ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ทรัพย์สิน-บ้าน-ที่ดิน-รถยนต์-เพชรพลอย ก็อาจนำวิญญาณร้ายมาครอบงำคุณได้อย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ เรื่องของการมี ทรัพย์สินมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้น อาจนำ มาซึ่งพลังยึดโยง เอาคนที่ไม่มีบารมี หรือ กำลังจิตอ่อน ให้กลายเป็นทาสของมันได้ ครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ บ้านแต่ละ หลังจะมี "ผีเรือน" ประจำอยู่ 1 ตำแหน่ง ถ้าใครไปสร้างบ้านใหม่ขึ้นมาอยู่เอง ก็จะ มีโอกาสสูงที่จะตายแล้วกลายเป็นผีเรือน เฝ้าบ้านครับ เหมือนปู่โสมเฝ้าทรัพย์แหละ ครับ ทีนี้ ทำอย่างไร จึงจะบริหารสินทรัพย์ ให้สามารถใช้ได้พอดีขณะยังมีชีวิตอยู่และ ไม่ "ยึดพัวพันเรา" ขณะเราตายไปครับ วันนี้ เรามาคุยเรื่องนี้ กันแบบง่ายๆ นะครับ


อย่าไปปฏิเสธการมีทรัพย์สินและความร่ำรวย แต่จงใช้ปัญญาพิจารณาดู


อย่างแรกผมอยากให้ท่าน ลองใช้สติปัญญาพิจารณาดู "ความพอดี" ซึ่ง ท่านและทรัพย์สินแต่ละอย่างว่า "พอดีตรงไหน?" อะไรเกินพอดี ก็เอาไป จัดสรรสู่ส่วนอื่น เช่น จัดสรรไว้ในอนาคต (เช่น การฝากเงิน) คำถามก็คือ "ความพอดี" นี่ เราจะดูได้อย่างไรครับ? เอาง่ายๆ ครับ ถ้าเรามีเงินพอดี ก็ จะทำให้เราไม่มืดมนหรือมีชีวิตที่ตกต่ำเกินไปทั้งยังไม่ทำให้เราหลงตัวเอง หรือถูกเงินครอบงำ ทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปครับเช่น เรามีเงินที่จะ ซื้อรถคันใหม่ได้ ทว่า ทำให้เราลืมใช้พลังของความเป็นมนุษย์ จัดการกับ รถคันเก่าให้สามารถใช้งานได้อีก (ทั้งที่มันสามารถทำได้) อย่างนี้ จะเป็น "เกินพอดี" ครับ แต่ถ้าไม่ซ่อมเลย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ อันนี้ก็ไม่รู้จักใช้ เงินนะครับ (ใช้เงินน้อยกว่าความพอดี) พอเห็นภาพความพอดี ใช่มั้ยครับ เอาละ ผมไม่ได้แนะนำให้ท่านทำให้ทรัพย์สินของท่านสูญไปหมด ก็เพราะ ความคิดเชิงปฏิเสธสมมุติต่างๆ ในโลกนะครับแต่ผมกำลังบอกให้ท่านเห็น "ความมีสติปัญญา" แล้วจะพิจารณาความพอดีของทรัพย์สินแต่ละอย่าง ได้ครับ นั่นคือ "ทรัพย์สินอะไรที่เกินพอดี" สิ่งนั้นท่านจัดสรรออกจากระบบ การใช้ของท่านได้ เช่น ให้ผู้อื่นก็ได้ครับ เช่น มีเสื้อผ้ามากเกิน ล้นตู้ ไม่พอ จะเก็บ อันนี้ก็จัดการเอาออกได้ใช่มั้ยครับว่าอันไหน ตัวไหนที่ไม่ค่อยได้ใช้ ก็เอาออกไปได้ ลองปรับเข้าสู่ความพอดีดู แล้วบางทีชีวิตจะเรียบง่ายขึ้น ก็ จะมีความยุ่งเหยิงลดลงนะครับ เช่นกัน ทั้งผู้ให้และผู้รับ ย่อมมี "ขอบเขต ของความพอดี" ที่จะรับสำหรับผู้รับว่ารับได้เท่าไร จะได้ไม่กลายเป็นชูชก ที่รับจนไม่ดูตัวเอง และผู้ให้ว่าอะไรที่เกินพอดี และสามารถให้ได้ อะไรที่ไม่ เกินพอดีและจำต้องใช้เองก็ควรจะเก็บเอาไว้ใช้ต่อไปครับเป็นหลักเบื้องต้น


ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นสังขารธรรม ที่จูนเอาวิญญาณเจ้าของมาผูกไว้ได้


ต่อไปที่ผมอยากให้ท่านทราบคือ ทรัพย์สินทุกอย่างเป็น "สังขารธรรม" ที่เมื่อมีสังขารเกิดแล้ว ย่อมมีวิญญาณเกิดตามมา กล่าวคือ วิญญาณที่ เกิดจากกระบวนการเข้าไปรู้ของคนทั่วไป อย่างหนึ่ง และวิญญาณที่มา จากการพัวพันยึดโยง ดึงให้เกิด "ความมีเจ้าของ" อีกประการหนึ่ง ไม่ ได้มีแต่ประการเดียวนะครับ ของทุกอย่างที่มีสังขาร เป็นสังขารธรรมจะ มีพลังดึงดูดให้มี "จิตวิญญาณ" มาครอบครองเป็นเจ้าของมันได้ ก็คือ "ผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั่นแหละครับ เอาง่ายๆ แม้แต่ บ้าน ก็มีพลังดึงดูด เอาผีเรือนมาเฝ้า, ที่ดิน ก็มีพลังดึงดูดเอา "ผีเจ้าที่" มาเฝ้า, ไม่เว้นแม้ แต่ถนนหนทาง ก็มีผีเฝ้าถนน, สะพาน ก็มีผีเฝ้าสะพาน, คลองบึงเขื่อน มันร้องเรียกว่า "สร้างฉันเถอะ แล้วเธอก็จงตาย มาเฝ้าฉันด้วย" ทั้งนั้น เลยครับ คนบางคนพอสร้างบ้านใหม่เสร็จ ไม่นานก็ตาย, คนบางคนพอ สร้างถนนเสร็จ ไม่นานก็ตาย, คนบางคน พอสร้างเขื่อนเสร็จ ไม่นาน ก็ ตาย ครับ เอาละ คงไม่ต้องสาธยายมากไปกว่านี้ ยกเว้นผู้มีบุญบารมีซึ่ง ฟ้าส่งมาสร้างโดยเฉพาะ จึงสร้างได้ สร้างแล้วไม่ตายเป็นผีเฝ้าสิ่งที่ตน สร้างครับ เช่น สร้างเมืองใหม่ ก็ดี มันจะเปลี่ยนเทพ-ผี เฝ้าเมืองไปหมด เลย ชุดเก่าก็ได้รับการปลดปล่อยไป เช่น อยุธยาที่ล่มไป, ผี ก็ไดรับการ ปลดปล่อยไปครับ ส่วนคนที่สร้างเมืองใหม่ ถ้าไม่มีบารมี ไม่มีตัวแทนไป เฝ้า ตัวเองก็ต้องเฝ้าเองครับ ทว่า บางคนแม้มีบารมี มีบริวารเยอะ ให้ไป เฝ้าแทนตัวเองได้ ตอนตายก็ไม่รอดครับ ถูกพลังยึดโยงของผีบริวารซึ่ง เคยเป็นบริวารตน ดึงเอาไว้ ไปไหนไม่รอด ไม่ถึงสรรค์ อยู่แต่พื้นดินนี่ละ


แม้แต่พระเครื่อง, เครื่องรางของขลัง, สิ่งศักดิสิทธิ์ ฯลฯ ล้วนมีพลังยึดโยง


ต่อไปที่ผมอยากให้ท่านทราบคือ พระเครื่อง, เครื่องรางของขลัง, สิ่งศักดิ สิทธิ์ ฯลฯ ซึ่งเป็น "วัตถุสมมุติบนโลก" ก็ล้วนมีพลังยึดโยง มันจะดึงให้คน ที่เป็นเจ้าของ ตายไปแล้วเฝ้ามันอยู่ต่อไป ของเหล่านี้ แม้เป็นของชิ้นเล็กก็ มีพลังยึดโยงสูงครับ พอๆ กับบ้านหรือที่ดินหนึ่งแปลงเลย ยกตัวอย่างเช่น ผ้ายันต์ผืนหนึ่ง เดิมทีอาจมี "ยักษ์" เชื่อมโยงพลังกับผ้ยันต์ผืนนั้น เวลาที่ เราเอามาไว้ ก็เชื่อมโยงให้ยักษ์ตนนั้นมาบำเพ็ญบารมี ช่วยเหลือเราได้แต่ เมื่อเราตายไปละ แล้วถ้ายักษ์ตนนั้นหมดวาระพอดี บวกกับเราหวงในของ นี้มากอีกด้วยพอดี ก็ประจวบเหมาะพอดีกับครับ "ตัวตายตัวแทน" ก็มาได้ ด้วยเหตุนี้ ของมันถึงมีฤทธิ์ มันถึงศักดิสิทธิ์ได้ไงละครับ เพราะมันมี "ตัว" มันมีอัตตา เกิดขึ้นตามมาแล้ว หลังจากเริ่มต้นที่สังขาร เอาละ ทีนี้ เราจะมี วิธีจัดการกับของเหล่านี้อย่างไรดีละ? อย่าลืมว่าผมไม่ได้แนะนำให้ปฏิเสธ นะครับ เราใช้ได้ ถ้าเรามีบารมีพอ เช่น มีปัญญาบารมีพอ จะทราบได้ว่ามัน คืออะไร และส่งผลอย่างไรต่อเราในระยะยาวบ้าง และมีปัญญาพอจะทราบ ได้ว่าจะจัดการอย่างไรกับมันในท้ายที่สุด อันนี้ก็ใช้ได้ครับ แต่ถ้าเราไม่รู้ว่า จะจัดการอย่างไรถึงท้ายที่สุด ง่ายๆ ก็คือ เอาไปให้คนอื่นที่เขามีบารมี พอ ที่จะจัดการกับสิ่งนั้นๆ ได้ดีกว่าครับ เป็นการปลดภาระของเราไป (ทว่า ไป ให้ตอนที่เราใช้มาพอควรแล้ว หรือไม่ใช้แล้ว ก็ได้ครับ) เราก็จะรอดตัวได้


เทคนิกในการจัดการกับ "พลังยึดโยง" เพื่อไม่ให้รั้งการยกระดับของคุณ


ต่อไปที่ผมอยากให้ท่านทราบคือ เทคนิกในการจัดการกับ "พลังยึดโยง" เหล่านี้ ให้ไม่ขวางการยกระดับของคุณ กล่าวคือ เมื่อคุณจากโลกนี้ไปก็ จะได้ยกระดับ เลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้จริงๆ ไม่ถูกพลังยึดโยงเหล่า นี้ ดึงรั้งไว้ จนต้องกลายเป็นผีเฝ้าทรัพย์ ดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณ มีที่ดิน ได้รับที่ดิน หรือไปซื้อที่ดิน มาก็แล้วแต่ สิ่งที่จะเป็นไปได้ก็คือ 1. ผี เจ้าที่ 2. พระภูมิ ให้คุณลองสังเกตุดูว่าที่ดินแปลงนั้นมีลักษณะอย่างไร? ถ้ารกร้าง ไม่ทำอะไรเลย ก็จะมี "ผีเจ้าที่" ยึดครองอยู่ครับ เวลาคนจะไป ทำอะไร เปลี่ยนแปลงอะไรก็มีปัญหาทุกที่ จะสร้างบ้าน, สร้างอาคาร, จะ ปลูกข้าว, ทำการเกษตรอะไร ก็มีปัญหาหมด นั่นละ "ผีเจ้าที่" ชอบขวาง ชอบหวง ไม่ให้ใครทำอะไรในที่ของตนครับ แต่ถ้าทำนาได้ดี เพาะปลูกได้ ขึ้นดีแล้ว แสดงว่าผีเจ้าที่ได้รับการเคลียร์แล้ว เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เช่น ผี เจ้าทุ่ง (ประจำทุ่งนา เป็นต้น) ถ้าปลูกบ้านได้ ก็มีโอกาสเปลี่ยนเป็นเทพก็ คือ "พระภูมิ" ครับ (พระภูมิเป็นเทพ แต่ผีเจ้าที่นี่ไม่ใช่เทพครับ) ดังนั้น ที่ ที่ปลูกบ้านแล้ว ก็ควรเชิญพระภูมิเข้ามาครับ จะได้ยกระดับที่ดินให้มีพลัง ที่ดีแทนที่พลังเดิม ก็แล้วแต่ความเชื่อ ความชอบ ว่าจะชอบพระภูมิในแบบ ใด เช่น คนจีนอาจมีพระภูมิไปอีกแบบก็ได้ ในบ้านมีพระภูมิที่เหมือนคนแก่ แต่ในร้านขายของอาจมีพระภูมิเป็นเทพค้าขายเก่งๆ เช่น ปี่เซี้ยะ ก็มีได้นะ ครับ นี่คือ ผ่านการยกระดับพลังงานแล้ว ซึ่งถ้ามี "พระภูมิ" มาประจำแล้ว ก็จะได้ไม่ต้องมีพลังยึดโยงเอาเจ้าของไปเป็น "ผีเจ้าที่" ครับ ผลมันจะไม่ เหมือนเดิม กล่าวคือ ตอนที่มีพลังของ ผีเจ้าที่อยู่ เจ้าของจะหวงที่ของตน มากครับแต่พอเปลี่ยนเป็น "พระภูมิ" แล้ว เจ้าของจะยินดีต้อนรับแขก ได้ มากขึ้นครับ ไม่ยึดมั่นในที่มากไปดังเดิมอีกแล้ว เมื่อตายไป ก็ไม่ต้องเฝ้าที่ พอจะเห็น "วิธีการจัดการกับทรัพย์สิน" ใช่มั้ยครับ ว่ามันมีพลังงานที่ต่าง กัน ตามแต่การ "ยกระดับของพลังงานยึดโยง" นั้นๆ ถ้าคุณมีบารมีทำให้ มันยกระดับไปสู่ขั้นเทพได้ มีเทพดูแลสิ่งนั้นๆ แทนคุณๆ ก็สบายใจได้ครับ


ชีวิตที่เรียบง่าย "มีของใช้เท่าที่จำเป็น" เพื่อไม่ให้รั้งการยกระดับของคุณ


ต่อไปที่ผมอยากให้ท่านทราบคือ การมีชีวิตที่เรียบง่าย มีของใช้เท่าที่ควร เท่าที่จำเป็น พอดีแก่การดำรงชีพ ทำให้คุณได้รับพลังงานที่ไม่ยุ่งเหยิงจน เกินไป ทำให้มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่สับสบวุ่นวาย เป็นการจัดการกับพลังงาน ที่ยึดโยงมากับ "วัตถุสิ่งของต่างๆ" ด้วย และจะทำให้พลังงานที่เชื่อมโยง กับคุณ เป็นพลังงานที่ไม่สับสน เรียบง่าย และสะอาดมากขึ้น ไม่ถูกแทรก หรือปลอมปนมากเกินไปครับ ดังนั้น อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรเก็บไว้ให้เป็น ที่เชื่อมโยงพลังงานที่ไม่ควรเข้ามาครับ จัดการเสียให้เรียบร้อย ก็จะทำให้ พลังงานที่ประสานเชื่อมมาสู่ตัวคุณ สะอาด, สะดวก, โปร่งโล่ง, บริสุทธิ์ มากขึ้นครับ เคยสังเกตุไหมครับว่าทำไม คนที่ยิ่งมีอะไรมากมาย กลับยิ่ง มีชีวิตที่ซับซ้อน, วุ่นวาย, ยุ่งเหยิงมากขึ้น ฯลฯ นั่นแหละครับ เพราะพลัง งานยึดโยงที่เชื่อมโยงมากับวัตถุสิ่งของต่างๆ เหล่านั้น นั่นเอง ในขณะที่ คนที่มีสิ่งของน้อยๆ กลับมีชีวิตที่ราบเรียบมากกว่า เอาละ ผมไม่ได้เหมา ไปว่ามันคือทั้งหมดนะครับ เพราะปัจจัยที่เกี่ยวข้องยังมีอีกมากมาย แต่ก็ มีเยอะเหมือนกันนะครับ ที่เป็นเช่นนี้ ที่ผมกล่าวมานี้ ไม่ใช่ทั้งการปฏิเสธ การมีทรัพย์สิน หรือความอยากบริจาคสินทรัพย์ หรือความประหยัดอะไร นะครับ คุณไม่ควรปฏิเสธการมีทรัพย์ แต่ก็ควรใช้ปัญญาเพื่อจัดการมัน, คุณไม่ควรอยากให้อะไรจนเกินไปโดยไม่รู้จักการจัดสรรเพื่อตัวคุณด้วย คุณไม่ควรประหยัดอะไรเลย แต่ควรบริหารทรัพยากรให้มีคุณค่าสูงสุด, ใช้เมื่อจำเป็นต้องใช้ และควรจะฝึกใช้มันให้เป็น ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในมิติของโลกนี้ และในมิติที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ก็จะคุ้มค่าที่สุดครับ


ของใช้ธรรมดาของผู้มีพลังจิตสูง ก็อาจกลายเป็นของที่มีพลังพิเศษได้


สุดท้ายที่ผมอยากให้ท่านทราบคือ ของใช้ธรรมดาๆ ของคนที่มีพลังจิต สูง ก็อาจกลายเป็นสื่อตัวนำพลังพิเศษได้ กลายเป็นของที่ไม่ธรรมดาได้ และมันก็ต้องได้รับการดูแลอย่างพิเศษด้วย ไม่ควรตกไปอยู่ในมือของผู้ ที่ไม่รู้จักดูแล เพราะอาจมีปัญหาตามมาได้ดังที่ได้อธิบายแล้วข้างต้น ที่ อาจกลายเป็นเครื่องยึดโยง ทำให้เจ้าของไม่ได้ขึ้นสวรรค์แต่กลายเป็นผี เฝ้าของนั้นๆ ไปได้ ดังนั้น การได้รับของอะไร ก็ตาม มีของใช้อะไรก็ตาม ก็ควรเข้าใจที่จะใช้มัน จัดการกับมันอย่างไร ให้ถ่องแท้ด้วย ไม่ใช่รู้แต่ใน ด้านทางโลกนะครับ ในทางธรรม ในระดับทิพย์ ก็ควรทราบด้วยครับ เช่น นี้ก็จะเรียกได้ว่า "เป็นผู้มีบุญบารมีสมควรได้ครอบครองสิ่งนั้นๆ อย่างแท้ จริง" ทว่า คนเราในยุคปัจจุบันได้อะไรมาง่ายๆ ด้วย "เงิน" แค่เอาเงินไป บูชามา ก็ได้เครื่องรางของขลังแล้ว แต่เขากลับไม่รู้ว่าจะดูแลรักษาสิ่งนั้น ได้อย่างไร และกลายเป็นปัญหา เป็นภาระที่ผูกมัดตัวเองไป โดยไม่รู้ตัว !


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยคุณพ้นจากพลังยึดโยง สวัสดี


19 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"เงิน" กำลังครอบงำ ล่ามโซ่คุณไว้ดุจทาสหรือไม่? ทำอย่างไรจะพ้นจากปีศาจเงิน?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ ครับ คือ จำได้มั้ยครับที่ผมบอกว่าสมมุติทุก สิ่งในโลกล้วนมี "วิญญาณ" เช่นกัน ครับ "เงินก็มีวิญญาณ" มันเป็นสิ่งที่ กำลังมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ครับและ กำลังครอบงำคน ล่ามโซ่คน ให้คนจะ ต้องกลายเป็น "ทาสของเงิน" ฟังดูก็ ไม่ต่างจากปรัชญาทั่วไปเนอะ แต่ผม กำลังจะบอกว่ามันไม่ใช่ปรัชญา แต่ มันคือ "ความจริง" และตอนนี้มันมีทั้ง "รูปนาม" ที่แก่กล้ามากครับ มันมีจิต วิญญาณ และกำลังเล่นงานมนุษย์อยู่ เอาละ เริ่มน่าสนุกแล้ว งั้นเรามาเข้า เรื่องกันแบบง่ายๆ สบายๆ กันเลยครับ


"สมมุติทั้งหลายที่คนสร้างขึ้น" อาจกลายเป็น "ปีศาจ" ได้ถ้าได้รับ...


อย่างแรกที่ผมอยากจะบอกท่านคือ "สมมุติทุกอย่างที่คนสร้างขึ้น" ถ้า ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังจิตของคนจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดมี "วิญญาณครอง" และตามมาด้วย "จิต" และถ้าพลังจิตที่หล่อเลี้ยงนั้น เป็นพลังกิเลสแล้ว มันมีโอกาสสูงมากครับที่จะกลายเป็น "ปีศาจ" หรือ ก็คือ "สื่อนำวิญญาณ" อย่างหนึ่ง ขณะนี้ เงิน ได้กลายเป็นสื่อนำปีศาจ ร้ายเข้ามาครอบงำมนุษย์ ทั้งยังผูกมัดล่ามโซ่มนุษย์ไว้เป็นทาสของมัน! ในขณะเดียวกัน ถ้าสมมุติที่คนสร้างขึ้นได้รับพลังงานที่ดี มันก็จะนำพา วิญญาณที่ดี สว่างไสวตามมาคุ้มครองสิ่งนั้นด้วย เช่น เทวรูปที่ได้รับการ ดูแลอย่างดีและถูกต้องจากผู้ดูแลศาลเจ้า (ทว่า แบบนี้เป็นไปได้ยาก จน แทบไม่มีอีกแล้วบนโลกครับ) ดังนั้น ผู้รู้จึงแนะนำว่าไม่ควรสร้างสมมุติที่ สามารถ "รองรับพลังจิต" ของผู้คนไว้บนโลกมากครับ เช่น ไม่ควรสร้าง เทวรูปต่างๆ ให้คนกราบไหว้เพราะคนที่กราบไหว้โดยไม่ส่งพลังจิตให้สิ่ง นั้นๆ มีน้อยและเป็นไปได้ยากครับ พลังจิตของคนทั้งหลายเมื่อส่งไปรวม กันที่ "วัตถุสมมุติ" นั้นแล้ว วัตถุนั้นก็จะรองรับเอาพลังจิตของคนไว้ ทว่า มันได้ไม่นานครับ เพราะวัตถุพวกนี้ ไม่อาจจะรองรับพลังจิตคนได้ดีนัก ก็ จะมี "จิตวิญญาณ" มาเอาพลังจิตเหล่านั้นไปครับ แล้วมันก็จะเติบโตขึ้น จนกลายเป็นปีศาจที่มีฤทธิ์มาก แปลงร่างได้ ประสานร่างกับมนุษย์ได้ จน ถึงขั้นทำอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย พลังจิตที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณนั้น ก็ มีคำเรียกครับว่า "วิญญาณาหาร" คือ พลังวิญญาณที่หล่อเลี้ยง เหมือน อาหาร นั่นแหละครับ นี่แหละ การพัฒนาการของเหล่าปีศาจทั้งหลายครับ


ทุกครั้งที่คุณใช้เงิน คุณอาจจะสูญเสียพลังปราณแห่งมนุษย์ไปเรื่อยๆ


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ถ้าท่านใช้เงินไม่เป็น ทุกครั้งที่ท่านใช้ เงิน ท่านจะถูก "ปีศาจเงิน" สูบลมปราณไปเรื่อยๆ มันจะสูบลมปราณ เฉพาะนะครับ ฟังให้ดีนะ มันจะสูบลมปราณที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความ เป็นมนุษย์ เท่านั้น ลมปราณชนิดอื่นๆ มันไม่ต้องการครับ เพราะอะไร? เพราะมัน "ต้องการเป็นมนุษย์" ครับ ปีศาจเงิน จะสูบลมปราณเฉพาะ ที่ทำให้มนุษย์ค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป มันจะค่อยๆ ทำให้คน ไม่เหลือความเป็นมนุษย์ครับ เพราะมันต้องการเป็นมนุษย์ และตอนนี้ มันก็กำลังจะสำเร็จแล้ว มันวางแผนจะตั้งตัวเป็น "พระเจ้า" บนโลกนี้ ด้วย ดังนั้น "พระเจ้าที่แท้จริง" จึงต้องทำบางอย่างเพื่อหยุดกระบวน การนี้ครับ เอาละ ถ้าคุณอยากจะรู้ความจริง ลองสังเกตุดูครับ ใช้ที่ใช้ เงินเป็นการแก้ปัญหาในชีวิตมากๆ จนเคยชิน จะไม่ค่อยรู้ว่าจะใช้พลัง ความสามารถของ "มนุษย์" ในการแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร เอะอะอะไร ก็ใช้เงินแก้ปัญหาก่อนเลยครับ คนพวกนี้จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพราะสูญ เสีย "พลังชีพแห่งมนุษย์" ครับ มันจะเปลี่ยนถ่าย "ปราณปีศาจ" ของ มันสู่ร่างมนุษย์ จนมนุษย์มีสภาพกึ่งปีศาจ หมดสิ้นความเป็นมนุษย์และ มันก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ อาศัยในร่างมนุษย์ ได้เหมือนมนุษย์ปกติ ! เมื่อมองด้วย "ตาทิพย์" ท่านจะเห็นกายทิพย์ของมันเหมือนมนุษย์ปกติ ทำให้ท่านไม่คิดปราบหรือทำลายมัน มันก็จะรอดจากเงื้อมมือของท่าน ไปได้ เพราะขณะนี้มันเริ่มจะได้ "ร่างมนุษย์" แล้วในระดับทิพย์นะครับ


หยุด "ใช้เงินแก้ปัญหาชีวิต" แต่จงปลุกพลังชีพมนุษย์ขึ้นมาใช้แทน !


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ทางแก้ที่ท่านจะไม่สูญเสียพลังชีพแห่ง ความเป็นมนุษย์ไปให้มัน ก็คือ ท่านจะต้องหยุดใช้มัน (เงิน) แก้ปัญหา ชีวิตต่างๆ เช่น เวลาไม่มีอาหาร ท่านทำอย่างไร? มีปัญหาแล้วใช่มั้ย ก็ ใช้เงินแก้ปัญหาอย่างนี้หรือเปล่า? นั่นละ มันได้พลังชีพมนุษย์ของท่าน ไปอย่างง่ายดายมาก ท่านลองปรับมุมคิดสิ เวลาไม่มีอาหาร อ๊ะ ฉันเป็น "มนุษย์โลก" ฉันมีพลังที่จะทำมันเองได้ เอาละ ฉันหาอาหารบ้าง แต่ก็ ใช้เงินเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบบ้าง (แต่ไม่ได้ใช้เงินแก้ปัญหานี้ 100%) นี่ อย่างนี้ พลังชีพมนุษย์ของท่าน จะไม่ถูกมันสูบไป เพราะท่านใช้พลังนี้ ในการแก้ปัญหาชีวิตเรื่อยๆ แต่ใช้ "เงิน" เป็นองค์ประกอบนิดหน่อย ก็ เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าใช้เงินแก้ปัญหา ซื้อมาซะ ก็จบ อันนี้ ใช้ไม่ได้ มันก็ จะครอบงำท่าน แล้วส่งพลังมืดของมันให้ท่าน พร้อมทั้งสูบเอาพลังชีพ แห่งมนุษย์ของท่านไป สรุปคือ 1. อย่าใช้เงินแก้ปัญหาชีวิต แต่จงปลุก พลังชีพแห่งมนุษย์ขึ้นมาใช้ โดยให้เงินเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น 2. อย่าให้เงินนำหน้าทุกอย่าง แต่จงให้มันตามหลัง เช่น ใช้ปัญญาให้ ดีก่อนแล้วจึงว่าเรื่องเงินตามมาทีหลัง และอย่าไปพึ่งมันมากเกินไปครับ 3. อย่านับถือคนเพราะเรื่องเงิน และอย่าส่งจิตส่งใจไปเรื่องเงินมากเกิน ไป พลังจิตของท่านจะไม่สูญไปยังปีศาจเงินนี้ เช่น เวลาทำงาน ก็ทำให้ ดี ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะให้เงินเราเท่าไร แล้วพลังชีพของท่านจะไม่มี ลดลง จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป เพราะถูกปีศาจเงินนี้ สูบเอาไปครับ แล้วก็อย่าดีใจกับการได้เงินมาก อย่าหลงเงินมาก มันเป็นแค่ "ของใช้" อย่างหนึ่งในชีวิตของเรา เหมือนมีด, จอบ-เสียม, ปากกา ฯลฯ ก็แค่นั้น


คนมีบารมีใช้เงินได้ แต่ถ้าไม่มีบารมีมาทางนี้ "อย่าไปใช้เงินมาก" ครับ


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ผู้มีบารมีต่ออะไร ก็จะใช้สิ่งนั้นได้โดยไม่ มีปัญหาครับ เช่น มีบารมีต่อมีด ก็ใช้มีดได้ไม่มีปัญหา, มีบารมีต่อตำรา ก็ ใช้ตำราได้ โดยไม่หลงบ้าตำรา-ยึดติดตำรา, มีบารมี ต่อเงิน ก็ใช้เงินได้ โดยไม่ถูกเงินครอบงำ ฯลฯ เอาละ "ของทุกอย่างในโลก" อย่าไปหลงมัน มาก มันมีวิญญาณถือครอง และครอบงำเราได้ครับ เช่น คนไม่มีบารมีที่จะ ได้ "แว่นทิพย์" แต่ดันไปดู "ทีวี" ประจำ ผลเป็นไงครับ ก็ถูก "สื่อครอบงำ ความคิด" ไปหมด หลงไหลคลั่งใคล้ดารา, ไหลตามกระแสทีวี ฯลฯ และก็ อะไรอีกหลายอย่างจะเกิดขึ้นกับคุณ ทำให้คุณมีพลังจิตที่แย่ลง เป็นลบ ก็ ได้ หรือเริ่มดำมืด มีกิเลสมากมาย ก็ได้ครับ "ของทุกอย่าง" อย่าไปใช้มัน มากเกินไป เทพเทวดาเขามี "ของทิพย์" ประจำองค์กันแค่คนละ 1 อย่าง ก็พอใช้แล้วครับ เช่น คัมภีร์ทิพย์, แจกันทิพย์, กระบี่ทิพย์ ฯลฯ ท่านละแค่ 1 อย่างเท่านั้น มนุษย์เรา "มีเกินตัว" แล้วไม่รู้ภัยของมันครับ ไม่รู้ว่าของ "สมมุติทุกอย่างบนโลก" มีวิญญาณสื่อเชื่อมโยง ถือครอง และคอยดูแล อยู่ เมื่อใช้ไม่เป็น ก็จะหลง และนำพาไปสู่ความเสื่อมครับ เช่น คนที่ไม่มี บารมีจะขี่รถยนต์ แต่เพราะอยากได้ เข้าระบบซาตานก็ไปกู้มา ถูกผูกมัด ให้จ่ายหนี้ 10 กว่าปี ได้เป็นเจ้าของทันที เร็วทันใจ แถมรัฐบาลยังสนับ สนุนเต็มกำลังให้ลดหย่อนภาษีอีก เอากันเข้าไป เลยได้ง่าย เป็นหนี้ได้ ง่าย ถูกซาตานผูกมัดให้ต้องเสียอิสรภาพ ต้องทำงานในระบบทุนนิยม ในระบบซานต่อไป ไม่อาจพ้นได้ นี่ มันไม่มี "บุญบารมี" ของมันจริงจะ ได้ครองหรอก แต่มันได้ด้วยอำนาจซาตาน แลกมาเท่านั้นเอง บางคนก็ ไม่มีบุญจะได้กินของหวานแล้ว (เป็นโรคเบาหวาน) ฝืนกินเข้าไป ก็จะ กลายเป็นภัยแก่ตัวได้ นี่ละ ที่บอกว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบุญบารมี ได้ ใช้สิ่งของใดๆ ก็ได้ตามใจ ตามแต่มีอำนาจเงินหรือกินอะไรก็ได้อย่างนี้


เมื่อ "ปีศาจเงิน" คิดตั้งตัวเป็น "พระเจ้าแห่งเงินตรา" ครองโลกใบนี้ ?


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ตอนนี้บนโลกมีปีศาจอยู่มากมาย และ ปีศาจที่มีอำนาจมากๆ มีอยู่ 5 ตัวด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ "ปีศาจเงิน" ครับ ปีศาจทั้งหลาย เมื่อมีอำนาจมากๆ มีบริวารมากๆ และไม่มีใครจะ ปราบได้ ก็เริ่มหลงตัวเอง และคิดตั้งตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าแห่งโลกใบ นี้ และพวกเหล่าปีศาจทั้ง 5 ตน ก็มีอำนาจและบริวารมาก พอๆ กันนะ ครับ มันจึงยังตกลงเรื่องอาณาเขตกันไม่ได้ และมันได้ครอบงำอยู่ใน "ร่างมนุษย์หลายเชื้อชาติ" ส่งผลให้มนุษย์โลกกำลังขัดแย้งกันด้วย "เรื่องอาณาเขต" เป็นต้น มันก็แค่ใช้ร่างมนุษย์ งัดข้อกัน เล่นงานกัน ประเมินกำลังกันและตามมาด้วยการทำสงครามเพื่อยึดครองขอบเขต ของกันและกันครับ ยิ่งเฉพาะในยามนี้ที่เทพทั้งหลาย กำลังเปลี่ยนชุด มันก็เข้าแทรก เข้าเสียบแทนครับ ปีศาจเงิน ก็ใช้อำนาจเงินของมันนั่น แหละเป็นพลังของมัน กดข่มผู้คนและลดอำนาจของปีศาจสงครามไว้ ด้วยการอ้าง "สันติภาพ" นะครับ แต่ตัวมันเองก่อสงครามเงินอยู่ โดย ใช้เงินนี่แหละ เล่นงานและทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ครับ เช่น การที่ มันใช้เงิน ซื้อสินค้าบางชนิด "มากหรือน้อย" ไปกว่าปกติ ก็ส่งผลต่อ "ดุลยภาพของตลาด" ทำให้ราคาสินค้าชนิดนั้นแพงขึ้น หรือถูกลง ก็ ได้ และตามมาด้วยการขายของในตลาดต่างประเทศ ได้มากขึ้น หรือ น้อยลงได้ด้วยครับ เห็นมั้ยครับว่ามันใช้เงินเป็นอาวุธเล่นงานคนอื่นได้


คุณก็สามารถเป็นเศรษฐี และมีชีวิตที่ดีได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีเงินมากก็ตาม


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ การเป็นเศรษฐี ไม่จำเป็นต้องวัดกันที่ได้ เงินมาก หรือมีเงินมากเลย คุณสามารถเป็นเศรษฐีที่ไม่ได้มีเงินมาก แต่ ก็มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีได้ ด้วยเงินที่อาจไม่มากเท่าใดก็ตาม เช่น ยาม ที่คุณขี่จักรยานไปตลาด อาจจะไกล 10 กิโลเมตร (เหมือนคนจนเนอะ) คุณอาจไม่ได้ใช้เงินเพื่อขึ้นรถโดยสารประจำทาง ทว่า การที่คุณได้ไปขี่ จักรยาน มันก็ไม่ต่างจากคุณเอาเงินไปเข้าฟิตเนสดีๆ ราคาแพงๆ เพื่อจะ ได้ "ปั่นจักรยาน" ในนั้นเท่าไรหรอกครับ นึกภาพออกมั้ยครับ ว่าสุดท้าย แล้ว "วิถีชีวิตมันไม่ต่างกัน" ระหว่างคนที่เสียเงินเข้าฟิตเนสเดือนละพัน กับคนที่ไม่ได้ใช้เงิน แต่ใช้จักรยานขี่ไปตลาดเอง นี่ไง ผลออกมาไม่ต่าง กัน แต่มันต่างกันตรงที่ "พลังงานที่ใช้ครับ" คนที่ใช้เงิน จะใช้พลังงานที่ มาจากภาคมืดและสูญเสียพลังชีพแห่งมนุษย์ไปเรื่อยๆ แต่คนที่ไม่ได้ใช้ เงิน กลับมีพลังชีพแห่งมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีเปลือกนอกเหมือน กันก็ตาม เอาละ "ถ้าคุณเข้าใจว่าการใช้พลังชีพแห่งมนุษย์เพื่อยกระดับ ชีวิตของคุณให้เป็นเศรษฐีได้อย่างไร?" คุณก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเศรษฐีที่ มาได้ด้วยเงินหรอกครับ (การเป็นเศรษฐีอาจมาได้หลายวิธี ที่ไม่จำเป็นที่ จะต้องมาจากเงินอย่างเดียว) สุดท้ายแล้ววิถีชีวิตมันก็ไม่ต่างกันเลยครับ ตรงกันข้าม คนที่มีเงินมากๆ อาจจะมีชีวิตอยู่อย่าง "ขี้ข้า" หรือ เป็นทาส ของเงินอยู่ก็ได้ ของแบบนี้มันไม่แน่นอนครับ "ต้องดูจากวิถีชีวิตจริงๆ" ก็ จะดูออกได้ว่าใครมีชีวิตอยู่อย่างเศรษฐี พระราชา หรือว่ายาจก ที่แท้จริง!


คนที่มี "บารมีใช้เงินได้" ในโลกนี้มีอยู่น้อย ดังนั้น จึงมีศีลห้ามพระรับเงิน


สุดท้ายที่ผมอยากจะบอกท่านคือ คนที่มีบุญบารมีใช้เงินได้นั้น ก็มีอยู่น้อย ครับ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตราศีลให้ไว้ว่าไม่ให้ภิกษุไปรับเงินทอง ใคร มา มันเป็นของที่เกินตัวเกินกำลังบุญบารมีของพระสาวกของพระพุทธเจ้า ครับ พระพุทธเจ้าท่านมีสัพพัญญูญาณ ที่ทราบเรื่องนี้ดี แต่จะตรัสออกไป ตรงๆ ว่าเธอไม่มีบุญบารมีพอจะรับมัน แบบนี้ มันก็ไม่เหมาะ เดี๋ยวก็จะเกิด อาการกระตุ้น "อีโก้" ให้คนรู้สึกว่า "ฉันไม่มีบารมีเหรอ? หน่อยแน่ ฉันจะ ทำให้ดูว่าฉันมีนะ" เป็นต้น ดังนั้น ท่านก็ไม่อธิบายมากไป ให้ยืดเยื้อครับ ก็แค่เป็นศีลไว้ ก็พอแล้ว จบ เอาละ ที่นี้ คนที่มีบุญบารมีที่ใช้เงินได้ ใช้เงิน เป็นนั้น เป็นอย่างไร? เอาละ ท่านผู้นั้นจะมี "ของทิพย์ชนิดหนึ่ง" ที่เรียก ว่า "คฑาหมุนเงิน" ก็แล้วกัน ในคฑาทั้งหลายนั้น มีหลายชนิดครับ เช่น คฑาที่ด้ามยาวๆ เอาไว้ "ลงหลัก-ปักฐาน" จุดใดจุดหนึ่ง ด้วยปณิธานที่ แน่วแน่ เพื่อริเริ่มลงรากฐานสิ่งใหม่ๆ ครับ ส่วนคฑาอีกแบบ จะเป็นคฑาที่ เอาไว้ถือ มีหัวเป็นดวงแก้ว ด้านไม่ยาว ใช้ถือนำทางผู้คน รวมใจคน และ ส่องนำทาง ชี้ทางให้ผู้คนที่มืดมนครับ ส่วนคฑาแบบที่สามนี้ จะเป็นคฑา ที่ใช้ "พาดบ่า" ปลายสองข้างมีดวงมณี หมุนไปมา ให้เงินหมุนไหลเข้า ไหลออกได้ครับ เป็นคฑาอีกแบบ ลักษณะเหมือนหยก เป็นคฑาหยกครับ เอาละ ของทิพย์นี้ ดูไม่ออกด้วยตาเปล่า ก็อย่าไปคิดมากเลย มองไม่เห็น สังเกตุจากการใช้เงินของเขาดีกว่า คนที่งก, ตระหนี่, ประหยัด นี่ก็ไม่ใช่ พวกใช้เงินเป็นนะครับ การใช่เงินมันต้องมีการหมุนเข้า-ออกครับ เพื่อให้ มันมีพลวัตร เกิดความงอกงาม ให้ได้เงินมากขึ้นตามมา ไม่งั้นมันจะหมด ไปครับ นั่นคือ "การใช้เงิน" ใช้ให้เป็นครับ ไม่ใช่การเก็บเงิน อย่างเดียว


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล โปรดส่องนำทางชีวิตท่าน สวัสดี


18 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การไม่ปฏิบัติอะไรใหม่เลย ทำตัวปกติธรรมดา ธรรมะแบบธรรมชาติแท้ จึงปรากฏชัดจริง?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องง่ายๆ แต่อาจจะ ขัดแย้งในความคิดหรือความรู้สึกของ บางท่านบ้าง เพราะมันเป็นการปฏิบัติ ธรรมในแบบที่ไม่ต้องไปปฏิบัติอะไรเลย คือ ทำตัวเหมือนปกติ ธรรมดา อย่างที่มัน เป็น อย่างที่ธรรมชาติ วิบากกรรมมันจัด สรรให้เราเป็น เราทำ (ไม่ใช่ให้เป็นง่อย หรือเป็นพระอิฐพระปูนนะ) เอาละ มันก็ เลยเหมือนไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรใหม่เลย แต่นี่แหละ คือ "วิธีธรรมะ ธรรมชาติ" ที่จะ ทำให้ "ธรรมะ ธรรมชาติ" ปรากฏชัดใสแจ๋ว ไม่มีการปรุงแต่ง อย่างไร เรามาคุยกันครับ


การไปทำโน่นทำนี่ เพราะคิดว่าคือการปฏิบัติธรรม ก็คือ ความหลงอย่างหนึ่ง


อย่างแรกที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ หลายท่านมักคิดว่าการปฏิบัติธรรมอัน แท้จริง จะต้องไปทำนั่น ทำโน่น ทำนี่ เช่น ไปนั่งสมาธิ, ไปสวดมนต์, ไปทำ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ มากมาย วัดนั้นบ้าง สถานธรรมนี้บ้าง กับหลวงพ่อ องค์นั้นบ้าง ครูอาจารย์คนโน้นบ้าง ฯลฯ ผมขอสรุปเลยนะครับ สิ่งทีทำนั้น มันไม่ใช่ "มรรคตามธรรมชาติแห่งไปสู่พระนิพพาน" หรอก แต่ก็ไม่ได้ผิด อะไร มันเป็นแค่ "วิบากตามธรรมชาติ ที่ไม่เกี่ยวกับการจะได้นิพพานหรือ ไม่" นะครับ มันเป็นแค่บุญกรรมทำแต่งร่วมกันมา ให้ต้องไปทำแบบนั้นกัน ก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวและไม่ใช่เหตุของการนิพพานครับ แต่มันอาจเป็นมรรคที่ ทำให้ "บรรลุธรรม" ได้ คือ บรรลุธรรมได้ด้วยเหตุพวกนี้ แต่ไม่เกี่ยวกับว่า จะได้นิพพานหรือไม่นะครับ (บางท่านอาจบรรลุธรรมแต่ยังไม่นิพพานก็มี) การไปทำนั่น ทำโน่น ทำนี่ มันก็เริ่มต้นจาก "อวิชชา" นั่นแหละครับ คือไม่ รู้ว่านิพพานคืออะไร "เริ่มต้นจากไม่รู้ก่อน" แล้วก็เลยไปคิดทำนั่นนี่กันมาก มาย มันก็เลยกลายเป็น "สังขารธรรม" ทั้งสิ้นครับ เกิดจากอวิชชาก่อน ก็ ตามมาด้วย "สังขาร" เตลิดเปิดเปิงไปตามฏิจจสมุปบาท แต่ก็ไม่ผิดอะไร นะครับ มันเป็นไปตาม "วิบากกรรมของแต่ละท่าน" เท่านั้นเอง เช่น บาง ท่านก็ถูกวิบากกรรมนำพาให้ไปปฏิบัติธรรมอะไรมากมาย แต่บางท่านก็ อาจถูกหลอกให้ไป "ฆ่าคนเหมือนองคุลีมาล" ไงครับ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ ไม่ต่างกันครับ ไม่ว่าจะถูกวิบากกรรมแบบองคุลีมาลหรือแบบฤษีที่ได้บวช สุดท้ายแล้ว "ไม่ใช่เหตุของนิพพาน" ครับ นิพพานไม่ใช่ผล ไม่ได้เกิดได้ ด้วยเหตุอะไรสร้างมัน นิพพานพ้นแล้วจากการเกิด-ดับ พ้นแล้วจากเหตุ และผลทั้งปวง พ้นแล้วจากวงจรปฏิจจสมุปบาทครับ มันจึงไม่เกี่ยว ไม่มี สาเหตุว่า "ต้องไปปฏิบัติธรรม" นะ นั่งสมาธิก่อนนะ หรืออะไรเลยนะครับ


แม้ได้ "ธรรมะจากไตรปิฎกทั้งมวล" แล้วนำไปปฏิบัติ ก็หาใช่มรรคไม่?


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ หลายท่านมักคิดว่าเอาธรรมะจากตำรา แล้วมาทำความเข้าใจ แล้วจึงปฏิบัติ ก็ดี, ได้รับการสอนจากครูอาจารย์ แล้วนำไปปฏิบัติ ก็ดี ฯลฯ นั่นคือ "มรรค" แห่งการเข้าสู่นิพพาน ซึ่งก็ยัง ไม่ใช่นะครับ สิ่งนี้อาจมาจาก "การปรุงแต่ง" ด้วยอวิชชา คือ จุดเริ่มต้น ก็ไม่ได้มีปัญญามาก่อน (เหมือนจุดไฟต่อจากสิ่งที่ไม่มีไฟ) แล้วก็นำเอา "ธรรมะของผู้อื่น" จากตำรา จากไตรปิฎก อะไรก็ช่าง ไปปฏิบัติกันครับ ซึ่งไม่ใช่ "ปัญญาที่เกิดจากตัวเอง" คือ จุดเริ่มต้นก็ไม่ได้มีปัญญาสว่าง ไสว ยังไม่แจ้ง แต่เอาธรรมะของเขามาปฏิบัติกัน ก็เลยเริ่มต้นด้วยความ มืดหลง (อวิชชา) ไงครับ มันก็เลยเกิด "สังขาร" และอะไรต่อมิอะไรอีก ตามมามากมาย สุดท้ายก็เกิด "ชาติสืบภพ" ต่อไปอีกมากมายเพราะไป ปฏิบัติเอาเอง นี่แหละครับ เช่น ไปฝึกนั่งสมาธิกัน คิดว่ามันคือมรรคแน่ละ ทว่า ผลจากการนั่งสมาธินี่แหละที่สืบชาติต่อภพ ส่งคนไปพรหมโลกครับ มันไม่ใช่ "ธรรมะ ธรรมชาติ" มันสร้างขึ้น มันปรุงขึ้น มันทำขึ้น เพื่อให้ได้ ให้มี ให้เป็น "ไปตามตำราหรือตามคำครูสอน" มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดเองตาม ธรรมะ ธรรมชาติ หรอกครับ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก็เช่น ทุกสิ่งที่ เกิดจากวิบากกรรมครับ มันพัดพาให้เราต้องทำ ต้องเป็นไป แต่เราก็ไม่ได้ เจตนาอยากจะเป็น หรืออยากจะทำนะครับ มันคือวิบากกรรมจริงๆ จนเมื่อ ถึงวาระพร้อมแล้ว "พระพุทธเจ้า" ก็จะมาโปรดครับ นั่นแหละ เราถึงจะได้ "ธรรมะจากต้นธาตุต้นธรรม" จริงๆ มันต้องเราได้รับวิบากกรรมมากพอถึง จุดหนึ่งก่อน พอจะหมดแล้วท่านก็จะมาโปรดเราได้ "แม้ไร้รูปลักษณ์ครับ" ไม่ใช่เกิดจาก "เจตนา" ของเราจะไปเอาธรรมของใคร หรือใครเจตนาจะ เอาธรรมมาให้เรานะครับ ของที่เกิดจากเจตนานั้น ไม่ได้มาจากวิบากครับ


"ธรรมะจากไตรปิฎกทั้งมวล" ไม่ใช่ธรรมของเรา เอาไปปฏิบัติมันก็ผิด!


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ เพราะ "ธรรมะในพระไตรปิฎก" นั้น ไม่ ใช่ของเราครับ เมื่อเราเอาไปปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่ ไม่เหมือนของต้นธาตุต้น ธรรม ต้นทางเขา เราไปเอามา แล้วก็อุปโลกกันเองว่า คนนั้นใช่ คนนี้ใช่ คนนั้นเหมือน คนนี้เหมือน เป็นของจริง ขอโทษนะครับไม่มีใครจริงหรอก ครับ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไตรปิฎกจากการสังคายนา ครั้งแรกโดยพระมหากัสสปะก็เหมือนกัน ไม่ใช่ "ของต้นธาตุต้นธรรม" ก็ มีบิดเบือนได้ทั้งนั้นแหละครับ แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เลวร้ายอะไร มันก็ คือ "วิบากกรรมร่วมกัน" ไงละครับ แค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่มรรควิธีที่ว่าจะไป เรียนได้นักธรรม, ได้เปรียญ, ได้เกรียน อะไรมา ไม่ใช่หรอกครับ มันก็แค่ "วิบากกรรม" ดีบ้าง ชั่วบ้าง เท่านั้นเอง ของจริงจะได้ก็ต่อสายตรงของที่ แท้จริงครับ ต่อของจริงก็ได้ของจริง เอ้า ยกตัวอย่างความจริงง่ายๆ และ เกิดขึ้นแล้วท่านหนึ่ง เมื่อก่อนท่านก็ไม่สนใจธรรมะ อะไรเลย เอาแต่หลง โลกเหมือนคนปกติ ทำงานหวังเป็นเศรษฐีเท่านั้นเอง ต่อมา หลวงพ่อรูป 1 จะไปโปรด ท่านก็ไม่สนใจ ไม่ยอมรับ ถือตัวอยู่ แล้ววันหนึ่งท่านพร้อมเลย "ท้าให้พระพุทธเจ้ามาสอน" แล้ววันนั้นท่านก็ได้รับธรรมเลย และได้เลย ครับ นี่ละ ที่เรียกว่า "ต่อสายตรง" ได้ธรรมจริง จากพระพุทธเจ้าจริง ไม่ ใช่ได้จากตำรา หรือผ่านใครมานะครับ เอาละ ก็อย่าคิดว่าปาฏิหาริย์ของ พระพุทธเจ้าไม่มีจริงละครับ แม้ว่าท่านไม่มีขันธ์ห้าแล้วก็อย่าคิดว่าท่านจะ โปรดสัตว์ไม่ได้ละ นั่นเป็น ความคิดเอาเอง ไปเองว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ครับ


"ธรรมะตามธรรมชาติ" ตามวิบากกรรม ต่อให้เป็นวิชามาร ก็ฝึกได้ครับ


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ "ธรรมชาติแห่งวิบากกรรมของสัตว์" นี้ ไม่เหมือนกันครับ สัตว์โลกมีกรรมต่างกันไป จะให้เหมือนกันหมด เป็นไป ไม่ได้ ดังนั้น บางท่านอาจได้ไปฝึกปฏิบัติตามตำรา, ตามไตรปิฎก, ตาม ครูบาอาจารย์ แต่บางท่านก็อาจได้วิชามาร, วิชาอสูร, ไสยเวทย์มนต์ดำ ก็ได้ครับ มันมาจาก "วิบากกรรม" เท่านั้นเอง ทว่า มันไม่ต่างกันหรอกนะ ว่าใครจะได้นิพพานก่อนใคร? นิพพานไม่มีเหตุเกิด ไม่มีภพให้ไป จึงไม่มี ว่า "ใกล้หรือไกล" กว่ากันนะครับ ไม่ว่าคนที่มีวิบากกรรมฝึกวิชามาร ฝึก วิชาอสูร, ไสยเวทย์, พลังมนต์ดำ, พลังจิตด้านลบ ฯลฯ มันก็แค่วิบากเท่า นั้นเอง ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่มรรค ที่ใครจะได้นิพพานก่อนใครครับ ใครมีวิบาก กรรมแบบไหน ก็ต้องรับไปอย่างนั้น เท่านั้นเอง ใครมีวิบากกรรมต้องได้รับ วิชามาร ก็ฝึกไป เป็นมารไปก่อน หมดกรรมแล้ว พร้อมบรรลุธรรมแล้วก็จะ ได้รับการโปรดจาก "ท่านที่เหมาะสมด้วยบุญกรรมที่ร่วมกัน" ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าผมจะเผยแพร่ "วิชามาร" ก็ไม่แปลกอะไร และไม่ใช่เหตุที่จะทำ ให้ใครได้นิพพานเร็วขึ้น หรือช้าลงแต่อย่างใดเลยครับ มันก็เป็นไปตามแต่ วิบากกรรม ดีก็ช่าง ชั่วก็ช่าง ธรรมชาติก็จัดสรรไปครับ ไม่ใช่เหตุนิพพาน


"ธรรมะอันเป็นสังขารธรรม" จากวิบาก จะหมดสิ้นไปก่อนจึงได้ของจริง


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ ต่อให้ท่านได้ครูอาจารย์ที่ดี คิดว่าอรหันต์ แท้แน่นอน ขนาดไหนก็ตาม มันก็ไม่ใช่เหตุแห่งนิพพานครับ สิ่งที่ท่านได้ รับมานั้น จะเป็นได้แค่ "สังขารธรรม" เป็นธรรมที่เกิดจากอวิชชา และได้ รับการปรุงแต่งเกิดสังขาร แล้วทั้งสิ้น ไม่ใช่ "อสังขารธรรม" ไม่ใช่ธรรม ในระดับเดียวกับนิพพานครับ มันก็แค่ "วิบากกรรม" จะดีก็ช่าง, จะชั่ว ก็ ช่าง มันก็แค่วิบากกรรม เท่านั้นเองครับ จนกว่าท่านจะเสวยวิบากกรรมนี้ จนหมดแล้ว เมื่อนั้นแหละ "ท่านจึงพร้อมรับธรรมแท้" ได้ ดังนั้น ท่านจึง ต้อง "รับมันเข้าไป เสวยมันเข้าไป" ให้มันหมดๆ ไปเสียก่อนครับถ้าท่าน ได้วิชาอะไรมาก็ช่าง ตามวิบากกรรมของท่าน ก็ทำๆ ไปให้มันหมดๆ ไป ก็จะถึงเวลาพร้อมรับธรรมแท้จากพระพุทธเจ้าได้ครับ แต่ถ้าท่านเห็นว่านี่ มันเป็นแค่วิบาก ไม่ใช่ธรรมจริง ท่านไม่ยอมรับวิบากกรรมๆ ของท่านก็จะ ไม่หมดสิ้นไปได้สักทีครับ ดังนั้น อะไรก็ช่าง ถ้าเป็นวิบากกรรมแล้ว ก็รับๆ ไปให้มันหมดๆ ไปครับ "ของที่ท่านได้ตอนแรก" มันไม่ใช่ของแท้หรอกก็ รับไปซะ ไม่ต้องไปยึดอะไรมัน จนมันหมดแล้วนั่นแหละ ถึงจะได้ของจริง จะเป็นวิชารมาร, วิชาอสูร, วิชาดีงาม หรือวิชาบ้าบอคอแตก อะไรก็ช่าง เถอะครับ "ไม่แตกต่างกันเลย" ไม่ต้องมาว่าใครถูก ใครผิด ใครดีกว่าใคร หรอกครับ "เหมือนกัน" คือ "ยังไม่พ้นอำนาจแห่งวิบากกรรม" ด้วยกันทั้ง นั้น ไม่ว่าลัทธิ, นิกายอะไรก็ช่าง ไม่ต่างกันครับ เหมือนกัน จะผิด หรือจะ ถูก ก็เหมือนกันที่ "วิบากกรรม" เท่านั้นเองครับ ไม่ใช่ของจริงสักอย่างแต่ ก็ต้อง "ยอมรับไปครับ" จนกว่าจะหมดกรรม จึงจะได้ "ของจริง" นะครับ


"ไม่ต้องมาว่าใครถูกใครผิดเลย" ล้วนแต่ได้รับวิบากกรรมเช่นกันนะหละ


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิ, นิกาย, วัด, สถานธรรม อะไรที่ท่านคิดว่า "ผิดหรือถูก" ก็ดี, "แท้หรือเทียม" ก็ดี ฯลฯ ล้วนไม่ต่าง กันหรอกครับ มันเป็นไปตาม "วิบากกรรม" เท่านั้นเอง ของจริง ไม่ผ่านมา ทางลัทธิ, นิกาย ฯลฯ หรืออะไรใดๆ ครับ "ต่อตรงมาเลย" จากท่านที่ใช่ ที่ เป็น "ตัวจริง ของจริง" ซึ่งจะปรากฏมาในภายหลัง หลังจากที่เราได้เสวย วิบากกรรมหมดแล้วครับ ดังนั้น ไม่ต้องมาเถียงกันเลยว่า วัดใครดีกว่าใคร หลวงปู่ครูบาของใคร ตรงทางกว่าของใคร "ทุกอย่างเป็นไปตามวิบากฯ" ทั้งสิ้นครับ เมื่อพ้นแล้วจาก "วิบากกรรมบังตา" นั่นแหละ ของจริงจึงมาให้ เห็น มาให้ต่อสายธรรมกันได้จริงครับ ดังนั้น "ก็เสวยวิบากกรรม ก็หลงไป ก่อน" มันเป็นกรรมที่ต้องเสวยให้หมดก่อนครับ จึงจะรับของจริงได้ และมี "กรรม" เป็นเหตุเช่นนี้ มันจึงมี "ลัทธิ-นิกาย" เกิดขึ้นมาได้ครับ ไม่ว่าจะมี ความถูกต้องหรือความผิดเพี้ยนเท่าใด มันก็มาจาก "วิบากกรรมของเราที่ ร่วมสร้างกันมาเองแหละครับ" ดังนั้น จึงไม่ใช่ของที่จะไปห้าม หรือไปทำ ให้ใคร พ้นกรรมนี้ได้อย่างไร ต้องปล่อยไปก่อนครับ รอจนกว่าเขาจะเริ่มมี สติ (เพราะวิบากกรรมบังตาเริ่มหมดแล้ว) นั่นแหละ "สิ่งใหม่" จึงเข้าไป ในชีวิตของเขาได้ จะเป็นสิ่งใหม่ที่ดี ถูกต้อง หรือผิดเพี้ยน ก็แล้วแต่ว่าจะ มีกรรมใหม่เข้ามาบังตาต่ออีก หรือหมดแล้ว เท่านั้นเองครับ ไม่อาจยึดได้


สุดท้าย ทุกคนก็ต้องเป็นไปตาม "วิบากกรรม" ของตน ไม่ว่าจะอย่างไร?


สุดท้ายที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ สุดท้ายแล้วเราก็หนีกรรมไม่พ้นครับ ก็ ต้องเป็นไปตามวิบากกรรมของเรา จะเป็นกรรมที่ต้องกลายเป็นมาร ก็ช่าง อสูรร้าย ก็ช่าง, ซาตาน ก็ช่าง ฯลฯ มันก็แค่ "วิบากกรรม ที่แตกต่างกัน" ก็เท่านั้นเองครับ ดังนั้น สุดท้ายแล้วแต่ละท่านก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ อย่างที่เขาเป็น (ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตรงทางก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไปจากวิบากกรรมแต่อย่างใด) ใครจะกลายเป็น "เจ้าลัทธิมาร, เจ้าลัทธิ ซาตาน" มันก็เป็นไปตามธรรมะ ธรรมชาติ วิบากกรรมจัดสรร เองนั่นหละ ครับ มันจะผิดตรงไหน ในเมื่อเขามีกรรมเช่นนั้น คนอื่นก็มีเหมือนกัน เป็น สารพัดจะเป็นกันทั้งนั้น เลวร้าย และแย่กว่านี้ก็มีออกถมไปครับ ไร้สาระ! นั่นแหละ "มรรคธรรมชาติ" ซึ่งมันจะค่อยๆ เข้าสู่ "มรรคมีองค์แปด" ไป เอง "ตามวาระของมัน" ถ้ายังไม่ถึงวาระของมัน มันก็ไม่ใช่ ไม่มี ไม่เป็น แต่ถ้ามันถึงวาระของมันเมื่อไร มันก็เข้าทาง มันใช่ มันมี มันเป็น ของมัน ไปเอง ไปตามธรรมะ ธรรมชาติ จัดสรรเช่นนั้นเอง ไม่แตกต่างกันเลยครับ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย จงช่วยโปรดส่องนำทางท่าน สวัสดี


17 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คุณอาจมีปรปักษ์แปลกหน้า ถ้าคุณรับพลังงานจากภายนอก (มองหน้าก็ตีหัวกันเลย)?

สวัสดีครับ วันนี้ ก็มีเรื่องเกร็ดความรู้เล็กๆ ที่เอามาให้อ่านกันเล่นๆ ครับ เป็นเรื่องของ คนที่ได้รับพลังงานจากจักรวาล แล้วส่งผล ให้มี "ปรปักษ์" ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เช่น อยู่ๆ ไม่รู้จักกัน ก็มาหาเรื่องกันได้ หรือ คนรอบข้างที่เป็นญาติมิตร อยู่ๆ ก็ทำตัวเป็น ปรปักษ์เราได้เฉยเลย ทั้งๆ ที่ดีกันอยู่แท้ๆ ? นี่ละครับ พลังงานตรงข้ามที่จูนเข้ามา ซึ่ง ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปในรายละเอียดนี้ครับ


ดุลยภาพของ "การรับใช้สิ่งศักดิสิทธิ์" และ "ความเป็นตัวของตัวเอง"


อย่างแรกผมอยากเรียนให้ท่านทราบคือ เมื่อเราได้รับพลังงานจักรวาล เราจะถูกพลังงานนั้นขับดันให้ทำหน้าที่ของจักรวาล เราจะอยู่ในฐานะ "ผู้รับใช้" หรือ "สาวก-ทาส-พระบุตร" ก็ได้ครับ แล้วแต่จะเรียกกันไป เมื่อนั้น พลังงานจะขับดันให้เราทำอะไรต่อมิอะไร ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการ ดำรงคงสังขารปัจจุบันนี้เลย มันเป็นกิจของจักรวาลครับ ทีนี้ มันก็ต้องมี สมดุลหน่อย คือ เราจะต้องมีความเป็นตัวของตัวเองบ้าง 1, และมีความ เป็นผู้รับใช้สิ่งศักดิสิทธิ์ที่ดีบ้าง 1, ทั้งสองประการนี้ควรจะต้องสมดุลกัน ใช่มั้ยครับ ในคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองน้อยมาก ก็อาจถูกพลังงานนี้ ขับดันไปจนเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้ ทำอะไรไปทำไม เพื่ออะไรก็ไม่รู้ ได้ครับ ส่วนคนที่เป็นตัวของตัวเองมาก ก็อาจจะประสานพลังจักรวาลได้น้อย จะ ใช้แต่กำลังของตนเอง สนองความดำรงอยู่ของสังขารปัจจุบันของตนไป มากครับ ดังนั้น ผมจึงแนะนำว่า "ควรสมดุลกัน" ก็จะไปได้ดีทั้งสองทาง


ใครบางคนอาจสูญเสีย "ความเป็นตัวของตัวเอง" และเป็นปรปักษ์ท่าน


ต่อไปที่ผมอยากเรียนให้ท่านทราบคือ อาจมีใครบางคนที่ "ไม่ได้บ้า" นะ ครับ แต่เขาถูก "พลังจักรวาลชนิดตรงกันข้าม" กับพลังงานที่คุณได้รับ และสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นผู้เป็นคนหรือสูญเสียความเป็น มนุษย์ไปชั่วขณะ ก็ดี อาจเข้ามาทำร้าย กลายเป็นปรปักษ์ของคุณได้ครับ โดยที่ไม่มีมูลเหตุ ไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย เขาไม่ได้บ้า จะว่าบุ่มบ่ามทำไป ห่ามๆ ก็ไม่ใช่ แต่เขาถูกพลังจักรวาล "แบบตรงข้ามกับของคุณ" กระทำ แล้วก็ ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เหมือนคนบ้าขาดสติ แต่ไม่ได้บ้าจริงครับ เขาอาจ จะเข้ามาปองร้าย หรือทำร้ายคุณได้ ถ้าเขาได้รับพลังงานที่ตรงข้ามกับที่ คุณได้รับครับ ดังนั้น เราจะต้องแยกแยะให้ออกว่า "เขาเป็นแค่ร่างที่ถูกใช้ มาทำหน้าที่เท่านั้น" เอาเข้าจริง เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าตนเองทำไป มันถูกมัน ผิดหรือไม่ ด้วยซ้ำครับ เพราะเขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่ ได้รับยาเสพติด, กำลังเมาอยู่ มักจะมีกำลังจิตต่ำและกลายเป็นเหยื่อที่ถูก พลังงานเหล่านี้ "ครอบงำและช่วงใช้" นะครับ ดังนั้น เราควรเข้าใจ สิ่งนี้ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากเราได้รับพลังจักรวาลด้วย ว่าเราไม่ได้รบกับสังขารที่ ถูกครอบงำอยู่นี้ แต่เรากำลังมีปรปักษ์เป็นพลังงานที่มองไม่เห็นอยู่นะครับ


ปิดสวิตท์รับพลังจักรวาล เมื่อคุณไม่จำเป็นต้องใช้ จะเป็นทางออกที่ดีได้


ต่อไปที่ผมอยากเรียนให้ท่านทราบคือ การปิดสวิตท์รับพลังจักรวาล ใน เวลาที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ เพื่ออะไร? เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกจูนด้วยพลัง ที่ตรงกันข้าม เข้ามาในเวลาที่ไม่จำเป็นครับ เพราะเมื่อเราใช้พลังแบบนี้ พลังสายตรงข้าม ก็จะจูนร่างสังขารที่กำลังจิตต่ำๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง มาเล่นงานเราได้ครับ มันเป็นผลมาจากพลังงานตรงข้าม (หยิน-หยาง) ที่คอยมาควบคุมดุลยภาพกับเรา ซึ่งร่างสังขารที่งี่เง่าเหล่านั้น จะถูกใช้ ให้ก่อกรรม และไม่ได้อะไรเลย เพราะความงี่เง่า, ขาดสติ, ไม่อาจควบ คุมตัวเองได้ นั่นเอง เขาก็เหมือนคนที่ถูกหลอกใช้ครับ อันนั้นก็พวกหนึ่ง อีกพวกคือ กระทำด้วยเจตนาเต็มกำลัง ไม่ได้ถูกครอบงำ หรือถูกอะไรที่ จูนเข้ามาแบบนี้ อันนี้ เราคงต้องแยกแยะด้วยนะครับเพื่อจะได้จัดการกับ ปัญหาและสถานการณ์ที่ยุ่งยากนี้ ได้อย่างเหมาะสมครับ และวิธีปิดสวิต นี้ เป็นวิธีที่ดีมากครับ เมื่อเราไม่ได้ใช้พลัง เราเหมือนคนปกติ เหมือนไม่มี พลังพิเศษอะไรเลย สำหรับท่านที่ไม่คุ้นชินอาจทำไม่ได้ในช่วงแรกก็ลอง ต่อไปครับ แล้วท่านจะพบว่ามันจบปัญหาได้โดยไม่ต้องมีเรื่องกับใครเลย


ญาติสนิทมิตรสหาย อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นปรปักษ์ของท่านได้เพราะเหตุนี้


ต่อไปที่ผมอยากเรียนให้ท่านทราบคือ พลังงานจักรวาล "สายตรงข้าม" อาจจูนและครอบงำ "ญาติสนิทมิตรสหายของท่าน" รอบตัวท่าน ที่เคย ดีต่อท่าน ทำไมจู่ๆ ก็กลายเป็น "ปรปักษ์" ตั้งตัวเป็นเหมือนศัตรูของท่าน ได้ (เป็นบางครั้ง) เพราะเหตุนี้ คือ พลังงานจักรวาลสายตรงข้าม ได้ทำ การครอบงำหรือจูนเขา เช่น เวลาที่เขาไม่เห็นด้วยกับคุณ แค่ไม่เห็นด้วย เท่านั้น ไม่ได้เกลียดหรืออยู่คนละข้างกับคุณเลย ทว่า พลังงานจักรวาลที่ มีจำนวนมากมาย อาจใช้ร่างเขาทำหน้าที่ต่อต้านคุณอย่างรุนแรงราวกับ เป็นปรปักษ์, เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันไปได้ ทั้งๆ ที่หาเหตุผลไม่ได้เลยว่าคุณ ไปทำร้ายอะไรเขาหรือไม่? ไม่มีเลย ไม่มีเหตุผล นี่ละ พลังงานจักรวาลที่ เป็นกลุ่มสายตรงข้ามกับคุณ พยายามเอาใครก็ได้ทั้งนั้นที่พร้อมจะทำกิจ "ตรงกันข้าม" กับคุณ แค่เถียง แค่คิดต่าง ก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่ พร้อมจะสร้างความร้าวฉานให้สัมพันธภาพที่ดีของคุณได้เลย ทั้งๆ ที่คุณ และญาติสนิทมิตรสหายเหล่านี้ ก็รักคุณดีแท้ๆ แต่ทำไมกลายเป็นเช่นนั้น


แรงขับดันจาก "พลังงานภายใน" และ "พลังงานภายนอก" ที่ต่างกัน?


ต่อไปที่ผมอยากเรียนให้ท่านทราบคือ คนเราอาจได้รับการขับดันจากสิ่ง ต่างๆ หลากหลาย ได้รับแรงขับดันจากพลังงานที่มาจากสองแหล่ง ซึ่ง แตกต่างกันได้ เช่น พลังงานภายใน อาจเป็น + กับเรามาก แต่พลังงาน ภายนอกอาจเป็น - กับเราได้ เราจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องพลังงานภายใน และพลังงานภายนอกนี้ให้ดีครับ เพราะบางครั้ง คนบางคนลึกๆ แล้วเขา อาจจะดีกับเรามาก หวังดีกับเรามาก แต่ทำไม เวลาที่แสดงออก ดูเปลือก นอกแล้วเหมือนเป็นศัตรูกับเรามาก เหมือนเป็นลบกับเราได้ ในขณะเดียว กัน คนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของเรา คิดร้าย ปองร้าย เล่นงานเรา อาจจะกลาย เป็นคนที่ทำให้เราเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ด้วย เพราะพลังงาน "ปฏิภาค" หรือ พลังงานจักรวาลที่ตรงกันข้าม ครอบงำ ขับดับ ปกคลุมเขาอยู่ ดังนั้น เรา ก็อย่าเพิ่งไปรักหรือเกลียดใครมากเกินไป ไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูถาวร แต่ ให้มองดูให้ดีๆ ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้น อะไรส่งผลต่อเราอย่างไร เราก็จะได้ โอกาสดีๆ มากมาย จากคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนให้โอกาสเรา ก็ได้ครับ เรียกว่า บางครั้ง "ศัตรูอาจหนุนดวงเรา แต่บางครั้ง มิตรอาจตัดดวงเรา"


ผลจากการจูนพลังงานเช่นนี้ อาจทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษได้


ต่อไปที่ผมอยากเรียนให้ท่านทราบคือ เมื่อท่านได้รับพลังพิเศษนี้แล้ว จะ มีพลังงานจักรวาลสายตรงข้าม จูนเข้ากับคนรอบตัวท่านได้ ทีนี้ คนรอบ ตัวท่าน ที่เคยเป็นคนธรรมดาไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ก็อาจกลายเป็นคนที่ได้มี ฤทธิ์เดชพิเศษขึ้นมาได้ ดังนั้น คุณไม่ควรไปก่อกรรมทั้งดีและชั่วอะไรกับ คนที่ไม่ควรได้รับพลังพิเศษเหล่านี้ เช่น บางคนไม่ได้เรื่องอะไรเลย แต่พอ อาศัย "กรรมเกี่ยวเนื่องเป็นปรปักษ์กับคุณ" เขาก็จะได้รับพลังพิเศษมาก เกินกว่าที่สังขารของเขา กำลังอินทรีย์ของเขา หรือความพร้อมของเขาที่ จะได้รับ ช่วงหนึ่งเขาอาจจะดูเก่งมากๆ เพราะไต่เต้ามาด้วยการเกาะ ด้วย การตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับคุณ แต่พอเขาไปต่อไม่ไหว เขาก็จะสิ้นสภาพ ไม่ อาจมีฤทธิ์เดชได้เช่นนั้น ทั้งยังได้รับกรรมมากมาย จนอาจจะเกินตัวรับได้ เรียกว่า "ไม่รู้จักเจียมตัว" อาศัยพลังงานครอบงำตัวเองให้มีพลังพิเศษที่ ได้รับชั่วขณะเท่านั้น ต่อไป ก็มีแต่ผลร้าย ผลเสีย ทั้งนั้น นี่แหละ การที่ถูก จูนด้วยการ "ตั้งตัวเป็นปรปักษ์" ก็จะได้รับพลังงานตรงกันข้ามไปเช่นกัน ทว่า ผลร้ายจะเกิดขึ้นมากกว่าผลดี ได้ไม่คุ้มเสีย ถูกหลอกใช้เท่านั้นเอง!


คุณก็สามารถ "เลื่อนระดับ" ด้วยการ "ตั้งตัวเป็นปรปักษ์" กับสิ่งใดได้


สุดท้ายที่ผมอยากเรียนให้ท่านทราบคือ คุณเองก็สามารถเลื่อนระดับให้ สูงขึ้นได้ด้วยการ "ตั้งตัวเป็นปรปักษ์" หรือทำสิ่งตรงข้ามกับคนที่สูงส่ง เพื่อรับพลังงานสายตรงข้ามกับเขาให้ได้ ซึ่งพลังงานที่ตรงข้ามกับเขา ก็อาจมีทั้งพลังงานที่ดีและไม่ดี เช่น พลังงานที่ตรงข้ามกับโพธิสัตว์องค์ หนึ่ง ก็อาจเป็นโพธิสัตว์อีกองค์ที่หยิน-หยางกัน หรืออาจเป็น "มาร" ก็ ได้ ดังนั้น "นักไต่ระดับที่ดี" ก็ควรเกาะเกี่ยวพลังงานสายดี ไม่ใช่ลงต่ำ ไปสู่พลังงานที่ไม่ดี เพราะผลจากการตั้งตัวเป็นปรปักษ์นี้ ด้วยเหตุนี้ ใน การเลื่อนระดับด้วยการตั้งตัวเป็น "ปรปักษ์" ก็ต้องทำอย่างมีความเข้า ใจอย่างแท้จริง เช่น ถ้าคุณตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับ "อิลูมินาติ" คุณอาจมี ความเป็น "มาร" ไปก็ได้ หรืออาจจะเป็น "เทพภาคสว่าง" ก็ได้เช่นกัน


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยนำทางพลังของท่าน สวัสดี


16 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สรรพสิ่งทางโลกล้วนมีนามรูปและวิญญาณ แม้แต่เว็บไซต์ ก็มีวิญญาณ?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมีเกร็ดเล็กๆ เรื่อง "นามรูป" ใน "ปฏิจสมุปบาท" ครับ ท่านกล่าวว่า เมื่อมี "อวิชชา" จึงมี "สังขาร" เมื่อมีสังขารจึงมี "วิญญาณ" และเมื่อมีวิญญาณจึงมี "นามรูป" ครับ เอาละ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกิดจากสิ่งปรุงแต่ง มันก็คือ "สังขารธรรม" และมันก็จะมีวิญญาณ มาสู่ครับ ดังนั้น แม้แต่เว็บไซต์ก็มีนะครับ เอาละเราลองมาคุยเรื่องนี้กันดูครับ


สรรพสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่ง (สังขาร) ล้วนมีวิญญาณ ตามมาทั้งสิ้น?


อย่างแรกที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ คำว่า "สังขาร" นี้ ไม่ได้หมายถึง แค่ "ร่างกาย" นะครับ คำว่าสังขารที่หมายถึงร่างกายนี้ จะใช้แค่ในธรรม หมวด "ขันธ์ห้า" เท่านั้นครับ สำหรับใน ปฏิจจสมุปบาท แล้ว จะใช้หมาย ถึง "ธรรมชาติทุกสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่ง" ทำไมมันจึงปรุงแต่งละ? อ้อ ก็เพราะมันเกิดจาก "อวิชชา" ไงละ คือ มันยังไม่ได้แจ้งด้วยปัญญามาแต่ ต้น ไม่ได้เริ่มจากปัญญาเป็นรากเหง้า มันก็เลยมีอวิชชาและสังขารตามมา เช่น "ก้อนหิน" นี่ก็เกิดจาก "อวิชชา" เป็นรากเหง้าครับ เพราะแรกเริ่มแต่ เดิมมา มันมาจาก "นิพพาน" ก่อน แล้วมี "เทพแห่งดิน" ซึ่งยังไม่หลุดพ้น ยังไม่แจ้ง และยังทำหน้าที่ต่อไป ทำหน้าที่ให้นิพพานมีสภาวะถูกห่อหุ้มไป ด้วยสมมุติจากพลังจิตของท่าน ก่อเกิดเป็น "ก้อนหิน" เอาละ นี่ละ สังขาร เกิดแล้ว ต่อมาก็มี "เทพแห่งนามและอักษร" มาตั้งชื่อเรียกมันว่า ก้อนหิน! นั่นและ "นามรูป" เกิดแล้ว ทีนี้ ทุกอย่างนั่นแหละ เป็นเช่นนี้ ยกเว้นก็เพียง นิพพาน หรือ "ธรรมในระดับวิมุติธรรม" ที่พ้นแล้วจาก "ตัวอักษร" ใดๆ ที่ จะกล่าว "นาม" หรือ "รูปลักษณ์" ใดๆ ที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะต่างๆ ซึ่ง "เทพอีกมากมายช่วยอยู่ในกระบวนการเกิดรูป-เห็นรูป-สัมผัสรูป" นี้ เช่น พระสุริยเทพ ก็ช่วยส่องแสงลงมา ไม่เช่นนั้น ตามเราก็มองไม่เห็นรูป นั้นครับ ดังนั้น อะไรที่มีนาม ก็ไม่พ้นมีเทพอักษร "ปรุงแต่งขึ้นมา" อะไรที่ มี "รูป" ก็ไม่พ้นมีเทพดูแลให้เกิดอีก รูปนามเหล่านี้จึงไม่ใช่วิมุติธรรมครับ


"นิพพานแบบมีรูปนาม" และ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากรูปนาม" ก็ต่างกัน


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ แม้แต่นิพพานเอง ก็มีทั้งนิพพานที่มีรูป นาม คือ นิพพานที่เราใช้อักษรเขียนและอ่านกันได้อยู่นี้ และนิพพานที่พ้น แล้วจาก "รูปนาม" ก็คือ "นิพพาน" ที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยอักษร (นาม) ใดๆ และไม่อาจสัมผัสได้ด้วยอายตนะใดๆ (รูป) มีเหมือนไม่มี, ไม่มี กลับ เหมือนมี แท้แล้วมีทุกที่ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นนิพพานในตัวอยู่แล้ว แต่ไม่มี ปรากฏใน "รูปนาม" ใดๆ ด้วยรูปนามที่ท่านเห็นในสรรพสิ่งนั้นล้วนมาจาก การปรุงแต่งด้วยการเห็นรูป สัมผัสรูปผ่านอายตนะต่างๆ และมีนามเรียกมี ตัวอักษรอธิบายนามต่างๆ กันไป ทั้งสิ้น สิ่งที่ท่านรับรู้และอธิบายได้ด้วยคำ ต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่ใช่นิพพาน แต่มันก็คือ "นิพพาน" อยู่ในตัวเองแล้ว ใน ระดับชั้นที่ท่านไม่อาจอธิบายด้วยนาม และไม่อาจสัมผัสได้ด้วยรูป นั่นเอง เอาละ ท่านพอจะ "ไม่เข้าใจ" บ้างมั้ย? ถ้าเข้าใจก็คงไม่ใช่แล้ว ฮ่าๆๆ ผม ยังไม่เข้าใจเลย แต่ความไม่เข้าใจนี้ ก็ไม่มีสาระอะไร มันจบแล้ว มันสิ้นมัน ไปเองแล้วในตัวมันเองแล้ว ก็เท่านั้นเอง เอาเป็นว่าผมจะอธิบายแค่นี้ละนะ


"นิพพานแบบมีวิญญาณ" และ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากวิญญาณ" ?


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ บางท่านก็ค้นพบ "นิพพานในแบบที่ มีวิญญาณ" แต่บางท่านอาจได้พบ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากวิญญาณ" ซึ่งต่างกัน นิพพานแบบแรก มีวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณเชิง อรูป- หรือมีรูป ก็ตาม ในระดับของวิญญาณชั้นหยาบย่อมมีรูป (ก่อรูปก-นาม) แต่ในระดับละเอียดไม่มีรูปแล้ว พ้น "นามรูป" แล้ว ทว่า ก็ยังมีวิญญาณ ที่ไร้รูป ไร้ลักษณ์ ได้อีก ในระดับนี้ ท่านจะไม่อาจตั้งชื่ออะไรเรียกได้ ด้วย ละเอียดกว่าชั้นนาม และก็ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยอายตนะใดๆ ด้วยละเอียด กว่ารูป ด้วยพ้นแล้วจาก "นามรูป" แต่ ก็ยังไม่พ้นจาก "วิญญาณ" อยู่ดี นั่นคือ "มันยังรู้" อยู่ ด้วย "วิญญาณธาตุ" มีลักษณะเป็นตัวรู้ เป็นผู้รู้แต่ สิ่งที่ละเอียดกว่าวิญญาณนั้น "พ้นแล้วจากการต้องรู้หรือต้องไม่รู้" นี่ละ เมื่อท่านยังรู้อยู่ "รู้ในนิพพานอยู่" ท่านก็จะได้ "นิพพานแบบมีวิญญาณ อยู่ดี" เอาละ แล้วนิพพานแบบพ้นแล้วจากการต้องรับรู้ละ เป็นอย่างไร? ก็เป็นนิพพานซึ่งไม่ต้องรู้ ก็ได้ มันได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ น่ะแหละ


"นิพพานแบบมีสังขาร" และ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากสังขาร" ?


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ มันก็ยังมีนิพพานแบบที่มีสังขาร และนิพพานแบบที่พ้นแล้วจากสังขาร อยู่ ในคนที่ได้นิพพานแบบที่มี สังขารอยู่ เขาก็จะละเอียดไปถึงขั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ พ้นจากวิญญาณไป แล้ว ทว่า มันก็ยังไม่ "ใส-บริสุทธิ์" จริง มันก็ยังมีการปรุงแต่งเนืองๆ เหมือนน้ำนิ่ง ไม่ต้องไปแกว่งหา "รู้" อีกแล้ว แต่น้ำมันก็ยังไม่ใส-ปิ๊ง น่ะแหละ เริ่มนิ่งแล้ว เริ่มตรงแล้ว เข้าทางแล้ว ไม่แกว่งไป "สู่รู้" แล้ว แต่รอเวลาใสปิ๊ง อยู่ เพราะ "การปรุงแต่ง" มันยังไม่จบ, มันยังไม่ดับ ไปได้ เอาละ พอการปรุงแต่งมันดับมันจบ มันก็จะเข้าสู่นิพพานแบบที่ พ้นแล้วจาก "สังขาร" เสียที ณ จุดนี้ นิพพานนอกจากไม่ต้องรู้แล้วก็ ยังใสบริสุทธิ์ "เหมือนน้ำใสปิ๊ง" อะไรแบบนั้น (อุปมานะครับ) ต่อไป ก็จะเข้าสู่ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากสังขาร" ละ ทว่า ยังไม่ถึงที่สุดละ ยังมีนิพพานอีก 2 ตัว เป็นตัวหลอก คู่กัน ไม่บอกทางท่าน ก็ไม่ได้ แต่ พอบอกไปก็โดนหาว่าทำธรรมะปฏิรูปอีก แต่ถ้าไม่บอกละ ไม่ถึงได้แน่


สิ่งที่จำต้องมี ต้องอยู่ต่อไป ยังต้องใช้ ยังนิพพานไม่ได้ ก็มีวิญญาณ


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ สิ่งใดก็แล้วแต่ ที่ยังจำเป็นต้องมี ต้องอยู่ต่อไป ต้องใช้กันในสามภพนี้ ในการเวียนว่ายตายเกิดของผู้ ที่ยังไม่นิพพานนี้ แม้แต่เม็ดทราย 1 เม็ด หรือน้ำหนึ่งหยด ก็ดีนะลูก นะ มันก็ยังต้องมี "อวิชชา" เข้ามาโอบอุ้มมันไว้ มี "สังขาร" เข้ามา ปรุงแต่งมันไว้ มี "วิญญาณ" เข้ามารับรู้ มี "นามรูป" เข้ามาให้เรียก ให้ได้สัมผัสกันได้ นะลูกนะ นี่เป็นธรรมดาของสรรพสิ่งที่ยังไม่ถึงวาระ นิพพาน ทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ว่าจะมีชีวิตจิตใจ หรือไม่มี มันก็มีนามก็ มีรูป กันทั้งนั้น มีการปรุงแต่งกันทั้งนั้น (ยกเว้นแต่วิมุติธรรม ไมมีการ ปรุงแต่ง ซึ่งก็คือ นิพพาน อย่างเดียว) แม้แต่ธาตุน้ำบริสุทธิ์แค่ไหน ก็ มีการปรุงแต่ง (มีสังขาร) มีวิญญาณมารับรู้ดูแล นะลูกนะ นั่นแหละที่ บอกว่าสมมุติทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีวิญญาณหมด ไม่เว้นแม้แต่เว็บ! ไม่เช่นนั้น มันก็จะไม่อาจดำรงอยู่ได้นะ มันจะสิ้นไป ดับไป สลายไปนะ ดังนั้น อะไรที่ยังไม่นิพพาน ก็มีอวิชชา คือ ความหลงมืดอยู่ทั้งหมดนะ ไม่เว้นแม้แต่พุทธะที่ยังไม่นิพพาน เทพภาคสว่างอะไร ความสว่างอะไร ก็เรียกว่า "อวิชชา" ทั้งหมดนะ พ้นแล้วจากมืดและก็ไม่ติดสว่าง นั้นละ ถึงจะพ้นจริง เป็น "นิพพานที่พ้นแล้วจากอวิชชาทั้งมืดและสว่างนะ"!


สิ่งที่ยังไม่นิพพาน ก็มีวิญญาณ "ภาคมืด-ภาคสว่าง" คุ้มครองดูแลไป?


สุดท้ายที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ สิ่งใดที่ยังไม่ถึงวาระดับสิ้นไปจาก สมมุติ ก็จะมี "เทพมาดูแล" นะ เป็นเทพหรือมาร ก็แล้วแต่ ภาคมืดหรือ ภาคสว่างก็แล้วแต่ แต่ละสิ่งมีผู้ดูแลแตกต่างกันไป แม้แต่เว็บไซต์นี่ก็ดี ในช่วงแรก ก็มีพลังมืดเข้ามาสร้างก่อน ต่อมาก็เริ่มมีพลังภาคสว่างเข้า มาทีหลัง เป็นธรรมดานะต้องมืดก่อน ไม่งั้นไม่ดัง ไม่งั้น ไม่มีใครเข้าเว็บ ก็ต้องยอมมืดก่อน ดำก่อน เป็นมารไปก่อน จากนั้น ก็เริ่มมีภาคสว่างเข้า มาทีหลัง เข้ามาช่วยชำระล้าง ช่วยคนที่มืด, คนที่ดำ ฯลฯ เอาละ ทีนี้ ก็ ค่อยๆ สว่างขึ้นได้ แต่ยังไม่ใช่นิพพานนะ สว่างไปก่อนเป็นเหตุใกล้ แต่ พอจะเข้าสู่นิพพาน แม้แต่เหตุใกล้อะไรก็ไม่มีผล ด้วยนิพพานไม่ใช่ผล ของเหตุใดๆ นะลูกนะ เอาละ ทีนี้ ของอะไรที่มันใกล้สิ้นสภาพ เช่น องค์ กร, สถาบัน, บริษัท ก็ดี ฯลฯ มันก็จะค่อยๆ หมดพลังวิญญาณ ไปก่อน สิ่งที่ดูแลมันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป จากที่เป็นเทพชั้นดี ก็จะเสื่อมลงไป มี แต่ผีอะไรไม่รู้เข้ามายึดครอง ไม่นานเท่าไร มันก็อยู่ไม่รอด ดับสิ้นไปนะ นี่แหละที่เรียกว่า "ไม่เที่ยง" ทุกอย่างนั่นแหละ เหมือนคนเหมือนกัน ก็ ตายได้ ดับสิ้นไปได้เหมือนกัน ทุกอย่างนะ ปกติ "ใครสร้าง คนนั้นดูแล ตายไปเป็นเทพดูแลสิ่งที่ตนเองสร้างนะ" เอาละ ถ้าอยากได้สวรรค์ที่ดี สูงไปกว่านี้ ก็อย่าไป "สร้างอะไรไว้บนโลกให้มันมาก" เพราะจะต้องมี หน้าที่ดูแล ยกเว้นว่ามีบารมี "มีองค์แทนตน" มาดูแลสืบต่อแทนไปได้ ก็จะพ้นภาระตรงนี้ไป และได้ขึ้นสวรรค์ชั้นที่สูงกว่าชั้นที่หนึ่งขึ้นไป นะ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายนั้น จงโปรดท่านให้สว่างไสว สวัสดี


15 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เรื่องราวการบำเพ็ญบารมีของพระศรีอาร์ฯ "สององค์อัลฟ่า-โอเมก้า" ต่างกันอย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมีเรื่องคุยเล่น ที่เพื่อนๆ หลายคนอาจอยากทราบ เพราะมันเป็นเรื่องที่สับสนวุ่นวาย และบางทีก็ลึกลับพิสดารครับของ พระศรีอาร์ฯ ที่มีตัวตนมากมายจน กระทั่ง ตัวตน 2 ตัวตน จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าคนละยุคกัน แต่ก็ มาจาก "จิตต้นธาตุ" เดียวกันละ เรื่องนี้ ใหม่มากเลยครับ เพราะจริงๆ แล้วองค์อวตารองค์ที่สองต้องรอให้ พระพุทธเจ้าให้คำทำนายก่อน คือ มี การลงมาเกิดเพื่อรับคำทำนายก่อนก็ จะนั่งแท่นและมีเทพเทวดาทำงานร่วม ได้เต็มที่อย่างเป็นทางการครับ ดังนั้น ตอนนี้ จึงมีการบำเพ็ญบารมีอย่างไม่ เป็นทางการไปก่อน ดังจะเล่าต่อไปนี้


เรื่องราวของ "พระศรีอาร์ฯ โอเมก้า" ที่จะตรัสรู้เป็นองค์สุดท้ายในกัปนี้


อย่างแรก ผมอยากเล่าเรื่องพระศรีอาร์ฯ องค์สุดท้ายของกัปนี้ก่อน เพื่อ ให้ท่านเข้าใจเป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะทำความรู้จักกับองค์อวตารที่บำเพ็ญ บารมีเพื่อไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์เช่นกัน ผมก็ขอสรุปง่ายๆ เลย นะครับว่า "โอเมก้า" นี้ ท่านจะมีลักษณะเหมือนคนโง่ หรือปัญญาอ่อนก็ ว่าได้ แต่ท่านไม่ได้โง่จริงๆ นะครับ ท่านแสร้งโง่? เพื่อจะได้ไม่ต้องทำเวร ทำกรรมอะไร ไม่ต่างจาก "พระเตมีย์ใบ้" ที่แสร้งเป็นใบ้นะครับ ทว่า เพื่อ ให้มันสมจริง ก็เลยเอา "วิบากกรรม" มาทำให้ท่านเป็นเสียจริงๆ ไปเลย แต่ว่าท่านหายได้ครับ องค์นี้จะไม่ทำอะไรเลย บุญไม่ทำ (เพราะมีมากพอ ดีแล้ว) กรรมก็ไม่สร้างเลยครับ นั่งรอแต่จะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งไม่ผิดแปลกอะไร พระนิตยโพธิสัตว์ที่มีบารมีมากๆ ก็เป็นเช่นนี้ ท่านจะ มี "ผู้ช่วย" คือ "พระนิตยโพธิสัตว์องค์ต่อไป มาทำแทนทั้งหมด เพื่อให้มี บารมีไปข้างหน้า (องค์ต่อไป) และเพื่อไม่ให้องค์ที่จะตรัสรู้ฯ ต้องมีกรรม ครับ ดังนั้น ท่านจึงกลายเป็น คนที่ไม่เอาไหน, ห่วยแตก, ไม่รับผิดชอบ, ไม่ทำอะไรเลย ในสายตาของชาวโลกครับ ไม่มีเปลือกนอกใดๆ ที่บ่งบอก ว่าท่านคือผู้มีบุญบารมีเลย รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้จะเหมือนคนมีบุญบารมี นะครับ ยกเว้นอย่างเดียว ท่านจะเกิดมามีพ่อที่มีเงินและอำนาจครับ นี่ละ ที่บ่งบอกว่าท่านคือ คนมีบุญบารมีมาเกิดโดยแท้ ผมจะยกตัวอย่างอดีตฯ ที่ท่านบำเพ็ญมาครับ เช่น พระเจ้าเล่าเสี้ยน (ลูกเล่าปี่), โชกุนอิเอซาดะ (ยุคก่อนปฏิวัติเมจิฯ 1 สมัย), ปูยี ฮ่องเต้องค์สุดท้าย ทว่า เกิดมีปัญหา นิดหน่อยครับ คือ องค์อวตารที่ต้องมาช่วยงานท่านกลับไม่ยอมช่วยเลย มีปัญหาครับ ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังรวมๆ กันในแต่ละชาติ เลยก็แล้วกันครับ


เรื่องราวของ "พระศรีอาร์ฯ อัลฟ่า" ที่จะตรัสรู้เป็นองค์ปฐมในภัทรกัปหน้า


ต่อไป ผมอยากเล่าเรื่องพระศรีอาร์ฯ องค์ปฐมของภัทรกัปหน้า ซึ่งท่านได้ แบ่งภาคออกมาจากองค์ต้นธาตุ แล้วอวตารเป็น "มหาโพธิสัตว์" ในหลาก หลายรูปแบบ เช่น แบบมัญชุศรีอวตาร ในชาติที่เป็นพระเยซู, แบบอวโลกิ เตศวรอวตาร ในชาติที่เป็นบูเช็คเทียน, แบบกษิติครรภ์อวตาร ในชาติที่มา เป็นพระถังซัมจั๋ง และแบบอื่นๆ อีกมากมาย ทีนี้ เดิมทีท่านไม่ได้ปรารถนา จะตรัสรู้โดยตรง ทว่า ต่อมามันมีปัญหานิดหน่อยแล้วกลับกลายไปว่าท่าน ได้บารมีมากพอที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้อีกองค์แต่ด้วยเพราะบำเพ็ญ หลังจากพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว จึงยังไม่ได้รับคำทำนายใหม่อีกครั้ง อย่างเป็นทางการ ทว่า อาศัยหลักที่ว่าท่านแบ่งภาคมาจากพระศรีอาร์ฯ ก็ ย่อมได้รับผลจากคำทำนาย จากจิตต้นธาตุเดิมมาด้วย ต่อไปก็คือ การจัด เรียงผูกบุญกรรมให้พระนิตยโพธิสัตว์เหล่านี้ บำเพ็ญบารมีเป็นลำดับให้มี ความเกี่ยวเนื่องกันไป "ด้วยบุญกรรม" ดังนั้น เมื่อองค์หนึ่งมาเกิดเป็นพระ เจ้าเล่าเสี้ยน อีกองค์ก็ลงมาเกิดเป็น "ขงเบ้ง", องค์หนึ่งมาเกิดเป็นโชกุน อิเอซาดะ อีกองค์ก็ลงมาเกิดเป็น "เรียวมะ" ฯลฯ ทว่า องค์อวตารยังไม่ได้ ทำหน้าที่เป็น "ผู้ช่วย" ที่ดีให้องค์ต้นธาตุต้นธรรม เลยสักชาติครับ ปัญหา จึงเกิดขึ้น คือ ไม่ทราบว่าจะเชื่อมต่อ "สายธรรม สายพุทธะ" กันอย่างไร?


เมื่อคนที่ "กระทำโดยไม่กระทำ" ต้องมาพบกับ "ช่วยโดยไม่ต้องช่วย"


ต่อไป ผมอยากเล่าเรื่องวิธีการทำหน้าที่ของพระศรีอาร์ฯ ทั้งสององค์นี้ ว่าท่านมีวิธีการทำงานอย่างไร? อย่างแรก พระศรีอาร์ฯ - องค์โอเมก้า จะใช้หลัก "กระทำโดยไม่กระทำ" ท่านจะอยู่แบบไม่ทำอะไรเลย เป็น "ลูกเทวดา" เกิดมามีบุญ เสวย ก็เสวยไป ปล่อนทุกอย่างไปตามกรรม ตามธรรมะ ธรรมชาติ บุญไม่ทำ กรรมไม่สร้างแล้วครับ เพราะท่านทำ ไว้เต็มหมดแล้ว ลงมาเสวยผลกรรม (ฝ่ายดีบ้าง-เลวบ้าง) อย่างเดียว ก็พอ เช่น บางชาติอาจเกิดมาเป็นลูกคนรวย มีอำนาจ แต่ว่าต้องมีโรค ประจำตัว เป็นเอ๋อ (สมมุตินะครับ) แล้วรอให้องค์อวตารภาคแบ่งของ ตน มาทำแทนตน มาเปื้อนมือแทนตัวเองครับ เหมือนเล่าเสี้ยนที่ไม่ทำ อะไรเลย รอให้ขงเบ้งทำแทนทุกอย่าง อะไรแบบนั้นแหละครับ ทีนี้ อีก ท่าน (องค์อัลฟ่า) ก็เลยสนองให้ ด้วยการ "ช่วยโดยไม่ต้องช่วย" ก็ คือ ปล่อยให้ทุกอย่างที่ย่ำแย่ มันล่มสลายลงไปเองเหมือนกับภัทรกัป ที่มันจะปิดแล้ว จะจบแล้ว จะหมดสิ้นแล้ว มันก็จะต้องจบครับ มันจะไป สู่ความล่มสลายสิ้นหมด ตามธรรมชาติของมัน เพราะท่านจะลงมาใน ช่วงสิ้นกัปไงครับ เลยต้องปล่อยให้มันสิ้นไป ไปช่วยพยุงมันมาก มันก็ จะไม่ยอมสิ้นไป กัปนั้นก็ปิดไม่ลงครับ ปิดไม่ได้สักที ด้วยเหตุนี้ อีกองค์ ที่เป็นผู้ช่วยเลย "ช่วยโดยไม่ต้องช่วย" ปล่อยให้มันล่มสลายไปเอง ก็ จะได้องค์ศรีอาร์ฯ องค์สุดท้ายเกิดขึ้นได้ครับเช่น จักรพรรดิองค์สุดท้าย จะเกิดเป็นองค์สุดท้ายได้ก็ต้องใช้วิธีนี้ครับ ช่วยมากไปจะไม่ได้เป็นองค์ สุดท้ายครับ เช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้ "ขงเบ้ง" ทั้งๆ ที่รู้หมดทุกอย่างว่า ถ้า ตนไม่ดูแลเล่าเสี้ยน คนไม่ดีรอบข้างก็จะนำพากันล่มจม แต่ขงเบ้งก็ยอม ปล่อยให้มันเกิดไปครับ โดยไม่ยอมเข้าเมือง อยู่แต่แนวหน้า สนามรบ ก็ ไม่มีใครไปต่อว่าได้นะครับ เพราะเขายอมสละตัวเองอยู่กลางสมรภูมิรบ จนตัวตายนี่ครับ แต่นี่แหละ คือ "การสั่งสอน" ครับ สั่งสอนว่าฉันไม่ต้อง การรับใช้เธอ ปล่อยเธอไป เธอก็จะล่มจมเอง ประวัติศาสตร์ก็จะจารึกไว้ ว่าเธอห่วยแตกไม่เอาไหน เลยทำให้ประเทศชาติล่มจม ไม่ใช่เพราะฉัน ฉันไม่เคยยึดอำนาจเธอ ไม่เคยคิดแย่งบัลลังก์ของเธอ เธอทำมันล่มเอง


เมื่อพระศรีอาร์ฯ องค์โอเมก้า เกิดบำเพ็ญบารมีผิดพลาดบางประการ?


ต่อไป ผมอยากเล่าเรื่องของพระศรีอาร์ฯ องค์โอเมก้า ที่บำเพ็ญบารมี แต่ผิดพลาดบางประการ ไล่เรียงชาติ เลยนะครับ ชาติที่เป็นเล่าเสี้ยน เมื่อประเทศล่มจมแล้ว "ท่านต้องมีจิตอิสระไม่ยอมจำนนเป็นขี้ข้าใคร" ทว่า ด้วยการที่ท่านมีเปลือกนอกยอมเป็นลูกน้องเขา ก็ยากที่จะไม่เป็น ลูกน้องเขาได้ครับ จึงไม่ตรงพุทธภูมิสักเท่าไร ต่อมา ชาติที่เป็นโชกุน อิเอซาดะ ก็ต้องเป็น "โชกุนองค์สุดท้าย" ท่านจึงจะบำเพ็ญสำเร็จ แต่ ท่านกลับสืบทอดต่อให้โชกุนอิเอโมจิเป็นองค์สุดท้ายแทน อันนี้ ก็ไม่ได้ ครับ เลยต้องมี "ภาคสาม" มาเกิดเป็น "จักรพรรดิองค์สุดท้ายคือ ปูยี" ครับ ทว่า ท่านยอมสละบัลลังก์แล้วกลับไปร่วมมือกับพวกญี่ปุ่นจนยอม เป็น "หุ่นเชิดของญี่ปุ่น" เพื่อก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา (ได้ไม่นานและ ประวัติศาสตร์จีนก็ไม่ยอมรับราชวงศ์นี้ เพราะมีญี่ปุ่นบงการครับ) นี่ละ ก็เลยต้องมี "ภาคสี่" ที่ประเทศไทยครับ บำเพ็ญเป็นองค์สุดท้ายให้ได้ อ่า ไม่เล่าแล้ว มันเสียว! ใกล้ตัวเกินไป ความลับสวรรค์ ไม่ควรเปิดเผย


เมื่อพระศรีอาร์ฯ องค์อัลฟ่า เกิดมาช่วยองค์โอเมก้าให้เป็นองค์สุดท้าย?


ต่อไป ผมอยากเล่าเรื่องของพระศรีอาร์ฯ องค์อัลฟ่า ซึ่งเกิดมาเป็นผู้ช่วย ให้องค์โอเมก้าบำเพ็ญเป็นองค์สุดท้ายให้ได้สำเร็จ ท่านจึงต้อง ช่วยโดย ไม่ต้องช่วย ไม่ยากครับ รู้อยู่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไปตามกรรม ก็ ปล่อยไปตามธรรมะ ธรรมชาติครับ "ช่วยโดยไม่ต้องช่วย" ก็จะสำเร็จได้ ไงครับ ส่วนองค์อัลฟ่า (ผู้ช่วย) ก็เอาเวลาไปบำเพ็ญบารมีของตัวเองครับ จะปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปทำไมละ ในเมื่อท่านต้องสร้างบารมี, สร้างยุค สมัยของตนเองด้วยไงละครับ เมื่อบารมีมันมากขึ้น ล้นจนกระทบถึงกัน มัน ก็จะเกิดผลกระทบจนทำให้ท่านได้สำเร็จเป็น "องค์สุดท้าย" เอง นั่นแหละ ดังนั้น องค์อัลฟ่านี่จึงต้องบำเพ็ญบารมีมากครับ ต้องทำอะไรมากมายกว่า องค์โอเมก้าที่มีบารมีเต็มพร้อมแล้ว ดังนั้น บทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน จึงตกทอดมาสู่ "องค์อัลฟ่า" ซึ่งเป็นองค์อวตารครับ ว่าจะกำกับให้ละครนี้ ดำเนินไปอย่างไร? อย่างน้อยก็ต้องให้ท่านได้เป็นองค์สุดท้ายครับ จึงจะมี ความสำเร็จในการบำเพ็ญบารมี ทว่า ถ้าองค์โอเมก้า (องค์ต้นธาตุ) ไม่คิด ที่จะเป็นองค์สุดท้ายแล้ว ก็จะทำการ "สลับตัวกัน" ครับ เหมือนครั้งที่เคย ได้อธิษฐานจิต สลับดอกบัวกับพระพุทธเจ้าสมณโคดมนั้น เพราะอะไร? ก็ เพราะท่านทำกรรมไว้ในชาติที่เป็นจักรพรรดิปูยี (องค์สุดท้าย) ด้วยการที่ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา ทำให้กลายเป็น "องค์ปฐม" ของกัปหน้าได้ไงละ ครับ นั่นคือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทั้งสององค์จะต้องทำการ "สลับตำแหน่งกัน อีกครับ" คือ ให้องค์ปฐม มาเป็นองค์สุดท้ายเพื่อปิดกัป และให้องค์สุดท้าย ไปเป็นองค์ปฐมฯ ของภัทรกัปหน้าแทน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ลงตัวในข้อนี้นะครับ


ยุคสมัยของพระศรีอาร์ฯ ทั้งสององค์ สองยุค แตกต่างกันอย่างไร?


สุดท้ายคือ เมื่อมีพระศรีอาร์ฯ สององค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทั้งสององค์ จึงมียุคสมัยสองยุค คือ ยุคสิ้นกัปนี้ ดังที่ท่านได้อ่านมา จากตำรานั่นคือ "ส่วนดี" นะครับ แต่มันมีส่วนแย่อยู่ คือ สิ่งที่คนใน ยุคนั้นได้รับจะเป็นเหมือน "ของที่เหลือแล้ว จากสี่องค์แรก" สร้าง ร่วมกันมา เหมือน "สมบัติเก่าของบรรพบุรุษสี่ยุคก่อน" ที่ของบาง ก็ดูไม่ตรงใจ ไม่เป็นที่นิยม ล้าหลัง หรือสู้ของใหม่ๆ ไม่ได้ และท่าน จะต้องพอใจในของๆ ท่านนั้น ไม่อาจไปเอื้อมคว้าเอาของใหม่ของ ผู้อื่นได้ ทว่า ยุคขององค์ปฐมฯ ของกัปหน้านั้น เขาจะมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายเลยครับ เอาง่ายๆ เทียบกับยุคนี้ ดูปัจจุบันนี้นะครับ "ยุคโอเมก้า" ก็เหมือนสมบัติของคนเก่าแก่ แต่ไม่จน มีครบ แต่ไม่ ใหม่ครับ แต่ "ยุคอัลฟ่า" ก็เหมือนของที่มาจากสมัยใหม่ เครื่องมือ สมัยใหม่ อิเล็คโทรนิก, เครื่องยนต์ อะไรต่อมิอะไร นั่นแหละ เป็นสิ่ง ที่เขาจะสร้างบารมีกันให้เกิดใน "ภัทรกัปหน้า" ไม่ใช่บุญของคนใน ภัทรกัปนี้ ที่เราได้ เรามีกันนี่ มันมาจากอำนาจของซาตาน นำพลังที่ อยู่ใน "โลกอนาคต" มาให้เรา "ยืมใช้" และ "ติดหนี้" กันอยู่ครับ !


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายนั้น จงช่วยเปิดดวงตาธรรม สวัสดี


13 ก.ย. 2555

"เสียงจากอวตาร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มันไม่ใช่ "ภัยพิบัติ" หรอกนะ แต่มันคือ "พลังพิเศษ" ที่ทุกท่านรับได้ฟรี?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมีเรื่องเกร็ดเล็กๆ มาคุยกันครับ คือ การใช้คำเรียกสิ่ง ที่เกิดขึ้นขณะ "โลกปรับสมดุล" ว่า "ภัยพิบัติ" ซึ่ง จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ภัยพิบัติจริงๆ หรอกนะครับ มันเป็น แค่ "พลังพิเศษ" ที่ทุกท่านสามารถ นำมาใช้ได้ฟรี เพื่อที่จะปรับสมดุลให้ โลกได้ใช้ "พลังงานสะอาด" กันนะ ครับ เอาละ เรามาคุยรายละเอียดกัน


โลกเคยได้รับ "พลังพิเศษ" เหล่านี้มานานแล้ว แต่ทำไมคนปรับตัวไม่ได้?


อย่างแรกที่ผมอยากบอกท่านคือ โลกเคยได้รับพลังพิเศษเหล่านี้ มานาน แล้วครับ และบรรพบุรุษของเราก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ท่านจึงปรับตัว ปรับวิถีใน การดำรงชีวิตจนเข้ากันได้กับพลังพิเศษเหล่านั้นครับ ทว่า ระยะหลังมานี้ เราได้หลงลืม "วัฒนธรรม-วิทยาการดั้งเดิม" ของเราไป ทำให้เราใช้สิ่ง ที่ไม่สอดคล้องกับพลังพิเศษเหล่านี้ "ที่มาจากจักรวาล" นะครับ ดังนั้น ที่ เราประสบปัญหากันอยู่นี้ ต้องเรียนว่าไม่ใช่เรื่อง "ภัยพิบัติ" นะครับ ทว่า เป็นเรื่องของ "การหลงลืมวิทยาการดั้งเดิม" ทำให้เราปรับตัวเข้ากับโลก นี้ ไม่ได้ หรือได้ยากขึ้น เราจึงคิดว่าเป็นภัยต่อเราครับ ทว่า ท่านเชื่อไหม? สิ่งที่เกิดขึ้นช่วงนี้ "พืชและสัตว์หลายชนิด ได้รับพลังพิเศษ" ไปมากเลย มากกว่ามนุษย์มากมาย (ขณะที่มนุษย์รับไม่ได้) คุณทราบไหมครับว่าฝน ที่ตกมากจนเราเห็นว่าเป็นภัยน้ำท่วมนั้น ทำให้ "ปลาขยายพันธุ์และโตได้ เร็ว" กว่าเดิมหลายเท่ามากนะครับ และ "ต้นไม้ก็เติบโตงอกงามกว่าเดิม" ได้มากเลย ทว่า ท่านยังไม่ได้ไปสำรวจดูละสิ! ก็เลยมองว่ามันคือภัยไงละ


"พลังพิเศษ" เหล่านี้ ทำให้เกิดการวิวัฒนาการแบบ "ยกระดับ" ยังไง?


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ "การวิวัฒนาการ" มันไม่ได้มีอัตราแบบที่ เราเคยเรียนกัน คือ ไม่ใช่ต้องสืบรุ่นทีละรุ่นไป แต่ทว่า มันมีช่วงแห่งการ วิวัฒนาการยิ่งยวดอยู่ (Peak) และช่วงแห่งการสงบนิ่งในวิวัฒนาการ (Sleep) คือ ช่วงที่โลกได้รับ "พลังพิเศษจากจักรวาล" มากๆ นี่เองที่ มีการวิวัฒนาการแบบยิ่งยวด และสัตว์ที่รับได้ปรับตัวได้จึงจะพัฒนาตัว เองไปมากมายเลยครับ ส่วนสัตว์ใดที่ปรับตัวไม่ได้ รับไม่ได้ บางชนิด ก็ อาจสูญพันธุ์หรือกลายเป็นพันธุ์ที่ล้าหลังไป เรียกว่าเป็น "โอกาสทอง" ของสัตว์บางชนิดที่จะ "ปรับสถานะของเผ่าพันธุ์ในระบบนิเวศน์" ครับ เพราะถ้าไม่มีเช่นนี้ มันก็จะถูกกดข่มเอาไว้ด้วยสิ่งเดิมๆ ปัจจัยเดิมๆ อยู่ ตลอดครับ ในกลุ่มมนุษย์เองก็เช่นกัน ตอนนี้ต้องขอเรียนว่ามีบางพวกที่ พัฒนาตัวเองได้รวดเร็วมากครับและอีกส่วนหนึ่งที่ปรับตัวตามโลกไม่ได้ ซึ่งเมื่อผลออกมาแล้ว จะส่งผลต่อ "การจัดระบบสังคมมนุษย์ครั้งใหญ่" ทำให้เกิดระบบและกลุ่มคนที่เปลี่ยนไป เช่น คนที่เคยอยู่ระดับล่าง ก็อาจ จะได้พัฒนาขึ้นไปบน กลุ่มคนที่อยู่บน ก็อาจตกต่ำลงมาอยู่ระดับล่างได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ "การปรับตัวเพื่อวิวัฒนาการของแต่ละคน" ไม่ใช่สิ่งอื่นๆ ใดนะครับคือ ถ้าใครปรับตัวตามได้ทัน มันก็คือโอกาส ใครปรับตัวตามไป ไมได้ มันก็คือ "ภัยของพวกเขา" ไงละครับ มันไม่ใช่ภัยของทุกคนครับ


"การกลายพันธุ์" จะเกิดขึ้นมากในช่วงนี้ ก่อนที่จะเป็นต้นสายพันธุ์ใหม่


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ ในช่วงเวลาแห่งการวิวัฒนาการ จะมีสิ่งที่ เกิดขึ้นร่วมด้วยเสมอคือ "การกลายพันธุ์" มีความแตกต่างไปจากเดิมที่ เคยเป็นอยู่ แต่การกลายพันธุ์นี้ มีทั้งได้พันธุ์ที่ดีขึ้น และแย่ลงนะครับ ซึ่ง ในท้ายที่สุดแล้ว จะมี "ต้นสายพันธุ์ใหม่" ที่คงที่ สามารถให้ลูกหลานที่ มีลักษณะใหม่ เหมือนตนได้ (ทั้งแบบดีและไม่ดี) และแบบที่ไม่สามารถ ที่จะให้ลูกหลานที่มีลักษณะเหมือนตน ไม่อาจจะสืบทอดสายพันธุ์ใหม่ที่ ตนมีอยู่ ต่อไปได้ เอาละ ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้ามี "คน, สัตว์ หรือ พืช" ที่กลายพันธุ์และมีลักษณะแปลกไป ในทุกสังคม, ทุกวงการ ก็มีได้ ครับ พวกเขาจะดูแปลก แตกต่าง ใหม่ ไม่เหมือนเดิม และบางพวกจะถูก มองว่า "ผิดปกติ" หรือ "บ้า" ไปก็มีได้ครับ ทว่า นั่นคือ กระบวนการตาม ธรรมชาติของการวิวัฒนาการนะครับ จนกว่าจะถึงที่สุดของกระบวนการ ของมัน มันก็จะ "คงที่ระดับหนึ่ง" และสามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมโลกนี้ ครับ เอาละ แล้วพวกที่ล้าหลัง หรือไม่ปรับตัวเลยละ จะเป็นอย่างไร? พวก นี้ก็จะ "ค่อยๆ เสื่อมลงไป" นะครับ อ่อนแอลง และก็ค่อยๆ สูญเสียสิ่งที่ตน เคยมี เคยได้ ไปจนหมด ครับ นั่นคือ การปรับสมดุลในระบบต่างๆ ของสิ่งมี ชีวิตครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือผิดปกติแต่อย่างใด และเกิดขึ้นแล้วครับ


"มนุษย์กลายพันธุ์" (X-men) คือ ส่วนสำคัญของการวิวัฒนาการใหม่


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ แม้แต่ในมนุษย์ ก็จะเกิดมีมนุษย์กลายพันธุ์ ที่ผมขอเรียกเป็นชื่อเล่นว่า X-men เกิดขึ้นมากมาย พวกเขานี้ จะได้รับ พลังพิเศษที่ไม่เหมือนกัน "จากจักรวาล" และพวกเขาจะเรียนรู้ที่จะปรับ ตัวเข้ากับโลกให้ได้ เมื่อเขาทำได้ ก็จะกลายเป็น "พันธุ์ใหม่" หรือทำให้ เกิดวิวัฒนาการขึ้น ซึ่ง "มูลเหตุแห่งวิวัฒนาการ" นี้ ไม่ได้เกิดจากปัจจัย ภายในโลก แต่เกิดจาก "พลังงานพิเศษ" จากนอกโลก เข้ามากระตุ้นทำ ให้เกิดวิวัฒนาการขึ้นครับ เรียกว่า ถ้าโลกไม่ได้รับพลังจากภายนอก หรือ ได้รับน้อยมากไป ก็จะไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นกระบวนการวิวัฒนาการนี้ได้ หรือทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "ช่วงสงบนิ่งทางวิวัฒนาการ" (Sleep) ก็ จะไม่มีการวัฒนาการมากนัก หรือแทบไม่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอะไรที่ สายพันธุ์ของสัตว์โลกเลย แต่ถ้าได้รับการกระตุ้นจาก "พลังงานพิเศษซึ่ง มาจากนอกโลก" ในระดับที่ "มากพอ" ก็จะกระตุ้นให้เกิดการวิวัฒนาการ ได้ครับ ดังนั้น ในกระบวนการนี้ X-men จึงมีส่วนสำคัญมากในการทำให้ เกิดวิวัฒนาการไปสู่ "สายพันธุ์ใหม่" ที่ดีขึ้น และที่สำคัญครับ นอกจากจะ มีความแปลกใหม่กว่าเดิมแล้วยังต้องมี "ความสามารถในการปรับตัวเข้า กับโลกให้ได้ด้วย" จึงจะประสบผลสำเร็จในการวิวัฒนาการครับเพราะถ้า ไม่อาจปรับตัวเข้ากับโลกได้แล้ว "สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่นั้น" ก็จะค่อยๆ ถูกทำ ให้หมดสิ้นไปจากโลกเองตามธรรมชาติครับ ส่วนกลุ่มที่ยังไม่ปรับตัวอะไร เลยก็จะปรับตามสภาพโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ได้ไม่ทันท่วงที และจะค่อยๆ เสื่อมสภาพไปจาก "ระบบนิเวศน์ใหม่" ในลักษณะใด ลักษณะหนึ่งครับ


"มนุษย์กลายพันธุ์" ที่ปรับตัวเข้ากับโลกได้จะกลายเป็น Neo-man


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ เมื่อ X-men ปรับตัวเข้ากับโลกได้แล้ว เขาก็จะพัฒนาไปเป็น Neo-man สายพันธุ์ใหม่ที่จะสืบทอดสายพันธุ์ ของเขาต่อไปในโลกนี้ และจะค่อยๆ กลายเป็นสายพันธุ์ที่มีบทบาทใน การพัฒนาสังคมโลก ซึ่ง Neo-man มีหลายแบบด้วยกัน ตามแต่ว่า เขาจะพัฒนามาจาก "พลังจักรวาล" สายใด ชนิดใด แล้วปรับตัวเข้า กับโลกจนไปสู่ "ส่วนผสมใหม่" แบบใด จากนั้นเขาจึงกลายเป็น "ต้น สายพันธุ์ใหม่" ได้ครับ เช่น Neo-man กลุ่ม Ultraman ก็แบบหนึ่ง Neo-man กลุ่ม Mark rider ก็แบบหนึ่ง (ผมต้องขออนุญาติใช้ชื่อ ที่ปรากฎในวรรณกรรมและสื่อต่างๆ นะครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่ท่านเคย ได้ยินมาแล้ว) พวกเขาเหล่านี้ มีลักษณะแตกต่างไปจากมนุษย์ดั้งเดิม แต่ก็ปรับตัวเข้ากับโลกได้เช่นกัน แม้ว่าจะพัฒนาสายพันธุ์ไปอย่างไร? แต่ก็ต้องปรับตัวเข้ากับโลกใบนี้ ให้ได้ เช่นกันครับ จึงจะนับว่าเป็นการ วิวัฒนาการที่ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ในช่วงของการ ปรับตัวนั้น X-men จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากสังคมมนุษย์เดิมนัก และอาจได้รับแรงต่อต้านมากอีกด้วย แต่เมื่อพวกเขาปรับตัวเข้ากับโลก ได้ดีขึ้นแล้ว พวกเขากลับจะได้รับการตอบรับและการยอมรับจากสังคม โลกอย่างดี ในบางครั้ง พวกเขาอาจออกนอกรีต ออกนอกระบบของการ วิวัฒนาการ ไปสู่การทำลายล้างได้ เพราะแรงกดดันจากสังคมโลกนี่เอง


การวิวัฒนาการในระดับ "พลังงาน" สัมพันธ์กับระดับ "สสาร" อย่างไร?


ต่อไปที่ผมอยากบอกท่านคือ กระบวนการวิวัฒนาการนี้ จะเริ่มต้นจากใน ระดับ "พลังงาน" ก่อน แล้วจึงขยายผลไปสู่ระดับ "สสาร" ในภายหลัง นั่นหมายความว่า "ก่อนที่จะมีการวิวัฒนาการทางกายภาพได้นั้นจะต้อง มีการวิวัฒนาการในระดับพลังงานก่อนเสมอ" และต้นแบบนั้น ก็มักจะมี ลักษณะทางกายภาพภายนอกที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เมื่อเข้าสู่ รุ่นต่อๆ ไปแล้ว เราจึงจะตรวจพบสิ่งที่เป็นผลมาจาก "วิวัฒนาการ ระดับ กายภาพ" ได้ นั่นคือ กระบวนการวิวัฒนาการในระดับพลังงานนี้ ก็จะยัง ไม่สามารถตรวจพบได้ชัดเจนในระดับกายภาพ ณ เวลาปัจจุบัน แต่มันจะ เห็นผลได้ชัดเมื่อผ่านเข้าสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน นั่นเอง ทีนี้ ท่านพอจะมองเห็น กระบวนการวิวัฒนาการนี้แล้วหรือไม่ครับ? นั่นคือ ถ้าเราจะตรวจดูว่าจะมี การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตหนึ่งใดในอนาคต (รุ่นลูก รุ่นหลาน) หรือไม่ เราก็จะตรวจดูรุ่นพ่อ-แม่, ปู่ย่า ได้ในระดับพลังงานนะครับ นั่นแหละ ดัชนี ที่เราจะใช้ชี้วัดกระบวนการวิวัฒนาการ ของสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใด ได้ครับ


"โอกาสทอง" ของท่านในการเร่งวิวัฒนาการในระดับพลังงานก่อนใครๆ


สุดท้ายที่ผมอยากบอกท่านว่าช่วงนี้คือ "โอกาสทองที่จะเร่งวิวัฒนาการ" ของท่าน และมันจำเป็นที่ท่านต้องทำครับ เพราะในระบบนิเวศน์นั้น ทุกสิ่ง จะต้องแข่งขันกัน สัตว์ใด ที่ล้าหลัง ไปได้ช้า ก็จะสูญพันธุ์ไปนะครับ ส่วน สัตว์ใดที่ไปได้เร็ว วิวัฒนาการไปได้ดี ก็จะ "อยู่รอด" ครับ ด้วยเหตุนี้ ผม จึงบอกว่ามันไม่ใช่ "ภัยพิบัติ" อะไรเลยสำหรับท่านที่ "พร้อมและรอคอย โอกาสทองที่จะมาถึงนี้ แต่มันอาจจะเป็น "ภัยพิบัติ" ได้ ก็เฉพาะท่านที่ยัง ไม่พร้อม และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นได้นี้ ไม่อาจรับพลังงาน พิเศษจากนอกโลกมาใช้ได้ ก็เท่านั้นเองครับ เอาละ ผมคิดว่าทุกท่าน ก็คง มีกำลังใจฮึกเหิมมากขึ้น และพร้อมมากขึ้นใช่ไหมครับ ที่จะเปิดรับและจะ ได้เรียนรู้พลังงานใหม่ๆ ที่มาจาก "จักรวาล" และมันจะยกระดับตัวคุณให้ สูงขึ้นไป เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณไปจากเดิม อย่างที่คุณก็ไม่อาจที่จะ จิตนาการได้เลย แต่รับรองว่าการยกระดับนี้ เป็นสิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน


ขอพลังแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยในการวิวัฒน์ทางพลังงานของคุณ สวัสดี


14 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS