้า นาย และไปก่อนเจ้านาย ก็ได้ เช่น ลาออกจากที่หนึ่ง ไปยังที่ที่สูงขึ้นกว่า อย่างนี้ ก็มีได้ เป็นไปได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไปได้สูงแค่ ไหน เขาก็จะไม่โดดเดี่ยวเพราะ "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" เหนือคนยังมีคนเหนือ กว่าขึ้นไป ที่รอจะได้พบเจอกันอยู่ดี สัมพันธภาพใหม่ๆ จึงเกิดขึ้นได้เสมอ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล สู่สัมพันธภาพใหม่ของท่าน สวัสดี


4 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS