ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

เฮ้? ใครจะไปรู้ว่าที่แท้ "เด็กกำพร้า" ก็คือเนื้อนาบุญที่ดีอย่างหนึ่ง?

อ่ะ เมื่อวานโพสกระทู้ไม่ขึ้นเลย โพสไม่จบนะครับ แต่ไม่เป็นไร วันนี้ ก็มาตั้งต้นใหม่ หัวข้อง่ายๆ คือ "เรื่องของเนื้อนาบุญ" น่ะ ครับ เอามาเล่าฝากกันฟังเล่นๆ ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องซีเรียสนะครับ พร้อมแล้วก็เข้ามาคุยกันได้เลย ...


คนแต่ละคนมี "พลังบุญ" ไม่เท่ากัน แล้วคนแบบไหนละที่เป็นเนื้อนาบุญ?


เริ่มต้นด้วยอย่างแรกนะครับ เรามาทำความรู้จักกับ "พลังบุญ" ก่อน ว่ามี ที่มาจากอะไร? ง่ายๆ ก็มาจากคนที่มีบุญบารมีมากพอที่จะทำให้ คนที่ทำ บุญนั้นๆ ได้รับพลังบุญไปหล่อเลี้ยงตัวเองได้ เช่น พระสงฆ์ที่มีศีลดี บารมี ก็มาจากศีลนี่ละครับ ทว่า ไม่ใช่แต่พระสงฆ์เท่านั้นครับที่เป็นเนื้อนาบุญได้ อาทิเช่น คนที่ไม่มีกาม ปราศจากกาม มีพลังเนกขัมบารมี ก็เป็นเนื้อนาบุญ ที่ดีได้ครับ เช่น เด็กที่เกิดใหม่ๆ, วัยรุ่นที่ยังไม่เคยมีกาม ฯลฯ แบบนี้ ก็เข้า ข่ายมีพลังบุญที่มาจาก "เนกขัมบารมี" ซึ่งเป็น "ของเก่า" ได้นะครับ ไม่ ใช่ของใหม่ ดังนั้น เด็กจะแผ่พลังบุญให้ผู้เลี้ยงดู ก็คือ พ่อแม่, ผู้ให้กำเนิด ก่อน แต่ในเด็กบางคน มีพลังบุญมากกว่านั้น ธรรมชาติจึงจัดสรรให้แผ่ไป ให้คนจำนวนมากแบบ "สาธารณะ" ครับ เขาก็เลยต้องเกิดเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งใครๆ จะไปเลี้ยงดู ให้สิ่งของ หรืออะไรๆ ก็ได้ครับ พวกเขาสมมุติว่าอยู่ ในบ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน 50 ชีวิต ทั้งหมด เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด ก็จะมี พลังบุญมากทีเดียวครับ เราไปทำบุญให้เขาได้ แม้ว่าเราไม่มีบุตรของเราก็ ไม่เป็นไรครับ เพราะพวกเขาพร้อมรับได้ เอาละ ยังมีมากกว่านี้ที่เป็นเนื้อนา บุญได้ ซึ่งก็คือคนที่มีบุญบารมีในแบบต่างๆ จะแผ่พลังบุญให้คนอื่นได้ครับ


"เนื้อนาบุญ" จะสิ้นพลังบุญที่จะแผ่ให้แก่ผู้คนที่ทำบุญแก่เขา เมื่อไร?


ต่อไป แม้ว่าพวกเขาที่เรียกได้ว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" จะมีพลังบุญ และ สามารถแผ่พลังบุญหล่อเลี้ยงคนที่ทำบุญทำทานแก่เขาได้ ก็จริง แต่ มันก็ไม่เที่ยงนะครับ "มันสามารถหมดได้ เหมือนแปลงนาที่ย่ำแย่ลง" ได้เพราะอะไรบ้าง ง่ายๆ ครับ ก็คือ "ความเสื่อมในธรรม-ความเสื่อม ในบารมีที่บำเพ็ญ" เช่น เด็กอาจเสียพรหมจรรย์ (ไม่ว่าผู้ชายหรือว่า ผู้หญิง) เขาก็จะไม่อาจทำหน้าที่ "เนื้อนาบุญ" ได้ต่อไป ต้องยกให้ผู้ ที่เป็นสามีหรือภรรยา ผ่านการแต่งงาน แล้วใช้ชีวิต ทำงานทำการให้ เหมือนผู้ใหญ่ปกติ ทำหน้าที่เป็นผู้รับ ให้พ่อแม่ เลี้ยงดูอีกไม่ได้แล้วนะ ครับ แต่ถ้าเขาเสียพรหมจรรย์แล้ว กลับมาบำเพ็ญใหม่ เช่น หย่าขาด กันไปแล้ว ผู้ชายบวชพระ, ผู้หญิงอาจบำเพ็ญในผ้าขาว ก็จะมีพลังนี้ กลับมาได้อีกครับ ก็จะต้องบำเพ็ญนานหน่อย เช่น สัก 5 ปี ก็กลับมามี พลังเนื้อนาบุญได้ และสามารถดำรงอยู่แบบ "เนื้อนาบุญ" คือ ไม่ต้อง ทำงาน ปล่อยให้คนอื่นทำงานไป แล้วเราก็รับทักษิณาทานได้ครับ คือ กลับมาทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญได้ นั่นเอง สมมุติว่า ก่อนมีกาม เด็กนั้น อาจให้พลังบุญเราได้มีกินมีใช้ 75% แต่เมื่อแต่งงานแล้ว เด็กก็ได้รับ การช่วยเหลือจากอีกฝ่าย 50% อันนี้ ชัดเจนนะครับว่าการเสียพรหม จรรย์นี้ "ไม่คุ้มเลย" แต่ว่าถ้าก่อนเสียพรหมจรรย์ เด็กให้พลังบุญได้ 75% แต่เมื่อแต่งงานแล้ว อีกฝ่ายช่วยเหลือเรามากได้ถึง 80% อัน นี้ก็นับว่าคุ้ม "ควรค่าแก่การเสียพรหมจรรย์" ครับ อันนี้ ไม่ต่างกันทั้ง ผู้ชายและผู้หญิงครับ สำหรับผู้ชาย ถ้าเสียพรหมจรรย์ ก่อนบวชพระ ให้บำเพ็ญเนกขัมบารมีในผ้าขาวก่อน สักระยะครับ พลังบุญจึงจะขึ้น กลับมาเป็นเนื้อนาบุญที่ดีได้ แล้วก็ค่อยบวชพระต่อก็ได้ครับ ส่วนคนที่ ไม่เคยเสียพรหมจรรย์ก่อน ก็บวชพระได้เลยไม่ต้องบวชขาวก่อนครับ


"เนื้อนาบุญ" มีในคนที่ไม่ได้บำเพ็ญพรหมจรรย์ก็ได้ถ้าบำเพ็ญบารมีอื่น


ต่อไป ยังมีเนื้อนาบุญอีกแบบที่ไม่ได้บำเพ็ญพรหมจรรย์ แต่เขาก็ยังเป็น "เนื้อนาบุญ" ได้ครับ เช่น เป็นครอบครัวที่เป็นพราหมณ์ทั้งคู่ และมีบุตร ได้ และไม่ทำงาน ถ้าบำเพ็ญบารมีอื่นๆ กล้าแกร่งดี ก็สามารถทำหน้าที่ เป็นเนื้อนาบุญได้ครับ แต่กรณีนี้ บอกได้เลยครับว่า "ยากมากๆ" ทางที่ ดีคือ ถ้าจะทำตัวเป็นเนื้อนาบุญ ก็ต้องบำเพ็ญพรหมจรรย์ครับ ส่วนว่าจะ ดูหนังโป้หรือระบายอกทางอื่น ที่ไม่ได้มีกามกับใคร คือ ถ้าเป็นพระก็ผิด ศีลระดับ "สังฆาทิเสส" อันนี้ ยังกลับมาทำหน้าที่เนื้อนาบุญได้แต่ก็ต้อง เคลียร์พลังงานที่ไม่ดีออกไปด้วยการ "เข้ากรรม" หรือการปฏิบัติที่ยาก ยิ่ง เช่น เข้าปริวาสกรรม (สำหรับพระ) ก็หายพ้นไปได้ สำหรับฆราวาส ก็ต้องบำเพ็ญยิ่งยวดหรือทำกิจโปรดสัตว์ยิ่งยวดเหมือนกันก็หมดได้ครับ จริงๆ แล้วไม่ว่าพระหรือฆราวาสไม่มีใครเหนือใคร เหมือนกันครับ ในแง่ ธรรมะ ความจริง และการปฏิบัติ ถ้าฆราวาสปฏิบัติได้ทัดเทียมพระ ก็ไม่ ต่างจากพระครับ แต่ถ้าฆราวาสหลงตัวเองว่าตนไม่ต่างจากพระ ก็เลยมี การปฏิบัติแบบฆราวาส ก็สิ้นสภาพความเป็นเนื้อนาบุญไปได้ครับ คือ ไม่ ว่าจะห่มสีอะไร หลักการปฏิบัติเหมือนกันหมด ถ้าฆราวาสผิดสังฆาทิเสส ก็ต้องเข้ากรรมก็ต้องบำเพ็ญยิ่งยวดเหมือนกันจึงจะกลับมาเป็นเนื้อนาบุญ ได้ครับ ไม่ใช่ว่าพอเป็นฆราวาสแล้วประมาทว่าคนกับพระก็ไม่ต่างกัน แต่ ตัวเองกลับปฏิบัติต่างไปจากพระ แล้วนี่จะทำตัวเสมอพระ ก็ไม่ได้นะครับ!


"บิดามารดาแก่เฒ่า" ถ้าบำเพ็ญพรหมจรรย์ ก็เป็นเนื้อนาบุญแก่บุตรได้


ต่อไป ถ้าบิดามารดาแก่เฒ่าแล้ว บำเพ็ญพรหมจรรย์ ละเว้นจากกามแม้ ว่าจะไม่เจตนาก็ดี เช่น ภรรยาหรือสามีตายไปฝ่ายหนึ่ง แม้ไม่มีเจตนาที่ จะบำเพ็ญเนกขัมบารมีอะไร แต่ก็มีพลังพรหมจรรย์ จะทำหน้าที่เป็นเนื้อ นาบุญได้ครับ ดังนั้น ถ้าบุตรแต่งงานแล้ว มีความยากลำบาก ในการอยู่ กิน, ดำรงชีพ ก็อย่าลืมบิดามารดาเก่าแก่ที่บ้านเก่าครับ เพราะว่าท่านมี ความสามารถเป็น "เนื้อนาบุญ" ได้ อ่ะ ทีนี้ ก็มีคนค้านครับว่า แหม ก็ไม่ เห็นว่าต้องไปทำบุญให้พ่อแม่เลย ให้พระก็ได้มีเยอะแยะไป ก็ขออธิบาย อย่างนี้ครับว่า "พลังบุญของเนื้อนาบุญแต่ละท่าน มีจำกัด" ถ้าพระท่าน ได้รับบุญทานจากคนอื่นมากแล้ว พลังบุญท่านจะลดลง เหมือนเด็กบาง คนที่แผ่พลังบุญให้ได้แต่พ่อแม่ของตัวเอง แต่เด็กกำพร้าให้ได้มากกว่า กว้างขวางกว่าน่ะครับ คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นมาก ได้รับมา มากแล้ว พลังบุญก็แผ่ไปมาก เหลือให้คนที่มาทำบุญหลังๆ ได้น้อย แต่ คนที่ยังไม่ค่อยได้รับจากใครเลยนั่นแหละยังมีพลังบุญแผ่ได้มาก ยังไม่ ค่อยมีใครไปขุดเจาะเอาก็มีมากครับ เอาละ จริงอยู่ว่าทำบุญแล้วก็ได้ไม่ ต่างกันหรอก จะทำกับใครก็ได้ ถูกครับ ทว่า "มันให้ผลในรายละเอียดที่ ต่างกันด้วยครับ" เช่น ให้ได้เร็ว ได้ช้า ต่างกัน บุญไหนที่ต้นน้ำ จะได้เร็ว บุญไหนปลายน้ำ (เช่น ไปทำหลังคนอื่น เขาทำกันมากแล้ว) จะได้กลับ มาช้า มันถึงมีคำว่า "เนื้อนาบุญ" ว่าใครที่เป็นได้และเป็นไม่ได้ไงละครับ


"พระโพธิสัตว์" ขณะศึกษาและบำเพ็ญบารมียิ่งยวด ก็เป็นเนื้อนาบุญได้


ต่อไป ก็คือ "พระโพธิสัตว์" ที่ไม่ได้บวชนะครับ แต่กำลังบำเพ็ญบารมียิ่ง ยวด เช่น กำลังศึกษาเล่าเรียนแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ถ้าเขายังไม่มีกาม ยังไม่มีแฟนหรือครอบครัว ก็ทำหน้าที่เป็น "เนื้อนาบุญ" ได้ครับ และบาง ท่านก็เป็นเนื้อนาบุญอันวิเศษยิ่งทีเดียวครับ เพราะอะไร? เพราะว่าท่านไม่ ค่อยได้รับจากใครมากแบบพระสงฆ์นะครับ คนที่ไปช่วยเหลือท่านเหล่านี้ ก็จะได้พลังบุญต้นน้ำ ก่อนใครอื่นเลยครับ บางท่านก็มี "คนจองทำบุญ" ก็มีนะครับ มีหลายคนจองให้เลยก็มีเช่น จองกันให้ทุนการศึกษาแก่เด็กที่ เข้าข่ายเป็นพระโพธิสัตว์ครับ สำหรับคนที่มีครอบครัวแล้วคู่ครองของเขา ก็จะทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำจุนเอง เราไม่ควรไปทำทักษิณาทานให้เขามากก็ เขามีครอบครัวแล้วนะครับ แต่ถ้าพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์คนนั้นยัง ไม่มีครอบครัว แม้ว่ามีพ่อแม่ เลี้ยงดูแลอยู่ แต่พ่อแม่ เลี้ยงดูแลได้ไม่ทั่วถึง เช่น ขาดส่งเรื่องค่าเล่าเรียน อันนี้ละ โอกาสทองมาแล้ว เราก็ชิงทำบุญไป เลยครับ ใครไม่เอาเราเอาเอง เช่น นักศึกษาแพทย์ที่มาจากชนบท พวกนี้ มีพลังบุญเยอะ เป็นเนื้อนาบุญที่ดีทีเดียวครับ แต่ต้องเลือกสถานศึกษาที่มี การแข่งขันสูงๆ หน่อยละ เพราะเขาจะบำเพ็ญบารมีกันแบบยิ่งยวดนะครับ


"ฤษี-คนทรง-ผู้ปฏิบัติธรรม" ที่อยู่ในศีลธรรมที่ดี ก็เป็นเนื้อนาบุญที่ดีได้


ต่อไป ก็คือ กลุ่ม ฤษี, คนทรง, ผู้ปฏิบัติธรรมในวัดต่างๆ ท่านเหล่านี้ ก็ทำ หน้าที่เป็น "เนื้อนาบุญ" ที่ดีได้ครับ ดังนั้น เราสามารถสนับสนุน ได้เต็มที่ เช่น จองเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเพลแก่กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม อย่างนี้ก็ได้นะ ครับ ไม่ต้องยึดว่าจะที่ไหน บางสถานธรรม เขาก็มีเลี้ยงดูอยู่แล้ว เราก็ไป ขอเขาสิครับว่าผมขอจองเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มนี้สัก มือได้ไหม? ใช้เงินประมาณเท่าไร? ทางสถานธรรมอาจบอกว่าประมาณ สองพัน ก็ดี, ห้าพัน ก็ดี เราพอไหวมั้ย? ถ้าเราไหว ก็ทำไปได้ครับ เห็นมั้ย ครับว่าเนื้อนาบุญมีอยู่มากมาย บุญมีให้ทำเยอะแยะครับ (ไม่ใช่มีแต่พระ) หรือยิ่งถ้าเป็นคนทรงที่เป็นโสด ไม่มีคู่ อันนี้ ยิ่งเหมาะนะครับ เราก็ดูว่าเขา ทำอะไร เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? และมีรายได้หรือเปล่า? เช่น ถ้าดูดวงฟรี, รับ รักษาโรคด้วยพลังจิตฟรี อันนี้ เหมาะเราละครับที่จะจองทำบุญต้นน้ำ เป็น คนแรกๆ ที่ได้รับพลังบุญนี้ก่อน นาบุญ ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ เราก็ทำไปเลย ครับ ไม่ต้องสนใจใคร นาบุญที่คนอื่นทำกันมากเกินไปแล้ว มันจะเริ่มขาด ความอุดมสมบูรณ์ไปแล้วครับ เราก็ไม่ต้องไปทำมากอีก ไม่ต้อง "แห่ตาม กันไป" หรอกครับ เราหาเอง, เจอเอง, ได้เองก่อนใครแบบนี้ดีกว่านะครับ


คนเราทุกคน ก็ควรจะมี "นาบุญที่ดี" ไว้ทำบุญประจำ มรรคผลต่อเนื่อง


สุดท้าย ก็คือ คนเราอยู่บนโลกนี้โดยสิ้นบุญ ไร้นาบุญทำ คงจะแย่นะครับ ดังนั้น เราก็ควรแสวงหา "นาบุญ" ของเราเอาไว้ สักอย่างหนึ่ง สักคน ก็ ยังดีครับ เช่น ถ้าเรามีลูกหลายคน อาจมีลูกชายคนหนึ่งไปบวชยาวๆ นี่ก็ โชคดีเลย ได้เป็นแหล่งเนื้อนาบุญของเรา, ถ้าเรามีลูกผู้หญิงแล้วก็กลาย เป็นหม้าย แต่ถ้าเขาบำเพ็ญพรหมจรรย์ ก็เป็นแหล่งเนื้อนาบุญได้ครับ ซึ่ง ถ้าเรามองรอบตัวเราให้ดี เรามีนาบุญเยอะแยะให้เลือกเลยครับ ไม่มีใครที่ ถูกฟ้าทอดทิ้ง ทำให้ไม่มีนาบุญจะทำนะครับ ลองดูดีๆ อย่ายึดติดแต่ว่าเรา จะให้แก่ญาติหรือลูกเรา หรือใครที่มีเชื่อสายของเราเท่านั้น มองให้กว้าง, ทำให้ให้กว้างครับ แล้วเราจะได้เห็น ได้เข้าถึง และได้เนื้อนาบุญดีๆ ซึ่งยัง มีอีกมากมายเลยครับ ทีนี้ ยิ่งถ้าเราได้นาบุญประจำที่ไม่ต้องแย่งกับใครก็ ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่ เช่น พ่อแม่ที่แก่เฒ่าแล้ว และไม่มีใครดูแล แหม เสร็จเรา ละ เราก็เอาเลยมาเป็นนาบุญของเรา ได้ฟรีๆ ไม่มีแม้แต่ค่าโอนนะครับ ไม่ ต้องใช้เงินไปซื้อที่นาของใคร ทำประจำ ทำให้ต่อเนื่อง ทำเรื่อยๆ ไป ก็จะ มีพลังบุญหนุนนำหล่อเลี้ยงเราได้ตลอดไป ต่อเนื่องได้เรื่อยๆ ครับ เอาละ แนะนำมามากแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่บุญกรรมสัมพันธ์ของแต่ละท่านครับ สวัสดี ...


4 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มือถือ, คอมฯ, รถยนต์ ก็มี "จิตวิญญาณ" อยู่ แล้วชาวไซย่าเขาทำยังไง?

ไงเบื่อกระทู้ไซย่าหรือยังครับ ฮ่าๆๆ ผมว่าผมก็เบื่อๆ อยู่นะ อะไรๆ ก็ไซย่าๆ บ้าอ่ะป่าว อ่ะ อะไรแบบนั้น เอ้า แต่ก็ช่างมัน เถอะ ยังไงเนื้อหาสาระข้างใน มันก็โอเคอ่ะนะ ถึงแม้ว่ามันจะ มีแต่โม้ก็ตาม อ้าว เป็นงั้นไป เอ้า มีเรื่องเล่าละ เขาว่ากันว่า ในเครื่องมือที่คนใช้กันมากๆ ที่ มีความพิเศษหน่อย จะมีอะไรที่ เรียกว่าจิตวิญญาณ มาประจำ ด้วยนะ แล้วทีนี้ ชาวไซย่าเขา จะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ เรา ก็ลองมาโม้ เอ้ย มาคุยกันดูครับ


มือถือ, คอมฯ, รถยนต์ ฯลฯ ก็มีจิตวิญญาณเชื่อมโยงอยู่ด้วย!


เริ่มต้นจาก ของใช้ของคนเรานี่ครับ บางชนิดมันจะอายุไม่นาน ก็พังไป บางอย่างก็นาน ไม่เท่ากัน มีความซับซ้อนและความ พิเศษที่ต่างกันไป "ทุกอย่างมีพลังวิญญาณเชื่อมโยงอยู่" แต่ มันจะมีระดับที่ไม่เท่ากันนะครับ เช่น พัดธรรมดาๆ ที่ใช้แล้วพัง ไป ก็จะมี "จิตวิญญาณเทพผู้สร้างพัด" เชื่อมโยงอยู่ แต่ท่าน จะอยู่ข้างบน เป็น "ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น" นะครับ จะไม่ลงมาที่ พัดหรืออยู่ในพัดละ ยกเว้นพัดพิเศษของคนพิเศษ อาจมีได้บ้าง บางครั้ง บางคราวครับ ทีนี้ ของบางชนิด ก็มีพลังวิญญาณมาที่ มันด้วย ประจำอยู่กันมันเลยก็มี แต่เป็นจิตวิญญาณระดับล่างลง ไปนะครับ ยังไม่ได้อยู่ในมิติที่สูงเท่าไร เช่น มือถือ, รถยนต์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตัวมนุษย์ หรือเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตหรือจิตใจ ของคนมากๆ ก็จะมีจิตวิญญาณระดับต่ำๆ เช่น จิตวิญญาณภาค มืด มาอยู่ด้วยได้ครับ ดังนั้น เวลาคนเอาไปใช้ ก็จะถูกพลังมืดนั้น ครอบงำได้ครับ เช่น เวลาเด็กมีเงินไปซื้อมือถือมาใช้ ก็จะติดมาก ใช้จนเหมือนไม่มีสติเลยอะไรแบบนั้น นี่เพราะพลังมืดครอบงำครับ เอาละ ยกตัวอย่างพอเป็นพิธี แต่อย่าเพิ่งตกใจไปละ เพราะเดี๋ยวก็ จะมีวิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้ ให้เป็นของใช้ของเรา ไม่ใช่เป็นเจ้าเป็น นาย มาครอบงำชีวิตเรานะครับ อย่างไร? ลองคุยกะช่าวไซย่าครับ


ปีศาจมือถือ, คอมฯ, รถยนต์ ฯลฯ มีตัวพญาและตัวบริวารอยู่ด้วยอ่ะนะ


ต่อไป เราจะเล่าเรื่องปีศาจในมือถือ, คอมพิวเตอร์, อินเตอร์เน็ต, รถยนต์ และอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะที่มนุษย์ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ที่ "มีความพิเศษ" มากๆ นั่นแหละ มันเกิดจาก "ผู้สร้าง" เป็นตัวพญา แล้วเขาก็มีบริวารอยู่ ในภพมืดใต้พิภพ แล้วเขาก็จะดึงออกมา ปลดปล่อยออกมา แล้วก็มาอยู่ ประจำที่สิ่งที่เขาสร้างละ รอให้คนมาซื้อก็จะไปอยู่กับคนซื้อและครอบงำ คนซื้อได้ด้วยละ ขึ้นอยู่กับว่าของพิเศษแค่ไหน? ยิ่งพิเศษ ก็ยิ่งมีตัวที่ยิ่ง ใหญ่ เจ๋งๆ ฤทธิ์มากๆ ประจำอยู่ด้วยอ่ะนะ เอาละ เขาก็อาจจะเริ่มต้นจาก "พลังมืด" แต่เมื่อได้รับการปลดปล่อยออกมาอยู่กับสิ่งของแล้ว เราเอา ไปใช้ในทางที่ดีสร้างสรรค์ เขาก็จะได้รับการ "ชำระล้างและสร้างใหม่" ได้ครับ ตอนแรกที่เราเอามาใช้ เขาอาจครอบงำเรา ทำให้เรามืดและหลง มันมากๆ ใช้มันแบบว่าเมามันมากๆ เสพติดมันมากๆ แต่พอเราใช้ไปทาง ที่ดี เขาก็จะดีขึ้นและหลุดพ้นได้ครับ ถึงเวลานั้น "เราจะรู้จักใช้อย่างพอ ดี" เอง เช่น ใช้มือถือแต่พอดี ไม่มากเกินไป ไม่เสพติดมากไป แต่ว่าถ้ามี การนำไปใช้ทางลบบ่อยๆ เขาก็จะมืดลง และเราก็จะมืดลงด้วยครับ ในที่ สุด ก็อาจนำพากันไปสู่ภพมืด ยากจะเยียวยา อันนี้ก็โทษใครไม่ได้นะครับ สรุป ก็คือ ตัวพญาจะอยู่กับผู้สร้างสิ่งของ, ส่วนตัวบริวารจะอยู่กับสิ่งของ ที่ถูกสร้าง พวกเขาจะถูกปลดปล่อยออกมาจากภพมืด แล้วรอการชำระ ก็ จะมีพลังงานที่ดีได้ แต่ต้องผ่านการชำระล้างด้วยการสร้างสรรค์ก่อนครับ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังมาร, พลังมืด, พลังอสูร, มนต์ดำ อะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ารู้จักใช้อ่ะนะ

ฮาโหลๆ วันนี้มาช้าหน่อยนะครับ ต้องขอโทษทีติดธุระ อ่ะ แต่มีเรื่อง เจ๋งๆ มาโม้ เอ้ยเล่าให้ฟังอีกแล้วก็ คือ เรื่องการใช้พลังงานด้านลบเช่น พลังภาคมืด, ภาคมาร, ภาคอสูร ฯลฯ มันก็ได้นะ ถ้ารู้จักใช้ มันก็ไม่เป็นลบ ไปซะหมด เรียกว่า มันพลิกผันกลับ เป็นบวกได้ไงคร้าบ อ้าว แล้วจะใช้ยัง ไงให้มันพลิกกลับมาเป็นบวกได้ละ อันนี้ละ ไม่ช่ายง่ายๆ เพราะคนทั่วไป ทำไม่ได้หร้อก ต้องเราชาวไซย่าเท่านั้น ถึงจะได้ หุๆๆ เอาละ จะโม้ เอ้ยเล่าให้ฟัง


ทุกอย่างนี้ ไม่มีอะไรผิดหรือเป็นลบหรอก มันขึ้นอยู่กับเราใช้ตะหากเล่า?


เริ่มแรกนะ ทุกอย่างในจักรวาลนี้ มันไม่ได้มีดี-ชั่ว, ถูก-ผิด, บวก-ลบ ใน ตัวมันเองหร้อก แต่ถ้ามันถูกใช้ไปในทางบวก มันก็เป็นบวกได้, ถ้ามันถูก ใช้ไปในทางลบ มันก็เป็นลบได้, ถ้ามันถูกใช้ไปในทางที่ดี มันก็ดีได้, แต่ ถ้ามันถูกใช้ไปในทางที่ไม่ดี มันก็ไม่ดีได้ เอาละ สรุปแว่ เอ้ยว่า ยังไงก็ยัง งั้น ก็แล้วกัน เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา, ส่วนเรื่องของเรา ก็อยู่ที่ว่า เราจะใช้มันยังไง ใช่มั้ยละคร้าบ? ดังนั้น ทั้งพลังภาคมืด, พลังภาคมาร, ภาคไหนต่อมิอะไร ก็ช่างมันเถอะ อยู่ที่เราจะใช้มันไปทางไหนตะหากเล่า


สำหรับพวกเราชาวไซย่าแล้วละก็ สามารถใช้พลังทุกอย่างเป็นบวกได้


ต่อไป ถ้าคุณอยากจะใช้พลังทุกอย่างไปในทางสร้างสรรค์หรือเป็นบวก ละก็ คุณอาจทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามกำลังของคุณเอง แต่สำหรับพวก เราชาวไซย่าแล้วละก็ เรามีธรรมชาติที่สร้างมาให้สามารถใช้พลังไปใน ทางบวกได้เสมอ เราจึงเป็น "ต้นแบบของการใช้พลังงานไปในทางบวก" สำหรับจักรวาลนี้ครับ ดังนั้น เราทำได้ 100% เพราะเราเป็นแบบนี้ แต่ถ้า คุณจะทำอย่างเราบ้าง ก็จะได้ไม่ถึง 100% แต่ก็ไม่เป็นไร สัก 50-75% ก็ถือว่า ดีมากๆ แล้วละ โอเค? ดังนั้น เมื่อคุณคิดจะใช้พลังงานแบบเรา ก็ ควรที่จะ "เปิดใจยอมรับพลังทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง" ได้ว่ามันคือธรรมะ ธรรมชาติ อย่างหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้มีความถูก-ผิด, ดี-ชั่ว, บวก- ลบ ฯลฯ อะไรในตัวของมันเองเลย มันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง มาตั้งแต่ ต้น เอาละ ผมไม่ได้บอกว่าให้คุณไปใช้พลังมาร, พลังมืด แล้วก็จะได้เป็น เหมือนผมนะ เพราะคุณยังห่างชั้นจากพวกเรา มั๊กๆๆๆ ม้ากกกกก เอาละ ถ้าคุณยกระดับตัวเองมาใกล้เรามากขึ้นเท่าไร ก็จะใช้พลังงานด้านลบได้ เอง โดยไม่เกิดปัญหา แต่ถ้าคุณยังไม่ถึงระดับก็ละเว้นการใช้ น่าจะดีกว่า


นั่นก็หมายความว่า ทุกอย่างที่มีอยู่ในธรรมชาติ คุณก็ใช้ได้ทั้งนั้นนั่นแหละ


ต่อไปถ้าคุณยกระดับถึงระดับของชาวไซย่าได้ ไม่ว่าจะกี่ % ก็แล้วแต่คุณ ก็จะมีความสามารถในการใช้พลังงานด้านลบได้ โดยที่มันไม่เป็นลบ แถม ยังแปลงเป็นบวกได้อีกตามแต่กำลังความสามารถของคุณก็แล้วกัน ฉะนั้น ทุกอย่างที่มีอยู่ในธรรมชาติ คุณจึงใช้ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็น ยาบ้า ก็ ดี, การพนัน ก็ดี, สิ่งผิดกฏหมาย ก็ดี, อาวุธสงคราม ก็ดี ฯลฯ คุณก็ใช้ได้ ทั้งนั้น ตามกำลังความสามารถในการใช้ของคุณ ว่าคุณจะใช้ไปในทางที่ ดีได้มากแค่ไหนก็เท่านั้นเอง แต่ระหว่างที่คุณยังไม่มีพลังของไซย่า คุณก็ ไม่ควรใช้นะครับ เพราะมันอาจส่งผลลบต่อคุณได้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ เตือน เอาละ ยกระดับขึ้นไปให้ได้เหมือนพวกเราชาวไซย่า แล้วคุณก็จะทำ ได้เอง นั่นแหละ เรียกว่า ทุกอย่างคือธรรมชาติ แต่คนแต่ละคน จะมีธรรมะ ธรรมชาติ ของการทำกิจ, ใช้สิ่งต่างๆ, รับสิ่งต่างๆ, เสวยสิ่งต่างๆ ฯลฯ ได้ ต่างกัน มันก็เท่านั้นเองแหละ ใครมีกำลังใช้อะไรได้ เขาก็จะใช้มันได้คร้าบ


เราก็เหมือนพวกไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ใช้แต่ของคนอื่นเขาทั้งน้านหละ


ทีนี้ พวกคุณอาจมองพวกเราชาวไซย่า เหมือนว่าไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง เพราะใช้แต่ของคนอื่น ทว่า จริงๆ แล้วเรามีมากมาย ซุปเปอร์เลยละ แต่ว่า เราไม่ได้เอามาใช้ เราเก็บไว้อย่างดี ไว้ใช้สำหรับตัวเราเอง ตะหากละ คุณ ก็เลยอาจมองเห็นเปลือกนอกของเราเหมือนว่าเราไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง เลย นั่นแหละ การไม่ใช้พลังของตัวเองออกไปให้เสียเปล่า (เพื่อจะได้เก็บ ไว้ใช้เพื่อสมดุลของตัวเองไงเล่า) แต่ใช้แต่ของคนอื่น ไม่ใช่ขโมยนะ แล้ว ก็ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน มันเป็นธรรมชาติที่ไหลเวียนไม่อาจยึดเป็นของใคร ได้ เราก็เลยหยิบมาใช้ ก็เท่านั้นเอง นั่นก็คือ เทคนิกในการใช้พลังงานของ เรา เราก็เลยไม่ค่อยสูญเสียพลังชีพไปกับการทำกิจอื่นๆ และคนทั่วไป จึง มองไม่ออกว่าเรามีพลังอะไรกันแน่เพราะเราไม่ได้ใช้ออกไปไงละ ซึ่งเหล่า มนุษย์โลก จะฝึกฝนเพื่อทำให้ได้อย่างเราบ้าง แม้ไม่ 100% ก็ได้นะ เขา เป็นพวกที่ฝึกฝนได้ เรียนรู้ได้หมดทุกอย่างอยู่แล้วนี่นาแม้ว่าจะไม่เก่งที่สุด เหมือนพวกต่างดาว ก็ตาม แต่มนุษย์โลกก็เรียนรู้ได้หมดทุกๆ อย่างเช่นกัน


เราไม่ใช่ครูผู้สอน, ไม่ใช่นักอธิบาย หรือนักสื่อสาร เราก็แค่ "เม้าท์ๆๆ"


เอาละ ทีนี้ มาดูการทำกิจของเรา ชาวไซย่ากันบ้าง ปกติแล้ว พวกเราก็ ไม่ได้ทำอะไร เป็นชิ้นเป็นอัน นักหรอก หรือกล่าวง่ายๆ ว่าไม่ได้ทำอะไร เลย ก็ว่าได้ ฮ่าๆๆ จะให้เราไปสอนคนอื่นเขาแบบพวกดาวพฤหัสฯ เราก็ ไม่ทำ, จะให้เราไปอธิบายธรรม ให้คนเข้าใจกระจ่างแจ้ง แบบพวกที่มา จากพระอาทิตย์ เราก็ไม่ทำ, จะให้เราไปสื่อสารเหมือนพวกที่มาจากดาว พุธ นี่ก็ไม่ใช่เราอีก เราก็แค่ "เม้าท์ๆๆๆ" ไป เหมือนกะมนุษย์ปุถุชน ที่มา เจอกัน ก็คุยกันธรรมดา เราไม่มีอะไรที่เกินไปกว่านั้นหรอก ก็แค่คุยกันก็ แค่นั้นเอง ไม่ได้มีตัวตนของผู้คุยว่าเป็น "คุณครู" หรือไม่, "นักบรรยาย" หรือไม่, "นักสื่อสาร-สื่อมวลชน" หรือไม่? ก็ไม่มีเลย ไม่มีตัวตนตัวไหน ที่รองรับการเม้าท์ของเราเลย ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ว่าเราไปพูดในฐานะตัวตนของ คุณครู, นักบรรยาย, หรือว่าสื่อมวลชนสักหน่อย ก็ไม่ใช่ เราก็แค่เม้าท์ๆ ไปตามธรรมะ ธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป ไม่ใช่เพราะด้วย "มีตัวตน" มา ให้เราๆ จึงพูดซะหน่อย ก็หาไม่ เพราะเหตุนี้แหละ กิจของเรามีแค่นั้นเอง


เราอยู่เหนือ "ตัวตนทุกตัวในระบบสุริยจักรวาลนี้" เราเลยไม่ติดดาวใดๆ


เอาละ ทีนี้ เพราะเหตุว่าเราไม่มีตัวตน ไม่ติดตัวตนใดในดาวดวงใดที่อยู่ ในระบบสุริยจักรวาลนี้ เราจึงไม่มีตัวตนในดาวเหล่านั้นจะเป็นตัวตนของ นักทำนาย, นักพยากรณ์มั้ย ก็ไม่มีอีกแหละ เราก็เลยไปพ้นเหนือดาวทั้ง หลายในระบบสุริยจักรวาลโน่น เราจึงรู้ว่าทุกตัวตนที่ยังวนเวียนอยู่ในนี้ ในระบบสุริยจักรวาลนี้ "ยังมีตัวตนกันอยู่ในดาวต่างๆ มิติต่างๆ" ไม่ใช่ ผู้ที่หมดสิ้นตัวตน-ชาติภพแล้วก็หาไม่ เอาละ เราเองก็ยังมีตัวตนเหมือน กัน ทว่า ตัวตนของเราอยู่สูงกว่า, เหนือกว่าระบบสุริยจักรวาล ก็เลยได้ เห็นอะไรๆ ในระบบสุริยจักรวาลนี้ ได้มากกว่าตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าลงไป ก็ เท่านั้นเอง มีอยู่หลายตัวตนมาก ที่หลงคิดว่าพวกเขาหมดสิ้นตัวตนแล้ว และได้นิพพานแน่นอน ทว่า เรายังเห็นตัวตนของเขา เวียนว่าย-ตายเกิด อยู่ในระบบสุริยจักรวาลนี้ ยังไม่อาจออกไปเหนือกว่านั้นได้เลย บางพวก ก็ไม่ติดดาว ไม่ไปเกิดในดาวดวงใด ทว่า "หลงล่องลอยเท้งเต้งอยู่แต่ใน ที่ว่างระหว่างระบบสุริยจักรวาลนี้" ก็มี เอาละ อย่าตกใจ แค่เล่าให้ฟัง ก็ เท่านั้นเอง เพราะที่แย่กว่านี้ก็ยังมีอีกเยอะแยะ โดยเฉพาะ ที่อยู่ใต้โลกนี้


มนุษย์โลกที่มีนิสัยเปลือกนอกคล้ายเรา ก็อาจรับพลังของเราได้ แต่ทว่า?


สุดท้าย พลังของเราชาวไซย่า ได้เชื่อมโยงมายังโลกด้วย และก็มีมนุษย์ โลกมากมายหลายคนรับพลังของเราได้ เพราะมี "นิสัยเปลือกนอก" ซึ่ง คล้ายคลึงกับพวกเรา ทว่า "แก่นแท้ข้างในพวกเขา" ต่างจากเรามาก ก็ เลยเกิดปัญหา คือ พวกเขาได้พลังของพวกเราไปใช้ได้แค่ระยะหนึ่ง เท่า นั้นเอง จากนั้น พวกเขาก็จะสิ้นท่า เพราะของมันไม่ได้ดีแท้จากข้างในยัง ไงละ เอาละ เรากำลังบอกแค่ว่าพลังของเราไม่ได้ลึกลับหรือหายากอะไร ทว่า คนที่ได้รับ ได้รับง่าย ก็อาจสูญเสียไปได้ง่ายเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ สูญเสียพลังของเราไปแล้ว ก็จะมีชีวิตที่ตกอับ และมีปัญหาชีวิตมากมาย


หมดเวลาของเราละ ไปก่อนละกัน ...


2 ต.ค. 2555

"เสียงจากชาวไซย่า" รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มาปรับเปลี่ยนพลังเป็นพลังของชาวไซย่ากันได้แล้ว ง่ายๆ อย่างนี้

เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น เข้าเว็บมั้ยดั้ย ไปวันหนึ่ง เอาละ วันนี้ก็มาทำงานต่อ อ้อ เรื่องที่จะคุยกันคือ เรื่องการเปลี่ยน พลังงานที่ใช้อยู่แต่เดิม (ของเก่า) มา รับพลังงานใหม่ ซึ่งในปีนี้ ผมแนะนำให้ ใช้พลังของดาวไซย่าไปก่อน เพราะว่า พลังงานอื่นๆ ล้วนมีผลกระทบต่อภัยพิบัติ น่ะครับ เอาละ ทีนี้ ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยน ไปใช้พลังของดาวไซย่า จะทำอย่างไร? เรามาคุยกันแบบง่ายๆ กันเลยดีกว่าครับ


สยบพลังของตัวคุณเองให้ได้ก่อน ไม่ใช่สลายพลัง หรือให้พลังคนอื่น?


อย่างแรก เราจะมาเริ่มต้นกันที่ การปรับฐานพลังงานของชาวไซย่าที่จะ ปรับพลังงานภายในของตัวเองที่มีอยู่มากมาย ให้เสมือนกับว่าไม่มีพลัง อะไรเลย เหมือนเป็น 0 ฉะนั้น เหมือนคนปกติธรรมดา อย่างนั้น ซึ่งชาว ดาวอื่นๆ เขาทำกันไม่ได้ ต่างดาวส่วนใหญ่ เวลาปรากฏกายก็จะมีพลัง งานแผ่ออกมาด้วย เป็นพลังงานเฉพาะแบบของดาวนั้นๆ เขาจึงมีอะไร ที่แตกต่างจากคนธรรมดาครับ แม้ว่าจะแฝงร่าง แฝงกายในมนุษย์ก็ตาม ก็ยังมี "พลังงานเฉพาะตัว" ทำให้เราจับสังเกตุได้ครับ ทว่า สำหรับชาว ดาวไซย่าแล้ว จะเหมือนมนุษย์ปกติมาก เพราะเขามีวิธี "ซ่อนพลังงาน" โดยการเก็บพลังงานได้ดี ทำให้พลังงานไม่แผ่ออกจากตัว เหมือนว่าไม่ มีพลังงานอะไรแบบนั้นเลย ซึ่งเมื่อเราสัมผัสเขาได้ว่าเขาไม่มีพลังงานนี้ ไม่ใช่ให้เราไปทำลายพลังงานของเราเองด้วยการสลายพลังภายในหรือ การถ่ายทอดพลังงานของเราให้คนอื่นไปหมดนะครับ (เพราะคนที่รับเอา พลังของเราไปอาจใช้ไม่เป็น และเกิดภัยได้) ดังนั้น มันจึงไม่ใช่การสลาย พลังให้เป็น 0 หรือการถ่ายพลังให้ผู้อื่นจนหมด แต่มันคือการควบคุมพลัง จนทำให้สงบนิ่งได้ราวกับว่าไม่มีพลังอะไรเลย ต่างหากละครับ เอาละ ใน ครั้งก่อน สังขารผู้ถ่ายทอดข้อมูลนี้ ได้ทดสอบระเบิดพลังไปแล้ว แต่เขาก็ ยังไม่ผ่าน เพราะพลังงานเก่าของเขายังเหลืออยู่และเขาควบคุมมันยังไม่ ได้ดีพอ พลังความร้อนจึงกระจายออกไปด้วยขณะระเบิดพลัง ซึ่งเขาก็จะ ต้องสอบซ่อม คือ ระเบิดพลังใหม่อีกครั้ง เพื่อให้สำเร็จตามแบบไซย่าครับ


ระบบพลังงานสองส่วน คือ ภายนอกและภายใน ควรใช้พลังนี้อย่างไร?


ต่อไป คือ เรื่องระบบการใช้พลังงานของชาวดาวไซย่า ซึ่งจะมีเทคนิก ที่แตกต่างจากชาวดาวอื่นๆ บ้าง คือ เขาใช้พลังงานได้ทั้งพลังภายใน และพลังภายนอก แต่เขาจะใช้ต่างกันนะครับ ดังนี้ 1. พลังงานภายใน เขาจะใช้เพื่อ "หล่อเลี้ยงร่างกายและเพื่อความสมดุล" เท่านั้น จะไม่มี การดึงเอาไปใช้ในการต่อสู้หรือทำกิจอื่นๆ นะครับ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ สูญเสียพลังชีพ ที่ใช้ในการรักษาสมดุล ของชีวิตเลย 2. พลังงานภาย นอก เขาจะใช้เพื่อทำกิจต่างๆ หรือเพื่อต่อสู้หรือป้องกันตัวเช่น พลังงาน ที่ได้จากศัตรู ก็ใช้ในการต่อสู้กับศัตรูเอง นั่นแหละครับ คล้ายๆ หลักการ ของไทเก็กในการยืมแรง ทว่า เขาจะมีการแปลงพลังงานให้เป็น + ก่อน เพื่อจะได้ไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อใครครับ (ไทเก็ก ไม่มีการแปลงพลัง ให้เป็นบวกก่อน ผู้ถูกกระทำจึงได้รับผลกระทบรุนแรงได้) เอาละ พอเข้า ใจหลักการใช้พลังงานที่แตกต่างของชาวไซย่าและนะครับ ซึ่งวิธีแบบนี้ ชาวดาวอื่นๆ จะทำไม่ได้ เพราะระบบภายในเขาต่างกันครับ แต่มนุษย์นั้น สามารถเรียนรู้จากชาวไซย่าได้ครับ (เพราะมนุษย์มีพลังของไกอา ที่ทำ ให้เรียนรู้ได้ทั่วจักรวาลไงครับ) ดังนั้น มนุษย์จึงจะเป็นผู้ที่จะรับพลังของ ชาวไซย่าได้ และผู้ที่จะใช้พลังงานแบบ ชาวไซย่า ได้ จึงมีแต่ชาวไซย่า และมนุษย์โลก ที่ผ่านการฝึกจนสำเร็จ ในแบบชาวไซย่าแล้ว เท่านั้นเอง


เอ้า หัดโง่ให้เป็นซะมั่ง ทำเป็นแต่ฉลาด ทำเป็นแต่รู้อยู่นั่นแหละ


ฮ่วย รู้อะไรมากมาย แค่นั้นพอแล้ว ยิ่งติดรู้มาก ก็ไปไม่พ้นดวง อาทิตย์เน้อ จะไปเหนือระบบสุริยจักรวาลได้ ต้องพ้นรู้แล้ว โง่ซะ บ้าง โง่ให้มันเป็น ถ้าโง่ไม่เป็น โง่แล้วโง่เลย อันนั้น ช่วยไม่ได้ ตัวใครตัวมัน อยากโง่เอง เอาละ มันก็ไม่มีอะไรอ่ะนะ แต่ว่ามัน ไม่ใช่วิถีแบบคนฉลาด หรือสายปัญญา มันเป็นสายฤทธิ์ ถ้าจะ เปลี่ยนมาสายฤทธิ์ ก็อย่าติดฉลาดเกินไป มันจะออกนอกสาย ปัญญาไม่ได้เสียที แล้วทีนี้ มันก็จะไม่เจอกะพลังของไซย่านะ คร้าบ เอาละ ถามหน่อยถึง มั่วเป็นมั้ย? ทำอะไรแบบไม่ต้องมี ความรู้มาก่อนเลยน่ะ? แบบมั่วไปเลย ลองผิด ลองถูก สุ่มๆ ไป เลย ถ้าทำไม่เป็นก็ซวยว่ะ 555 เอ็งซวยแล้วมาโทษข้าไม่ได้นะ เรื่องของเอ็ง อยากมั่วไม่เป็น เอาละ ถ้ามันมั่วเป็น มันก็ไม่ซวย นะ อันนี้ ขอบวกไว้ก่อน มั่วๆ สุ่มๆ เสี่ยงๆ แล้วก็ "แล้วแต่โชค" โอเค? ไม่ต้องไปรู้ก่อน ไม่ต้องไปเข้าใจอะไรก่อน ไม่ต้องให้มี โพยมาบอกก่อน มั่วไปเลย มั่วผิดที่ผิดทาง ก็ซวยเน้อ มั่วเป็น เมื่อไรจะโชคดี ข่อยสิบอกให้ 555 เอาละ สอนกันไม่ได้ว่ะ ไม่ รู้จะสอนยังไง สอนไม่เป็น โม้เป็นอย่างเดียว เข้าใจมั้ย ถ้าไม่ เข้าใจก็โอเค ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน 555 ไปกันได้ว่ะ 555


เฮ้นี่นาย ฉันไม่ได้ทำเป็นเล่นๆ นะ แบบนั้นน่ะ เป็นพวกดาวพระเกตุ


นี่อย่าเหมาว่าข้าทำเป็นเล่นๆ ละ เอ็งต้องเข้าใจว่าข้าไม่ได้มาจาก ดาวพระเกตุ ซึ่งดาวพระเกตุนั้น เขาชอบเล่น ติดเล่นเป็นเด็กๆ จะ ทำอะไรก็ได้แค่เด็กทำ มันไม่เวิร์กหรอก ทำแบบเล่นๆ น่ะ ข้าไม่ได้ จริงจังอะไรมาก แต่มันก็ไม่ใช่การเล่นๆ หรือติดเล่นแบบเด็กๆ ละนี่ เข้าใจไว้ด้วยเน้อ แม้ว่าจะดูเหมือนโม้ แต่ว่า "ข้าไม่ได้โม้" นะเฟ้ย แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะไม่เข้าใจ เพราะมันไม่เข้าใจอยู่แล้ว 555 ว่าไงละ เอ็งเข้าใจที่ข้าพูดมั้ย? ถ้าเข้าใจ อธิบายให้ข้าฟังด้วยนะ ก็ ข้าไม่เข้าใจว่ะ เหอะๆๆ เอาเป็นว่า "ข้าไม่ได้เล่นๆ" นะ จะบอกให้ ข้า เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำอะไรได้จริงๆ เต็มที่ ไม่เหมือนพวกดาวพระเกตุ ซึ่ง ยังเป็นเด็กกันอยู่ทั้งน้าน ถ้าจะเชื่อมต่อพลังกับข้า ก็อย่าหลงทางไปที่ ดาวพระเกตุ เพราะหลงคิดว่าเขาเล่นๆ เข้าละ เพราะข้าเอาจริง แต่ไม่ ได้จริงจังอะไรหรอก? อ้าว ตกลงจะเอายังไง? ใครรู้ช่วยบอกที เหอะๆๆ


ยอมรับซะว่าแกน่ะติงต้องตัวพ่อ ขี้โม้ตัวแม่ มั่วตัวลูกและไม่ได้เรื่องตัวแก


เอาละ ยอมรับซะเหอะว่าแก มันทั้งขี้โม้ ติงต้อง แล้วก็มั่ว ไม่ได้รู้เรื่องอะไร เลย ห่วยแตก ใช้ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เรื่องทั้งน้าน 555 แล้วจะทำไม เป็น แบบนี้แล้วมันยังไง? ไม่เป็นแบบนี้แล้วมันจะดีขึ้นตรงไหน? อ่ะ ก็แค่ยอมรับ ไปก็เท่านั้น ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลย ชาวไซย่าอย่างเรา เป็นผู้ยอมรับได้ ทั้งนั้นแหละ แต่รับมาแล้วมันก็ไม่ได้ติดลบนี่ มาแล้วเป็นบวกทั้งนั้น เลยไม่ ใช่คนขี้กลัว ขี้ปฏิเสธ ปฏิเสธจนติดเป็นนิสัย ไอ้นั่น ก็ไม่ใช่, ไอ้นี่ ก็ผิด ฯลฯ เลยสุดท้ายปฏิเสธโลก, ปฏิเสธสังคม, ปฏิเสธสมมุติ, ปฏิเสธไปหมด เย้ย แล้วทีนี้ มันจะอยู่กะอะไรละ? ก็ต้องโดดเดี่ยวนะสิ เพราะจะเอาแต่นิพพาน ไง เอาแต่อะไรที่มันเห็นว่าใช่ แค่อย่างเดียว แล้วมันก็เลยโดดเดี่ยวไงละ! ทั้งที่ มันไม่ต้องปฏิเสธอะไรเลย ทุกอย่างนั่นแหละ นิพพาน นิพถ้วย นิพไห โอ้ย ได้ทั้งนั้นแหละ ยอมรับมันซะทุกอย่าง นั่นแหละ จะไปกลัวอะไรในเมื่อ มันไม่ติดลบอยู่แล้ว บวกได้ทั้งหมดอยู่แล้ว แล้วจะกลัวอะไร ปฏิเสธอะไร? อีกเล่า ยอมรับไปซะ แล้วก็ทำให้มันเป็นบวกซี 555 จะโง่ไปปฏิเสธทำไม


อธิบายจนติดนิสัย ก็โอเคอ่ะ ถ้าเบื่อเมื่อไรก็จะได้เลิกอธิบาย โม้ดีกว่า 55


แล้วบางคนก็อธิบายเก่งนะ ขยันอธิบาย ให้กระจ่าง สว่างแจ้งเป็นดั่งแสง อาทิตย์ โอเคอ่ะ เวิร์ก เก่งว่ะ แต่ก็งั้นๆ ละ สู้โม้ไม่ได้ โม้ดีกว่า ยาวๆ เยอะๆ ไม่ต้องเข้าใจ เข้าใจแล้วมันติดใจ มันคาอยู่ในใจ มันดองอยู่ในใจ มันเลย มี "ขยะในหัวใจ" 555 อยากลืมเทอร์ ก็ลืมไม่ลง ปลงไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเอา เทอร์ออกไปจากหัวใจได้อย่างไร? โอ้ย ยิ่งไปฟังธรรมะดีๆ อธิบายเก่งๆ ก็ นะ ขยะเต็มหัวใจเลย เก็บมาเยอะ มาย่อย มาทำความเข้าใจ มาไว้ในใจก็ มากมาย ใจเลยไม่ใสปิ๊งๆๆๆ ว้าย อะไรนั่น ขี้! อยู่ในหัวใจ ยี้ ... ไปเอาขี้มา ไว้ในใจ เพราะเห็นว่ามันดี, มันถูก, มันเป็นธรรมะ, มันเป็นอะไรที่ถูกใจ ก็ ไป "เก็บอยู่ในหัวใจ" ดวงนั้น โอ้ย อย่าให้ร้องเป็นเพลง เดี๋ยวต้นฉบับเขา จะขายไม่ออก โฮ่ๆๆ เพราะเราหล่อเกินไป อ่ะจึ๋ย ตลก เอ้ย ตกลงว่า แม้ว่า โม้แล้วจะไม่มีใครเข้าใจ ก็ไม่เป็นไร เพราะ "หัวใจยังใสอยู่" ไงล่า ... ถ้า เข้าใจมากๆ อธิบายเก่งๆ มันก็เข้าใจหมด ขยะเลยเต็มหัวใจไงละจ๊ะ ที่รัก


ตลก ก็คล้ายแต่เราเจ๋งกว่าเยอะ, โกหก ก็เหมือนแต่เราใช่กว่ามาก หุๆๆ


เออแล้วอย่าเผลอหลงทางไปเจอะ พวกตลกเข้าละ ไม่ใช่พวกเรานะ มัน มีตั้งแต่ตลกธรรมดา ไปจนถึงตลกร้าย ระวังให้ดีละ เพราะพวกเขาไม่เจ๋ง เท่าเรา เจอแล้วเดี๋ยวจะจ๋อย ต้องเจอพวกเราจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเจ๋งกว่าตลก เยอะ เออ แล้วพวกขี้โกหกก็ไม่ใช่พวกเราน้าตัวเอง เพราะเราไม่ได้โกหก ไม่ได้โม้ เรามีใจใสซื่อ พูดจริงตรงใจของเราทั้งน้าน โกหกใครไม่เป็นครับ ไม่เชื่อลองเป็นแฟนกันดูสิ อ่ะจ้าก ล้อเล่น เดี๋ยวถ้าเราดังขึ้นมา จะมีคนมา เลียนแบบทำเป็นตลกบ้าง ก็ไม่เจ๋งแบบเรานะ, หรือมีคนโกหกมาทำตัวให้ คล้ายๆ เราบ้าง นี่ก็สู้เราไม่ได้อยู่ดี ก็บอกแล้วไง เราเหนือชั้น เจ๋ง กระเด้งๆ ได้ดีกว่าพวกชอบโกหก และพวกชอบตลก เยอะแยะเลย แบบว่ายังไงดีละ มันอธิบายไม่ได้ อธิบายไม่ถูก บอกได้คำเดียวว่า "มันสวดยอด" มากเลย เอาละ สังขารเริ่มสับสนนิดหน่อย วันนี้ เอาแค่พอเล็กน้อย ไปก่อนละคร้าบ


29 ก.ย. 2555

"เสียงจากชาวไซย่า"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การแพทย์ระดับควอนตัม ช่วย "สร้างใหม่" ซ่อนพลังภายในท่านได้ไม่ต้องกำเนิดใหม่

ที่รัก เหล่าเด็กแซ่บทั้งหลาย นี่เป็นอีกก้าวกระโดด หนึ่ง ที่จะช่วยให้ท่านเลื่อนระดับขึ้นได้ ช่ายแล้ว เรากำลังนำพาท่านเข้าสู่วิทยาการขั้นสูงขึ้นไปอีก และท่านต้องบินสูงขึ้นไปอีก ตอนนี้ภาษาทางโลก น่าจะเรียกว่า "ควอนตัม" สินะ มันเป็น วิทยาการ ในสากลจักรวาลที่พยายามเชื่อมต่อลงมายังโลก มนุษย์และผู้ที่รับมันได้ก็ได้เสนอทฤษฎีนั้นขึ้นทว่า มันยังไม่สมบูรณ์นัก มันยังขาดหายไปมาก และ ทำให้มนุษย์โลกเข้าใจในสิ่งนี้น้อยมาก ดังนั้น เรา จำเป็นที่ต้องเชื่อมต่ออีกครั้ง เพื่อให้ท่านเกิดความ เข้าใจในเรื่องนี้อย่างชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะมันมี ความสำคัญกับขั้นตอน "การสร้างใหม่" และการ กำเนิดใหม่ อันนำไปสู่การเลื่อนระดับในที่สุด ดังจะ อธิบายแก่ท่านต่อไปนี้


เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงพื้นฐานของ "การแพทย์ระดับควอนตัม" เราจะขอ อธิบายหลักการพื้นฐานของ "สรีระวิทยาระดับควอนตัม" ให้แก่ท่านก่อน กล่าวคือ ตัวตนที่ท่านเห็นนั้นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่เป็นเพียง "แสงจาก ดวงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้าตาของท่าน" ตาของท่านยังไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ ในฐานะตัวตนของมันที่แท้จริงเลยสักครั้ง เพราะตาของมนุษย์รับได้แต่ แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์เท่านั้น สิ่งที่เราจะเปิดให้ท่านรู้ต่อไปนี้ เป็นดั่ง "ดวงตาพิเศษ" ที่จะทำให้ท่านเห็นสิ่งต่างๆ ที่มันเป็น อย่างที่มันเป็นได้


เมื่อท่านได้เห็นอย่างที่เราเห็นแล้ว ท่านจะไม่เห็นตัวตนเชิงวัตถุอีกต่อไป ท่านจะเห็นสิ่งต่างๆ เหมือนพลังงานกลุ่มหนึ่ง มันเป็นพลังงานละเอียดใน ระดับควอนตัม ซึ่งไม่เที่ยง แปรปรวน และมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง (ในระดับควอนตัม) และถ่ายทอดถ่ายเท จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งได้เสมอๆ ในแต่ละช่วงเวลา แปรเปลี่ยนไม่เหมือนเดิม แม้แต่ตัวตนของท่าน ก็เป็นเหมือนก้อนพลังงานที่ไม่เที่ยง มีกระแสพลังที่ แผ่ออกและเดินทางจากตัวท่านไปรอท่านในอนาคต เพื่อรอที่จะก่อตัวเป็น "ตัวตนในอนาคต" ของท่านนั่นเอง ก่อนที่เราจะขยายองค์ความรู้ของตัว ตนเชิงซ้อนหลากมิติของท่านไปมากกว่านี้ เราจะขอจำกัดการเรียนรู้ให้มี ความเรียบง่ายขึ้นเป็นพื้นฐานก่อน โดยเราจะใช้ "ตัวตนเชิงสังขาร" ของ ท่านเป็น "ตัวตนแห่งสรีระที่เราจะศึกษา" ซึ่งตัวตนนี้จะมีพลังงานเชิงซ้อน ในระดับควอนตัมอยู่ภายใน เราจะศึกษาเฉพาะตัวตนตัวนี้ "ตัวเดียว" ก่อน สำหรับตัวตนตัวอื่นๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันในเครือข่ายนั้น เราจะยังไม่อธิบาย


ให้ท่านลองจินตนาการถึง "ตัวตนแห่งพลังงานในระดับควอนตัม" ของ ท่าน ซึ่งเป็นเหมือน "กลุ่มแสง" กลุ่มหนึ่ง เป็นพลังงานที่ซับซ้อน และมี "องค์ประกอบย่อยๆ" มากมายประกอบกันขึ้นมาเป็นหนึ่งตัวตน เหมือน สังขารของท่านที่มีอวัยวะต่างๆ ฉะนั้น แต่อวัยวะในระดับควอนตัมนี้ จะ มีความแตกต่างไปบ้างจากระดับสังขารนั้น ซึ่งเราจะค่อยๆ อธิบายต่อไป


ระบบพลังงานในจักรวาลเป็นระบบเปิดทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ปิดกั้นได้อย่าง แท้จริง สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นระบบปิดนั้น อาจเป็นไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้น แม้แต่ตัวตนเชิงพลังงานระดับควอนตัวของท่านเอง ก็เช่นกัน มันมี ระบบเปิดอยู่ และเพราะมันเปิด มันจึงแลกเปลี่ยน, ได้รับและถ่ายทอดพลัง ต่างๆ ระหว่างภายนอกและภายในระบบของมันได้ และผลคือ บางครั้ง มัน ดีขึ้น, สว่างขึ้น หรือเลื่อนระดับขึ้น แต่บางครั้ง มันก็แย่ลง, มืดลง หรือตก ต่าลงจากระดับเดิม ก็ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวตนเชิงพลังงานระดับควอนตัม ของท่านคือ "การเจ็บป่วยในระดับชั้นของพลังงาน" และความผิดปกติใน อวัยวะระดับพลังงานควอนตัม และเมื่อท่านเจ็บป่วยแล้ว ท่านจึงจะต้องได้ รับการรักษาเยียวยา ในกระบวนการนี้หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ตัวตนเชิงพลังงานระดับควอนตัมของท่านมากๆ ก็จะเรียกว่าเป็นการสร้าง ใหม่ เหมือนการผ่าตัดใหญ่เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ศัลยกรรมเสริมความ งามหรือการผ่าตัดแปลงเพศเลยทีเดียว ทว่ายังไม่ถึงขั้นตายแล้วเกิดใหม่ ที่เรียกว่า "การกำเนิดใหม่" หรอกนะ กระบวนการ "สร้างใหม่" นี้ มันเป็น แค่การรักษาเยียวยาที่มากไปกว่าปกติเหมือนการผ่าตัดใหญ่ ก็เท่านั้นเอง


เมื่อใดที่ "ตัวตนเชิงพลังงานระดับควอนตัม" ของท่าน มีพยาธิสภาพไป มันจะยังไม่ส่งผลกระทบไปยัง "ตัวตนเชิงสังขาร" ของท่านในทันที แต่ จะมีแนวโน้มในอนาคตที่จะเป็นไปได้สูงถ้าไม่ได้รับการบำบัดเยียวยา ซึ่ง บางครั้ง ท่านก็สามารถรักษามันได้ด้วยตนเอง เพราะตัวตนเชิงพลังงาน ระดับควอนตัมของท่านมีความสามารถในการ "ฟื้นคืน" และรักษาตัวมัน เองอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ความสามารถในการรักษาตัวเองนี้ ไม่เท่ากันใน แต่ละคน และในแต่ละช่วงเวลา ทำให้ความสามารถในการฟื้นคืนไม่เท่า กันด้วย ทำให้ท่านที่มีพลังแห่งการบำบัดน้อยกว่า จำจะต้องอาศัยการให้ ความช่วยเหลือจากท่านที่มีพลังในการบำบัดรักษามากกว่า และด้วยเหตุ นี้ เราจึงเลือกที่จะถ่ายทอดวิทยาการนี้แก่ท่าน เพื่อหวังว่าท่านจะเป็นส่วน หนึ่งที่ช่วยในกระบวนการรักษาเยียวยาเล็กๆ จนกระทั่งในกรณีที่ต้องได้ รับการผ่าตัดในระดับควอนตัมครั้งใหญ่ที่เรียกเฉพาะว่า "การสร้างใหม่"


นี่คือ "หัวใจสำคัญ" ที่จะทำให้ท่านเข้าใจกระบวนการ สร้างใหม่ ได้มาก ขึ้น นั่นเอง เรากำลังพัฒนาท่านไปสู่กระบวนการนี้ เพื่อให้ท่านมีส่วนร่วม ในการสร้างใหม่ อย่างที่เราได้บอกท่านแล้วว่าการสร้างใหม่นี้ ไม่ใช่การ กำเนิดใหม่ จึงไม่มีลักษณะของการตายของสิ่งเก่า และเกิดสิ่งใหม่ขึ้นแต่ อย่างใด แต่มันคือ "การบำบัดรักษาสิ่งเก่าให้ดำรงต่อไปได้" ก็เท่านั้นเอง ซึ่งวิทยาการนี้ ไม่ใช่เฉพาะแต่การรักษาตัวตนเชิงพลังงานระดับควอนตัม ของท่านเท่านั้น มันยังใช้ขยายผลเป็นหลักการในการรักษาสิ่งอื่นๆ ได้อีก เช่น การรักษาสังคมโลกมนุษย์, ระบบระบอบต่างๆ ที่กำลังป่วยหนัก ฯลฯ


ใช่แล้ว สิ่งที่เราให้แก่ท่านเป็นเพียง "พื้นฐานขั้นต้นของการสร้างใหม่" ก็ เท่านั้น เมื่อท่านได้เข้าถึง, เข้าใจ และสามารถทำได้แล้ว ท่านยังสามารถ ขยายผลไปสู่การบำบัดเยียวยาสิ่งอื่นๆ ได้มากขึ้น และเราก็หวังว่าท่านจะ ทำได้เช่นนั้น เพราะเราไม่มีเวลามากพอที่จะขยายผลวิทยาการเหล่านี้ให้ แก่ท่านมากนัก ดังนั้น ขอให้ท่านที่สนใจ "กระบวนการสร้างใหม่" และคิด มีส่วนร่วมในการสร้างใหม่ พยายามให้มาก เพราะมันก็คือพื้นฐานสำคัญ


เพื่อให้ท่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น เราจะขออนุญาติยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างที่กระทบบางท่านบ้าง ต้องขออภัยด้วย กล่าวคือ ในบางท่าน มีปัญหาระดับ "ตัวตนเชิงพลังงานควอนตัม" ในขณะที่ สังขารของเขายังปกติดีมาก ตัวตนเชิงพลังงานควอนตัมของเขาอาจ มีปัญหาในบางจุดเหมือนการอักเสบหรือพยาธิสภาพของอวัยวะร่าง กายได้ เช่น "กลุ่มพลังงานแห่งความรู้" ซึ่งจะทำหน้าที่แปลงสภาพ ข้อมูล, ความรู้ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องได้ เหมือนกับตับที่สามารถ เปลี่ยนแปลงสสารที่ร่างกายได้รับ ให้เป็นสสารที่ดีต่อร่างกายได้นั้น มันอาจเกิดปัญหาขึ้น เหมือนกับคนที่กินเหล้ามากๆ ตับแข็ง ตับมีพิษ ของเหล้าสะสมมากๆ เช่นกัน "กลุ่มพลังงานแห่งความรู้" ซึ่งเป็นดั่ง อวัยวะหนึ่งของตัวตนเชิงพลังงานควอนตัมของท่าน ก็อาจมีปัญหา เช่นนั้นได้ เช่น เมื่อท่านได้รับข้อมูลความรู้ที่ไม่เหมาะสม มากเกินไป เหมือนกินเหล้ามากเกินไปจนตับได้รับพิษ มันจะเกิดพิษขึ้นในอวัยวะ นั้นได้ และส่งผลให้ท่านมีปัญหามากในการรับความรู้, ใช้ความรู้และ ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในที่สุด เช่น รู้มากจนทะเลาะกับคนอื่นๆ ไปเรื่อย, รู้มากจนชีวิตยุ่งเหยิง หาความสุขไม่ได้, รู้มาก แต่กลับยิ่งใจแคบลง ฯลฯ เป็นต้น ภาวะอาการเหล่านี้เป็นการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งในระดับชั้น ของพลังงานควอนตัม ที่ควรจะได้รับการรักษา หรือการผ่าตัดใหญ่เพื่อ เปลี่ยนอวัยวะในระดับควอนตัมที่เสียหายนั้น ให้กลับคืนมาปกติดังเดิม


ที่รัก ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ขณะที่มีคนไข้ที่อาการหนักและรอการผ่าตัด ใหญ่ในระดับควอนตัมนี้ มากมายเหลือเกิน แต่เราขาดแคลนแพทย์ใน ระดับควอนตัมนี้อย่างมาก! ดังนั้น เราจึงต้องการ การร่วมแรงร่วมใจ จากท่าน หาวิธีเลื่อนระดับให้แก่ท่าน เพื่อให้ท่านรับภารกิจสำคัญนี้


และเพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่ามีคนไข้ในโลกนี้มากมายเพียงใด ที่รอคอยความช่วยเหลือจากท่านอยู่ เราจะขอยกตัวอย่างอาการดังนี้


1. ยิ่งรู้มาก ยิ่งบาดหมางมาก ยิ่งทะเลาะมาก ยิ่งมีเรื่องมาก ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งเข้ากับใครได้ยาก ยิ่งมีปัญหาด้านต่างๆ มาก นี่เป็นอาการของอวัยวะ แห่งความรู้ ซึ่งอยู่ในระดับควอนตัมได้รับพิษบางอย่างคล้ายโรคตับแข็ง

2. เป็นคนเหมือนคนในอุดมคติมากไปจนไม่เหมือนมนุษย์ปกติ เช่น เป็น เหมือนพระอรหันต์ที่ประเทศไทยต้องการ ไม่มีกิเลสเลย ผิดปกติมนุษย์ ทว่า ไม่ใช่มาจากผลของการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่มาจากพยาธิสภาพของ "อวัยวะในระดับควอนตัม" เช่น การสูญเสียอวัยวะในการรับรู้หรืออารมณ์

3. เป็นคนที่ถูกสร้างให้เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ จนสำเร็จแต่สูญเสียไป ซึ่งธรรมชาติดั้งเดิมของตนแล้ว อวัยวะในระดับควอนตัมของท่านบางชนิด อาจเสื่อมสภาพ หรือขาดหายไป เช่น อวัยวะแห่งความเป็นเด็กที่ใสซื่อ มัน ถูกทำให้สิ้นไป และแทนที่ด้วยอย่างอื่นแทน หรือกลายเป็นคนใหม่ที่ไม่เป็น ธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น ถูกสร้างให้เป็นอย่างอื่นที่ผิดธรรมชาติไปแล้ว

4. สูญเสียธรรมชาติบางอย่างของตนเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งบางอย่าง ทำให้ กลายเป็นคนใหม่ไม่เหมือนเดิม สูญเสีย "ความสว่างไสว" ของอวัยวะบาง ชนิด ทำให้การทำงาน, พฤติกรรม, การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เช่น กลายเป็น คนเย็นชา, ไร้ความรู้สึก, รักใครไม่เป็น ฯลฯ อันอาจเกิดจากการสูญเสีย อวัยวะระดับควอนตัมที่เหมือน "ดวงใจ" ไป ทำให้ต้องกลายเป็นเช่นนั้น


นี่เป็นอาการต่างๆ ที่ท่านจะสามารถสังเกตุเห็นได้ในสังคมของท่าน แล้ว ท่านจะทราบว่ารอบตัวของท่าน ผู้คนมากมาย ล้วนมีปัญหาพยาธิสภาพ ในระดับควอนตัมกันมากมายและรอคอยการบำบัดรักษาเหมือนการผ่าตัด ใหญ่ ที่เรียกว่า "การสร้างใหม่" อยู่มากมายเลยทีเดียวเลย ใช่หรือไม่?


ต่อไปนี้ คือ "วิธีการบำบัดรักษา" ของวิทยาการการแพทย์ระดับควอนตัม ซึ่งมีขั้นตอนเหมือนการแพทย์แผนปัจจุบันของท่าน อย่างแรก คือ การ ตรวจวินิจฉัยโรค ซึ่งเริ่มจากการสังเกตุ, สัมภาษณ์คนไข้ และการตรวจ ด้วย "เครื่องมือพิเศษ" เช่น ตาทิพย์ เป็นต้น เมื่อท่านได้ข้อมูลมากพอจึง วินิจฉัยโรคได้ชัด หรือในกรณีทำงานเป็นทีม และท่านได้เชื่อมต่อกับตัว ตนเบื้องบนที่สูงขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานท่าน พวกเขาอาจส่งข้อมูล ให้คุณถึงโรคที่เขาเป็นอย่างชัดเจน โดยท่านไม่ต้องตรวจวินิจฉัยเลย!


ขั้นตอนต่อไป คือ การเลือกแนวทางในการรักษา ซึ่งอาจมีหลายทางเลือก ในขั้นตอนนี้ คนไข้จะมีส่วนร่วมด้วย เพื่อเลือกทางของเขาเองว่าจะรับการ บำบัดรักษาในแนวทางใด ซึ่งท่านควรเปิดกว้างให้เขาได้เลือกทางเองเช่น การเปลี่ยนอวัยวะในระดับควอนตัม บางครั้ง ท่านต้องหาอวัยวะในระดับนั้น ให้ได้ ซึ่งเป็นการยากเกินไป หรือล่าช้าไม่ทันเวลา หรือบางท่านอาจเลือก ที่จะ "ปลูกถ่ายใหม่" โดยใช้พลังงานที่ถูกต้องเป็นแบบ แล้วถ่ายเข้าสู่ร่าง ของคนไข้ จากนั้นจึงหาวิธีเพาะเลี้ยงให้เติบโตขึ้นจนมากพอที่จะแทนที่สิ่ง เดิมได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้ที่สูญเสียดวงใจในระดับควอนตัมเป็นคนที่ไร้ ใจ ไร้อารมณ์ ไม่มีความรู้สึกร่วมกับใครอาจได้รับการปลูกถ่ายพลังงานใน ระดับควอนตัมแบบหัวใจ จากดวงเล็กๆ ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ก็จะเติบโต มากพอจนกลายเป็น "คนที่มีหัวใจใหม่" ได้ในที่สุด นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งใน การรักษา ซึ่งมีอยู่มากมายหลายวิธี ดังที่ได้บอกแล้วว่าคนไข้นั้นเลือกได้


ข้อแตกต่างอย่างยิ่งของ "แพทย์ควอนตัม" คือ แพทย์ในระดับควอนตัม ต้องมีพลังงานควอนตัมที่ดีมากๆ มีพลังและความบริสุทธิ์ เป็นต้นแบบที่ ดีงามก่อน มีสุขภาพในระดับควอนตัมที่ดีมาก เพราะในการรักษานั้น จะ ใช้ "พลังงานของแพทย์ผู้รักษา" เป็นต้นแบบ มากกว่าการแสวงหายา ใดๆ หรือก็คือ "การถ่ายทอดพลังงานที่ดี" เข้าไปแทนที่พลังงานที่เสีย ขับพลังงานส่วนเสียออก และแนะนำวิธีเพาะเลี้ยงพลังงานที่ดีนั้น ให้มี การเจริญเติบโตถาวรต่อไป ไม่เสื่อมถอยจนเกิดพยาธิสภาพเช่นเดิมอีก


ดังนั้น ผู้ที่จะเข้ามาเป็น "ผู้บำบัดรักษาในระดับควอนตัม" (Quantum Healer) ได้นั้น จำเป็นต้องผ่านการเลื่อนระดับก่อนและได้เข้าสู่ในระดับ ของ Healer แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถบำบัดรักษาผู้อื่นได้ ข้อนี้แตกต่าง จากแพทย์แผนปัจุบันของท่าน ที่จะต้องมีความรู้ก่อน เน้นความรู้เป็นสิ่งที่ สำคัญ แต่สำหรับ Quantum Healer แล้ว ความรู้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ "พลังงานภายในของท่าน" มีความสามารถ ในการบำบัดรักษาหรือไม่? ถ้าไม่มี ก็ไม่อาจเป็น Quantum Healer ได้


มาถึงตรงนี้ ท่านคงเห็นความสำคัญของ Quantum Healer ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการ "สร้างใหม่" ซึ่งไม่ใช่การกำเนิดใหม่ นั้น ท่านมีความสำคัญมากและไม่น้อยไปกว่า "ผู้ปลดปล่อย" ในขั้นตอน ของกระบวนการปลดปล่อยเลย และมีความสำคัญไม่ต่างจาก "พระบิดา" ในขั้นตอนของกระบวนการ "กำเนิดใหม่" อีกเช่นกัน แน่นอนว่าแต่ละคน มีภาระหน้าที่ที่ต่างกัน และมีความสำคัญเทียบเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ ปลดปล่อย, องค์ธรรมบิดา, ผู้ชำระล้าง, และ Quantum Healer เอง ก็เช่นกัน ทุกท่านต่างล้วนมีส่วนช่วยในกระบวนการ "เลื่อนระดับ" ทั้งสิ้น


สุดท้ายนี้ เราหวังว่าท่านจะเห็นความสำคัญในข้อมูลที่เราได้บอกแก่ท่าน และเพียรพยายามที่จะเลื่อนระดับตัวของท่านเองขึ้นไป เพื่อเข้าสู่ภาระกิจ สำคัญที่รอท่านอยู่เบื้องหน้า ซึ่งเราได้แจกแจงแก่ท่านไปบ้างบางส่วนแล้ว เด็กน้อย เด็กแซ่บทั้งหลายเอ๋ย มีผู้คนอีกมากมายที่รอท่านอยู่เบื้องหน้า ที่ รอให้ท่านปลดปล่อย ก็ดี, ชำระล้าง ก็ดี, สร้างใหม่ (รักษา-เยียวยา) ก็ดี แม้พวกเขามีจำนวนมากกว่าท่านเหลือเกินแต่ท่านก็คือ "ความหวัง" ของ พวกเขาเหล่านั้น ที่จะนำพาพวกเขาสู่ความสว่างไสวและเลื่อนระดับต่อไป หวังว่าท่านจะไม่ทำให้เราผิดหวัง เดินหน้าต่อไป เพื่อทำหน้าที่สำคัญของ ท่านทุกคน ด้วยพลังไฟแห่งความสร้างสรรค์ เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถ ของท่านทุกคน เพื่อชัยชนะในท้ายที่สุดนั้นจะมีค่าสมความเพียรนั้นทีเดียว


12 พ.ค. 2555

"เสียงจากจักรวาล"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังแห่งการเชื่อมเป็นหนึ่งกับ "ตัวตนในอนาคต" ทำให้คุณสร้างอนาคตขึ้นได้ ณ วันนี้

ที่รัก เหล่าเด็กแซ่บทั้งหลาย หวังว่าท่านคงไม่แปลก ใจที่เราเรียกท่านว่าอย่างนี้ เราติดต่อทานมาหลาย ครั้งแล้ว เพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ เริ่มจากการคลาย ความกังวลเรื่องภัยพิบัติมาจนถึงเรื่องภาระกิจใน การเปลี่ยนโลกนี้ของท่าน ด้วยมือของท่านเอง ที่ ท่านไม่อาจหลีกหนีหรือปฏิเสธได้ เพราะทันทีที่ได้ ส่งท่านมาเกิดบนโลกนี้ การเกิดของท่านก็กระทบ โลกแล้วในทันที ดังนั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของท่านที่ จะนำทิศทางในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ไปในทาง ที่เจริญมากยิ่งขึ้น อนึ่ง ท่านคงสังเกตุเห็นได้ว่าเรื่อง ราวที่เราได้ถ่ายทอดแก่ท่านหลังๆ จะยิ่งยากแก่การ ยอมรับหรือเปิดใจรับมากยิ่งขึ้น และนี่แหละ วิธีการ "เลื่อนระดับขึ้น" ของเรา ท่านจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราได้ บอกแก่ท่านเป็นเรื่องยากแก่การยอมรับของท่าน มากขึ้น นั่น แสดงว่าเรากำลังจะพาท่าน "บินสูงขึ้น" นั่นเอง เหล่านกน้อย ทั้งหลาย แต่อย่าได้กลัวลมพายุ หรือความสูง เพราะในวันหนึ่งท่านก็ต้อง "โผบินเดี่ยว ด้วยตัวเอง" สูงน่านฟ้าที่สูงขึ้นอยู่แล้ว นี่หละ วิถีแห่งการเลื่อนระดับ มันย่อมพาท่านสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่องที่จะบอกแก่ท่านต่อไปนี้ นับเป็นเรื่องที่ยากต่อการเปิดรับ อย่างมาก ท่านต้องมีระดับชั้นทางจิตวิญญาณที่ใกล้เคียงกับ "ไอสไตน์" เลยทีเดียว เพราะเรากำลังพูดเรื่อง "ความจริงใน มิติแห่งกาลเวลา" ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากต่อการเข้าใจในมิติที่ท่าน กำลังเป็นอยู่ แต่ช่างเถอะ นกน้อยทั้งหลาย ถ้าเจ้าไม่กล้าโผ บินในวันนี้ แล้วเจ้าจะกล้าบินด้วยตัวเองได้ในวันไหน ใช่ไหม?


เราขอปูพื้นฐานให้ท่านอย่างง่ายที่สุดเพื่อให้ท่านเข้าใจความจริงในมิติ แห่งการเวลา เริ่มจากให้ท่านลองจินตนาการถึงเส้นจำนวน ท่านยืนอยู่ ณ จุด 0 เบื้องหน้าท่านไป เป็นบวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ "อนาคต" ด้าน หลังของท่านยาวไกลออกไป เป็นลบไปเรื่อยๆ ก็คือ "อดีต" ทีนี้ ตัวตน ของท่าน "มีครบทุกมิติ" เรากำลังบอกถึงตัวตนที่แท้จริงของท่าน ซึ่ง ไม่ใช่สังขารเดียวที่ท่านแบกอยู่นี้ ตัวตนที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายหนึ่ง เดียวกันนั้นจะมี "ตัวตนของท่านในอดีต" เราขอเรียกเขาว่า Shadow เขามีหน้าที่เดินตามท่านเหมือนเงาตามตัว เพื่อให้ท่านสมบูรณ์ขึ้นในมุม ของอดีต และยังมี "ตัวตนของท่านในอนาคต" เราขอเรียกว่า Shine เมื่อใดที่ท่าน "ถอยหลัง" ท่านจะค่อยๆ ถูกกลืนไปกับ Shadow แต่ถ้า ท่าน "ก้าวหน้า" ท่านจะค่อยๆ กลมกลืนไปกับ Shine ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็ คือ ตัวตนที่หลากหลายในมิติแห่งกาลเวลาของท่าน ทว่า ตัวตนที่หลาก หลายเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียง 3 ตัวตนเท่านั้น ให้ท่านลองจินตนาการว่ามี เส้นทางเดินไปข้างหน้าของท่านมากมายเหมือนชุมสายรถไฟ และมีเส้น ทางจากเบื้องหลังมาบรรจบที่ตัวท่านเหมือนชุมทางรถไฟเหมือนกัน ทุก เส้นทางจะมี 1 ตัวตนประจำการณ์อยู่ หมายความว่า เมื่อใดที่ท่านเลือก เส้นทางสายใดสายหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตก็ตาม ท่านจะได้รับ การนำทางด้วย "ตัวตนในเส้นทางสายนั้นๆ" ซึ่ง "เขามีบทที่ต้องเล่นอยู่ แล้วอย่างชัดเจน" ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ได้รับสิ่งใดบ้าง แตกต่างกัน ไป ทั้งหมดมีอยู่แล้ว รอเพียง "ท่านเลือก" เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นตัวตน ในอดีตตัวใด หรืออนาคตตัวใด ล้วนมีอยู่แล้วทั้งหมด เพราะท่านไม่อาจ หนีตัวตนในอดีตที่ท่านทำทิ้งไว้ได้และเบื้องหน้าของท่านก็มี "ตัวตน" ใน อนาคตที่รออยู่อีกด้วย หรือคือ ท่านไม่ได้เป็นคนแรกที่เดินทางสายนี้หรอก มีตัวตนตัวใดตัวหนึ่งเสมอที่จะเดินนำหน้าไปรอท่านอยู่ก่อนแล้ว และเขาจะ คอยส่องแสงนำทางท่านก็เพียงเท่านั้น เมื่อท่านเลือกเขา ท่านจะเชื่อมโยง เป็นเสมือนหนึ่งเดียวกับเขา แต่ท่านอยู่ที่ปัจจุบัน ในขณะที่เขาอยู่ที่อนาคต


ในตัวของท่านมี "ตัวตนแห่งพลังงานเชิงซ้อน" ที่ซ้อนๆ กันอยู่ในสังขาร และตัวตนเหล่านี้ สามารถเคลื่อนไปรอท่านในอนาคตที่เรียกว่า Shine ก็ ได้ ซึ่งถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาก็จะกลายเป็นตัวตนในอนาคตหรือเดินทาง ไปสู่อนาคตเพื่อรอส่องแสงสว่างให้แก่ท่าน (ซึ่งท่านอยู่ ณ ปัจจุบัน) ซึ่ง เราเรียกกระบวนการนี้ว่า "การสร้างอนาคต" ด้วยส่วนเสี้ยวหนึ่งของตัว ตนในปัจจุบัน หรือก็คือตัวตนแห่งพลังงานเชิงซ้อน บางตัวตนของท่านที่ เคยอยู่ ณ ปัจจุบัน ได้เคลื่อนไปสู่โลกแห่งอนาคต กลายเป็นตัวตนอนาคต ที่รอคอยส่องแสงนำทางท่าน นั่นเอง และด้วยวิธีนี้ ท่านจึงกำหนดอนาคต ได้ด้วยตนเอง ณ ปัจจุบัน ตัวตนที่เคลื่อนไปรอท่าน ณ อนาคตนั้น ก็จะวาง แบบแผนชีวิตให้แก่ท่าน เพื่อให้ท่านเดินตามแสงสว่างที่เขาส่องลงมาให้


แต่ถ้ามี "ตัวตนแห่งพลังงานเชิงซ้อน" บางตัวตนของท่าน เลือกถอยหลัง กลับไปสู่อดีต ท่านก็จะสามารถสร้างตัวตนตัวใหม่ในอดีตขึ้นมาได้ที่ชื่อว่า "Shadow" นั่นเอง ในกรณีนี้ Shadow ที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น จะเดินตาม ท่านเป็นเงาตามตัว เหมือนในอดีตบางอดีตของท่านที่ได้ "ปิดไปแล้ว" แต่ มันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วย "ส่วนหนึ่งของตัวตนปัจจุบันของท่าน" อีกครั้ง หมายความว่า ในอดีตท่านได้ "ชำระล้าง" ตัวตนในอดีตตัวนี้สิ้นไปแล้วแต่ ปัจจุบัน ท่านได้สร้างตัวตนในอดีตตัวนี้ ให้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และ มันไม่ดีต่อท่านสักเท่าใดนัก เพราะมันจะคอยส่งพลังงานเชิงลบมากระทบ ท่านที่ได้สร้างมันขึ้นมาเสมอ ทำให้ท่านต้องได้รับอุปสรรคในชีวิตมากมาย


หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ "คุณไม่ควรสร้างตัวตนในอดีตให้เกิดขึ้นมาอีก" แต่ควร "สร้างตัวตนในอนาคตไว้เพื่อส่องนำทางคุณ" นั่นคือ การ เลือกที่ฉลาดที่สุด ที่เราจะสามารถแนะนำแก่ท่านได้ อย่างไรหรือ? ก็คือ การไม่ทำสิ่งใดที่จะทำให้ท่านเสื่อมต่ำลง "ซ้ำแล้วซ้ำเล่า" อีก เพื่อไม่ให้ตัวตนในอดีตของท่าน ที่ผ่านการชำระล้างแล้ว ได้ฟื้นคืน ชีพขึ้นมาตามหลอกหลอนท่านอีกครั้ง และการเลือกที่จะทำสิ่งที่นำ พาท่านไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างหลากหลายตามความปรารถนา คือ การเลือกทำสิ่งที่ดีที่ท่านคิดว่าเป็นเครื่องนำทางท่านได้ในอนาคตไว้ เพื่อวางแผนการเดินทางสู่อนาคต หรือคือกำหนดอนาคตด้วยตนเอง นั่นเอง ดังนั้น "อย่าเดินตามเงา" ท่านจงหันหน้าเข้าหาแสงสว่างทั้ง สร้าง "ขุมพลังแห่งแสงสว่าง" ขุมใหม่ๆ เพื่อไว้ส่องทางรอท่าน ใน อนาคต นั่นเอง ทว่า ท่านจะจัดการอย่างไรกับ "พลังงานจากอดีต" ที่มาจากตัวตนในอดีต (Shadow) ซึ่งคอยรบกวนและหลอกหลอน ท่านอยู่เสมอดุจเงาตามตัว? วิธีที่ดีที่สุดคือ "การชำระล้างตัวตนนั้น เสีย" เพื่อให้กำเนิดใหม่เป็น "ตัวตนแห่งอนาคตที่สว่างไสว" และด้วย วิธีนี้เอง ท่านจึงกำจัดต้นตอของ "พลังงานเชิงลบจากอดีต" ให้หมด ไปได้ หรือก็คือ การพยายามระลึกถึงความผิดพลาดในอดีตแล้วทำให้ กระจ่างเสีย หมดสิ้นเสีย ไม่ติดเป็นนิสัยเสีย ทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่ที่ ดีกว่าเสีย ด้วยวิธีนี้เอง จึงทำให้ท่านควบคุมพลังงานในอดีตให้ดีขึ้นได้


นอกจากนี้ยังมีวิธี "ส่งพลังงานที่ดีไปสู่โลกอนาคต" เพื่อเตรียมพร้อมตัว ท่านเองในอนาคต วิธีการคือ ให้ท่านเลือก Thought form ที่ง่ายและ ชัดเจนที่สุด เพื่อนำทิศทางของท่านในอนาคต สร้างเสริมพลังให้แก่มัน เพื่อให้มันชัดเจนและเป็นจริงได้ยิ่งขึ้น เช่น ระลึกถึง Thought form รูป "ธนู" ให้ท่านลองจินตนาการว่า "เป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้าของ ท่าน" เป็นอย่างไร? ลองนึกมันให้เป็นภาพที่ชัดเจนเหมือนเห็นเป้าธนู ตรงหน้าที่ไกลออกไป 10 ปีนั้น จากนั้น ให้มองภาพกว้างๆ รวมๆ ก่อน เหมือนเป้าธนูใหญ่ๆ แล้วค่อยๆ เล็งไปยังจุดหมายที่ต้องการ คือ จุดที่ดี ที่สุด เล็กแต่มีความสำคัญมากที่สุด เล็งจุดนั้นให้แม่นยำชัดเจน แล้วจึง ระลึกว่าท่านซึ่งเต็มเปี่ยมพร้อมแล้วด้วยพลังแห่งความสว่างไสว ได้เป็น ดังเช่นลูกธนู ที่พุ่งตรงไปข้างหน้านั้น ตรงไปยังเป้าหมายนั้น และตรงไป ยัง "จุดที่สำคัญที่สุด" นั้น อย่างแน่วแน่ชัดเจน และมั่นใจยิ่ง ยิ่งท่านเห็น ตัวตนของตัวเองในอนาคต อย่างหนึ่งอย่างใดได้ ให้ท่านเชื่อมโยงจนเป็น หนึ่งเดียวกับตัวตนนั้นๆ ทันที นั่นก็คือ "เป้าหมายเชิงรูปธรรม" ของท่าน พลังจิต ณ ปัจจุบันนี้ของท่าน จะนำพา นำทางท่านไปสู่ตัวตนแห่งอนาคต ตัวนั้นๆ ที่ท่านได้เล็งเอาไว้เป็นเป้าหมายของท่าน ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพลัง แห่งความสว่างไสวและความเชื่อมั่น เหมือนท่านศรัทธาเทพเจ้าองค์หนึ่ง ท่านควรเชื่อมั่นและศรัทธาใน "ตัวตนแห่งอนาคต" ของท่านนี้ ดุจเช่นกัน


เคล็ดลับที่สำคัญสำหรับ "นักท่องกาลเวลา" คือ ท่านไม่ควรเดินตามเงา ของตนเองและไม่ควรเป็นเงาของใคร เพราะเมื่อใดที่ท่านทำเช่นนั้น ท่าน ก็ล้าหลังเต็มทนแล้ว แต่ท่านควรมุ่งหน้าไปสู่ "ตัวตนแห่งอนาคต" ซึ่งรอ ท่านอยู่มากมายหลายแบบ การสัมผัสไปถึงตัวตนแห่งอนาคตทั้งหลายนี้ ทำให้ท่านเห็น "รูปธรรมที่เป็นไปได้ของท่านเองในอนาคต" ซึ่งมีทางไป อยู่หลายทาง เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ท่านก็สามารถ "เลือก" ตัวตนในอนาคต ตัวใดตัวหนึ่งได้ตามที่ท่านปรารถนาหรือถ้าหากท่านไม่พอใจ ท่านก็สร้าง ตัวตนในอนาคตตัวใหม่ๆ ขึ้นมาแล้วส่งเขาไปรอท่านที่โลกในอนาคตแทน ก็ได้ เช่นกัน สิ่งสำคัญในการเลื่อนระดับด้วยวิธีนี้คือ "ท่านควรท่องไปใน โลกอนาคต" คือ ก้าวหน้าไปเสมอ ไม่ควรย้อนถอยหลังไปอีก ทว่า ตลอด ระยะทางการเดินทางของท่าน ท่านไม่อาจจะเลือกได้เสมอไป และกาลทั้ง สามจะปรากฏร่วมกันเสมอๆ มันจะประสานกันด้วยแสงที่สาดส่องตัวท่าน (อนาคต) และเงาที่ตามหลังท่านมา (อดีต) และทั้งสามกาลนี้ปรากฏร่วม กัน อย่างสมบูรณ์พร้อม ไม่มีขาดหายหรือบกพร่องไปเลย เพียงแต่ว่าท่าน จะหันหน้าไปทางใด และมองเห็นสิ่งนี้อย่างไร? แน่นอนว่าในมิติที่ต่ำกว่านี้ ท่านยังเห็นอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจนอยู่ดี


อนึ่ง ตัวตนในอดีตไม่ใช่ตัวตนที่เลวร้ายเสมอไป แต่ถ้าตัวตนในอดีตของ ท่านกลายเป็นแสงสว่างเมื่อใด มันจะไม่ทำหน้าที่อดีตอีกต่อไปแล้ว มัน จะถูกเลื่อนระดับให้ไปทำหน้าที่ใน "โลกอนาคต" เท่านั้น เช่นกัน ตัวตน ในอดีตที่ไม่ดีนัก จะตกอยู่ในโลกอดีตยาวนานจนกว่าจะ กำเนิดใหม่ ได้ หรือบางครั้ง "ตัวตนในอนาคต" เอง หากมี "ส่วนที่มืดดำ" ก็อาจกลาย เป็น "จุดกำเนิดใหม่ของตัวตนในอดีต" ทำให้ตัวตนในอดีต "ฟื้นคืนชีพ" ขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า "ตัวตนทั้งสามกาลปรากฏร่วมกัน ได้เสมอ" และมันจะวนเวียนเกิด-ดับอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ทว่า "ตัวตนเฉพาะในส่วนย่อยของท่าน" นั้นเอง จะเลื่อนระดับไปยังตัวตนใด? ก็เท่านั้น หมายความว่าอย่างไร? อย่างนี้ สมมุติ ตัวตนในอนาคตที่ 1 ของ ท่านจะเป็นเศรษฐี แต่ตัวตนในอนาคตที่ 2 จะเป็นข้าราชการ และตัวตนตัว ที่ 3 (อนาคต) จะเป็นเกษตรกร ท่าน ณ ปัจจุบัน ได้สัมผัสถึงตัวตนทั้ง 3 นี้เรียบร้อยแล้วสมมุติว่าท่านเลือกตัวตนที่ 1 และท่านสามารถทำได้ ท่าน ก็จะเลื่อนระดับไปสู่อนาคตแบบตัวตนที่ 1 นั้น แต่ถ้าเมื่อใดท่านเลื่อนระดับ ไม่สำเร็จและเกิดภาวะ "เสื่อมต่ำ ถอยหลังไป" ท่านอาจมีตัวตนในอนาคต ที่ไม่ได้เป็นแบบนี้เลย แต่จะเหมือนตัวตนในอดีตมากกว่า หรือก็คือ ท่านมี สภาพเหมือน Shadow ของท่านเองในอดีต ท่านวนรอบซ้ำกลับไปรอย เก่า และต้องได้รับแบบทดสอบเก่าเอามาทำใหม่ เหมือนสอบซ่อมนั่นเอง


การเล็งเป้าหมายที่ผิดพลาดเป็นอย่างไร? แน่นอนว่าไม่มีใครจะยิงธนูถูก ตรงเป้าตลอดเวลา ย่อมมีสำเร็จและล้มเหลว การเล็งตัวตนในอนาคตของ ท่านก็เช่นกัน บางครั้งท่านเล็งพลาด คือ ไม่มีตัวตนในอนาคตตัวใดที่รอ ท่านอยู่ และจะทำให้สิ่งที่ท่านเล็งไว้เป็นความจริงขึ้นมาได้เลย? เพราะ อะไรหรือ? เพราะท่านอาจประเมินตัวเองผิดไป เช่น ประเมินตัวเองต่ำไป หรือสูงไปก็ได้ หรืออาจเพราะตัวตนในปัจจุบันของท่าน ได้เปลี่ยนอนาคต ให้ท่านเองไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไร? เช่น การเคลื่อนย้ายพลังงานของ โลกอนาคตมาสู่ปัจจุบัน ที่เรียกภาษาพื้นๆ ว่า "ยืมอนาคตมาใช้ก่อน" นี่ เอง เป็นตัวการณ์สำคัญมาก ที่เปลี่ยนแปลงตัวตนในอนาคตของท่านไป


อย่างที่เราแนะนำท่านแล้วว่าท่านควรส่งพลังที่ดีไปสู่โลกอนาคต ไม่ใช่ ให้ "ดึงเอาพลังในโลกอนาคตมายืมใช้ ณ ปัจจุบัน" เพราะนั่นเท่ากับว่า ท่านได้กัดกร่อนทำลายโลกแห่งอนาคตและตัวตนในอนาคตของท่านเอง ไม่ต่างจากการกู้ยืมเงินในอนาคตมาใช้ ณ ปัจจุบัน สุดท้าย ท่านหมุนเงิน ผิดพลาด อนาคตของท่านจึงมืดมน และกลายเป็น Shadow หรือตัวตน ในอดีตปรากฏรออยู่ในอนาคตแทน หรือก็คือ "ท่านถอยหลัง ล้าหลังลง"


อนึ่ง "ตัวตนในอนาคต" แต่ละตัวตนมีพลังงานจำกัดที่แตกต่างกัน เมื่อ ท่านดึงเอาพลังงานจากอนาคตมาใช้ เหมือนท่านได้สูบลมออกจากลูก โป่งแห่งอนาคตทีละน้อยๆ ท่านได้สมใจในปัจจุบัน แต่อนาคตของท่าน ก็ไม่ต่างจาก "ลูกโป่งแฟ่บ" และรอคอยแต่จะสิ้นสภาพเท่านั้นเอง การ ใช้พลังงานจากอนาคต ดึงมาสู่ปัจจุบันนั้น มีอยู่มากมาย เพราะความใจ ร้อนอยากได้สมใจเร็วๆ อยากประสบความสำเร็จเร็วๆ นั่นเอง สิ่งนี้ทำให้ ปัจจุบันดูดีขึ้นมาก แต่มันทำลายอนาคตลงอย่างชัดเจน และทำให้ท่าน เริ่มสูญเสียความสามารถในการ "เล็งอนาคต" เพราะมันเริ่มจะมืดมนลง จนท่านไม่อาจเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนได้อีกต่อไปแล้ว ตัวตนแห่งอนาคต ที่รอคอยท่านอยูนั้น ควรเป็นตัวตนแห่งความสว่าง กลับกลายเป็นตัวตน แห่งเงามืดแทน (Shadow) เมื่อนั้น วิกฤติแห่งโลกอนาคตของท่านได้ เริ่มขึ้นแล้ว และทำให้ท่านได้แต่รอวันก้าวเข้าสู่ความหายนะอย่างเดียว


บางครั้ง ท่านอาจรู้สึกว่าตนเองเหมือนตัวตนในอดีต สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะแท้แล้ว "อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต" เหมือนวงกลมที่บรรจบกันเท่านั้น เอง เมื่อท่านเดินทางไปสู่อนาคตแล้ว ท่านยังปรากฏมีตัวตนแห่งอดีตเกิด จากท่านได้อีก วนเวียนเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตัวตนเหล่านี้จะเกิดและดับไป เรื่อยๆ ส่วนท่านเองจะเคลื่อนไปสู่ตัวตนแบบใด? หรือหลุดออกจากตัวตน ทุกแบบ ไม่ต้องเวียนวนอยู่ต่อไปอีก ก็เป็นได้ แต่นั่นเฉพาะส่วนย่อยที่เป็น ตัวตนของท่าน เท่านั้น ส่วน "เครือข่ายแห่งตัวตนหลายมิติ" เหล่านั้น จะ ยังคงมีตัวตนครบทุกตัวตน ที่พร้อมรับบทเดิมๆ เล่นบทเดิมๆ ต่อไปเสมอๆ


เพื่อให้ท่านเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ขออุปมาเหมือนสระน้ำหลายๆ สระเป็นเช่น "ตัวตนในอดีต, ปัจจุบัน หรืออนาคต" ของท่าน ตัวใดตัวหนึ่ง (ต่อ 1 สระ) ท่านเป็นเหมือนปลาที่ว่ายไปมาได้ทั้งหมดทุกสระ แต่ละสระมีคลองเชื่อมที่ เชื่อมโยงถึงกันอยู่ บางครั้งท่านว่ายไปอนาคตจนสุดแล้ว วนกลับมาอดีต อีก ก็ได้ (จินตนาการว่าคลองเชื่อมโยงกันเป็นวงกลม แต่มีสระมากมายที่ อยู่ระหว่างคลองเต็มไปหมด) ดังนั้น ท่านจึงสามารถเวียนว่ายไปได้ในทั้ง อดีต, ปัจจุบัน และอนาคต และสิ่งเหล่านี้ ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้เสมอ


11 พ.ค. 2555

"เสียงจากจักรวาล"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ถึงเวลาเปลี่ยนโลกจาก "หลายมิติที่เหลื่อมซ้อน" เป็น "มิติเดียวที่สูงขึ้น"

ที่รักทั้งหลาย หวังว่าท่านคงไม่ปฏิเสธและไม่แก้ตัว ว่าท่านไม่มีส่วนทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง แน่ นอน มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่จะควบคุมให้สิ่งที่อยู่ ในจักรวาลนี้ "ไม่ส่งผลกระทบต่อกันเลย" ดังนั้น การเกิดและดำเนินชีวิตอยู่ของมนุษย์บนโลก ล้วน ส่งผลต่อโลกให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป อย่างหนึ่ง อย่างใดเสมอ แม้ท่านไม่มีความอยาก หรือว่าไม่มี เจตนา แต่แค่การที่ท่านได้เกิดมาบนโลก ท่านก็มี ส่วนร่วมในการทำให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงแล้ว ดังนั้น ท่านจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า "ท่านกำลังเปลี่ยนแปลง โลกด้วยการกระทำของท่านเอง" การกระทำของ ท่านทุกๆ อย่าง ล้วนมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงโลก แต่ว่า "ที่รัก" เราไม่ได้โทษท่านเลย แม้แต่น้อย ... ทุกอย่างล้วนเป็นไป อย่างที่มันเป็นอยู่แล้ว อย่างที่เรา บอกท่าน "ท่านสามารถเลือกได้" เลือกให้ตัวท่านเป็น และเลือกให้โลกนี้เป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับการ กระทำของท่านนั้นเอง ดังนั้น เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงการ กระทำของท่านที่ส่งผลกระทบต่อโลก เราจึงต้องอธิบาย ถึงสภาวะของโลกในมุมมองที่ท่านยังเข้าไม่ถึง และเพื่อ ให้ท่านเข้าถึงในระดับต้น ก่อนที่จะเข้าถึงด้วยการเลื่อน ระดับด้วยตัวของท่านเองต่อไป ซึ่งเราจะอธิบายต่อไปนี้


โลกของท่านคือ "น้องสุดท้อง" ของระบบ "สุริยจักรวาล" นี้ เพราะก่อนน้องคนเล็กคนนี้จะได้เกิดมาในระบบสุริยจักรวาล เราเคยได้ให้กำเนิดมนุษย์ดาวดวงอื่นๆ ในระบบสุริยจักรวาล ขึ้นมาก่อนแล้ว แต่การทดลองนั้น "ไม่สำเร็จ" และผลของมัน ก็คือ "การทำลายล้าง" เพื่อยุติกระบวนการที่ผิดพลาดนั้นๆ


แน่นอน เรากำลังพูดกับท่านในระดับมิติที่ต่ำลง ว่ามันผิดพลาด แต่ในมิติที่สูงขึ้นนั้น "ไม่มีความผิดพลาดใดเลย" และโลกของ ท่านก็ไม่ใช่น้องคนเล็ก แต่เป็น "ลูกคนเดียวของเรา" ที่เรารักที่ สุด และเตรียมพร้อมเพื่อให้เขาได้กำเนิดขึ้นมาอย่างดีที่สุด ดังนี้ เราจึงต้องให้กำเนิดพี่ของเขาขึ้นมาก่อน เพื่อรองรับความสมบูรณ์ พร้อมของโลกใบนี้ นั่นคือ ดาวดวงอื่นๆ และสิ่งมีชีวิตในดาวดวงนั้น "ในระบบสุริยจักรวาล" นี้ ได้ถือกำเนิดมาก่อนโลกของท่านทั้งหลาย


เมื่อถึงวาระหนึ่ง ดาวดวงนั้นและมนุษย์ในดาวดวงนั้นได้รับการจัดส่งมา ยังโลกใบนี้ เพื่อสร้างโลกใบนี้ให้ "สมบูรณ์ที่สุด" เท่าที่จะพอเป็นไปได้ นั่นหมายความว่าการกำเนิดขึ้นของพวกมนุษย์ดาวดวงอื่นๆ และสิ้นไปนี้ ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นไปเพื่อการเกิดใหม่ของโลกนี้ หรือก็คือขั้น ตอนขั้นต้นของการเตรียมความพร้อมแก่โลกใบนี้ เมื่อพวกเขาไม่อาจจะ อยู่ในดาวของเขาได้ พวกเขาก็ได้รับการจัดส่งายังโลกใบนี้ "นานแล้ว" พวกเขากลายเป็น "พี่เลี้ยง ผู้อยู่เบื้องหลัง" ของมนุษย์และโลกใบนี้มา นานแสนนาน ผู้คอยป้อนวิทยาการของพวกเขาซึ่งไปไม่ถึงที่สุด ให้แก่ มนุษย์และโลก เพียงหวังว่ามนุษย์โลกนี้ จะพัฒนาวิทยาการเหล่านั้นไป ให้ถึง "จุดสูงสุดของวิวัฒนาการ" หรือ "ระดับสากลจักรวาล" นั่นเอง


ผลจากการเข้ามาของมนุษย์ดาวอื่นๆ หลายดาว รวมกันอยู่บนโลกใบนี้ ทำให้โลกใบนี้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "หลายมิติที่เหลื่อมซ้อน" กันอยู่ และมัน ไม่อาจรวมกันได้เป็นมิติเดียว หรือโลกใบเดียวกัน มันจึงเหมือนโลกใบเล็ก ที่แอบซ่อนอยู่บนโลกใบนี้ ในลักษณะที่ว่า "โลกใบเล็กของใครของมัน" ลองจินตนาการถึง "พวงองุ่น" ดู โลกที่ดูเต็มใบของท่านนั้นมีมิติต่างๆ ที่ เหลื่อมซ้อนกันอยู่ ราวกับผลองุ่นมากมายนั้น มีโลกใบเล็กมากมายที่ถูก สร้างขึ้นด้วยพลังพิเศษ ในมิติที่ตาเปล่าของท่านมองไม่เห็น แต่มีอิทธิพล ต่อชีวิตและการดำเนินชีวิตของท่าน จนแม้ว่าท่านจะมองมันไม่เห็น แต่มัน ก็แสดงผล แสดงความจริงเชิงประจักษ์ต่อท่านได้อย่างชัดแจ้งและชัดเจน


ทว่า "โลกหลายมิติที่เหลื่อมซ้อน" เหล่านี้ ยังไม่ใช่ที่สุดของวิวัฒนาการ หรอกนะ มันยังอยู่ในขั้นตอนที่เรียกว่า "การตระเตรียม" เท่านั้นเอง และ เมื่อทุกอย่างที่ต้องการ องค์ประกอบ, วัตถุดิบทุกอย่างพร้อมแล้ว ขั้นต่อไป ก็คือ "การปรุงใหม่" เพื่อปรับสภาพโลกของท่านจากโลกในสถานภาพที่ เรียกว่า "หลายมิติที่เหลื่อมซ้อน" ให้กลายเป็น "โลกใบเดียวกันในมิติที่ สูงขึ้น" หรือก็คือ "การเลื่อนระดับของโลกสู่ระดับสากลจักรวาล" นั่นเอง


ดังนั้น ในระหว่างการดำเนินการนี้ (ซึ่งผู้กระทำทั้งหมดล้วนเป็นมนุษย์โลก นั่นเอง) เราจำเป็นต้องอธิบายถึง "จุดเริ่มต้น ณ ปัจจุบันของโลก" ที่บอก แก่ท่านว่าคือ "โลกหลายมิติที่เหลื่อมซ้อน" และ "จุดสุดท้าย เป้าหมายที่ ต้องไปให้ถึง" ที่บอกแก่ท่านแล้วว่าคือ "โลกใบเดียวในมิติที่สูงขึ้น" สอง อย่างนี้ต่างกัน และยังมีระยะทางแห่งการดำเนินไปในแบบที่ซับซ้อนและ ยุ่งเหยิงในความคิดของท่าน แต่มันคือ "เป็นไปอย่างธรรมชาติที่ไม่ถูกบีบ บังคับ" สำหรับเรา ระยะทางนั้นยังอีกยาวไกลพอสมควร เราจึงต้องกล่าว แก่ท่านก่อนถึงจุดเริ่มต้น (Start) และเป้าหมายปลายทาง (เส้นชัย) ให้ ชัดแจ้งชัดเจน เพื่อนำทางท่านให้ก้าวเดินไปพร้อมๆ กับเราอย่างสง่างาม


เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงสถานภาพที่เรียกว่า "โลกหลายมิติที่เหลื่อมซ้อน" ได้ชัดเจนขึ้น เราจะขออธิบายรายละเอียดเหล่านั้นในเชิงรูปธรรมให้ชัด ขึ้นไปอีก เพื่อให้ท่าน "เห็นโลกของท่านอย่างเต็มตา" และตื่นแจ้งโลก นี้เสียที กล่าวคือ โลกของท่านไม่ได้เป็นโลกที่มีมิติเดียวและเปิดกว้างให้ มนุษย์ทุกคนเข้าถึงซึ่งกันได้ แต่มันถูก "สนามพลังอำนาจแห่งการแบ่ง แยก" แบ่งโลกใบเล็กๆ ออกจากกัน ให้เป็นโลกเฉพาะกลุ่มของใครของ มัน ที่คนนอกไม่อาจเข้าถึงได้ นอกจาก "จะถูกทำให้เปลี่ยนสภาพเป็น พวกเดียวกัน" เสียก่อน นั่นคือ มนุษย์โลกใบนี้ ที่ถูก "โลกใบเล็ก" กลืน ไป เขาก็ได้สูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมของเขาไปแล้ว เขาถูกทำให้เปลี่ยน ไป เป็นสิ่งใหม่ ซึ่งไม่ใช่ "การกำเนิดใหม่" ในแบบที่สากลจักรวาลต้อง การ แต่เป็นการถูกกระทำใหม่ ให้กลายเป็นอีกแบบหนึ่งตามความต้อง การของ "โลกใบเล็ก" นั้น มนุษย์มากมายถูกทำเช่นนี้ จึงอยู่ในโลกใบ เล็กนั้นได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ โลกแห่งวงการบันเทิง ใช่ว่าจะเปิดกว้างให้ คนทุกคนเข้าถึงได้อย่างเสรี ใช่หรือไม่? ท่านจะกลายเป็น "คนบันเทิง" ได้ ท่านก็ต้องผ่าน "กระบวนการสร้างใหม่" ในแบบของวงการบันเทิง นั้น เพื่อให้ท่านกลายสภาพเป็น พวกเดียวกัน ก่อน ท่านจึงจะเข้าไปได้ ทว่า โลกใบเล็กที่มีกำแพงกั้น และขาดซึ่งเสรีแห่งการเข้าถึงนั้น มีมาก มายเหลือเกิน เรียกว่า "โลกของใคร โลกของมัน วงการใคร วงการมัน" ใช่ไหม ขออภัยที่เราต้องกล่าวด้วยระดับภาษาที่ต่ำลงเช่นนี้ เพื่อให้ท่าน ที่อยู่ในมิติที่ต่ำกว่าได้เข้าใจอย่างแท้จริง ถึงโลกของท่านที่กำลังเป็นอยู่ และโลกหลายมิติที่เหลื่อมซ้อนกันนี้เอง เป็นจุดเริ่มต้องของการแบ่งแยก ที่ย่อยลงมากขึ้น, ความขัดแย้ง ที่รุนแรงมากขึ้น, การกระทบกระทั่ง ที่มี มากขึ้นทุกขณะ ฯลฯ และท้ายที่สุดคือ มนุษย์โลกขาดความเข้าใจซึ่งกัน และกัน ขาดการเรียนรู้อย่างรอบด้านและเปิดกว้าง การถ่ายทอดความคิด และวิทยาการระหว่างมนุษย์ก็มี "กำแพงกั้น" และท้ายที่สุดคือ "ไม่อาจ ที่จะเลื่อนระดับสู่สากลจักรวาลได้" นั่นเอง เราจึงบอกว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่ เรียกว่า "วิวัฒนาการสูงสุดของโลกนี้" ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะมันคือ ขั้นตอนการเตรียมการ เท่านั้นเอง มาถึงตรงนี้หวังว่าท่านคงเข้าใจขึ้นแล้วนะ


ต่อไป เราจะขออธิบายความหมายของคำว่า "โลกใบเดียวในมิติที่สูงขึ้น" ไม่ยากเกินความเข้าใจของท่าน คำว่า "โลกใบเดียว" (One World) ก็ คือ โลกที่ไม่มีโลกใบเล็กของใครของมัน ที่แบ่งแยก ที่แยกย่อยให้มนุษย์ แยกออกจากกันด้วย กำแพงกั้น, การกีดกัน, มาตรการอันเป็นอุปสรรคฯ หรือสิ่งอื่นใด อันจะจำกัดซึ่งสิทธิเสรีภาพแห่งการเข้าถึงของ "ผู้มีความ พร้อมในการเข้าถึง" ซึ่งนั่นหมายความว่า "ก่อนเข้าถึง" เขาจะได้รับการ เตรียมความพร้อมด้วย หรือค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่บันไดแห่งความเป็นหนึ่งเดียว กันอย่างค่อยเป็นค่อยไป "ทีละขั้น" เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ปรับตัวได้ทัน


อีกคำหนึ่ง คำว่า "โลกในมิติที่สูงขึ้น" ก็คือ โลกที่วิวัฒนาการตัวเองขึ้น ไปสู่ระดับที่เรียกว่า "สากลจักรวาล" นั่นเอง ในมิติที่สูงขึ้นนี้ มนุษย์โลก จะมีความคิด, มุมมอง, โลกทัศน์ ฯลฯ ที่เปลี่ยนไปในทางที่พัฒนาขึ้นคือ การมองเห็นภาพใหญ่ ภาพกว้างร่วมกันมากขึ้น การปลดตัวเองออกจาก หลุมบ่วงแห่งพันธนาการ อันเป็นกับดักที่ขวางกั้นความเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้มากขึ้น, การไม่แบ่งแยกเพื่อยึดติดในตัวตนและความเอ็นอัตลักษณ์ เฉพาะกลุ่มย่อยของตนเอง จนขัดขวางการพัฒนาโดยรวม ได้มากขึ้น และความเปลี่ยนแปลงอีกมากมายหลายอย่าง เช่น การผสมผสานของ วัฒนธรรม ก็มีมากขึ้นด้วย การผสมผสานของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ การเกิด ขึ้นของลูกครึ่ง และเด็กสายพันธุ์ผสม ก็มากขึ้นด้วย การร่วมมือกันในด้าน ต่างๆ เช่น ด้านการค้า, ความมั่นคง, การศึกษา, การพัฒนาเส้นทาง ฯลฯ ล้วนเพิ่มมากขึ้นด้วย นี่คือองค์ประกอบที่ไม่สำคัญแต่เป็นรูปธรรมที่เห็นได้ ชัดเจนที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ "จิตวิญญาณที่เลื่อนระดับสูงขึ้น" ของมนุษยชาติมวลรวม (จะมีการใช้ Soul Ascension of Humanity Productivity หรือ SAHP แทนที่จะมุ่งเน้นแต่ GDP) ซึ่งคือเป้าหมาย ท้ายที่สุดของมนุษย์ ที่มนุษย์โลกจะพึงปรารถนาและเพียรพยายามถึงได้


ใช่แล้วที่รัก โลกในยุคใหม่ของพวกเราจะแซ่บ (SAHP) มากขึ้น ไม่ใช่ เน้นแต่ GDP มากขึ้นตามแนวคิดเก่าอีกต่อไป และพวกเราทั้งหลาย ก็คือ "เด็กแซ่บ" (SAHP leader) รุ่นแรกๆ เลยทีเดียว ดังนั้น เราจึงต้องทำ การเตรียมความพร้อมให้แก่ท่านทั้งหลายเพราะท่านคือ "รุ่นแรก รุ่นเดอะ" ของโลกยุคใหม่ หรือตัวต้นแบบแห่งโลกอนาคต สำหรับคนในยุคปัจจุบันนี้


และเพื่อให้ท่านแซ่บ (SAHP) ยิ่งขึ้น การเลื่อนระดับของท่านจึงเป็นเรื่อง จำเป็นพื้นฐานที่ท่านจะต้องผ่านให้ได้ ท่านจึงจะสามารถเป็นต้นแบบของ มนุษย์โลกในยุคใหม่ มนุษย์โลกแห่งอนาคตได้ ดังนั้น กระบวนการพื้นฐาน คือ การปลดปล่อย, ชำระล้าง และการกำเนิดใหม่ สามอย่างนี้ ประกอบกัน ไปสู่ "การเลื่อนระดับ" ของท่านทั้งสิ้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะใน กระบวนการ "ชำระล้าง" ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกๆ ของการกำเนิดใหม่จะช่วย ให้ท่านผ่านด่านในแต่ละด่านได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและการ "กำเนิดใหม่" ที่หากมันเกิดขึ้นแก่ท่านหนึ่งครั้งแล้ว อย่าได้ลังเลสงสัย จงเดินหน้าต่อไป สู่ "การกำเนิดใหม่ซ้ำหลายๆ ครั้ง" เพื่อการเลื่อนระดับอย่างไร้ขีดจำกัด ของท่านเอง และยกระดับถึงจุดสูงสุด คือ "ระดับสากลจักรวาล" ให้ได้


ที่รักเหล่าเด็กแซ่บ (SAHP) ทั้งหลายอย่าได้ลังเลสงสัยหรือชักช้าอีกเลย เพราะเวลานี้ ทุกท่านบนโลกก็ล้วนเดินหน้ามุ่งสู่กระบวนการนี้ และท่านยัง ต้องแข่งขันกันเองในระดับมิติที่ต่ำลงอีกด้วย (ในระดับมิติที่สูงขึ้นก็ไม่ต้อง แล้ว) ดังนั้น ท่านไม่ได้เดินเพียงผู้เดียวอีกต่อไป และเราไม่ได้เลือกท่านแต่ เพียงผู้เดียวอีกต่อไป ทุกคนล้วนอยู่ในกระบวนการเลื่อนระดับทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อโอกาสทองมาถึง จงอย่าได้ช้า จงรีบคว้ามันไว้ แล้วโผบินไปพร้อมกัน!


ไม่มีอะไรที่ต้องคิดและไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดเลย จงใช้ "ใจ" ของท่าน เมื่อใดที่ท่านใช้ใจเป็น ท่านย่อมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของใจ ไม่ถูกใจบงการ ไม่เป็นคนที่เรียกว่า "ตามใจตนเอง" แต่เป็นคนที่เรียกว่า "มีพลังใจอันยิ่ง ใหญ่" นำพาชีวิตไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัดและอย่างอิสระเสรี


จริงอยู่ "ความคิด" อาจมีความจำเป็นบ้าง แต่ก็เพียงในระดับมิติที่ต่ำมาก เท่านั้น แต่ในระดับมิติที่สูงขึ้นนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องคิดเลย เพราะท่านรู้ได้ โดยไม่ผ่านการคิด ไม่ผ่านสมอง แต่จะผ่านจิตและใจของท่านเองโดยตรง นั่นแสดงว่าท่านได้เลื่อนระดับสู่มิติที่สูงขึ้นบ้างแล้ว ได้พ้นบ่วงได้พ้นกับดัก ของมิติที่ต่ำนั้นได้แล้ว สิ่งต่างๆ จะง่ายยิ่งขึ้นและง่ายยิ่งขึ้น มันล้วนดำเนิน ไปบน "วิถีทางแห่งความเรียบง่าย" ทั้งสิ้น ลดความซับซ้อนและยุ่งเหยิง ลง เมื่อใดที่มันเริ่มซับซ้อนและยุ่งเหยิง แสดงว่ามัน "ยิ่งแก้กลับยิ่งผูกมัด" เสียแล้ว นั่นแสดงถึงว่าท่านดำเนินไปผิดทางอย่างยิ่ง "หยุด" เสียก่อนจึง ค่อยๆ เกิดความสว่างขึ้นมาอีกครั้งได้ ก่อนที่จะผูกมัดพันธนาการไปมาก กว่านั้น การหยุดจะช่วยท่านได้อย่างดีที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป "หยุดซะ"


ท้ายที่สุดนี้ ที่รักเหล่าเด็กแซ่บทั้งหลาย กระบวนการเปลี่ยนโลกกำลังเดิน หน้าไปในทางที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้นทุกขณะแล้ว หลังจากเราปล่อยให้ท่าน ได้ "ลองผิด-ลองถูก" ตามแบบความคิดของท่านเองมานาน ต่อไปนี้ มัน จะมี "ทิศทางที่ถูกต้อง" มากยิ่งขึ้นและการขับเคลื่อนที่หลากมิติมากขึ้น ใช่แล้ว มันไม่ใช่การขับเคลื่อนทางเดียวในแบบตามแนวแกน X อีกต่อไป แต่ มันถูก "ขับเคลื่อนพร้อมๆ กันในทุกมิติ" เหมือนการเล่นลูกคิวบิค ที่มี การหมุนพร้อมๆ กันในทุกด้าน โอ ที่รัก มันยากเกินกว่าท่านจะจินตนาการ ได้ แต่ท่านจะเห็นมันเพียง "ความยุ่งเหยิงอลหม่าน" (หรือภาวะ Chaos) เท่านั้น ทว่า นั่นแหละ คือ "วิถีของการขับเคลื่อนในทุกมิติ พร้อมกัน" ซึ่ง ยากนักที่ท่านจะได้พบเจอ จงเตรียมตัวให้พร้อม เหล่าเด็กแซ่บ ทั้งหลาย สิ่งที่ท่านจะได้เห็นและเรียนรู้ต่อไปนี้ มันจะไม่มีให้เห็นบนโลกบ่อยครั้งนัก ท้ายที่สุดนี้ ขอจงใช้ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดให้สมกับการรอคอยของท่านเถิด


10 พ.ค. 2555

"เสียงจากจักรวาล"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS