นิวเอจ
http://www.everythaistudent.com/a/205divine.html
![]() นิวเอจ - เชื่อว่า ตัวเราเองคือพระเจ้า |
พวกนิวเอจสนับสนุนความคิดที่ว่าคนเราสามารถที่จะพัฒนาพลัง ในตัวของเราเอง และเป็นพระเจ้าได้ เมื่อพูดถึงพระเจ้า พวกเขา จะไม่พูดถึงพระเจ้าผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง หรือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง ที่เรารู้จักเป็นส่วนตัวได้ แต่จะพูดถึงพระเจ้าในลักษณะที่เป็น จิตสำนึกที่สูงส่งกว่าพวกเขา พวกที่เชื่อในลัทธินิวเอจจะมองตัว ของเขาเองว่าเป็นพระเจ้า เป็นพลังงานในจักรวาล หรือเป็นจักรวาล เลยด้วยซ้ำไป ในความเป็นจริงแล้ว ตามความเชื่อของพวกเขา ทุกอย่างที่คนๆนั้นเห็น ได้ยิน รู้สึกหรือจินตนาการได้จะถูกเรียกว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์(พระเจ้า)ทั้งสิ้น
พวกนิวเอจเลือกที่จะใช้ความหลากหลายในการอธิบายถึงความเชื่อของเขา ซึ่งถูกเรียกว่าการสะสมธรรมเนียมโบราณด้านจิตวิญญาณ พวกเขารับทราบ ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทพธิดาทั้งหลาย เหมือนกับชาวฮินดู โลกนี้ถูกมองว่าเป็นแหล่งของสิ่งที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณทั้งหลาย และมีสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึกและความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวของมันเอง แต่สิ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือตนเอง ตนเองคือแหล่งกำเนิด ผู้ควบคุมและ พระเจ้าของทั้งหมด ไม่มีความจริงอื่นใดนอกเหนือจากที่ตนเองกำหนดให้มันมีลัทธินิวเอจสอนเนื้อหาที่กว้างขวาง เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับของโลกตะวันออก และจิตวิญญาณ ปรัชญาที่เกี่ยวข้องความจริงในธรรมชาติ เทคนิคเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการหายใจ การสวด การรัวกลอง การทำสมาธิ เพื่อที่จะพัฒนาความเปลี่ยนแปลงภาวะจิตและการเป็นพระเจ้าของเขาผู้นั้นประสบการณ์ในทางลบที่คนๆหนึ่งมี (ความล้มเหลว ความเศร้าเสียใจ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัวและความเจ็บปวด)นั้น เป็นเพียงภาพลวงตา การเชื่อว่าตัวเขาเองคือ ผู้ที่ควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือชีวิตของตน ไม่มีสิ่ง ที่ไม่ถูกต้องในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นในทางร้ายหรือเป็นความเจ็บปวดก็ตาม คนๆหนึ่งในเวลาต่อมา สามารถพัฒนาทางจิตวิญญาณจนมาถึงจุดที่ว่า ชีวิตไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่มีความเป็นจริงใดๆภายนอก คนๆนั้นได้กลายมาเป็นพระเจ้า และสร้างความเป็นจริงของเขาขึ้นมาเอง
ลัทธิต่างๆ
http://www.thaisermons.com/index.php/2010-11-17-11-06-28/2010-11-17-11-17-05/577-2011-09-28-08-20-32
จอร์จ บาร์นา ได้กล่าวถึงลัทธิต่างๆที่ไม่ได้เป็นไปตามแบบพระคัมภีร์
๑.ลัทธิเทวัสนิยม : พระเจ้าทรงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งบรรดานักคิดทั้งหลายเช่น วอลแตร์ จอห์น ล็อค สเทเฟน ฮอว์กิ้น และอัลเบิร์ต ไอสไตน์ คนเหล่านี้เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงและทรงสร้างจักรวาล แต่ทรงปล่อยให้โลกเป็นตามครรลองของมันและพระองค์ไม่มีส่วนสัมพันธ์ใดๆกับมนุษย์
๒.ลัทธิธรรมชาตินิยม : สิ่งที่คุณเห็นคือสิ่งที่คุณได้รับ ความเชื่อแบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากเบอร์เทรนด์ รัสเซล คาร์ล มาร์กซ์ และคนอื่นๆอีกจำนวนมาก พวกเขาบอกว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง พระองค์ไม่ได้สร้างโลกและไม่มีการอัศจรรย์ใดๆ สสารวัตถุและจักรวาลดำรงอยู่ก่อนแล้ว มนุษย์เป็นเพียงสิ่งหนึ่งบนโลกเท่านั้น
๓.ลัทธิว่างเปล่านิยม : ปฏิเสธการดำรงอยู่ มีผู้เชี่ยวชาญในความเชื่อแบบนี้เช่น ฟรายด์ดิช นิชเช่, ฟรานซ์ กาฟกา, ซามูเอล เบ็คเคต และเคิร์ต วอนเนกัท จูเนียร์ เขาบอกว่าไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่อย่างแท้จริง ไม่มีพระเจ้า ไม่มีความรู้ ไม่มีความหมายและไม่มีคุณค่าอะไร ปฏิเสธทุกอย่างสิ้นเชิง ไม่มีสงครามฝ่ายวิญญาณและไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด
๔.ลัทธิจิตนิยม : ความเป็นจริงที่ไร้ความหมาย ลัทธินี้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิธรรมชาตินิยม ผู้นำของเขาคือ จีน พอล, ซาเทร, และอัลเบิร์ต คาร์มัส ยืนยันว่าชีวิตไม่มีความหมายสูงสุด ทุกคนต้องกำหนดความหมายให้ชีวิตของตนเอาเอง ดังนั้นเพื่อให้ตรงกันข้ามกับลัทธิว่างเปล่านิยม การดำรงชีวิตให้เป็นประโยชน์จึงต้องสร้างคุณค่าของชีวิตขึ้นมา
๕.ลัทธิปัจเจกชน : เน้นความเป็นตัวตนของมนุษย์ ใครจะเชื่อในเรื่องใดก็ได้ไม่มีการบังคับกัน คนเหล่านี้อาจจะเชื่อในเรื่องของพระเจ้าและพระคัมภีร์ แต่จะเลือกเชื่อในส่วนที่ตนเองเห็นชอบเท่านั้น บางครั้งคนเหล่านี้จะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มสิทธิมนุษยชน (NGO)
๖.ลัทธิเทวนิยม : เชื่อว่ามีพระหรือพระเจ้าและเทพต่างๆ แต่ไม่ใช่บุคคล เป็นการผสมผสานกันกับหลายลัทธิ ระหว่างศาสนาและปรัชญาตะวันตกกับตะวันออก ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาเซน และการทำสมาธิ การอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ
๗.ลัทธินิวเอจ : (New Age) เป็นการรวมข้อดีของทุกศาสนามาเข้าไว้ด้วยกัน และเชื่อว่ามนุษย์สามารถเป็นพระเจ้าได้ ผู้นำคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า จนกระทั่งพบว่า ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้า”
๘.ลัทธิกิตติคุณแห่งความมั่งคั่ง (Prosperity Gospel) สอนว่าเชื่อพระเจ้า/พระเยซูแล้วจะมั่งคั่งร่ำรวย ไม่มีอุปสรรคปัญหาใดๆในชีวิต จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย จะมีความสุขสบายและเจริญรุ่งเรืองตลอดไป
๙.ลัทธิอัศจรรย์อิงไสยศาสตร์ สอนว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้วจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเกินเลยจากคำสอนในพระวจนะของพระเจ้า เช่น การพูดภาษาแปลกๆ การรักษาโรค การหัวเราะ ร้องไห้ ล้ม ทำเสียงสัตว์ในพระวิญญาณ มีผงทองตกลงมาจากฟ้า มีน้ำมันไหลเยิ้มออกมาจากพระคัมภีร์ สามารถเดินทางไปสวรรค์และนรกได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และสามารถติดต่อกับคนที่ตายไป หรือเป็นพยานเรื่องความรอดกับผีต่างๆและนำผีกลับใจเสียใหม่ได้ เป็นต้น
๑๐.ลัทธิตกขอบ : เช่น
-ผู้นำมีอำนาจเด็ดขาด สมาชิกจะต้องเชื่อฟังผู้นำเท่านั้น (ผู้นำคริสตจักรมีอำนาจควบคุมชีวิตผู้เชื่อทุกคน) กลุ่มเน้นวันสิ้นโลก เช่น
-ลัทธิฮาโรลด์ แคมปิ้ง วัย ๘๖ ปี พยากรณ์ว่าพระเยซูจะเสด็จมาในวันที่ ๒๑ พค. ๑๑
-ลัทธิจิมโจนส์ ที่ฆ่าสาวกด้วยยาพิษเมื่อปี ๑๙๗๘ ที่ในป่าประเทศกายอานา
-ลัทธิเดวิดเดียน เผาสาวกตายไป ๘๓ คนในปี ๑๙๙๓ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
-ลัทธิโซล่าร์ เทมเปิ้ล ที่ยิงสาวกตายไป ๗๓ คนที่ประเทศคานาดา ในปี ๑๙๙๔ คนเหล่านี้เชื่อว่า พระเจ้าจะส่งดาวหางมารับพวกเขาไปสวรรค์
-ลัทธิแอปเปิ้ล ไวท์ เรียกตัวเองว่า เฮฟเว่น เกต (ประตูสวรรค์) คนเหล่านี้ได้ฆ่าตัวตายหมู่ ๓๙ คน
-ลัทธิมูน ผู้นำเป็นชาวเกาหลี แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น นักเรียนและนักศึกษา ในโครงการ “หนุ่มสาวก้าวสวย”
มูนบอกว่าตนเองเป็นพระเยซูคริสต์ ค้าอาวุธสงคราม ชอบมั่วเรื่องเพศ และจัดพิธีสมรสหมู่ครั้งละนับพันๆคู่ให้แก่สมาชิกของตน’
-ลัทธิลูกของพระเจ้า เน้นความรักและการแบ่งปันทุกอย่างแก่กัน แม้กระทั่งเรื่องเพศ
-ลัทธิพยานพระเยโฮวาห์ คนพวกนี้จะนับถือเฉพาะพระเยโฮวาห์(พระเจ้า)เท่านั้น และไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่เสด็จมาในโลกนี้ในฐานะพระบุตร พระผู้ช่วยให้รอด
-ลัทธิเซเว่นเดย์ แอดเวนติสต์ ก่อตั้งโดยนางเอเลน ไวท์ สอนเน้นในเรื่องการบริโภคอาหารตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์เดิม และนมัสการพระเจ้าในวันเสาร์เท่านั้น
-ลัทธิโรมันคาทอลิก หรือคริสตัง ซึ่งยึดมั่นในพิธีกรรมทางศาสนา และกราบไหว้บูชาพวกแม่พระ นักบุญต่างๆ และถือว่าโป๊ป(สันตปาปา)เป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ในโลกนี้ ตัวโป๊ปเองไม่เคยทำผิดใดๆทั้งสิ้น
0 comments:
Post a Comment