ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ดวงดาว-อาคาร-สถานที่-วัตถุสิ่งของ-องค์กร ฯลฯ ก็มีชีวิตได้?


สวัสดีครับ ผมขออธิบายต่อเลยก็แล้วกันในประเด็น "รูปธรรมชีวิต" ซึ่งคุณได้ทราบมาก่อนหน้านี้บ้างแล้วถึงภาวะของความมีชีวิต ผมจึงขออธิบายต่อในเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะอธิบายเลยอย่างง่ายๆ นะครับ เชิญครับ


อย่างแรกที่ต้องเข้าใจคือคำว่า "รูปธรรมชีวิต" นั้นหมายความว่าอะไร?


รูปธรรมชีวิต หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตอยู่ในรูปแบบต่างๆ กัน ตามธรรมชาติเช่น การมีชีวิตของมนุษย์, การมีชีวิตของดวงดาว, การมีชีวิตของตราสินค้า, การมีชีวิตของอาคารบ้านเรือน ฯลฯ เอาละ เท่านี้ท่านคงสงสัยว่าสิ่งที่พูดมานี้บางอย่างมันมีชีวิตด้วยหรือ? หรือมันมีชีวิตได้อย่างไร? มันไม่น่าจะใช่สิ่งมีชีวิตในนิยามของวิทยาศาสตร์ของโลกนี้เลย เช่น อาคารบ้านเรือน จะมีชีวิตได้อย่างไร? จะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร? เอาละ อย่างแรกที่ผมต้องขออธิบายก่อนคือ ภาวะความมีชีวิต ก็อย่างหนึ่ง รูปธรรมที่คุณมองเห็นก็อย่างหนึ่ง มันอาจไม่เหมือนกันก็ได้ เช่น ดวงดาวอาจมีชีวิตในแบบที่ต่างจากมนุษย์ ภายใต้รูปธรรมซึ่งคุณเห็นเป็นดาวดวงกลมๆ นั้นเพราะมันมีองค์ประกอบต่างๆ ที่เรียกว่ารูปธรรมชีวิต เช่น มันมีความคิด มีจิตใจของตนเอง มันมีชีวิตยืนยาวไม่ดับสิ้นสภาพของมันไป จนกว่ามันจะสูญเสียจิตวิญญาณ มันก็จะเข้าสู่ภาวะการดับสลาย แต่เมื่อมันยังไม่ถึงที่ยังไม่ถึงเวลาดับสลาย มันก็ยังถือว่า "มีชีวิตอยู่" นั่นเองและเมื่อมันมีชีวิตมันจึงตอบโต้ต่อการกระทำต่างๆ ต่อมันได้ เช่น การที่โลกปรับดุลยภาพตนเองเมื่อถูกกระทำจากมนุษย์ นั่นก็แสดงถึงว่า "โลกยังมีชีวิตอยู่" ยังไม่สิ้นชีวิตไป มันจึงตอบโต้การกระทำของมนุษย์ได้ เอาละ หวังว่าคุณคงพอเข้าใจคำว่า "รูปธรรมชีวิต" ขึ้นบ้างแล้วนะ ผมจะได้อธิบายในเชิงลึกขึ้นต่อไป



"รูปธรรมชีวิตที่มีจิตวิญญาณ" และ "รูปธรรมชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ"


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ "รูปธรรมชีวิต" ที่มีจิตวิญญาณและไม่มีจิตวิญญาณ ทั้งสองแบบล้วนนับได้ว่า "มีชีวิต" ทั้งคู่ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีจิตวิญญาณก็ตาม ต่างกันตรงที่ รูปธรรมชีวิตใดที่ไร้จิตวิญญาณ มันจะสิ้นสภาพลงได้อย่างรวดเร็วและตอบโต้ต่อสิ่งเร้าได้น้อยกว่ารูปธรรมชีวิตที่มีจิตวิญญาณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ "จิตวิญญาณ" ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น หรือตอบโต้ต่อสิ่งเร้าได้หลากหลายมากขึ้น ซับซ้อนขึ้นก็เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้ท่านสับสน ผมจะขอยืมใช้ศัพท์ทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า "ชาติ" เพื่อบ่งบอกถึง "ระยะการดำรงอยู่ของรูปธรรมชีวิต" ก็แล้วกัน กล่าวคือ คำว่า 1 ชาติ หมายถึง 1 ช่วงระยะเวลาของการดำรงอยู่ของรูปธรรมชีวิตต่างๆ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมเอาไม้ไปเผา ก็จะได้ "ถ่าน" สมมุติผมเอาถ่านไปใช้จนเหลือแต่เถ้า นับเวลาที่ถ่านนั้นมีสภาพเป็นถ่านอยู่ได้ 7 วัน เราจะนับว่า 1 ชาติของถ่านคือ 7 วัน นั่นเองส่วนถ่านก็คือ "รูปธรรมชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ" นั่นเองซึ่งคุณจะสังเกตุได้ถึงความมีชีวิตของถ่านได้ จากการที่มันไม่ยอมติดไฟง่ายๆ มันมีแรงที่คุมสภาวะความเป็นถ่านเอาไว้ระดับหนึ่ง ตอบโต้ต่อการถูกเผาได้ในระดับหนึ่ง นั่นละ คุณลักษณะของความมีชีวิต แม้ว่าจะไม่มีจิตวิญญาณ ก็ตามและ เพื่อไม่ให้คุณสับสนเกินไป ผมจะใช้คำว่า "ชีวะ" เฉพาะกับ รูปธรรมชีวิตที่มีจิตวิญญาณ ก็แล้วกัน ซึ่งไม่ว่ามันจะมีจิตวิญญาณหรือไม่ มันก็มี"พลังงานยึดโยงสภาวะ" ให้ตนดำรงอยู่ได้ ในรูปธรรมสมมุตินั้นๆ ทั้งสิ้น



"นิพพาน" คือ ธรรมชาติที่พ้นแล้วจากความเป็นรูปธรรมชีวิตใดๆ


ต่อไปที่คุณควรทราบคือ "ธรรมชาติที่พ้นแล้วจากการมีชีวิตใดๆ" ก็คือ "นิพพาน" มันเป็นสิ่งที่ไม่เรียกว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เพราะไม่ใช่รูปธรรมชีวิตใดๆ ผมจะขอยกตัวอย่างนะ สมมุติ คนๆ หนึ่งมีจิตวิญญาณอยู่ ยังไม่ตาย ต่อมาเขาตายลง สังขารเน่าสลาย ไม่มีจิตวิญญาณแล้ว สังขารนั้น กลับคืนสู่สภาวะธาตุต่างๆ เช่น ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ฯลฯ ทว่า ธาตุทั้งหมดนี้ ก็ยังเป็น "รูปธรรมชีวิต" อยู่มันเป็นรูปธรรมชีวิตที่ยังไม่นิพพาน แต่ก็ไม่มีจิตวิญญาณ ดวงเก่าถือครองอยู่อีกแล้ว อำนาจการถือครองนั้นจะตกแก่ "จิตวิญญาณสาธารณะ" แยกกันไป เช่น ส่วนของธาตุดิน ตกแก่ พระแม่ธรณี, ส่วนที่เป็นธาตุน้ำ ตกแก่ พระแม่คงคา ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น ทั้งส่วนที่เป็นธาตุดิน, น้ำ และอื่นๆ ก็ล้วน "มีชีวิต" และมี "จิตวิญญาณ" รองรับต่อไป มันยังไม่จบสิ้นจริงๆ มันยังไม่นิพพานจริงๆ มันยังมี "ชีวิต" ต่อไปในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นแหละ "รูปธรรมชีวิตของธาตุต่างๆ" มันมีการดำเนินไป ผ่านการถือครองของจิตวิญญาณ อันแตกต่างกันไปในแต่ละชาติ แต่ละภพ เช่นกันกับ "จิตวิญญาณ" ที่เคยถือครองมัน ก็จะจรไปสู่ "รูปธรรมห่อหุ้ม" ใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ที่ต่างไปจากเดิม กลายเป็นรูปธรรมชีวิตใหม่ๆ ไม่สิ้นสุดจนกว่าจะได้นิพพาน ดังนั้น แม้มนุษย์หนึ่งคน ย่อมมี "องค์ประกอบของรูปธรรมชีวิต" ที่หลากหลายต่างที่กันมา รวมกันชั่วขณะ แล้วแยกกันไป มีชีวิตต่างที่ ต่างทาง ต่างชาติ ต่างภพ กันต่อไป ถ้าคุณยังสับสนว่าในตัวเราจะมี "รูปธรรมชีวิต" มากกว่าหนึ่งอยู่ร่วมกันได้ จริงหรือ? เอาง่ายๆ อย่างนี้ ดูคนที่มีโรคพยาธิ ก็แล้วกัน พยาธิก็เป็นสิ่งมีชีวิตใช่หรือไม่? แต่เขาก็มาอยู่ร่วมในสังขารของคนได้ในบางช่วงขณะหวังว่าคุณคงพอจะเห็นภาพของการมีชีวิตอยู่ร่วมกันแล้วนะครับ ! 



"ความไม่มีชีวิต" คือ ชั่วเสี้ยวขณะเดียวของการ "ตาย" เท่านั้น?


ต่อไปคุณควรเข้าใจ "ภาวะความไร้ชีวิต" ซึ่งจะเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะเดียวขณะ "ตาย" เท่านั้น จุดนี้ ยังไม่เรียกว่านิพพาน แต่เป็นประตูสู่นิพพานได้ มันจะเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น ต่อจากนั้น มันจะเกิดชีวิตใหม่ขึ้นทันที เช่น คนที่ตายแล้วเกิดเป็นสมมุติที่เรียกว่าศพเผาแล้วได้สมมุติที่เรียกว่าเถ้าถ่าน, เถ้ากระดูก, ควัน, ไฟ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเผาศพนี้ ก็ล้วนเป็น "รูปธรรมชีวิตใหม่" ทั้งสิ้น ซึ่งถ้ารูปธรรมชีวิตใหม่ใดไม่มี "จิตวิญญาณถือครอง" สิทธิ์ในการถือครองจะตกแก่ "จิตวิญญาณสาธารณะ" เสมอนี่จึงหมายความว่า "ไม่มีรูปธรรมชีวิตใด ที่ไม่มีจิตวิญญาณดูแล" เพียงแต่จะเป็นจิตวิญญาณที่ถือครองเป็นการเฉพาะตนหรือว่าเป็นจิตวิญญาณสาธารณะเป็นผู้ดูแล "แบบองค์รวม" ก็ตามที ยกตัวอย่างเช่น บ้านเรือนที่คนสร้างขึ้น ถ้ายังไม่มี "ผีบ้านผีเรือน" ดูแลเฉพาะ ประจำไว้ก็จะตกแก่ "เทพแห่งการสร้างบ้านเรือน" เป็นผู้ดูแลไปก่อน ซึ่งก็คือ"พระวิษณุเทพ" นั่นเอง เพราะสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่มีจิตวิญญาณดูแลก็จะสิ้นสภาพความมีชีวิตได้ เช่น บ้านร้าง ก็จะพังไปเอง องค์ประกอบต่างๆ สิ้นสภาพกลายเป็นธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟให้แก่จิตวิญญาณแม่ธาตุ มาเป็นผู้ดูแลต่อไป จนกว่าจะถึงวาระ "นิพพาน" จะมีผู้นำเข้าสู่"นิพพาน" สภาพสมมุติแห่งความมีธาตุ เป็นธาตุ ก็ไม่มีอีก มีแต่ภาวะนิพพานอย่างเดียว อันพ้นแล้วจากภาวะแห่งความมีหรือไม่มีชีวิตนั้นๆ



"มนุษย์" ถูกสอนให้มา "กลืนกิน" สิ่งต่างๆ เพื่อนำพาเข้านิพพาน?


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ "ดั้งเดิมมีแต่นิพพาน" ทว่า จิต นั้นคือนายช่างผู้ปลูกเรือนแห่งสังขารต่างๆ ไม่เพียงแต่สังขารมนุษย์ แต่ทุกสังขารแห่งรูปธรรมชีวิต เช่น สังขารแห่งธาตุ, สังขารแห่งพลัง, สังขารแห่งใจฯลฯ และทุกๆ สังขาร (สังขารแปลว่า ธรรมอันเป็นผลจากการปรุงแต่ง) ดังนั้น เมื่อจิตเป็นผู้ก่อกรรมปั้นแต่งสังขารธรรมต่างๆ ขึ้นมาจากนิพพานจึงต้องเป็นผู้ "นำสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้าง คืนกลับสู่ นิพพาน" เช่นกัน ดังนั้น จิตจึงต้องถือกำเนิดมีสังขารห่อหุ้ม มีสังขารไว้เพื่อ "กลืนกิน" เอาสิ่งทั้งหลายที่ตนสร้างขึ้น ปั้นแต่งขึ้นจากนิพพาน กลับคืนสู่นิพพาน ดังนั้น เขาจึงถูกสั่งสอนให้มา "กลืนกิน" สิ่งต่างๆ อันล้วนแต่เป็นรูปธรรมชีวิต อันมีสมมุติต่างกันไป เพื่อเอาเข้ามาไว้เป็น "สังขารขันธ์แบกไว้" แบกสิ่งที่ตนสร้างเอาไว้จนกว่าจะได้นิพพานทั้งหมดทุกขันธ์ จิตนั้นๆ จึงหลุดพ้นไปได้เอาละ ที่นี้ คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราจึงต้อง "กิน" สิ่งที่มาจากธาตุทั้งหลายปรุงประกอบขึ้นมา กินแล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ที่เราต้องแบกรับภาระไว้ และเราจะต้องนำทั้งหมดเข้านิพพานไปด้วย เหลือทิ้งไว้บางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) ไม่ได้เลยเพราะมันจะกลายเป็นเชื้อเกิดใหม่ได้ และคุณจะยังไม่ได้นิพพาน เช่น การที่คุณดับขันธปรินิพพานแล้วสังขารคุณถูกเผาแล้ว "เหลือพระธาตุอย่างนี้ จะกล่าวว่านิพพานแบบไม่เหลือเชื้อได้อย่างไร? ในเมื่อหลักฐานคือ "พระธาตุ" ก็เหลือทิ้งไว้ให้เห็นอยู่ทนโธ่? เอาละ ผมไมได้ตำหนิใครนะ ผมเพียงแต่ให้คุณสังเกตุว่าบางท่านนิพพานเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร? เพราะท่านอาจจะมีภารกิจที่ต้องทำต่อไปอีก ไม่ได้รีบนิพพาน ก็เท่านั้นเอง เข้าใจไหม?



คุณต้องเก็บทุกอย่างที่คุณสร้างไว้ เข้านิพพานให้หมด จึงนิพพานได้


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ ถ้าคุณต้องการนิพพานจริงๆ คุณจะต้องเก็บทุกอย่างที่คุณสร้างขึ้น เข้านิพพานไปด้วย จึงจะนิพพานได้ ทว่า คุณจะมี "ตัวตนหลายตัวตน" ที่จะแบ่งเบาภาระกันในการเก็บสิ่งต่างๆ ที่คุณสร้างขึ้น เข้าสู่นิพพาน เช่น อาคารบ้านเรือน, สถาบัน, ของทิพย์, ลัทธินิกาย, ศาสนา, ประเทศชาติ ฯลฯ ทุกๆ อย่าง "ไม่มีข้อยกเว้น" จะเหลือเชื้อทิ้งไว้ ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นเชื้อให้เกิดบุญกรรมต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครรับผิดชอบได้ คุณก็ต้องรับผิดชอบเอง (ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณสร้างขึ้นนะ) ดังนั้น ผู้สร้างจึงต้องลงมาเป็นผู้ทำลายด้วยในตัวโอเคไหม? เพราะถ้าคนสร้างไม่เก็บเอง ไม่ทำลายเอง แล้วใครจะทำละ? ยิ่งกว่านี้ ระหว่างสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นยังดำรงอยู่ คุณเองแหละที่จะทำหน้าที่ "รักษา" มันด้วย พราะคุณสร้างมันมาเอง คุณจะให้ใคร มารับผิดชอบละ? เอาละ มันไม่ใช่คุณทำคนเดียวตลอดไปหรอกนะ มันมีหลายคนร่วมมือกันทำขึ้นมา ที่เรียกว่า "สายบุญ สายบารมี" สร้างมาร่วมกันไงละทีนี้ ของบางอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า สร้าง, รักษา, ทำลายได้ไม่ยากแต่ของบางอย่างเป็นพลังงาน เช่น ของทิพย์, จิตวิญญาณ ฯลฯ มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะนำพาเข้านิพพานกันได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม คุณก็ต้องเก็บคืนหมด



"พลังงานยึดโยงสภาวะ" ที่มีความซับซ้อนเกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญาณ?


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ "พลังงานยึดโยงสภาวะ" ซึ่งจะมีอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า "รูปธรรมชีวิต" ทั้งหลาย (รูปนามทั้งหลาย) นั้นมีความเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณเป็นชั้นๆ ไปตามความซับซ้อนเป็นลำดับขั้น โดยมันจะมี "จิตวิญญาณเฉพาะ" ดูแลใกล้ชิด ช่วงที่มันมีความเป็นสมมุติมากและมันจะมี "จิตวิญญาณสาธารณะ" ดูแล ช่วงที่มันห่างไกลจากความเป็นสมมุติมากขึ้น และเข้าใกล้ภาวะนิพพานมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คนที่ยังมีชีวิต ก็จะมีจิตวิญญาณเฉพาะครองสังขารอยู่ แต่เมื่อตายแล้วก็จะเหลือแต่ธาตุต่างๆ ตกอยู่ภายใต้การดูแลของจิตวิญญาณสาธารณะแทนซึ่งมันก็จะใกล้นิพพานมากกว่า ดังนั้น "พลังงานยึดโยงสภาวะ" ของแต่รูปธรรมชีวิต จึงแตกต่างกัน ยิ่งมันห่างไกลนิพพานมากๆ มันก็ยิ่งจะคงตัวได้มากขึ้น มีพลังงานยึดโยงที่ซับซ้อนขึ้น แต่ยิ่งมันใกล้นิพพานมากๆ มันก็ยิ่งจะคงตัวได้ยาก ยิ่งจะสิ้นสภาพได้ง่าย และมีพลังงานยึดโยง ที่ลดลงเรียบง่ายขึ้น และทำให้นิพพานได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ สิ่งใดดำรงคงสภาพได้นานๆ คุณจะต้องทำให้มันมีจิตวิญญาณเฉพาะดูแลและมี "พลังงานยึดโยงสภาวะ" ที่ซับซ้อนมากๆ เช่น องค์กร, บริษัทจะไม่ล้มง่ายๆ ถ้ามันมีพลังจิตจากคนมากมาย ยึดโยงมันไว้ หรือกล่าวง่ายๆ คือคนที่ทำงานทำเพื่อมัน ทำเพื่อบริษัทกันมากๆ มันก็จะได้รับ พลังงานยึดโยงฯ มากขึ้น มันก็จะทรงสภาพได้นานขึ้น ไม่ล้มละลาย สิ้นไป ได้ง่ายๆ นั้นเอง 



16 ก.ค. 2555


"เสียงจากกูรูด้านจิตวิญญาณ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อรหันต์เป็นผลที่เนื่องมาจากการสร้างเหตุ แต่นิพพานไม่มีเหตุใดทำให้เกิด?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอยกประเด็นสัจธรรมพื้นฐานมารองรับปรับอินทรีย์ของท่านให้สักเล็กน้อย เพื่อให้ท่านมีพื้นฐานสัจธรรมรองรับข้อมูลต่างๆ ที่ดูออกจะหลุดโลกได้เอาละ ผมขอกลับมาพูดเรื่อง "นิพพาน" ก็แล้วกัน มันเป็นสัจธรรมพื้นฐานขั้นต้นที่ท่านควรเข้าใจก่อนที่จะรับธรรมจากต่างดาว ซึ่งมีระดับที่สูงขึ้นไปอีกนะครับ ...


พระอรหันต์ไม่จำเป็นต้องนิพพาน นิพพานกับอรหันต์เป็นคนละสิ่งกัน?


เอาละ อย่างแรกที่คุณต้องทราบเลยก็คือ "นิพพาน" คือ สัจธรรมแท้ที่มีมานานแล้วก่อน "สมมุติทางโลก" จะเกิดขึ้นแบบไม่เที่ยง แล้วดับไปจากสมมุติหนึ่ง สู่สมมุติหนึ่ง ต่อเนื่องไปตามแรงขับดันของเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้น นั้นละ คือ "ลีลาของสมมุติที่ไม่เที่ยง จึงมีเกิด-ดับ ตามเหตุปัจจัย" ทว่า "นิพพานเป็นวิมุติธรรม เป็นธรรมแท้ ไม่ใช่สมมุติ จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิด-ดับ" สรุปง่ายๆ คือ "นิพพาน ไม่เกิด ไม่ดับ มีมานานแล้วก่อนที่จะเกิดสมมุติซึ่งไม่เที่ยงสมมุติที่เกิด-ดับไปนั้น" เอาละ ต่อมาสิ่งที่คุณควรเข้าใจอีกคือ "อรหันต์คือสมมุติ" อย่างหนึ่ง ที่เกิดจาก "มรรค" เป็นเหตุ เมื่อคุณเดินตามมรรคที่ถูกต้อง "เป็นเหตุ" คุณจะได้ "อรหันต์ เป็นผล" ได้ เรียกว่า "อรหันตผล" นั่นเอง ทว่า อย่าลืมนะ นิพพานไม่ใช่ผลของอะไร ไม่อาศัยอะไรๆ เกิด เพราะพ้นแล้วจากการเกิด และการดับนั้นทีนี้ คุณเข้าใจความแตกต่างของคำว่าอรหันต์และคำว่านิพพานแล้วหรือยัง? เอาละ มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ใช่ไหม? ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ข้อสรุปที่ว่า "พระอรหันต์ต้องนิพพานเสมอ" หรือ "อรหันต์แล้วจะไม่นิพพาน ไม่ได้" ก็หาไม่ เอาละ ยังมีพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมแล้ว "ยังไม่รีบนิพพาน" ทั้งยังหาวิธีดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ "แบบของตนเอง" ด้วยปัญญาที่ตนมีนั้นๆ



พระอรหันต์ เป็นสมมุติที่เกิด-ดับได้ ไม่เที่ยง เกิดจาก "มรรค" เป็นเหตุ


ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว "พระอรหันต์" จึงเป็นสมมุติที่ถูกสร้างให้เกิดได้ มีได้ และดับได้ ไม่เที่ยง โดยอาศัย "มรรค" เป็นเหตุให้เกิด หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณเดินมรรคเป็นเหตุ จนเกิดปัญญาในระดับซึ่งเขาสมมุติไว้ให้ว่าคือ "อรหันต์" คุณก็จะได้ชื่อว่าอรหันต์ก็แค่นั้นเอง แต่คุณก็อาจจะยังไม่นิพพานก็ได้ เช่น ถ้าคุณมีบุญ-กรรม เยอะมาก ต้องเสวยไปอีก 10 ชาติจึงหมด แต่คุณมีปัญญาบารมีมากเดินตามมรรคจนได้ผลเป็น "อรหันต์" คูณก็คือ อรหันต์ ก็แค่นั้นเอง แต่คุณยังไม่นิพพานหรอกเช่น ผู้หญิง เป็นเพศที่มีกรรมมาก อาจต้องเสวยกรรมไปอีก 10 ชาติแต่เมื่อมาตั้งใจปฏิบัติตามมรรคแล้ว ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ยังไม่ถึงวาระนิพพาน ก็เท่านั้นเอง เมื่อท่านละสังขารแล้วยังไม่นิพพาน ไปเกิดที่สุขาวดี หรือโลกธาตุอื่นๆ ก็ได้ จากนั้น ท่านก็ลงมาเกิดยังโลกอีก ความเป็นพระอรหันต์ "ก็ดับลง" กลายเป็น "ปุถุชนธรรมดา" ใหม่อีกครั้ง แค่นั้นเอง ดังนั้น กลุ่มคนที่อาศัย "มรรค" เป็นเหตุให้เกิด "อรหันต์เป็นผล" จึงไม่จำเป็นต้องนิพพานเสมอไป พวกเขาบรรลุธรรมแล้ว จะดำรงอยู่ต่อไปอีกเพื่อเสวยบุญกรรมที่เหลือให้หมด ซึ่งพวกเขาจะต้องไปอยู่ต่างดาวไม่ใช่ดาวดวงนี้ เพราะวิทยาการของดาวดวงนี้ "ต่ำไปแล้ว สำหรับเขา"



นิพพาน สัจธรรมแท้ไม่เกิด-ไม่ดับ ทุกสรรพสิ่งก็คือ "นิพพาน" อยู่แล้ว


ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว "นิพพาน" ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่สมมุติที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่สมมุติที่ยังวนเวียนอยู่กับการเกิด-ดับ นิพพานคือ สัจธรรมที่มีมาแล้วแต่ดั้งเดิมก่อนเกิดสมมุติ และสรรพสิ่งก็เป็นนิพพาน อยู่แล้วในตัวมันเอง ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เข้าใจดังนี้ สมมุติว่าคุณมี "ดินน้ำมัน" ก้อนหนึ่ง คุณปั้นให้เกิดเป็นช้าง แล้วคุณก็ทำลายให้ดับไป แล้วคุณก็ปั้นใหม่ให้เป็นม้า ทำอย่างนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถามว่า "ดินน้ำมัน" ก็คือ "ดินน้ำมัน" อยู่ดังเดิมใช่หรือไม่? แม้ว่าจะมีช้าง, ม้า, วัว, ควาย ฯลฯ ที่เกิดจากการปั้นแล้วทุบไปเรื่อยๆ เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามที่คนปั้นให้เป็นไป ก็ตาม มันก็ยังคงเป็น "ดินน้ำมัน" อยู่ดังเดิม แต่ช้าง, ม้า, วัว, ควาย ฯลฯ อะไรนั้นก็คือ "สมมุติอันไม่เที่ยง" เกิดแล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัย ใช่หรือไม่? เอาละ ดังนั้น "นิพพาน" จึงเป็นสัจธรรมแท้ที่มีอยู่แล้วใน "ทุกสรรพสิ่ง" แม้แต่ใน "กิเลสก็มีนิพพาน" ใน "อวิชชาก็มีนิพพาน" ใน "ความเท็จก็มีนิพพาน" ใน "จิตนาการและความเพ้อฝันก็มีนิพพาน" พอเข้าใจตรงนี้หรือไม่? ว่าในทุกสมมุติล้วนมีนิพพานเป็นรากฐาน ทั้งสิ้นเมื่อใด "หยุด" ปั้น, หยุดปรุงแต่ง, หยุดสร้างเหตุปัจจัย หนุนเนื่องให้เกิดมี "กรรม" มี "ตัวตน" มี "ชาติ-ภพ" ใหม่ๆ ต่อไป มันก็จะสิ้นพลังแรงอันจะหนุนเนื่อง สุดท้าย มันต้องจบ มันต้องนิพพาน เพราะมันนิพพานอยู่แล้วมันมีอยู่แล้ว รอแต่ สมมุติที่บดบัง ดับสิ้น ไม่มีเหตุหนุนให้เกิดอีก ก็เท่านั้น



มนุษย์ต่างดาวที่อรหันต์แล้วมีวิทยาการที่หนุนเนื่องให้ไม่รีบนิพพาน ก็ได้


ข้อต่อไปที่คุณควรทราบคือ "วิทยาการจากต่างดาว" ล้วนเป็นวิทยาการที่ต่อยอดจากนิพพานแล้วทั้งสิ้น กล่าวคือ พวกเขาล้วนบรรลุอรหันต์แล้วและหาวิธีดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ต่อไป "ตามแบบของตัวเอง" พวกเขาจึงมีวิทยาการที่แตกต่างกันและอยู่คนละดาวกัน ปนกันไม่ได้ พวกเขาจะใช้วิธีหนุนเนื่องให้เกิดสมมุติ, ตัวตน และชาติภพใหม่ๆ ไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นก็จะไม่รีบนิพพาน ด้วยเหตุนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาบรรลุอรหันต์แล้ว และรู้แจ้งในนิพพานทั้งหมด ก็ตามที เช่น วิทยาการจาก "สุขาวดีโลกธาตุ" ซึ่งจะใช้ "กิเลสเป็นโพธิ" ก็ดี เพื่อจะหนุนเนื่องให้ตัวตนยืดยาวออกไป ไม่นิพพานไปเสียก่อน ทว่า "วิทยาการของแต่ละดาว ก็ต่างกัน" เช่น ดาวบางดวงก็อยู่ยาวต่อไปได้ด้วยการ "ใช้พลังด้านบวก" แต่อย่างเดียวทั้งยังสามารถ "ปลุกพลัง" ฟื้นคืนสภาพได้อีก เมื่อพลังงานด้านบวกลดลง พวกเขาก็ใช้การปลุกพลังเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถดำรงอยู่แบบ "เสวยผลบุญ" ต่อไปได้เรื่อยๆ ยาวนาน ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่ต้องรีบนิพพาน ก็ได้ เพราะเหตุนี้ ท่านที่ประสงค์ รับวิทยาการจากต่างดาว จึงควรมีลักษณะเหมือนพวกเขาด้วยคือ ควรจะได้ธรรมขั้นพื้นฐานคือ "เรื่องนิพพาน" นั้น ก่อนรับวิทยาการอื่น



การทำให้คนบรรลุอรหันต์นั้นอาศัย "มรรคเป็นเหตุ" ได้หลากหลายวิธี


ข้อต่อไปคือ การสร้าง "อรหันต์" นั้นทำได้มากมายหลายวิธี โดยไม่สนว่าพวกเขาจะนิพพานหรือไม่? ขอเพียงเกิดปัญญาแจ้งในนิพพานถึงขั้นที่เรียกได้ว่าอรหันต์ก็พอแล้ว แต่คนที่จะนิพพานนั้น "จะมีวาระของเขา" ถ้ายังไม่ถึงวาระ ไม่ถึงเวลา ยังเสวยผลบุญกรรมไม่หมด ก็ยังไม่นิพพานดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงแยกแยะสัตว์สองกลุ่มนี้ออกจากกันได้ ว่ากลุ่มไหนที่จะนิพพานไปก่อน กลุ่มไหนอรหันต์แล้วยังไม่นิพพาน และยังไปเกิดเพื่อดูแลพระพุทธศาสนาได้อีก เช่น การที่ท่านมอบบาตรให้พระอชิตะ ท่านนั้นทราบดีว่าพระอชิตะอรหันต์แล้วแต่ยังมีบุญกรรมต้องเสวยอีก ยังไม่หมดก็ยังไม่ถึงวาระนิพพาน และยังดูแลพระศาสนาให้ท่านต่อไปได้ ไม่ต่างจากพระมหากัสสปะ, พระอานนท์, พระมหากัจจานะ ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนไม่ต่างกัน เอาละ มากล่าวถึง "เทคนิก" การสร้างอรหันต์กันดีกว่า มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด เช่น เทคนิกการทำให้เกิด จิตหนึ่ง โดยการทำให้ จิตวิญญาณอื่นๆ "จรออกจากร่างจนเหลือจิตดวงเดียว" เมื่อเทศนาธรรม ก็จะบรรลุได้ง่าย, เทคนิกการใช้ ความดับ ของกิเลสชั่วขณะเหมือนเมฆน้อยลอยเลื่อนลับจากดวงจันทร์ไปก็จะไม่มีกิเลสบดบังชั่วขณะนั้นก็ทำนิพพานให้แจ้งได้ไม่ยากและอีกหลายเทคนิกมากมาย ล้วนช่วยให้เกิดอรหันต์ได้ ไม่ยากนัก



ผู้ที่พร้อมนิพพาน ไม่จำเป็นต้องฉลาด เกือบปัญญาอ่อนก็นิพพานได้


ข้อต่อไปคือ ผู้ที่พร้อมนิพพานนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนฉลาด แม้คนที่เกือบปัญญาอ่อน ก็ถึงวาระนิพพานได้ เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรเป็นเหตุ ไม่ใช่ต้องอาศัย "ความฉลาด ความมีปัญญาเป็นเหตุ จึงให้นิพพานเป็นผล" อย่างนี้ ก็หาไม่ ไม่ใช่เลย ไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือรู้มากอะไรเลย โคตรโง่ แทบปัญญาอ่อน งี่เง่า ไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง ก็อาจเข้าข่ายพร้อมนิพพานได้ "ถ้ามันถึงวาระจริงๆ" ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือรู้มาก, รู้ไปหมด ก็ได้พระพุทธเจ้าบางพระองค์อาจคล้ายคนปัญญาอ่อน, งี่เง่า ไม่ได้เรื่องก็ได้ แต่ท่านรู้เรื่องนิพพานดี ก็เท่านั้นเอง ท่านเข้าใจคนที่จะนิพพานและสุกงอมพร้อมเต็มที่ ดีว่ามีลักษณะ, วิสัย, พฤติกรรม ฯลฯ อย่างไร ท่านจึงอธิบายให้ชาวโลกและสังคม เข้าใจและยอมรับได้ว่าพวกเขาสามารถอยู่บนโลกต่อไปแบบ "ไม่เอาไหน" บุญไม่ทำ - กรรมไม่สร้าง แล้วอย่างไร? การเข้าถึงนิพพาน ไม่จำเป็นต้องฉลาดเสมอไป



สุดท้ายนี้ การนิพพานแบบบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) นั้น อาจเกิดขึ้นได้แบบพิสดาร เช่น การนิพพานเฉพาะส่วน "จิตวิญญาณ" เหลือ สังขารไว้เพื่อรอให้ "จิตวิญญาณดวงอื่นมาใช้ร่างสังขารต่อ" ก็ได้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ "การกำเนิดใหม่จากนิพพาน" หมายความว่า หลังจากจิตวิญญาณนั้นนิพพานไปแล้วทิ้งเชื้อเหลือสังขารไว้ สังขารจึงเป็นเชื้อเกิดใหม่ได้ โดยใช้"จิตวิญญาณ" อื่นๆ ที่เดิมทีไม่ได้อยู่ในร่างสังขารนั้นๆ ทำให้เกิดการ เกิดใหม่จากนิพพาน หรือกำเนิดใหม่หลังนิพพานแล้ว ส่วนใดที่นิพพานไปแล้วไม่อาจเกิดได้อีกส่วนเหลือจากการนิพพานบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) นั่นแหละ จึงเป็น "เชื้อเกิดใหม่ได้อีก" เอาละ นี่คือ "วิทยาการใหม่ล่าสุด" ซึ่งเพิ่งค้นพบไม่นานมานี้เอง มันไม่เหมือนวิทยาการจากดาวอื่นๆ เดิมๆ ที่เคยใช้กัน เพื่อ "ไม่รีบนิพพาน" เพราะวิทยาการเดิมๆ นั้น พวกเขาที่บรรลุอรหันต์แล้ว จิตวิญญาณก็ยังไม่ได้นิพพาน (เช่น อาศัยเพียงกิเลสนิพพานชั่วขณะเพื่อการบรรลุธรรมแต่ยังไม่รีบนิพพาน) ดังนั้นจำนวนจิตวิญญาณที่เวียนว่ายอยู่ในจักรวาล จึงมากเกินไป และเริ่มจะล้นโลกมนุษย์ เพราะมาแย่งกันเกิดมากเกินไป จำเป็นต้องให้ "จิตวิญญาณนิพพาน" ไปบ้าง บางส่วนในขณะที่ท่านที่ไม่รีบนิพพานก็ต้องได้ "จิตวิญญาณดวงใหม่" เพื่อที่จะใช้ "เวียนว่ายตายเกิดต่อไป" เอาละ มันเหือเชื่อเกินไป ใช่ไหม? ไม่ได้ต้องการให้ท่านเชื่อหรอกนะ เล่าให้ฟังเล่นๆ เท่านั้น เพราะว่ามันสูงเกินไปเกินกว่าที่ใครจะเชื่อได้ เพราะขนาดอรหันต์ต่างดาวเขายังทำกันไม่ได้เลย


ขอพลังธรรมแห่งพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าจงปรากฏแก่ท่าน สวัสดี 



14 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มนุษย์ที่ถูกต้อนไปสู่ต่างดาว อาจไปไม่ถึงดวงดาวและตกอยู่ในภพมืด ทำอย่างไร?

สวัสดีครับ สำหรับหัวข้อในวันนี้ผมขออธิบายต่อเนื่องเรื่องเมื่อวานเลยก็แล้วกัน ซึ่งจะเป็นเรื่องของการถูกต้อนโดยมนุษย์ต่างดาว ให้เข้าไปสู่วิถีต่างดาวในแบบต่างๆ ซึ่งผมจะบอกเสมอว่ามันไม่มีดาวดวงไหนที่ผิดหรือถูก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ที่สำคัญอยู่ที่ "ไปถึงดวงดาว" หรือไม่ ถ้าไม่ แล้วอย่างไรต่อ? เอาละ วันนี้เรามาคุยเรื่องง่ายๆ สบายๆ กันเรื่องนี้ ต่อเลยก็แล้วกันนะครับ


การถูกต้อนให้เข้าสู่วิถีต่างดาว อาจทำให้คุณไปไม่ถึงดวงดาว และ...


ดังที่ผมได้อธิบายแล้วว่าไม่มีดาวดวงไหนผิดหรือถูก คุณเลือกได้ และคุณต้องยอมรับในผลของการเลือกนั้นเอง นอกจากนี้ หลายท่านที่ถูกต้อนเข้าสู่วิถีต่างดาว อาจไปไม่ถึงดวงดาวเสมอไป แต่อย่าเพิ่งมองแง่ลบหรือโทษต่างดาวเสมอไปนะครับ เพราะสิ่งสำคัญคุณควรจะเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าของโลกนี้บ้างว่า "กรรมทั้งหลาย สัตว์นั้นเป็นผู้ก่อเอง และต้องรับผลมันเอง" อย่าไปโทษใครเลยครับ เพราะคนส่วนใหญ่ที่ไปไม่ถึงดวงดาวนั้น ไม่ใช่เพราะต่างดาวหรอก แต่เพราะตัวของเขาเอง เช่น พวกเขาโลภมากเกินไป, แสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวมากเกินไป สุดท้าย พวกเขาจะหลุดออกจากระบบสามภพของโลกนี้ ไม่ได้เกิดในโลกนี้ ทั้งยังไม่มีดาวดวงไหนจะรองรับเขาด้วย เพราะเขาโลภ มีความเห็นแก่ตัวเกินไป จนพระเจ้าแห่งดาวต่างๆ ไม่มีท่านไหนต้องการที่จะรับเขาอีกแล้ว พวกเขาก็จะตกลงสู่ "ภพมืด" ซึ่งมีพลังด้านมืดควบคุมอยู่ พวกเขาจะได้รับความทุกข์และมืดมนยาวนาน แม้ไม่ถูกทัณฑ์ทรมานก็ตามที พวกเขาไม่มีโอกาสได้เกิดในดาวดวงใดอีก และต้องอยู่แบบหลบซ่อนตามภพมืดของโลกนี้ต่อไป และนั่นก็คือ ผลจากความเห็นแก่ตัวของพวกมนุษย์ที่แสวงหาผลประโยชน์จากมนุษย์ต่างดาวมากเกินไป นั่นเอง



การจรท่องไปในจักรวาลผ่านตัวตนต่างๆ นี้ คุณควรตรงต่อพระเจ้านั้น


เมื่อคุณจรท่องไปในจักรวาล ผ่านตัวตน สังขารต่างๆ ตัวตนแล้วตัวตนเล่า สังขารแล้ว สังขารเล่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ "คุณควรตรงต่อพระเจ้าประจำดาวของคุณ" เช่น ถ้าคุณไม่อยากหลง ออกจากระบบของโลกนี้ คุณควรมีจิตศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้า แต่ถ้าคุณอยากกลับคืนไปสู่ดาวแม่ของคุณซึ่งเป็นดาวอื่นๆ ที่ไม่ใช่โลกนี้ได้ คุณก็ควรมีจิตตรงต่อ "พระเจ้าแห่งดาวดวงนั้น" เช่น ถ้าคุณต้องการกลับสู่สุขาวดีโลกธาตุซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกนี้มาก คุณควรมีจิตศรัทธาตรงต่อพระอมิตาภะนอกจากนี้ ถ้าคุณต้องการไปสู่ดาวดวงอื่นๆ ดวงใด คุณก็ควรที่จะรู้จักกับพระเจ้า (หรือสิ่งศักดิสิทธิ์สูงสุด) ประจำดาวนั้นๆ เสียก่อน เพื่อจะได้มี "จุดหมายปลายทาง" ในการจรท่องไปในจักรวาลของคุณ ทว่า ถ้าคุณมี "ศรัทธาที่ไม่แน่วแน่" คุณอาจจะถูกภาคมืดซึ่งดักรอระหว่างทางจากโลกนี้ไปสู่ดาวดวงอื่นๆ ชักนำพาออกนอกเส้นทางได้ และคุณจะไม่อาจกลับคืนสู่ดาวแม่ของคุณได้เลย นี่คือ อันตรายที่คุณควรระวัง



การค้นพบโลกธาตุอื่นหรือ "ต่างดาว" มีมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล


และเพื่อให้ท่านที่ยังอ่อนต่อจักรวาลนี้ ไม่หลงทาง จึงมีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้และแจ้งเรื่องราวของต่างดาวเอาไว้มากมาย ตามหลักฐานต่างๆ ซึ่งปรากฏในนามต่างๆ เช่น สุขาวดีโลกธาตุ, พรหมโลกธาตุ, ตรีสหัสสโลกธาตุ, พหุสุคันโธโลกธาตุ, อภิรตีโลกธาตุ ฯลฯ และอีกมากมาย ซึ่งท่านก็ได้ตรัสบอก ถึงสิ่งศักดิสิทธิ์สูงสุด ประจำโลกธาตุอื่น หรือดาวอื่นๆ ไว้มากพอควรแล้ว ท่านก็สามารถเลือกโลกธาตุต่างๆ นั้นได้ แต่ท่านจะไปถึงดวงดาวได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ "การเป็นผู้รับใช้" จะเรียกว่าทาสของพระเจ้า หรือพระบุตร หรือเทวทูต ก็ได้ สิ่งสำคัญคือ คุณไม่ควรทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ส่วนตัวแต่ควรตั้งใจทำงานอุทิศตนเพื่อพระเจ้าแห่งดาวดวงนั้น ที่คุณปรารถนาจะไปให้ถึง นั้นจริงๆ และด้วยวิธีนี้เอง คุณก็จะได้รับการต้อนรับให้เข้าสู่ดาวดวงนั้นที่คุณรอคอยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ "ดาวดวงนั้นที่ภาคมืดสร้างไว้ดักรอคุณ" ซึ่งภาคมืดจะทำให้เหมือนและตรงตามความต้องการของคุณแต่สิ่งนั้นเป็น "ของปลอม" ภาคมืดจะทำของปลอมเลียนแบบได้เหมือนมาก เช่น การกำเนิดใหม่แบบภาคมืด (ปลอมๆ) พวกเขาจะหลอกล่อคุณว่ามาบนเวทีนี้สิ แล้วคุณจะได้ "เกิด" เป็นดาว เป็นดารา อย่างที่คุณต้องการนั้นถ้าคุณไม่มีศรัทธาที่แน่วแน่ต่อพระเจ้าประจำดาวดวงนั้น คุณก็จะไม่รอด!



การค้นพบโลกธาตุอื่น (ต่างดาว) โดยนักวิทยาศาสตร์อาจตั้งชื่อต่างกัน


สิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่งคือ การค้นพบดาวดวงอื่นหรือโลกธาตุอื่นๆ โดยนักวิทยาศาสตร์ อาจมีชื่อเรียกต่างไปจากในตำรา และคัมภีร์ทางศาสนาต่างๆ ได้ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร? ถ้าคุณไม่ใช่พวกยึดติดในคำศัพท์, นามสมุติ มากเกินไป คุณเข้าใจมันได้ไม่ยากเลย เหมือนกับการเรียกมะม่วง สิ่งเดียวกันกับที่ฝรั่งเรียกว่า Mango ก็เท่านั้นเอง ไม่ใช่สาระที่จะไปเอามาหลง หรือยึดมั่นเพื่อทะเลาะหรือขัดแย้งกันเลย มันก็แค่ "ชื่ออ้างอิง" ก็เท่านั้นเอง ทว่า การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์อาจจะได้รายละเอียด ในมุมที่ต่างออกไป จากมุมของศาสนา เช่น ในมุมของนักวิทยาศาสตร์ ก็จะได้ข้อมูลเชิงวัตถุมาก ในขณะที่ศาสนาจะให้มุมมองแก่คุณในด้านจิตวิญญาณมากกว่า แต่ทั้งสองอย่างก็กำลังจะถูกปรับจูนเข้าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในอนาคต เพื่อประกอบความเข้าใจ ที่รอบด้านให้แก่มวลมนุษยชาติต่อไป ดังนั้น ท่านจึงสามารถใช้ข้อมูลนี้ได้ทั้งสองมุมมอง



ข้อควรระวังจากการถูกล่อลวงโดยภาคมืด ทำให้คุณ "ไปไม่ถึงดวงดาว"


สิ่งที่คุณควรระวังไม่ใช่ "พวกต่างดาว" เพราะถ้าคุณไปถึงได้ เป็นพวกเดียวกับเขาได้ คุณก็มีดาวอยู่แน่นอน ทว่า สิ่งคุณควรระวังก็คือ การไปไม่ถึงดวงดาวต่างหากละ และนี่จะทำให้คุณเคว้งคว้างล่องลอยอยู่เหนือโลกแต่ไม่มีที่อยู่ที่ชัดเจน มันคือ "อาณาเขตแห่งความมืด" ซึ่งภาคมืดได้ทำไว้เพื่อดักรอคุณ มันคือ "กักดักที่เอาไว้เล่นงานนักท่องจักรวาล" ทั้งหลาย ที่ยังอ่อนด้อยต่อจักรวาลนี้มาก และยังท่องจักรวาลไม่ชำนาญพวกภาคมืดจะทำทุกอย่างให้เหมือน "ดาวที่คุณปรารถนา" เช่น ถ้าคุณอยากไปให้ถึงดาวแห่งการบันเทิงและแสดง ภาคมืดก็จะสร้างสิ่งนั้น ขึ้นมาให้เป็นจริงในโลกนี้ มันคือ "อาณาจักรบันเทิงและการแสดง" ที่ถูกทำให้เกิดขึ้นจริง เป็นดั่งโลกสมมุติ ในมิติซ้อนโลกใบนี้ คุณจะเข้าไปถึงมันได้ง่ายกว่าของจริงด้วยซ้ำไป เพราะมันจะดักรอคุณระหว่างทางก่อนคุณจะไปถึงและได้พบกับพระเจ้าแห่งดาวดวงนั้น เอาละ มันไม่ได้มีแค่ดาวนั้นเท่านั้นนะ มันยังมีอีกหลายดาวที่เป็น "ของปลอม-ของภาคมืด" เช่น ดาวธุรกิจ, ดาวแห่งการสื่อสาร, ดาวแห่งการช่าง, ดาวแห่งการกีฬา ฯลฯ ซึ่งทำปลอมเลียนแบบโดย "ภาคมืด" ที่ซึ่งมี "ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-ชื่อเสียงและสิ่งต่างๆ" เอาไว้หลอกล่อคุณ ก่อนที่คุณจะไปถึงดวงดาวที่แท้จริงนั้นเสียอีก และหลายคนเหลือในโลกนี้ที่ "ติดกับดัก" นั้น โดยเฉพาะคนมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งหลายในทุกวงการ พวกเขาไปถึง "ดาวปลอม" กัน ทั้งนั้น



คุณจะทราบได้อย่างไรว่าคุณ "ไปถึงดวงดาว" ที่แท้จริงนั้นๆ แล้ว?


นี่คือ คำถามที่ใครหลายคนอยากทราบสินะ เอาละ ผมจะเล่าให้ฟังคุณจะทราบได้ว่า คุณได้เลื่อนระดับ ถึงระดับของดาวดวงนั้นที่คุณปรารถนาได้ด้วยการ "ได้รับธรรมจากพระเจ้าประจำดาวดวงนั้นๆ" เช่น ถ้าคุณปราถนาดาวแห่งบันเทิงและศิลปะฯ เมื่อคุณเลื่อนระดับไปถึงแล้ว คุณอาจจะไม่ได้ขี่จานบินหรือขึ้นจรวดไปหรอก แต่มันก็คือ "การเลื่อนระดับทางจิตวิญญาณของคุณเอง" ซึ่งเมื่อคุณเลื่อนระดับไปถึงได้แล้ว คุณจะได้รับ "ธรรมจากพระเจ้าประจำดาวดวงนั้น" ทำให้คุณเข้าถึงธรรมได้ คุณเข้าใจสัจธรรมพื้นฐานในแบบนั้นๆ แม้ว่าคุณจะไม่รีบนิพพานก็ตาม พระเจ้าประจำดาวดวงนั้นจะบอกวิธีที่คุณจะดำรงอยู่ต่อไปในจักรวาลนี้อย่างไร ถ้าคุณยังไม่รีบนิพพาน ก็จะทำให้คุณ "ทราบวิธีดำรงอยู่โดยไม่รีบนิพพาน" แม้ว่าคุณจะบรรลุธรรมแล้วก็ตาม ซึ่งคุณสามารถบรรลุได้ทุกแบบ ตามแบบของดวงดาวนั้นๆ เช่น การบรรลุผ่านกรสร้างงานศิลปะ, การบรรลุผ่านที่สุดแห่งการสื่อสารหรือค้าขาย, การบรรลุผ่านที่สุดแห่งการแข่งขัน, การบรรลุผ่านที่สุดแห่งการเมืองการปกครอง ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนเป็นประตูไปสู่การบรรลุธรรมแบบต่างๆ ของดาวต่างๆ ได้ทั้งสิ้น แต่พวกเขายังไม่รีบนิพพาน พวกเขามีดาวอยู่ประจำของพวกเขาเอง เพื่อต้อนรับคุณด้วย!



เมื่อคุณบรรลุธรรมแบบ "ดาวดวงนั้น" แล้ว คุณจะกลายเป็นสุดยอด!


ผลจากการเลื่อนระดับไปจนบรรลุธรรมของดาวดวงนั้นๆ คุณจะกลายเป็นสุดยอดจอมยุทธตามแบบของดาวดวงนั้น เช่น ผู้ที่บรรลุธรรมจากดาวแห่งศิลปะ ก็จะกลายเป็นสุดยอดศิลปินหรือนักวิจารณ์ศิลปะได้ คือ สามารถใช้งานศิลปะสร้างสรรค์ให้ถึงแก่นธรรม ก็ได้ หรือวิจารณ์งานศิลปะไปจนถึงแก่นแท้แห่งธรรมเลย ก็ได้ เอาละ นี่แหละที่เรียกว่า "ไปถึงดวงดาว" อย่างแท้จริง เรียกว่า "ศิลปินของจริง" ไม่ใช่ "พนักงานการแสดง" อะไรแบบนั้น ทว่า เมื่อคุณยังอยู่บนโลกนี้ พลังงานภาคมืดจะกลบปิดสัจธรรมความจริง ทำให้คนไม่เห็นคุค่าของคุณได้ เหมือนที่ศิลปินในอดีตทั้งหลายไม่ได้รับการยอมรับในยุคที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่า เขากลับกลายเป็นตำนานอำมตะในวงการศิลปะเลยทีเดียว ข้อนี้ ก็แตกต่างจาก "ภาคมืด" มาก เพราะภาคมืด จะให้ชื่อเสียงและอะไรมากมายในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกภาคมืดจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ อันยิ่งใหญ่มาก ทว่า พวกเขาแค่ทำให้คนหลงกลเท่านั้นเอง มันคือ ภาพฉากหน้าที่หลอกลวงตาของพวกคุณ ให้หลงติดกับดักของพวกเขาได้ง่ายก็เท่านั้นเอง ดังนั้น ขอให้คุณไปให้ถึงดวงดาวที่แท้จริงละ จะได้ไม่ต้องถูกกับดักของภาคมืด "ผูกมัดพันธนาการ" และตกสู่ภพมืด ไปเสียก่อน


ขอพลังแห่งพระผู้เป็นเจ้าของดาวต่างๆ จงนำความสว่างแก่คุณ สวัสดี



13 ก.ค. 2555


"เสียงจากสภาฯ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การถูกต้อนเข้าสู่ "วิถีต่างดาว" ของมนุษย์โลก เป็นอย่างไร?

สวัสดีครับ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ท่านพอสังเกตุเห็นได้ง่ายๆ เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปบนโลกนี้ ให้มากขึ้น เอาละ ผมจะขอเข้าสู่เนื้อหาเลยก็แล้วกัน


โลกมนุษย์เปิดกว้างไม่เฉพาะเจาะจง ต่างจาก "ต่างดาว" ที่เฉพาะเจาะจง


นี่คือ สิ่งแรกที่สุดที่คุณควรจะเข้าใจให้ได้ก่อน เพื่อที่จะแยกแยะให้ได้ว่าสิ่งที่เรียกว่า "โลกนี้" และ "ต่างดาว" ต่างกันอย่างไร คุณจึงจะมองเห็นสิงที่เรียกว่า "ต่างดาว" ออก เอาละ อย่างแรก คุณควรเข้าใจว่าโลกของคุณ โลกมนุษย์นี้เป็นอย่างไร? ซึ่งมันก็คือ โลกที่เปิดกว้าง มนุษย์โลกนี้จะไม่มีความชำนาญเฉพาะด้านมากเกินไป แต่เขาก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้บ้าง แม้ไม่เก่งนัก นั่นคือ ลักษณะของเชื้อสายจากไกอา ซึ่งไม่มีในดาวอื่น หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าดาวดวงอื่น ทำไม่ได้แบบนี้ คือพวกเขาจะมีลักษณะเฉพาะ ชำนาญเฉพาะเรื่อง อย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่เปิดรับสิ่งที่แตกต่าง เพราะมันจะทำให้สิ่งที่เป็นอยู่ในดาวของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น พวกเขาจึงมีกรอบกั้นให้ตัวเอง เรียนรู้อยู่แต่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเฉพาะเรื่อง เรียกว่า "โลกเฉพาะด้าน" ไม่ใช่โลกกว้างที่มีทุกอย่างรอบด้านเหมือนกับโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น ดาวอังคาร จะมีแต่เรื่องการสงคราม, สู้รบ และการแข่งขัน และพวกเขาก็จะไม่เปิดรับในเรื่องที่แตกต่างออกไป นั่นคือ "ระบบปิดกั้นประจำดวงดาว" ของพวกเขา



มนุษย์โลก อาจถูกมนุษย์ต่างดาวต้อนไปสู่ "ดาวของพวกเขา" ได้มาก


อย่างที่สองคือ "มนุษย์โลก" อาจถูกมนุษย์ต่างดาว ต้อนไปสู่โลกของพวกเขา ซึ่งมันเป็นโลกเฉพาะด้าน เฉพาะเรื่องที่มีระบบปิดกั้น ไม่ให้มีทางออกไปอย่างอื่น เหมือน Matrix พิเศษชนิดหนึ่ง ที่เมื่อมนุษย์โลกถูกต้อนเข้าไปแล้ว "ก็ยากที่จะออกมาได้" เช่น มนุษย์บางคนต้องอยู่แต่เรื่องการเมือง วนเวียนอยู่ออกมาไม่ได้, บางคนก็ต้องอยู่แต่ในด้านการค้าขายไม่อาจเอาตัวออกไปเรียนรู้เรื่องอื่นได้ บางคนถูกล้อมกรอบให้อยู่แต่ศาสนาหรือลัทธินิกาย ฯลฯ เอาละ นั่นคือ "ขั้นตอนเริ่มต้น" ที่จะต้อนมนุษย์โลกเข้าสู่ "ต่างดาว" ก็เท่านั้น มันยังไม่ถึงต่างดาวอย่างแท้จริง แต่มันจะค่อยๆ เข้าสู่ต่างดาวเป็นขั้นๆ ไป ทีละน้อย และคนที่ถูกต้อนก็จะรู้สึกว่าโลกของเขาแคบลง หรือเฉพาะด้านมากขึ้น ไม่อาจที่จะแบ่งเวลาไปสู่เรื่องอื่นๆ ด้านอื่นๆ มิติอื่นๆ ได้อีก นั่นแหละคุณถูกต้อนแล้ว



ความเป็น "มนุษย์โลก" ที่แท้จริง จะทำให้คุณไม่ถูกต้อนไปต่างดาว


อย่างที่สามคือ ถ้าคุณไม่อยากถูกต้อนไปต่างดาว และคุณพอใจกับดาวโลกดวงนี้แล้ว คุณจะต้องทำตามวิถีของโลกนี้ คือ การเปิดกว้างเรียนรู้รอบตัวทุกอย่าง แม้ว่าคุณจะไม่เก่งหรือไม่มีความชำนาญเฉพาะด้านก็ตาม นั่นไม่เป็นไร สำหรับการเป็นมนุษญ์โลกนี้ ขอเพียง "คุณไม่ปิดกั้นการเรียนรู้รอบตัว" เพราะเมื่อใดที่คุณเริ่มปิดกั้นการเรียนรู้ คุณก็จะไล่ต้อนตัวเอง เข้าสู่ "โลกเฉพาะด้าน" หรือ "มิติเฉพาะ" ไปทีละนิดโดยที่คุณไม่รู้ตัว จนถึงจุดหนึ่ง คุณมีความสามารถเฉพาะด้านมากๆ ก็จะถูก "จองตัว" โดยมนุษย์ต่างดาว และพวกเขาก็จะเปิดรับให้คุณเข้าไปสู่โลกของพวกเขา "ดาวของพวกเขา" หรือ "มิติที่พวกเขาสร้างขึ้นซ้อนทับโลกนี้" ทว่า มันไม่ครอบคลุม ไม่ครบทุกด้าน มันจะเฉพาะเพียงด้านใดด้านหนึ่งที่พวกเขาต้องการ, ถนัด หรือชอบ ตามวิสัยของเขานั้น



แม้กระนั้นคุณก็เลือก "ดาวอื่น" ที่ไม่ใช่โลกนี้ได้ด้วยการกระทำของคุณ

อย่างที่สี่คือ มันไม่มีดาวดวงไหน ผิดหรือถูก ไม่ใช่ว่าโลกนี้ถูกต้องแล้วแต่ดวงดวงอื่นผิด หรือโลกนี้ผิด ดาวดวงอื่นถูก ก็หาไม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันก็แค่ "ผลจากความหลากหลายของจักรวาล" ที่ไม่ใช่ความถูกต้องหรือว่าความผิดพลาดอะไรหรอก คุณก็แค่ "พิจารณาแล้วตัดสินใจเลือก" ก็เท่านั้นเอง ถ้าคุณพอใจกับโลกนี้ จะอยู่ในโลกนี้ "เวียนว่ายอยู่เฉพาะสามภพนี้" คุณก็ต้องกระทำอย่างโลกนี้ แต่ถ้าคุณอยากไปอยู่ดาวดวงอื่นที่คุณพอใจ หรือต้องการ คุณก็ต้องเข้าสู่วิถีต่างดาว ของดาวดวงนั้น และคุณก็จะมีความชำนาญเฉพาะด้านเกิดขึ้นได้ แต่ความเข้าใจรอบด้านก็จะลดลงด้วยเอาละ ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้แบ่งแยกโลกและต่างดาวได้ แต่มันก็เป็นเพียง "ขั้นตอนเริ่มต้น" ของการคัดสรรเท่านั้น ยังมีอีกหลายขั้นตอนมากที่แยกมนุษย์โลกนี้ ออกไปสู่ดาวดวงอื่นๆ หรือจำกัดแต่ให้อยู่ในดาวดวงนี้เอาละ นี่ก็คือ จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมีการทดสอบและการพัฒนาขั้นสูงขึ้นไป



หรือแม้แต่ลูกผสมต่างดาว (Indigo) คุณก็สามารถเลือกที่จะเป็นได้


อย่างที่ห้าคือ ทางเลือกอีกทางหนึ่งของคุณก็คือ การเป็นลูกผสมมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาว กล่าวคือ คุณอาจจะต้องมีด้านหนึ่งที่เปิดกว้างที่จะเรียนรู้ทุกอย่างแม้ว่าจะไม่ชำนาญสักอย่างก็ตาม และอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นความชำนาญเฉพาะด้านของคุณ ซึ่งคุณอาจจะได้มันมาจากการได้รับพลังจากต่างดาวที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องนั้นๆ โดยตรง ซึ่งก็เป็นอีกวิถีหนึ่งที่คุณสามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ จักรวาลนี้ไม่ได้มีอะไรผิด หรืออะไรถูก เพียงแต่คุณเลือกได้ คุณเลือกเองและคุณก็จะเป็นผู้รับผลของมันเองอีกด้วย ทว่า คุณต้องไม่ลืมว่าคุณไม่ได้เป็นผู้เลือกฝ่ายเดียว คุณจะถูกมนุษย์ต่างดาวพิจารณาเพื่อเลือกคุณหรือไม่อีกด้วย ดังนั้น ต่อให้คุณอยากจะเป็นอย่างมนุษย์ต่างดาวแต่คุณเลื่อนระดับไปถึงไม่ได้ ก็ไม่อาจเป็นอย่างพวกเขาได้ แม้แต่จะเป็นลูกผสมด้วยซ้ำไป



ระบบภพภูมิของโลกนี้ กับต่างดาว แตกต่างกัน คุณต้องแยกแยะให้ออก


อย่างที่หกคือ โลกนี้มีสามภพ ระบบภพภูมิของโลกนี้ มีสวรรค์หกชั้น แต่ถ้าคุณเลื่อนระดับของคุณสูงไป กว่านั้น คุณจึงจะพบ "ดาวดวงอื่น" ได้แต่ตราบใดที่ระดับของคุณยังต่ำอยู่และไปไม่เกินโลกนี้ คุณจะคิดว่าสิ่งที่คุณเข้าใจคือระบบภพภูมิของโลกนี้ทั้งหมด เพราะอะไร? เพราะคุณมีความสามารถในการหยั่งรู้ไปได้แค่นั้นเอง คุณจำเป็นต้องเลื่อนระดับให้สูงขึ้น "เหนือสามภพของโลกนี้" อย่างแท้จริง หลุดพ้นจากวิถีของโลกนี้อย่างแท้จริง คุณจึงจะเข้าใจหรือสัมผัสได้ว่า "ดาวดวงอื่น" เป็นอย่างไร และดำรงอยู่กันอย่างไร สิ่งนี้จำเป็นมาก เพราะ "หลายคนหลง" หลงคิดไปว่าสวรรค์หกชั้นของโลกนี้ คือ ต่างดาวแล้วก็มี บางคนก็หลงว่ามันไม่มีต่างดาวมีแต่ระบบภพภูมิของโลกนี้เท่านั้น เพราะพวกเขายังหลงวนอยู่แต่ "ในโลกนี้" ยังไม่ถึงระดับ "หลุดพ้นโลกอย่างแท้จริง" ได้ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น วิทยาการ "การคิดเชิงบวก" ของโลกนี้ สูงสุดจะมาจากสวรรค์ชั้นที่หก (ชั้นมาร) มันก็อย่างหนึ่ง แต่วิทยาการการคิดเชิงบวกซึ่งมาจาก "ต่างดาว" เช่น ดาวไซย่า ก็อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างกันมาก เมื่อใดที่คุณเข้าใจ "การตรวจต้นธาตุต้นธรรม" ต้นวิชาความรู้ คุณจึงจะสาวไปถึงต้นตอของวิชาความรู้นั้นได้ และทราบได้ว่าอะไรบ้างที่มาจากต่างดาว



พลังและวิทยาการต่างดาว ก็ถูกส่งลงมายังโลกนี้ จนแยกแยะกันไม่ออก


อย่างที่เจ็ดคือ พลังและวิทยาการต่างดาว ก็ถูกส่งลงมายังโลกนี้ จนแยกแยะกันไม่ออก มนุษย์บนโลกจะไม่ทราบว่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากโลกนี้นั้นมีที่มาจาก "ต้นธาตุต้นธรรม" ต้นทาง ต้นวิชา จากในโลกนี้ หรือต่างดาวพวกเขาจะไม่รู้ นอกจากจะได้รับการสอน หรือเลื่อนระดับไปสู่ระดับที่รู้ได้ด้วยตนเอง ว่าสิ่งนี้มาจากในโลกหรือนอกโลก เอาละ มันไม่ใช่ของง่ายๆ เพราะการเลื่อนระดับให้ "หลุดพ้นจากโลกนี้ได้ทั้งสามภพ" ยังเป็นเรื่องที่ยากสำหรับมนุษย์โลกนี้ พวกเขาจึงแยกแยะไม่ออกว่าวิทยาการความรู้ใดที่มีที่มาจากต่างดาว และมีที่มาจากในโลกนี้บ้าง พวกเขายังเป็นเด็กที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาไปอีกมาก กว่าจะแยกแยะได้ว่าอะไรมาจากต่างดาวและอะไรมาจากในโลกนี้ เพราะพวกเขายังไม่ทราบด้วยซ้ำว่า "มนุษย์โลกที่แท้จริง" มีลักษณะอย่างไร พวกเขาคิดว่าทุกสังขารของคนที่อยู่ในโลกนี้ เป็น "มนุษย์" ทั้งหมด ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเลย บางคนเท่านั้นที่เป็นมนุษย์เต็มตัว และยิ่งน้อยไปอีกที่จัดได้ว่าเป็น "มนุษย์โลก" ที่แท้จริง!



สุดท้ายนี้ ขอเน้นย้ำว่าในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรผิด หรือถูกหรอก มันก็เป็นเช่นนั้นของมันเอง เพียงแต่คุณจะเข้าใจมันได้มากเท่าใด? ทั้งในระดับองค์รวมและระดับเฉพาะส่วน เพราะแม้แต่ "โลกที่คุณอาศัยอยู่นี้" คุณก็อาจยังทำความเข้าใจมันได้ไม่หมด เอาละ มันไม่ใช่การตำหนินะ แต่เพียงกระตุ้นให้คุณ "มีพลังที่จะเรียนรู้โลกของคุณเองให้รอบด้านมากขึ้น" ก็เท่านั้น ทั้งในมุมมองแบบนอกเข้ามาสู่ใน (Outside in) และมุมมองแบบในไปสู่นอก (Inside out) เพื่อคุณจะได้ไม่สับสนในสิ่งที่มีอยู่ในโลกของคุณ แต่บางสิ่งมันอาจมาจากต่างดาว ก็เท่านั้นเอง


ขอพลังแห่งความกล้าหาญที่จะเรียนรู้จงนำพาคุณไปให้ถูกทาง สวัสดี



12 ก.ค. 2555


"เสียงจากสภาฯ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ท่านสามารถรับ "วิทยาการต่างดาว" ผ่าน "ตัวแทนมนุษย์" กลุ่มใดได้บ้าง?

สวัสดีครับ เพื่อให้ท่านเข้าใจได้อย่างต่อเนื่อง ผมจะขอธิบายเรื่องวิทยาการของชาวต่างดาวที่ถ่ายทอดมายังโลกนี้ ซึ่งมีด้วยกันหลายสาย, หลายกลุ่มทั้งนี้ ไม่เหมือนกันเพราะมาจากดาวที่ต่างกัน เพื่อไม่ให้เสียเวลาขอเข้าเรื่องวิทยาการต่างดาวที่ถ่ายทอดผ่าน "ตัวแทนที่เป็นมนุษย์" กลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้


มนุษย์ต่างดาว ทำงานผ่านตัวแทนมนุษย์โลก สังเกตุได้อย่างไรบ้าง?


อย่างที่ผมได้เคยเล่าไปแล้วว่ามนุษย์ต่างดาว ยังปรับตัวเข้ากับโลกนี้ไม่ได้ 100% บางอย่างเขาทำได้ดี แต่บางอย่างก็แย่ ดังนั้น เขาจึงมีการติดต่อกับมนุษย์โลกนี้ และทำงานผ่าน "ตัวแทนที่เป็นมนุษย์โลก" (Alien agency) ซึ่งมนุษย์กลุ่มที่เป็นตัวแทนฯ นี้ จะได้รับวิทยาการจากต่างดาวด้วย ทำให้พวกเขามีความสามารถพิเศษ และก่อตั้งบริษัทองค์กร, หรือสถาบันต่างๆ ได้อย่างเข้มแข็ง ทั้งยังรับสืบทอดวัฒนธรรมจากต่างดาว เพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อๆ ไปที่เข้ามาทำงานในองค์กรนั้นอีกด้วย เอาละ ฟังให้ดีนะครับและอย่าเพิ่งตกใจไป มนุษย์ต่างดาวซึ่งมาจากดาวที่ต่างกัน ก็ถ่ายทอดวิทยาการให้คนกลุ่มต่างกัน ในองค์กรต่างกัน นั่นหมายความว่า "ขณะนี้มีหลายองค์กร หลายสถาบันในโลกที่เป็นตัวแทนของมนุษย์ต่างดาว" มาเป็นเวลานานแล้ว ทว่า สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เป็นธรรมดาของโลกอย่างหนึ่งที่มีมานานแล้วเท่านั้นเอง



เทคนิกในการแยกแยะ "องค์กรที่เป็นตัวแทนมนุษย์ต่างดาว" มีดังนี้


1. องค์กรหรือกลุ่มคนกลุ่มนั้น มีวิถีชีวิตหรือความเป็นอยู่ในแบบของพวกเขาเอง ที่แตกต่างไปจากปุถุชนปกติ เช่น พวกเขาไม่ต้องทำงานมีพิธีกรรมการบวช ก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในโลกนี้ "แบบของเขา"

2. พวกเขามี "วัฒนธรรมกลุ่ม" ในแบบของตัวเอง เฉพาะตัว ที่ไม่ได้นำมาจากแหล่งใดของโลก หรือไม่อาจหาที่มาได้ เช่น เด็กช่างกลซึ่งมักแบ่งพวกตีกัน ซึ่งเราไม่ทราบว่าเขาเอาค่านิยมเหล่านี้มาจากไหน?

3. พวกเขามีวิธีการดำรงอยู่ หรือการทำจิตแบบที่ต่างไปจากธรรมชาติของมนุษย์เช่น ให้มีความคิดเชิงบวกอย่างเดียวตลอดเวลา ไม่ให้มีเชิงลบเกิดเลย ซึ่งมนุษย์ปกติทำไม่ได้ เพราะมนุษย์มีสมดุลแบบคู่ตรงข้าม

4. พวกเขามีความสามารถพิเศษเฉพาะแบบของพวกเขาเองที่ต่างไปจากมนุษย์ปุถุชนทั่วไป เช่น พวกเขาสามารถสื่อสารได้ดีกว่าคนทั่วไปหรือค้าขายได้เก่งกว่าคนทั่วไป ซึ่งมันเป็น "ความสามารถพิเศษจริงๆ"

5. พวกเขาจะมี "หัวหน้า" ซึ่งจะรับพลังจากต่างดาวแล้วถ่ายทอดพลังนั้นสู่คนอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งถ้าคุณสัมผัสพลังเหล่านั้นได้ ก็จะทราบว่าแหล่งต้นกำเนิดพลังงานมาจาก "ต่างดาว" ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ หรือเขาเอง

6. พวกเขามักมีโลกส่วนตัวในแบบของพวกเขา ซึ่งมันไม่รอบด้านทุกมิติของโลกนี้ได้ เช่น เมื่อเราเข้าทำงานแล้ว เขาจะให้เราใช้เวลาทั้งชีวิตกับงานของพวกเขา ไม่ให้มีการแบ่งปันเวลา ไปสนใจสิ่งอื่นๆ รอบตัวได้เลย

7. พวกเขามักมี "หัวหน้า" ในระดับที่สูงขึ้นเสมอ และหัวหน้าใหญ่มักจะ"ลึกลับ" พอควร นั่นคือ เฉพาะคนที่อยู่ในระดับที่สูงมากๆ เท่านั้นที่จะเข้าถึงตัวเขาได้ พวกเขามีวิธีสร้างระดับขั้น ป้องกันคนภายนอกเอาไว้เสมอๆ

8. พวกเขามักรู้สึกหรือสัมผัสอะไรได้เร็ว โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นต่างดาวเช่นกัน พวกเขาจะมีความรู้สึกเชิงลบหรือบวกได้ง่าย, ได้มาก, ได้เร็ว เช่น แค่มองตากันก็ชกต่อยกันได้ทันที โดยยังไม่ทันพูดคุยอะไรให้รู้เรื่องก่อนเลย

9. พวกเขามีลักษณะของพลังงานแบบ "ขั้วเดียว" เช่น บางคนมีแต่พลังด้านบวก และบางกลุ่มฝึกแต่พลังด้านลบ, ในขณะที่บางกลุ่มจะเลือก แต่พลังภาคสว่าง ในขณะที่บางกลุ่มรับแต่ด้านมืด ขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างนี้ ก็มี

10. พวกเขามักยึดติดและเคยชินกับความเป็นอยู่จากดาวเดิม ทำให้ถ่ายทอดสิ่งที่เดิมๆ นั้นออกมา ไม่รอบด้านและไม่ครอบคลุมการดำรงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างแท้จริง เช่น พวกนักกีฬาก็เก่งแต่ด้านกีฬาทุ่มเวลาไปแต่เรื่องนั้น


เอาละ นี่เป็นเพียงข้อสังเกตุเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งใช้สังเกตุ "มนุษย์โลก" ที่มีความสัมพันธ์ได้รับวิทยาการจากต่างดาวโดยที่พวกเขาอาจไม่รู้ตัวเลยแต่ก็ได้รับวิทยาการนั้นๆ ไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่เคยสงสัยหรือสาวไปให้ถึง "ต้นตอ" ของวิทยาการเหล่านั้นเลยว่า "คิดค้นมาได้อย่างไร ใครคิดค้น?"



ระดับชั้นของ "มนุษย์ต่างดาว" ยิ่งสูงขึ้น ก็จะยิ่งได้รับวิทยาการมากขึ้น


เอาละ นี่คือ "ข้อสังเกตุ" อีกประการหนึ่ง ซึ่งต่างจากการเรียนของมนุษย์ที่นิยมเรียนรู้ให้ครบ ให้หมดไปเลยจึงจบหลักสูตรได้ แต่สำหรับวิทยาการของมนุษย์ต่างดาว พวกเขาจะไม่ให้เราทั้งหมด แต่พวกเขาจะคอยตามดูพฤติกรรมหรือพัฒนาการของเราก่อน ว่าเหมือนพวกเขามากน้อยแค่ไหนถ้าเหมือนมากขึ้น เขาจะให้เราได้รับวิทยาการมากขึ้นได้ แต่ถ้าเรายังไม่มีพัฒนาการที่ดีมากพอ พวกเขาก็จะไม่ถ่ายทอดวิทยาการที่สูงขึ้นไปให้เรานั่นคือ "วิธีที่จะปกป้องวิทยาการของพวกเขา" ให้มีความปลอดภัยสูงขึ้นด้วย ทว่า พวกเขาจะมีวิธีทดสอบในแบบของพวกเขาเอง ว่าใครสมควรที่จะได้รับวิทยาการที่สูงขึ้น เช่น พวกเขาอาจลองใจให้โจทย์มนุษย์ ทำให้พวกมนุษย์แบ่งพวกตีกัน ถ้าพวกเขาตีกันแล้วไม่มีพัฒนาการสูงขึ้น ก็จะไม่ได้รับวิทยาการที่สูงขึ้นเลย แต่ถ้าพวกเขาเรียนรู้, พัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นไปว่าตีกันทำไม? เอาชนะกันไปทำไม? หรือกล่าวง่ายๆ ถ้าพวกเขามีการเลื่อนระดับสูงขึ้นได้จากโจทย์นั้นๆ เขาก็จะได้รับการเฉลยว่าทำไมจึงต้องมีการทดสอบอย่างนั้น และมันจะช่วยพัฒนาอะไรให้แก่มนุษย์ได้บ้างดังนั้น "ในระดับที่ต่ำตื้น" ท่านอาจคิดว่ามันช่างไร้สาระและไม่มีสมองกันหรือไรจึงต้องมาทำอะไรที่มนุษย์โลกปกติเขาไม่ทำกันอย่างนี้ มันช่างเป็นเรื่องี่เง่าที่ "หาคำอธิบายไม่ได้" เสียจริง (เพราะยังไม่ได้รับการเฉลยไง)



การเชื่อมต่อยังต้นตอของแหล่งพลังงานโดยไม่ผ่านตัวแทนภาคมนุษย์


สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจต่อไปคือ ถ้าท่านได้เข้าไปสู่องค์กรหนึ่งที่เป็นตัวแทนของมนุษย์ต่างดาว (โดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังต้นตอของพวกเขาก็คือ มนุษย์ต่างดาว) แล้วท่านได้รับการถ่ายทอดวิทยาการนั้นมา ท่านก็ต้องรอให้ "มนุษย์ที่เป็นตัวแทนฯ" นั้นๆ ทดสอบว่าท่านผ่านหรือไม่ ท่านจึงจะได้รับวิทยาการที่สูงขึ้น ใช่หรือไม่? เอาละ ทีนี้ ถ้าท่านไม่ต้องการที่จะรอรับจากตัวแทนคนนั้น ท่านก็สามารถเชื่อมต่อไปจนถึง "แหล่งต้นตอของพลังงานนั้นได้เลย" โดยท่านต้องสามารถรับพลังงานจักรวาลได้ จึงจะเข้าใจถึงวิถีการเชื่อมโยงพลังงานของท่านกับแหล่งต้นตอนั้นที่มาจากต่างดาว ด้วยวิธีนี้ ท่านก็ไม่ต้องไปทำงานให้แก่มนุษย์ที่เป็นตัวแทนนั้นอีกและท่านก็สามารถลัดตัดตรงมารับวิทยาการจากต่างดาวได้จากแหล่งต้นตอของพลังงานนั้นๆ ได้เลย แต่ท่านอาจจะต้องใช้ความสามารถของท่านเองมากเสียหน่อย จึงจะรับข้อมูลและวิทยาการนั้นได้ด้วยตัวของท่านเองและไม่แน่ ท่านอาจทำได้ดีกว่ามนุษย์ตัวแทนที่ทำหน้าที่ก่อนท่านเสียอีก?



การแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันของตัวแทนมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาว


เพราะมนุษย์ต่างดาวต้องพึ่งพามนุษย์โลก พวกเขาจึงต้องมีพันธสัญญาร่วมกันเพื่อ "แบ่งปันผลประโยชน์ร่วม" ของพวกเขา เช่น ในขณะที่เขาถ่ายทอดวิทยาการให้มนุษย์โลกๆ จะได้รับอะไรบ้าง และจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายจากต่างดาวอะไรบ้าง เพราะมนุษย์โลกน้อยคนนักที่ยอมทำงานให้มนุษย์ต่างดาวด้วยใจที่บริสุทธิ์และไม่หวังผลประโยชน์ใดตอบแทน และถ้ามีมนุษย์โลกที่ทำเช่นนั้นจริง เขาจะกลายเป็นแหล่งพลังงานของต่างดาวไปทันที เพราะเพื่อนๆ ชาวต่างดาวต่างก็ต้องการให้เขาเป็น "ตัวแทนของพวกเขา" เมื่อนั้น มนุษย์โลกคนนั้นก็ไม่ต่างจากศูนย์กลางของพลังงานจักรวาล พลังงานจากดาวดวงต่างๆ พลังงานมากมายก็จะหลั่งไหลมาสู่ตัวเขาเพื่อให้เขาช่วยทำกิจต่างๆ โดยไม่ต้องมีปัญหาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์กับมนุษย์โลกอีกต่อไป ทว่า มนุษย์โลกที่จะทำได้เช่นนี้ ก็หาได้ยากมาก และยังไม่อาจทำได้ง่ายๆ อีกด้วย เพราะพลังงานจากต่างดาวจำนวนมากมายที่ไหลผ่านร่างของเขานั้นเป็นพลังงานที่แตกต่างกันจากหลายดวงดาว อาจส่งผลเสียต่อร่างกายหรือจิตใจได้



การเลื่อนระดับขึ้นของคุณ จะทำให้คุณได้รับวิทยาการจากต้นตอจริงๆ


เมื่อคุณยังอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่ จะได้รับวิทยากรระดับต่ำ คุณต้องเลื่อนระดับของตัวคุณเองขึ้นไปตามสายงานของดาวดวงนั้นๆ จนถึงจุดหนึ่งคุณจึงจะทราบได้ว่า "ต้นตอหรือเบื้องหลังของวิทยาการนี้มาจากต่างดาว" ทว่า กว่าคุณจะไต่ระดับไปถึงจุดนั้นได้ "คงยากและนานน่าดู" เพราะมันไม่ใช่ของง่ายๆ ดังนั้น สำหรับคนทั่วไปที่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ พวกเขา "ย่อมไม่มีทางรู้เลย ว่าวิทยาการเหล่านั้น มาจากต่างดาว" และยังไม่ทราบอีกว่าต้นสายธรรม, สายวิทยาการ, Big boss ที่แท้จริงของพวกเขา เป็นใครกันแน่? เพราะกว่าจะเข้าถึงระดับนั้นได้ท่านจะต้องยกระดับตัวเองขึ้นไป ถึงระดับผู้บริหารระดับสูงมากทีเดียวและแน่นอนว่าเมื่อมีหลายคนที่อยู่ในระดับล่างไม่ทราบเรื่องนี้ พวกเขาก็ยังคงทำงานอยู่ต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าองค์กรของพวกเขามีมนุษย์ต่างดาว "อยู่เบื้องหลัง" ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด-ถูก หรืออะไร หรอกนะครับสิ่งนี้คือ ธรรมชาติหนึ่งของโลก เป็นธรรมดาและอยู่คู่โลกนี้มานานแล้ว



สุดท้ายนี้ เมื่อท่านได้ทราบความจริงนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งมีทัศนคติเชิงลบหรือบวกมากเกินไป ขอให้มองด้วยสายตาที่เป็นกลาง มันไม่ใช่ความเลวร้ายอะไรเหมือนในหนังเอเลี่ยนที่ท่านดูหรอกนะ เพราะความเจริญทางวัตถุและด้านต่างๆ ของโลกนี้ที่เป็นอยู่ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่ก็มีที่มาจาก "มนุษย์ต่างดาว" มานานแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลย! สำหรับบางประเทศที่เจริญมากแล้ว พวกเขาได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ก่อนคุณส่วนประเทศของคุณอาจได้รับข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ภายหลัง ก็เท่านั้นเอง พูดไปก็เหมือนเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ ให้คนที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังกัน เท่านั้นเองครับ เอาละ อย่าซีเรียสเกินไป ทุกอย่างดำเนินการมานานแล้วและยังคงดำเนินอยู่ต่อไป มันกำลังจะขยายวงกว้างขึ้นเรื้อยๆ จากประเทศที่พัฒนาแล้วมาสู่ประเทศกำลังพัฒนา เอาละ ทำตัว ทำใจปกติสบายๆ กันหน่อย หรือถ้าจะให้ดี ขอความฮึกเหิมกล้าหาญของท่าน ทำงานให้เต็มที่หน่อย ตื่นเต้นกันสักนิดที่จะเปิดรับวิทยาการจากต่างดาวที่จะเข้ามาช่วยท่าน พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ และประเทศของท่านต่อไป


ขอพลังแห่งความกล้าหาญและพลังเชิงบวกจงปลุกและเปิดใจท่าน สวัสดี



11 ก.ค. 2555


"เสียงจาก Indigo"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มนุษย์ที่อยู่บนโลกมากมายมีเชื้อสาย "ต่างดาว" มนุษย์ที่มีเชื้อสายโลกนี้ มีน้อย?

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องเบาๆ เรื่องหนึ่ง มาคุยกันนะครับ เป็นเรื่องที่พื้นๆ รากฐานง่ายๆ คือ เรื่องของเชื้อสายทางจิตวิญญาณ หรือจุดกำเนิดของจิตวิญญาณมาจากที่ใด ซึ่งผมขอแบ่งง่ายๆ นะครับคือ 1. ผู้มีเชื้อสายจากต่างดาว และ 2. ผู้มีเชื้อสายจากโลกใบนี้ 

เอาละ ผมจะค่อยๆ อธิบายไปนะครับ


จุดกำเนิดของ "จิตวิญญาณ" ที่มาจากดาวดวงนี้ และดาวดวงอื่นๆ


ในโลกนี้ มีคนมากมายปนกัน ทว่า พวกเขามี "เชื้อสายทางจิตวิญญาณ" ที่แตกต่างกันมากครับ มารวมกันอยู่ที่นี่ โดยผ่าน "ร่างสังขารหรือตัวตน" ตัวแล้วตัวเล่า สังขารแล้วสังขารเล่า ผ่านไป บ้างก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกนี้ต่อไป บ้างก็สามารถกลับไปยัง "ดาวแม่" ของตนเองได้ เอาละ! คุณควรเริ่มต้นทำความเข้าใจ จากคำว่า "เชื้อสายทางจิตวิญญาณ" ก่อน มันคืออะไร? มันก็คือ "จุดกำเนิดครั้งแรก ของจิตวิญญาณของคุณ" ที่คุณถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่จะมีสังขารรองรับ ซึ่งมันมีจุดกำเนิดที่ต่างกันนะครับคือบางท่านมีจุดกำเนิดใน "ดาวโลกนี้ และบางท่านมีจุดกำเนิดที่ ต่างดาว" ผลที่ได้มันก็ต่างกันครับ กล่าวคือ กลุ่มผู้ที่กำเนิดในดาวโลกนี้ จะต้องได้นิพพานในดาวดวงนี้ทั้งหมดไปนอกดาวดวงนี้ไม่ได้ครับ ส่วนผู้ที่มีกำเนิดจากต่างดาว สามารถกลับคืนสู่ดาวแม่ ก็ได้ หรือ นิพพานในดาวโลกนี้ ก็ได้ครับ (เพราะโลกนี้คือสาธารณสมบัติของจักรวาลร่วมกันของทุกท่าน) 



ที่ไปสุดท้ายของการเสร็จสิ้นภารกิจทั้งสามแบบของมนุษย์โลกนี้


มนุษย์ในโลกนี้ จะมีที่ไปสุดท้ายไม่เหมือนกัน ตาม "เชื้อสายทางจิตวิญญาณ" ของเขาเป็นสำคัญ หมายความว่าถ้าเขามีเชื้อสายมาจากต่างดาว เขาจะต้องกลับสู่ดาวแม่ของเขาในท้ายที่สุด แต่ถ้าเขามีเชื้อสายจากดาวโลกดวงนี้ (เชื้อสายของไกอา) เขาก็จะได้นิพพานในดาวโลกดวงนี้ ทว่า ก็ยังมี "เชื้อสายต่างดาว" บางส่วนที่นิยมลงมานิพพานในดาวโลกดวงนี้ด้วย ซึ่งท่านจะรู้จักเขาในนาม "พระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า" นั่นเอง สำหรับผู้ที่กลับสู่ดาวแม่ พวกเขาจะมี "ชีวิตนิรันด์" และนิพพานในดาวแม่นั้นๆ ซึ่งจะมีอายุยาวนานกว่ามนุษย์โลกนี้มากและจะใช้เวลานานกว่ามนุษย์โลกนี้มาก กว่าที่เขาจะนิพพานไป นี่คือ ข้อแตกต่างกันของเป้าหมายสุดท้าย ในการเดินทางของพวกเขาในจักรวาล นั้นซึ่งแต่ละท่านจะมีช่วงเวลาของการ "ท่องจักรวาล" อยู่ช่วงหนึ่งที่ยาวนานไม่เท่ากัน และไปได้กว้างไกลไม่เท่ากัน ก่อนที่จะเสร็จสิ้นภารกิจในที่สุด และได้พักในที่หมายปลายทางสุดท้าย เหมือนกัน



จะทราบได้อย่างไรว่าใครมีเชื้อสายจากโลกหรือเชื้อสายจากต่างดาว?


วิธีการที่ตรงที่สุดคือ "การกลับสู่ภาวะเดิมแท้" เมื่อแต่ละท่านกลับสู่ภาวะเดิมแท้ได้ ซึ่งจะบรรลุธรรมในช่วงนั้นด้วย จะมีความแตกต่างกันสองแบบคือ 1. กลุ่มคนที่ยอมจำนนและพอใจกับการได้, มี และเป็นอยู่ในโลกแล้วและ 2. กลุ่มคนที่ยังไม่พอใจ, ไม่หยุด และยังกระทำภารกิจต่อไป ก็จะไม่จำนนต่อโลก พวกนี้จะมีเชื้อสายจากต่างดาวและพวกเขาจะมีแรงขับดันที่แรงกล้าจากเบื้องลึกระดับดีเอ็นเอทางจิตวิญญาณ ให้กลับคืนสู่ดาวแม่ ในที่สุด พวกเขาจะเลือกที่จะไม่นิพพานในโลกนี้ แม้ว่าจะได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ก็ตาม พวกเขาก็จะมีแรงขับดันให้กลับคืนสู่ดาวแม่ที่พวกเขาจากมา ที่พวกเขาเคยหลงลืมมานานแล้ว เป็นต้น เอาละ นั่นคือวิธีทางตรงที่จะทำให้ทราบถึง "รากเหง้าที่มาของจิตวิญญาณต้นกำเนิด" อย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีวิธีสังเกตุอื่นๆ อีกมากมายว่า บางคนอาจเป็นเชื้อสายของมนุษย์ต่างดาวเช่น 1. มีความสามารถพิเศษกว่าคนทั่วไป 2. ชอบเรื่องแปลก โดยเฉพาะเรื่องนอกโลกหรือจักรวาล 3. มีความเข้าใจในสัจธรรมพื้นฐานของโลกได้ง่ายและเร็วกว่าคนทั่วไป 4. มีความรู้สึกสัมพันธ์กับบางสิ่ง ที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้เหมือนเป็น "สัมพันธภาพเดิม" ของพวกเขา 5. มักได้รับข้อมูลหรือพลังงาน ที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป เพื่อกระตุ้นเตือนให้กลับสู่ดาวแม่เป็นต้น เอาละ นี่เป็นแค่เพียงข้อสังเกตุเบื้องต้น แต่ยังไม่ใช่ข้อสรุปนะครับ



โลกมนุษย์นี้เป็น "สาธารณสมบัติของจักรวาล" จึงมีต่างดาวมาเยือน


สิ่งต่อไปที่คุณควรเข้าใจโลกนี้ให้แจ้งชัดเสียใหม่คือ โลกนี้เป็นสาธารณสมบัติของจักรวาล ดังนั้น มันจึงถูกใช้เป็นเหมือนห้องแล็ปสาธารณะมานานแล้วสำหรับชาวจักรวาลทั้งหลาย และนั่นหมายความว่ามนุษย์ต่างดาวก็มาเยือนโลกนี้ตั้งนานแล้ว และยังคงอยู่ร่วมกับมนุษย์ พัฒนาสายพันธุ์ไปพร้อมกับมนุษย์โลกนี้ "นานแล้ว" ทำให้พวกเขาเริ่มกลายพันธุ์และหลงลืม "ดาวแม่ของตนเอง" เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะถูกชำระล้างเพื่อให้กลับไปใสสะอาดดังเดิม และจะทำให้พวกเขาระลึกนึกถึงดาวแม่ของพวกเขาเองได้ ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าถ้าจะมีมนุษย์ต่างดาวมาจากจักรวาลสู่โลก เยือนโลกของเราบ่อยๆ ก็เป็นธรรมดามาก เพราะดังที่ได้บอกแล้วว่าโลกนี้เป็นสาธารณสมบัติของจักรวาล อันแตกต่างไปจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ซึ่งพวกเขาจะมีความเป็น "เอกสิทธิ์" ของตนเองที่ "ผู้มีเชื้อสายอื่นๆ" ไม่สามารถเข้าไปได้และมีการปกป้องไม่ให้มีการเข้าไปสู่ดาวเหล่านั้นโดยพละการ หรือไม่ให้บุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาติ ด้วย



การแก่งแย่งชิงอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ครองโลกนี้ จะเกิดมากกว่าดาวอื่นๆ


สิ่งต่อไปที่คุณต้องเข้าใจตามมาหลังจากเข้าใจคำว่า "โลกเป็นสาธารณสมบัติของจักรวาล" ก็คือ การแก่งแย่ง, การแย่งชิงอำนาจ, การยึดครองโลก และการแย่งกันเป็นใหญ่ของมนุษย์ต่างดาว "ต่างสายพันธุ์กัน" เพื่อให้พวกของตนได้อยู่ในโลกนี้ ได้เป็นใหญ่ในโลกนี้ และได้อะไรมากมายที่มาอยู่ในโลกนี้ มากกว่าพวกอื่นหรือกลัวว่ามนุษย์ต่างดาวพวกอื่นจะมาชิงทรัพยากรที่มีค่าไปหมดเสียก่อนที่พวกตนจะได้รับ โดย "มนุษย์ต่างดาว" กลุ่มที่เข้ามาใหม่และยังคงมีเชื้อสายเข้มข้นจะเข้ามาติดต่อและเชื่อมโยงกับ "มนุษย์โลกที่มีเชื้อสายเดียวกัน" เพื่อให้ร่วมมือกันทำภารกิจของพวกเขา ดังนั้น จึงมีมนุษย์โลกมากมายที่มีมนุษย์ต่างดาวหนุนหลัง ให้แก่งแย่งอำนาจกันบนโลกใบนี้ และส่งผลให้เกิดความวุ่นวายของโลกใบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด "ต่างจากดาวดวงอื่นๆ" ที่พวกเขามี "ผู้นำหรือพระเจ้าหนึ่งเดียว" ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาเหมือนโลกนี้ ทำให้ต่างดาวมีความสงบสุขมากกว่าโลกนี้เสียอีก ทว่า มันไม่ได้มีใครผิดหรือถูกนะครับ มันเป็นธรรมดาของโลกนี้ ก็เท่านั้นเอง โลกนี้ถูกสร้างมาโดยจักรวาลให้เป็นอย่างนี้ไม่เที่ยงอนัตตาครับ



มนุษย์ที่มีเชื้อสายของโลกนี้ จะได้รับผลกระทบมากที่สุดกว่ากลุ่มอื่น


และสิ่งต่อไปที่คุณควรจะทราบคือ มนุษย์ที่มีเชื้อสายของโลกนี้ จะได้รับผลกระทบจากการแก่งแย่ง, ชิงดีชิงเด่นกัน มากกว่ามนุษย์ที่มีเชื้อสายมาจากต่างดาว เพราะมนุษย์ที่มีเชื้อสายของโลกนี้จะอ่อนแอและมีวิวัฒนาการน้อยกว่ามนุษย์กลุ่มที่มีเชื้อสายมาจากต่างดาว พวกเขาจึงกลายเป็น "เหยื่อ" ของการกระทบกระทั่งกัน ของเหล่ามนุษย์ต่างดาวและผู้ที่มีเชื้อสายจากต่างดาว มนุษย์ที่มีเชื้อสายของโลกจะได้รับผลอย่างนั้นซ้ำๆ และได้รับทุกข์ซ้ำๆ จนกว่าพวกเขาจะ "ตื่นจากการหลงโลก" และยอมจำนนต่อโลก ไม่ยึดติดโลกแต่พร้อมตรงสู๋นิพพานในโลกนี้ นั่นแหละ วิถีการดำเนินไปของมนุษย์ที่มีเชื้อสายของโลกใบนี้ ในขณะที่พวกที่มีเชื้อสายจากต่างดาว จะไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นไป เพื่อกลับคืนสู่ดาวแม่ซึ่งเป็น "ต้นกำเนิดทางจิตวิญญาณ" ของตนเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีมนุษย์ต่างดาวมาทำให้มนุษย์โลกมีความทุกข์ บ้างก็ตาม แต่มนุษย์ต่างดาวบางกลุ่ม ก็มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกและดาวโลกนี้ เช่นกัน



ท้ายที่สุดนี้ ผมคงได้แต่ "กระตุ้นเตือนความทรงจำเบื้องลึก" ของท่าน เท่านั้น ให้ท่านเข้าใจถึงที่มาของจิตวิญญาณของท่าน จากรากเหง้าที่แท้จริง เพื่อให้ท่านเข้าใจโลก, เข้าใจตนเอง และเข้าใจผู้อื่น ที่อยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกันนี้ หวังว่าท่านจะเข้าใจมันมากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะ "ปฏิบัติภารกิจของตนๆ" ต่อไป และไม่ว่าภารกิจของแต่ละท่าน จะแตกต่างกันอย่างไร มันก็ไม่ใช่ปัญหาหรือความผิดแต่ประการใด มันก็เป็นแค่ "ผลของความหลากหลายทางธรรมชาติของจักรวาลนี้" ก็เท่านั้นเอง เมื่อท่านมีความเข้าใจในจุดร่วมกันเช่นนี้ ท่านก็จะอยู่ร่วมโลกนี้ได้ร่วมกันอย่างสันติสุข ถึงแม้ว่าท่านจะต้องแย่งชิงทรัพยากรของโลกนี้กันบ้างก็ตาม เอาละ ผมคิดว่าแต่ละท่าน จะค้นพบวิธีการ ที่จะปรับตัวร่วมกันบนโลกนี้ได้ด้วยดีต่อไป แม้ว่าจะมีภารกิจที่แตกต่างกันบ้างก็ตาม


ขอพลังแห่งสาธารณสมบัติของจักรวาลช่วยสร้างสันติภาพแก่ท่าน สวัสดี



10 ก.ค. 2555


"เสียงจาก Indigo"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เรือโนอาร์-เรือดำ-เรือธรรมนาวา มีที่นั่งจำกัด จำต้องเลือกคนที่ใช่จริงๆ

สวัสดีครับ วันนี้ผมขออธิบายเรื่อง"เรือโนอาร์" ที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ในแบบของผมเอง ตามที่สังขารนี้จะใช้ศัพท์ที่เขารู้จักในการอธิบาย เหมือนเดิมครับ ผมจะพยายามสื่อสารให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด เพื่อคนในประเทศนี้นะครับ เอาละ เชิญรับฟังได้แล้วครับ


พระบุตร หรือ "นิตยโพธิสัตว์" จะมีบารมีสร้างเรือโนอาร์แต่ว่ามันคืออะไร?


พระบุตรหรือ "เทวทูตที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่าให้มาโปรดสัตว์ในโลกนี้" ในฐานะตัวแทนของพระเจ้า หรือก็คือ "นิตยโพธิสัตว์" จะทรงสร้างบารมีมากพอที่จะทำให้ได้ "เรือ" หนึ่งลำ ในชาติหนึ่ง ในชาตินั้น ท่านจะต้องมีการเลือก "สัตว์ที่จะโปรด" เพราะท่านไม่อาจจะโปรดสัตว์ได้ทั้งหมด หรือทั้งจักรวาล เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะทรงเลือกบัวเหล่าบน หรือก็คือ "คนมีปัญญา" ไปก่อน ทว่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีพุทธวิสัยต่างกัน การเลือกโปรดสัตว์ก็ต่างกันไปด้วย ดังนั้น ธรรมชาติหรือพระเจ้าก็แล้วแต่จึงจัดสรรให้ทำโจทย์ "เรือโนอาร์" เพื่อเลือกสัตว์ไปกลุ่มหนึ่งที่จะโปรดในยุคของท่าน เช่น เจิ้งเหอ (นักเดินเรือชาวจีน) ก็เลือกขันทีที่ภักดีต่อตนขุนนางคนหนึ่งของจิ๋นซี ก็พาชาวจีนชายและหญิงขึ้นเรือหนีไปหรือแม้แต่ในญี่ปุ่นก็มี "เรียวมะ" และคณะที่ร่วมบารมีกันสร้างเรือรบขึ้น เอาละ เรื่องการบำเพ็ญบารมีจนถึงขั้นจะได้เรือโนอาร์นี้เป็น "โจทย์สากล" ที่ดูแลโดย"พระอัลเลาะห์" และเมื่อใดที่มีการสร้างเรือ เมื่อนั้นภัยพิบัติจะมายังโลกนี้มากมาย โดยเฉพาะ "สงครามศักดิสิทธิ์" นั่นคือ "โจทย์" ในการบำเพ็ญบารมี ก็เท่านั้นเอง เพื่อให้พระบุตรนั้นตัดสินใจเลือกโปรดสัตว์สักกลุ่มหนึ่งซึ่งผู้ใดบำเพ็ญบารมีได้ถึงขั้นนี้ ก็แน่นอนว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่



สิ่งที่ปรากฏมีใน "เรือโนอาร์" คือ บุญบารมีที่จะเสวยร่วมกันในยุคนั้นๆ


พระบุตรและบริวารจะสร้างเรือโนอาร์ร่วมกัน ในนั้นจะมีสิ่งต่างๆ ที่จะใช้และดำรงชีพอยู่ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะกลายเป็นผลบุญบารมีที่ท่านจะได้เสวยร่วมกันในยุคสมัยของท่านนั้นๆ โดยไม่ต้องทำกรรมให้ได้มาเลยมันจะมาโดยบุญนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะท่านจะต้องนิพพานในชาติสุดท้ายพร้อมกัน ดังนั้น ท่านจะทำกรรมมากไม่ได้ ท่านจะต้องพอใจในผลบุญบารมีที่ร่วมกันสร้างมานั้นๆ หรือก็คือ อยู่ในเรือร่วมกันให้ได้แม้ว่าในเรือจะมีปัจจัยในการดำรงชีพน้อยกว่ายามอยู่บนบกก็ตาม ท่านก็ไม่สามารถก่อกรรมไปแสวงหาได้เพิ่มอีกแล้ว ดังนั้น ท่านจะต้องอยู่อย่างนั้น พอใจเท่านั้น เท่าที่ท่านร่วมสร้างกันมาได้ เพื่อจะได้นิพพานพร้อมกันได้ นั่นเอง ซึ่ง "คนที่ใช่" ก็จะพอใจในสิ่งที่ทำได้ร่วมกันนั้นแต่คนที่ไม่ใช่ก็จะไม่พอใจและแยกแตกตัวออกจากห่างไปเอง (จะไม่นิพพานในยุคนั้น) อนึ่ง บางครั้งบางชาติการสร้างบารมีด้วยการสร้างเรือนั้น ยังไม่เต็ม ยังไม่บริบูรณ์ พระบุตรและบริวาร ก็ต้องมาสร้างบุญบารมีร่วมกันในเรืออีก เช่น การร่วมรบในเรือร่วมกัน เป็นต้น เพื่อจะเก็บบารมีร่วมกันให้ได้เต็มบริบูรณ์



สิ่งที่ปรากฏมีใน "เรือโนอาร์" ของพระบุตรแต่ละองค์จะแตกต่างกันไป


พระบุตรแต่ละองค์จะทรงพิจารณา "ปัจจัยที่จำเป็นต้องมีในเรือโนอาร์" เพื่อร่วมกันสร้างมันไว้ในเรือนั้นๆ ให้สามารถดำรงชีพร่วมกันได้โดยไม่ต้องก่อกรรมเพื่อให้ได้มาอีก ทว่า พระบุตรแต่ละพระองค์จะทรงพิจารณาเลือกปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ในเรือต่างกันออกไป เช่น ถ้าพระบุตรเลือกปืนและอาวุธที่ใช้ในการรบ ในยุคสมัยของท่านก็อาจจะมีสงคราม มาช่วยทำให้สรรพสัตว์ไม่หลงโลก ตื่นจากโลก และพร้อมปฏิบัติจิตตรงนิพพาน แต่ถ้าไม่มีแบบนั้น ยุคของท่านก็จะปรากฏมีอย่างอื่นแทน ดังนั้น "ปวงสัตว์" จึงมีที่ "พอใจและไม่พอใจ" ปัจจัยต่างๆ ที่อยู่เรือโนอาร์ซึ่งออกแบบและแก้โจทย์โดยพระบุตรบางองค์ พวกเขาจึงเลือกที่จะขึ้นเรือที่พวกเขาชอบซึ่งส่งผลให้พวกเขาได้นิพพานในยุคที่แตกต่างกันออกไป พร้อมกับพระบุตรองค์นั้นๆ ด้วย ยิ่งเรือลำใหญ่ยิ่งใหญ่อลังการมากก็ต้องสร้างบารมีนานไปอีก ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด พบทุกข์ไปอีกมากมายหลายชาติ กว่าจะพ้นนิพพานไปได้ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับ "การเลือกของปวงสัตว์และพระบุตร" เอง



"เรือโนอาร์" ของพระศรีอาร์ฯ จะเลือกรับสัตว์ที่มีลักษณะแบบใด?


เรือโนอาร์ของพระศรีอาร์ฯ จะเลือกรับสัตว์ที่มี "ความจงรักศรัทธาจริง" ไม่เป๋ออกไปเพราะถูกยั่วยุ ยั่วยวนทางบวกหรือลบ ต้องแน่วแน่จริงๆ ซึ่งจะเป็น "ชายล้วน" ที่มีลักษณะเหมือนนักรบ คือ ขยัน, ต่อสู้ชีวิต, อดทนมีระเบียบวินัยมาก, มีอุดมการณ์, เสียสละเพื่อส่วนรวมได้, ไม่มักมากในลาภยศ ฯลฯ ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ลองนึกถึงตอนที่ "เรียวมะ" สร้างเรือก็แล้วกันครับ นั่นแหละ ลักษณะแบบนั้น พวเขาสร้างบารมีผ่านสงครามมาหลายครั้งจนถึงจุดหนึ่งก็หมด ไม่มีอีก พวกเขาก็ไม่ต้องเข้าสู่สงครามอีกทว่า สัตว์บางกลุ่มจะไม่ได้รับขึ้นเรือของพระศรีอาร์ฯ เช่น ผู้มีจิตเป็นมารท่านจะไม่รับขึ้นเรือไปด้วย เพื่อไม่ให้บริวารของท่านถูกมารก่อกวน และทำให้เป๋ออกนอกทางจนไม่ได้นิพพานได้ ในที่สุด ท่านจึงระวังมากที่จะมีการคัดกรองและไม่เอาผู้มีจิตมารเข้ามาร่วมในเรือด้วย เอาละ ถึงแม้ว่ามีคำทำนายให้ไว้ว่ายุคของท่านจะดีมากก็ตาม ทว่า เมื่อพร้อมเข้านิพพานแล้วจะไปก่อกรรมเพราะหลงไหลสิ่งใดๆ ที่ปรากฏขึ้นในยุคนั้นๆ ถูกยั่วยุให้ก่อกรรมไปแสวงหาสิ่งใดๆ ในยุคนั้นๆ "ไม่ได้" ต้องพอใจในสิ่งที่มีมาโดยบุญ ไม่ใช่ได้มาด้วยการก่อกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะสิ่งยั่วยุในยุคนั้นมีมากเหลือเกิน พระบุตรองค์อื่น ก็จะมายั่วยุด้วยการสร้างบารมี"อลังการยิ่งไปกว่านั้น" เพื่อดึงสัตว์ให้ไปกับตนด้วยจึงต้องศรัทธาต่อกันจริงๆ ไม่เช่นนั้น ก็กลายเป็นหทารแตกทัพ ไร้ระเบียบ และพากันหลงหมด



"สิ่งแปลกปลอม" ชอบแทรกเข้ามาในเรือโนอาร์ พระบุตรจะต้องระวัง


เรือโนอาร์ของพระบุตรจะถูกทดสอบเสมอ และมักมี "สิ่งแปลกปลอม" เข้ามาแทรกในเรือ และจะส่งผลร้ายต่อการดำรงอยู่ร่วมกันในเรือของผู้คนทั้งหมด ดังนั้น "พระบุตร" จึงต้องเข้มงวดมาก ในการเลือกคนที่จะขึ้นเรือร่วมกันไป จะให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามาไม่ได้ เพราะจะทำให้มีที่เหลือน้อยลง และคนที่ใช่จริงๆ ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ เพราะคนที่ไม่ใช่เข้ามายึดที่นั่งในเรือไม่ยอมลุก ไม่ยอมปล่อย หวงไว้ไม่ยอมให้ใคร เสียแล้ว แบบนั้น จะกลายเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อพระบุตรและบริวารต่อไป โดยที่ไม่มีใครคาดคิดได้ เพราะสิ่งแปลกปลอมอาจจะเข้ามาในแบบ "คนดี" มากมายอย่างยิ่งยวด เพื่อให้เรายอมเปิดรับเขาทว่า พวกเขาดีแต่เปลือก ไม่ได้ดีจริง เมื่อเข้ามาในเรือได้ ก็จะทำให้สิ่งที่วางร่วมกันไว้ ปั่นป่วนและเสียไปหมด เรืออาจจะล่มจม เหมือนครั้งที่"พระมหาชนก" ได้รับการทดสอบ ก็ได้ จึงต้องเตือนท่านไว้ว่าให้ระวัง



สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรมากครับ แค่จะบอกว่า "เรือโนอาร์" มีที่นั่งจำกัดถึงจุดหนึ่งพระบุตรจะต้องเลือกรับใครขึ้นเรือร่วมกันไปด้วย คนที่ไม่ใช่จะขึ้นเรือไม่เลย เพราะจะกันที่คนที่ใช่ ทำให้คนที่ใช่ ไม่ได้ขึ้นเรือไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ดีต่อเรามาก, คนที่เลี้ยงดูเรามาแต่เล็ก, คนที่มีบุญคุณต่อเราแล้วเรียกร้องให้เรากตัญญูตอบแทน ฯลฯ ล้นไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าเขา "ไม่ใช่" จะรับขึ้นมาไม่ได้เลือก และไม่มีการอ้างเหตุผลอะไรทั้งนั้น เพราะไม่ใช่ ก็คือ ไม่ใช่ จะอ้างเหตุผลอะไร มามากมายมันก็ไม่ใช่ และไม่ใช่เรื่องที่จะมาเถียงกันด้วยเหตุผลทั้งนั้น ไม่ใช่ก็คือ ไม่ใช่ จบแค่นั้น คนท่ใช่ ก็คือ คนที่ใช่ คนที่ไม่ใช่ จะมาหน้าด้านยึดที่นั่งในเรือ ไม่ยอมลุกออกไป ไม่ได้เด็ดขาด เพราะคนที่ใช่ เขาก็จะเสียที่นั่งไป ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่ง "จุดที่ต้องเลือก" หวังว่าทุกท่านก็เข้าใจในสิ่งนี้ด้วย และพระบุตรนั้น มีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะเป็นผู้เลือกเอง


ขอให้ พลังแห่งความศรัทธาที่แท้จริงจงนำพาท่านตรงสู่ทาง สวัสดี



9 ก.ค. 2555


"เสียงจากเรือโนอาร์"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การยึดครองร่างมนุษย์โดย "มนุษย์ต่างดาว" จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อ?

สวัสดีครับ ยังมีมนุษย์ต่างดาวประเภทหนึ่งที่มีรูปธรรมชีวิตในระดับพลังงานและสามารถประสานรวมร่างกับมนุษย์ได้ พวกเขาจะทำกิจโดยการใช้ร่างของมนุษย์ ซึ่งเป็นวิธีที่แนบเนียนที่สุด ที่จะปรับตัวเข้ากับมนุษย์โลกนี้ได้ ทว่า พวกเขาก็ยังมี "จุดผิดสังเกตุ" บางประการอยู่ดี ทำให้เราทราบได้ว่าพวกเขาได้มายังร่างสังขารมนุษย์กลุ่มหนึ่งแล้ว และพร้อมทำกิจที่สำคัญในอนาคตต่อไป...


การ "เคลื่อนย้ายจิตวิญญาณ" มนุษย์ออกไป เพื่อรับมนุษย์ต่างดาวแทน


เพื่อถ่ายทอดวิทยาการของดาวดวงนั้นลงสู่โลก พวกเขาจำเป็นต้องใช้ร่างของมนุษย์ทำกิจ พวกเขาจึงเคลื่อนย้ายจิตวิญญาณของมนุษย์ ที่หมดบุญแล้วออกจากร่าง (คือตาย) แล้วจงประสานเข้ามาในร่างนั้นแทน (คือเกิดใหม่) มนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้ เป็นกลุ่ม "แสงสว่าง" มีแสงสว่างมากในตัวที่ประสานกับสังขารมนุษย์ แต่ระหว่างการประสานร่างนั้น อาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้เพราะเป็นการกระทำบนโลกที่มีพลังงานหลายชนิดปนอยู่ และผลคือ "พลังงานมืดหรือพลังงานเก่า" บางส่วนได้เข้าไปผสมอยู่ด้วย จึงทำให้ดีเอ็นเอกลายพันธุ์ไปเล็กน้อยเป็น "ลูกครึ่งผสมสว่างและมืด" ทว่านี่ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ปัญหาคือ พวกเขายังปรับตัวเข้ากับโลกนี้ไม่ได้พวกเขาจึงอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ และทำตัวเหมือนยังอยู่ในดาวดวงเดิม ยังไม่ยอมเปลี่ยนหรือปรับตัวเข้ากับโลกนี้คือ "ไม่ทำงานแบบมนุษย์" แต่พวกเขาก็อยู่ได้ด้วยการร่วมมือกับมนุษย์อีกกลุ่มที่คอยสนับสนุนพวกเขาอยู่นั้น



การเปิดรับ "มนุษย์ต่างดาวตัวอ่อน" เข้าไปประสานในร่างของมนุษย์


นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่มนุษย์ต่างดาวจะประสานในร่างของมนุษย์ได้ ด้วยพบปัญหาว่าวิธีแรกนั้น ทำให้ร่างสังขารที่ได้รับมนุษย์ต่างดาวเข้าไปนั้น "ปรับตัวเข้ากับโลกได้ยาก" เพราะพวกเขาเป็น "ตัวเต็มวัยแล้ว" นี่เอง ดังนั้น จึงมีอีกกลุ่มหนึ่งใช้วิธีลูกผสม "ฝากตัวอ่อนมนุษย์ต่างดาว" เอาไว้ในร่างสังขารของมนุษย์ โดยยังมี "จิตวิญญาณมนุษย์ดวงหลัก" อยู่พวกเขาจึงกลายเป็น "ลูกครึ่งผสมมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาว" ซึ่งผสมในสูตรที่ต่างจากพวกแรก พวกนี้จึงกลับไปทำงานร่วมกับชาวโลกได้ แต่จะมีงานทำน้อยลงกว่าเดิม พวกเขาจะมี "ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้มากขึ้น" เพราะอะไร? เพราะพวกเขามี "ตัวอ่อน ที่ต้องพัฒนาการตัวเอง" ให้เติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป นั่นเอง เอาละ วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ทำไปแล้ว และท่านก็สามารถเข้าร่วมได้ด้วย เพื่อจะได้เรียนรู้วิทยาการของต่างดาว ร่วมกันวิธีนี้ท่านจะพบได้ในบางที่ ในที่นั้นจะมีการ "อธิษฐานถวายจิตวิญญาณแก่พระพุทธเจ้า" เพื่อเอาจิตวิญญาณเก่าออกหนึ่งดวง ให้มีที่ว่างเปิดรับ "ตัวอ่อนมนุษย์ต่างดาว" ได้ ถ้าท่านต้องการก็สามารถเข้าร่วมได้ไม่ยาก



การผสมพันธุ์มนุษย์ต่างดาวกับพันธุกรรมของมนุษย์ให้ได้ลูกผสมใหม่


นี่เป็นอีกวิธีหนึ่ง ต่างจากสองวิธีแรก ซึ่งมันไม่ใช่การมีกามปกตินะครับและไม่มีเรื่องการไปรับแสงเหนือใต้ที่ขั้วโลกด้วยครับ ผมจะบอกวิธีการให้ง่ายๆ ดังนี้ พวกเขาจะใช้พลังบางส่วนซึ่งเป็นส่วน "เปลือกนอก" จะคอยมาประสานห่อหุ้มเหมือนชุดเกราะให้เรา ในขณะที่เราเกิดอาการที่เรียกว่า "วิญญาณสลายจากภายใน" แต่จิตยังคงอยู่ ยังไม่จุติออกไปช่วงเสี้ยวเวลานั้นเอง พวกเขาจะผสมพันธุ์ของพวกเขาลงมาเพื่อให้เรา"กำเนิดใหม่" โดยอาศัย "พลังงานบางส่วนของเขา ที่เป็นเปลือกนอกเหมือนชุดเกราะ" เราก็จะมีอายุยืนยาวต่อไปได้อีกในร่างสังขารเดิมนั้นวิธีนี้ เราจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขาได้ "แนบเนียนที่สุด" กว่าสองวิธีแรก เพราะจิตยังเป็นเราดังเดิม แต่พลังส่วนวิญญาณจะไม่ใช่เราแล้วเราจะรู้สึกได้ว่าเราเหมือนกลายเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนเดิม ความรู้สึก นึกคิดก็เปลี่ยนไป เป็นการกำเนิดใหม่ที่ไม่ต้องผ่านการเป็นตัวอ่อนก่อนด้วยและยังคงพันธุกรรมเดิมของมนุษย์ไว้ได้บางส่วนอีกด้วย (จึงลงตัวพอดี)



โปรดอย่าตระหนก เพราะมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ "มาดี" และไม่มีพิษภัย


เอาละ ผมได้ยกตัวอย่างการประสานร่างของมนุษย์ต่างดาวไปบ้างแล้วนั่นเป็นแค่ "ตัวอย่าง" เท่านั้นนะ มันยังมีอีกหลายวิธีมาก ทว่า มนุษย์ในโลกนี้บางคน ได้รับการติดต่อจากต่างดาวให้ทำภารกิจนี้ ทว่า พวกเขายังไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆ จึงมี "การลองถูก-ลองผิด" ไปบ้าง เช่น โอมชินริเกียว ที่แปลความหมายของคำว่า "กำเนิดใหม่" ผิดไป บางคนที่แปลความหมายของคำว่า "ลูกผสม" (Indigo) ผิดไปคิดว่าต้องมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ต่างดาว ทั้งๆ ที่เขาก็ยังไม่รู้เลยว่า"มนุษย์ต่างดาวมีเพศสัมพันธ์กันอย่างไร" เขาก็เอาความเข้าใจในสิ่งที่เป็นมนุษย์โลกมาใช้กับมนุษย์ต่างดาว คือ มีกามแบบมนุษย์โลกนี้ซึ่งมันไม่ใช่แบบมนุษย์ต่างดาว เพราะมนุษย์ต่างดาวมีกามกันแบบอื่นเช่นใช้พลังงานภายในแลกเปลี่ยนกัน ผ่านการใช้ฝ่ามือแตะกัน ก็มี, บ้างก็ใช้การกำหนดจากจิตใจ เหมือนเรานึกถึงหรือรักใครสักคน เท่านั้นก็พอ"ชีวิตใหม่" ก็สามารถกำเนิดขึ้นมาได้แล้ว เอาละ ยังมีอีกหลายวิธีตามแต่ว่าพวกเขาจะมาจากดาวดวงไหน มันไม่เหมือนกันอีกละ ทว่า พวกนี้ (มนุษย์ต่างดาว) ต่างมาดีทั้งสิ้น และมาช่วยโลกนี้ในช่วงที่วิกฤติที่สุดหวังว่าท่านจะไม่มี "ทัศนคติเชิงลบ" ไปเสียก่อนจะพบความจริงนะครับ



มนุษย์โลกบางพวก กำลังใช้มนุษย์ต่างดาวเป็นเครื่องมือให้ตนเอง?


ในทางตรงกันข้าม ยังมีมนุษย์โลกบางกลุ่มที่มีจิตใจไม่สูงนัก พวกเขา "รู้จุดอ่อนของมนุษย์ต่างดาว" บางกลุ่ม เช่น รู้ว่ามนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้กลุ่มนั้น ปรับตัวเข้ากับโลกไม่ได้ในเรื่องใด ต้องการพึ่งพามนุษย์ในเรื่องใด และมนุษย์ต่างดาวอาจอ่อนแอมากเมื่อพวกเขาปรับตัวเข้ากับโลกนี้ไม่ได้ เพราะ "จุดอ่อน" นั้นๆ เพราะเหตุนี้ มนุษย์โลกบางพวก จึงใช้สิ่งนั้นเป็นเครื่องมือเล่นงานมนุษย์ต่างดาว และใช้ประโยชน์จากพลังของมนุษย์ต่างดาวเกินควร ใช้พวกเขาไปทำในสิ่งที่ไม่ควร มากมายหลายประการ ซึ่งล้วนแต่อยู่ "นอกภารกิจเดิมของพวกเขาทั้งสิ้น" ทำให้เหล่ามนุษย์ต่างดาวได้รับปัญหามากมาย พวกเขาจึงจะต้องหา "สัมพันธภาพใหม่" กับมนุษย์โลกกลุ่มอื่นๆ และผมอยากจะบอกกับคุณว่า บัดนี้ พวกเขาได้ย้ายฐานที่ตั้งบางส่วน จากอเมริกา มาอยู่ที่ "ประเทศไทย" แล้ว



"มนุษย์ต่างดาว" มีภารกิจที่แตกต่างกัน ทั้งด้านดีและด้านร้ายต่อมนุษย์


ทว่า มนุษย์ต่างดาวที่ลงมายังโลกก็ใช่ว่าจะสร้างแต่สิ่งที่ดีให้แก่โลกเสมอไป มนุษย์ต่างดาวบางกลุ่ม ก็มีภารกิจในด้านการทำลายล้างโลกโดยตรงทว่า อย่าเพิ่งมองเขาในแง่ลบนะครับ พวกเขาล้วนได้รับ "ภารกิจตรงจากจักรวาล" มาแล้วทั้งสิ้น จึงจะมายังโลกนี้ได้ครับ เช่น ดาวมฤตยูที่มีหน้าที่ทำให้เกิด "ภัยพิบัติ แก่โลก" พวกเขาก็ทำตามหน้าที่ ที่ได้รับมาจากส่วนกลางของจักรวาลครับ ดังนั้น พวกเราจึงควรเข้าใจพวกเขาด้วยว่าภารกิจที่พวกเขาได้รับมานั้น ไม่เหมือนกันเลย บ้างอาจจะดีต่อมนุษย์ และบ้างไม่ดีต่อมนุษย์ (ในมุมมองของมนุษย์) ทว่า ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีต่อมนุษย์ มันก็คือ "ความจำเป็นในระดับจักรวาล" ทั้งสิ้นครับ หวังว่าท่านจะเข้าใจ และมีทัศคติที่เป็นกลางต่อพวกเขาทุกกลุ่มด้วย ไม่ใช่เกิดทัศนคติเชิงลบ หรือว่าบวก มากจนเกินไป ทว่า มนุษย์ยังสามารถเลือกได้ครับ ว่าจะประสานพลังกับมนุษย์ต่างดาวกลุ่มไหน พวกเขายังให้โอกาสและสิทธิ์นั้นแก่ท่านเสมอ



"มนุษย์ที่ถูกเลือก" จะได้รับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาว แตกต่างกันไป


มนุษย์ต่างดาวจะเลือกมนุษย์แตกต่างกันไป ให้สอดคล้องกับพวกเขานั้นและพวกเขาก็ค่อยๆ ส่งพลังและข้อมูลต่างๆ ให้แก่ร่างสังขารที่ถูกเลือกนั้น เช่น บางคนได้รับข้อมูลว่า ให้ทำการผสมพันธุ์มนุษย์และมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมนุษย์ต่างดาวจะให้เป็น "ปริศนา" ให้คนๆ นั้นไปค้นหาเอาเองนี่ก็เป็นการ "ให้แบบทดสอบเพื่อคัดเลือกร่างสังขารที่เหมาะสม" ของเขาด้วยครับ ดังนั้น มนุษย์ที่ถูกเลือกจะได้รับ "ข้อมูล" ที่แตกต่างกันไป เพื่อทำภารกิจที่ต่างกันออกไป นั่นเอง เอาละ ท่านเคยติดต่อกับใคร แล้วท่านนั้นๆ บอกแก่ท่านว่า "ไม่ได้อยู่ในสามภพ" ไหมละ? เอาละ นั่นแหละ เขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ นั่นเอง คงเดาออกได้ ไม่ยากนะครับว่าท่านที่กล่าวอยู่นี้เป็นใครมาจากไหน เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วทั่วโลกนะครับ โดยเฉพาะประเทศที่มีวิทยาการระดับสูง มีคนที่มีปัญญาสูง ไอคิวมากๆ จะรับได้ไม่ยากครับ


สุดท้ายนี้ ขอให้พลังแห่งทัศนคติที่เป็นกลางจงดำรงอยู่แก่ท่าน สวัสดี...



8 ก.ค. 2555


"เสียงจาก Indigo"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王




  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วิธีจับสังเกตุ "มนุษย์ต่างดาว" พวกเขามีอะไรที่แตกต่างจากสัตว์ในโลกนี้หรือ?

สวัสดีครับ วันนี้เป็นเรื่องง่ายๆ พื้นๆ ก็แล้วกัน เพราะถ้าสูงเกินระดับของท่านทั้งหลายไป อาจจะทำให้ไม่อาจที่จะเข้าถึงได้จริงๆ นะครับ เรามาคุยเรื่องง่ายๆ พื้นๆ กันก็แล้วกัน คือ เราจะสังเกตุได้อย่างไรว่านั่นคือพลังที่มาจาก "ต่างดาว" เอาละ มีวิธีง่ายๆ เดี๋ยวผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังนะครับ


อย่างแรก คุณต้องเข้าใจ "รูปธรรมชีวิต" ในโลกนี้ทั้งหมดก่อน


เอาละ นี่คือ อย่างแรกที่คุณต้องเข้าใจ คือ "มนุษย์โลก" คืออะไร? มนุษย์โลกก็คือ สิ่งมีชีวิตที่พัฒนาให้บรรลุสัจธรรมสากลได้ และจะมีลักษณะของ "การผสมผสานในตัวอย่างสมดุล" เช่น มีทั้งความเป็นชายและหญิง (แต่ไม่ใช่แบบ 50-50 ก็ได้), ดี-ชั่ว-ถูก-ผิดในแต่ละตัวตนทั่งนั้น แต่ "มนุษย์ต่างดาว" ไม่ใช่เช่นนี้ พวกเขามีก็แต่"พลังต้นแบบหนึ่งเดียว" เฉพาะจากดาวดวงนั้นๆ ทำให้เราทราบได้ว่าเขาไม่ใช่สัตว์โลก และมาจากดาวดวงใด (พวกที่มาจากดาวดวงเดียวกันจะมี "แหล่งต้นพลังงาน" เหมือนกัน) เช่น พวกที่มีแต่พลังภาคสว่าง ไม่มีมืดเลย ก็มี, พวกที่มีแต่พลังด้านบวก ไม่มีลบเลยก็มี(เช่น ชาวไซย่า) หรือพวกที่มีแต่พลังด้านลบ ไม่มีบวกเลยก็มี (เช่นพวกดาวมฤตยู) สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ "ผิดสังเกตุจากมนุษย์" ที่จะทำให้เราสังเกตุได้ว่าเขามาจากดาวดวงอื่น เพราะมนุษย์จะไม่มีลักษณะที่คงที่เพียงหนึ่งเดียวได้เช่นนั้น มนุษย์โลกจะมีลักษณะผสมผสานในตัวอย่างสมดุล อันนี้ คือ เอกลักษณ์ของมนุษย์โลก ต่อให้มนุษย์โลกมีธรรมแล้ว ก็ยังต้องดำรงอยู่ตามธรรมชาตินี้ อย่างที่มนุษย์โลกเป็น แต่ก็ยังมี "รูปธรรมชีวิตขั้นสูงในโลกนี้" ที่ไม่มีสังขาร เช่น เทพต่างๆ นั้นจะมีลักษณะ หนึ่งเดียว ไม่มีลักษณะผสม แบบขั้วตรงข้ามแบบมนุษย์ทว่า พวกเขาจะมี "ระดับ" ไม่ถึงชาวต่างดาว เพราะชาวต่างดาว จะมีพื้นฐานด้านสัจธรรมคือเข้าใจในเรื่อง อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา เป็นพื้นฐานอยู่แล้วจาก "พระเจ้าประจำดวงดาวของเขา" ก่อนที่จะมายังโลกนี้ ดังนั้น นี่ก็คือ จุดสังเกตุอีกประการหนึ่งว่าพวกเขาคือ มนุษย์ต่างดาวเอาละ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทราบสัจธรรมพื้นฐานนั้นๆ ทว่า พวกเขาก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันในจักรวาลนี้ ดังนั้น พวกเขายังทำอะไรได้มากมายไม่เว้นแม้แต่การทำลายล้างโลก พวกเขาก็สามารถทำได้ตามหน้าที่นั้น



สัตว์โลกทั้งหมด จะได้รับธรรมจาก "พระพุทธเจ้าของโลกนี้" เท่านั้น


เอาละ ต่อไปที่คุณต้องทราบ ก็คือ "ผู้ที่มีเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว" ทั้งหมดจะต้องรับ "ธรรมะจากต่างดาว" เท่านั้น พวกเขาจึงจะกลับคืนสู่ "ดาวแม่" ของพวกเขาได้ ดังนั้น พวกเขาจะมีธรรมได้ โดยไม่ต้องรับธรรมจากท่านที่อยู่ในโลกนี้ หรือก็คือ เขาไม่จำเป็นต้องรับธรรมจากพระพุทธเจ้าที่เกิดในนี้ตรัสรู้ในโลกนี้ แต่พวกเขาจะต้องรับฟังคำสั่งและธรรมะจากพระเจ้า ผู้ดูแลดาวของเขาโดยตรง นั่นคือเขาต้องรับฟังคำสั่งและทำตามพระเจ้าที่อยู่ในดาวอื่น ไม่ใช่ดาวเคราะห์โลกใบนี้ แต่สัตว์ในโลกนี้ "ต้องรับธรรมตรงจากพระพุทธเจ้าแห่งโลกนี้" เท่านั้น ดังนั้น ถ้าท่านสังเกตุเห็นผู้ใดมีธรรมโดยไม่ต้องรับจากพระพุทธเจ้าได้ แล้วธรรมนั้นก็สอดคล้องกับสัจธรรมสากลก็อาจหมายความว่าเขาคือ "เชื้อสายของมนุษย์ต่างดาว" ที่ลงมายังโลกนี้โดยอาจจะมาอยู่ในสังขารแบบมนุษย์ ก็ได้ หรือแม้ไม่มีสังขารมนุษย์ ก็ได้นั่นคือ "ต้นสายธรรม" ของพวกเขา จะมาจากต่างดาว ไม่ได้มาจาก พระพุทธเจ้าที่เกิดเป็นมนุษย์โลกใบนี้ แต่กลับมีสัจธรรมพื้นฐานไม่แตกต่างกันสิ่งนี้ ทำให้พวกเขาแตกต่างจากเทพประจำดาวโลกนี้ด้วย แม้ว่าเทพที่อยู่ในโลกใบนี้ จะมีลักษณะ "หนึ่งเดียว" เหมือนกับชาวมนุษย์ต่างดาวก็ตาม



มนุษย์ต่างดาว จะมีวิทยาการแปลกใหม่ และปัญญาสูงกว่ามนุษย์ปกติ


เอาละ ต่อไปที่คุณต้องทราบ ก็คือ มนุษย์ต่างดาวมีพัฒนาการสูงกว่าคนในโลกนี้ เพราะ "มนุษย์ต่างดาวที่มีพัฒนาการต่ำกว่าโลกนี้ จะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาสู่โลกนี้" เพราะอะไร? เพราะพวกเขามีหน้าที่เป็นเช่น พี่เลี้ยง เข้ามาถ่ายทอดวิทยาการของพวกเขาให้แก่มนุษย์โลกนี้ นั่นเอง ทว่า พวกเขายัง "ยึดติดโลกเก่า" ของพวกเขาอยู่ ดังนั้น ข้อสังเกตุอีกประการหนึ่ง ก็คือ "พวกเขามักเผลอยึดครองโลก" และสร้างโลกให้เป็นไปตาม "ต้นแบบตามดาวของเขา" พวกเขาจึงสร้างโลกในมุมใดมุมหนึ่งตามแบบดาวของเขา เท่านั้น ไม่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่สนใจมุมมองของชาวดาวอื่นๆ ที่ลงมาถ่ายทอดวิทยาการให้กับโลกใบนี้เลย หรือกล่าวให้ง่ายก็คือ "พวกเขามีโลกในอุดมคติแบบของตัวเอง" ที่มันไม่ครอบคลุมความเป็น "โลกใบนี้" เพราะอะไร? เพราะเขามาจาก "ดาวดวงนั้น" นั่นเอง พวกเขาจึงยังยึดติดอยู่กับสภาวะของดาวดวงเดิมมากเกินไป นั่นเอง ดังนั้น พวกเขาจึงมีความเป็นส่วนตัวสูง มีโลกส่วนตัวแบบของตัวเองและแตกต่างจากมนุษย์โลกปกติ ที่จะเปิดกว้าง เปิดรับ และศึกษาโลกนี้อย่างไม่มีการจำกัดโลกทัศน์ของตนเอง ในขณะที่มนุษย์ต่างดาว จะไม่เปิดรับแนวคิดอย่างอื่น ที่มาจากดาวดวงอื่นเลย (เพราะว่า มันเข้ากับเขาไม่ได้)



มนุษย์ต่างดาว จะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับโลกที่ผิดปกติบางประการ


เอาละ ต่อไปที่คุณต้องทราบ ก็คือ มนุษย์ต่างดาวจะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับโลกหรือมนุษย์โลก พวกเขาไม่เก่งด้านการผสมผสานและพัฒนาตัวเองให้เปลี่ยนไปตามสิ่งต่างๆ พวกเขาเก่งแต่จะเป็นเช่นเดิม แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พัฒนาไปทางอื่น แบบอื่น นอกจากแบบของดาวของพวกเขาเอง ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีปัญญาและวิทยาการสูง ที่โลกเราไม่มี แต่พวกเขาก็มีจุดอ่อนและความคับแคบบางประการด้วยเหมือนกันนอกจากนี้ พวกเขายังมีปัญหาในด้านการปรับตัวเข้ากับโลกใบนี้ด้วยในหลายประการ ทำให้พวกเขาจะดำรงชีวิตตามปกติของชาวโลกไม่ได้นักไม่เต็มที่นัก บางครั้ง ชาวต่างดาวบางพวกก็ต้องมีการ "พักเพื่อเติมพลัง" ก็มี บางพวกก็มี "ช่วงพัฒนาการที่ต่างจากมนุษย์" เหมือนการอยู่ในดักแด้ ระยะหนึ่ง อะไรประมาณนั้น พวกเขามีอะไรที่แปลกและแตกต่างจากมนุษย์โลกอย่างนี้ จึงกลายเป็น "จุดสังเกตุอีกประการหนึ่ง" ที่คุณจะพอสังเกตุได้ ทว่า คุณควรมองเขาด้วยความเข้าใจและด้วยจิตใจที่อ่อนโยนไม่ใช่การจับผิด และรังเกียจพวกเขา เพราะพวกเขาลงมาเพื่อทำภารกิจให้แก่โลกนี้โดยตรง แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิด, จิตใจ แตกต่างกันไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมนุษย์เองก็มีความคิดแตกต่างกัน ทั้งดีและเลว ก็มีอยู่มากมาย ไม่ใช่หรือ? เอาละ มนุษย์โลกควรเป็นเจ้าบ้านที่ดี ที่ต้อนรับเขาให้ดีด้วยก็แล้วกัน เพื่อการทำกิจพัฒนาโลกในด้านต่างๆ ร่วมกันต่อไป



มนุษย์ต่างดาว จะทำกิจต่างๆ ผ่านการประสานงานกับมนุษย์ ทำไม?

ข้อต่อไปก็คือ มนุษย์ต่างดาวจะทำกิจโดยไม่ผ่านมนุษย์ ไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีความเข้าใจโลกนี้ อย่างที่มนุษย์โลกนี้เป็นอยู่ พวกเขาก็ต้องทำกิจผ่านมนุษย์ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเกิดปัญหาตามมาภายหลัง การทำหน้าที่เพียงพี่เลี้ยง ที่คอยบอกมนุษย์แล้วให้พวกเขาทำเอง จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด และพวกเขาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกนี้ "มากเกินไป" อีกด้วย ดังนั้น จึงต้องมีร่างสังขารของมนุษย์ "เป็นตัวแทน" ในการทำหน้าที่ต่างๆ ของพวกเขาด้วย ดังนั้น คนเราจะรู้จักหรือสัมผัสเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวผ่าน "มนุษย์ที่เป็นร่างตัวแทน" ของพวกเขาก็ได้ แต่ถ้าเราได้สัมผัสพวกเขาโดยตรง เราอาจถูกเลือกให้เป็น "ร่างตัวแทน" ของพวกเขาก็ได้นอกจากนี้ พวกเขายังมีวิธีประสานงานกับมนุษย์มากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประสานร่างกับมนุษย์ ก็ดี, การประสานเฉพาะพลังบางส่วนกับสังขารมนุษย์ ก็ดี, การสื่อสารทางจิตกับมนุษย์ ก็ดี และมีอีกหลายวิธีที่พวกเขาสามารถทำได้ และแตกต่างกันไป ตามวิทยาการของดาวนั้นๆ



มนุษย์ต่างดาว จะมีพลังงานภายในมากกว่ามนุษย์โลกและแตกต่างไป


ข้อต่อไปก็คือ "พลังงานภายใน" ของพวกเขาจะแตกต่างจากมนุษย์โลกและมีพลังมากกว่ามนุษย์โลก และพวกเขาจะมีพลังงานแบบเดียวกัน เมื่อมาจากดาวดวงเดียวกันทำให้เรา "สังเกตุและจัดกลุ่มพวกเขาได้ไม่ยาก" ปกติ พวกเขามีพลังมากกว่ามนุษย์ที่มีพลังภายในมากๆ เสียอีก แต่พวกเขาอาจไม่ได้ใช้พลังนั้นๆ มากเสมอไป บางดาว ชอบใช้พลัง แต่บางดาวก็ไม่นิยมใช้พลัง แตกต่างกันไป นอกจากนี้ พวกเขายังมีพลังงานที่แปลกมาก และยากแก่การเข้าใจของมนุษย์หรือเทพที่อยู่ในโลกนี้ด้วย เมื่อใครได้รับพลังจากชาวต่างดาวแล้ว จึงส่งผลให้เกิดความแตกต่างจากคนอื่นได้มากมาย พลังงานที่แปลกใหม่เหล่านี้ กลายเป็น "ของใหม่" สำหรับโลกนี้ ซึ่งสรรพสัตว์ในดาวดวงนี้ "จะยากแก่การเข้าใจ" อย่างมาก และต้องทำการศึกษาเรียนรู้ยาวนานทีเดียวจึงจะเข้าใจในระบบพลังงานของพวกเขาได้ เพราะว่าพลังงานของพวกเขาต่างจากของโลกเราอย่างมากเช่น การที่พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้ในระบบพลังงานแบบขั้วเดียวได้ ก็แตกต่างจากมนุษย์มากมาย ซึ่งมนุษย์ไม่อาจดำรงอยู่ในภาวะขั้วเดียวนั้นได้ แม้ว่าจะเข้าใจมีปัญญาเห็นธรรมแล้วก็ยังต้องอยู่อย่างมนุษย์โลกต่อไป



กระบวนการศึกษา "มนุษย์ต่างดาว" ของมนุษย์โลกภายใต้ขีดจำกัด


ข้อต่อไปก็คือ ต้องเข้าใจว่าวิทยาการปัจจุบันของเรา ยังไม่มากพอที่จะศึกษามนุษย์ต่างดาวได้มากนัก เราไม่มีเครื่องมือเฉพาะด้านมากมายที่จะทำการศึกษาพวกเขาได้ เช่น เครื่องวัดพลังงาน เฉพาะดาวบางดวงที่จะช่วยทำให้เราจับตาดูพลังงานเหล่านั้นที่แปลกและแตกต่างไปจากโลกนี้ได้ นอกจากนี้ "ชื่อและภาษา" ที่พวกเขาใช้ ยังแตกต่างจากเรามาก ดังนั้น มันจึงไม่มีประโยชน์ถ้าเราพบพวกเขา เราได้ชื่อพวกเขามาเพื่อบอกพวกท่านต่อ จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อภาษาและชื่อของพวกเขา เหล่านั้น "ล้วนไม่อยู่ในความเข้าใจของมนุษย์โลกเลย" ดังนั้น จึงต้องมีการใช้ "ภาษาและการตั้งสมมุติบัญญัติเรียกกันแบบมนุษย์โลก" สมมุติว่าคุณพบดาวดวงหนึ่ง เป็นดาวดวงใหม่ คุณจะถามดาวดวงนั้นว่ามันชื่ออะไรอย่างนั้นหรือ? คงไม่ใช่หรอก คุณก็ต้องตั้งชื่อดาวที่คุณค้นพบด้วยภาษาของคุณเองนั่นแหละ ดังนั้น คุณไม่ควรสับสนเพราะมีการใช้สมมุติบัญญัติเรียกพวกเขา เพียงเท่านั้นเลย ! อย่าให้มันมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นการเรียนรู้ของคุณเพียงเพราะการใช้คำ เท่านั้นเอง?



สุดท้ายนี้ แม้คุณจะไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มากพอที่จะศึกษาพวกเขา ทว่า คุณมีสิ่งที่ดีกว่านั้นและทรงประสิทธิภาพมากกว่านั้นซึ่งมันเป็น "สากลอย่างยิ่งในจักรวาล" นี้ ก็คือ "จิต" ของคุณเอง นั่นละที่คุณจะสามารถใช้ในการศึกษาพวกเขาได้อย่างดีที่สุด พวกคุณไม่มีความจำเป็นต้องเห็นพวกเขาด้วยตาเปล่าหรอกนะ เพราะการรับรู้ทางตาของพวกคุณ ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณเข้าใจพวกเขาเสมอไป เพราะถ้ามีจิตที่ไม่ตรงกัน สื่อสารกันไม่ได้ แม้แต่มนุษย์โลกด้วยกัน "ยังไม่เข้าใจกันเลย" ใช่ไหมละครับ? ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้คุณศึกษาเขาได้ อย่างมีความเข้าใจมากที่สุด ก็คือ "จิตของคุณ" นั่นเอง จิตที่ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจเด็ก ที่มีความอยากรู้อยากเห็น มีแรงบันดาลใจ มีความกล้า ที่จะใฝ่ฝันกล้าที่จะคิดและค้นหาสิ่งที่เป็นเพียงจินตนาการที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่มีจริง


ขอพลังแห่งความใสซื่อดุจเด็กจงเป็นแรงบันดาลใจแก่คุณต่อไป สวัสดี



7 ก.ค. 2555


"เสียงจากต่างดาว"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS