ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

จงมีชัยชนะในสงครามศักดิสิทธิ์ ด้วยพลานุภาพแห่งความสันติสุข

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอพูดเรื่องที่เข้าใจยากสักนิดสำหรับชาวพุทธนะครับ มันคือเรื่อง "สงครามศักดิสิทธิ์" ซึ่งปรากฏอยู่ในศาสนาอิสลาม เอาละ ผมจำเป็นจะต้องพูดไว้ เพื่ออธิบายในมุมมองที่บางคนอาจลืมมองไป จะอธิบายง่ายๆ ดังต่อไปนี้


"สงครามศักดิสิทธิ์" คือ สงครามที่อัศวินแห่งแสงสว่างทำเพื่อพระเจ้า


อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ ทุกอย่างในโลกหรือในจักรวาล ไม่มีอะไรที่ผิดหรือถูก มันเป็นเช่นนั้นเอง และมีหน้าที่ของมันเองทั้งหมด มันจะเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่อันควรของมัน และดับสิ้นไปเมื่อหมดภาระหน้าที่ของมันนั้นๆ "สงคราม" เองก็เช่นกัน มันไม่ได้มีความถูกต้องหรือผิดอะไร มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง คนที่มองแง่ลบ ก็มองว่ามันไม่ดี เลวร้าย คนที่มองในแง่บวกก็อาจหลงระเริงเพลินไปกับมัน คนที่มองรอบด้านและหลุดพ้นด้วยเหตุมีปัญญาผ่องใสแล้ว ก็มองเห็นมันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา เท่านั้นเอง เอาละทีนี้ มากล่าวเฉพาะเจาะจงลงเรื่อง "สงครามศักดิสิทธิ์" กันบ้าง มันเป็นสิ่งที่เหล่า "อัศวินแห่งแสงสว่าง" ทั้งหลาย กระทำเพื่อพระเจ้า ของพวกเขาซึ่งในการทำสงครามนั้น อาจมีหลายรูปแบบ บางรูปแบบอาจไม่เหมือนการทำสงครามเลยก็มี ทว่า ทั้งหมดนั้นคือการต่อสู้ ที่มีผลแพ้ชนะและการเดิมพัน มีผู้ที่ต้องยอมรับผลของความพ่ายแพ้ และผู้ที่รอคอยจะฉลองชัยชนะ



"สงครามศักดิสิทธิ์" คือ เครื่องพิสูจน์ว่าท่านคือ "สังคมสันติสุข" หรือไม่


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ สงครามศักดิสิทธิ์เป็นแบบทดสอบจากพระเจ้าเพื่อทดสอบว่า "ท่านคือสังคมสันติสุข" จริงหรือไม่? ท่านเป็นอิสลามจริงหรือเป็นแต่เปลือกนอก ท่านคือ "มุสลิมผู้รักความสันติสุขจริงหรือเปล่า?" เพราะเมื่อท่านเข้าสู่สงครามศักดิสิทธิ์แล้ว ท่านอาจถูกปีศาจร้ายครอบงำและกลืนกินจนท่านออกจาก "อิสลาม" เอาใจออกห่างจากพระเจ้าไปโดยที่ท่านไม่ทันรู้ตัว และนี่คือ "บททดสอบที่ดีที่สุดของชาวมุสลิม" ซึ่งหลายท่าน "สอบตก" คือ เมื่อเข้าสู่สงครามศักดิสิทธิ์แล้ว กลับกลายเป็นปีศาจร้ายไป ความเป็นผู้รักสินติสุขหายสินไปหมด กลายร่างเป็นปีศาจร้ายแทนที่จะเป็นมุสลิมที่แท้จริง สังคมสันติสุขกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความไม่สงบมีแต่การเข่นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน และไม่เว้นแม้แต่ชาวมุสลิมด้วยกันเองนั่นแหละ ท่านสอบตก และไม่ใช่ ชาวมุสลิม อีกต่อไป ต่อให้ท่านได้รับชัยชนะ แต่ถ้าชัยชนะของท่านไม่ได้มาด้วย "สันติวิธี" แล้วท่านก็ไม่อาจเป็นชาวมุสลิมที่แท้จริงได้ หรือกล่าวให้ชัดเจนขึ้นคือ ชาวมุสลิมจะต้องได้มาซึ่งชัยชนะด้วย "สันติวิธี" จึงจะเกิดสังคมสันติสุขได้แท้จริง จึงจะเป็นชาวมุสลิมที่แท้จริง "ผู้ที่เอาชนะผู้อื่นด้วยการเข่นฆ่า ย่อมไม่ใช่ชาวมุสลิม"!



เราไม่เคยสอนให้ท่านยอมแพ้แต่ท่านต้องได้รับชัยชนะด้วย "สันติวิธี"


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ เราไม่เคยสอนให้ชาวมุสลิมเป็นคนขี้แพ้หรือยอมจำนนต่อสิ่งอื่นใด นอกจาก "พระเจ้า" เท่านั้น ดังนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องก้มรับความพ่ายแพ้ที่ใครกำหนดให้ท่าน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเป็นผู้ตัดสิน-พิพากษาว่าท่านพ่ายแพ้ เพราะนั่นคือ "วิถีของคนขี้แพ้" จงอย่ายอมรับสิ่งที่ผู้อื่นตัดสินแก่ท่าน แต่จงเชื่อในการตัดสินของพระเจ้า เพราะไม่มีมนุษย์คนใดจะทำหน้าที่พิพากษาตัดสินใครได้ ยกเว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น เมื่อใดที่ท่านถูกตัดสินให้พ่ายแพ้ หรือถูกทำให้พ่ายแพ้โดยอยุติธรรมท่านไม่จำเป็นต้องยอมรับคำตัดสินนั้นๆ แต่ท่านก็ไม่ควรใช้ "ความรุนแรงหรือความวุ่นวาย" ในการให้ได้มาซึ่งชัยชนะ เพราะชัยชนะ ย่อมตกเป็นของผู้มีความสันติสุขอยู่แล้ว ผู้ที่เข้าถึงซึ่งความสันติสุขนั่นแหละ คือ ผู้ที่ได้รับชัยชนะแล้ว นั่นแหละ "สงครามศักดิสิทธิ์" ที่ท่านต้องทำ และต้องชนะให้ได้ จงอย่ายอมพ่ายแพ้ จงชนะในสงครามศักดิสิทธิ์นี้ด้วยสันติวิธีและนั่นแหละ ท่านจึงเข้าถึงซึ่ง "อิสลาม" (สังคมสันติสุข) ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ท่านจะเข้าถึงซึ่งความสันติสุขภายในที่แผ่ออกไปโดยรอบอย่างไม่มีจำกัด ไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด และโลกนี้จะกลายเป็นสังคมสันติสุขอย่างแท้จริง ฮาเลลูยา! ท่านทั้งหลายจงมาฉลองชัยชนะนี้เถิด



"รอมฎอน" เดือนแห่งการเข้าถึง "อิสลาม" จากภายในของท่านเอง


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ "รอมฎอน" เป็นเดือนแห่งการปฏิบัติยิ่งยวดของเราชาวมุสลิมทั้งหลาย เป็นเดือนที่สำคัญที่จะทำให้เรารู้ตัวว่าเรา "สอบผ่าน" เป็นชาวมุสลิมที่แท้จริงได้หรือไม่? เป็นเดือนที่พวกเราจะต้องปฏิบัติด้วยความอดทนยิ่งยวด ต่อสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งยั่วยุทางบวกหรือลบ ก็ตาม เราจะไม่ไขว้เขวไปตามการยั่วยุเหล่านั้น ไม่ว่าสิ่งที่ยั่วยุจะมาในรูปแบบใดก็ตาม เราจะอดทนและจะไม่ออกจากสังคมสันติสุข (อิสลาม) และการปฏิบัติของเรา แม้ว่าเราจะถูกศัตรู ยั่วยุ-ทำร้ายเรา เราก็จะไม่ออกจากการปฏิบัติที่ยิ่งยวดนี้ เพื่อจะเข้าถึงซึ่งความเป็น"สังคมสันติสุข" นี้ให้ได้อย่างแท้จริง ในเดือนนี้เป็นเดือนที่สำคัญมากของพวกเรา ที่เราจะปฏิบัติเพื่อให้เข้าสู่ความเป็นมุสลิม สังคมสันติสุขของพวกเราให้ได้อย่างแท้จริง หลังจากที่เราได้พากเพียรปฏิบัติมายาวนาน เดือนนี้จะเป็นเดือนตัดสิน เป็นโอกาสสำคัญที่สุดแห่งปีครั้งหนึ่ง จึงขอให้ท่านทั้งหลาย จงเข้าถึงซึ่ง "ความสันติสุขภายใน" ของท่านเองให้ได้ และแผ่ขยายความสันติสุขนั้นออกไปทั่วโลก เพื่อสร้างโลกนี้ ให้เป็น "สังคมสันติสัข" นี่ก็คือเครื่องพิสูจน์ว่าท่านคือมุสลิม อย่างแท้จริง



"ผู้ที่เอาชนะผู้อื่นด้วยการเข่นฆ่า (อสันติวิธี) ย่อมไม่ใช่ชาวมุสลิม"

ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ ผู้ที่เอาชนะผู้อื่นด้วยการเข่นฆ่า ก็ดี หรือเอาชนะคนอื่นได้ด้วยอสันติวิธี ก็ได้ คนเหลานี้ย่อมไม่ใช่ชาวมุสลิมย่อมไม่ใช่ผู้รักความสันติสุข และไม่อาจที่จะสร้าง "สังคมสันติสุข" ให้เกิดขึ้นจริงได้เลย พวกเขาอาจปฏิบัติตัวเคร่งครัดแต่เปลือกนอกแต่จิตใจของเขาเต็มไปด้วย "อสันติ" และการเข่นฆ่า พวกเขาต่างเอาใจออกห่างจากพระเจ้าไปเข้ากับปีศาจ พวกเขาต่างออกจากวิถีแห่ง "สันติสุข" ไปใช้วิถีแห่งการเข่นฆ่า และการก่อความไม่สงบ! พวกเขาจึงไม่ใช่ชาวมุสลิม และไม่ได้อยู่ในอิสลาม (สังคมสันติสุข) อีกต่อไป พวกเขาเพียงแค่ "แฝงกาย" อยู่ในศาสนาเกาะกินศาสนาไม่ต่างจากเห็บหมัดเท่านั้น พวกเขาไม่เคยสร้างความสันติสุขให้แก่สังคมมุสลิมได้ ตรงกันข้าม พวกเขาคอยแต่จะทำลายความสันติสุขของสังคมอิสลามลงไปด้วย "ความหลงอำนาจ" ของพวกเขานั่นเอง



เราจะรอคอยฉลองชัยชนะในสงครามศักดิสิทธิ์ด้วยสันติวิธีของท่าน


สุดท้ายนี้ เราอยากแจ้งให้ท่านทราบว่า ทุกปีจะมีชาวมุสลิมที่สอบตกและสอบผ่าน ผู้ที่สอบผ่านจะได้รับการเฉลิมฉลอง และได้เข้าร่วมอยู่ในสังคมสันติสุขของพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้ว่าท่านจะมองไม่เห็นว่ามีการเฉลิมฉลองในโลกมนุษย์ แต่พวกเราได้ทำการเฉลิมฉลองให้แก่ท่านในมิติที่ตาเปล่าของท่าน มองไม่เห็น เราได้รับท่านเข้าสู่ อิสลามคือ "สังคมสันติสุข" แล้ว เราโอบกอดท่านด้วยแสงสว่างและความรักเพื่อตอกย้ำถึงชัยชนะที่ท่านได้รับจากสงครามศักดิสิทธิ์ด้วยสันติวิธีนั้นมาเถิด ท่านทั้งหลาย จงก้าวมาให้ถึงซึ่งชัยชนะนั้น ชัยชนะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความรักและศรัทธาที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด อันไม่อาจที่จะเปรียบประมาณได้และท่านสามารถสัมผัสสิ่งนั้นได้ด้วย "ใจ" ของท่านแล้วท่านจะรู้ว่า เราได้ร่วมเฉลิมฉลองให้แก่ชัยชนะของท่านด้วยสัจจริง


ขอพลังธรรมแห่งพระเจ้า จงช่วยให้ท่านได้รับชัยชนะด้วยสันติวิธี สวัสดี



13 ส.ค. 2555


"เสียงจากสังคมสันติสุข"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王




  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ผู้มีบารมี "หลายตัวตน" จะแข่งขันกันบำเพ็ญบารมียิ่งยวดจนสะท้านโลก?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องต่อเนื่องจากเมื่อวาน คือ เรื่องการบำเพ็ญบารมีของผู้มีบารมี พวกเขานี้ จะบำเพ็ญบารมีกันอย่างยิ่งยวดและเขาได้ลงมาหมดเลย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวตนใดในอดีตที่ได้สร้างตำนานวีรบุรุษมาพวกเขาก็จะลงมาเกิดใหม่อีกครั้งและการบำเพ็ญบารมียิ่งยวดของพวกเขานี่เอง ส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนโลกได้ เอาละ วันนี้ เรามาคุยเรื่องนี้กันครับ


ผู้บำเพ็ญบารมี "ระดับสูง" ไม่จำเป็นต้องมีบริวารมากมาย ก็ได้


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ การเลื่อนระดับของผู้นำแต่ละท่านยิ่งเลื่อนระดับไปสูงขึ้น ก็จะยิ่งมี "ผู้ตาม" ที่ตามทัน ตามได้น้อยลงด้วย ตัวอย่างเช่น พระเยซูเอง ก็มีสาวกเหลือเพียงไม่กี่คน ถ้าเทียบกับบางลัทธิ, นิกายในปัจจุบัน มีสาวกบริวาร เยอะกว่ามากเพราะอะไร? สังเกตุพีรามิดนะครับ ยิ่งสูง ก็ยิ่งแคบลง คนที่อยู่ได้ในระดับบนด้วยกัน ยิ่งน้อยลง แต่เมื่อใดที่ท่านเสื่อมลง ระดับของท่าน "ตกลง" ท่านก็จะเที่ยวไขว่คว้าหาบริวารให้มากๆ เอามาเป็นพรรคพวกให้มาก เพื่อต่อสู้ แข่งขันกับคู่แข่งของท่าน เช่น การใช้ "มวลชน" จำนวนมากๆ มาประท้วงใส่เสื้อสีแดง, สีเหลือง เป็นต้น



เพราะไม่จำเป็นต้องมีบริวารมากมาย จึงไม่จำเป็นต้องเป็นสาธารณชน


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในเมื่อผู้บำเพ็ญบารมีระดับสูง ไม่จำเป็นต้องมี
บริวารมาก ท่านจึงไม่ต้องเป็น "สาธารณชน" ที่มีชื่อเสียงให้คนทั่วไปรู้จัก ก็ได้ ท่านอาจบำเพ็ญบารมีเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่มีตำแหน่งไม่จำเป็นต้องเป็นนายกฯ, ประธารนาธิบดี, พระราชา, พระเจ้าจักรพรรดิอะไรทั้งนั้น แต่ท่านจะได้เชื่อมสายบุญบารมีกับ "บุคคลสำคัญ" ซึ่งพวกเขาอาจมีบริวารตามมาอีกมากมายในอนาคตชาติข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเชื่อมประสานกับพญามาราธิราชได้ ก็จะได้เชื่อมกับบริวารเหล่ามาร ซึ่งก็มากมายนัก รวมๆ แล้วก็ประมาณ 1 ใน 4 ของชาวสวรรค์เลยทีเดียว แต่ถ้าเชื่อมต่อกับหัวหน้าทั้งสี่เหล่าใหญ่ได้ ก็เท่ากับ 100% ในสวรรค์ ซึ่งในจำนวนนี้ กลุ่มที่พร้อมรับธรรม ก็มีอยู่มากมาย ในขณะที่ในนรกอาจมีปวงสัตว์มากกว่า ทำให้ผู้นำแห่งนรกดูเหมือนโด่งดังและเป็นที่รู้จักมากกว่าเพราะสัตว์นรกมีมากกว่า (ทว่า พวกเขาก็ไม่พร้อมรับธรรม) ดังนั้น การมีบริวารมาก จึงไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ว่ามีบารมีมากแต่อย่างใดเลย



"ผู้นำ" ผู้มีบารมีมาก จะเลือกโปรดสัตว์ในกลุ่มที่แตกต่างกันออกไป


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "ผู้นำ-ผู้มีบารมี" ทั้งหลาย เลือกที่จะโปรด
สัตว์ในกลุ่มที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น บางท่านเลือกโปรดสัตว์ที่มีบุญน้อย มีกรรมมาก ในยุคสมัยของท่านก็จะมีแต่ความเสื่อม เพราะกรรมของสัตว์มวลรวมนั้นมีมาก แต่บุญมวลรวมมีน้อย แต่เพราะระหว่างได้บำเพ็ญบารมีมา ท่านเลือกแบบนี้เอง ท่านก็ได้แบบนี้ ในขณะที่ผู้นำอีกท่านอาจเลือกโปรดสัตว์ที่มีบุญมาก กรรมน้อย จำนวนน้อยกว่าจึงมีผลให้ "ยุคสมัยของท่านอุดมสมบูรณ์" และดีงามอย่างแท้จริง ท่านไม่บ้าอยากได้บริวารเยอะๆ แต่ท่านคัดกรองอย่างดี เพื่อให้ทุกคนที่ได้ร่วมในยุคสมัยของท่าน "ได้สิ่งที่ดีที่สุด" ก่อนจะนิพพานไป เช่น พระศรีอาร์ฯ ท่านก็เลือกโปรดสัตว์แบบนี้ ในขณะที่พระรามเจ้า เลือกเอาบริวารมากๆ เข้าไว้จะได้มีพวกมาก โด่งดัง อลังการ ท่านก็จะได้บริวารแบบนั้น แม้แต่พระสมณโคดมเลือกปวงสัตว์ที่ "มีปัญญา" ก่อน (แต่บุญน้อยมากกรรมเยอะ) ท่านก็จะได้ยุคสมัยที่ปวงสัตว์ฉลาดมาก มาเกิดแต่เป็น "ยุคเข็ญ" ไป เอาละ แล้วท่านละ เลือกแบบไหน? "เลือกแบบ แห่ตามๆ กัน อุ่นใจดีเหมือนตกนรก มีเพื่อนเยอะ แออัดดี อย่างนี้หรือเปล่า?" หรือว่าคัดเลือกอย่างดี เอาแต่ "เพชรเม็ดงาม" อันนั้น จะให้ผลต่อการเกิดในยุคต่างกัน



"ผู้นำ" ผู้มีบารมีมาก จะแข่งขันกันบำเพ็ญบารมียิ่งยวดสะท้านโลก


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในยุคนี้ มีผู้มีบารมี-ผู้นำมาเกิดมากมายอยู่
ในหลายวงการด้วยกัน พวกเขาจะบำเพ็ญบารมีกัน จนสะท้านโลกทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในมิติที่ท่านมองเห็นได้ หรือมองไม่เห็นก็ตาม นอกจากนี้ "ผู้นำที่ไม่อยู่ในฐานะผู้นำแล้ว" หรือผู้ที่สอบตกแล้ว ซึ่งอาจมีหลายตัวตน ก็จะต้องเลือก "อาศัยบารมีของผู้นำท่านอื่น" ไป ซึ่งในช่วงแรกพวกนี้จะ "ไม่ยอมก้นจำนนเป็นบริวารใคร" เลย เพราะเคยมีเคยเป็นผู้นำสูงสุดมาก่อน ทว่า พวกเขาจะไปไม่รอด และถูกเวรกรรมบีบให้ต้องขึ้นตรงต่อผู้นำท่านอื่น บางคนไม่ยอมเป็นบริวารพระศรีอาร์ฯ สุดท้ายต้องไปเป็นบริวารหางแถวของพระโพธิสัตว์องค์หลังๆ ท้ายๆ ก็มีเพราะ "ความถือตัว" นั่นเอง (ถ้ายอมแต่แรก ก็ได้ที่นั่งดีกว่าไปแล้ว) เอาละ ไม่มีใครผิด หรือถูกนะ ทุกคน "เลือกเอง" ทั้งนั้น ถ้าเลือกแล้วก็ต้องยอมรับผลของการเลือกของตนเองละ อย่าโวยวายทีหลังว่าทำไมตนบำเพ็ญบารมีมามากกว่าแต่ได้ตำแหน่งน้อยกว่า (บางทีคนที่มีบารมีน้อยกว่าเขามีศรัทธาตรง แล้วบำเพ็ญในตำแหน่งนั้นได้ดีแล้ว ทำให้คนที่มีบารมีมากกว่าก็ไม่อาจเข้าแทรกได้ ก็มี) เอาละ ผู้นำทั้งหลายนั้น จะบำเพ็ญบารมีแข่งกันยิ่งยวดเลยทีเดียว เพราะต่างคนต่างก็ไม่ยอมเป็นผู้ตามของใคร ต่างก็เชื่อว่าตัวดี มีดี ถือดีในตัวกันทั้งนั้น ดังนั้น จึงต้องปะทะกันรุนแรง และส่งผลต่อโลก จนสะท้านสะเทือนอย่างที่เป็นอยู่นั้น



จะมีการเปลี่ยนแปลงและปรับ "ตำแหน่งของเทพสวรรค์" ครั้งใหญ่


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในชาตินี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเทพ
สวรรค์ครั้งใหญ่ และผู้นำแต่ละท่านจะชิงชัยเพื่อตำแหน่งทางธรรมที่ต่างกันด้วย เพราะมีผลมากทีเดียวต่อการบำเพ็ญบารมีต่อไป บ้างเคยสูง กลับลงต่ำ ก็มี, บ้างเคยตกต่ำ ได้โอกาสเลื่อนไปสูง ก็มี เอาละ มันเป็นเช่นนี้เอง ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งกำลัง "หลงผลบุญเก่า" ที่ตนเคยทำเอาไว้ได้มากมาย กลายเป็นเศรษฐี, ผู้บริหาร, ผูนำองค์กร ฯลฯ ก็คิดว่าตนดีเลิศประเสริฐศรี เหนือใครแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัวเองว่าเข้าทางมืดหรือไม่? ตายแล้วจะได้เกิดในสามภพอีกหรือกลายเป็นพวกภพมืดหรือไม่ ด้วยซ้ำไป เอาละ เขาก็เชื่อมั่นในตัวเขาเองมากเช่นนั้น แต่จะรู้ก็เมื่อตายไปแล้ว สายไปแล้ว อันนั้น ก็ช่วยไม่ได้ ว่ากันใหม่ชาติหน้า ก็แล้วกัน แต่สำหรับท่านที่ "ตื่นแจ้งระดับหนึ่งแล้ว" และยังไม่รีบนิพพานละก็ ผมขอบอกดังๆ ว่า "โอกาสทองที่ท่านรอคอยมาถึงแล้ว" เพราะคนที่เคยรั้งตำแหน่งดีๆ ทั้งหลาย "กำลังตกเก้าอี้" ขอรับ เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ, หน้าใหม่ๆ ได้เข้ามาทำหน้าที่บ้าง แหม มาเฉือนกันตรงชาตินี้เอง



"อริยทรัพย์" จะเปลี่ยนมือ ในขณะที่ผู้โง่เขลาจะหลงเอาแต่โลกทรัพย์ 


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "อริยทรัพย์" และของทิพย์วิเศษ, พลังทิพย์ต่างๆ จะโยกย้ายเปลี่ยนมือไปตามควร คือ "ใครทำ ใครได้" ใครทำได้คนนั้นก็ได้ไปครอง ใครบำเพ็ญได้ คนนั้นก็ได้สิ่งนั้นไป ไม่เที่ยง ไม่อาจที่จะยึดได้ ดังนั้น "ของทิพย์วิเศษทั้งหลาย" จะเปลี่ยนแปลงไปตามการบำเพ็ญบารมีด้วย บางท่านในอดีตเคยได้ครอง แต่ปัจจุบันมัวลุ่มหลง ก็จะสูญเสียไปได้ง่าย ในขณะที่บางท่านอยากได้บ้างในอดีตไม่เคยได้ ก็อาจได้ในชาตินี้ "ถ้าบำเพ็ญบารมีได้สำเร็จ" ไม่อาจยึดได้ว่าเป็นของใครอนึ่ง "ทรัพย์ทางทิพย์" นั้นมีมากมาย และช่วยในการบำเพ็ญบารมีได้ดียิ่ง ได้มาก อันจะส่งผลมากต่อการบำเพ็ญบารมีทีเดียว ตัวอย่างเช่น คนที่มี "พีรามิดทิพย์" ก็จะรับพลังงานจักรวาลได้ดี ทำกิจด้านการรับการสื่อสารจากจักรวาลได้ดี แต่คนที่ไม่มี ก็จะทำไม่ได้ หรือทำแล้วก็ไม่ดีพอดังนั้น การมี "ของทิพย์" หรือ "อริยทรัพย์" ที่ดี จะช่วยกำหนดการทำหน้าที่ การบำเพ็ญบารมีของท่านได้มากทีเดียว และมันจะส่งผลต่อการได้รับ "ตำแหน่งทางธรรม" ของท่านอย่างยิ่ง ต่อไปในอนาคต อีกด้วย



แม้แต่ตำแหน่ง "พระพุทธเจ้า" องค์ใหม่ๆ ในอนาคต ก็จะเกิดขึ้นยุคนี้


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ แม้แต่ตำแหน่งพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ด้วย ถ้าท่านเคยได้ตำแหน่งที่ดีมาตลอด แต่ท่านมีแต่ใช้คนอื่นทำงานแทน ท่านทำตัวเป็นเจ้านาย ชี้นิ้วสั่งใช้เขาตลอด ก็จะมีบารมีน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่ถูกสั่งใช้จะมีบารมีมากขึ้นเรื่อยๆจนล้น จนไม่อาจอยู่ใต้การบังคับบัญชาของท่านได้ สุดท้าย เขาอาจจะเลยข้ามท่านไป และได้ตำแหน่งทางธรรมที่ดีกว่าท่าน เอาละ ตำแหน่งพระพุทธเจ้า ก็จะมีเพิ่มมาใหม่อีกหลายองค์ด้วย (นิตยโพธิสัตว์) พวกเขาจะได้ใหม่ๆ หมาดๆ เลยหาทีมงานได้ยาก นั่นคือ "โอกาสทองของคนหน้าใหม่" ที่จะมาร่วมกันสร้าง ยุคสมัยใหม่ ของตนร่วมกัน นั่นเอง


ขอพลังแสงธรรมแห่งจักรวาล จงนำทางท่านให้พ้นความหลงโลก สวัสดี



12 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ช่วงเวลาแห่งการ "คัดสรร" นี้ ผู้มีบารมี พลังพิเศษ จะออกมาให้คนเลือกสรร!

สวัสดีครับ ยังมีเรื่องหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการเลือกสรร (selection time) ซึ่งก็คือ ช่วงเวลานี้ ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นๆ ต่อไป จะต้องผ่านช่วงเวลาแห่งการเลือกสรร นี้ไปก่อน จากนั้น เมื่อจัดกลุ่มกับกลุ่มที่เลือกออกจากกันได้แล้วจึงจะ "จัดการกับแต่ละกลุ่ม" ต่างกันออกไป เอาละ ในช่วงเวลานี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ลองมาคุยกันสบายๆ ครับ


ผู้มีบารมี มีพลังพิเศษ มีมาก พวกเขาจะทยอยปรากฏตัวให้คนเลือก


อย่างแรกที่ท่านควรทราบในช่วงเวลาแห่งการเลือกสรรค์นี้คือ ผู้มีบุญบารมี "จำนวนมาก" มากทีเดียว เรียงคิวกันยาวเหยียดเลย จะออกมาปรากฏตัวให้ท่านเลือก ผ่านทางใดทางหนึ่ง เช่น บางท่านไปสมัคร สส. ให้ท่านเลือก, บางท่านไปแข่งกีฬา ให้ท่านร่วมเชียร์, บางท่านไปสมัครประกวดร้องเพลง ให้ท่านเลือกโหวต ฯลฯ ท่านไม่ควรเลือกแบบเล่นๆ ละเพราะมันคือ "กรรม" ที่จะมีผล "ผูกพันธ์ท่านและเขาด้วย" เช่น การที่ท่านเลือกโหวตผู้แข่งขันร้องเพลงคนหนึ่ง ด้วยใจที่ไม่เป็นธรรม ลำเอียงท่านก็ได้ทำกรรมร่วมบารมีกับเขาแล้ว ร่วมส่งเขาขึ้นไปให้ได้ชัยชนะแล้วและท่านก็ได้เลือกเขาคนนั้นแล้ว เอาละ ดังนั้น เมื่อท่านได้มีโอกาสเลือกแล้ว ก็อย่าทำเป็นเล่นไป เพราะท่านได้ทำกรรมร่วมกับเขา เพื่อส่งเขาให้ได้ชัยชนะและเดินหน้าต่อไปอีกด้วย เมื่อท่านมีสิทธิ์เลือก ก็จงใช้สิทธิ์นั้นด้วยความรอบคอบเสียหน่อย อย่าใช้สิทธิ์ไปด้วยอารมณ์เพียงชั่วครู่ละ!



ไม่มีใครดี-เลว ไปกว่าใคร แต่จะมี "ยุคสมัย" ของตนที่ต่างกัน


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ โลกกำลังต้อนสัตว์โลกให้กลายเป็น "สัตว์สังคม" และจะมีผู้นำและผู้ตามเกิดขึ้น โดยผู้นำแต่ละคนจะมี "ยุคสมัยของตน" ไม่มีใครดีหรือเลวไปกว่าใคร เพียงแต่มีรายละเอียดในยุคสมัย ที่แตกต่างกันไปเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นพระสมณโคดม ได้นิพพานเร็วกว่าพระศรีอาร์ฯ แต่จะต้องมาใน"ยุคเข็ญ" ในขณะที่พระศรีอาร์ฯ ได้นิพพานทีหลัง แต่จะได้มาในยุคอุดมสมบูรณ์เป็นต้น ดังนั้น ท่านก็ไม่ควรยกเจ้านายตัวเองไปข่มใครเขา เพราะทุกคนต่างมีดีในตัวที่แตกต่างกัน ก็เท่านั้นเองและทุกคนเมื่อได้เลือกแล้ว ก็ควร "พอใจและยอมรับในสิ่งที่ตนได้เลือกแล้วนั้น เช่น บริวารของพระสมณโคดมได้เลือกท่านไปแล้วก็ควรยอมรับความจริงว่าจะได้เกิดในยุคเข็ญ ได้เร็วกว่าแต่ได้น้อยกว่า ได้ยุคที่ไม่ดีนัก ยากเข็ญ ก็ต้องปรับตัวให้ได้เพื่อยอมรับความจริงให้ได้ ไม่ใช่เห็นท่านอื่นมีบุญบารมีมากกว่าแล้วก็เตลิดเปิดเปิงตามก้นเขาไป อันนี้ ไม่ควร เอาละ สรุปคือ ท่านมีสิทธิ์เลือกผู้นำคนไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่เมื่อเลือกแล้วก็ควรที่จะยอมรับความจริงหลังจากที่ได้เลือกแล้วด้วย แต่ละท่านก็มีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน "ตาดีได้ ตาร้ายเสีย" ฉลาดก็เลือกได้ของดีแต่ถ้าหลงโง่มากเกินไป ก็อาจได้ของไม่ดี ก็ได้ เอาละ ก็เลือกตามสบายก็แล้วกัน ต่อไป จะมี "ผู้นำ" อีกมากออกมาให้ท่านเลือก



เมื่อท่านเลือกแล้วท่านจะมี "ตำแหน่งที่นั่ง" และท่านจะเปลี่ยนได้ยาก


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ เมื่อท่านเลือกเขาแล้วและผู้นำคนนั้นยอมรับท่านด้วย ท่านก็จะได้นั่งในตำแหน่งทางธรรมเฉพาะตัวที่เปลี่ยนได้ยากเช่น ตำแหน่ง "พุทธบิดา" อย่างนี้ เลือกแล้ว นั่งแล้ว ลุกยาก เปลี่ยนได้ยาก ต้องนั่งยาวไปแต่ถ้าเปลี่ยนแล้วอาจได้อะไรที่แย่กว่าเก่าก็ได้ ดังนั้นควรคิดให้ดีๆ ด้วย เอาละ ตอนนี้ โลกกำลังเข้าสู่ช่วงนี้ ท่านเองก็กำลังจะหา "ผู้นำ" อยู่ บางท่านอยากจะเป็นผู้นำเสียเอง แต่ไปได้ไม่ถึง เป็นได้ก็แค่ "เทวทัต" เท่านั้นเอง อย่างนี้ก็มี เอาละ ท่านเลือกกันเอง เลือกให้ดีละเพราะมันมีผลต่อตัวท่านเอง มากเลยทีเดียว "ตาดีได้ ตาร้ายเสีย" เพชรมีค่าแต่ห่อหุ้มด้วยผ้าขี้ริ้วยังมี ในขณะที่อิฐไร้ค่าอาจอยู่ในกล่องงดงามที่สวยหรู ก็ได้ ทีนี้ ท่านต้องเลือกทั้ง "ผู้นำ" และ "ตำแหน่ง" ของท่านเองด้วย เช่น ตำแหน่งอัครสาวกเบื้องขวา, เบื้องซ้าย, ผู้มีฤทธิ์ - ผู้มีปัญญามาก, ผู้มีความน่าเลื่อมใสมาก ฯลฯ อะไรก็แล้วแต่ท่าน จองที่นั่งแล้วก็ทำหน้าที่ของท่านซะ ก่อนที่คนอื่นจะมาจองไปเสียก่อน แล้วท่านต้องมาเสียใจภายหลัง เอาละ การเลือกผู้นำ มันก็เหมือนการ "ซื้อหุ้นเหมือนกัน" นะบางทีหุ้นอาจจะราคาตกและดูแย่มากในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วมันก็พุ่งขึ้นสูงในเวลาต่อมาก็มี, หุ้นบางตัวดูดีมากในช่วงเวลาหนึ่ง แต่พอสถานการณ์เปลี่ยนไป ราคาตกเลย ก็มี ช่วงโอกาสทองของท่าน ก็คือ การเลือกซื้อหุ้นในช่วงเวลา "ราคาตก" และค่อยทำกำไรในช่วงราคาขึ้น อย่าแห่ตามกันมาก เพราะท่านอาจจะต้องซื้อหุ้นในขณะที่ราคามันแพงเสียแล้ว โอเคนะ



"ผู้นำ" เหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งทางการเมืองการปกครอง ก็ได้


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ผู้นำทั้งหลายเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งเป็นผู้นำทางการเมืองการปกครองก็ได้ เขาสามารถบำเพ็ญบารมีได้ทุกวงการ เช่น วงการบันเทิง, วงการกีฬา, วงการศิลปะฯ, วงการศาสนา, วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ก็ได้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายจะมี "บุญบารมีสัมพันธ์กับเขาได้ด้วยการสร้างบุญบารมีร่วมกัน" เช่น บางคนร่วมตัวกันสร้างวัดแต่บางคนรวมกันสร้างเว็บทางศาสนา ฯลฯ ได้ทั้งหมด แต่การสร้างบุญบารมีของท่าน จะเป็นตัวกำหนดท่านเองว่าท่านจะได้นั่งตำแหน่งใด ถ้าท่านงกขึ้เหนียว หลงจะเอาบุญมาก ทำแต่พระที่น่าศรัทธา (กะว่าจะได้บุญคืนมาเยอะๆ) แต่ท่านพลาดโอกาสทองไปก็แล้วแต่ นั่นท่านทำของท่านเอง เอาละ อย่ายึดแต่ว่าต้องทำกับพระเท่านั้น บางท่านก็เป็นผู้ให้การสนับสนุนในวงการกีฬา ก็มี เยอะแยะไป เขาทุ่มเงินให้ทีหนึ่งเป็นล้าน ก็มี ไม่ได้ยึดว่าจะต้องทำบุญกับพระเสมอไปหรอก เอาละ นี่คือ โอกาสทองนะ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย บางคนทำบุญด้วย "ดอกบัวดอกเดียว" ได้เป็นถึงนิตยโพธิสัตว์เพราะอะไร ก็ลองนึกเอาเอง ในขณะที่ใครบางคนทำบุญเป็นล้านๆ แต่ได้แค่สวรรค์ชั้นมาร ก็มีละ ของแบบนี้ มันสอนกันไม่ได้ บอกให้กันไม่ได้ครับ



"ผู้นำ" เหล่านี้ จะสร้างบุญบารมีใหญ่ แต่พวกเขาจะขาดแคลน ทำไม?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ผู้นำเหล่านี้จะบำเพ็ญบารมียิ่งยวด และสร้างบารมีครั้งใหญ่ ทว่า พวกเขาล้วนถูกกำหนดให้ขาดแคลนไปหมด ทำไมหรือ? ก็เพื่อให้เกิด "โอกาสทอง" ให้ท่านได้เข้าร่วมบุญบารมีกับเขาได้ไงละ ถ้าเขาสมบูรณ์พร้อมหมดแล้ว ท่านจะไม่มีโอกาส ได้ทำบุญกับเขาเลย เอาละ เมื่อเขาขาดแคลนและท่านมีมาก อย่างกเกินไป เพราะอย่างที่บอกแล้วแค่ "ดอกบัวดอกเดียว" ยังส่งผลให้ได้ถึง "นิตยโพธิสัตว์" ได้นี่มันไม่จำเป็นต้องรวยหือใช้ทรัพย์อะไรมากมายเลย ทว่า เมื่อท่านได้มาถึงตัวผู้นำช้าไป เหมือนหุ้นขึ้นราคา ท่านไม่อาจทำบุญด้วยดอกบัวดอกเดียวได้อีก ท่านอาจต้องทำบุญทีหนึ่งด้วย "ทองคำสักพานหนึ่ง" ก็อาจเป็นได้เอาละ ไม่อยากพูดมากเลย เดี๋ยวจะหาว่าเราลำเอียง บอกมากเกินไป โกงให้ใครบางกลุ่มได้บุญบารมีมาก แต่บางกลุ่มกลับไม่ทราบอะไรเลย อันนี้ก็ไม่ดีอีกเหมือนกัน ผมเห็นมาเยอะมากคนที่เอาแต่หลงว่าตัวเองรวยสุดท้ายได้ทำบุญ "ปลายน้ำ" ต้องทำมากกว่าเขา ถึงจะได้นั่งตำแหน่งดีๆ สักหนึ่งตำแหน่ง (เพราะตำแหน่งดีๆ ผู้ที่มาก่อนเขาได้ไปหมดแล้ว) ในขณะที่คนที่ไม่รวยอะไร แต่เพราะมีจิตใจดี ทำบุญไม่คิดอะไร ไม่ทันคิดด้วยว่าให้ใครแล้วจะได้บุญกลับมาคุ้มใหม? บางทีโชคดี ได้ทำบุญกับผู้มีบารมีมากไปก็มี เพราะอะไร? เพราะใจของเขาไม่คิดมาก ทำบุญไม่เลือก ใครลำบากมาก็ช่วยไปหมด จึงมีโอกาสมากให้แก่ตัวเอง ในขณะที่บางคน จำกัดตัวเองให้ต้องทำบุญในวงบุญแคบๆ เลือกมากไป และพลาดโอกาสดีๆ ไปก็มีครับ



"ผู้ร่วมบุญบารมี" จะต้องสร้างบุญบารมี "ไต่ระดับขึ้นมา" จึงจะได้พบ


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ "ผู้มีบุญบารมี" จะมีระดับที่ต่างกันด้วยแต่จะมี "ตัวตน" ในระดับล่างรอท่านอยู่ ให้ท่านสร้างบุญบารมีกับเขาก่อนจึงจะ "ผ่าน" และ "เลื่อนชั้น" มาถึง "ผู้มีบุญบารมีระดับสูง" หรือตัวตนที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้ ยิ่งตัวตนในระดับที่สูงก็ยิ่งยาก เพราะเขาจะทราบอะไรมากกว่าตัวตนในระดับที่ต่ำกว่า ในขณะที่ตัวตนในระดับที่ต่ำกว่านั้นจะ "รับง่าย" หรือ "รับการช่วยเหลือแบบไม่ค่อยเลือก" อย่างนี้ ก็มี ท่านจึงต้อง "ไต่ระดับจากตัวตนระดับล่างขึ้นมาก่อน" ซึ่งบางครั้ง ท่านอาจได้เจอตัวตนที่แย่มากของเขา เช่น ตัวตนที่ชอบหลอกเอาเงินคนอื่น แบบนี้ก็มีถ้าท่านยังไม่ละความพยายาม ท่านก็อาจจะได้พบตัวตนในระดับที่สูงของเขาต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่อง "บุญสัมพันธ์ในอดีต" อีก เช่น บางคนอาจจะได้เคยสร้างบุญบารมีมากร่วมกันไว้ เช่น พระพี่นางสุพรรณกัลยาฯ ของพระนเรศวร เมื่อได้สร้างบุญบารมีร่วมไว้มาก ก็จะนั่งแท่นลำดับที่หนึ่งก่อน แต่ถ้าชาตินี้ "มัวหลง" อยู่ ไม่ทำหน้าที่ ก็ตกอันดับได้เหมือนกัน เปิดโอกาสให้ผู้อื่นที่รอนั่งแท่นนี้ ได้มาบำเพ็ญบารมีได้ นี่คือ การเปิดโอกาสนะคิดดู ในบางชาติบำเพ็ญบารมีมากขนาดยอมพลีกายถวายชีวิตกันเลยพอมาชาตินี้ หลงลืมกัน มันก็ "พลาดโอกาส" กันได้ เปิดโอกาสให้คนอื่นเขาได้มาบำเพ็ญบ้าง น่าเสียดายมั้ยละ? โอเค ทุกคนมีสิทธิ์เลือกเบื่อผู้นำเคร่งครัด ไปเลือกผูนำที่ตามใจ แล้วหลงกันยกกลุ่มไม่ได้นิพพานเลย ก็อย่ามาโทษกัน ก็แล้วกัน คนอื่นเข่าก็อยากได้ตำแหน่งทางธรรม รออยู่เต็มไปหมด



ผู้นำแต่ละท่านอาจมี บุคลิกหรือสไตล์ ที่แตกต่างกัน จนไม่น่าเชื่อถือก็มี


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ ผู้นำบางคนมีบุคลิกที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่มันก็เป็นแค่บุคลิกเท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งนี้ ผู้บำเพ็ญบารมีร่วม จะ "สอบผ่าน" เพราะมีความสัมพันธ์ร่วมกันมาในอดีตชาติ รู้ใจกันดี ต่อให้ดูไม่น่าเชื่อถือแต่ ก็มี "สายสัมพันธ์ในอดีตชาติ" ผูกพันกันไว้ ทำให้ไม่ลืมกัน ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้ "พวกเขามีโอกาสได้ร่วมสร้างบุญบารมีกันได้เสมอๆ" ในขณะที่คนที่ไม่เคยใกล้ชิด ไม่ค่อยรู้จักก็จะไม่อาจจดจำลักษณะเฉพาะหรือบุคลิกที่ไม่ดีเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะพลาดโอกาสทองไป (ไม่เช่นนั้น คนรวยก็ได้ทำบุญบารมี แย่งคนที่ไม่ค่อยมีเงินไปหมด ใช่มั้ยละครับ) การปกป้องผู้ที่ได้ร่วมสร้างบารมีร่วมกันมานั้น "ผู้นำ" ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ได้เชื่อมต่อสายสัมพันธ์บุญบารมีกันยาวนานต่อไป ดังนั้น ผู้นำ จึงต้องมีสิ่งที่ "ไม่สมบูรณ์แบบ" บางประการ ไว้เพื่อ "คัดเลือกคนที่จริงใจต่อเขา" ด้วย เพื่อจะได้พบเจอคนที่จริงใจและร่วมสร้างบุญบารมีกันมานั้นจริงๆ


ขอพลังแห่งพระบิดาจักรวาล จงช่วยให้ท่านพบผู้นำที่ต้องการ สวัสดี



11 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สร้างโลกใหม่ หรือจริงๆ แล้วก็คือ โลกใบเดิมที่ถูกห่อหุ้มด้วยสมมุติใหม่?

สวัสดีครับ วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่องพื้นฐานคือ แนวคิดสร้างโลกใหม่ที่กำลังแพร่ขยายอยู่ขณะนี้ คำถามคือ มันจะเป็น โลกใหม่ ตามความคาดหวังของผู้คนจริงหรือไม่ หรือว่าแท้จริงแล้วมันเป็นได้แค่โลกใบเดิมที่ถูกห่อหุ้มด้วยสมมุติใหม่กันแน่ เอาละ วันนี้ เรามาคุยเรื่องนี้กัน


"โลกใหม่" ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของภาคมืดและภาคสว่าง


อย่างแรกที่เราควรทราบคือ "พลังงานขับเคลื่อน" ที่ทำให้เกิด "โลกใหม่" นั้น มาจากแหล่งใด ถ้ามาจาก "พลังภาคมืด" นั้นแน่นอนว่าโลกไม่ได้ใหม่จริง แต่เป็นโลกใบเดิมที่ถูกห่อหุ้มด้วยสมมุติใหม่ก็เท่านั้น แต่ถ้าเกิดขึ้นด้วยภาคสว่าง โลกก็จะได้รับการสร้างใหม่อย่างแท้จริง โดยไม่กระทบต่อสมมุติเดิมมากนักนี่คือ อย่างแรกที่เราควรเข้าใจก่อน เพราะถ้าเราสร้างโลกใหม่ด้วยพลังงานเก่า พลังงานภาคมืด ผลของมันจะไม่ต่างไปจากเดิมเลย มันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสมมุติห่อหุ้มเท่านั้นเอง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงได้เลย และด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการตรวจเช็ค "พลังที่ขับเคลื่อนให้เกิดโลกใหม่" ให้มากว่ามาจากแหล่งพลังงานใด



พลังภาคมืดก็มี "ตัวตนผู้สร้าง" ไม่ต่างจากพลังภาคภาคสว่าง


ต่อไปที่เราควรทราบคือ พลังภาคมืดเองก็มี "ตัวตนผู้สร้าง" ซึ่งไม่ต่างไปจากพลังภาคสว่างเลย เทพองค์ใดที่ภาคสว่างมี ภาคมืดก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ทำงานไปคนละทางกันเท่านั้นเองเช่นพระสุริยเทพของภาคมืด ก็มีเหมือนกัน แต่ท่านจะทำงานให้กับภาคมืด ไม่ได้ทำงานให้กับสวรรค์ โดยจะใช้ "พลังแสงสว่าง" ส่องสว่างให้ปัญญาแก่ผู้คน "เป็นฉากหน้า" และมีพลังภาคมืดเป็น "เบื้องหลัง" เพื่อเปิดทางให้ผู้คนยอมรับได้ง่ายๆ เพราะยังมีคนบางกลุ่มที่สัมผัสพลังได้ดี แยกแยะพลังมืด และสว่างได้ดีเมื่อพวกเขาสัมผัสพลังของพระสุริยเทพภาคมืด เขาจะไม่รู้ว่านี่คือ "ส่วนหนึ่งของภาคมืด" เพราะท่านมีพลังภาคสว่างอยู่ในตัวนั่นเอง ดังนั้น จึงสามารถหลอกคนที่มีจิตสัมผัสแยกแยะพลังมืดและสว่างได้ดี วิธีการคือการให้ "ข้อมูลที่สว่างไสวแต่ด้านเดียว" ทำให้ผู้คนยอมรับ, เปิดใจรับ และคิดว่าเขามาดี และไม่มีพิษภัยจากนั้น เบื้องหลังที่เป็นภาคมืดของท่านก็จะทำกิจภาคมืดต่อไป



"แผนการสร้างโลกใหม่" ก็มีทั้งของภาคมืดและภาคภาคสว่าง

ต่อไปที่เราควรทราบคือ แผนการสร้างโลกใหม่นั้น มีทั้งในภาคมืดและภาคสว่าง แต่ทั้งสองส่วนจะทำหน้าที่ตามเป้าหมายต่างกันไป ภาคสว่างจะทำหน้าที่ตามกฏแห่งกรรมตามบัญชาสวรรค์แต่ภาคมืด จะทำตามแผนการของภาคมืด จะไม่ตรงตามสวรรค์มนุษย์ทั้งหลายจะถูก "คัดเลือกเข้าสู่ภาคมืดหรือภาคสว่าง" ก็เพื่อกลายเป็นกำลังในการขับเคลื่อนแผนการของเขานั่นเอง จึงมีมนุษย์บางคนทำงานให้ภาคมืดและมนุษย์บางคนทำงานให้กับภาคสว่าง ในแผนการเดียวกันก็คือ "การสร้างโลกใหม่" นั่นเองทว่า ภาคมืด จะมุ่งเน้นการสร้างโลกในส่วน "วัตถุมากกว่าเรื่องจิตใจ" แต่ภาคสว่างจะมุ่งเน้นการสร้างโลกในส่วน "จิตใจมากกว่าเรื่องวัตถุ" ทว่า ทั้งสองภาคส่วนก็จะทำกิจของตนไปด้วยกันทั้งคู่ (คู่ขนานกันไป) อาทิเช่น เรื่องการเลื่อนระดับของโลก ส่วนภาคสว่างจะมุ่งเน้นจิตวิญญาณว่ามีการพัฒนาขึ้นจริงหรือไม่แต่ภาคมืดจะไม่สนใจตรงนั้นเลย แต่จะมุ่งเน้นเรื่อง ความเจริญทางวัตถุมากกว่า ซึ่งสิ่งนี้ มนุษย์หลายคนอาจไม่สามารถแยกแยะได้



"กลุ่มพลังคลาสสิค" ไม่ใช่ของทั้งภาคมืดและภาคภาคสว่าง


ต่อไปที่เราควรทราบคือ นอกจากกลุ่มพลังงานภาคมืดและภาคสว่างแล้ว ยังมีกลุ่มพลังงานคลาสสิคที่เกิดจากโลกและมีภาวะเป็นกลางจากภาคมืดและภาคสว่าง อยู่ด้วย พลังภาคส่วนนี้เองก็มีไม่น้อย และหากพลังคลาสสิคเข้าร่วมด้วยช่วยส่วนไหน ในภาคส่วนนั้นก็จะมีกำลังมากในโลกเนื่องจากกลุ่มพลังงานคลาสสิคนี้ เกืดจากโลกและอยู่คู่โลกมานานแล้ว ดังนั้น จึงกลายเป็นกลุ่มพลังงานที่คอยคานอำนาจ ของพลังภาคมืดและภาคสว่างได้ เอาละ สิ่งที่ท่านควรทราบต่อไปคือ ท่านกำลังใช้พลังภาคมืดภาคสว่าง หรือพลังงานคลาสสิคอยู่ เพราะมันมีผลอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของท่านในชาตินี้และในอนาคตชาติข้างหน้ามากทีเดียว ดังนั้น ท่านจึงควรตรวจเช็คพลังงานที่ท่านใช้ทำงานด้วย



"ตัวตนในมิติต่างๆ" ซ้อนทับกันอยู่ ดังนั้น จิตวิญญาณประสานกายได้


ต่อไปที่เราควรทราบคือ ตัวตนในมิติต่างๆ นั้นมีมากมายใน "ทุกมิติ" ไม่ใช่ว่าท่านมีตัวตนอยู่ในมิติของสังขาร แต่ในมิติของพลังงานท่านจะไม่มีตัวตน ก็หาไม่ สรุปง่ายๆ คือ "ในทุกมิติมีตัวตน" และ "ตัวตนมีอยู่ในทุกมิติ" ดังนั้น ภาวะที่เรียกว่า "จิตวิญญาณประสานกาย" ก็ดี หรือ "ภูติผีประสานร่าง" นั้น จึง "มีความเป็นไปได้ อันเนื่องมาจากภาวะการเหลื่อมซ้อนกันของมิติต่างๆ นั่นเอง" การกล่าวว่าไม่มีตัวตนในมิติของพลังงานหรือภูติ-ผีมาซ้อนกายนั้น จึงไม่จริง เป็นการปิดบังอำพรางความจริงบางอย่างไว้เท่านั้น เรื่องของการ "ซ้อนทับกันของตัวตนในมิติต่างๆ" นั้นเกิดขึ้นได้ แต่เราอย่าไปติดภาพการเข้าทรง หรือผีสิงร่างแบบในหนัง มากไปนัก เพราะสิ่งที่ท่านได้รับรู้มาอาจแทรกไว้ด้วยพลังงานเชิงลบมากเกินไปกว่าที่จะเสนอความจริงตามความเป็นจริง เอาละ สรุปก็คือ "พลังภาคมืดและภาคสว่าง" ต่างมีตัวตนในมิติของพลังงาน ที่สามารถซ้อนทับกับตัวตนที่มีสังขารของมนุษย์ได้ เป็นผลจากสภาวะการเหลื่อมซ้อนกันของมิติต่างๆ เท่านั้นเอง ซึ่งผู้ที่มีพลังจิตก็สามารถกำหนดทิศทางของมันได้ด้วย



"นิพพาน" คือ ธรรมชาติที่พ้นแล้วจากทุกมิติ (ภพ) และทุกตัวตน


ต่อไปที่เราควรทราบคือ ยังมีธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พ้นแล้วจากทุกตัวตนและทุกมิติ นั่นคือ ภาวะธรรมชาติที่เรียกกันว่า "นิพพาน" นั่นเองเอาละ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้อยู่ในภาวะนิพพานนี้ ท่านก็ยังมีตัวตนในแต่ละมิติอยู่ต่อไปและท่านก็ยังไม่พ้นการมีตัวตนตัวใหม่ๆ ในมิติที่แตกต่างออกไปเรื่อยๆ ได้ ในขณะเดียวกัน ตัวตนในมิติต่างๆ ก็ยังจะเชื่อมโยงตัวตนของตนเข้าสู่ "ตัวตนเชิงสังขารที่เป็นมนุษย์" มากไปกว่ามิติอื่นๆ อีกด้วย นั่นคือ "ตัวตนในมิติของสังขาร" เป็นเหมือนศูนย์รวมของตัวตนในแต่ละมิตินั่นเอง ดังนั้น คำว่า "จิตวิญญาณ ประสานกาย" จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่สามารถเกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่การซ้อนกันของตัวตนในมิติของพลังงานกับตัวตนเชิงสังขาร ที่คนมักเรียกว่าการเข้าทรง การสิงสู่ การสถิตย์ ฯลฯ ก็ล้วนสามารถเป็นไปได้เช่นกัน ทว่า คุณไม่ควรตระหนกตกใจกับเรื่องการเหลื่อมซ้อนกันของตัวตนต่างมิติเหล่านี้ให้มากนัก แต่ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมและดำเนินชีวิตอย่างไร ให้เกิดการ "ยกระดับของตัวตนของคุณและตัวตนในมิติอื่นๆ ที่เชื่อมโยงถึงกัน" จะดีกว่า นั่นหมายความว่าเมื่อใดที่ตัวตนเชิงสังขารของคุณได้เลื่อนระดับไปแล้ว คุณก็ควรช่วยเหลือตัวตนในมิติอื่นๆ ให้เลื่อนระดับไปด้วย ด้วยการ "เชื่อมโยงกันของตัวตนต่างมิติ" ซึ่งมันไม่ยากเกินไปเลย


ขอพลังแห่งพระบิดาจักรวาล จงช่วยตัวตนทุกมิติของคุณ ให้สว่างไสว
สวัสดี ... 



10 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แนวคิดที่ผิดพลาดเรื่อง "God am I" ขอพรจากพระเจ้าและอื่นๆ

สวัสดีครับ วันนี้ ผมรับอาสาช่วยแก้ไขการสื่อสารต่างมิติที่ผิดพลาดบางเรื่องเช่น แนวคิดของลัทธิ New Age ที่ว่า "พระเจ้าฉันเอง" หรือ God am I ก็ดีการขอพรจากพระเจ้าแบบผิดๆ ก็ดีและยังมีอะไรที่ผิดพลาดอีกมากมาย เอาละเราจะมาค่อยๆ คุยกันไปแบบง่ายๆ ให้มีความเข้าใจ ที่ตรงกันสักนิดหนึ่งนะครับ


วันนี้ ผมเลือกสังขารที่อยู่นอกลัทธิ New age เพื่อสื่อสารเรื่องนี้โดยเฉพาะและเขาจะสื่อสารข้อความที่แตกต่างไปบ้างจากที่"ชาวฝรั่ง" ที่คุณนิยมเชื่อมากกว่าเชื้อชาติของพวกคุณเอง แต่ว่าผมก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้ครับ ไม่เช่นนั้น ข้อความเหล่านี้ คงมีสภาพไม่ต่างจากที่ออกมาจากลัทธิ New age ทั้งหลาย เอาละ อย่าเพิ่งไปโทษใครนะครับ ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว แต่อย่าลืมว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ นั่นคือ เหตุที่ผมต้องเลือกคนที่อยู่นอกลัทธินั้นในการสื่อสารต่างมิติครั้งนี้ครับ เชิญพิจารณาครับ



จงให้กำลังใจพวกเขา ทุกคนผิดพลาดกันได้เสมอ แต่ผิดแล้วก็ควรแก้ไข


อย่างแรก ผมอยากจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดหรือความเลวร้ายอะไร แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้เสมอในโลกนี้ครับ คือ การสื่อสาร อาจผิดพลาดได้บ้างเป็นธรรมดาแม้แต่กับสังขารที่กำลังทำงานนี้อยู่ก็ตาม ซึ่งคุณควรให้กำลังใจเขา ให้เขาพัฒนางานของเขาต่อไป แต่ว่า สิ่งที่สื่อสารผิดพลาดไป ก็กลายเป็น "โอกาสทองของคนหน้าใหม่" ได้เข้ามาร่วมแก้ไขให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ละเอียดยิ่งขึ้น ทำให้คนกลุ่มใหม่ๆ ได้มีงานของเขา เป็นงานที่สำคัญยิ่งยวดและคุ้มค่ามากเลยนะครับ และสิ่งสำคัญที่คุณควรจะรู้ไว้อีกประการคือ No body perfect นะครับ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งทำงาน แล้วพลาดไปในรายละเอียดเล็กน้อย เราจะไม่โทษเขาแต่เราจะยินดีที่จะ "ให้โอกาสทองแก่คนอื่นๆ บ้าง" ในการทำงานแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาดของคนกลุ่มแรกไป และจะมีคนกลุ่มอื่นๆ ตามมาช่วยเสริมในกิจต่างๆ เหล่านี้เรื่อยๆ ครับ ทำให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสร่วมภารกิจที่สำคัญยิ่งยวดนี้ได้ร่วมกัน เพราะความไม่สมบูรณ์แบบไงละครับ เอาละ ผมบอกไว้เพื่อบางคนที่ "เชื่อ จนไม่เหลือที่ว่างสำหรับ ความไม่สมบูรณ์แบบ" ไว้บ้างเลย เช่น เชื่อฝรั่งมากเกินไป เพราะเห็นว่าชาติพันธุ์ของพวกเขานั้นต้องเหนือกว่าชาติพันธุ์ของคุณ อย่างไรก็ต้องเชื่อไว้ก่อนทั้งหมด เอาละ นี่เป็นช่องว่างนะ ทำให้ "ความไม่สมบูรณ์แบบ" เล่นงานคุณได้ ผมแต่เตือนไว้เท่านั้น มิได้ต้องการจุดประเด็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติแต่อย่างใดแต่อยากให้คุณ "ให้เกียรติ์ผู้ทำหน้าที่ที่มีเชื้อชาติเดียวกับคุณด้วย" เขาก็ได้รับการคัดเลือกมาแล้วว่าทำหน้าที่ได้ ไม่ต่างจากฝรั่งเหมือนกัน (เขาร้องขอให้ผมช่วยอธิบายตรงนี้เสียหน่อย เพื่อเขาจะได้ทำงานได้สะดวกขึ้น)



การสื่อสารที่ผิดพลาดอาจก่อให้เกิด "ลัทธินิกาย" ที่คลาดเคลื่อนไปได้


ปัญหาต่อไปของการสื่อสารที่ผิดพลาดคือ จะทำให้เกิดลัทธินิกายแพร่ออกไปในวงกว้าง และกลายเป็น "รังของปีศาจร้าย" ได้ในอนาคต คือ "ภาคมืด" จะอาศัยลัทธินิกายเหล่านั้นในการหลบซ่อนตัว และบ่มเพาะพลังของพวกเขาให้มากขึ้น จนกระทั่งมีพลังอำนาจมากพอที่จะทำอะไรได้มากมาย และนั่นจะส่งผลร้ายต่อปวงสัตว์ได้ ฟังดูน่ากลัวนะ แต่ก็อย่าตกใจไปเลย สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดมานานแล้ว และยังคงมีอยู่ต่อไปท่านทั้งหลายก็อยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านี้ได้มานานแล้ว แต่ว่าก็ไม่ควรประมาทครับ การมองโลกในแง่ดีเกินไป แง่เดียว อาจกลายเป็นการ "ปิดบังความจริง" ที่แนบเนียที่สุดได้ จำเป็นที่เราต้องเห็นสรรพสิ่ง "รอบด้าน" นะครับไม่ใช่เห็นแต่ด้านเดียวแต่เมื่อเราเห็นด้านไม่ดีหรือด้านลบแล้ว จิตใจเราจะเป็นลบไปด้วยมั้ย? ถ้าลบไปด้วย นั่นไม่ใช่ละ เอาละ คนที่มองโลกแง่บวกจริงๆ แม้เห็นสิ่งเลวร้ายหรือด้านลบ ก็ไม่ถูกจูนด้วยประจุลบนะครับ แต่มันมิใช่ "การปิดบังความจริงด้านลบ" เพื่อหลอกลวงให้คนฝันหรือหวังว่าจะมีแต่สิ่งที่ดีเสมอไป แบบนั้นเป็นการหล่อเลี้ยงคนด้วยความหวัง, ความฝันซึ่งเมื่ออนาคตมันไม่เกิดขึ้นจริงขึ้นมา ก็จะกลายเป็นปัญหาได้มากนะครับ



การเกิดขึ้นของ "ลัทธิ New age" และความเชื่อเรื่อง "พระเจ้าฉันเอง"


ปัญหาต่อไปของการสื่อสารที่ผิดพลาดอย่างแรก คือ การเผยแพร่ความคิดเรื่อง "พระเจ้าฉันเอง" นั้นมีความเสี่ยงหลายประการและมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก อันที่จริงต้องกล่าวว่า พระเจ้ามีหน้าที่ของท่าน มนุษย์ก็มีกิจมีหน้าที่ของตนเอง ทุกคนสำคัญเหมือนกันหมด เพียงแต่ต้องทำกิจในมุมที่แตกต่างกันจึงมีรูปลักษณ์ต่างกันเป็นพระเจ้าบ้าง, พระบุตรบ้าง, มนุษย์บ้าง ขอเพียงเราเห็นคุณค่าในทุกสิ่ง "เท่าเทียมกัน" เรา จะเข้าใจสิ่งนี้ได้ง่ายขึ้นครับ นั่นคือ เราไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้า เพราะเรามี พระเจ้าทรงมีกิจ มีหน้าที่ทำได้ดีอยู่แล้วนะครับ แต่อย่างไรก็ตามเรามี "พระจิตที่บริสุทธิ์ไม่ต่างจากพระเจ้า" นะครับ เราและพระเจ้าก็ไม่ต่างกันที่ "พระจิต" นี้ครับที่เหลือคือ "พระวิญญาณบริสุทธิ์" เท่านั้น ที่เรายังจะต้องทำการชำระล้าง "ขันธ์ห้า" ของเราให้บริสุทธิ์ เราก็จะบริสุทธิ์เข้าถึงธรรมได้ดังเช่นพระเจ้าครับ ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้านะครับ เราเป็นเรานี่หละ ดีอยู่แล้วครับ มนุษย์แต่ละคนมีคุณค่าในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้าครับ! เอาละ ถ้าท่านกำลังฝันเคลิ้มไปกับการที่จะได้ "ยกตัวเองเป็นพระเจ้า" มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างละ อย่างแรก อัตตาของคุณจะเติบโตขึ้น มันจะทำลายการเลื่อนระดับของคุณเองอย่างแน่นอน อย่างต่อไป คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มนะครับ ถ้าคนหลงตัวเองว่าตนคือพระเจ้าไปแล้ว โลกคงวุ่นวายสับสนน่าดู



การขอพรพระเจ้าเพื่อเป็นเงื่อนไขในการแลกกับการจะยอมเชื่อพระเจ้า


ปัญหาต่อไปของการสื่อสารที่ผิดพลาดอย่างต่อไป คือ การที่ชาวคริสต์ออกไปเผยแพร่เรื่องของพระเจ้าทั้งที่เขายังไม่พร้อม และใจร้อนไปโดยที่เขาเองอาจยังไม่เข้าใจมากพอและเขาจะตกเป็นเครื่องมือของภาคมืดได้ครับ โดยภาคมืดจะเข้ามาครอบงำและทำตัวเป็นพระเจ้าแทน โดยให้คน "ลองขอพรกับพระเจ้า" สร้างเงื่อนไข ว่าถ้าได้จริงตามพร ก็จะยอมรับนับถือพระเจ้า มันไม่ใช่การให้พรที่บริสุทธิ์ใจนะครับ มันเป็นการให้ซึ่งหวังผลตอบแทน มันไม่ใช่การให้แต่มันคือการแลกเปลี่ยนไงครับคือแลกกันว่าถ้าได้ตามพรจะยอมนับถือพระเจ้าแบบนี้มีเยอะนะครับ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องครับ เพราะพระเจ้ามีความรักและการให้ที่บริสุทธิ์แบบที่ไม่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนอะไรทั้งนั้นนะครับ ดังนั้น จึงไม่ต้องมีเงื่อนไขในการที่จะขอพรว่าต้องได้ตามพรก่อนแล้วจึงจะเชื่อนะครับ แบบนั้นไม่ใช่ความศรัทธาที่แท้จริงแต่เป็น "การตลาด" เป็น "การแลกเปลี่ยน" ครับคือ เอาพรมาแลกกับความยอมรับนับถือครับ มันไม่ใช่ความศรัทธาที่แท้จริงเลยแต่ก็มีหลายท่านมากทำแบบนี้ครับส่งผลให้ "ภาคมืด" เข้ามาควบคุมได้ครับและภาคมืดจะให้พรแก่พวกเขาเพื่อแลกมาซึ่งความศรัทธาไงละครับ



การมองโลกในแง่ดีที่ผิดพลาด เปิดช่องให้ "ภาคมืด" เข้ามาสู่ศาสนา


ปัญหาต่อไปของการสื่อสารที่ผิดพลาดอย่างต่อไป คือ การทำให้คนนั้นมองโลกในแง่ดีด้านเดียว แล้วปิดบังอำพรางความจริงอีกด้านไว้ แบบนี้เป็น "พระอาทิตย์เทียมนะครับ" ไม่ใช่พระอาทิตย์จริง เพราะพระอาทิตย์จริงจะมี "แสงสว่างรอบทุกด้าน ไม่มีด้านที่ปิดบังอำพราง" นะครับ แต่นี่จะมี "ด้านหน้าที่สว่างไสว" แต่อีกด้านจะถูกปิดบังอำพรางไว้ มันคืออะไรมันก็คือ "เงามืดของเขาเองไงครับ" เขามีเงามืดอีกด้านซ่อนอยู่ เขาจึงมีความจริงเสนอ "ด้านเดียว" เฉพาะด้านดีเท่านั้น ทำให้เราหลง ทำให้เรายอมรับได้ง่ายๆ ทำให้เราเผลอ มองเห็นแต่ส่วนดีไปหมดครับ แบบนี้ไม่ใช่พระสุริยเทพองค์จริงนะครับเพราะ "สว่างด้านเดียวอีกด้านปิดบังอำพรางไว้" เช่น การเผยแพร่สัจธรรมที่มีแต่ด้านดีด้านเดียว หลอกล่อให้เราหลงให้เราชอบ ให้เรายอมรับ ทำให้เราฝันเคลิ้ม ทำให้เรามีความหวังไว้ หล่อเลี้ยงเราด้วยความหวัง ไว้ตลอดเนืองๆ ให้เรามีจิตร่วมกับเขา เขา ก็จะได้พลังร่วมจากพลังจิตของเราไปด้วยครับ แต่มันไม่ทำให้เราหลุดพ้น มันทำให้เรา "เสพติดสัจธรรมของเขา" เช่น เวลาเครียด, หม่นหมอง ก็ต้องมาอ่านข้อความของเขา จึงจะหายได้ครับ เสพติดเหมือนยาเสพติดเลย มันไม่ได้ทำให้เรารอดพ้น หรืออิสระได้อย่างแท้จริงนะครับ พอมองออกไหม? นี่แหละ "สุริยเทพภาคมืด" เขามีด้านหน้าเป็นพระสุริยเทพที่มีแสงสว่างมาก แต่อีกด้านเขาก็จะปิดบังอำพรางไว้ครับ ด้านลบเขาจะไม่ให้เรามองเห็น และมันจะกลายสภาพเป็น "ด้านมืด" ที่เขาจะปกป้อง "ภาคมืด" ไว้ทำให้ภาคมืดเข้ามาสู่ศาสนาต่างๆ ได้ จากการปิดบังอำพรางของเขานั้นดังนั้น การมองโลกในแง่ดี จึงไม่ใช่การมองโลกด้านเดียว นะครับ เราต้องมองให้เห็น "รอบด้าน-ทุกด้าน" ทั้งด้านดีและเลว, ลบและบวก แต่เราจะมีจิตที่หลุดพ้นไม่ติดด้านลบ และผ่องใสเพราะปัญญา จึงมีพลังบวกครับ



การได้รับ "ข้อมูลต่างมิติจริง" แต่การตีปริศนาหรือความเข้าใจผิดพลาด


ปัญหาต่อไปของการสื่อสารที่ผิดพลาดอย่างต่อไปคือ แม้ว่าใครหลายคนจะได้รับ "ข้อมูลสื่อสารต่างมิติจริง" ทว่า พวกเขาอาจจะเข้าใจผิดพลาดได้ หรือบางครั้งเขาอาจจะตีปริศนาผิดพลาดได้ เพราะข้อมูลต่างมิติ จำจะต้องส่งมาในรูป "ปริศนา" ในบางครั้ง เพื่อป้องกัน "ภาคมืด" ที่จะทำให้มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปได้ครับ แบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยและพบได้บ่อยมากนะครับเช่น การที่ได้รับข้อมูลว่าพระเจ้าสถิตย์อยู่กับท่าน อาจจะทำให้เข้าใจผิดไปว่า "งั้นเราก็คือพระเจ้านะสิ" ซึ่งแท้แล้ว มันมีรายละเอียดต่างไปเล็กน้อยนะครับ มันไม่ใช่อย่างนี้ คำว่าสถิตย์ในตัวเรา ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นพระเจ้าเสมอไป แต่พระเจ้าสถิตย์อยู่กับเราได้ และไม่ใช่การสิงสถิตย์นะครับ มันไม่มีคำศัพท์ที่ดีพอจะใช้อธิบายได้ครับ จึงต้องใช้คำนี้ทว่า มันเป็นอีกภาวะหนึ่งที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ โดยที่เราไม่ต้องเป็นพระเจ้าเสียเอง พอเข้าใจไหมครับ? มันผิดพลาดไปเล็กน้อยเท่านั้นแต่ผลมันต่างกันมากมายเลยทีเดียว ทว่า อย่างไรก็ตาม พวกเขาอาจจะได้รับการสื่อสารต่างมิติจริงๆ นะแหละ เพียงแต่ว่า การตีปริศนาธรรม หรือความเข้าใจอาจจะผิดพลาดไป ก็เท่านั้นเอง ซึ่งมันมีกันได้ "ทุกคนที่ทำหน้าที่นี้นะครับ" ทุกคนที่ทำหน้าที่สื่อสารไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100% มันมีข้อที่ผิดพลาดกันได้ ดังนั้น ท่านผู้นำข้อมูลต่างมิติไปใช้ก็ต้องใช้อย่างมีปัญญาพิจารณาด้วยครับ ไม่ใช่ว่าพอเชื่อแล้ว ก็เผลอลืม ประมาท เชื่อไปหมดเลย



ขีดจำกัดของ "ภาษา" และการใช้คำศัพท์ในการอธิบายข้อมูลต่างๆ


ปัญหาต่อไปของการสื่อสารที่ผิดพลาดอย่างต่อไปคือ เรื่องการใช้คำศัพท์และขีดจำกัดด้านภาษาต่างๆ อาจกลายเป็น "ช่องโหว่" ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ทั้งส่วนของผู้รับสารและผู้นำข้อมูลข่าวสารไปใช้ บางท่านเกิดในประเทศหนึ่ง มีภาษาใช้อย่างหนึ่ง แต่อีกท่านหนึ่งเกิดในประเทศที่ต่างกันออกไปและมีคำศัพท์ภาษาที่ใช้ต่างกัน นี่ก็ทำให้เกิด "ช่องโหว่" ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยเช่น เรื่องการพิพากษา หลายท่านเข้าใจผิดไปว่า "ให้มนุษย์พิพากษากันเอง" ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้น จริงอยู่มันมีการพิพากษากันเองของหมู่มนุษย์อยู่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของ "วันพิพากษา" ไม่ใช่ว่าให้ท่านไปร่วมกันกำหนด "วันพิพากษา" ขึ้นมาแล้วใช้ HAARP ทำให้มันเกิดขึ้นคนจะได้เชื่อว่ามันเป็นจริง นี่ไม่ใช่เลย วันพิพากษาของจริงนั้นจะเป็นไปได้ด้วยปาฎิหาริยของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้ามีอยู่แล้ว ทำได้อยู่แล้ว มนุษย์ไม่จำเป็นต้องทำแทนพระเจ้าหรือว่าทำตัวเป็นพระเจ้า เพื่อพิพากษาคนอื่นเสียเอง อันนั้นไม่ใช่นะครับ เอาละ ยังมีการใช้ศัพท์มากมายที่ทำให้คนเข้าใจผิดในเรื่องข้อมูลต่างมิติอยู่ แต่คงจะตามแก้ไขได้ไม่หมดนะครับสิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่การ "อ่านให้เข้าใจ" อย่างเดียว เพราะสิ่งที่ท่านได้รับจากการอ่าน อาจจะผิดพลาดก็ได้ ดังนั้น ท่านจึงต้องมี "ระดับจิตเดียวกันกับแหล่งข้อมูล" ให้ได้ด้วย จึงจะเข้าใจสารที่มาจากต่างมิติได้ดังนั้น ผมจึงกล่าวเสมอว่า "การยกระดับ" คือ สิ่งสำคัญ มากกว่าการที่ท่านอ่านข้อความต่างมิติแล้วเข้าใจเสียอีก กล่าวคือเมื่อท่านได้ยกระดับตัวเองไปสู่ระดับที่สูงขึ้นทัดเทียมกับแหล่งข้อมูลต่างมิติแล้ว ท่านจะเข้าใจได้เองโดยไม่ต้องอธิบาย และข้อความจากผู้อื่น จะไม่จำเป็นอีกต่อไป


ขอพลังแห่งพระบิดาจักรวาล ช่วยให้ท่านผ่านด่านทดสอบนี้ด้วย สวัสดี



9 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พันธนาการแห่งความเชื่อ การเสพติดความเชื่อ และเบื้องหลังภาคมืดของความเชื่อ

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมาคุยกับท่านเรื่องพื้นๆ นะครับ คือ เรื่อง "ความเชื่อ" ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และส่งผลกระทบต่อจิตใจคนได้มาก แต่อย่างไรก็ตาม เราก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้มันนะครับ โอเค ทำใจสบายๆ เรามาคุยกันแบบง่ายๆ และเป็นกันเอง ก็แล้วกันครับ


ความเชื่อที่ถูกกำหนดด้วยคนอื่น และความเชื่อที่คุณเลือกทิศทางได้เอง


อย่างแรกเลย ผมอยากให้คุณแยกแยะระหว่างความเชื่อสองแบบนี้ให้ได้ก่อน คือ 1. ความเชื่อที่ถูกกำหนดโดยผู้อื่น เช่น ความเชื่อตามคำทำนาย 2. ความเชื่อที่คุณเลือกทิศทางได้เอง เช่น คุณเลือกที่จะเชื่อว่า มันต้องมีแสงสว่างรออยู่ในวันข้างหน้า ถ้าคุณไม่ละความพยายาม ทว่า ความเชื่อทั้งสองแบบนี้ ให้ผลต่อชีวิตคุณในแบบที่แตกต่างกันมาก กล่าวคือ แบบที่หนึ่ง คุณจะถูกชักจูงไปตามความเชื่อนั้น เป็นเหมือน "วัวเชื่อง" ที่ถูกเขาสนทะพายแล้วลากจูงจมูกไป ซึ่งมันอาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้างอะไรก็แล้วแต่ แม้ว่าคุณไม่ถูกจูงจมูกด้วยความเชื่อนั้น "คุณ ก็เดินไปเองได้อยู่แล้ว" อย่าลืมซะละ! นั่นหมายความว่าความเชื่อหรือคำทำนายบางอย่าง แม้ว่ามันจะจริง แต่มันก็ไม่จำเป็น ที่คุณต้องอาศัย หรือไปพึ่งพายึดเกาะมันเลย คุณก็ยังมีชีวิตได้ตามปกติแม้ไม่ทราบคำทำนายเหล่านั้นด้วยซ้ำไป เชื่อมั้ยละ? ทว่า คุณหลายคนก็ยังอยากจะลุ้นว่าคำทำนายนั้นๆ จะเป็นจริงหรือไม่ มันเหมือนการเสพติด หรือการติดพนัน อะไรสักอย่างหนึ่งและนั่นทำให้คุณต้องติดพันกับการ "เสพติดรับคำทำนายเนืองๆ" และไม่ได้รับอิสรภาพจากการ "ถูกจูงจมูก" ไปได้ คุณยังเป็นได้แค่วัวตัวหนึ่งในฝูงวัวทั้งหลายที่มีเจ้าของลากจูงไป ก็เท่านั้นเอง คุณก็ยังไม่ใช่วัวที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง (ซึ่งแท้แล้ว วัวก็แค่หาหญ้ากิน มันง่ายมากครับ เพราะมีหญ้ามากมายในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องยอมเป็นทาสใครแล้วจึงจะมีหญ้ากิน) นั่นคือ "ความเชื่อที่เป็นบ่วงพันธนาการ" ผูกมัดให้ชีวิตของคุณต้องอยู่กับสิ่งนั้น และเสพติดมัน รอคอยเวลาที่มันจะเป็นจริง และมันไม่ช่วยในการยกระดับชีวิตของคุณเลย ความเชื่อที่ถูกจูง ความเชื่อที่ถูกกำหนดด้วยคนอื่นเหล่านี้ ยังไม่ใช่ "ความเชื่อที่คุณเลือกทางเดินได้เอง" นะครับ ยังไร้อิสระยังเต็มไปด้วย "บ่วงพันธนาการแห่งความเชื่อ" ซึ่งคอยจูงจมูกคุณ ต่อไป



คุณยอมเป็น "ทาสของพระเจ้า หรือ ทาสของความเชื่อ" เหล่านั้นกันแน่


ต่อไปที่คุณควรจะตรวจเช็คตัวคุณเองสักนิดคือ จริงหรือไม่ที่คุณยอมเป็น "ทาสของพระเจ้า" หรือแท้แล้วคุณ "ทรยศต่อพระเจ้า" แล้วเปลี่ยนนายไปรับใช้ "ความเชื่อ" เหล่านั้นแทน เช่น ความเชื่อที่ว่ามีเกาะถูกสาป ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงหายได้ แล้วนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าบอกแก่หรือ? มันอยู่ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้ามอบแก่คุณหรือไม่ ความเชื่อเหล่านี้มาจากที่ใดกันแน่? คุณยอมก้มจำนนเป็นทาสต่อความเชื่อเหล่านี้ไปแล้วหรือไร? แทนที่จะเชื่อในพระเจ้าดังเดิม เชื่อในพระคัมภีร์ที่พระองค์ประทานดังเดิม ทว่านี่มันไม่เหมือนหรอกนะ คุณเปลี่ยนไปแล้ว คุณทรยศต่อพระเจ้า คุณเปลี่ยนไปเชื่อในใครก็ไม่รู้ คุณยอมรับเขาคนนั้นเป็นเจ้านาย และหลงลืมพระเจ้าของคุณไปหมดแล้ว เอาละ มันยังมี "ความเชื่อและคำทำนายใหม่ๆ" ซึ่งเกิดขึ้นมา "สนองความอยากเสพ" ของพวกคุณ พวกคุณมีกิเลสอยากที่จะเสพ และรับรู้มัน ซึ่งสิ่งเหล่านั้น "มิได้อยู่ในพระคัมภีร์" มิได้อยู่ในสิ่งที่พระเจ้าต้องการบอกให้คุณทราบเลย แต่คุณได้เปลี่ยนไปแล้ว ใจของคุณได้ออกห่างจากพระเจ้าไปแล้ว คุณเลือกที่จะเชื่อในคำทำนายและคำสาปแช่งอันเกิดขึ้นจาก "คนที่ไม่ใช่พระเจ้า" สร้างมันขึ้นมาในภายหลัง แทนที่จะเชื่อสิ่งที่พระเจ้าบอกแก่คุณ เชื่อในพระคัมภีร์ดังเดิม คุณถูกความเชื่อเหล่านั้นผูกมัด พันธนาการมายาวนาน ไม่อาจเป็นอิสระจากมันได้ เพราะคุณมีใจออกห่างจากพระเจ้า คุณยอมจำนนต่อสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า และสิ่งนั้นได้ "ครอบงำและกลืนกิน" ชีวิตจิตใจคุณไปแล้ว เพราะคุณได้มอบความเชื่อให้แก่มัน แทนที่จะมอบความเชื่อให้แก่พระเจ้า และนั่นก็ให้คุณทราบไว้ว่าคุณได้ออกจาก "อิสลาม" แล้ว คุณไม่ได้อยู่ในสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้อีกต่อไป เพราะตัวคุณเลือกที่จะเชื่อในสิ่งนอกรีตไปเอง



"เบื้องหลังของความเชื่อ" ซึ่งถูกสร้างด้วยภาคมืดนั้นกำลังกลืนกินคุณ


เรื่องต่อไปคือ ในโลกนี้ยังมี "คนอีกมากมาย" ที่รับใช้ความมืด ไม่ได้รับใช้พระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ทาสของพระเจ้าที่แท้จริง ทว่า พวกเขากำลังรับใช้ "ภาคมืดอยู่" สิ่งเหล่านั้นคือ ปีศาจร้ายที่กำลังกลืนกิน ผู้ลุ่มหลงผู้ที่มีใจออกห่างจากพระเจ้าและยอมจำนนต่อสิ่งชั่วร้ายแทนแม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ทว่า แท้จริงแล้วในใจของพวกเขาไม่ได้มี "พระเจ้า" อยู่เลย พวกเขาหลงออกนอกทาง และมอบความเชื่อไปให้แก่ปีศาจร้ายเหล่านั้นไปแล้ว ปีศาจร้ายเหล่านั้นใช้ผู้คนมากมายมาสร้างความเชื่อที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ แต่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเอง สร้างมันขึ้นมาใหม่ เพื่อบงการผู้คน ให้หลงเชื่อตาม และจะได้ช่วงใช้ผู้คนทั้งหลายไปตามใจต้องการนั้น แม้แต่เยาวชนทั้งหลายที่ดูเหมือนว่าจะเคร่งครัดและเชื่อในพระเจ้า ทว่า พวกเขาก็ดูดีแต่เปลือกนอกเท่านั้น เพราะใจของเขาถูกปีศาจร้ายกลืนกินไปแล้ว เขาไม่ได้มีใจตรงต่อพระเจ้าดังเดิม พวกเขาได้นำเอา "ปีศาจร้าย" เข้ามาในศาสนา แล้วเข้ามาแทนที่พระเจ้าองค์เดิม ทำให้สังคมสันติสุขไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง เพราะปีศาจร้ายนั้นได้ครอบงำและกลืนกินพวกเขาไปแล้ว พวกเขาจึงรับใช้พวกปีศาจร้าย พวกเขามิได้รับใช้พระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ทาสของพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขากลายเป็น "ทาสของปีศาจร้าย" ไปเสียแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันว่าพวกเขา อยู่ในสังคมสันติสุข ทว่า พวกเขาได้อัปเปหิตัวเอง ออกไปจากสังคมสันติสุขนานแล้ว และพวกเขานี่แหละที่ทำลายสังคมสันติสุข



พระเจ้ามอบ "สังคมสันติสุข" ให้คุณ แต่คุณกลับเลือกเชื่อความมืดมน

เรื่องต่อไปคือ พระเจ้าได้มอบ "สังคมสันติสุข" ให้แก่คุณแล้ว แต่คุณก็ไม่ได้เลือกที่จะรับสิ่งนี้ คุณเลือกที่จะรับ "ความมืดมน" แทนสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้ คุณเลือกที่จะเชื่อความมืดมน เลือกที่จะยอมรับให้สังคมของคุณเต็มไปด้วยความมืดมน การนองเลือด และการเข่นฆ่ากันเอง นี่น่ะหรือ "คนฉลาด?" พระเจ้ามอบสังคมสันติสุขให้แก่คุณแล้วแต่คุณกลับมองว่ามันไม่ใช่ คุณต้องการ "ดินแดน" คุณต้องการ "อำนาจ" แล้วดินแดนและอำนาจที่คุณต้องการนั้น มันใช่ "สังคมสันติสุข" ที่พระเจ้าประทานให้แก่คุณหรือไม่? คุณเลือกสิ่งใดกันแน่? เลือกสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้ หรือเลือก "อำนาจในการครอบครองดินแดน" ซึ่งนำพาสังคมของคุณไปสู่ความมืดมน, การเข่นฆ่า, การก่อการร้าย และการทำร้ายกันเองไม่เว้นแม้แต่ละวัน คุณแน่ใจหรือว่าคุณเชื่อในพระเจ้าจริงๆ คุณเชื่อจริงๆ ไหมว่าพระเจ้าได้มอบสังคมสันติสุข ให้แก่คุณแล้วหรือเพราะคุณยังไม่เชื่อ คุณยังระแวง ไม่ไว้ใจพระเจ้า คุณจึงถูกปีศาจร้ายครอบงำให้คิดว่าพระเจ้ายังไม่ได้มอบดินแดนและสังคมสันติสุขให้แก่คุณนั้น คุณจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและการแบ่งแยกดินแดน เพราะอะไร? เพราะคุณยังไม่เชื่อในพระเจ้าจริงๆ ไม่เชื่อว่าพระเจ้าได้มอบดินแดนและสังคมสันติสุขให้แก่คุณแล้ว นั่นเองคุณจึงหาวิธีให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณคิดว่าพระเจ้ายังไม่ได้มอบให้แก่คุณนี้และนั่นจึงกลายเป็น "ช่องว่าง" ที่ทำให้คุณออกห่างจากพระเจ้า และกลายเป็น ผู้รับใช้ปีศาจร้าย ซึ่งต้องการทำลาย "สังคมสันติสุข" ของพระเจ้า ซึ่งสังคมนั้นแต่เดิมสันติสุขดีอยู่แล้ว พระเจ้ามอบสังคมสันติสุขให้แก่คุณมานานแล้ว แต่เพราะปีศาจร้ายนั้นครอบงำพวกคุณ มันจึงได้ช่วงใช้พวกคุณให้ทำลายสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้แก่คุณนั้นเสีย


การแอบอ้าง "พระเจ้า" ของปีศาจร้าย เพื่อครอบงำผู้คนให้หลงเชื่อ?


เรื่องต่อไปคือ ปีศาจร้ายได้วางแผนการเพื่อหลอกใช้ผู้คนทั้งหลายให้หลงคิดว่าทำเพื่อพระเจ้า, พลีชีพเพื่อพระเจ้า ฯลฯ ทว่า พวกเขา ก็แค่ "แอบอ้างพระเจ้า" เอาความเชื่อที่ผู้คนมีต่อพระเจ้ามาเพื่อให้คนหลงเชื่อ ก็เท่านั้น พวกเขาอาจเป็น "ครูสอนศาสนา" ที่ดูน่าเชื่อถือ ศรัทธามาก ทว่า พวกเขาอาศัย "เปลือกนอกที่ดูน่าเชื่อถือศรัทธา" นั้น เพื่อจะครอบงำผู้คนให้ลุ่มหลง และแอบอ้างพระเจ้าว่านี่คือคำสั่ง นี่คือโองการจากพระเจ้า? จริงหรือที่พระเจ้าจะมอบโองการนั้นแก่เขา? พระเจ้าเคยมอบโองการให้แก่มนุษย์ "บางคนเท่านั้น" ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรับได้ และคนผู้นั้นต้องเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ซึ่งพระเจ้าได้เลือกแล้ว เอาละคนที่คุณเชื่อ เขาอาจเป็นครูสอนศาสนาที่ดูเก่งมาก และน่าเชื่อถือมากทว่า ต่อให้เขาเก่งและน่าเชื่อถือศรัทธาแค่ไหน ก็ใช่ว่าพระเจ้าจะเลือกเขา ใช่ว่าพระเจ้าจะมอบโองการ หรือสั่งการแก่เขา ดังนั้น พวกเขาแค่ "แอบอ้างพระเจ้า" มาหลอกใช้ผู้คนให้หลงทำตามเท่านั้น เพราะอะไรข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ท่านดังนี้? เพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้นขัดแย้ง ต่อสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ คือ "สังคมสันติสุข" นั่นเอง พวกเขา ไม่ได้กำลังทำให้สังคมสันติสุขเกิดขึ้น แต่พวกเขากำลังทำให้สังคมสันติสุขนี้ ล่มสลายลงไปต่างหาก พวกเขานำพาผู้คนไปก่อการร้าย ทำร้าย ทำลายผู้คน เช่นนี้หรือ "สังคมสันติสุข" เอาละ ท่านอาจจะอ้างว่าสิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมดก็เพื่อรักษาไว้ซึ่งสังคมสันติสุข ทว่า มันใช่หรือ? เพราะสิ่งที่ท่านทำ มันคือการทำลายความสันติสุขของสังคมต่างหาก ท่านลองดู "มหาตมะ คานธีร์" เป็นตัวอย่าง เขาคือชาวฮินดูที่ถูกชาวมุสลิมฆ่าตายเพราะอะไร? เพราะเขาคือ คนที่สร้างสังคมสันติสุขได้ด้วยวิธีสันติ เขาจึงถูกชาวมุสลิมจอมปลอมฆ่าตาย เพราะถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาก็จะกลายเป็นผู้นำที่ชาวมุสลิมทั้งหลายเชื่อว่าเขาจะนำสังคมสันติสุขมาให้ได้ กล่าวง่ายๆ ก็คือ ชาวมุสลิมจอมปลอมฆ่าเขาเพราะกลัวว่าเขาจะมีอำนาจเหนือกว่าตน, จะได้อำนาจไป เพราะอะไร? เพราะเขาทำให้เกิด "สังคมสันติสุข" ได้จริง เขาใช้ "สันติวิธี" ในการสร้างสังคมสันติสุขแต่ "ครูสอนศาสนาจอมปลอม" เหล่านั้น "ไม่มีทางทำได้" พวกเขาจึงต้องฆ่ามหาตมะ คานธีร์ เสีย เพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อพระเจ้าหรือทำเพื่อศาสนาอะไรเลย พวกเขาทำเพื่อ "รักษาอำนาจของพวกเขาไว้" เท่านั้นเอง เพื่ออำนาจของเขาเองแต่แอบอ้างพระเจ้านั่นแหละมุสลิมจอมปลอม



"การแบ่งแยกดินแดน" คือ ยุทธวิธีครองอำนาจของปีศาจร้ายในมุสลิม


เรื่องต่อไปคือ เหล่าปีศาจร้ายที่ซ่อนกายแฝงอยู่ในเหล่ามุสลิมนั้น จะถือครองอำนาจด้วยการสร้าง "ความเชื่อที่ผิดๆ ผูกมัดผู้คนไว้" และจะทำให้ชาวมุสลิมตกอยู่ในสภาวะ "หวาดกลัว" ด้วยวิธีการต่างๆ ที่พวกเขาทำไปทั้งหมดนี้ "ไม่ใช่เพื่อพระเจ้าเลย" พวกเขาแอบอ้างพระเจ้ามาบังหน้า แต่พวกเขาทำไปเพื่อ "อำนาจของพวกเขาเอง" ทั้งนั้น พวกเขาก็กลัวว่าอำนาจที่พวกเขามี จะหมดไป ชาวมุสลิมจะไม่เชื่อถือพวกเขาอีกดังนั้น พวกเขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อ "ทำลายคนอื่น" ที่จะมาแย่งชิงเอาอำนาจไปจากเขา พวกเขาหลงไหลอำนาจ และเป็น ทาสของอำนาจไปแล้ว มิใช่ ทาสของพระเจ้าอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น กรณีการแบ่งแยกดินแดนของชาวมุสลิมในอินเดีย จนกลายมาเป็นประเทศใหม่ ซึ่งยังไม่เคยมี "สังคมสันติสุข" เกิดขึ้นได้จริงเลย การแบ่งแยกดินแดนไม่ช่วยทำให้เกิดสังคมสันติสุขได้จริง มันทำให้ "พวกบ้าอำนาจ ยังคงครองอำนาจ" อยู่ต่อไป เท่านั้น พวกเขาใช้การแบ่งแยกดินแดนเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจมิใช่เพื่อสร้างสังคมสันติสุขอย่างที่ท่านรอคอยและต้องการเลย ท่านลองดูก็ได้ ทุกวันนี้ ประเทศในโลกมุสลิมประเทศใดบ้างที่มีความสันติสุขที่ได้มาจากการแบ่งแยกดินแดน คำตอบคือ "ไม่มีเลย" ยิ่งแบ่งแยกดินแดนก็ยิ่งนำมาซึ่งความไม่สงบสุขเท่านั้น ทำให้เกิดสงคราม, การเข่นฆ่า, การแย่งชิงอำนาจกันไม่สิ้นสุดเท่านั้น เอาละ ผมขอเล่าต่อ ในช่วงหนึ่งที่ท่านมหาตมะ คานธีร์ ได้ถ่ายรูปเปลือยคู่กับ "หญิงมุสลิม" เพื่อบอกแก่ผู้คนว่าการเปลือยกายของชาวอินเดียไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือเรื่องความใคร่ใดๆ พวกมุสลิมบ้าอำนาจ มุสลิมจอมปลอม ก็กลัวว่ามหาตมะ คานธีร์ จะกลายเป็น "ผู้นำที่น่าศรัทธาคนใหม่" แก่ชาวมุสลิมด้วย พวกเขาจึงต้องฆ่าท่านมหาตมะ คานธีร์ นั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องการทำเพื่อพระเจ้าอะไรเลย มันก็เป็นเรื่องของ "การแก่งแย่งชิงอำนาจ" กัน เท่านั้นเอง แล้วต่อมา พวกเขาก็พากัน "แบ่งแยกดินแดน" ออกไป เพราะอะไร? เพราะพวกเขากลัวเสียอำนาจไปก็เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่พวกเขารู้อยู่ว่ามหาตมะ คานธีร์ สร้างสังคมสันติสุขให้เกิดขึ้นจริงได้ (แต่พวกเขาทำไม่ได้) พวกเขาจึงต้องแบ่งแยกดินแดนออกไป เพื่อยุดครองมวลชนเอาไว้ เพื่อให้ได้รับความเชื่อถือต่อไป



เหล่าปีศาจร้าย กำลังขยายอิทธิพลกันยึดครองโลกและศาสนาอื่นด้วย


เรื่องต่อไปคือ "เหล่าปีศาจร้าย" ที่ซ่อนกายอยู่ในโลกมุสลิมเหล่านั้นก็ได้ขยายอิทธิพลต่อไป ไม่ใช่แค่ศาสนาอิสลามเท่านั้น ไม่ใช่แค่ประเทศในโลกมุสลิมเท่านั้น แต่พวกปีศาจร้ายเหล่านี้ ยังขยายอิทธิพลลุกลามออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และศาสนาอื่นๆ ด้วย ด้วยวิธีการเดิมซึ่งใช้ได้ผลดีมาแล้ว คือ "การทำให้กลัว" ยิ่งพวกเขาทำให้คนกลัวเท่าไรก็จะได้พลังอำนาจมากขึ้นเท่านั้น พวกเขานั้นไม่เคยเชื่อในพระเจ้าจริงๆ พวกเขาแอบอ้างพระเจ้า และซ่อนตัวอยู่ในศาสนามาตลอด แต่ตอนนี้มันถึงวาระที่ "ปีศาจร้ายที่ซ่อนกายในศาสนาต่างๆ" จะออกมาแย่งชิง เพื่อครองโลกกันแล้ว ปีศาจร้ายในศาสนาพุทธ ก็ออกมา ปีศาจร้ายในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ก็ออกมา, ปีศาจร้ายในศาสนาคริสตร์ ก็ออกมา ฯลฯ พวกเขาต้องการยึดครองโลก ทั้งหมดเอาไว้ให้อยู่ในกำมือของพวกเขาเองไม่ยอมให้โลกตกอยู่ในกำมือของปีศาจร้ายเผ่าอื่น ทว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดและตอนนี้ โลกกำลังได้รับการเยียวยาแล้ว เหล่าปีศาจร้ายกำลังได้รับผลกรรม, จะต้องยอมจำนน และจะต้องพ่ายแพ้ต่อ "ภาคสว่าง" ในท้ายที่สุด


ขอพลังแสงธรรมของพระผู้เป็นเจ้าจงทำความเชื่อของคุณให้ตรง สวัสดี



8 ส.ค. 2555


"เสียงจากสังคมสันติสุข"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พุทธะอยู่ในพุทธเกษตรแห่งต่างดาว แต่พระเจ้าแสงแห่งธรรม อยู่ในดาวโลกนี้?

สวัสดีครับ วันนี้ผมขออธิบายเรื่องพื้นฐานที่สำคัญเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือความแตกต่างของ "จิตวิญญาณพุทธะและพระเจ้าแสงแห่งธรรม" สองสิ่งนี้ ท่านจำเป็นที่จำต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง จะเข้าใจความเป็นพุทธได้มากขึ้นนะครับ เอาละ ผมจะเล่าอย่างง่ายๆ เป็นกันเอง สบายๆ นะ ครับ จะได้อ่านได้เข้าใจง่ายๆ ครับ


"จิตวิญญาณพุทธะ" เป็นสิ่งที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าสวรรค์ในดาวนี้จะรับได้


อย่างแรกที่ท่านต้องเข้าใจใน "ดาวโลก" ดวงนี้คือ "จิตวิญญาณ" ที่อยู่ในดาวดวงนี้มีวิวัฒนาการมากน้อยเท่าใด เอาละ สรุปเลยก็แล้วกัน คือ ใน "ดาวโลกดวงนี้" จะมีจิตวิญญาณที่มีวิวัฒนาการสูงสุด ก็ไม่ถึง "พุทธะ" แต่ร่างสังขารมนุษย์สามารถพัฒนาจิตวิญญาณของตนขึ้นไปถึงพุทธะได้และเมื่อถึงจุดนั้นแล้ว เขาก็พร้อมที่จะละสังขารจากไปเพื่อกลับไป ยังดาวดวงอื่นที่อยู่ในกลุ่ม "พุทธเกษตร" ซึ่งสามารถรองรับวิวัฒนาการของเขาได้ ดังนั้น "พุทธะ ในร่างสังขารมนุษย์" จึงมีได้แต่ "ชั่วขณะ" เท่านั้นเองพุทธะนั้นจะดำรงอยู่ เฉพาะในร่างสังขารมนุษย์เท่านั้น เพื่อรอเวลาละจากไปยังพุทธเกษตรซึ่งอยู่ต่างดาว แต่ระหว่างอยู่บนโลกนี้ก็จะทำหน้าที่ช่วยสัตว์โลกนี้ก่อนในช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้นเอง ดังนั้นบนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นของดาวดวงนี้จึงไม่มีที่รองรับ "จิตวิญญาณพุทธะ" เลยมีแต่ที่รองรับโพธิสัตว์เท่านั้นเอง นั่นหมายความว่าดาวโลกนี้ แท้แล้วยังไม่มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงถึงขั้น "พุทธะ" ได้ผู้มีวิวัฒนาการสูงต้องมาจาก "ต่างดาว" เพื่อจะมาเกิดเป็น "มนุษย์ก่อน" แล้วจึงพัฒนาตัวเองไปสู่ภาวะ "พุทธะ" ได้ แล้วจึงทำหน้าที่โปรดสัตว์โลกนี้ต่อไป แต่อย่างไรเสีย พุทธะ ก็เหมือนมนุษย์ต่างดาว ที่ไม่อาจอยู่ในดาวโลกนี้ได้ตลอดไปจึงต้องจากไปในที่สุด



"พระเจ้าแสงแห่งธรรม" ไร้ขันธ์ให้ต้องเลี้ยงดู จึงอยู่ในดาวโลกดวงนี้ได้


ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจคือ แม้ว่าโลกนี้จะไม่มี "พุทธะ" อยู่ประจำคือแม้มีพุทธะเกิดขึ้นในสังขารมนุษย์ แต่ท่านจะอยู่เพียงชั่วขณะแล้วต้องจรจากไปยัง "ต่างดาวแห่งพุทธเกษตร" ไม่อาจอยู่ประจำดูแลดาวโลกดวงนี้ได้ดังนั้น ดาวโลก ดวงนี้จึง "ขาดผู้นำสูงสุด" อยู่เนืองๆ และต้องอาศัย "ผู้นำ" ที่มาจาก "ต่างดาว" อยู่เสมอ หมายความว่าอะไร ? หมายความว่าโลกนี้ถูกปกครองด้วย "มนุษย์ต่างดาว" อยู่เสมอ เป็นระยะๆ ทั้งยังมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตาม "ยุคสมัย" อีกด้วย เช่น ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ (ยังไม่มีปรากฏ ในช่วง 5,000 ปีตลอดอายุพุทธกาลนี้), ยุคของพระนารายณ์ ทั้ง 10 ปาง (สิบยุค), ยุคของพระกาลี (กลียุค), ยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดม (มีระยะเวลา 5,000 ปี ภายในยุคนี้ ท่านก็คือ "ผู้นำที่แท้จริง" เพียงหนึ่งเดียวของโลก) หรือแม้แต่ยุคอารยัน ของพระศรีอาริยเมตตรัย (ที่ยังมาไม่ถึง) เอาละ ท่านพอเข้าใจ คำว่า "ยุค" ของใครของมันหรือยัง? ทีนี้ ยุคนี้ยังเป็นยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดมอยู่ อย่าลืมละ และท่านจะดำรงอยู่ในแบบ "มโนธาตุ" ที่ไร้ลักษณ์, ไร้รูปสว่างไสว ดังที่ผมเรียกว่า "พระเจ้าแสงแห่งธรรม" ซึ่งท่าน ก็ได้นิพพานขันธ์ห้าไปแล้ว ท่านจึงไม่ต้องมีภาระต้องแบกขันธ์อีก และสามารถที่จะมีการโปรดสัตว์แบบ "จิตสู่จิต" ได้ต่อไป โดยไม่ต้องหาที่สถิตย์ บนสวรรค์ชั้นใดๆ ของดาวโลกนี้เลย ดังนั้น ท่านจึงอยู่ได้ยาวนานตลอด 5,000 ปี



"จิตวิญญาณพุทธะ" จาก "ต่างดาว" จึงลงมาช่วยพระเจ้าแสงแห่งธรรม


ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจคือ จิตวิญญาณพุทธะที่มีวิวัฒนาการสูงเกินไปกว่าที่จะดำรงอยู่ในดาวโลกดวงนี้ได้ยาวนาน จึงลงมาช่วยดาวโลกดวงนี้ ช่วงระยะหนึ่งเท่านั้น คือ มาช่วยเหลือ "พระเจ้าแสงแห่งธรรม" ที่อยู่ประจำในดาวโลกดวงนี้ถึง 5,000 ปี นั่นเอง ก่อนที่ "พุทธะ จะกลับต่างดาว" ไปในที่สุด อนึ่ง ทั้งจิตวิญญาณพุทธะและพระเจ้าแสงแห่งธรรมนั้นต่างก็มีญาณตรัสรู้ถึง "นิพพาน" และ "สัจธรรมสากลจักรวาล" ได้เช่นกัน ต่างกันก็คือพุทธะไม่อาจดำรงอยู่ยาวนานในดาวโลกดวงนี้ได้และต้องกลับต่างดาวคือพุทธเกษตรของตนไปในที่สุดก็เท่านั้นเอง ดังนั้น แม้พุทธะจะมีวิวัฒนาการสูงมากแต่มันก็มากเกินไปกว่าที่จะอยู่ยาวนานในโลกนี้ได้ ข้อนี้จึงต่างจากพระเจ้าแสงแห่งธรรม และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าแสงแห่งธรรม จึงอยู่ปกครองดาวโลกดวงนี้ได้ ในขณะที่พุทธะไม่อาจอยู่ปกครองดาวโลกดวงนี้ได้แต่จะอยู่ช่วยเหลือพระเจ้าแสงแห่งธรรม เฉพาะในช่วงที่ยังอยู่บนโลกเท่านั้นเองเอาละ อย่าลืมว่า "พระเจ้า แสงแห่งธรรม" ด้านหนึ่ง ก็คือ "พระพุทธเจ้า" นั่นเอง มีญาณตรัสรู้พุทธะ และเป็นพุทธะอีกแบบหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าท่านไม่ใช่พุทธะนะแต่ท่านเป็นพุทธะอีกแบบที่เหมาะสมกับ "ดาวโลก" ดวงนี้ก็เท่านั้นเอง แต่ในอีกฐานะหนึ่ง ท่านก็คือ "พระเจ้าของดาวโลกดวงนี้ด้วย"



"ดาวแสงแห่งธรรม" มีได้มากมาย รายล้อมพระพุทธเจ้าดุจดาวล้อมเดือน


ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจคือ พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ก็จะกระทำสิ่งที่เรียกว่า "ขันธปรินพพาน" คือ นิพพานเฉพาะส่วนขันธ์ห้า (สอุปาทิเสสนิพพานหรือนิพพานบางส่วน) เหลือแต่ "มโนธาตุ" ไว้เพื่อช่วยกิจโปรดสัตว์จนจะสิ้นอายุพุทธกาล 5,000 ปีนี้ ซึ่งส่วนมโนธาตุนั้นจะมีลักษณะเหมือนกันก็คือ ไร้ลักษณ์, ไร้รูป, สว่างไสว ดุจแสงธรรม ผมจึงเรียกว่า "ดาวแสงแห่งธรรม" บ้างก็เรียกว่า "ดาวธรรม" ก็มี เอาละ แต่นั่นก็คือ มโนธาตุของพระอรหันตสาวกที่เหลือจากการดับขันธปรินิพพาน นั่นเอง ซึ่งท่านทั้งหลายนี้มิได้ทำหน้าที่ปกครองดาวโลกโดยตรง ท่านจะเป็นเพียงสาวกเท่านั้น จึงมีชื่อเรียกง่ายๆ แต่เพียงว่า "แสงแห่งธรรม" ผมจะไม่เรียกว่า "พระเจ้าแสงแห่งธรรม" ซึ่งสำหรับผู้ฝึกพลังจักรวาลแล้ว สามารถเชื่อมต่อกับพลังแสงแห่งธรรมนี้ได้โดยตรงเพื่อ "รับธรรม" หรือ "รับพลัง แสงธรรม" จากท่านได้ และท่านสามารถเชื่อมต่อกับแสงแห่งธรรมนี้ได้ดุจ "มนุษย์ติดดาว" ทีเดียว ซึ่งแสงแห่งธรรมจะช่วยท่านในยามที่ท่านมืดมน, โลภหลง และไม่มีทางออก ชีวิตพบทางตันไม่อาจจะค้นหาแสงสว่างจากที่ใดได้อีก ก็ให้ท่านระลึกนึกถึงท่านเหล่านั้นมาเป็นแสงแห่งธรรมนำทางให้แก่ชีวิตของท่านได้



การประสานงานระหว่าง "พุทธะต่างดาว" กับ "พระเจ้าแสงแห่งธรรม"


ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจคือ จะมีการประสานงานกันระหว่าง "พุทธะต่างดาว" และ "พระเจ้าแสงแห่งธรรม" ทำให้ เพิ่มประสิทธิภาพในการฉุดช่วยปวงสัตว์ได้ เพราะพระเจ้าแสงแห่งธรรมและดาวธรรมทั้งหลาย ไม่มีสังขารแล้ว มนุษย์ทั่วไปจึงมองไม่เห็น และไม่อาจได้ยินเสียงได้อีกแต่เมื่อพุทธะต่างดาว ซึ่งยังมี "สังขารเป็นมนุษย์อยู่" เข้ามาช่วยเหลือ ในภารกิจนี้ จึงทำให้พระเจ้าแสงแห่งธรรมและดาวธรรม สามารถเชื่อมต่อ "พลังแสงธรรม" ไปสู่สังขารมนุษย์ได้มากมาย และง่ายมากกว่าเดิม มีผู้อธิบาย มีสังขารที่ทำหน้าที่สื่อสาร ฯลฯ เป็นต้น เข้ามาช่วยเหลือในกิจนี้ โดยภารกิจด้าน "ธรรมแท้ อันบริสุทธิ์" จะอยู่ที่ พระเจ้าแสงแห่งธรรมและดาวธรรมทั้งหลาย ส่วนภารกิจด้าน "วัตถุ" หรือการทำกิจที่ต้องใช้สังขารทั้งหลายจะตกอยู่กับพุทธะและเหล่าบริวารของท่าน นั่นเอง ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้มนุษย์ได้รับธรรมจาก "ต้นธาตุต้นธรรม" โดยตรง โดยต่อเชื่อมผ่านร่างสังขารมนุษย์อีกที เนื่องจาก "พระอรหันตสาวก" บนโลกจะรู้ธรรมท่านละหนึ่งกำมือ ไม่ได้รู้ทั้งหมด แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทั้งหมดดังนั้น สิ่งใดที่ไม่เข้าใจกัน ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการเชื่อมต่อแบบนี้นั่นเอง เอาละ นี่เป็นแค่ "ส่วนหนึ่งเล็กๆ" ของการทำงานร่วมกัน เท่านั้นในการทำงานจริง ยังมีรายละเอียดในงานอีกมากมาย (ขอยังไม่กล่าว)



ทำลาย "สักกายทิฐิ" ด้วยสังขารกระทบกัน แต่บรรลุธรรมด้วยจิตสู่จิต


ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจคือ การบรรลุธรรมที่สำคัญมีสองจุดสำคัญใหญ่ๆ คือ "จุดเริ่มต้น" และ "จุดที่สุด" โดยในจุดเริ่มต้นของการบรรลุธรรมนี้จะมีด่าน "สักกายทิฐิ" เป็นปราการด่านสำคัญที่ต้องทลายไปให้ได้ ซึ่งจะทำลายได้ก็ด้วย "ผู้มีสังขารกระทบกับผู้มีสังขาร" เท่านั้น ไม่อาจจะใช้พลังจากแสงแห่งธรรมจากจิตของพระพุทธเจ้า มาโปรดในขั้นตอนนี้ได้ ดังนั้น การอาศัยคนอื่น มาทำลายความถือตัวถือตนของตน ก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป เพียงแต่เฉพาะใน "จุดที่สุด" ที่จะบรรลุธรรมเท่านั้นที่จะต้องใช้วิธี "จิตสู่จิต" คือ ต่อสายธรรมตรงสู่ "จิตของผู้บรรลุธรรมที่บริสุทธิ์" เช่น ต่อสายธรรมกับพระวิสุทธิเทพ ที่ยังไม่ดับขันธปรินิพพานและยังอยู่บนสวรรค์ ก็ได้ หรือจะต่อสายธรรม กับพระอรหันต์ ที่ดับขันธปรินิพพานบางส่วนแล้วเหลือแต่ "มโนธาตุ" ก็ได้ นับเป็นการ "รับธรรมจากต้นธาตุต้นธรรม" โดยตรง สำหรับการรับธรรมจากพระอรหันตสาวกที่สังขารอยู่บนโลกนั้นจะมี "ความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย" (เพราะวิบากกรรมตัดรอนมีพลังงานเก่าครอบงำบ้าง, บดบังบ้าง, จรปนบ้าง ฯลฯ ทำให้ไม่บริสุทธิ์) ดังนั้น แม้ว่าพระอรหันตสาวกจะสามารถช่วยทำให้ละสักกายทิฐิได้ แต่ก็มีปัญหาใน "จุดที่สุด" (จุดบรรลุอรหันตผล) บางส่วนได้บ้าง เหมือนกันการเชื่อมต่อตรงสู่ "ต้นธาตุต้นธรรม" จึงอาจเป็นทางแก้ไข ในกรณีนี้ได้



พุทธะจากต่างดาวจะช่วยปูพื้นฐานแต่บรรลุธรรมต้องอาศัยพระพุทธเจ้า


สุดท้ายที่ท่านต้องเข้าใจคือ "พุทธะต่างดาว" จะช่วยท่านได้ก็เพียงการปูพื้นฐานเท่านั้น เมื่อท่านพัฒนาอินทรีย์ห้า ได้เหมาะสมแล้ว ท่านจะต้อง "ต่อสายธรรมตรงจากพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" จึงจะบรรลุอรหันตผลและได้นิพพานภายใน 5,000 ปีนี้ได้ ไม่เช่นนั้น ท่านจะติดไปกับต่างดาวคือ ท่านจะติดลัทธิ, นิกาย หรือติดพุทธะต่างดาวไป ไม่ได้นิพพานภายในห้าพันปีนี้ แต่ถ้าท่านไม่อาศัย "พุทธะต่างดาว" ช่วยปูพื้นฐานให้ท่านก็จะพัฒนาตัวเองได้ช้า และอาจเอื้อมไม่ถึง "พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" ได้ท่านก็จะ "ถูกขังกรอบในลัทธินิกายต่างๆ" ต่อไป ไม่อาจเข้าถึงธรรม อันแท้จริง, นิพพานจริง, จากพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ที่ไม่มีลัทธินิกายได้


ขอพลังแห่งพระธรรมกาย จงช่วยท่านให้ถึงพุทธศาสนาดั้งเดิมฯ สวัสดี



7 ส.ค. 2555


"เสียงจากพุทธะต่างดาว"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ก้าวข้ามนิกายด้วย "พระกระโดดกำแพง" จุดเริ่มแห่งการสืบต่อศาสนา

สวัสดีครับ ยังมีเรื่องหนึ่งที่ผมลืมให้รายละเอียดไป คือ การต่อสายธรรมในกลุ่มพระ ซึ่งก็จะ มีได้ และเป็นได้เหมือนกัน แต่ว่าทำอย่างไรละ? เมื่อพระศาสนาดั้งเดิมแท้ไร้นิกาย ถูกขีดคั่นแบ่งแยกด้วย "กำแพงแก้ว" ของแต่ละลัทธินิกาย ห้อมล้อมเอาไว้ พระไม่อาจออกจาก กรอบกำแพงที่ขวางกั้นของลัทธินิกายนี้ไปได้ ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ เอาละ วันนี้ เราจะมาคุยเรื่องนี้กันแบบสบายๆ นะครับ ไม่ต้องคิดมาก


"กรอบกำแพง" แห่งลัทธินิกายที่ขวางกั้นและขังกรอบภิกษุไว้?


อย่างแรกที่ท่านควรทราบก่อนคือ พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้นั้น "ไม่มีลัทธิ-นิกาย" มีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวไม่มีแนวคิดแตกแยกแตกต่างไป ไม่มีการริเริ่มสร้างทำสิ่งใหม่ๆ และไม่มีการลดทอนสิ่งเก่าใดลงไป ทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนครั้งพระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทว่า ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมต้องการจะโจมตีลัทธิ-นิกายต่างๆ นะครับ สิ่งเหล่านั้นไม่มีผิดหรือถูกอะไร มันเกิดด้วยเหตุแห่งบุญกรรม ความไม่เที่ยง ก็เท่านั้นเอง ผมเพียงแค่จะพาท่านก้าวข้ามให้พ้น "กรอบกำแพง" แห่งลัทธิ-นิกายที่ขวางกั้นท่านอยู่ ให้ไปถึง "พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" ให้ได้ ไม่มีแนวคิดที่จะทำลายล้างลัทธิ-นิกายใดๆ เลย และทุกท่านยังสามารถที่จะร่วมกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละลัทธินิกายได้ "โดยตื่นแจ้งแล้วจึงไม่ยึดติดในลัทธิ-นิกายนั้นๆ" เอาละ ต่อไป ที่ท่านควรทราบคือแต่ละลัทธินิกายจะมีความเชื่อ และแนวทางในการปฏิบัติบางอย่างที่แตกต่างกัน และไม่อาจที่จะเปลี่ยนไปแนวทางอื่นได้ เพื่อให้คงเป็นลัทธิ-นิกายนั้นๆ ตามเดิมและเหตุนี้เองจึงกลายเป็น "กรอบกำแพงที่ขวางกั้นพระภิกษุในแต่ละลัทธินิกาย ทำให้ไม่อาจจะมองเห็นได้ถ้วนทั่ว และมองเห็นจำกัดอยู่แค่ในแนวคิดหรือมุมมองในนิกายตน



"ผู้สร้างแห่งลัทธินิกาย" คือ ผู้รับกรรม ผู้เข้าร่วมภายหลังไม่ต้องรับ?


สิ่งต่อไปที่ท่านควรทราบก็คือ เฉพาะผู้ริเริ่มสร้างลัทธิ-นิกายเท่านั้นจะต้องรับ "ผลบุญและกรรม" ที่เกิดจากการสร้างลัทธินิกายนั้นๆ อย่างแรกคือ "ผลกรรมจากสังฆเภท" ทำสงฆ์แตกแยกออกมาจากศาสนาดั้งเดิม ส่งผลให้ "มีกรรมขวางนิพพาน" ไม่อาจนิพพานได้แม้ว่าจะมีธรรมถึงอรหันตผลแล้วก็ตาม ท่านเหล่านี้จึงไปสู่ "สุขาวดี" และมีการร่วมปณิธานกันว่า "ขอสละนิพพานเพื่อฉุดช่วยปวงสัตว์ให้ได้นิพพานไปก่อนตน" ด้วยเหตุกรรมดังกล่าว ทว่า ผลบุญจากการสร้างลัทธิ ไว้ให้ปวงสัตว์ก็มากด้วยเหมือนกัน ท่านเหล่านี้จึงไม่ตกนรก (เพราะธรรมถึงขั้นอรหันตผลแล้วด้วย จึงปิดอบายภูมิได้นั่นเอง) แต่ได้เสวยผลบุญบนสุขาวดีสวรรค์แทน เอาละ ต่อไปคือ "ผู้ไม่ได้สร้างลัทธิ-นิกาย" แต่มาเข้าร่วมภายหลัง มีสองประเภท คือ 1. แบบร่วม บุญบารมี ภายหลังแบบนี้ ก็ได้เสวยผลบุญบารมีร่วมกับเขาด้วย ยังไม่นิพพานเร็วแต่จะได้บุญและกรรมน้อยกว่ากลุ่มแรกที่สร้างฯ และกลุ่มนี้จะนิพพานก่อนคนที่สร้างลัทธินิกายนั้น เช่น คนกลุ่มที่ร่วมกันสร้างวัดให้แก่ลัทธินิกายต่างๆ 2. แบบไม่ได้ร่วมบุญบารมีกับเขาแต่ถูก "วิบากกรรม" นำพามาให้ได้มีได้อยู่ ได้เป็น ฯลฯ ในลัทธินิกายนั้นๆ แบบนี้ ไม่ต้องรับบุญกรรม ร่วมด้วยแต่จะเสวยผลบุญกรรมเก่าที่สนองผลในชาตินั้นจนหมดไปเองและจะได้นิพพานเร็วกว่าสองกลุ่มแรกได้ ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริง และบรรลุอรหันต์จริงดังนั้น ท่านไม่ต้องวิตกกังวลว่าถูกให้บวชในลัทธินิกายนั้นๆ แล้วจะต้องมีบุญกรรมยืดยาวไปจนเลย 5,000 ปีก็นิพพานไม่ได้ อีกต่อไป เพราะนั่นก็แค่ "วิบากกรรมเก่าแต่หนหลัง" ที่ท่านต้องรับ เท่านั้น ถ้าท่านไม่ได้ทำต่อไม่ต้องกลัวว่าชาติภพจะยืดยาวออกไป ท่านได้อาศัยนิกายชั่วคราวเท่านั้น



อยู่ในลัทธินิกายอย่างไร? ไม่ให้ถูกกังขังในนั้น ดุจหยดน้ำบนใบบัว


สิ่งต่อไปที่ท่านควรทราบคือ หากท่านมีวิบากกรรมต้องไปเสวยอยู่ในลัทธินิกายใดก็ตาม ท่านจะอยู่อย่างไร? อย่างแรก เราไม่เคยต่อต้านหรือต้องการทำลายลัทธินิกายใดๆ เราปล่อยไว้อย่างนั้น 2. เราไม่ไปสร้างบุญกรรมร่วมต่อไปอีก ในลัทธินิกายนั้นๆ เราสักแต่ว่าอยู่เฉยๆ ก็เท่านั้น อยู่ในนั้นเฉยๆ ไม่มีเจตนาจะทำอะไรอีก แต่ถ้ามีกรรมถูกเขาสั่งให้ทำ ก็ทำไป ไม่ต้องต่อต้าน ทำแบบไม่มีเจตนา คือ "ทำเพราะวิบากกรรมถูกเขาสั่งใช้ ถูกเขานิมนต์ เป็นต้น" แต่ไม่ใช่ ไปทำเองโดยไม่มีใครสั่ง แล้วบอกว่าทำด้วยจิตอรหันต์ไม่ได้ยึด, ไม่มีเจตนา อันนี้ ไม่ใช่นะ ถ้าไม่ถูกวิบากกรรม ถูกใครสั่งใช้หรือนิมนต์ก่อนแล้วไปทำเอง นั้น "มีเจตนาและมีกรรมทั้งหมด" ชัดเจน เป็นพระ ต้องรอเขานิมนต์ก่อนเขาไม่นิมนต์ ก็ไม่ต้องเสนอหน้าไปทำ ถ้าเสนอหน้าไปทำโดยเขาไม่มีนิมนต์ก็เรียกว่า "มีเจตนาทำชัดเจน" และมีผลกรรมให้ต้องรับแน่นอนต่อไปคือ การอยู่ในนิกายนั้นๆ โดยไม่ยึดติดหรือหลงใหลในนิกายของตนมากเกินไป สักแต่ว่าอยู่ๆ ไปเพราะมีวิบากกรรมให้ต้องอยู่ ก็เท่านั้นมันไม่มีทางเลือก ชีวิตเป็นอย่างนี้ เลือกไม่ได้ กรรมมันนำพามา ก็อยู่ก็ทำไปอย่างนั้นเอง แต่ไม่ใช่ด้วยจิตใจที่เศร้าหมองนะ ด้วยปัญญาที่แจ้งแล้วจึงผ่องใสและยอมรับสิ่งนี้ด้วยจิตที่พ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่าอยู่แบบ ซังกะตายไปวันๆ อย่างนั้น ยังไม่ใช่ผู้มีปัญญาแจ้งนะ เอาละ ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่า "หยดน้ำบนใบบัว" ได้จริงๆ แต่ถ้ายังทำนั่น ทำนี่ สร้างบุญไว้มากมาย "โดยไม่มีใครนิมนต์" ก่อน ก็ไม่ใช่พระเต็มตัวแล้ว กลายพันธุ์แล้ว อันนั้นจะเรียกตัวเองว่า "หยดน้ำบนใบบัว" ไม่ได้ นั่นมันของปลอม



ลัทธินิกายแบบไหนเป็น "สังฆเภท" และแบบไหนที่ไม่เป็นสังฆเภท?

คำถามนี้มันง่ายมากเลย ลัทธินิกายใดก็ตามที่แตกแยกออกมาจาก "หมู่สงฆ์ในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" นั้น คือ "สังฆเภททั้งหมด" เช่น นิกายเซนที่เกิดจากพระมหากัสสปะ เป็นต้น นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ "สังฆเภท" เป็นแบบอย่างที่ผิดพลาดให้ทำตามต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ (ก็ยังมีคนอยากทำสังคายนาตามแบบพระมหากัสสปะ) ลัทธินิกายที่ไม่ใช่สังฆเภทคือ ลัทธินิกายที่เกิดขึ้น "นอกหมู่สงฆ์" ก็ไม่ใช่สังฆะ อีกต่อไป เป็นเรื่องของ "ฆราวาสเขา" ทำกันเอง เช่น คนที่ไปสร้างลัทธินิกายในหมู่ "ฆราวาส, ผ้าขาว" ฯลฯ พวกนี้ จะจัดเป็นสังฆเภทกับเขาไม่ได้ เพราะไม่ใช่สังฆะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เป็นได้เพียงพราหมณ์ลัทธินิกายหนึ่ง ก็เท่านั้น ทำแล้วถ้าไม่สอนคนให้ทำชั่ว ก็ไม่ต้องตกนรกและไม่มี "กรรมหนักขวางนิพพาน" ดังนั้น เจ้าลัทธินิกายต่างๆ ในสมัยพุทธกาลนั้น หากยอมเข้าสู่ พระพุทธศาสนา ก็มีโอกาสได้นิพพานได้ทั้งนั้น ดังนั้น สรุปตรงนี้ชัดๆ ว่าถ้าไม่อยากทำสังฆเภทก็ไม่ต้องไปยุ่งกะสังฆะเขา ปล่อยเขาไป เขาจะถูกจะผิดอะไร ก็ช่างเขาพูดคุยกันได้แต่ไม่ใช่การยุยงให้เขาเปลี่ยนสาย เปลี่ยนนิกายอะไร ให้เขาเลือกของเขากันเอง บุญกรรมของใคร ก็ของมัน ก็เท่านั้น ส่วนผู้ที่สร้างลัทธินิกาย ถ้าจำเป็นต้องสร้างจริงๆ ก็ให้สร้างนอก "สังฆะ" คือ ให้สร้างในกลุ่มฆราวาสผ้าขาวไป เท่านี้ ก็ไม่ต้องเกิดสังฆเภทกันแล้วจะอ้างว่า "ลัทธินิกาย" คือ ยานใหญ่ ฉุดช่วยคนได้มาก ก็ทำไปในผ้าขาว ในหมู่ฆราวาสไปก็แล้วกัน ไม่สังฆเภทแต่อย่างใด แต่ก็อย่าทำในผ้าเหลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กับพระที่พ้นแล้วจากลัทธินิกายใดๆ" นี่อย่าไปดึงท่านเข้าลัทธินิกายใดๆ ทั้งนั้น มันจะเป็นสังฆเภทคือ ทำให้ท่านที่อยู่ในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ต้องแตกแยกออกมาเสีย นี่ไม่ดี



เราสามารถทำบุญกับ "ลัทธินิกายที่เกิดจากสังฆเภท" ได้ไหม แค่ไหน?


คำถามนี้เป็นคำถามที่เริ่มละเอียดขึ้น อย่างแรกคือ ถ้าการทำบุญทำทานนั้นไม่ใช่การ "ร่วมสร้างลัทธินิกาย" กับเขาด้วย เช่น ไม่ใช่การสร้างวัดก็ไม่ใช่บุญที่มีสายเชื่อมกับกลุ่มผู้ทำสังฆเภท การทำบุญด้วยการให้ทานเป็นข้าว ตักบาตรตอนเช้าหรือถวายที่วัดอะไร นี่ไม่ส่งผลถึงขั้นได้ร่วมบุญร่วมกรรม ร่วมบารมีกับลัทธินิกายนั้นๆ ยกเว้นบุญที่เขาร่วมสร้างอะไรต่อมิอะไรเพื่อสืบสานต่อความเป็นลัทธินิกายนั้นๆ ให้ยืดยาวออกไป อันนั้นหละ "บุญร่วมกับนิกายสังฆเภท" สรุปง่ายๆ ถ้าอยากทำบุญสร้างบารมีกับหมู่ผู้ที่ไม่มีสังฆเภท ก็ทำกับพวกลัทธินิกายพราหมณ์หรือพวกฆราวาสที่เขาไม่ได้เป็นพระ เช่น พวกลัทธินิกายของฆราวาสต่างๆ เป็นต้น อันนี้ ได้บุญที่บริสุทธิ์ขึ้น "ขึ้นสายบุญบารมีใหม่ ที่ไม่ติดนิกายสังฆเภท" ได้ แต่ไม่ได้ถึงกับห้ามว่าห้ามทำบุญให้พระในลัทธินิกายใดๆ หรอกนะ แต่ถ้าเราไม่มีประสงค์จะร่วมสายสังฆเภท เราก็อย่าไปร่วมสร้างบุญบารมีอะไรกับเขาที่มันจะเป็นการสืบทอดต่อลัทธินิกายนั้นๆ ถ้าจะสร้างศาลาธรรม ก็สร้างให้ "ลัทธินิกายของฆราวาส" ก็ได้ ส่วนทำบุญตักบาตรพระ นี่ทำได้ ก็ทำไปหรือไม่เช่นนั้น ท่านก็ร่วมกันก่อตั้งลัทธินิกายของฆราวาสไปเสียเลย ก็ได้ ท่านไม่ได้สอนให้คนทำชั่ว สอนให้คนต้องตกนรกสักหน่อยอย่างนี้ไม่ต้องกลัวอะไร ทำได้ ดีกว่าไปทำในหมู่สงฆ์ ทำแบบนี้ ปูพื้นฐานให้พระไว้ ก็ได้



"พระกระโดดกำแพง" หลักสูตร "กบนอกกะลา" ที่ช่วยสืบต่อพระศาสนา


ต่อไปคือเรื่อง "พระกระโดดกำแพง" หมายความว่าอะไร? ไม่ใช่ให้ไปทำแบบนั้นจริงๆ หรอกนะ มันเป็น "ปริศนาธรรม" หมายความว่าให้พระท่านไป "ก้าวข้ามให้พ้นกำแพงกั้นของลัทธินิกายต่างๆ ที่กักขังตนอยู่" ก็จะมีโอกาสบรรลุ "อรหันตผล" ได้ มันจะต้องกล้าออกมาศึกษาอะไรที่แตกต่างไปจากลัทธินิกายของตนๆ อยู่นั้น กล้าที่จะยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและตรงกันข้ามแบบ "สุดขั้ว" ให้ได้ ไม่ใช่ยอมเชื่อเขาไปหมดนะ แต่ฟังก็เพื่อ "ตีปริศนาธรรมให้ทะลุทะลวง" ไปให้ได้ ก็เท่านั้นเอง เช่น สมมุติว่ามีหลวงพ่อสด ศึกษาสมาธิแล้วก้าวข้ามพ้นนิมิตหลอกไม่ได้ ก็ไปสนทนากับท่านเจ้าคุณโพธิแจ้ง ซึ่งอยู่คนละนิกายกันเลย พอได้รับมุมมองที่ตรงข้ามได้มองต่างมุมแล้วก็มาปฏิบัติเอง "ในนิกายเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนนิกาย" จนสำเร็จวิชชาธรรมกายได้ อันนี้ก็คือ ตัวอย่าง "พระกระโดดกำแพง" มันไม่ต้องถึงขนาดทำกรรมไปเปลี่ยนลัทธินิกายอะไรเลย ด้วยวิธีนี้ จึงจะช่วยให้พระภิกษุหลุดพ้นจาก "กำแพงแห่งลัทธินิกายที่กักขัง" ตนเองอยู่ได้ และสำเร็จอรหันตผลได้ สืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไปได้ ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ก็ยาก! เอาละ ในหมู่ฆราวาสเขาก็ต่อทอดสายธรรมแบบหนึ่ง แต่ในหมู่พระ ก็ต้องมีวิธีอีกแบบหนึ่ง ดังที่กล่าวมานี้ มันไม่อาจจะต่อสายธรรมแบบเดิมๆ ได้อีกจะอาศัยครูบาอาจารย์ของลัทธิ-นิกายของตนอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้แล้ว



"พระอรหันต์ในผ้าเหลือง" สำเร็จหลักสูตรกบนอกกะลา นั้นมีอยู่จริง?


ต่อไปคือเรื่อง "พระอรหันต์ที่แท้จริง" ซึงอยู่ในผ้าเหลือง นั้นมีอยู่จริง ทว่า ท่านเป็นผู้ไม่มีชื่อเสียงในขณะนี้ แทบไม่มีใครรู้จัก เพราะท่านไม่ได้สร้างผลงานอะไรให้เป็นที่รู้จัก ท่านอยู่เฉยๆ ในธรรมวินัยไม่ออกไปนอกกรอบ เลยไม่มีผลงานอะไรอวดโชว์ใคร เลยไม่มีชื่อเสียง ไม่ได้ไปสร้างวัด, สร้างโรงพยาบาลอะไรๆ กับเขา เลยไม่มีชือเสียงไปอวดชาวโลกอย่างที่ "โลกๆ" เขาเป็นอยู่ เอาละ แต่ผมต้องแจ้งให้ท่านได้ทราบว่าอย่าตกใจไป เพราะพระอรหันต์ห่มผ้าเหลือง ก็มีแล้ว แต่เพราะท่านมีกรรมต้องอยู่ในลัทธินิกายนั้นๆ ท่านจึงต้องทำตามๆ เขาไป และทำให้มีบุญกรรมสืบชาติต่อภพ แม้อรหันต์แล้วก็จะไม่ได้นิพพานในชาตินี้ ทันทีท่านก็จะจุติไปต่อในชาติภพหน้า และรอนิพพานพร้อมๆ กัน เมื่อสิ้นอายุพุทธกาลห้าพันปีพร้อมๆ กับพระพุทธเจ้าด้วย ด้วยเพราะท่านอยู่ในลัทธินิกายและจำเป็นต้องปรับตัวให้อยู่ไปอย่างนั้น จะไม่แปดเปื้อนเลย ก็ยากเขาทำบุญ เขากวาดวัดกัน ท่านจะไม่ทำ ก็เป็นเรื่อง อยู่กันไม่ได้อีก ก็ต้องยอมทำตามเขาไป ได้บุญเพราะกวาดวัด ไม่จบ ในชาตินี้ ต้องไปเสวยผลบุญต่ออีกชาติหนึ่งข้างหน้าก็หมดจบและนิพพานได้ ทว่า ผู้ใดจะมีบุญได้ไปถึงท่านเหล่านี้ "ก็ยาก" เพราะสายตาของท่านมัวมองแต่พระที่โด่งดังมีชื่อเสียงทั้งนั้น ท่านมองข้ามเลยศีรษะพระธรรมดาๆ เหล่านี้ ไปหมดแล้ว


ขอพลังแสงธรรมแห่งธรรมกายของพระพุทธเจ้า จงส่องทางท่าน สวัสดี



6 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS