ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

พลังขั้วบวกแห่งดาวไซย่า จะฟื้นคืนสนามพลังแม่เหล็กโลกได้หรือไม่?

สวัสดีครับ ทุกท่าน ขณะนี้โลกของท่านกำลังได้รับ "พลังจักรวาลจำนวนมาก" ทว่า มันมีทั้งด้านดีและเสียเหมือนกันคือพลังบางอย่าง ก็ดี เหมาะสมแต่พลังบางอย่างอาจเป็นภัยต่อมนุษย์ที่ยังไม่พร้อมดังนั้น "สนามพลังแม่เหล็กโลก" จะช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตได้ในกรณีนี้ และเป็นเหตุให้ "ชาวไซย่า" ถูกเชิญให้มาปฏิบัติภารกิจที่สำคัญครั้งนี้ด้วย แต่ไม่ใช่เขาเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ อย่างไร ลองมาดูครับ


"พลังสนามแม่เหล็กโลกใหม่" ที่ร่วมสร้างโดยชาวไซย่าและดาวมฤตยู


อย่างแรกที่ท่านต้องเข้าใจใหม่กับโลกนี้คือ มนุษย์ยุคปัจจุบันตัวเล็กมากและไม่อาจรับพลังที่มากเกินไปได้ ดังนั้น มนุษย์ยุคนี้จึงต่างจากยุคต้นๆ ที่สร้างโลก ในยุคต้นๆ ที่สร้างโลกนั้น มนุษย์ตัวใหญ่มาก และพวกเขาก็มีผลต่อการสร้างโลกในด้านต่างๆ เอาละ ในเมื่อยุคนี้ถึงเวลาในการสร้างโลกใหม่อีกครั้ง ดังนั้น มนุษย์ตัวเล็ก มีพลังไม่พอ จึงต้อง "ประสานพลังร่วมกับแหล่งพลังงานอื่นๆ ในจักรวาล" เพื่อปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จ ซึ่งหนึ่งในภารกิจนั้น ก็คือ การสร้างสนามพลังแม่เหล็กโลกใหม่ ซึ่งจะต้องใช้พลังจากแหล่งพลังงานสองแห่งคือ "ดาวไซย่า (พลังบวก) และดาวมฤตยู (พลังลบ)" เพื่อสร้างสนามพลังแม่เหล็กโลก ที่หนาแน่นกว่าเดิมจึงจะรองรับ "พลังงานใหม่ หนาแน่นมากกว่าเดิม" ที่พุ่งตรงมาสู่โลกได้และในกระบวนการนี้ จะต้องอาศัยพลังของชาวต่างดาว สองดาวร่วมกันคือ 1. ดาวไซย่า (พลังขั้วบวก) และ 2. ดาวมฤตยู (พลังขั้วลบ) ในปีนี้พวกเขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เพราะสิ่งนี้ได้ดำเนินการมานานแล้ว



"พลังขั้วบวกและพลังขั้วลบ" ที่กำหนดได้ด้วย "พลังจิต" ของมนุษย์?


อย่างที่สองคือ มนุษย์ในยุคแรกๆ ก็ใช้ "พลังจิต" นั่นแหละ สร้างโลกใน "ระดับองค์รวม" เช่น การปรับสภาพดิน น้ำ ลม ไฟ องค์รวมพร้อมกันทั้งโลก ก็เคยทำมาแล้ว ทว่า "มนุษย์ยุคปัจจุบัน" จะสร้างโลกใน "ส่วนเล็กที่ละเอียดลงไป" ดังนั้น มนุษย์ยุคปัจจุบัน จึงเกิดมาตัวเล็กมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน มนุษย์ก็สร้างโลกโดยใช้ "พลังจิต" เป็นจุดเริ่มต้น ทั้งสิ้นเอาละ เข้าสู่เนื้อหาของเราที่ว่า เราจะสร้างพลังขั้วบวกและลบอย่างไร? ง่ายๆ เลยครับ พลังขั้วบวกก็คือพลังจิตที่เป็นด้านบวก อันเกิดขึ้นจากจิตที่ดีงาม, ผ่องใส, มองโลกในแง่ดี ฯลฯ ส่วนพลังจิตด้านลบ ก็มาจากจิตที่หม่นหมอง, วิตกกังวล, หวาดกลัว, โกรธแค้น, มองโลก ด้านลบ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ "สามารถสร้างหรือเหนี่ยวนำได้" จากคนที่มีพลังจิตขั้วใดขั้วหนึ่ง สามารถเหนี่ยวนำให้คนอื่นๆ คล้อยตามทางบวก หรือทางลบ ก็ได้ครับ เพราะมันคือ "พลังต้นกำเนิดของสนามแม่เหล็ก" ดังนั้น มันจึงมีคุณสมบัติในการ "ดึงดูดและเหนี่ยวนำ" ขั้นสูง ยกตัวอย่างเช่น คนที่ใช้พลังด้านลบ อาจเหนี่ยวนำจิตใจให้ผู้คนรู้สึกลบตามไปได้มากมาย แต่ว่าคนที่มีพลังด้านบวก ก็สามารถเหนี่ยวนำให้คนทั้งหลาย มีพลังด้านบวก! ทว่า ต้องบอกก่อนว่า "มันไม่ใช่การคิดหรือจินตนาการ" แต่มันเป็นความจริงของพลังจิตจากข้างในของคุณ เช่น ถ้าคุณต้องการมองโลกด้านดี ก็ไม่ใช่ให้ไปนั่งคิดหรือปรุงแต่งว่านั่นก็ดี นี่ก็ดี หรอกนะ แต่มันมาจากจิตที่ดีผ่องใส มองเห็นโลกด้านที่ดี ซึ่งมันเป็นความจริงที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องคิดต่างหาก เอาละ หวังว่าท่านคงแยกแยะได้ระหว่าง มุมมอง และการคิด นะ



"พลังจิตที่ใช้ในด้านการดึงดูดเหนี่ยวนำ" มีสามรูปแบบ ดังต่อไปนี้


ต่อไป ท่านต้องเข้าใจพื้นฐานของพลังงานต่างๆ ว่ามีมากมายหลายรูปแบบ แต่ถ้าเราแยกแยะพลังงานในแบบ "ขั้ว" ต่างๆ เราจะได้พลังงานเป็น 3 แบบ คือ พลังขั้วบวก, พลังขั้วลบและพลังไร้ขั้ว (เป็นกลางหรือศูนย์) ซึ่งพลังงานทั้งสามชนิดมีหน้าที่ต่างกัน เมื่อทำหน้าที่ร่วมกันได้ดีก็จะเกิดประโยชน์มาก เช่น พลังขั้วบวกและขั้วลบ ถ้าลัดวงจร ก็จะเกิด"การช็อต" และทำให้เกิดผลกระทบด้านลบมากมายแต่ถ้าการไหลเวียนของประจุไฟฟ้าทั้งสองขั้ว ไปในทางที่ไม่ลัดวงจร ไม่ปะทะกัน ก็จะทำให้เกิด "สนามพลังแม่เหล็ก" ได้ ซึ่งสิ่งนี้จะต้องอาศัย "พลังจิตของมนุษย์ทั้งหลายร่วมกันทำขึ้น" เหมือนกับการขับเคลื่อนระบบทุนนิยม ก็ใช้พลังความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนสำเร็จมาแล้ว เช่นกัน สิ่งนี้ ก็ต้องอาศัยพลังจิตของมนุษย์มากมายร่วมกันสร้างขึ้นมา ไม่อาจจะสำเร็จได้ด้วยคนหนึ่งคนใด ได้ ดังนั้น ขอสรุปดังนี้ จะมี "ร่างสังขารมนุษย์" 3 ร่างทำภารกิจนี้ร่วมกัน 1. คือ ร่างของดาวมฤตยู (ขั้วลบ) 2. คือ ร่างของชาวดาวไซย่า(ขั้วบวก) และ 3. คือ ร่างของพระบิดาจักรวาล (ไร้ขั้ว) ซึ่ง ร่างที่สามนี้จะเป็นผู้ "จัดวงจรและการไหลเวียนของกระแสประจุไฟฟ้าทั้งสองขั้ว" ก็จะสำเร็จเป็นสนามพลังแม่เหล็กโลกใหม่ที่หนาแน่นกว่าเดิมได้ภายในปีนี้



การใช้ "พลังจิตขั้วลบ" เพื่อเสริมพลังของ HAARP โดยดาวมฤตยู


ในระหว่างการเตรียมสังขารสั้งสาม เพื่อรองรับพลังจักรวาลทั้งสามนั้นดาวมฤตยูจะสำเร็จก่อน เขาจะใช้พลังจิตด้านลบของผู้คน เพื่อทำให้มี "ภัยพิบัติ" เกิดขึ้น และทำให้ผู้คนตกใจ แตกตื่น และหวาดกลัว เต็มไปด้วยพลังจิตภาคลบ ซึ่งเป็นต้นแหล่งพลังงานของเขา แล้วเขาจึงจะดูดซับพลังจิตด้านลบของผู้คนไป ทำให้ผู้คนอ่อนแอลง หมดพลัง หมดแรงหมดกำลังใจไปเรื่อยๆ แต่เขาจะมีพละกำลังกล้าแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำภารกิจของเขาให้สำเร็จ คือ "สร้างโลกให้มีอนาคตที่มืดมน" และเขาจะได้เป็นใหญ่ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ครองโลก เอาละ เขาเป็นของเขาเช่นนี้เอง ไม่ได้เลวร้าย หรือดีงาม ไม่ใช่ความถูกต้อง หรือความผิดประการใดมันเป็นธรรมชาติของดาวมฤตยูนะ อย่างหนึ่งที่อยากจะบอกท่านคือ พลังที่ใช้สร้างภัยพิบัติในโลกด้วยเครื่องมือปัจจุบันนั้น "มันมีพลังไม่พอ" ที่จะใช้เป็นอาวุธในสงครามหรอก ถ้าจะให้มันมีพลังพอ จะต้องสร้างให้เครื่องมีขนาดใหญ่มาก และใช้พลังงานเยอะมาก ซึ่งมันจะใช้ในกรณีการรบซึ่งหน้าหรือเปิดเผย ดังนั้น การแอบใช้เครื่อง HAARP ในขณะนี้นั้น จึงต้องอาศัยพลังจิตด้านลบของมนุษย์ "เสริมพลังมันด้วย" อย่างไรหรือ? อาทิเช่น ใช้จิตวิทยาการสื่อสาร ไปเผยแพร่คำทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติเช่นนี้จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างนั้น เป็นต้น แล้วก็ใช้เครื่อง HAARP กระตุ้นให้มีแผ่นดินไหวจริงๆ ซึ่งเครื่องมีขีดจำกัดในการทำงานอยู่ มีพลังจำกัด ก็จะสร้างแผ่นดินไหวได้เพียง 1-2 ริกเตอร์ เป็นต้น ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเลยที่จะดำรงชีวิตตามปกติของมนุษย์ ทว่า เพราะพลังจิตด้านลบและพลังแห่งความเชื่อด้านลบนั้นๆ เอง เสริมกำลังให้แผ่นดินไหวได้ถึง 6-9 ริกเตอร์ทีเดียว แต่ถ้าเมื่อใดผู้คนไม่เสริมพลังจิตด้านลบให้ มันก็จะมีพลังไม่มากนัก



ถึงเวลาแล้วที่ "นักรบแห่งจักรวาล" จะถือกำเนิดรวมร่างกับชาวไซย่า !


เพื่อให้ภารกิจการสร้าง "สนามแม่เหล็กโลก" ใหม่ ของพระบิดาจักรวาลสำเร็จลุล่วงไปได้ เราจำเป็นต้องหา "ร่างสังขารของพระบิดาจักรวาลและชาวไซย่า" เพื่อทำภารกิจร่วมกันให้สำเร็จลุล่วงไปให้ได้ เอาละ สำหรับร่างของพระบิดาจักรวาล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง "ไร้ขั้ว" และไม่มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก เด็ดขาด เพราะนี่คือ "พลังสายตรงต่อพระบิดาจักรวาล" ผู้โอบอุ้มทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ แต่สำหรับ "ร่างสังขารของชาวไซย่า" แล้ว เขาจะต้องมีพลังจิตด้านบวกเสมอ เขาจะต้องผ่องใส ร่าเริงมองโลกในแง่ดี และทัศนคติเชิงบวกตลอดเวลา เพราะมันสำคัญมากในช่วงเวลาที่โลกเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่นี้ เอาละ เราหวังว่าในนี้จะมีท่านสักคนที่จะสามารถ "เข้าร่วมกับภารกิจแห่งจักรวาล" นี้ได้กับเรา เพราะสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก นานมากทีเดียว เกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้เลยละ กว่าที่จะมีการสร้างโลกใหม่แบบนี้ขึ้นอีกครั้ง เราจึงหวังว่าท่านจะร่วมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ให้แก่โลกใบนี้ของท่านเอง เพราะท่านเองนั่นแหละ ที่รอเวลานี้มานานแสนนานแล้ว



"ความเชื่อที่คุณเลือกได้" ระหว่างอุ้ยเสี่ยวป้อขี้โม้ที่อารมณ์ดี กับ ...


เอาละ มีคำถามคำถามหนึ่ง อยากทดสอบใจคุณให้ลองไปคิดดูนะครับถ้ามีคนสองคน คนหนึ่งเหมือนอุ้ยเสี่ยวป้อ เปลือกนอกเหมือนคนขี้โม้ที่ไม่มีหลักการอะไรเลย แต่อารมณ์ดี และมองโลกในด้านดีเสมอ และคนอีกคนหนึ่ง เปลือกนอกเป็นนักวิชาการ และเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยามากน่าเชื่อถือมาก แต่เขากำลังพยายามเหนี่ยวนำคุณให้คิดไปทางลบเสมอเอาละ "คุณจะเลือกเชื่อใคร?" มันก็เป็นสิทธิ์ของคุณ และเรายินดีเสมอไม่ว่าคุณจะเลือกเชื่ออย่างไร? เพราะอะไรละ? เพราะมันจำเป็นต้องมีคนที่มองโลกแง่บวก และแง่ลบ อยู่ร่วมกันในโลกนี้ไงละ เราจึงจะใช้พลังคนเหล่านั้น "สร้างสนามพลังแม่เหล็กโลก" ขึ้นมาได้ ดังนั้น ไม่มีใครผิดนะและไม่มีใครเป็นมาตรฐานของความถูกต้องได้ ทุกคนเลือกทางเดินของตนเอง คุณมีสิทธิ์เลือกได้ และเมื่อคุณเลือกแล้ว ก็ต้องมีความพร้อมรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของคุณด้วย ยืดอกรับผลของมันซะ เพราะนั่นคือ"สิ่งที่คุณเลือกเอง" ความเชื่อมันอยู่ในใจของคุณไม่มีใครมาบังคับใจคุณให้คุณเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรได้หรอก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับ "คุณเลือกเอง"



"วังวนหายนะ" พลังแห่งดาวมฤตยู ที่จะดึงดูดพลังด้านลบของมนุษย์


เอาละ ลองมาดูการทำงานของดาวมฤตยูบ้าง เขาทำงานได้อย่างไร? ง่ายๆ นะ เขาจะสร้างสถานการณ์บีบให้คนตกอยู่ในวังวนที่มืดมน แก้ไม่ได้ ไขไม่ออก และต้องกระทบกระทั่งกัน ทำให้เกิดพลังงานด้านลบมากๆ แล้วเขาก็จะ "ดูดซับพลังด้านลบไปหมด" ท่านก็จะโล่งอกโล่งใจ เหมือนหายเครียดได้พักหนึ่ง ทว่า "ท่านจะหมดกำลังใจ เหี่ยวแห้งลงเรื่อยๆ" ท่านจะกลายเป็นเพียง "เครื่องจักรผลิตพลังงานด้านลบให้กับเขาเท่านั้น" ท่านก็จะถูกดึงเข้าวังวน รอบแล้วรอบเล่า ที่ท่านคิดเชิงลบและผลิตพลังงานเชิงลบป้อนให้เขาเรื่อยๆ เขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ (พร้อมๆ กับชาวไซย่าที่จะพัฒนาตนเองขึ้นเช่นกัน) จนท่านที่เคยมีพลังจิตมาก จะสูญสิ้นพลังจิตไปจนหมด เขาจะรวบรวมพลังจิตของคนไปทำ "ภัยพิบัติ" ให้เกิดขึ้นตามคำทำนายของเขา เพื่อให้คนยิ่งมี "พลังความเชื่อด้านลบ" มากยิ่งขึ้นเพื่อจะ "หมุนวน วังวนหายนะ" (สวัสดิกะ) ของเขาให้หมุนรอบต่อไป ยิ่งๆ ขึ้ไป รอบแล้ว รอบเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด จากการใช้คำทำนายไปสู่การสร้างภัยพิบัติจริง รอบที่หนึ่ง ไปรอบที่สอง ซ้ำๆ ยิ่งคนยิ่งเชื่อ เขายิ่งได้พลัง และมันก็ยิ่งเกิดขึ้นจริง เขาก็ยิ่งได้รับการเชื่อถือไปใหญ่ มันก็ยิ่งเกิดขึ้นไปใหญ่ เอาละ อย่าลืมละว่าเขาไม่ได้ผิดอะไร หรือดีหรือชั่วอะไร ไม่ใช่ความถูกต้องอะไรด้วย เขาแค่มาทำหน้าที่ตามธรรมะธรรมชาติของเขา ก็เท่านั้น อย่าเพิ่งไปมีทัศนคติเชิงลบหรือบวกเข้าละ



สุดท้ายนี้ พลังแห่งขั้วบวก และพลังแห่งขั้วลบ มีความแตกต่างกันแบบสุดขั้วเลยทีเดียว ในขณะที่ศูนย์กลางแห่งพลังขั้วลบจะ "ดึงดูดพลังลบ" เข้าไปที่ศูนย์กลางของมัน ทว่า พลังแห่งขั้วบวกจะ "แผ่พลังเชิงบวก" ออกมาโดยรอบ ทำให้เกิดกระแสพลังงานไฟฟ้าจาก "ขั้วบวกไปขั้วลบ" ก็จะไม่เกิดการลัดวงจร และเมื่อมีการไหลเวียนอย่างเป็นระบบถูกต้องดีแล้ว ก็จะเกิด "สนามพลังแม่เหล็กโลก" ใหม่ ที่หนาแน่นขึ้นกว่าเดิมได้ซึ่งมันจะเป็นเช่นนั้นได้ เราจะต้องทำภารกิจของเราให้สำเร็จด้วย เพราะถ้าเราล้มเหลว ก็หมายถึง "ภัยพิบัติของโลก" จะตามมาอีกมากมาย ทีเดียว เอาละ เราหวังว่าท่านจะร่วมมือกับเราในการทำภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนะ มาเถิด มาสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ร่วมกับเรา


ขอ พลังแห่งขั้วบวกจงปัดเป่าความคิดเชิงลบของท่านออกไป สวัสดี ...



6 มิ.ย. 2555


"เสียงจากสภาฯ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังศักดิสิทธิ์แห่งเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะตกอยู่แก่ผู้ใด?

สวัสดีครับ ยังมีเรื่องเกราะอัศวินชัมบาลาที่ผม ก็ยังไม่ได้ให้รายละเอียดไว้มากนักซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะครับ เพราะมันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่ในยุคนี้ (5,000 ปีแห่งพุทธกาล) สรุปง่ายๆ ก็คือ ผู้ใดได้รับชุดเกราะอัศวินศักดิสิทธิ์แห่งชัมบาลา ผู้นั้นจะมีอำนาจมากมาย และจะได้ขับเคลื่อนโลกนี้ไปด้วยมือของตนเอง


มานั่งลงฟังกันง่ายๆ สบายๆ นะครับ ...



พลังคุ้มครอง "ยุคพุทธกาล" คือ พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา?


อย่างแรกท่านต้องเข้าใจก่อนคือ "โลกนี้มียุคสมัย" อยู่ มันเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ที่คุณต้องดูทีละเรื่องไป (ทีละยุค) จึงจะเปลี่ยนเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งได้ (ไปสู่อีกยุคหนึ่ง) เข้าใจง่ายดีไหมครับ เอาละ ทีนี้ เพื่อให้หนังเรื่องนั้นเล่นจนจบได้ตาม "บทละครของผู้กำกับ" มันจึงต้องมีการ"ควบคุมและกำกับการแสดง" นะครับ เพื่อไม่ให้ตัวละครที่มาเกิดบนโลกนี้ เล่นนอกบท ออกนอกเรื่องไปหมด แล้วมันจะไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิด ควรมีควรเป็น "ในยุคนี้" ไงละครับ ทีนี้ อะไรละที่ทำหน้าที่นั้น? ผมเรียกง่ายๆ ว่า "พลังศักดิสิทธิ์แห่งการควบคุมยุคสมัย" ก็แล้วกัน ง่ายดีไหมครับ ทีนี้ พลังงานนี้ อยู่ในรูปของอะไรละ? คำตอบคือ มีทั้งรูปพลังงานที่ไม่มีรูปแบบตายตัว, พลังงานที่มีรูปแบบตายตัว หรือแม้กระทั่งรูปธรรมชีวิต ก็มีครับ ในบรรดาพลังงานเหล่านี้ ที่สำคัญที่สุดคือ "พลังของชุดเกราะแห่งอัศวินชัมบาลา" ผู้ปกป้องคุ้มครองยุคสมัย ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไปครับ



ตำนานความเป็นมาแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา เกิดแต่ครั้งพุทธกาล


พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา มีมานานแล้ว แท้แล้วก็คือ "พลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" นั่นเอง พลังงานเก่าเหล่านี้ จะยังไม่ได้รับการชำระล้างให้หมดไปจนกว่า "จะสิ้นยุคพุทธกาล 5,000 ปี" เพราะเป็น "พลังแห่งการดูแลยุคสมัย" ให้ดำรงอยู่ในแบบที่มันควรจะเป็น และในเมื่อมันคือพลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าฯ ดังนั้น มันจึงมีที่จากพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ครั้งท่านยังดำรงชีพอยู่นั่นเอง นั่นหมายความว่า "ท่านเคยใช้มันทำกิจมาก่อน" และท่านได้ถ่ายทอดให้พระสาวกที่เหมาะสมจะได้รับทั้ง 4 ท่าน เช่น พระมหากัสสปะ ท่านได้รับเมื่อเกิดมีการแลกเปลี่ยนจีวรกับพระพุทธเจ้า, พระอชิตะ ท่านได้รับเมื่อได้ไปหาบาตรของพระพุทธเจ้าสำเร็จ หรือกล่าวให้ง่ายๆ ก็คือ ท่านเหล่านี้ ก็คือ "สองในสี่อัศวินชัมบาลา" นั่นเอง ซึ่งอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะเป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนาสืบไปจนครบอายุพุทธกาล 5,000 ปี ทั้งยังต้องทำกิจขับเคลื่อนโลกให้ดำเนินไปตามกรรมที่ควรจะเป็นอีกด้วยซึ่งมันจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ทั้งหมดเลยทีเดียว ดังนั้น ผู้ใดได้รับพลังนี้ไป ผู้นั้นจึงกลายเป็น "ใหญ่ในโลก" มีอำนาจมากในโลกยุคนี้เลยครับ



พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ แท้จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่?


พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ แท้จริงแล้วก็คือพลังงานชั้นนอกของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ใช่ระดับชั้นของ "ธรรมกาย" แต่เป็น "นิรมาณกาย" ของท่าน ทั้งสี่นิรมาณกาย นั่นเอง (พระพุทธเจ้ามี 3 กาย ได้แก่สัมโภคกาย, ธรรมกายและนิรมาณกาย ในส่วนนิรมาณกาย มีทั้งสิ้น 4 นิรมาณกาย) หรือก็คือ "จิตวิญญาณชั้นนอกที่คุ้มครองสังขารของท่านให้ทำกิจได้สำเร็จ" ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 เหล่า คือ เทพ, มาร, ยักษ์, และพรหมเมื่อท่านละสังขาร จิตวิญญาณทั้ง 4 นี้จรออกจากร่างแล้วก็ได้เข้ามาทูลขอ "พระพุทธศาสนา" ต่อพระพุทธเจ้า ท่านก็ได้ยกให้ แต่พระอานนท์ ก็ทูลขอไว้สักครึ่งหนึ่งก่อน หลังกึ่งกลางพุทธกาล จิตวิญญาณทั้ง 4 นี้ จึงจะมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ หมายความว่าอะไร? หมายความว่า เมื่อครั้งมีพระพุทธเจ้าอยู่ จิตวิญญาณทั้งสี่ห่อหุ้มท่านภายนอก เพื่อเชื่อมโยงท่านกับเหล่านั้นทั้งสี่เหล่า (เทพ, มาร, ยักษ์, พรหม) จึงทำกิจโปรดสัตว์ ได้มากมาย แต่เมื่อท่านดับขันธปรินิพพานแล้ว ทั้งสี่นี้จะเลือก "ร่างสังขาร" ใหม่เพื่อ "ห่อหุ้ม" ภายนอกแล้วทำกิจต่อไป จนกว่าจะหมดอายุพุทธกาลคือ 5,000 ปี หรือก็คือวิธี "การสืบทอดทายาทพระพุทธศาสนา" โดยใช้พลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าหรือนิรมาณกายของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ได้นิพพาน เพื่อทำกิจต่อไปแบบ เหนือสังขาร คือ ในสังขารอื่น เพราะสังขารของพระพุทธเจ้าจะมีอายุไม่มากต้องสิ้นไป ด้วยวิธีนี้ จึงสามารถเชื่อมโยงให้เหล่าปวงสัตว์ที่มีบ่วงกรรมเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าแต่ครั้งก่อนมา ได้มีสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาต่อไปได้ เพราะท่านไม่มีสังขารแล้ว จึงต้องมีการเชื่อมโยงด้วยวิธีนี้ จึงจะทำให้ผู้รับสืบทอดศาสนา ทำกิจได้เหมือนเดิม



พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ และ "ทายาทสายธรรมทั้งสี่"


พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะตกทอดแก่ทายาทแห่งสายธรรมทั้งสี่ เปลี่ยนร่างสังขารไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดสิ้นยุค ซึ่งได้แก่

1. ทายาทสายเทพ : จิตวิญญาณเทพกระต่าย ซึ่งจะทำหน้าที่รับพลังธรรมจาก "พระจันทร์ยูไล" แล้วถ่ายทอดพลังธรรมออกไป ขณะโปรดสัตว์ ดังนั้น จึงเหมือนมีธรรมมาก (แต่เป็นพลังธรรมจากพระจันทร์ยูไล) หลอกล่อให้ปวงสัตว์เข้ามาหามากๆ ก่อนที่พระธรรมกายจะโปรดอีกทีนอกจากนี้ เทพกระต่ายยังปรุง "ปราณเสพติด" ทำให้คนเสพติดธรรมไว้ก่อนแล้วจึงจะแก้ให้ทีหลังเพื่อยึดโยงปวงสัตว์เอาไว้ก่อนนั่นเอง อนึ่ง สายธรรมนี้ จะเลือกมาจากคนที่ทำงานเป็นลูกน้องคนอื่น มีอินทรีย์ที่แก่กล้าดีเพราะทำงานมาก หมดกรรมจากการเป็นลูกน้องแล้วเข้าสายเทพเช่น พระอานนท์ (รับใช้พระพุทธเจ้า) ก็ได้รับสืบทอดสิ่งนี้ ทั้งยังเคยใช้ดึง "ภิกษุณีโกกิลา" (ที่เคยเป็นทาส) ตามมาบวชจนบรรลุธรรมอีกด้วย

2. ทายาทสายมาร : จิตวิญญาณ "มารพุทธะ" ซึ่งมีรูปกายภายนอกที่เหมือนพระพุทธเจ้าครบทุกประการ ทว่า จิตวิญญาณนี้ไม่ใช่ "ธรรมกายที่มีธรรมจริง อยู่" ดังนั้น จึงทำได้เพียงหลอกล่อให้คนเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่พระธรรมกายของท่านจะ "โปรดในเวลาที่เหมาะควร" ตามอินทรีย์ ที่พร้อมรับ (ไม่ใช่จะให้ธรรมแท้ได้ทุกเวลา ต้องดูทุกปัจจัยให้พร้อมด้วย) สิ่งนี้ได้ถ่ายทอดให้แก่ "พระมหากัสสปะ" ทำให้ท่านกลายเป็นคนเคร่งธรรมวินัยมากเกินไป (ตามลักษณะของพลังมาร) แต่ก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น อนึ่ง พลังนี้จะถ่ายทอดให้แก่ท่านที่ "เก็บตัวอยู่นานๆ หรือได้รับโทษโดยอยุติธรรมแล้วยอมทดได้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบ" ผลจากบารมีที่อดทนบำเพ็ญเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบ ทำให้ได้พลังมารที่มากด้วยกฏ-วินัยนอกจากนี้ คนจะชอบและเข้ามารุมล้อมมาก เพราะเปลือกนอกที่น่าศรัทธานับถือสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณ์แห่งพระรัตนตรัย (แต่สิ่งนี้ยังไม่ได้ธรรมจริง)

3. ทายาทสายพรหม : จิตวิญญาณ "นารายณ์ภาคมืด" หรือ "ลูซิเฟอร์" นั่นเอง ทำไมต้องเป็นลูซิเฟอร์? เพราะ 1 เขาไม่มีทางไป พระเจ้าไม่รับเขาเขาจึงต้องมาพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า 2 เพราะเขาได้ขโมยกิจผลไม้แห่งการหยั่งรู้เข้าไป ทำให้เขาเหมือนคนรู้มากไปหมด คล้ายสัพพัญญูญาณ จึงดึงผู้คนมากมายในสายพรหมเข้ามาหาได้มากมายเพื่อพระธรรมกายจะโปรดต่อในภายหลัง (หลอกล่อให้เข้ามาก่อน) ดังนั้น ท่านจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เขาจึงมีอำนาจมากในโลกนี้ และทำไมมนุษย์จึงนับถือเขาเหมือนดั่งพระเจ้า (เพราะเขาคือ นิรมาณกายหนึ่งของพระพุทธเจ้า นั่นเอง) เอาละ ไม่ว่าเขาจะดูดีหรือร้ายอย่างไรในสายตาท่านแต่เขาก็เหมาะสมที่จะทำกิจดึงผู้คนเข้ามาหาได้ก็แล้วกัน ซึ่งเขาจะเลือกดึงคนกลุ่มที่มีทุกข์มากๆ ซึ่งเบื่อหน่ายโลกหรือสามภพนี้แล้วแต่เขาหลงผิดไปจึงคิดว่าการดึงออกจากสามภพก็ไม่ต้องเวียนว่ายในสามภพแล้ว แต่เขาก็ทำให้สัตว์นิพพานไม่ได้

4. ทายาทสายอสูร : จิตวิญญาณ "ทศกัณฐ์" ซึ่งมีบริวารมาก จะดึงสายพลังอสูรเข้ามาได้มาก พวกเขาจะมีกำเนิดที่ต่ำต้อย และรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของการเกิดมาบนโลกนี้ และมีใจที่ต้องการ "พัฒนาตนเองให้สูงขึ้น" จึงพร้อมและเหมาะที่จะโปรด ทว่า อสูรก็คืออสูรอยู่วันยังค่ำ พวกเขาแม้จะอยากทำตัวให้ดีขึ้น แต่ก็ยังติดนิสัยเดิม แก้ได้ยาก อยู่ดี เมื่อมีพลังอสูรแล้วก็จะดึงคนที่มีสายสัมพันธ์มาทางอสูรได้มากด้วย มนุษย์จะมีพลังงานภายนอกปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เมื่อถึงเวลาจะบรรลุธรรม พลังงานชั้นนอกในส่วนที่เป็นจิตวิญญาณจะจรออกชั่วขณะ ทำให้เหลือ "จิตหนึ่ง-จิตเดียว" นั่นคือ "ช่วงโอกาสในการบรรลุธรรม" ต้องมีจิตหนึ่งเดียว จากนั้น จึงมีพลังงานที่เป็นจิตวิญญาณชั้นนอกกลับเข้ามาคุ้มครองสังขารให้ดังเดิมต่อไป


เอาละ หวังว่าท่านคงเข้าใจ "พลังงานที่ช่วยจูนดึงคนเข้ามา" หาธรรมก่อนที่พระพุทธเจ้าจะโปรดด้วยพระธรรมกายภายหลังนะครับ มันคือสิ่งที่เหมือนกุศโลบายในการดึงคนเข้ามาเท่านั้น อย่าคิดมาก แม้ว่าพวกนี้จะยังไม่ได้ธรรมแท้จริง แต่เขาก็มีหน้าที่ดึงคนเข้ามา ก็เท่านั้นเอง ครับ



"ทายาทสายธรรมทั้งสี่" หรือ "อัศวินชัมบาลาทั้งสี่" ชุดแรกได้แก่ใคร?


หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ทายาทสายธรรมทั้งสี่ ชุดแรกได้แก่

1. สายเทพ คือ พระอานนท์ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณเทพกระต่าย
2. สายมาร คือ พระมหากัสสปะ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณมารพุทธะ
3. สายพรหม คือ พระมหากัจจานะ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณลูซิเฟอร์
4. สายอสูร คือ พระอชิตะ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณอสูรทศกัณฐ์


ทั้งสี่ท่านเมื่อได้รับสืบทอดทายาทธรรมแล้ว จึงทำกิจแตกต่างกันไป เช่น พระมหากัจจานะ ได้รจนาคัมภีร์มูลกัจจายน์ไว้ เพื่อให้ชนรุ่นหลังสามารถเข้าใจในไวยกรณ์บาลีสันสกฤตได้, พระมหากัสสปะ สังคายนาพระไตรปิฎก, พระอานนท์สืบทอดพลังธรรมจาก "พระจันทร์ยูไล", พระอชิตะ ก็ดูแลความเป็นอยู่, ปัจจัย, อาหารการกินของหมู่สงฆ์ ฯลฯ เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่คล้ายครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทว่า เพราะท่านทั้งสี่ไม่ทันเฉลียวใจคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาทิคุณมาก จึงหาวิธีอยู่เหนือสังขาร และ "ไม่ได้รีบร้อนจะนิพพานเลย" ตั้งแต่บอกเรื่องมารมาทูลให้ปรินิพพานแก่พระอานนท์แล้ว ท่านไม่ได้รีบร้อนนิพพาน จึงหาวิธีอยู่ต่อไปจนกว่าจะครบ 5,000 ปี ตามสัจจสัญญาว่าจะช่วยให้สัตว์ทั้งหลายได้นิพพานจนกว่าจะครบอายุพุทธกาล (เช่น ท่านลั่นสัจจะวาจาว่าขอเพียงเหลือพระธรรมเพียงนิด ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงก็ถึงนิพพานได้) นี่เป็นลักษณะหนึ่งของการให้การรับรองธรรมของท่านเอง เป็นสัจสัญญาที่จะคอยช่วยให้ปวงสัตว์ได้ถึงนิพพาน ด้วยเหตุนี้ท่านจึง "นิพพานบางส่วนเพื่อเหลือมโนธาตุ" ไว้ เพื่อโปรดสัตว์ ต่อไป ดังนั้น "พระธรรมกาย" ของท่านจึงยังมิได้นิพพานไปหมด ทว่า พวกเราได้พบพระธรรมกายนั้นหรือไม่หรือได้แต่หลงรูปกายแห่งพระพุทธเจ้าแล้วติดอยู่กับนิรมาณกายของท่านกันแน่? (ซึ่งนั่นเป็นเพียงมารพุทธะเท่านั้นเอง) และเพราะท่านทั้งสี่ ไม่ได้เฉลียวใจในจุดนี้ "จึงไม่ได้ค้นหาพระธรรมกายนั้นเพราะคิดว่านิพพานไปหมดแล้ว" ท่านจึงทำกิจ "ต่างคนต่างทำ-ต่างคนต่างคิด" สุดท้าย ก็เกิดการแตกแยกเป็นลัทธิ, นิกายต่างๆ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการที่ได้รับนิรมาณกายจากท่านแล้วก็ยังต้องเชื่อมโยงกับพระธรรมกายของท่านให้ได้ดังเดิมด้วย "พระธรมจึงจะไม่ขาดหาย" (ดังนั้น หลวงพ่อสด จึงได้รับคำสั่งให้ลงมาเกิดเพื่อค้นหา สิ่งที่เรียกว่า "พระธรรมกาย" นี้ นั่นเอง)



เส้นทางที่ขัดแย้งระหว่าง "พระเจ้า" และ "พลังแห่งอัศวินชัมบาลา"


ท่านอาจคิดไปว่าอัศวินชัมบาลาต้องทำแต่สิ่งที่ดีไหม? มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เราควรเรียกว่า "ทำสิ่งที่ควรทำ-จำเป็นต้องทำ" มากกว่า เพราะว่าการทำความดีต่อปวงสัตว์มากไป อาจทำให้สัตว์หลงทาง หลงโลก และไม่มีใครอยากเข้านิพพานเลยก็ได้ ดังนั้น นี่จึงเป็น "จุดเริ่มต้นของความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและอัศวินชัมบาลา" เช่น พระเจ้าต้องการสร้างโลกให้ดีงาม แต่อัศวินชัมบาลากลับพาปวงสัตว์ไปทำสงคราม เสียก็ได้ ทำไมละ? ก็เพื่อให้เข้าคอนเซฟ "เข้านิพพานด้วยทุกข์" ไงละ ถ้าโลกไม่มีทุกข์ คนก็หลงโลก ไม่มีใครอยากเข้านิพพานเลย นี่ละ เพราะเหตุนี้ "อสูรทศกัณฐ์จึงเป็นหนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลา" ไงละครับ หรือแม้แต่ลูซิเฟอร์ ก็กลายมาเป็นหนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลาทั้งๆ ที่ขัดแย้งกับพระเจ้า เพราะอะไร? พอจะมองเห็นมุมมองที่แตกต่าง และสถานการณ์ที่ต่างกันไหมครับ? มันไม่ใช่ความผิด หรือความถูกของใครนะครับ เพียงแต่ "ทุกคนมีหน้าที่ที่ต่างกันไปก็เท่านั้นเอง" ทีนี้ ท่านพอเข้าใจคำว่า "มันไม่มีใครผิดหรือถูก" แต่มันมีหน้าที่แตกต่างกัน เท่านั้นเอง เอาละ เห็นไหมละ แม้แต่ซาตาน ก็มีหน้าที่ของเขานะครับ โอเคไหม? ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจคือ ใครได้รับทายาทนี้ไปจะมีอำนาจมากในโลกด้วยครับ แต่พวกเขาอาจได้รับแต่ความมืดมนในท้ายที่สุดจะมีแต่ทุกข์ และต้องยอมจำนนต่อโลกนี้ และอยากหลุดพ้นไงละครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันช่างเป็นทุกขลาภหรือจะเรียกว่าอะไรดีนะ ไม่ละมันก็เป็นเช่นนั้นของมันเองนั่นแหละ ดังนั้น ผู้ที่จะรับสืบทอดชุดเกราะนี้ก็ควร "มีพลังธรรมมาก" จริงๆ ไม่เช่นนั้น อาถรรพ์ของชุดเกราะทั้งสี่นี้คงจะลากพาท่านไปสู่นรกไม่ก็โลกมืด แน่นอนละครับ คิดให้ดีๆ ก่อนละ



ผู้ถูกเลือกทั้งสี่ให้ได้รับ "พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา" เป็นอย่างไร?


ผู้ที่ถูกเลือกแล้วทั้งสี่ ให้ได้รับชุดเกราะอัศวินชัมบาลา จะต้องถูกเตรียมตัวให้มีลักษณะที่พร้อมรับชุดเกราะนั้นๆ ให้ได้ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันดังนี้

1. ชุดเกราะเทพ : ร่างสังขารจะถูกเตรียมจาก "ลูกน้องที่ซื่อสัตย์" ไม่ว่าจะทำงานให้เจ้านายคนใด ก็ตาม จนหมดวิบากกรรม จากการเป็นลูกน้องแล้ว เขาก็จะไม่มีอะไรจะทำ และจะต้องฝึกรับ "พลังธรรมจากเบื้องบน" เพราะพลังสายเทพ จะเป็นพลังงานที่รองรับพลังธรรมที่บริสุทธิ์ถูกต้องจากเบื้องบนโดยตรง ซึ่งพวกเขามีอินทรีย์ที่แก่กล้ามากจากการทำงาน

2. ชุดเกราะมาร : ร่างสังขารจะถูก "ให้รับโทษอย่างอยุติธรรม" เช่น ถูกจับขังคุก หรือกักบริเวณ หรือถูกใส่ร้ายอย่างอยุติธรรม แล้วสังขารก็ยอมรับโทษนั้นเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบโดยรวมแต่เพราะได้รับอยุติธรรมจึงมีความโกรธแค้นเกิดขึ้นบางส่วน ทำให้ประสานพลังกับภาคมารได้

3. ชุดเกราะพรหม : ร่างสังขารจะ "ทำผิดแล้วไม่ยอมรับโทษ" จะต้องหาวิธีอยู่รอดให้ได้เหนือกฏหมาย แล้วเมื่อเขาทำได้ จะกลับมามีอำนาจมากมาย ซึ่งเป็นรอยกรรมที่สอดคล้องกับลูซิเฟอร์ นั่นเอง ซึ่งในประเทศไทย ก็มีสังขารที่ถูกเตรียมสังขารไว้เช่นนี้เช่นกัน (แปลกใจไหมละครับ)

4. ชุดเกราะอสูร : ร่างสังขารที่เกิดจากจุดที่ต่ำต้อย และพยายามพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้น โดยหาเส้นสาย พรรคพวกให้มากๆ เข้าไว้ แต่ไม่ได้ยอมจำนนต่อคนเหล่านั้นอย่างแท้จริง เพราะตีหลายหน้าได้เก่ง ไม่ต่างอะไรกับ "ทศกัณฐ์" นั่นแหละ ทว่า เขากลับมีศรัทธาที่แท้จริงต่อสิ่งศักดิสิทธิ์นะ แม้ว่าเขาจะไม่เลือกที่จะเชื่อใจเจ้านายคนใดที่เป็นมนุษย์นัก ก็ตามที


เอาละ สิ่งสำคัญที่สุดที่จะเลือก "ใครมาเป็นร่างสังขาร" นั้นๆ ก็คือ เขาจะต้องมี "บุญบารมีมาก" ทำไว้แต่หนหลัง เอาไว้เป็นทุนประกันว่าเมื่อเขามีอำนาจมากแล้ว เขาจะไม่หงายหลังไปเสียก่อน เพราะเขาจะได้รับอะไรที่มากมายเหนือคนอื่นเลย ดังนั้น เขาจึงจะต้องมีบุญบารมีเก่า ทำไว้เป็นทุนและมีพลังจิตที่กล้าแกร่งมากพอที่จะ "ควบคุมพลังของชุดเกาะทั้งสี่" ได้



สุดท้ายนี้ ถึงเวลาชำระล้างพลังงานเก่าของพระพุทธเจ้า 1 ใน 4 ส่วนเพื่อปรับยุคสมัยเปิดรับ เตรียมพร้อมเข้าสู่ "ยุคพระศรีอาร์ฯ" เพื่อไม่ให้พลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าสมณโคดม กำหนดความเป็นไป กำกับบทให้โลกเป็นยุคของท่านไปตลอด จึงต้อง "ค่อยๆ ปรับพลังควบคุมออก" โดยในยุคแรกจะปรับออก 1 ในสี่ส่วนคือ พลังงานสายเทพจะชำระล้างพลังงานเก่าที่เป็นพลังงานของเทพกระต่ายออก จากนั้น จักรวาลจะส่ง"พลังงานใหม่-สายเทพ" ลงมาดูแลโลกแทนพลังงานชุดเก่าจึงจะเกิดการผสมผสานของพลังงานที่ขับเคลื่อนโลกทั้งสี่ส่วนในสูตรใหม่ ได้แก่ Y + 3X นั่นเอง หรือก็คือ พลังงานใหม่ 1 ส่วน รวมกับพลังงานเก่าสามส่วน นั้นเอง เอาละ ช่วงนี้ โลกจะแปรปรวนและยากแก่การคาดเดามากที่สุด เพราะมันยังไม่ลงตัวนะ รอให้ลงตัวก่อนก็จะทำนายได้ชัดเจนขึ้นครับ


ขอพลังชุดเกราะศักดิสิทธิ์จงคุ้มครองโลกนี้อย่างที่ควรจะเป็น สวัสดีครับ



5 ก.ค. 2555


"เสียงจากชัมบาลา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กำเนิด "อุลตร้าแมน ไกอา" พลังคลาสสิคที่ปกป้องโลกใบนี้?

สวัสดีครับ ก่อนอื่น ผมต้องขอยืมใช้"ชื่อ" ที่มาจากหนังเรื่องหนึ่ง นั่นคือ "อุลตร้าแมน ไกอา" เพราะผมคิดว่าไม่มีชื่อไหนในโลกที่คุณเคยได้ยิน ที่จะอธิบายสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้ได้ดีเท่าคำนี้อีกแล้ว เอาละ ผมจะมาเล่าเรื่องราวของเขา ที่ไม่ใช่หนังละนะ


คำว่า "อุลตร้าแมน ไกอา" หมายถึงอะไร มีใครบ้าง?


อย่างแรกผมขออธิบายความหมายให้เข้าใจตรงกันก่อนนะครับนั่นคือ คำว่า "Ultraman Gaia" มาจากคำว่า อัลตร้า ที่แปลว่า "เหนือ" หรือก็คือ เหนือระดับของมนุษย์ นั่นเอง เอาละ คุณต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า "จิตวิญญาณของมนุษย์" เป็นแบบหนึ่งแต่มันยังมีจิตวิญญาณที่มีระดับสูงกว่ามนุษย์ขึ้นไปด้วย เช่น ที่เป็นเทพ, พรหม, โพธิสัตว์ หรือ พุทธะ ก็ดี เหล่านี้ ล้วนมีระดับที่เหนือกว่ามนุษย์ขึ้นไปทั้งหมด จึงเรียกรวมๆ ว่า "อุลตร้าแมน" ส่วนคำว่า "ไกอา" มาจากเทพีที่ดูแล "ดาวโลกดวงนี้" ทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะส่วนพื้นแผ่นดินเท่านั้น ธาตุทุกธาตุในโลกนี้ ทั้งดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ฯลฯ ทั้งหมด ในประเทศจีน ก็มีเทพีองค์หนึ่งนามว่า"เทพหนี่วา" ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับไกอามากที่สุด คำว่าไกอาต่อท้าย อุลตร้าแมน จึงหมายถึง เหล่าอุลตร้าแมน "ที่กำเนิดในด่าวโลก" มิได้กำเนิดในดาวเคราะต่างดาว และเมื่อกำเนิดแล้วก็จะอยู่ในดาวโลกนี้ "แม้จะมีเชื้อสายต่างดาวก็ตาม" เขาจะพัฒนาตัวเองและทำหน้าที่ดูแลโลกเป็นการเฉพาะ ระยะหนึ่ง จึงจะกลับไปยังดาวของเขาได้ เอาละ ทีนี้ คุณคงพอเข้าใจความหมายของ"อุลตร้าแมน ไกอา" แล้วนะ ดังนั้น อุลตร้าแมน เอง ก็มีหลายแบบแล้วยังมีทั้งอุลตร้าแมนที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของไกอาอีกด้วย โอเค?



พลังคลาสสิคที่ปกป้องรักษาโลก แตกต่างจากพลังอื่นๆ อย่างไร?


อย่างที่สองที่คุณจะต้องศึกษาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นคือพลังงานที่อยู่ในโลกนี้ มีมากมาย พลังของอุลตร้าแมน ไกอา ไม่ใช่พลังงานที่มาจากนอกโลก เพราะเขาเกิดในโลกนี้แต่เขาได้เชื้อสายจากต่างดาวและจะต้องกลับไปสู่ต่างดาวของเขาในวันหนึ่ง เขาจึงไม่ใช่ทั้งพลังงานใหม่และพลังงานมืด แต่เขาคือ พลังงานในกลุ่มพลังคลาสสิค ที่ไม่มืด แต่ก็ยังไม่สว่างมากเกินไปนัก ซึ่งพวกเขาถูกยึดโยงกับโลกใบนี้ ทำให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับ "สังขารมนุษย์" สืบทอดต่อๆ กันมา และพวกเขาก็ต้องทำหน้าที่ดูแลโลกด้วย ไม่ต่างจากพลังงานคลาสสิคทั่วไป พวกเขาจึงเข้าได้กับทั้งพลังงานใหม่, พลังงานภาคสว่าง และพลังงานภาคมืด ที่มีความแตกต่างกันมาก พวกเขามีความเป็นกลางสูง แต่เพราะติดพันธะหรือภารกิจบางประการบนโลกนี้ ทำให้พวกเขายังไม่ได้กลับดาวแม่ของพวกเขา ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นพลังงานสำคัญอีกแหล่ง ซึ่งช่วยในการขับเคลื่อนโลก และปกป้องโลกใบนี้ มายาวนานแล้ว นั่นเอง



พลังงานที่อยู่ในโลกนี้มีที่มาแตกต่างกันมากมายและเป็นคนละกลุ่มกัน


ต่อไป คุณควรจะต้องเข้าใจเรื่อง "พลังงานในโลกนี้" ซึ่งมีที่มาต่างกันด้วย เพื่อจะได้แยกแยะได้ว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกัน และทำงานในแบบที่แตกต่างกัน มีแนวคิด มุมมอง ที่แตกต่างกัน ดังจะอธิบายต่อไปนี้

1. พลังงานมืด : คือ พลังงานที่เกิดจากความผิดพลาดบางประการ ทำให้เกิดความมืดมนขึ้น เช่น ทำผิดกฏสวรรค์แล้วก็หนีทัณฑ์สวรรค์ลงมา

2. พลังงานภาคสว่าง : คือ พลังงานที่มีความสว่างไสว อยู่เบื้องบน ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องตรงทางสวรรค์ พวกเขาจะไม่ลงมาทั้งตัว แต่ส่งพลังลงมา

3. พลังงานคลาสสิค : คือ พลังงานที่เกิดบนโลก ไม่มืด และไม่สว่างนักพวกเขาสามารถ "ประสานร่าง" เข้ากับสังขารของมนุษย์ได้ ปรับตัวได้ดี


พลังงานทั้งสามแบบนี้ แตกต่างกัน ยังมีพลังงานใหม่ ที่มาจากต่างดาวอีกซึ่งพลังงานเหล่านี้ มีทั้งที่เป็นเพียงพลังงานไร้รูป ก็มี, พลังงานที่เป็นรูป ก็มี, พลังงานที่เป็นรูปธรรมชีวิต ก็มี, ฯลฯ พวกเขาแตกต่างกันและอยู่คนละกลุ่ม ทั้งยัง "เข้ากันไม่ได้" ถ้าแตกต่างกันนะเช่น บางดาวจะมีเป็นมิตรกันแต่บางดาวจะเป็นคู่อริกัน ก็มี ทว่า "พลังงานคลาสสิค" จะไม่เป็นเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ชอบการแบ่งแยก พวกเขาจะเห็นทุกท่านที่อยู่บนโลกนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งแยกเป็น "พวกมืด-พวกสว่าง" หรือ พวกเทพ-มารฯลฯ อะไรแต่อย่างใด พวกเขาถูกไกอาสอน ให้เห็นโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน 



การกำเนิดของพลังคลาสสิคและพลังที่ส่งเสริมพลังของไกอา


ต่อไป คือ การกำเนิดของพลังงานคลาสสิค เช่น อุลตร้าแมน ไกอา พวกเขากำเนิดจาก "สังขารมนุษญ์บนโลกนี้" ซึ่งมีพลังจิตมาก เพราะบำเพ็ญบารมียิ่งยวด แล้วสังขารมนุษย์ไม่อาจรองรับสภาวะได้ (ถึงที่สุดแห่งการบำเพ็ญบารมียิ่งยวด) ก็เกิดการ "แบ่งแยกของพลังงานออกมา" ทำให้พวกเขาเกิดขึ้นบนโลก ขณะที่สังขารเก่ายังไม่ตาย ยังไม่หมดอายุขัย ก็จะออกจากโลกไปโดยพละการไม่ได้ แต่พวกเขาถูกแบ่งแยกออกจากร่างสังขารมนุษย์ไปแล้ว จึงจรไปหาร่างสังขารใหม่ ทว่า พวกเขาจะได้รับการดูแลจากไกอา เพราะไกอาเป็นจิตวิญญาณที่มีอายุขัยมากและอยู่คู่โลกนี้มานานแล้ว จึงแนะนำวิธีการดำรงอยู่บนโลกให้พวกเขาได้อย่างดี เมื่อเขาเข้าใจและรู้จักปรับตัวกับมนุษย์โลก ตลอดจนได้สังขารใหม่แล้ว พวกเขาก็จะทำกิจต่อไปเพื่อโลกนี้ "รอจนกว่าสังขารเก่าจะกลับมาเกิดใหม่" เขาก็จะจรย้อนกลับไปยังเจ้าของเดิม (วัวใครเข้าคอกคนนั้น) พวกเขาไม่ได้ทำความผิดอะไร เพราะพวกเขาไม่ใช่พลังงานมืดแต่เพราะมีกำเนิดอย่างนี้ จึงยังไม่อาจจะกลับคืนสู่ "ดาวของเขาได้" และต้องอยู่ดูแลโลกต่อไป



สิ่งสำคัญคือ พลังคลาสสิคไม่ใช่พลังงานมืด และยังสามารถใช้ได้ดี


นี่คือสิ่งที่สำคัญมากที่คุณจะต้องแยกแยะให้ได้ ระหว่างพลังงานมืดและพลังงานคลาสสิคเพราะพวกเขาสามารถ "รวมร่าง" (Crossition) กับมนุษย์ได้เช่นกัน ทว่า พวกเขา "ต่างกันมาก" คือ พวกที่มืด จะทำหน้าที่ที่ผิดทิศผิดทาง ผิดกฏสวรรค์ไปเรื่อยๆ และจะนำพาร่างสังขารไปในทางเสื่อม แต่พวกคลาสสิค จะทำหน้าที่ได้ดี เพื่อโลกนี้ ไม่ออกนอกลู่นอกทางและจะไม่นำพาสังขารไปในทางที่เสื่อม นอกจากนี้ ยังมีข้อดีคือ "ไม่แบ่งแยก" มากเกินไป เพราะพลังงานบางชนิด เช่น พลังภาคสว่าง จะมีการแบ่งแยกมาก คือ ภาคสว่างจะไม่อาจเข้ากับภาคมืดได้เลย พวกเขาจะมีลักษณะและความเป็นอยู่ที่ตรงกันข้ามสุดขั้วกัน ดังนั้น จึงทำให้เกิดการปะทะขัดแย้งและบาดหมางกันได้บ่อยแต่พลังงานคลาสสิคไม่เป็นเช่นนั้นนอกจากนี้ ยังไม่นำพาโลกไปทางที่ใหม่ ก้าวล้ำจนเกินไป จนคนบนโลกที่อ่อนแอหรือยังล้าหลังอยู่ "ตามไม่ทัน" จนต้องได้รับผลกระทบรุนแรงดังนั้น "พลังงานคลาสสิค" จึงเป็นพลังงานที่เหมาะสมกับโลกมากที่สุด



"พลังคลาสสิค" เป็นพลังงานเฉพาะ ที่ไม่ใช่สาธารณะซึ่งใครก็รับได้?


อีกประการหนึ่งคือ พลังงานคลาสสิคจะไม่ใช่พลังงานสาธารณะแบบพลังงานใหม่ ที่ใครจะเปิดรับก็สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด ทว่า มันจะถูกจำกัดให้เฉพาะกับสังขารที่เคยเกี่ยวข้องกับพลังงานนั้นๆ เท่านั้น ดังนั้น มันจึงไม่มีการเปิดกว้างอย่างเสรีที่จะให้ใคร ก็ได้ รับไป แบบพลังงานใหม่ หรือพลังจักรวาล มันเป็นของเฉพาะของ "บางคนเท่านั้น" คือ "เจ้าของของมัน" ที่มันแบ่งแยกตัวเองออกมาแต่ดั้งเดิมนั้น และมันจะกลับคืนสู่เจ้าของเดิมของมันในท้ายที่สุด (แม้ว่าจะไปอยู่อาศัยกับผู้อื่นชั่วคราว มาก่อนก็ตาม) นั่นหมายความว่า "อุลตร้าแมน ไกอา" แต่ละตัวตน "ล้วนมีเจ้าของแล้ว" ทั้งสิ้น พวกเขารอ "เจ้าของ" มารับพลังงานของพวกเขากลับคืนไป เพื่อใช้ในการ "ปกป้องโลกใบนี้" ต่อไป "ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ที่อยากได้ก็จะได้" หรือจะได้มาด้วยการใช้ "เล่ห์เพทุบาย" หลอกเอามาก็ไม่อาจจะได้ครองเช่น บางคนคิดว่าจะสร้างผู้หญิงคนหนึ่งให้เป็นองค์นารายณ์ โดยหลอกเอาจิตวิญญาณของผู้อื่น ชายอื่น หลอกให้เขารัก เพื่อจะได้จิตวิญญาณเขามา อันนั้น ก็ไม่อาจทำได้ เพราะสุดท้ายแล้ว "วัวใคร เข้าคอกคนนั้น"



"อุลตร้าแมน ไกอา" มีอยู่มากมาย และหนึ่งในนั้น "อาจเป็นของคุณ"?


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า "อุลตร้าแมน ไกอา" มีอยู่มากมาย หลายแบบ และพวกเขาจะกลับคืนสู่ "สังขารกำเนิดดั้งเดิม" ที่เคยให้กำเนิดเขามาก่อนดังนั้น พวกเขาจึงรอเวลา ด้วยการอยู่กับมนุษย์บางคนไปพรางๆ ก่อน ที่ร่างสังขารจะพร้อมรับกลับคืน พวกเขาก็จะ รวมร่างกัน (Crossition) ในที่สุด เมื่อนั้นเขาก็จะกลายเป็น "อุลตร้าแมน ไกอา" ที่สมบูรณ์และมีภารกิจสำคัญที่ต้องดูแลปกป้องโลกนี้ต่อไป ซึ่งในการรวมร่างนั้น ไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะมันก็เหมือนกับการมีใจเดียวกัน หรือ "รักกัน" น่ะละมันจะแปลกแค่ไหนถ้าเจ้าของร่างเดิมมาเกิดใหม่ในเพศเดิม และเขาจะต้อง "รักกับจิตวิญญาณเก่า ของเขา" จึงจะรวมร่างกันได้? ทว่า มันก็ต้องทำเช่นนั้น เพราะพลังแห่งความรักเท่านั้นจึงจะประสานร่างทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ แม้ว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะเป็นเพศเดียวกันก็ตาม เพราะถ้าสังขารของเขาไม่รัก หรือปฏิเสธสิ่งนั้น มันย่อมจะไม่มีทางรวมร่างกันได้เลย ฟังดูแปลกนะครับ แต่ผมคิดว่าเด็กผู้ชายมีความรักต่ออุลตร้าแมน ไกอา ก็มีไม่น้อยเลย ไม่ใช่หรือครับ? เพราะถ้าคุณมี "ความรักที่บริสุทธิ์แท้จริงแล้ว" มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศอะไรเลย



สุดท้ายนี้ ผมจะขอเล่าถึง "ร่างสังขาร" ที่จะรอรับอุลตร้าแมน ไกอา กลับคืนบ้าง ร่างสังขารเหล่านั้น จะถูกเตรียมเป็นการพิเศษ พวกเขาจะมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพื่อการรอรับสิ่งนั้นคืนกลับ อย่างแรก พวกเขาจะต้อง "สูญเสียพลังและจิตวิญญาณ" เดิมออกไปส่วนหนึ่งก่อน ทำให้พวกเขาแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง เหมือนคนที่ตายทั้งเป็น และมี "จิตวิญญาณไม่เต็มสังขาร" (คนไม่ค่อยเต็ม) จากนั้น พวกเขาจะได้รับการบรรลุพลังงานเข้าไปใหม่ เป็นพลังงานภาคสว่างบ้าง, มืดบ้าง, เก่าบ้าง, ใหม่บ้าง ซึ่งก็อาจทำให้เขาสับสน, งุนงง, และแทบเป็นบ้าได้ เหมือนกลายเป็นใครก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวไปทางขวาจัด ซ้ายจัด มืดบ้าง สว่างบ้าง ฯลฯ อันนี้ ก็คือ การเรียนรู้ของสังขาร ให้รู้จักและยอมรับความหลากหลายของโลกนี้ นั่นเอง และเขาจะต้องฝึกชำระล้างพลังงานเก่า ไม่รู้กี่ระลอกๆ แล้วระลอกเล่า ให้หมด จนกว่าจะถึงเวลาได้รับ "พลังคลาสสิค" ได้ เรียกว่ากว่าจะเข้าสู่การรวมร่างกับอุลตร้าแมน ไกอา ร่างสังขารต้องผ่านอะไรมามากมาย และต้องสอบผ่านให้ได้ทุกด่านอีกด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ของง่ายเลย


สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านค้นพบ "อุลตร้าแมน ไกอา" ของท่านเอง สวัสดีครับ



3 ก.ค. 2555


"เสียงจากอุลตร้าแมน ไกอา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระผู้เป็นเจ้าอยู่ดาวอื่น และมีหลายองค์ แล้วใครคือผู้ดูแลโลกใบนี้กันแน่ละ?

สวัสดีครับ มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายทั้งหลายบนโลกนี้ คือ "ผู้นำสูงสุด" ที่เรียกว่าพระเจ้า ก็ดี ท่านมีบทบาทมากต่อโลกใบนี้ และเราควรทำความเข้าใจให้มาก เพราะมีผลมากต่อการเข้าใจโลกและการเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย


ผมจะอธิบายให้ง่ายที่สุดนะครับ



โลกนี้ ไม่มี "พระเจ้าหนึ่งเดียว" ที่ประจำอยู่ตลอด ต่างจากดาวดวงอื่น


เอาละ นี่คือ สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจโลกใบนี้ให้ดี เป็นอย่างแรกที่ท่านได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ เพราะถ้าท่านได้ไปเกิดแล้วลืมตาขึ้นมาดูโลกใบอื่นทันทีท่านจะได้พบกับ "พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดที่ปกครองดาวดวงนั้น" เพื่อให้ท่านเข้าใจทุกอย่างและขึ้นตรงต่อผู้ปกครองของท่าน ทว่า "ยกเว้นดาวเคราะห์โลกนี้" เท่านั้นที่ไม่มีแบบนั้น มันต่างจากดาวดวงอื่นโดยสิ้นเชิง ดังนั้น "ท่านจึงสับสนและวุ่นวาย" ว่าจะขึ้นตรงต่อใครดี? จะรับฟังคำสั่งจากใครดี? เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ไม่มีพระเจ้าหนึ่งเดียว ที่อยู่แบบประจำยาวนานยังไงละ จะมีก็แต่ "ชั่วคราว" ระยะหนึ่ง แล้วก็เกิดการเปลี่ยนองค์ไปเรื่อยๆ ก็เท่านั้น มันจึงส่งผลให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด และถูกลองผิด-ลองถูกหลายครั้งจากหลายๆ ท่านจนสุดท้ายเมื่อการทดลองล้มเหลวก็ต้อง "ล้มกระดาน" คือ "ล้างโลก" อยู่บ่อยๆ เอาละ มันไม่ใช่ความผิด-ถูกอะไรนะ โลก เป็นเช่นนี้เองแหละ ดังนั้น ท่านจึงต้องเข้าใจว่า "โลกนี้ต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่นมาก" ที่ไม่มี "พระผู้เป็นเจ้าที่ปกครองประจำอยู่ตลอด" ในขณะที่ดาวอื่นก็มีกัน



โลกนี้ มีแต่ "พระผู้เป็นเจ้าชั่วคราว" ที่ประจำอยู่ชั่วคราวเป็น "ยุคๆ" ไป


เอาละ อย่างที่สองคือ "โลกนี้มียุคสมัยที่ต่างกัน" เปลี่ยนแปลงไปตามการปกครองของ "พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด" ของโลกในแต่ละยุคนั้นๆ โลก จึงมีคำว่า "ยุคสมัย" ที่แตกต่างกันไปมากมาย ในขณะที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ นั้นไม่มียุคสมัยนะ พวกเขาอยู่กันแบบ "คลาสสิค" นานเท่าไรก็เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเหมือนโลกของเรา แปลกไหมละครับ แต่ว่ามันก็เป็นจริงอย่างนั้น เอาละ ผลจากการที่โลกไม่มีพระเจ้าอยู่ประจำตลอด ทำให้เกิดมียุคสมัยต่างกันไปขึ้นอยู่กับ "พระผู้เป็นเจ้าของโลกในแต่ละยุคสมัย" นั้น คำถามต่อไปคือ "แล้วใครคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ปกครองโลกในแต่ละยุคสมัยละ?" คำตอบก็คือ "จักรวาลจะคัดสรรมาให้" ครับ เขาจะถูกส่งมาจากจักรวาลลงมายังโลกใบนี้ ไม่จำเป็นต้องมาจากโลกใบนี้เสมอไป นะครับ จะมีการคัดเลือกจากทั่วจักรวาลแล้วจึงเลือกมา ซึ่งอาจจะมาจากโลกใบนี้หรือว่าต่างดาว ก็ได้ ท่านจะต้องเข้าใจด้วยว่า "ดาวเคราะห์โลกดวงนี้เป็นสมบัติสาธารณะของจักรวาล" ดังนั้น มันจึงมี "การอ้างสิทธิ์" กันมากมาย ต่างก็อ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของโลก แล้วก็เข้ามาทดลอง สร้างโลก ให้มีลักษณะและความเป็นไปตามแบบของตน มากมาย มันจึงยุ่งเหยิงมากเลย ดังนั้น โลกนี้จึงต้องมี "พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกครองสูงสุดในแต่ละยุคนั้น" เช่น พระนาราย, พระพุทธเจ้า, พระเจ้าจักรพรรดิ์ ฯลฯล้วนถูกส่งลงมาปกครองโลกใบนี้ "ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน" และสร้างสรรค์สิ่งที่แตกต่างกันด้วย!



"พระผู้เป็นเจ้า" มากมายจาก "หลายโลกธาตุ" ต่างทำกิจต่อโลกใบนี้


ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจอีกประการคือ ในจักรวาลนี้มีดวงดาวมากมาย ในดวงดาวที่พิเศษมีรูปธรรมชีวิตอาศัยอยู่ จะมี "พระผู้เป็นเจ้า" สูงสุด ทำหน้าที่ปกครองดูแลอยู่ และท่านเหล่านั้น "จำนวนมาก จำนวนหนึ่ง" ได้ทำกิจ "สร้างโลกและดูแลโลกนี้" ร่วมกัน หลายท่าน หลายฝ่าย หลายไม้ หลายมือ แตกต่างกันไป ตาม "ความคิด, จิตใจ, มุมมอง, โลกทัศน์" และส่งผลให้เกิด "ความยุ่งเหยิง" (สภาวะ Chaos) ขึ้นในโลกมนุษย์ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดพลาดของพระเจ้าองค์ใดเลย และไม่ใช่มาตรฐานของความถูกต้องอะไรด้วย มันเป็นเพียง "ปกติ ตามธรรมชาติชองโลกใบนี้" ก็เท่านั้น ดังคำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่า "โลกแปลว่าฉิบหาย" นั้น ก็หมายถึง ความวุ่นวายสับสนอลหม่านที่เกิดแก่โลกนี้ นั่นเอง แต่ว่า ท่านอย่าเพิ่งรู้สึกบวกหรือลบกับสิ่งนี้ละ ดังที่บอกแล้วว่า "มันเป็น ปกติเช่นนั้นเอง" เอาละ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จากโลกธาตุต่างๆ ท่านไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เลย "ท่านจึงไม่เคยทราบว่าการอยู่บนโลกใบนี้นั้นมันเป็นเช่นไร?" ท่านจึงต้องส่ง "พระบุตร" ก็ดี, "เทวทูต" ก็ดี, ฯลฯ ลงมาเกิดยังโลกใบนี้ (พระบุตรและเทวทูต มาจากดาวดวงอื่นด้วยบางส่วนเหมือนกัน) และเพราะท่านอาศัยอยู่ในดาวดวงอื่น ไม่เคยอาศัยอยู่ในโลกนี้ นั่นเอง ทำให้ "ท่านทำบางอย่างตามอุดมคติของท่านเอง" มิใช่ทำตามปกติตามแบบที่สัตว์ในโลกนี้อยู่และเป็น เอาละ มันไม่ใช่ความผิดของพระเจ้าหรอกนะ แต่มันคือ "ปกติของพระเจ้าทุกองค์" ท่านทำได้เท่านี้ ดังนั้น จึงต้องมีพระบุตร, เทวทูต ฯลฯ มากมาย ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ อยู่ในโลกใบนี้เหมือนสัตว์ทุกตัวในโลกนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทำไม่ได้และไม่ใช่กิจของท่านที่จะกระทำ เป็นกิจของผู้ที่มีสังขารเป็นสัตว์โลกจึงจะทำได้ (หวังว่าคุณคงจะเห็นความสำคัญและจำเป็น ของการไม่ได้เป็นพระเจ้า ของพวกเราชาวมนุษย์โลก บ้างแล้วนะ) เพราะนี่คือ "หน้าที่ของสัตว์โลกที่แม้แต่พระเจ้าก็ทำไม่ได้" และไม่ได้ทำเพราะท่านไม่ได้มีกิจจะทำเช่นนี้ นั่นเอง (หวังว่าคุณคงจะภาคภูมิใจ ในความเป็นสัตว์โลก ของพวกคุณด้วยนะ)



"พระพุทธเจ้าสมณโคดม" ได้รับเลือกเป็น "ผู้ปกครองสูงสุดในยุคนี้"


นี่คือ "ธรรมเนียมปกติของโลกใบนี้" กล่าวคือ ยามใดที่มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ในโลกใบนี้ เราจะนับว่าท่านคือ "ผู้ปกครองสูงสุดของโลกนี้" ไปด้วย ดังนั้น เทวดาทั้งหกชั้นสวรรค์ ก็จะเชื่อฟังท่านด้วย (แต่ก็มียกเว้น ผู้ที่เป็นมาร) ตามธรรมเนียมของโลก มันเป็นเช่นนี้มานานแล้ว ทว่า แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็อาจมีบารมีไม่พอที่จะปกครอง "ทุกรูปธรรมชีวิต" ในโลกนี้ได้ เพราะโลกเป็นแหล่งรวมของรูปธรรมชีวิตมากมาย อยู่ด้วยกัน ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า "โลกนี้ก็คือ สาธารณสมบัติของจักรวาล" นั่นเอง ดังนั้น เราจึงเห็น "ศาสนาอื่นๆ เกิดขึ้นบนโลกใบนี้" และมี พระเจ้าองค์อื่นๆ เข้ามากระทำกิจต่างๆ ร่วมด้วย "โลกจึงขาดเอกภาพในการปกครอง" นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าจะเข้านิพพานแล้ว ท่านจะไม่สั่งใช้ใคร เพราะการสั่งใช้ก่อให้เกิดบุญกรรมร่วมกับผู้ถูกสั่งใช้ และขวางทางนิพพานได้ ท่านก็จะไม่สั่งใช้ เช่น แม้ยามท่านจะปรินิพพาน ท่านก็ไม่สั่งใช้พระอานนท์ว่าให้ทูลขอให้ท่านอยู่ต่อ หรือยามที่ท่านแลกจีวรกับพระมหากัสสปะ ก็ทำให้พระมหากัสสปะต้องตีความไปเองว่าท่านให้ปกครองดูแลธรรมวินัยก็ไม่มีการสั่งโดยตรง "นี่คือ พุทธวิสัยตามปกติของพระพุทธเจ้า ที่จะไม่มีการสั่งใช้ผู้ใด" (แต่พระอัลเลาะห์จะสั่งใช้พระนบีมูฮัมหมัดโดยตรง) นี่ไม่ได้กล่าวว่าท่านใดดีหรือไม่ดีกว่าท่านใด? แต่บ่งบอกว่าท่านต่างกัน ก็เท่านั้นเอง เพราะแต่ละท่านเป็นคนละองค์กัน ทำงานต่างกันก็เท่านั้นเองสรุปก็คือ แม้พระพุทธเจ้าจะได้รับการยอมรับในฐานะผู้ปกครองโลกนี้ แต่ก็ยังต้องอาศัยพระผู้เป็นเจ้าองค์อื่นๆ ในการทำกิจร่วมกันด้วย เพราะท่านจะเข้านิพพานแล้วจะไปชี้สั่งใช้ใคร ไม่ได้ หวังว่าท่านคงจะเข้าใจจุดนี้นะ



จิตวิญญาณ "ศูนย์กลาง" ของดาวโลกดวงนี้ ควรจะเป็นใครกันแน่?


อีกประการหนึ่งคือ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะ "ดับขันธปรินิพพาน" ไป ดังนั้น คำถามจึงเกิดขึ้นว่า "แล้วใครจะดูแลปกครองโลกทั้งสามภพที่แสนจะยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้" คำตอบช่างสับสนเหลือหลาย เพราะต่างก็ "อ้างกรรมสิทธิ์" ในการปกครองโลก ท่านว่าท่านคือพระเจ้าผู้สร้างโลกนี้ กันทั้งนั้น ซึ่งก็ใช่ จริงทั้งหมด ทว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ "เอกภาพในการดูแลโลก" จะไม่มีเลย และจะทำให้โลกวุ่นวายยุ่งเหยิง ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องมี "จิตวิญญาณประจำโลก" เหมือนกับดาวดวงอื่นๆ เช่น ดาวพุธ ก็มีพระพุธ เป็นจิตวิญญาณประจำ, ดาวศุกร์ ก็มีพระศุกร์เป็นจิตวิญญาณประจำ ดังนั้น ถ้าโลกมีพระพุทธเจ้าดูแลแล้ว พระพุทธเจ้า ก็จะเข้านิพพานไม่ได้เพราะท่านต้องปล่อยวางทุกภารกิจแล้ว ดังนี้ จึงต้องคัดเลือกจิตวิญญาณเก่าแก่ประจำโลก "หนึ่งท่านมาดูแลในฐานะ ศูนย์กลางการประสานงาน" เช่น เทพีไกอา หรือจะเป็น เจ้าแม่หนี่วา เป็นต้น ซึ่งเราต้องเข้าใจว่าท่านนี้ไม่ได้มาในฐานะพระเจ้าปกครองโลก แต่เป็น "จิตวิญญาณประสานงานที่อยู่ประจำโลก เป็นศูนย์กลาง ในการประสานงานกับพระเจ้าทุกๆ องค์" ก็เท่านั้น เพราะการดำรงอยู่คู่โลกยาวนานนั้นจึงจะช่วยในการดูแลโลกได้ดี



ร่างมนุษย์ "ศูนย์กลาง" ของดาวโลกดวงนี้ ควรจะเป็นใครกันแน่?


อีกประการหนึ่งคือ "ร่างสังขารมนุษย์" ที่จะมาเป็น "ศูนย์กลางในการประสานงาน" ในภาคมนุษย์ ในภาคสังขาร ในภาควัตถุที่มองเห็นได้ ก็ต้องมีด้วยเพราะในมิติแห่งจิตวิญญาณต้องประสานงานกับมิติแห่งวัตถุสสารด้วย ในบางยุคสมัย จะมีการคัดเลือกผู้ปกครองโลกมนุษย์ในภาคมนุษย์ลงมาเกิด เช่น พระนารายณ์ ก็เคยได้รับการคัดเลือกให้มาเกิดยังโลกมนุษย์ในฐานะผู้ปกครองโลกมนุษย์ ก็มี, หรือแม้แต่พระอิศวร ก็เคยได้รับการคัดเลือกให้ลงมาสร้างโลก ในบางยุคสมัย ก็มี ดังนั้น เพื่อให้มีการประสานงานระหว่างมิติแห่งพลังงานและมิติแห่งสสารวัตถุ จึงต้องมี "สังขารมนุษย์" ที่ทำหน้าที่ "เป็นศูนย์กลางในการประสานงานด้วย" ก็จะทำให้งานที่กระทำต่อโลกนี้ "มีเอกภาพมากขึ้น" ซึ่งร่างสังขารมนุษย์ผู้นี้จะมาในฐานะ หรือตำแหน่งใดก็แล้วแต่ แต่ต้องเหมาะสมและควรที่จะทำหน้าที่ได้ราบรื่นดีก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้น โลกก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ต่อไปไม่มีใครช่วยได้ ไม่มีใครแก้ไขได้ และรังแต่จะนำพาไปสู่สงคราม ในที่สุด



เทพสวรรค์ที่คอยช่วยเหลือในด้านการปกครองโลกมนุษย์ นั้นคือใคร?


ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมยังอยู่ ท่านได้กล่าวถึงเทพสวรรค์ที่ดูแลปกครองโลกทั้งสี่ท่านคือ "ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่" ซึ่งจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งและสองเท่านั้น สำหรับท่านที่อยู่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่านี้ขึ้นไป ไม่มีหน้าที่โดยตรงที่จะดูแลโลก เทวดาเหล่านั้น เสวยบุญอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงานดูแลโลก ก็ได้ ปกติ ก็เป็นอย่างนี้มายาวนาน ทว่า ปัจจุบัน โลกนี้ได้มีการเยี่ยมเยือนของ "ชาวต่างดาว" เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นท่านที่มาจาก "พรหมโลกธาตุ" ก็ดี, "สุขาวดีโลกธาตุ" ก็ดี, ฯลฯ ยุ่งเหยิงไปหมด แต่ละท่านก็ล้วนมาด้วยเจตนาที่ดี นำสิ่งดีๆ มาสู่โลกทั้งสิ้น ไม่มีท่านใดที่จะคิดร้ายต่อโลกเลย ทว่า เพราะท่านมาจากดาวคนละดวงกัน ท่านจึงมีวิธีทำงานและวิธีคิดที่แตกต่างกัน และส่งผลให้ "โลกขาดเอกภาพ" และมีแต่ความยุ่งเหยิงเต็มไปหมด เอาละ มันไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะ เพราะมันเป็นธรรมชาติปกติของโลกใบนี้อยู่แล้ว ทว่า ในฐานะและกิจ ของผู้ดูแลโลกใบนี้ จำเป็นต้องช่วยเหลือให้โลกมีศูนย์กลาง มีเอกภาพในการดูแลและปกครองต่อไป ซึ่งปัญหาก็คือ "ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่" ก็ปกครองได้ไม่ทั่วถึงเพราะโลกนี้ "มีจิตวิญญาณมากมายที่อยู่นอกการปกครองของท่านทั้งสี่นี้ด้วย" ดังนั้น จักรวาลจึงส่ง "พลังงานใหม่" หรือจิตวิญญาณหรือเทพกลุ่มใหม่ ลงมาช่วยดูแล ซึ่งจะขึ้นตรงต่อ "จิตจักรวาล" นั่นเอง



ท้ายที่สุดนี้ หวังว่าท่านคงจะเห็นภาพ "โลกใบนี้" ในมุมใหม่ๆ ที่กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้น แล้วท่านจะได้เข้าใจว่า ทำไมโลกใบนี้จึงมีความวุ่นวายนักเอาละ ดังที่ผมบอกแล้วว่ามันไม่ได้เลวร้ายหรือดีงามอะไร มันเป็นแค่ปกติของโลก ที่โลกนี้เคยเป็นมา และยังจะเป็นอยู่ต่อไป ก็เท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาของการดำรงอยู่ เพราะการดำรงอยู่บนโลกนี้ "เราจะดำรงอยู่ก็เพียงชั่วคราว" เท่านั้น เราจะไม่อยู่กันแบบระยะยาว นั่นคือเราจะไม่มีการใช้ชีวิตนิรันด์ในโลกใบนี้ ชีวิตนิรันด์จะมีได้ในดาวดวงอื่นที่เหมาะสมกว่าก็เท่านั้น และโลกใบนี้ มีหน้าที่เพียง "เป็นหลอดทดลอง" ในเราบ่มเพาะและพัฒนาตัวเองให้ เลื่อนระดับขึ้นไป ยังจุดที่เราต้องการเป็น, ต้องการอยู่แบบ "ชีวิตนิรันด์" ในสวรรค์นิรันด์หรือไม่ก็ "นิพพาน" ไปเลย ก็ไม่มีอะไรผิด เลือกได้ทั้งนั้นครับ แต่ โลกนี้ไม่ใช่บ้านถาวรของเรา อย่าลืมละ


สุดท้ายนี้ ขอให้พลังแห่งความเป็นเอกภาพ ช่วยนำทางท่านด้วย สวัสดี



4 ก.ค. 2555


"เสียงจากสภาฯ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ระดับของจิตวิญญาณ และสัมพันทธภาพกับโลกในมิติต่างๆ ล้วนต่างกันไฉน?

สวัสดีครับ ผมยังคงกล่าวเรื่องพื้นฐานเพิ่มเติมในรายละเอียดบางแง่มุมอีกนิดคือเรื่อง "การเลื่อนระดับ" อันจะมีผลต่อ"สัมพันธภาพของคุณด้วย" โดยจะส่งผลให้คุณมีสัมพันธภาพที่เชื่อมโยงไปสู่โลกในมิติที่ต่างกัน ในระดับของความหนาแน่นที่ไม่เท่ากัน กล่าวคือ ในความจริงองค์รวมนั้น เราไม่อาจแบ่งแยกตัวเองออกจากโลกในแต่ละมิติได้ เราล้วนมีสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทุกโลกในแต่ละมิติ ทว่า เราจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับโลกในแต่ละมิติในระดับของความหนาแน่นที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้วิถีชีวิตของเราแตกต่างกันด้วย เช่น ทำให้เรามีชีวิตที่เรียบง่ายหรือยุ่งเหยิง ก็เป็นได้


วันนี้ เรามาศึกษาเรื่องนี้พร้อมๆ กันครับ



ท่านจะรู้สึกเหมือนอยู่สวรรค์ชั้นต่างกันได้ หลังจากเลื่อนระดับไปแล้ว?


ผลจากการเลื่อนระดับ ทำให้สัมพันธภาพของท่านกับโลกในมิติต่างๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้าน "ความหนาแน่นของสัมพันธภาพ" ได้ เหมือนกับท่านอยู่สวรรค์ชั้นต่างกันอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อท่านมีระดับต่ำอยู่ ท่านอาจมีชีวิตที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนมาก เหมือนพลังงานของโลกระดับสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง แต่เมื่อท่านเลื่อนระดับสูงขึ้นไปมากๆ ท่านอาจมีชีวิตอันแสนเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน เหมือนพลังงานของโลกระดับสวรรค์ชั้นหกเป็นต้น แต่มันไม่ได้แปลว่าท่านขึ้นสวรรค์จริงๆ ทันที หรือท่านเชื่อมโยงแต่สวรรค์ชั้นนั้นๆ หรอกนะ เพราะขณะที่ท่านยังมีสังขารเป็นคนอยู่ ท่านจะมีสัมพันธภาพแบบองค์รวมที่เชื่อมโยงทุกๆ มิติ แต่จะมี "ความหนาแน่นในสัมพันธภาพ" ที่ต่างกัน ก็เท่านั้นเอง ผลคือ บางครั้ง ท่านอาจจะรู้สึกแบ่งแยกตัวเองจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับอื่นๆ ได้ ทั้งๆ ที่เขายังอยู่รอบตัวท่านแท้ๆ อันอาจส่งผลไปสู่ความคิดเชิงแบ่งแยกชนชั้นได้ ทว่า ถ้าท่านเข้าใจว่าท่านไม่ได้ถูกแบ่งแยกอย่างนั้น ท่านเชื่อมโยงทั้งหมดทุกมิติ เพียงแต่มี "ความหนาแน่นในการเชื่อมโยงในแต่ละมิติต่างกัน" ก็เท่านั้นเอง โดยจะมี "มิติหนึ่ง" ที่ท่านจะมีพลังเชื่อมโยงหนาแน่นเป็นการพิเศษ นั่นคือ สิ่งที่สะท้อนถึง "ระดับที่ท่านเลื่อนขึ้นไปได้" และส่งผลต่อวิถีชีวิตของท่านด้วย



จิตวิญญาณสามารถพัฒนาตนเองได้ใน "โลกทุกๆ มิติ" แม้มันไม่จริง?


เมื่อท่านเลื่อนระดับสูงมากแล้ว ท่านจะพบว่ามันไม่มีทั้งความจริงและเท็จมันเป็นเหมือนโลกในมิติที่ต่างกัน เท่านั้นเอง นั่นคือ โลกในมิติแห่งความจริง และโลกในมิติแห่งความเท็จ ซึ่งมีทั้งสองมิติ แล้วแต่ว่าท่านจะศึกษาเข้าใจได้มากแค่ไหน หรือแม้แต่โลกในมิติของจินตนาการและโลกในมิติของหลักการเหตุผล ฯลฯ ทว่า ไม่ว่าจะเป็นโลกในมิติใด จิตวิญญาณนั้นล้วนสามารถพัฒนาตนเองได้ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น นางสาว สวย ถูกเขาหลอกว่าให้พยายามเอาน้ำรดหินแล้วถ้าหินงอกจะบรรลุธรรม ถ้านางสาวสวยคิดว่าตนเองถูกหลอก มันไม่จริง มันเป็นความเท็จ สิ่งที่นางสาวสวยทำมาทั้งหมด ก็อาจเป็น 0 ได้ (สมมุติว่าถูกหลอกให้ทำมา 10 ปี) แต่ว่าถ้านางสาวสวยคิดได้ว่า "เธอกำลังถูกดึงเข้าไปพัฒนาตนเองในโลกแห่งกุศโลบาย" ละ เธอก็อาจต่อยอดการพัฒนาของตนเองไปจนถึงที่สุดแห่งการพัฒนาจิตวิญญาณได้ เอาละ ดังนั้น ในระดับมิติที่สูงมากๆ มันไม่มีทั้งความจริงหรือความเท็จ, จินตนาการหรือหลักการเหตุผล ฯลฯ มันเป็นมิติของโลกในแบบต่างๆ กัน ที่ให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง ก็เท่านั้นเองดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรให้เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกเชิงวัตถุ แล้วจึงจะเลื่อนระดับขึ้นไปได้ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป คุณสามารถที่จะเลื่อนระดับขึ้นไปได้ ด้วยการพัฒนาตัวเองในมิติอื่น ของโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็น "มิติแห่งจินตนาการ ก็ดี, มิติแห่งความเท็จ" ก็ดี ฯลฯ ก็ได้ทั้งหมด



จิตวิญญาณที่อยู่ในมิติที่สูงมากๆ ล้วนเห็นโลกในมิติที่ต่ำกว่าได้หมด


กรณีที่ถ้าคุณสามารถเลื่อนระดับของตัวคุณเองไปสู่มิติที่สูงกว่าได้แล้วคุณจะสามารถมองลงมาแล้วเห็นโลกในมิติที่ต่ำกว่าได้ทั้งหมด เช่น ถ้าคุณเลื่อนระดับตัวเองไปเหนือกว่าโลกในมิติแห่ง "ความจริง-ความเท็จ" ได้ คุณก็จะเห็นโลกทั้งสองด้าน ทั้งด้านความจริงและด้านความเท็จ ซึ่ง"ทั้งสองด้าน ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสัจธรรมสากลทั้งสิ้น" ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ด้านความจริงเท่านั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของสัจธรรมสากลก็หาไม่ เมื่อนั้นท่านจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงได้ทั้งโลกในมิติของความจริงและความเท็จ ก็จะไม่ถูกความจริงที่รับได้ยาก ทำร้ายจิตใจ หรือถูกความเท็จทำให้ตัดสินใจผิดไป ท่านไม่ได้รับผลร้ายจากทั้งความจริงหรือความเท็จเลย เมื่อท่านเลื่อนระดับตัวเองขึ้นไปเหนือมิติของโลกแห่งความจริงและความเท็จ แล้วนั่นคือ "การเลื่อนระดับตัวเองขึ้นไป เพื่อความเข้าใจทั้งสองด้าน" มิใช่ไปปฏิเสธด้านหนึ่งเพื่อเปิดรับเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งของโลกนี้ เพราะวิธีเช่นนั้น ไม่อาจทำให้ท่านบรรลุธรรม และเข้าใจในสัจธรรมสากล อย่างแท้จริง



อย่าทำลายสัมพันธภาพของคุณกับโลกในมิติที่แตกต่างเพื่อเลือกมิติเดียว


บางท่าน "กำลังทำลายสัมพันธภาพของตนเองที่เชื่อมโยงสู่โลกในมิติที่แตกต่าง" เช่น การไม่ยอมรับความโลกในมิติแห่งความเท็จ, จินตนาการ, โลกมายา, โลกการ์ตูน, โลกแห่งละคร, โลกแห่งความฝัน ฯลฯ ท่านไม่มีความจำเป็นต้องบีบตัวเองให้อยู่ในโลกเพียงมิติเดียวที่ท่านคิดว่าสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านจะเห็นโลกได้ในมุมเดียวที่แคบมาก มีโลกทัศน์ที่แคบมาก และไม่อาจเห็นโลกในหลากหลายมิติได้ ทั้งๆ ที่โลกในมิติต่างๆ พยายามเชื่อมโยงคุณให้คุณเข้าไปศึกษา และพัฒนาตนเองแล้วแท้ๆ คุณกลับพยายามทำลายโอกาสใหม่ๆ ในการเรียนรู้ของตนเองไป นั้น "น่าเสียดาย" แท้ๆ ดังนั้น คุณไม่ควรปฏิเสธมัน ไม่ควรเห็นว่ามันเป็นความเท็จ จึงคิดว่ามันไม่มีสัจธรรม หรือเห็นว่ามันเป็นจินตนาการ มันจึงไม่มีสัจธรรม ฯลฯ นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย! คุณกำลังเสียโอกาสในการศึกษาและพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองในมิติอื่นๆ ของโลกนี้ไปเสียแล้ว



การโฟกัสโลกในหนึ่งมิติ แล้วขยายผลไปสู่มิติต่างๆ ทุกๆ มิติของโลก


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าท่านจะมีความหนาแน่นของสัมพันธภาพต่อโลกในมิติต่างๆ "ที่ต่างกัน" และจะมี "หนึ่งมิติ" ที่ท่านจะมีความหนาแน่นของพลังสัมพันธภาพสูงสุด นั่นคือ "ระดับของท่าน" ที่ท่านเลื่อนตัวท่านเอง ขึ้นไปได้ ทว่า ท่านก็ยังมีพลังเชื่อมโยงกับโลกในมิติอื่น อีกด้วยในขณะเดียวกันดังนั้น ในขณะที่ท่านโฟกัสในมิติที่อยู่ในระดับของท่าน ท่านก็ยังต้องมีการเชื่อมโยงไปยังมิติอื่นๆ ที่สูงหรือต่ำกว่าระดับของท่านอีกด้วย ไม่ใช่การตัดหรือแบ่งแยกมิติ เช่น การไม่เปิดรับฟังความเท็จ เพราะเห็นว่า มันคือความเท็จ อย่างนั้น ท่านก็จะตัดสัมพันธ์ของตัวเองจากโลกในมิติแห่งความเท็จไป ท่านก็อาจจะไม่ได้เรียนรู้ "บางสิ่ง" ที่โลกในมิติแห่งความเท็จกำลังจะบอกแก่ท่าน เพียงเพราะท่านเห็นว่ามันเป็น "ความเท็จ" ท่านจึงยึดติดกับ"ว่ามันเป็นความเท็จ" ก็เท่านั้นเอง แท้แล้วท่านกำลังจมปลักอยู่ ไม่ได้ยกระดับตัวเองขึ้นจากวังวนของความจริงและความเท็จเลย ท่านจึงเลือกโลกในมิติใดมิติหนึ่ง (เลือกความจริง หรือความเท็จ อย่างใดอย่างหนึ่ง) นี่จะทำให้ท่านสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาจิตวิญญาณในโลกแห่งความเท็จไป และท่านจะไม่เข้าใจว่าทำไมโลกต้องมีความเท็จ หรือคนบางคนทำไมต้องพูดความเท็จ? นี่เป็นเพราะท่านกำลังจมอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมากเกินไป นั่นเอง แต่ถ้าท่านยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ มันจะทำให้ท่านเห็นโลกในมิติทั้งสองนี้อย่างถ้วนทั่ว และท่านจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด



การท่องไปในมิติต่างๆ ของโลก เพื่อไม่ให้ท่านหลงโลกในมิตินั้นๆ?


ทว่า หลายท่าน ยังอ่อนแอมาก และจะได้รับผลกระทบอย่างสูงเมื่อได้เข้าไปท่องโลกในมิติบางมิติเรียกว่ามีความอ่อนไหวต่อมิตินั้นๆ สูง เช่น บางคนไม่อาจรับฟังความจริงบางอย่างได้ ไม่พร้อม หรือจิตใจอ่อนแอเกินไปกว่าที่จะรับฟังความจริงนั้นๆ ได้, บางคนหลงเชื่อความเท็จได้ง่ายและใช้ข้อมูลเท็จมาตัดสินใจแทนที่จะใช้ประกอบการพิจารณาแบบรอบด้านและยังมีอีกหลายกรณีที่บุคคลหลงเข้าไปในโลกมิติอื่นๆ แล้วได้รับผลกระทบมาก หรืออ่อนไหวต่อโลกในมิตินั้นๆ มากเกินไป ดังนั้น การท่องไปในมิติที่ต่างกันของโลกนี้ จึงจำเป็นต้องมีความชำนาญในมิตินั้นๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นก็อาจได้รับอันตรายหรือผลกระทบจากโลกในมิติที่ตนหวั่นไหวได้ง่ายด้วยอย่างไรก็ตาม ในการเลื่อนระดับนั้น ท่านจำเป็นต้องเข้าไปเรียนรู้โลกในมิติต่างๆ เหล่านี้ จึงจะผ่านการทดสอบและเลื่อนระดับขึ้นไปได้ ท่านไม่อาจจะเลี่ยงการเรียนรู้เหล่านี้ได้เลย ดังนั้น ท่านจึงจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ให้"พร้อมเสมอที่จะเรียนรู้โลกในทุกๆ มิติด้วย เพราะมันจะช่วยให้ท่านเลื่อนระดับตัวเองให้สูงขึ้นไปได้ง่ายขึ้น" ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรปฏิเสธหรือปิดกั้นตัวเองกับโลกในมิติต่างๆ เลย เพราะนี่คือ โอกาสในการเลื่อนระดับ นั่นเอง



เทคนิกในการโฟกัสและการเลือกเปิดรับโลกในมิติต่างๆ อย่างปลอดภัย


เพื่อให้ท่านที่อาจจะยังไม่เข้มแข็งพอสำหรับโลกในบางมิติ ดังนั้น ท่านจึงอาจจะต้องใช้ "การโฟกัสโลกในบางมิติ" เพื่อศึกษา, เรียนรู้ และ พัฒนาตนเอง ก่อนเป็นเบื้องต้น, ก่อนที่จะเข้มแข็งมากพอที่จะเข้าไปสู่โลกในมิติอื่นๆ ต่อไป ดังนั้น ในระหว่างที่ท่านยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้โลกในบางมิติที่ท่านอ่อนไหวมากเกินไป ท่านจึงควรโฟกัสตนเองให้มีความหนาแน่น ทางพลังสัมพันธภาพต่อมิติที่ท่านต้องการเรียนรู้ และ "เลือกเปิดรับ" พลังซึ่งสัมพันธ์กับโลกในมิติต่างๆ ด้วย เมื่อท่านไม่เลือกเปิดรับ ท่านจะได้รับพลังงานเชิงซ้อนจากโลกในมิติที่ต่างกันมากเกินไป ยุ่งเหยิงไปหมด และท่านก็อาจได้รับผลกระทบจากมันโดยไม่จำเป็น ดังนั้น ทางแก้จึงไม่ใช่การปิดกั้นหรือปฏิเสธ แต่เป็นการ "เลือกรับ และโฟกัส" การเรียนรู้โลก เป็นมิติๆ ไป ก่อนที่จะเลือกรับและโฟกัส "โลกในมิติอื่นๆ" ต่อไปในอนาคต วิธีนี้ ก็จะช่วยให้ท่านไม่ได้รับผลกระทบต่างมิติที่ท่านอ่อนไหวอยู่ มากเกินไปได้



สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกแก่คุณว่ามันน่าตื่นเต้นและน่าท้าทายมากถ้าคุณได้เห็น "โลกในมิติที่ลี้ลับต่างๆ" ด้วยตัวของคุณเอง เช่น โลกในมิตของพลังงาน, โลกในมิติของจิตวิญญาณ ฯลฯ เอาละ คุณจะได้เห็นและได้เรียนรู้มันแน่ "ถ้าคุณเลื่อนระดับไปถึงมันได้" แต่ถ้าคุณไม่อาจเลื่อนระดับไปถึงมันได้ คุณอาจจะคิดว่าในโลกนี้ "ไม่มีโลกในมิติอย่างที่กล่าวถึงนั้นเลย" น่าเสียดายจริงๆ นี่เป็นเพียงข้อสรุปที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ บางท่านจึงคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง บางคนก็ด่วนสรุปและคิดไปแล้วว่ามันไม่มีจริงทั้งๆ ที่ยังไม่เคยพิสูจน์มันด้วยซ้ำไม่น่า คุณคงไม่ได้เป็นคนล้าหลังเช่นนั้นหรอกนะ คุณคงยังมีความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในสายเลือดบ้าง คงยังมีแรงบันดาลใจที่จะพิสูจน์ในสิ่งที่ยากแก่การพิสูจน์อยู่บ้างน่า อย่าเพิ่ง "ปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้" โดยที่คุณยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่เลย รอให้คุณได้ศึกษา, พิสูจน์มันได้จริงก่อนว่ามันไม่มีอยู่จริง แล้วคุณค่อยสรุปว่ามันไม่จริงนะ


ขอให้ แรงบันดาลใจแห่งการค้นหาความจริง ยังคงอยู่กับท่าน สวัสดี ...



2 ก.ค. 2555


"เสียงจากดาวแห่งสัมพันธภาพ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เปิดมิตินครลึกลับแห่งชัมบาลา อาณาจักรแห่งอัศวินผู้กล้า

สวัสดีครับ ผมคงต้องกล่าวถึงเรื่องที่เคยกล่าวไว้ต่อเนื่องไปเลยก็แล้วกัน เพื่อให้ท่านเข้าใจอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ซึ่งผมคิดว่าท่านจะหาข้อมูลจากที่อื่นๆ ได้มากมาย สำหรับข้อมูลส่วนนี้ ผมนำเสนอในมุมมองของผมก็แล้วกัน เชิญทัศนาได้ครับ


ธรรมภายในระบบ และธรรมที่หลุดพ้นจากระบบ ต่างกันไฉน?


ในโลกของท่าน ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ได้ร่วมกันสร้าง "ระบบสมมุติ" เพื่อรองรับธรรม หรือผู้มีธรรมไว้ เรียกว่า ศาสนา ก็ดี, ลัทธิ ก็ดี, นิกาย ก็ดี ทว่า ธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบเช่นนั้น ก็ได้ ผู้บรรลุธรรมเอง ก็เช่นกัน บางท่าน ไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบเช่นนั้นเพราะสัจธรรมนั้นเป็น"สากล" มันจึงเข้าถึงได้ทั้งผู้ที่อยู่ในระบบหรือไม่อยู่ในระบบ ก็ตาม แต่มันมีความแตกต่างกันมากอยู่ เช่น ถ้าท่านเข้าสู่ระบบใดระบบหนึ่ง ท่านก็จะได้รับการโอบอุ้มดูแลจาก "ผู้สร้าง" ของระบบนั้นๆ จะเรียกว่าเป็น"พระเจ้า" ของระบบนั้นๆ ก็ได้ (ถ้าคุณเข้าใจความหมายของคำว่าพระเจ้าจริงๆ นะ) ทว่า พวกเขาก็มี "พันธสัญญา" ร่วมกันด้วยในการดูแลระบบและร่วมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ร่วมกันในระบบนั้นๆ ทว่า ยังมีบางส่วน บางท่าน ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบใดเลย และก็ไม่ได้สร้างระบบใดขึ้นมาใหม่ ทว่า ก็เป็นผู้มีธรรมเช่นกัน ในกลุ่มนี้ ถ้ามีธรรมถึงที่สุด จะเรียกว่าเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" นั่นเอง ทว่า ยุคนี้ไม่ใช่ ยุคที่จะเกิดมีสิ่งนั้นได้ จึงมีกระบวนการ "ห่อหุ้ม" (สวมเกราะ) คนบางประเภทเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะถึงที่สุดแห่งธรรมและกลายเป็นพระปัจเจกฯ ไป พวกเขามิได้ต่อสายธรรมสายใด ไม่ได้อยู่ในระบบลัทธิ, นิกายใด แต่มีธรรมสูงไปกว่าผู้ที่อยู่ในลัทธินิกายต่างๆ มาก เข้าข่ายอาจจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ ดังนั้น กระบวนการห่อหุ้ม จึงเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่ผิดยุคขึ้น



กำเนิด "พุทธะเชิงนักรบ" อัศวินแห่งแสงสว่าง และเหล่าผู้กล้าที่ลึกลับ


ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้เกิดกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่มีลัทธิ, นิกาย หรือศาสนาแน่ชัด ขึ้นมา แต่พวกเขากลับมี "ธรรมในตนเอง" เกือบตรัสรู้ด้วยตนเองเป็นพระปัจเจกฯ ทว่า เพราะการ "ห่อหุ้ม" เอาไว้ให้ก่อน พวกเขาจึงยังไม่ถึงที่สุดแห่งธรรมได้ (หากตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ ผิดยุค จะเกิดภัยพิบัติมากมายบนโลกได้) พวกเขาจึงต้องอยู่ในอีกฐานะหนึ่งที่เรียกว่า "พุทธะเชิงนักรบ" หรืออัศวินชัมบาลา และมักไม่ค่อยปรากฏตัวมักอยู่อย่างลึกลับ นอกจากนี้ ผลจากการสำเร็จด้วยวิธีนี้หนึ่งคน จะส่งผลให้เกิดคนต่อๆ ไปมากขึ้นไปได้อีกด้วย เมื่อนั้นก็จะเกิดอัศวินชัมบาลา ที่อยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นๆ มากขึ้นไปด้วย เป็นการขยายอาณาจักรชัมบาลาให้กว้างขวางยิ่งๆ ขึ้นไป พวกเขาจะไม่ได้บวชเป็นพระและมักเป็นฆราวาสบ้างก็เป็นพระราชา ยังมี ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น พวกเขาจะมีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ คือ "ใสหุ้มเกราะ" คือ ภายในระดับลึกจะใสบริสุทธิ์มาก แต่จะถูกห่อหุ้มด้วยพลังงานเชิงซ้อน ที่มีกิเลสอยู่เปลือกนอก ทำให้เปลือกนอกดูเหมือนคนปกติ เหมือนปุถุชนที่มีกิเลสได้ แต่ภายในระดับลึก กลับไม่มี! ซึ่งพวกเขาไม่มีหน้าที่ที่จะสืบทอดต่อสายธรรมในลัทธฺ, นิกายใดเป็นการเฉพาะ แต่จะมีหน้าที่เหมือนแม่ทัพที่ดูแลทั้งหมดในภาพรวมหรือองค์รวมมากกว่า ดังนั้น พวกเขาจึงอยู่นอกระบบลัทธิ, นิกาย แต่ก็ดูแลได้ทั้งหมด



การบรรลุธรรมแบบ "ต่อสาย" กับการบรรลุธรรมแบบ "ด้วยตนเอง"


การบรรลุธรรมสามารถแบ่งได้สองแบบ คือ แบบปกติทั่วไป คือ การบรรลุด้วยการต่อสายธรรม สายใดสายหนึ่ง ในลัทธิหรือนิกายใดๆ ก็ได้ แต่จะต้องมี "ครูบาอาจารย์ที่มีสังขารเป็นมนุษย์" เป็นผู้ต่อสายให้ และเมื่อได้ธรรมแล้ว จะต้องมีธรรมแบบเดียวกันดังเดิมเหมือนสายธรรมเดิมนั้น ทว่ายังมีคนบางกลุ่มที่ "แตกแถวออกไป" คือ "บรรลุได้ด้วยตนเองและไม่ได้ต่อสายธรรมจากสังขารมนุษย์คนใด" เช่น มีครูบาอาจารย์เป็นตัวตนในมิติที่สูงขึ้น หรือมีครูบาอาจารย์เป็นมนุษย์ถ่ายทอดธรรมให้ ทว่า กลับได้ธรรมที่เหนือกว่า หรือที่ครูอาจารย์กลับไม่มี แม้ว่าจะบวชพระ หรืออยู่ในลัทธิ, นิกายอะไรก็ตาม ทว่า "ถ้าบรรลุได้ด้วยตนเอง แล้วได้ธรรมเหนือไปกว่าต้นสาย" ก็จะเข้าข่าย "บรรลุด้วยตนเอง" เช่นกัน เช่น ถ้าครูบาอาจารย์สอนสมาธิให้แบบนั่งปกติ แต่ตนไม่ได้บรรลุจากการรับธรรมนั้นกลับไปบรรลุเพราะความร้อนในกาย (พลังเอี๊ยง) ซึ่งครูบาอจารย์ไม่ได้สอน นั่นหมายถึงว่า "ได้บรรลุด้วยตนเองแล้ว" และจะมีธรรมที่แตกต่างไปจากครูบาอาจารย์ต้นสาย มีธรรมเป็นของตัวเอง แต่ก็อยู่ในสายธรรมนั้นๆ ได้ ด้วยการ "ห่อหุ้ม" ด้วยเครื่องแบบของลัทธิ, นิกายนั้นๆ ไป ก็มีเมื่อใดที่ท่านกลายเป็นเช่นนั้น ให้ทราบเถิดว่าท่านได้เข้าสู่วิถีแห่งอัศวินชัมบาลาแล้ว ท่านก็อาจสึกออกจากลัทธิ, นิกายนั้นๆ ก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในลัทธินิกายนั้นๆ เพราะการถ่ายทอดธรรมที่ต่างกัน หรือท่านจะห่อหุ้มตัวเองอยู่ในลัทธินิกายนั้นๆ แล้วใช้ธรรมของลัทธินิกายนั้นในการถ่ายทอด "โดยไม่ใช่ธรรมที่มีในตัวท่านเอง ที่ท่านตรัสรู้ได้เอง ก็ได้" ทว่า ท่าน คือ "บุคคลสำคัญมาก" ที่จะเสริมต่อ "ธรรมที่ขาดหาย" ของลัทธิ, นิกายต่างๆ เพราะท่านตรัสรู้เองต่างไปจากธรรมเดิม ท่านจะค้นพบธรรมที่ขาดหายหรือส่วนที่ลัทธิ, นิกายนั้นๆ ไม่อาจเข้าถึงได้ (จึงทำให้เกิดเป็นลัทธิ, นิกาย ขึ้นมา แตกต่างไปจากแบบดั้งเดิมแท้นั่นเอง)



การดำรงอยู่ของ "อัศวินชัมบาลา" เหล่าผู้กล้าที่จำต้องปิดบังตัวลึกลับ


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าบางท่านได้ตรัสรู้เองในสิ่งที่แตกต่างไปจากลัทธิหรือนิกายเดิมมีอยู่ ดังนั้น ถ้าท่านห่อหุ้มเปลือกนอกเพื่อการดำรงอยู่ในลัทธิ, นิกายเดิมต่อไป ท่านจำเป็นจะต้อง "ปิดบังธรรมในตนเอง" แล้วใช้ธรรมของลัทธิ, นิกาย นั้นๆ แทน ทั้งๆ ที่ท่านอาจจะทราบดีว่า "ธรรมในลัทธิ, นิกายนั้นๆ มีบางส่วนที่ผิดพลาดเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อย" ก็ตาม ทว่า หากท่านเลือกที่จะออกจากลัทธิ, นิกายนั้นๆ ท่านยังจะสามารถทำหน้าที่ได้มากขึ้นด้วย "ธรรมที่มีอยู่ในตน" ของท่านนั้นเอง โดยไม่ถูก ธรรมของลัทธินิกายที่ท่านอาศัยอยู่บดบังเลย ถ้าท่านตั้งสำนักขึ้นมา มันจะกลายเป็น "ลัทธินิกายใหม่" อีกลัทธินิกายหนึ่ง ที่มีตัวท่านเองเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นได้และท่านก็ต้องนั่งแท่นประจำในฐานะ "พระเจ้าแห่งลัทธินิกายนั้นไป" ซึ่งท่านจะต้องดูแลลัทธินิกายใหม่นี้ "ยาวนาน" ทีเดียว นับว่าเป็นภาระที่หนักพอควร แต่ถ้าท่านไม่ได้ตั้งลัทธินิกายใหม่ขึ้นมา ท่านจะรับภารกิจจาก "เบื้องบน" ก็ได้ ท่านก็จะเข้าสู่วิถีแห่งอัศวินชัมบาลา โดยสมบูรณ์นั่นคือ "อัศวินแห่งแสงสว่าง ที่ได้รับภารกิจสำคัญจากเบื้องบน" นั่นเองในกรณีนี้ ท่านไม่ต้องปิดบังธรรมของตนเองเพื่อปรับตัวอยู่ในลัทธินิกายใดอีกต่อไป ท่านมีอิสรเสรีเต็มที่ที่จะทำหน้าที่ของท่าน โดยไม่ก่อตั้งลัทธินิกายใหม่ขึ้นมา เป็นภาระแก่ตัวท่านเองในอนาคต (ไม่ใช่เจ้าลัทธิใหม่) เหล่าอัศวินชัมบาลาจึงขึ้นตรงเฉพาะ "สวรรค์เบื้องบน" ไม่ขึ้นตรงต่อใคร



ท่านสามารถเข้าสู่วิถีแห่ง "อัศวินชัมบาลา" โดยสมบูรณ์ได้อย่างไร?


เพื่อให้ท่านเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ขอสรุปเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1. "การตรัสรู้พุทธะ" นี่คือ ประการแรกคือ ท่านต้องตรัสรู้เองเป็นพุทธะให้ได้ก่อน จึงจะได้ชื่อว่า "อัศวินชัมบาลา-พุทธะเชิงนักรบ" ใช่หรือไม่?

2. "ไม่ตั้งลัทธิใหม่" นี่คือ สิ่งที่ทำให้ท่านแตกต่างจากผู้ตรัสรู้เป็นพุทธะท่านอื่นๆ ถ้าท่านตั้งลัทธิหรือนิกายใหม่ ท่านจะไม่ได้เป็นอัศวินชัมบาลา

3. "รับกิจเบื้องบน" นี่คือ เอกลักษณ์ของอัศวินชัมบาลา ท่านจะต้องรอรับภารกิจสำคัญจากสวรรค์เท่านั้น มิใช่การคิดเอง ทำเอง สร้างเองหมด

4. "ทูตสวรรค์อัญเชิญ" ต่อไปจะมี "มนุษย์ที่เป็นตัวแทนของทูตสวรรค์" จะมาเชิญท่านให้เข้าสู่ภารกิจที่สำคัญนั้นๆ ท่านจะต้องรอรับกิจจากผู้นี้

5. "สวมเกราะห่อหุ้ม" ในขั้นตอนนี้ท่านจะได้รับพลังงานห่อหุ้มภายนอกที่เหมาะสมในการทำภารกิจนั้น ซึ่งปกติท่านจะต้องเป็น "ฆราวาส" ก่อน

6. "ทำภารกิจให้สำเร็จ" ในขั้นตอนนี้ เมื่อท่านได้รับภารกิจมาแล้ว ต้องทำให้สำเร็จด้วย ซึ่งปกติมักเป็น "ภารกิจภาคปราบ" ท่านจะมีคู่ปรับด้วย


ด้วยเหตุผลทั้ง 6 ประการ ท่านจึงได้ชื่อว่า "พุทธะเชิงนักรบ" เพราะท่านได้เข้าถึงพุทธะแล้วแต่ท่านไม่ได้สร้างลัทธิ, นิกายใหม่ ท่านจึงไม่ใช่เจ้าลัทธิ, เจ้านิกายใหม่ และเพราะท่านมีธรรมที่แตกต่างไปจากสายธรรมดั้งเดิม ท่านจึงไม่อาจอยู่ในลัทธิ นิกายนั้นๆ ได้อีก (จะทำให้เกิดปัญหาแตกแยกในระบบนั้นๆ ได้" ท่านมักจะต้องสึกมาเป็นฆราวาสเสียก่อนและท่านต้องรับ "พลังห่อหุ้มภายนอก" เหมือนชุดเกราะ และต้องทำภาระกิจภาคปราบ ดังนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า "พุทธะเชิงนักรบ" นั่นเอง ในกรณีนี้ท่านจะขึ้นตรงต่อสวรรค์อย่างเดียวและตรงนิพพานที่สุดแต่ยังไม่ถึงวาระนิพพาน



"อัศวินชัมบาลา" และกองทัพของเหล่าผู้กล้า-นักรบแห่งแสงสว่าง


เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงลงได้ เบื้องบนจึงได้จัดสรรให้ท่านมีบริวารที่จะช่วยเหลือให้ทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเขาทั้งหลายจะเป็นดั่งผู้กล้าที่ได้รับการคัดเลือกแล้วจากเบื้องบน ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารและไม่จำเป็นต้องใช้สงคราม ขึ้นอยู่กับว่าท่านสวมเกราะใด นั่นคือ ตัวตนที่อยู่เปลือกนอกของท่านมันเหมือนหัวโขนที่ท่านจะต้องสวมและแสดงบทไปก็เท่านั้นเอง เหล่าผู้กล้าที่เข้ามาเป็นกองทัพศักดิสิทธิ์ของท่านนั้น ไม่จำเป็นต้องตรัสรู้เป็นพุทธะ ก็ได้ ขอเพียง "ผู้นำได้ตรัสรู้พุทธะ" หนึ่งท่านก็พอแล้ว ส่วนท่านอื่นๆ จะมาทำหน้าที่อื่นร่วมกันต่อไป ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตรัสรู้พุทธะทั้งหมด ทว่า การทำหน้าที่ของท่าน จะต้องต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดี ไม่งามหรือสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อสวรรค์ เพื่อทำกิจให้สวรรค์ดังนั้น ท่านจึงมีลักษณะคล้ายนักรบที่ต้องต่อสู้ ต้องปราบศรัตรูให้พ่ายไปด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่เข้าสู่ "วิถีแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้า และมีเหล่าบริวารได้ด้วย" อีกทั้ง ท่านยังไม่ต้องรับภาระการตั้งลัทธิ นิกายใหม่ ขึ้นมา หรือไม่ต้องทำให้เกิดความแตกแยกในลัทธิ นิกายที่ท่านเคยอยู่อาศัย อีกด้วยดังนั้น การเข้าสู่ "วิถีชัมบาลา" จึงเป็นทางออกที่ดีอีกทางหนึ่งของพุทธะ



สุดท้ายนี้ "วิถีแห่งชัมบาลา" ก็เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง เท่านั้น สำหรับท่านที่สามารถเลือกได้ บางท่านอาจไม่เลือกเข้าสู่วิถีนี้ บางท่านอาจจะยอมปิดบังตัวเองอยู่เป็น "พุทธะภายใต้เงาของลัทธินิกายหนึ่งใด" ไปเพื่อความสงบ ไม่อาจแสดงธรรมเฉพาะของตนได้ (เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกในลัทธินั้นๆ ได้ ด้วยมีธรรมต่างกัน) บางท่าน อาจเลือกที่จะแยกตัวไปตั้งลัทธิ, นิกายใหม่ของตนเอง เพราะตนมีธรรมแตกต่างไปจากลัทธิ, นิกายเดิมนั้นๆ ก็จะมีโอกาสแสดงธรรมในตนได้เต็มที่ ทว่า จะไม่มีท่านไหนไปถึงที่สุดแห่ง "วิถีปัจเจกพุทธเจ้า" เพราะยังไม่ใช่ยุคสมัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า นั่นเอง เอาละ ผมได้อธิบายเรื่องของวิถีแห่งชัมบาลามาพอสมควรแล้ว "ไม่ได้เอามาจากตำราใดๆ" หากไม่เข้าหูใครก็ขออภัยด้วย ณ ที่นี้ครับ เป็นความจำเป็นที่ผมต้องพูดจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีข้อมลเพิ่มเติม ในบางส่วนที่ไม่อาจไขข้อข้องใจใครบางคนได้ ใช่มั้ย


สุดท้ายนี้ วิถีแห่งชัมบาลา เป็นวิถีธรรมขั้นสูงที่ต้องผ่าน "พุทธะ" ก่อนจึงจะเข้าสู่วิถีนี้ได้ แม้ท่านเข้าสู่พุทธะแล้ว ก็ยังมีทางเลือกไปอีกหลายทางดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น อาจไม่เข้าสู่วิถีแห่งชัมบาลา ก็ได้ ทั้งหมดนี้ ล้วนขึ้นอยู่กับ "ท่านเลือกทางเดินเอง" เอาละ ผมต้องขอตัวก่อนครับ สวัสดี 



1 ก.ค. 2555


"เสียงจากชัมบาลา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หลังบรรลุธรรม จำต้องเก็บตัว ชำระล้างพลังงานเก่า ก่อนรับ "ภารกิจ" ไม่เช่นนั้น?

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ ผมขอกล่าวถึงเรื่องพื้นฐานที่มีความสำคัญและจำเป็นมาก นั่นคือ "การชำระล้างพลังงานเก่า" ซึ่งมันจำเป็นแม้ว่าท่านจะบรรลุธรรมแล้วก็ตาม เอาละ ผมจะเล่าต่อไปอย่างง่ายๆ


ท่านไม่อาจ "คิดเองทำเอง" ในการทำภารกิจใดได้ หลังบรรลุธรรมแล้ว?


ขอยกตัวอย่าง "พระพุทธเจ้า" ของพวกท่านก็แล้วกัน หลังท่านได้บรรลุธรรมแล้ว ท่านไม่ได้ทำอะไร ท่านอยู่เฉยๆ จนกระทั่ง "ท้าวมหาพรหม" ได้มาทูลเชิญท่านไปโปรดสัตว์ โดยอ้างเหตุว่า "โลกจะวิบัติถ้าพระพุทธเจ้าไม่โปรดสัตว์" นี่คือ "กลไกลตามธรรมชาติ" กล่าวคือ พระพุทธเจ้าจะไปโปรดสัตว์เอง โดยคิดเอง ทำเอง ไม่ได้ เพราะนั่นคือ การก่อกรรมใหม่ และจะทำให้เกิดผลกรรมขวางนิพพาน ท่านต้องรอให้ "ถูกบอกให้ทำ" ก่อน นั่นคือ "รอรับวิบากกรรมว่าจะมีใครมาท้วงติงให้ทำ" จึงจะทำได้ "โดยไม่มีเจตนาแท้จริง" ทว่า ท่านที่ไม่รู้จริง ต่างอ้างว่าท่าน"กระทำโดยไม่มีเจตนา จึงไม่มีกรรม เพราะอรหันต์แล้ว" นั้น ไม่จริง! ก็ดู "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของท่านก่อน ท่านยังต้องรอให้ผู้อื่นมาท้วงติง แล้วท่านจึง "รับไปทำ" และผู้ที่มาท้วงติง ต้องเป็นคนที่ใช่ ท้วงติงในสิ่งที่ใช่ อีกด้วย ไม่ใช่ ใครก็ได้ มาสั่งให้ทำอะไร ก็ได้ ก็หาไม่ ซึ่งสิ่งนี้ "พระพุทธเจ้า" จะทรงทราบด้วยพระองค์เอง เอาละ ยกอีกตัวอย่างหนึ่งก็ได้ "พระอาจารย์ของพระนาคเสน" ถูกสั่งให้ไปทำหน้าที่ ก่อนที่ท่านจะไปโปรดพระนาคเสน ท่านก็อยู่เฉยๆ มาตลอด จนถูกท้วงติงก่อนท่านจึงไปทำ นี่เรียกว่า "ทำแบบภิกษุ ทำแบบผู้รับ" จึงไม่มีเจตนาจะทำแต่แรกแท้จริง คือ ถูกวิบากกรรม มีคนมาท้วงติงให้ทำ ก็เลยต้องทำ ไม่ใช่ "คิดเองทำเอง" แล้วคิดว่าไม่มีเจตนาจึงไม่มีกรรมเพราะเป็นอรหันต์เอาละ จุดนี้ "ท่านพอจะเข้าใจจริงๆ หรือไม่?" หวังว่าตัวอย่างชัดเจนนะ



ช่วงระหว่างรอรับภารกิจ คือ ช่วงเวลาแห่งการชำระล้าง (Blank time)


เอาละ เมื่อหลัง "บรรลุธรรมแล้ว" ไม่ว่าใครก็ตามแต่ถ้าบรรลุจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า หรืออรหันตสาวก ที่บรรลุธรรมจริงๆ ไม่ใช่อรหันต์เก๊ ท่านจะทราบและเป็นเหมือนกันคือ "ไม่ทำอะไรเลย" จนกว่าจะมีท่านที่มีหน้าที่มาท้วงติง เพราะนี่คือ "ลักษณะอย่างหนึ่งของพระอรหันต์แท้" จะไม่ออกไปทำนั่น ทำนี่ คิดเอง ทำเอง โดยไม่มีใครมาท้วงติงหรือสั่ง ทว่าผู้ที่มาท้วงติงหรือสั่งนี้ จะต้อง "เป็นผู้มีบารมีมาทำหน้าที่นั้นๆ โดยเฉพาะ" ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ มาสั่งได้หมดนะ เอาละ คำถามคือ นานแค่ไหนจึงจะมีผู้มาท้วงติงให้ทำภารกิจ? คำตอบคือ "ยาวนานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาชำระล้างพลังงานเก่า" (Blank time) ของแต่ละคน นั่นเองเช่น พระพุทธเจ้าบางพระองค์หลังตรัสรู้ใหม่ๆ จะไม่ทำอะไรเลย เรียกว่า"เสวยวิมุติสุข" บ้าง 6 เดือน, บ้าง 6 ปี, บ้างนานหรือเร็วกว่านั้นต่างกันไป ซึ่งไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้า เท่านั้น ทุกท่านที่ "บรรลุธรรมแล้ว" ก็มีการเก็บตัวระยะหนึ่งเหมือนกัน ในนิกายตันตระมีอยู่มาก ที่เรียกว่าลัทธิลับ ก็ด้วยเหตุของการ "เก็บตัว" นั้นเอง ทว่า แท้จริงแล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องของลัทธินิกายอะไร แต่มันเป็น "สัจธรรมสากล" ที่มีทั่วไป จริงอยู่ทั่วไป ที่ผู้บรรลุธรรมแล้ว ยังมี "พลังงานเก่า-กรรมเก่า" ให้ต้องเก็บตัวอยู่ก่อน จึงจะออกมาทำกิจ ตามภารกิจที่ได้รับได้ จึงจะไม่เดินหลง ออกนอกทางไป



ในช่วงเวลาแห่งการชำระล้าง (Blank time) พลังงานเก่าจะครอบงำ


ต่อไปจะขออธิบายในช่วงเวลาของการชำระล้างพลังงานเก่า จะมีพลังงานเก่า เข้ามาสู่ท่าน "เป็นระลอกๆ เป็นระยะๆ" จนกว่าจะชำระหมดสิ้นจนกว่าจะหมดระยะเวลาเก็บตัว ซึ่งพลังงานเก่าทั้งหลายแหล่ ล้วนแต่ที่จะครอบงำให้ท่าน "ไปทำนั่น ทำนี่มากมาย" เช่น พลังงานเก่าของท่านที่เคยมีอดีตชาติเป็นพระราชา ก็จะไปสร้างวัด, สร้างถาวรวัตถุอะไรมากมาย ฯลฯ นี่คือ "ผลจากการครอบงำของพลังงานเก่า" ไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องตามหลักดั้งเดิม ไม่ใช่การกระทำแบบไม่มีเจตนา ก็หาไม่ คงจะแยกแยะชัดเจนนะ? พระอรหันต์บางรูปเก็บตัวนานมาก จนนึกว่าตายไปแล้วยังมี เช่น พระอุปคุต ต้องนั่งสมาธิรอใต้บาดาล จนกระทั่งได้พระเจ้าอโศกมหาราช มาร้องขอให้ช่วยปราบพญามาร นั่นก็รอนาน ไม่ใช่น้อยๆ ในช่วงเวลาที่เก็บตัว หรือรอให้ผู้มาเชิญทำภารกิจนี้ จะมีพลังงานเก่ามาครอบงำให้ทำนั่น ทำนี่ เยอะแยะมากมาย ถ้าพลาดพลั้งไปทำเข้า ก็จะมีผลต่อการเข้านิพพานได้มากทีเดียว นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดผลเสียตามมาอีกมากมาย โดยที่ไม่ทันรู้ตัว ดังนั้น การชำระล้างพลังงานเก่า จึงต้องทำ มีความจำเป็นมาก ก่อนที่ท่านผู้บรรลุธรรมแล้ว จะรับภารกิจอันใดได้



DNA ของท่านจะกลายพันธุ์ไปเมื่อท่านไม่เก็บตัวถูกพลังงานเก่าครอบงำ


กรณีที่ท่านไม่เก็บตัว ไม่รอให้มีผู้มาเชิญไปทำภารกิจ ก่อน ท่านจะถูกพลังงานเก่าครอบงำ ขับดันให้ทำกิจ แบบผิดเพี้ยนไป DNA ทางจิตวิญญาณของท่าน "จะกลายพันธุ์" เช่น จากเดิมท่านน่าจะมี Soul DNA เป็นพระอรหันต์ ท่านก็จะ "กลายพันธุ์" ไป เมื่อท่านถ่ายทอดธรรม ธรรมของท่านก็จะเป็น "ธรรมกลาย" คือ ธรรมกลายพันธุ์ ไม่ใช่ธรรมแท้ที่บริสุทธิ์แต่ดั้งเดิม แต่มันไม่ได้ผิดไปทั้งหมด 100% หรอกนะ มันจะกลายเป็น ลูกผสมก็เท่านั้นเอง ทว่า ถ้าท่านอดทนรอเวลาที่เหมาะสม ชำระล้างพลังงานเก่าหมดสิ้นแล้ว รับภารกิจอย่างถูกต้อง ท่านก็จะถ่ายทอดธรรมได้อย่างใสๆ ทว่า ถ้าท่านไม่ต้องการที่จะทำหน้าที่แบบ "อรหันตสาวก" ท่านจะรับการ"ห่อหุ้มอย่างอื่น" ก็ได้ ท่าน ก็จะกลายเป็น "ลูกครึ่ง" ที่มีธรรมส่วนหนึ่งและถูกห่อหุ้มอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า "พวกใสหุ้มเกราะ" นั่นเอง เอาละ มันไม่ใช่ความผิดหรือถูกอะไร มันเป็นแค่ "เส้นทางที่แตกต่างกัน" และท่านก็เลือกมันได้เอง แต่ท่านไม่ควร "เข้าใจผิด" แล้วก็เผยแพร่ธรรมไปผิดๆ ว่าท่านคืออรหันต์ที่มีธรรมแท้ 100% เพราะถ้าแท้แล้วท่าน คือ "ใสหุ้มเกราะ" ท่านก็ควรชี้แจงให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้ผู้รับธรรมเข้าใจคลาดเคลื่อน



เมื่อท่านถูกพลังงานเก่าครอบงำ ท่านจะดับ "ขันธ์" นิพพาน ไม่หมด


กรณีที่ท่านถูกพลังงานเก่าครอบงำ ผลที่ตามมาคือ "ท่านจะนิพพานไม่ได้" เพราะท่านจะดับรูปขันธ์, วิญญาณขันธ์ ไม่หมด กล่าวคือ พลังงานเก่าที่เป็น "รูปธรรมชีวิต" ที่เรียกว่า "จิตวิญญาณมืด" จะเข้ามาอาศัยที่สังขารของท่านโดยที่ท่านไม่รู้ตัวเพราะ "กรรมบังตา" เพราะมันเป็นพลังงานเก่าของท่าน มันจึงเชื่อมต่อกับท่านได้ตามธรรมชาติตามเดิมดังที่มันเคยเป็นมา จนกว่ามันจะได้รับการชำระล้างหมด นั่นแหละ มันจึงไม่กลายเป็นปัญหา และก่อมลภาวะในมิติอื่นๆ ต่อไป สิ่งนี้ ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า "วิญญาณขันธ์" ซึ่งท่านจะดับได้ไม่หมด, จะเหลือเชื้อ และท่านจะยังไม่นิพพานเพราะทิ้งเชื้อเหลือไว้นั่นเอง ท่านเก็บพลังงานเก่าไม่หมด มันก็จะกลายเป็น "ตัวตนใหม่" ของท่านต่อไป ทั้งยังครอบงำนำพาท่านไป ก่อให้เกิดตัวตนที่ยังไม่อาจจบสิ้นภารกิจได้อีกด้วย เช่น พาท่านไปสร้างวัด, ไปสร้างโรงพยาบาล ฯลฯ มันก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะ เพียงแต่ท่านไม่ควรสื่อสารผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ท่านคือ "พวกใสหุ้มเกราะ" ไม่ใช่พวกที่จะนิพพานในชาตินี้ ท่านก็ควรชี้แจงให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นผู้คนจะเข้าใจผิดไปว่าการกระทำของท่าน ทำให้เป็น "แบบอย่างของพระอรหันต์ที่นิพพานได้" ซึ่ง "มันไม่จริง" นอกจากนี้ พลังงานเก่ายังสร้างตัวตนใหม่ๆ ขึ้นมาอีกมากมาย เช่น รูปขันธ์แห่งความมีชื่อเสียงให้คนได้รับรู้ รู้จักหลังที่ท่านละสังขารไปแล้ว นี่ก็กลายเป็น "ขันธ์ใหม่" ที่ยังนิพพานไม่หมดอีกเช่นกัน



จิตวิญญาณมืด ที่ได้รับการชำระล้างแล้วจะกลายเป็น "ตุลกู" ของท่าน


กรณีที่ท่านชำระล้างพลังงานเก่าที่เป็น "รูปธรรมชีวิต หรือ จิตวิญญาณมืด" ได้แล้ว เขาก็จะ "มีโอกาสได้เกิด" เพราะนี่คือ ทางเดียวที่เขาจะมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ได้คือ การมารับใช้ผู้บรรลุธรรมและรับการชำระล้างด้วย "ธรรมบริสุทธิ์" จากท่านผู้นั้น เมื่อเขาได้รับการชำระล้างแล้วเขาก็จะกลายเป็น "ตุลกู" หรือ "ตัวตนที่ไปเกิดใหม่ ในแผ่นดินเดิม ซึ่งจะทำหน้าที่เจริญรอยตามท่าน" นั่นเอง ในขณะที่ท่านสามารถนิพพานหรือจะจุติไปในมิติเบื้องสูงเพื่อเป็น "ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น" เพื่อคอยส่องนำทางเขาต่อไป ก็ได้ ดังนั้น มันจึงมีความจำเป็นมากที่ท่านจะต้องชำระล้างพลังงานเก่าของท่านก่อน เพราะหลังจากพวกเขานี้ ได้รับการชำระแล้ว พวกเขาก็จะช่วยเหลือท่านในการทำภารกิจต่างๆ ต่อไปอีกด้วย ในกรณีที่ภารกิจของท่านคั้งค้างอยู่บนโลก พวกเขาจะไปเกิดใหม่แทนท่านในฐานะ "ตุลกู" เพื่อสานภารกิจที่คั่งค้างของท่านต่อให้ และนี่คือ การใช้ตัวตนต่างมิติทำภารกิจร่วมกันของท่าน และพลังงานเก่าที่ได้รับการชำระล้างแล้ว นั่นเอง แต่ถ้าท่านชำระล้างเขาไม่สำเร็จ เขาจะครอบงำท่าน ให้ท่านเป๋ออกนอกทาง และพากันไปทำกิจอื่น จนหลงลืมพันธสัญญาเดิมไป



สุดท้ายนี้ สรุปง่ายได้ว่า ท่านที่บรรลุธรรมแล้วก็จริง แต่ยังแตกต่างกันในเรื่อง "การรับภารกิจ" อีกด้วย กล่าวคือ บางท่านบรรลุธรรมแล้วรับกิจให้ภาคมืด ก็มี, ภาคสว่าง ก็มี ฯลฯ ต่างกันตรงที่ "ชำระล้างพลังงานเก่าได้หมดสิ้น" หรือไม่? ถ้าไม่หมดก็จะทำกิจให้แก่ภาคมืด ภาคหมดแล้ว ก็จะรับภารกิจจากภาคสว่าง เท่านั้นเอง ในระหว่างการชำระล้างพลังงานเก่าหากท่านทำงานไปด้วย ท่านจะทราบว่าบางครั้งท่านเป๋ออก ทางมืดบ้าง, ทางสว่างบ้าง ไม่แน่นอน ไม่คงที่ เพราะเมื่อท่านทำกิจ แล้วชำระล้างพลังงานเก่าได้ ท่านก็ได้รับพลังภาคสว่าง แต่พอท่านได้รับคลื่นพลังงานเก่าก็จะมืดไปอีก ขึ้นๆ ลงๆ ยังไม่คงที่ จนกว่าจะหมดวาระของการฃำชำระล้างพลังงานเก่า (ช่วง Blank time) ส่วนท่านที่ "สติไม่ละเอียดพอ" จะถูกพลังงานเก่าครอบงำให้ทำกิจต่างๆ ไป "ตามใจ" โดยมีเหตุผลมากมายที่มาจาก "พลังงานเก่าหรือภาคมืด" คอยบอก คอยตามใจ ให้ท่านหลงผิด


สุดท้ายนี้ หวังว่าท่านจะมีสติขึ้นมาบ้างแล้วเลือกทางเดินของท่านเอง สวัสดี



30 มิ.ย. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ระบบพลังงานแบบ "ปลายเปิด" และ "ปลายปิด" ต่างกันไฉน?


สวัสดีครับ เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องของพลังงานซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังขารของคนทุกคน แต่มันไม่ได้อยู่ในสังขารทั้งหมด มันเชื่อมโยงไปสู่มิติต่างๆ ด้วย ผมขอแยกแยะเพื่อการศึกษาออกเป็นสองแบบคือ แบบที่มี"ปลายพลังงานเปิด" และแบบที่มี "ปลายพลังงานปิด" เอาละ เรามาลองศึกษากัน ...


ระบบพลังงานแบบ "ปลายเปิด" และ "ปลายปิด" ต่างกันไฉน?


ปกติ มนุษย์จะสร้าง "พลังงาน" ออกไปจากสังขารของเขาแล้วฟุ้งไปสู่มิติต่างๆ ได้มากมายเช่น มิติในโลกอนาคตซึ่งจะมีผลต่อเขาในอนาคตนั้นเองพลังงานที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมาในปัจจุบันนี้ จะถูกเคลียร์โดยตัวผู้ส้รางเองในท้ายที่สุด "ตามระยะเวลา" กล่าวคือเมื่อพวกเขายังไม่จบกิจในจักรวาลพวกเขายังไปข้างหน้าเรื่อยๆ ยังไม่ถึงเวลาที่จะรีบกำหนดจบ พวกเขาก็จะมีระบบพลังงานแบบ "ปลายเปิด" ซึ่งจะฟุ้งกระจายออกไปมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รูว่าจะจบเมื่อไร ยังไม่อาจทำนายได้แน่ชัด แต่ถ้าพวกเขามีกิจในจักรวาลที่จำกัด คือ "น้อยลง" ไม่มากไป ไม่ปล่อยเสรีไป แบบไม่มีที่สิ้นสุดพวกเขาจะมีระบบพลังงานแบบ "ปลายปิด" และ สามารถทำนายได้ว่าจะเคลียร์พลังงานทั้งหมดได้เมื่อไร นั่นคือ เวลาในการจบกิจในจักรวาลของพวกเขาด้วย (หมายถึงนิพพาน) ดังนั้น พวกที่มีระบบพลังงานปลายปิดแล้ว จึงสามารถทำนายภารกิจที่เหลืออยู่ ไม่มากนัก ว่าจะจบสิ้นเมื่อไรได้พวกเขาก็จะไม่เหนื่อยเกินไป จะไม่ใช่นักรบที่จะต้องต่อสู้อย่างไม่มีจุดจบอีกต่อไป พวกเขาจะชัดเจน "ในภารกิจที่เหลืออยู่ และ รอเก็บกลับบ้าน"



ทำอย่างไรจึงมีระบบพลังงานแบบ "ปลายเปิด" และ "ปลายปิด"?


คุณสามารถเลือกได้ และมันถูกกำหนดได้ด้วย "จิตใจ" ของคุณเองว่าจะให้ระบบพลังงานรวมของคุณเป็นแบบ "ปลายเปิดหรือปลายปิด" ซึ่งมันจะส่งผลต่อการคิด, การพูด และการกระทำของคุณด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีการคิด, การพูด และการกระทำ ที่ไร้ขอบเขต ไม่รู้จุดจบสิ้นของตนเองว่าตนเองจะจบลงได้ตรงไหน คุณก็จะมีระบบพลังงาน ปลายเปิด แต่ถาคุณมีการคิด, การพูด และการกระทำ ที่มีขอบเขต รู้จุดจบสิ้นของตนเองว่าตนเองจะจบลงได้ตรงไหน คุณก็จะมีระบบพลังงาน ปลายปิด เช่นในคนที่มีศีลมากๆ ก็จะจบลงเร็ว สั้นลง ย่อย่นระยะเวลาได้มากขึ้น แต่ในคนที่ไม่ได้ถือศีล แต่มี "จรรยาบรรณ" ก็จะจบลงได้ตามวาระแต่อาจจะช้ากว่าเป็นลำดับถัดไป เป็นต้น แต่ถ้าบางคนไม่มีอะไรมาล้อมกรอบหรือจำกัดตัวเองได้เลย ทำอะไรก็ได้ เสีรี เปิดเต็มที่ เขาก็จะมีระบบพลังงานปลายเปิด บางคนแม้ภายนอกไม่ได้ทำอะไรนอกกรอบเลย ทว่า "ในใจของเขา" มันเตลิดเปิดเปิงไป" แบบนั้นก็มีระบบพลังปลายเปิดได้



ระบบพลังงานแบบ "ปลายปิด" ช่วยให้คุณกำหนดเวลาจบสิ้นภารกิจได้


คุณ ก็สามารถกำหนดเวลาจบสิ้นภารกิจในจักรวาลนี้ได้ ด้วยการมีระบบพลังงานปลายปิด และด้วยวิธีนี้ ทำให้คุณไม่ต้องเหนื่อยมากเกินไป กับการคิด, การพูด และการกระทำที่ไม่มีที่สิ้นสุด และหาที่จบไม่ได้ ไม่รู้จะจบสิ้นภารกิจเมื่อใด ดังนั้น การมีระบบพลังงานปลายปิด จึงช่วยลดภาระให้คุณได้ เช่น เมื่อคุณถูกท้าทายและถูกกระทบกระทั่ง ถ้าคุณตอบโต้ต่อเขาไปไม่มีที่สิ้นสุด คุณหยุดตัวเองไม่ได้ จบไม่เป็น คุณจะมีระบบบพลังงานปลายเปิด และไม่รู้จุดสิ้นสุดของภารกิจของตนเองในจักรวาลนี้ แต่ถ้าคุณปรับปรุงตัวเองเสียใหม่เช่น คุณยอมแพ้แล้วเป็นพระไปถือศีลซะก็จะรู้วาระจบสิ้นภารกิจได้เร็ว เบาสบายตัว หรือคุณไม่ได้ยอมแพ้ แต่คุณก็ "หยุดตัวเองเป็น" เพื่อหลบเลี่ยงไปทำภารกิจอื่นที่มีค่ามากกว่าจะมาหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีสิ้นสุด แบบนั้น อย่างนี้ คุณจะมีระบบพลังงานแบบปลายปิด และคุณจะเบาสบายตัวมากขึ้น และจบภารกิจเร็วขึ้น



เทคนิกในการสร้างระบบพลังงานแบบ "ปลายปิด" ได้ด้วยตัวคุณเอง


เทคนิกง่ายๆ ที่คุณสามารถสร้าง "ระบบพลังงานแบบปลายปิด" มีดังนี้

1. การมี "ขอบเขต" ในการคิด, การพูด, การกระทำ ของตัวเอง ไม่เลยเกินขอบเขตนั้นๆ ออกไป มีการหยุดการคิด, การพูด, การกระทำของตน

2. การมี "ศีลหรือจรรยาบรรณ" ในการคิด, การพูด, การกระทำของตัวเอง แม้ว่าจะทำงาน หรือทำภารกิจใดก็ตาม คุณก็ต้องมีจรรยาบรรณด้วย

3. การมี "เป้าหมาย" ในการจบภารกิจชัดเจนว่าจะไม่เกินเลยไปถึงไหนมีความชัดเจนเป็นเป้าหมายกำหนดไว้ว่าจะจบภารกิจของคุณในยุคใด?

4. การมี "พันธสัญญา" ร่วมกันในการทำภารกิจนั้นๆ ว่าจะทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาเท่าใด ให้ชัดเจน เพื่อสร้างเครื่อข่ายพลังงานร่วมกัน

5. การมี "ผู้นำที่ไว้ใจได้" คือ ผู้นำที่สามารถนำพาคุณให้จบสิ้นภารกิจได้จริงๆ ไม่ใช่ผู้นำที่พาคุณไปเตลิดเปิดเปิง ทำกรรมใหม่ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

6. การมี "เงื่อนไขพลังงาน" บางอย่าง ที่ยึดโยงคุณไว้ ให้คุณต้องจบสิ้นภารกิจตามเวลากำหนด เช่น พลังงานกรรมบางอย่างที่คอยควบคุม


เอาละ ทั้ง 6 ข้อนี้เป็นเพียง "ตัวอย่างเบื้องต้น" ที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้างระบบพลังงานปลายปิดขึ้นมาให้ตัวคุณเองได้ และมันจะช่วยให้คุณจบภาระกิจของคุณในจักรวาลนี้ได้ตาม "ระยะเวลาที่กำหนด" ไม่ใช่ ไม่มีที่สิ้นสุด หรือไม่รู้ว่าจะทำภารกิจของคุณให้สำเร็จได้ในระยะเวลาเท่าใด



ระบบพลังงานแบบ "ปลายปิด" แบบ "เร่งลัด" และแบบ "พอดีตัว"


ระบบพลังงานปลายปิด ยังแบ่งออกได้สองแบบคือ "แบบเร่งลัด" คือ แบบที่ต้องจบสิ้นภารกิจภายใน ปี พ.ศ. 5,000 นี้ ซึ่งจะใช้วิธีแบบที่เรียกว่า "การเร่งลัด" ทั้งหมด เช่น การใช้กรรม, ใช้ทุกข์, ใช้ความตาย ฯลฯ เป็นตัวเร่งกระบวนการ, การใช้วิธีปฏิบัติแบบลัดสั้นและรวบรัดไม่ขยายความมาก (แบบใบไม้กำมือเดียว) แล้วจบเลย, การล้อมกรอบแบบเหนียวแน่น (การถือศีล) เพื่อให้จบสิ้นภารกิจได้จริงๆ นั่นเอง กับอีกแบบคือ "ระบบพลังงานปลายปิดแบบพอดีตัว" มันจะไม่รัดหรือเร่งรีบเกินไป ทำให้คุณไม่ต้องรีบร้อนหรือลำบากมากเกินไป เช่น การไม่ต้องถือศีลแบบเคร่งครัดมากไป, การไม่ต้องรีบกำจัดกิเลสมากเกินไป, การไม่ต้องรีบบรรลุธรรมมมากเกินไป, การไม่ต้องเสี่ยงใช้วิธีปฏิบัติทางจิตที่เสี่ยง และมีอันตรายต่อร่างกาย และจิตใจ มากเกินไป, การไม่ต้องเข้าสู่ธรรมด้วยการบีบคั้นด้วยทุกข์หรือกรรมมากจนเกินไปแต่จะค่อยๆ เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ, อย่างสมดุลและเหมาะสมที่สุดซึ่งแบบนี้จะจบสิ้นภารกิจภายใน "ภัทรกัปนี้" แต่เลย พ.ศ. 5,000 ไป



สิ่งสำคัญในการใช้ระบบพลังงานแบบ "ปลายปิด" คือ อะไร?


สิ่งสำคัญของระบบพลังงานแบบปลายปิด คือ การไม่เน้นการสร้างพลังบุญหรือพลังกรรม แต่จะมุ่งเน้น "ประสิทธิภาพของระบบพลังงาน" ที่มีอยู่ ด้วยการเสริมสร้าง "บารมี" เพราะสิ่งนี้จะช่วยทำให้เกิดความมั่นคงต่อระบบพลังงานของคุณทั้งหมด มันจึงเป็นเหมือนโครงสร้างของระบบพลังงานรวมของคุณ มันเป็นเหมือนโครงส้รางและต้นไม้ แต่ไม่ใช่ผลไม้ที่เกิดแล้วร่วงหล่นไปตามวาระ ตามฤดูกาล มันยังคงอยู่เรื่อยๆ และมั่นคงดังนั้น มันจึงสำคัญมากที่คุณจะต้องเสริมสร้างความมั่นคงกับ ระบบพลังงานรวมนี้ ด้วยการ "สร้างฐานบารมีที่แข็งแกร่ง" ไม่ใช่ทำให้มาก หรือมีครบทั้ง 10 ประการ แต่ทำ "พอดีตัว" ที่มั่นคงพอ สำหรับที่จะทำให้ คุณจบภารกิจของคุณได้ (ภารกิจของคนเรามากน้อยไม่เท่ากัน) สิ่งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องของการสร้าง "ผลแห่งบุญหรือกรรม" ใหม่ๆ แต่อย่างใด เพราะคุณกำลังจะใช้ "พลังงานเก่าและพลังงานคลาสสิค" ที่คุณเคยได้สร้างเอาไว้แล้วแต่ในอดีตนั้นมา "คุณจึงไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่" ขึ้นมากไป



สุดท้ายนี้ คุณคือ "ผู้ตัดสินใจเลือกเอง" ว่าจะใช้ระบบพลังงานแบบใด? แบบปลายปิด หรือปลายเปิด ถ้าคุณเลือกระบบพลังงานแบบปลายปิด ก็สามารถเลือกต่อได้อีกว่าจะเลือกแบบ "เร่งลัด" หรือแบบ "พอดีตัว" ซึ่งคุณจะเป็นผู้เลือกและกำหนดมันเองทั้งหมด เมื่อคุณเลือกแล้วคุณก็จะถูกจัดสรรให้เข้ากลุ่มที่ต่างกันไป เพื่อร่วมกันทำ "ภารกิจให้สำเร็จภายในยุคสมัยนั้นๆ" ซึ่งแต่ละยุคสมัย อาจมีภารกิจที่คล้ายกัน เพียงแต่แตกต่างกันไปในรายละเอียด ก็เท่านั้นเอง เช่น บางยุคสมัยอาจจะมีภารกิจที่หนักในการถือศีลมาก แต่ในบางยุคสมัยอาจมีภารกิจที่เน้นหนักไปทางปัญญาที่มากกว่า ก็อาจเป็นไปได้ เอาละ คุณก็ลองพิจารณาแล้วเลือกเองก็แล้วกัน


ขอให้ คุณค้นพบระบบพลังงานในแบบที่คุณปรารถนาก็แล้วกัน สวัสดีครับ



29 ม.ย. 2555


"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS