ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

แต่ละท่านล้วนมีหน้าที่ที่สำคัญทั้งสิ้น ทว่า ท่านระลึกได้หรือยัง?

ที่รัก วันนี้ผมเริ่มเปิดประเด็นที่เรียบง่ายที่สุดเลยท่านเกิดมาบนโลกนี้เพื่ออะไร? เพื่อทำหน้าที่ใด? แต่ไม่ทราบว่าท่านตอบได้หรือยัง? หลายท่านมักคิดว่าเราทำงาน เลี้ยงครอบครัว นั่นแหละ หน้าที่ของเรา โธ่ ... นั่นเป็นความคิดที่อยู่ในมิติที่ต่ำเสียจริงๆ เพราะท่านคิดได้ไม่ต่างจากเสือหรือวัว มันก็คิดแบบนี้นะครับ หาเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัวไป นี่ไม่จำเป็นต้องมาเกิดในสังขารของมนุษย์เลย ถ้ามีความคิดเพียงเท่านั้น ไม่หรอกที่รัก ท่านอย่าดูถูกตัวเองให้ต่ำลงอย่างนั้นสิ ท่านมีหน้าที่ที่สำคัญกว่านั้นมากกว่าแค่เกิดมาหาเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัวเท่านั้น


เอาละ ผมมาช่วยท่านระลึกถึงหน้าที่ที่ควรทำให้ละกัน



อย่างแรกที่ท่านต้องทราบก่อนคือ คนเราไม่ได้ถูกส่งลงมาเกิดแบบโดดๆ เรามากันเป็นทีมครับ และก่อนที่เราจะลงมาเราก็มีทีมอยู่แล้ว เมื่อลงมาเกิดบนโลก เราต่างแยกย้ายกันชำระตัวเอง ชำระหนี้เก่าที่เรามีต่อโลกและผู้คนบนโลก ทำให้พวกเราถูกแยกกันก่อน เมื่อเราชำระตัวเองแล้วจึงจะได้รับ "อิสรภาพ" หรือทางโลกอาจกลายเป็นการตกงาน อะไรนั่นแหม อย่ามองสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องร้ายเรื่องลบไปหมดสิ นั่นคือสิ่งที่ช่วยให้ท่านหลุดออกจากวังวนเดิมๆ เลยนะ ผมไม่ได้ยุยงให้ท่านถูกไล่ออกนะ แต่ท่านที่ว่างงานอยู่แล้ว นั่นแหละ ท่านหลุดพ้นจากวังวนแล้วจึงมีอิสรภาพที่จะเริ่มต้นและเลือกทางเดินใหม่ได้ ในแบบของตัวเอง ไม่ต้องไปเดินตามใครนะครับ ตั้งสติดีๆ ทบทวนตัวเองดีๆ ว่าเราเกิดมาบนโลกนี้เพื่ออะไร? เพื่อทำหน้าที่ใด? และที่สำคัญคือ "ทีมงานเราอยู่ไหน?" และ"ผู้นำที่แท้จริงของเราคือใคร" มันสำคัญมากเลยที่รัก เพราะอะไรหรือ? เพราะว่าผู้นำอาจนำพาคุณไปสู่ที่ใดก็ได้ ดีหรือเลว ก็ได้ ที่รัก มันสำคัญจริงๆ ที่คุณจะเลือกเดินตามใครสักคน คุณรู้ไหมว่าบนโลกนี้ มีคนที่อยากเป็นหัวหน้าและได้เป็นหัวหน้ามากมาย แต่พวกเขานำพาผู้คนไปสู่ทางมืดมนเสียมาก และมีชีวิตหลังสละสังขารนี้ อย่างตกต่ำไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว! ที่รัก ยังไม่สายเกินไปนัก ที่เราจะเลือก ทีมงานและผู้นำ ที่แท้จริงของเรา


ลำดับต่อไปคือ "ตำแหน่งตามดวงดาว" ผมขอเรียกแบบนี้ก็แล้วกันนะเพราะไม่ใช่ตำแหน่งทางโลก เหมือนกลุ่มดาวที่เรียงตัวกันในตำแหน่งต่างๆ แต่ละท่านในทีมงานนั้น ก็เหมือนกัน จะมีตำแหน่งของตนเองอันแตกต่างกันไป สิ่งที่ท่านควรทราบด้วยคือ ประเมิณตัวเองให้ดี อย่าทำสิ่งที่เกินตัว รับตำแหน่งเกินตัว เพราะท่านจะรับผลของมันไม่ไหวเอานะเอาละ ทีนี้ เพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมจะขออธิบายในแต่ละตำแหน่งให้ชัดๆ เป็นภาษาพื้นบ้านกันไปเลย เอาให้เข้าใจกันจริงๆ จะได้นำเอาไปปฏิบัติได้ง่ายๆ ไม่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปนะครับ ดังต่อไปนี้


อย่างแรกคือ "ตำแหน่งผู้นำ" ถ้าคุณศึกษามาทางพุทธศาสนา เขาจะใช้คำเรียกว่า "พระนิตยโพธิสัตว์" ซึ่งมีอยู่มากมายเลยละ หลายๆ ท่านเลยและมีหลายตัวตนด้วย เช่น พระศรีอาริยเมตตรัย ก็มีหลายตัวตนใช่ไหมละทีนี้ แต่ละตัวตนก็มีบารมี, มีธรรม, มีอะไรต่อมิอะไร ไม่เหมือนกัน เรียกว่าระดับต่างกัน ท่านสามารถเลือกได้ตามกำลังบารมีของท่านด้วย กล่าวคือถ้าท่านบารมีน้อย จะไปเลือกตัวตนที่มีบารมีมากๆ สูงๆ คงไม่ไหว ใช่ไหม? ท่านก็ต้องยอมคว้าเอาตัวตนที่ท่านพอเอื้อมถึงแทน ซึ่งมันอาจจะไม่คุ้มค่ากับการเกิดมา 1 ชาติเท่ากัน เมื่อเทียบกับท่านที่คว้าตัวตนที่มีบารมีสูงๆ ได้แต่ทำอย่างไรได้ละ สุดท้าย ธรรมชาติจัดสรร ตามความเหมาะสม ท่านก็จำต้องยอมรับคงวามจริงข้อนี้ อนึ่ง พระนิตยโพธิสัตว์นี้มีมากมายนะ ถ้าใช้หลักในพุทธศาสนาของท่าน ก็จะทราบว่าบางท่านจะได้นิพพานเร็ว แต่บางท่านจะได้นิพพานช้าหน่อย เรียกว่ายังเหนื่อยไปอีกนานกว่าจะได้เสวยผลอันเป็นที่สุดนี่ก็แล้วแต่ท่านจะเลือกอีกละครับ เลือกแล้วก็ต้องยอมรับนะ ไม่ค่อยมีโอกาสให้เลือกบ่อยนัก "ทุกตำแหน่งมีจำนวนจำกัด" ดังนั้น ก็เลือกกันให้ดีก็แล้วกันครับ



ลำดับต่อไป คือ ตำแหน่งพุทธบิดา เอาละ ภาษาง่ายดี ไม่ต้องตั้งนามใหม่ในที่นี้มีสามนะครับ คือ 1. พุทธบิดาผู้ให้กำเนิดสังขาร 2. พุทธบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ 3. พุทธบิดาผู้ให้กำเนิดสถานภาพทางสังคม แล้วมันต่างกันอย่างไรละ? เอาละ คุยกันแบบบ้านๆ ชาวบ้านพื้นๆ คุยกันเลยยังงี้


1. พุทธบิดาผู้ให้กำเนิดสังขาร : คือ พ่อที่ให้กำเนิดมาคนแรก ซึ่งท่านจะมีบารมีดูแลพระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้นได้เพียงขณะวัยเยาว์เท่านั้น พอท่านโตแล้ว บารมีแก่กล้าแล้วจะโผบินจากพ่อไป พ่อคนนี้หมดบารมีแล้วที่จะทำหน้าที่พ่อได้อีก ทำต่อไม่ไหวแล้ว หมดบารมีแล้วจริงๆ ทำให้แค่เลี้ยงให้โตก็เท่านั้น พอโตแล้ว เขาต้องบินจากไปเพื่อความก้าวหน้าของเขาเองครับ

2. พุทธบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ : จะมารับหน้าที่ต่อจากพ่อเกิด ท่านนี้จะให้กำเนิดจิตวิญญาณใหม่แก่พระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้น จะคอยดูแลในระหว่างที่พระนิตยโพธิสัตว์มีจิตวิญญาณที่ไม่ตรงทาง เพราะต้องเรียนรู้สิ่งที่ผิด นอกลู่นอกทางก่อน จากนั้น จึงค่อยมาทางที่ถูกภายหลัง ท่านนี้ละจะช่วย "ยกระดับจิตวิญญาณ" ของพระนิตยโพธิสัตว์นั้น อย่างของพระศรีฯ ก็จะมี "พ่อนก" หรือพ่อที่บำเพ็ญบารมีมาทาง "นก" ช่วยยกระดับจิตฯ ให้

3. พุทธบิดาผู้ให้กำเนิดสถานภาพ : ท่านนี้เป็นท่านที่สาม ที่จะรับช่วงต่อหลังจากที่พ่อทั้งสองท่านหมดแรงไปต่อไม่ได้แล้ว หมดภาระหน้าที่แล้วจึงส่งต่อให้ท่านที่สามรับช่วงไป ท่านที่สามจะมาทำหน้าที่สร้าง "สมมุติหรือสถานภาพทางสังคม" ที่เหมาะสมตามควรให้แก่พระนิตยพธิสัตว์องค์นั้นเช่น ของพระศรีฯ จะมี "พ่อเสือ" เป็นพ่อเลี้ยงปั้นให้เลี้ยงดูตนเองหรือทำมาหาอาชีพที่เหมาะสมให้ เหมือนพ่อเสือที่สอนนกให้หากินในแบบเสือนั่นละ ทำอย่างไร? เขาก็ล่าสัตว์นั่นเอง พ่อเสือจึงดุแบบซ่อนเล็บซ่อนลาย มีเปลือกนอกเป็น "ผู้ดี" แต่มีทั้ง "ลายและเล็บ" ครบพร้อมเล่นงานศัตรูได้เต็มที่ซ่อนอย่างดี ราวกับแมวเชื่องที่น่ารัก แต่เผลอไม่ได้ เสือก็คือเสือครับ


โอเค เข้าใจชัดเจนไหมครับสำหรับตำแหน่ง "พุทธบิดา" ซึ่งทั้งสามท่านนี้จะมี "รูปแบบตัวตนเปลือกนอก" ที่เป็นแบบอย่างให้พระนิตยโพธิสัตว์เดินตามคนละอย่าง เมื่อบวกกันแล้วทั้งสามก็จะครบตัวตนที่สมบูรณ์ได้ทว่า คำว่า "พุทธบิดา" ก็คือ "ต้นแบบของพระนิตยโพธิสัตว์" แต่ไม่ใช่ผู้ที่จะไปถึง "ที่สุดได้เอง" นะครับ ถ้าไปถึงที่สุดได้เอง ก็ไม่ใช่พุทธบิดาแล้ว ท่านมีหน้าที่เพียง "วางต้นแบบรากฐาน" เท่านั้น คนที่จะทำให้มันไปถึงที่สุดได้มีเพียง "พระนิตยโพธิสัตว์" เท่านั้น ที่จะมารับช่วงงานต่อ



อ้อ ลืมบอกไป พระนิตยโพธิสัตว์แต่ละท่านบารมีไม่เท่ากัน บางท่านเจอพ่อคนเดียวก็จอดเลย ก็มี ไม่ได้พ่อถึงสามคนนะครับ อันนี้แล้วแต่ว่าใครจะบำเพ็ญบารมีได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นครับ เอาละ ต่อมาจะกล่าวถึงตำแหน่ง "พุทธมารดา" กันบ้าง ซึ่งก็มีได้สูงสุด 3 ท่านเช่นกันอันได้แก่

1. พุทธมารดาผู้ให้กำเนิดสังขาร : ไม่ยาก ก็คือ แม่เกิดนั่นแหละ อย่างในพุทธประวัติแม่เกิด ก็คือ พระนางสิริมหามายา แต่แม่เลี้ยงก็คือ พระน้านางซึ่งเป็นอีกท่าน ใช่หรือไม่? นอกจากนี้ ยังมีพระแม่ธรณีที่ปรากฏขณะท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นั่นก็คือ พุทธมารดาฝ่ายจิตวิญญาณนั่นเอง พอเข้าใจภาพนะครับ (ครบสามแม่พอดี) ซึ่งแต่ละท่านก็ต่างกันไปตามบารมีครับ

2. พุทธมารดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ : นี่ก็ต่างกันไปตามบารมีอีก เช่น พระนิตยโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีแก่กล้าทั้งห้าธาตุ สุดท้าย จะไม่มีแม่ทางจิตวิญญาณ (แม่ธาตุ) ใดธาตุหนึ่งมีกำลังพอกันแก่บารมี ไม่อาจคู่ควรได้แม่ธรณี, แม่คงคา, แม่วาโย, แม่เตโช ฯลฯ ก็เอาไม่อยู่แล้ว สุดท้าย ก็จะมีท่านที่มีบารมีครบห้าธาตุ คือ แม่แห่งโลก หรือที่เรียกว่า "ไกอา" นั้นเองที่จะมาเป็น "พุทธมารดาฝ่ายจิตวิญญาณ" ให้แก่พระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้น

3. พุทธมารดาผู้ให้กำเนิดสถานภาพ : ปกติ จะมาในรูป "แม่เลี้ยง" ที่จะคอยหนุนให้พระนิตยโพธิสัตว์ได้เสวยบุญในฐานะทางสังคมแบบใด เช่นจะเป็นพระราชาหรือมหาพราหมณ์ ดำรงตนในสังคมด้วยฐานะอันใด ก็จะขึ้นอยู่กับพุทธมารดาผู้ให้กำเนิดสถานภาพนี้แหละครับ เป็นคนหนุนหรือแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางสังคมแบบต่างๆ ทว่า คนที่บำเพ็ญบารมีแบบนี้ก็มีหลายท่าน แต่ละท่านพร้อมมอบ "สถานภาพที่แตกต่าง" กันให้เลือกนะครับ ไม่เหมือนกันเลย เรียกว่า "มีตามบารมีที่บำเพ็ญมาต่างกัน" ไปครับ


ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับ "พระนิตยโพธิสัตว์" องค์นั้นจะเลือกอย่างไร? ก็เลือกได้ครับ ท่านจะเลือกเอง แต่ละท่านจะบำเพ็ญบารมีมารอไว้แล้ว รอให้เลือกนะครับ หยิบยื่นสถานภาพทางสังคมให้ท่านเลือก พอเลือกแล้วก็ลงตัวได้แม่แล้ว ก็จะเกิดเป็น "ทีมงาน" สามารถเดินหน้าทำกิจอันควรต่อไปได้ละครับ



ต่อไปเป็นตำแหน่งที่คิดว่าหลายท่านอยากทราบมากเลยครับ คือ ตำแหน่ง"นางแก้ว" ครับ อนึ่ง ตำแหน่งนี้อาจมีได้มากกว่าหนึ่งคนนะครับ แล้วแต่บารมีของพระนิตยโพธิสัตว์อีกนั่นแหละ ถ้าบำเพ็ญบารมีมาก องค์แรกเอาไม่อยู่ คุมดุลยภาพให้กันไม่ได้ ก็จะเจอท่านที่สองคอยมาช่วยคุมดุลยภาพให้ ถ้าเอาไม่อยู่อีก ก็เจอองค์ต่อไปอีก อย่างพระศรีฯ นี่ เยอะมากเลย ไม่รู้จะเยอะไปถึงไหน? อันนี้มันไม่เกี่ยวกับอะไรอย่างอื่นเลยนะครับ มันขึ้นอยู่ที่ว่าบำเพ็ญบารมีมากแค่ไหน? ทำอะไรมาบ้าง เพราะยิ่งบำเพ็ญเยอะ ทำเยอะ คนๆ เดียวบำเพ็ญตามไม่ไหว ก็ต้องให้คนที่สองและสามและส่ และอีกมากมาย มาทำหน้าที่ต่อครับ รองรับช่งกันต่อๆ ไป ไม่ใช่เรื่องความรักหรือความจริงใจ รักเดียวใจเดียวหรือไม่? ก็ไม่ใช่ทั้งนั้น มันกำนดไม่ได้ละเลือกก็ไม่ได้ มันจัดสรรตามบุญบารมีจริงๆ ห้ามกันไม่ได้เลย หึงหวงกันก็ไม่ได้ผล จะห้ามคนไม่ให้เสวยผลบุญบารมีร่วมกันหรือ? เป็นไปไม่ได้ครับ


เอาละ จะบอกลักษณะของ "นางแก้ว" ก่อน จะได้เข้าใจว่าเป็นคนยังไง? อย่างนี้ นางแก้วจะเป็นผู้ตามที่ดี ในอดีตชาติเกิดเป็นชายที่มีความเก่งกล้าในด้านต่างๆ มามากมาย ทว่า ทำกรรมมากเกินไปขณะบำเพ็ญบารมี เลยเอาตัสรอดจากกรรมเพียงคนเดียวไม่ได้ ต้องมาเกิดเป็นหญิงและเดินตามพระนิตยโพธิสัตว์ถึงจะพ้นกรรมได้ครับ ดังนั้น นางแก้ว แท้จริงแล้วจึงเก่งไม่ต่างจากผู้ชายเลยทีเดียว เรียกว่านอกจากพระนิตยโพธิสัตว์แล้ว ก็ไม่เป็นรองใครเลยครับ ยอมเพียงคนนี้คนเดียว ยอมเดินตาม หนุนหลังให้ ก็เพียงคนนี้คนเดียวครับ ส่วนการบำเพ็ญบารมีก็แทบจะเหมือนกันหมดเลยจริงๆ แล้วบริวารของพระนิตยโพธิสตว์จะบำเพ็ญบารมีตามท่านหมดครับแต่จะได้ไม่ถึง, ไม่เต็ม, ไม่ดี, ไม่บริบูรณ์เท่าพระนิตยโพธิสัตว์ เท่านั้นเองไม่เว้นแม้แต่พุทธบิดา, พุทธมารดา, นางแก้ว ฯลฯ ทำตามกันหมดครับแต่ได้เท่าไรก็เท่านั้นเอง ส่วนนางแก้วนี้ได้ในแง่ผู้ตามที่ดี ผู้สนับสนุนที่ดีครับ



ต่อไปจะเป็นตำแหน่ง "อุปถัมภ์-อุปฐาก" ครับ เป็นตำแหน่งที่สำคัญมากอีกตำแหน่งทีเดียว อนึ่ง สองตำแหน่งนี้ต่างกันนะครับ "ผู้อุปถัมภ์" นั้นจะสนุบสนุนการเงิน, ปัจจัยต่างๆ ให้ แต่จะไม่ลงแรง ไม่คอยดูแลใกล้ชิดนะครับ ส่วนผู้อุปฐาก จะไม่ลงเงิน, ปัจจัยให้ แต่จะลงแรง ดูแลใกล้ชิดครับ


อีกประการ "องค์อุปฐาก" จะไม่รวย ไม่ต้องรวยครับ แต่จะมีความสามารถในตัว เช่น ความสามารถในการทำอาหาร, ดูแลเรื่องการแต่งกาย, ของใช้ส่วนตัวของนิตยโพธิสัตว์ ฯลฯ เป็นเหมือน "ผู้จัดการส่วนตัวของดารา" ละคล้ายๆ นั้นเลย หรือบางท่านก็เกิดมาทำหน้าที่แบบนั้น บำเพ็ญแบบนั้นเลยหรืออาจเป็นเหมือน "เรขาฯ ส่วนตัว" ก็ได้ หรือเป็น "มหาขันที" ก็มี ตามแต่ละยุคสมัยครับ ปรับไปตามเหตุปัจจัย อาชีพเหล่านี้เป็นวิถีการบำเพ็ญแบบ "องค์อุปฐาก" ครับ ไม่ใช่องค์อุปถัมภ์นะครับ (เหมือนพระอานนท์)


ส่วนองค์อุปถัมภ์ มักจะต้องเป็นเศรษฐีครับ เป็นเศรษฐีแล้วก็ไม่พอ ต้องมีปัญญาดูคนออกได้ว่าควรสนับสนุนใคร? แล้วยังต้องใจดี ใจบุญ ไม่หวงทรัพย์อีกด้วย เพราะถ้าขี้เหนียวคงเป็นองค์อุปถัมภ์ ไม่ได้ ใช่ไหมครับ? อันนี้ ก็คัดเลือกมาจากเศรษฐีมากมายนั่นแหละ คนไหนจะมีคุณสมบัติที่ครบพร้อมทำหน้าที่ได้ อย่างตอนนี้ ก็รวยกันเยอะแยะ แต่ขาดตรงที่ไม่มีปัญญาพิจารณาดูคนที่ควรสนับสนุนได้นี่สิ บ้างก็ขี้เหนียวเกินไป อันนี้ก็ไม่ได้อีก สุดท้าย เบื้องบนเห็นไม่ทำงาน ไม่ทำหน้าที่ ก็เก็บความรวยคืนกลับแล้ว คือ ล้มละลายบ้าง, เกิดวิกฤติเศรษฐกิจบ้าง ฯลฯ เพราะไม่ทำหน้าที่ หลงลืมหน้าที่ของตัวเอง หลงตัวเองว่าเก่งเกินไป อะไรแบบนั้น



ต่อไป จะเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากอีกเช่นกัน คือ ตำแหน่งอัครสาวกขวา-ซ้าย ผู้เป็นเลิศทางปัญญาและอภิญญา เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ เอาอย่างนี้ ยกตัวอย่าง พระถังซัมจั๋ง จะมี "ซัวเจ๋ง" อยู่เบื้องขวา ซึ่งจะบำเพ็ญบารมีจากโง่ทึ่มที่สุด ไปเป็นคนที่มีปัญญามากที่สุดให้ได้ด้วยการโปรดของพระถังซัมจั๋ง และมี "ซุนหงอคง" เป็นสาวกเบื้องซ้ายผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่มักใช้อิทธิฤทธิ์ไปผิดทางหรือไม่จำเป็น อย่างนี้ พระถังซัมจั๋ง ก็ต้องโปรด ต้องคุมให้ได้ จึงจะบำเพ็ญบารมีร่วมกันไปได้ครับ ทั้งสองคนนี้ ดูไม่ยาก เพราะโดดเด่นมาก คนหนึ่งก็มากในทางฤทธิ์ คนหนึ่งก็มากในทางปัญญา แต่ระหว่างทางที่บำเพ็ญบารมีจะมีปัญหามากมาย ไม่ลงตัว สิ่งที่ไม่ลงตัวนั้น พระนิตยโพธิสัตว์ จะต้องดูแลและช่วยให้ค่อยๆ ลงตัวให้ได้ในที่สุด จึงจะได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้ายที่พร้อมสมบูรณ์ได้ในชาติสุดท้าย ซึ่งกว่าจะมาถึงขั้นนั้น บางชาติ ก็ฆ่ากันตายก็มี โดยเฉพาะพระนิตยโพธิสัตว์อาจถูกพระอัตรสาวกเบื้องซ้ายฆ่าตาย หรือพระอัครสาวกเบื้องขวาใช้ปัญญาในทางที่ผิด เพื่อฆ่าหรือทำร้ายได้บ่อยๆ แต่อย่างไรเสียก็ต้องพยุงกันไป ไม่ทิ้งกัน ขนาดถูกทำอย่างนั้น พระนิตยโพธิสัตว์ ก็ยังต้องยอม ยังต้องมีเมตตา และไม่ทอดทิ้ง จึงจะไปถึงชาติสุดท้ายร่วมกันได้ เรียกว่า ต้องทำให้เขายอมรับในภาวะผู้นำที่มากกว่าให้ได้ นั่นเอง นี่ละ ที่บอกว่าพระนิตยโพธิสัตว์ต้องเสียสละมามากมาย


อนึ่ง แต่ละท่านที่ปรารถนาอะไรไว้ และได้มีพันธสัญญาอะไรร่วมกันไว้นั้น เมื่อได้นั่งประจำตำแหน่งชัดเจนแล้ว แต่ละท่าน ยังมี "คู่แข่ง" ที่มีบารมีไม่เท่ากันด้วย ดังที่กล่าวแล้วว่าพระนิตยโพธิสัตว์มีหลายตัวตนแต่ละตัวตนก็มีบุญบารมี ไม่เท่ากัน ผู้ที่ทำหน้าที่ขึ้นกับผู้ที่มีบารมีมากก็จะได้บารมีมากไปด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ขึ้นกับผู้มีบารมีน้อย ก็จะได้บารมีน้อยไปด้วย อันนี้ ยังไม่เห็นผลทันทีชาตินี้ ชาติหน้าได้เห็นชัดเลย บางท่านเคยมีบุญบารมีมาก อาจกลายเป็นน้อย บางท่านเคยได้บุญบารมีมาน้อย หมดชาตินี้ไป กลายเป็นมากได้เหมือนกัน ชาตินี้สำคัญมากเพราะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากๆ หลายอย่าง แม้แต่ตัวผู้นำเองก็เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย อนึ่ง "ความศรัทธาแน่วแน่" เป็นสิ่งที่สำคัญมากนะเพราะมันทำให้เราตรงต่ออะไร? ที่นำพาให้เราหลงหรือหลุดพ้นได้เลยละ บางอย่างดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าศรัทธา แต่มันอาจเป็นแค่เปลือกนอกในขณะที่บางอย่างดูน่าเชื่อถือ น่าศรัทธามาก แต่มันก็ไม่ใช่แก่นแท้อีกเช่นกัน เอาละ เราคงจะเล่าทุกตำแหน่งไม่ไหว เอาแค่พอแก้กระสายก็แล้วกัน วันนี้เราก็เหนื่อยละ ขอพักก่อน ขอให้ทุกท่านเลือกดีๆ ก็แล้วกัน


21 พ.ค. 2555


"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระเจ้าหรือพระพุทธเจ้า เพราะคุณก็คือ "สิ่งศักดิสิทธิ์" อยู่แล้ว

เอ้าที่รัก วันนี้เรามาคุยกันง่ายๆ เปิดอกเลย อย่าซีเรียส ปลดปล่อยตัวเองและผ่อนคลายลงสักหน่อย เพราะหัวข้อในวันนี้ "มันสุดยอด" แล้ว พรรคพวกเอ้ย มา ผมจะบอกให้ฟังว่าทำไมผมถึงบอกคุณว่า "ทุกคนคือสิ่งศักดิสิทธิ์" แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็ควรค่าแก่การได้รับการเคารพนับถือไม่ต่างกันดังต่อไปนี้ครับ


ที่รัก เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเธอทุกคนคือสิ่งศักดิสิทธิ์? ไม่น่า อย่าไปคิดว่าจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าอะไร เพราะคำว่าสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นมันกว้างมากๆ เลย เคยได้ยินไหมวลีที่ว่า "สิ่งศักดิสิทธิ์ในสากลจักรวาล" น่ะ นั่นแหละ มันคือ เราทุกคนด้วยละ อย่าลืมเสียละ นี่ผมไม่ได้พูดเล่นนะเพราะอะไรหรือ? จะอธิบายอย่างไรดีละ? เอาอย่างนี้ มนุษย์ทุกคนก็คือ"ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ต่างๆ" ในสากลจักรวาล ณ พื้นโลกนี้ คือ เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์แต่ละท่านที่ประจำการณ์ ณ พื้นโลก นั่นเองละเพราะว่ามีสิ่งศักดิสิทธิ์มากมายเลย ที่ควรได้รับการเคารพบูชาไม่ต่างจากพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าหรอก สิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลายล้วนมีคุณูปการแก่โลกนี้ทั้งนั้น ในแบบที่แตกต่างกันไป และขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ดังนั้น ผมจึงบอกว่า "ไม่จำเป็นที่เราทุกคนจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า" แต่เราก็สามารถอยู่ในฐานะของสิ่งศักดิสิทธิ์ที่สูงส่งไม่ต่างกันได้ และขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือคนหนึ่งคนใดไม่ได้เลย ที่รัก ผมพูดแบบนี้ บางท่านอาจสงสัยและแย้งว่าการทำแบบนี้ เท่ากับทำให้ฟ้าต่ำลงมา ดึงสิ่งศักดิสิทธิ์ให้ต่ำลงหรือเปล่า? ไม่เลยที่รัก ผมกำลังทำให้คุณสูงขึ้นต่างหาก และความจริงมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะอะไร? เพราะทุกท่าน ทุกคน ล้วนมี "ตัวตนที่สูงขึ้นในมิติอื่นๆ" เชื่อมโยงและเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราอาจหลงลืมไปบาง เลยไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงอันมหัศจรรย์นี้เท่านั้น มาถึงตรงนี้แล้ว คุณน่าจะรู้นะว่าผมไม่ได้พูดเล่นและคุณสามารถพิสูจน์สิ่งที่ผมพูดได้ ความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันของเราและสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย ทำให้คุณคือ "ตัวแทนของท่านบนโลกมนุษย์" ที่จะทำหน้าที่ที่สำคัญแทนท่าน ณ โลกนี้ นี่ผมถึงบอกว่าทุกท่านคือสิ่งศักดิสิทธิ์ไงละ


ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนนะว่า ที่ผมพูดเช่นนี้ ไม่ได้ต้องการให้คุณหลงตัวเอง หรือยกตัวเองข่มใคร เพราะทุกท่านก็คือ สิ่งศักดิสิทธิ์เช่นกันนะมันไม่ต่างกัน เหมือนกัน ไม่มีใครสูงต่ำกว่าใคร เพียงแต่เรามีหน้าที่ต่างกันก็เท่านั้น ผมเพียงแต่กระตุ้น "พลังศักดิสิทธิ์ในตัวของคุณ" ที่หลับไหลมานานแสนนาน ให้ตื่นขึ้นและพร้อมทำหน้าที่เสียที มันหลับมานานอยู่ในตัวคุณมานานแล้ว ที่รัก สมควรให้มันตื่นขึ้นมาได้แล้ว เพราะถ้าไม่ตื่นขึ้น ณ เวลาที่โลกแปรปรวนที่สุดเช่นนี้ จะให้มันตื่นขึ้นเวลาไหนละ?


ที่รัก จิตของเราทุกคน มีลักษณะเดียวกับพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้า หรือสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย บริบูรณ์แล้วด้วยความบริสุทธิ์อยู่ภายใน เต็มอิ่มแล้วด้วยธรรมทั้งปวง ทุกอย่างถูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แล้วในตัวเอง แม้แต่ "แบบทดสอบ" ของแต่ละท่าน ที่จะทำให้ท่านค้นพบพลังศักดิสิทธิ์ในตัวเอง และพบว่าตัวท่านเองก็คือ หนึ่งในสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย แต่ว่า ท่านคือตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์ใดละ? อ่า ท่านยังไม่รู้หรอก จนกว่าท่านจะผ่านการทดสอบ สอบผ่านแบบบทสอบที่อยู่ในตัวของท่านเอง ไม่ใช่แบบทดสอบของใคร อื่นใด ไม่เลยที่รัก ไม่มีแบบทดสอบใดในจักรวาลนี้ ที่จะมาวัดคุณค่าของมนุษย์ได้ คุณค่าของมนุษย์ล้วนมีอยู่แล้ว "ในตัวมันเอง" ทั้งสิ้น มันบริบูรณ์อยู่แล้วในตัวเองตั้งแต่แรก มันไม่ต้องมีแบบทดสอบมาจากใครเลย? ท่านไม่ต้องทดสอบใครเลย? และมันไม่อาจทดสอบใครได้ด้วย เพราะอะไร? หลายท่านคงสงสัย และพยายามทดสอบใจ ทดสอบความสามารถ และอื่นๆ จากคนอื่น บางครั้ง ท่านพบว่าพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบของท่าน ไม่เป็น ไม่ใช่ อย่างที่ท่านเรียกร้องต้องการให้เขาเป็น ทว่า ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเขาไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบของใคร มนุษย์ทุกคนมีแบบทดสอบของเขาเอง ในตัวเขาเองที่จะต้องผ่านให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาออกแบบทดสอบให้เขาได้เลย แม้แต่คนเดียว! และเมื่อใดที่เขาผ่านการทดสอบของตัวเขาเองแล้ว วันนั้น เขาจะเปล่งประกายแห่งแสงสว่าง ให้ผู้คนได้เห็นว่าเขาก็คือ "สิ่งศักดิสิทธิ์" อย่างหนึ่ง นั่นเอง ไม่เว้นแม้แต่คนที่ต้อยต่ำที่สุด ดูไร้ค่าที่สุด หรือไม่ได้ความอย่างที่สุดก็ตาม นั่นเพียงเพราะเขายังไม่ได้แสดงพลังศักดิสิทธิ์ในตัวของเขาออกมาก็เท่านั้น เมื่อใดที่เขาสอบผ่านแบบทดสอบของเขาเองเมื่อนั้นละ ท่านจะได้เห็น "สิ่งศักดิสิทธิ์" ที่สถิตย์อยู่ในตัวของเขาทุกคน



เห็นไหมที่รัก ผมบอกแล้วว่าหัวข้อวันนี้ "มันยอดมากเลย" ที่รักเพราะมันช่างอัศจรรย์เสียนี่กระไร? ที่คนจะได้คุนพบว่าทุกคนในโลกนี้ ล้วนเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ และเราควรได้การเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เรามีหน้าที่ที่สำคัญและศักดิสิทธิ์ "ต่างกันไป" ในฐานะและรูปแบบที่แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง แต่ทว่า เราทุกคนล้วนไม่ต่างกันในฐานะของสิ่งศักดิสิทธิ์หนึ่ง โอเค บางท่านอาจงงและรู้สึกขัดแย้ง เพราะเคยเห็นมนุษย์โลกนี้เต็มไปด้วยกิเลส, ความไม่ได้เรื่อง, เห็นแก่ตัว, ชอบทะเลาะกัน, ทำตัวทุเรศหรือเหลวไหลไมได้ความ ฯลฯ เอาละ ผมไมได้มาแก้ตัวแทนมนุษย์โลกนี้หรอกนะแต่ผมกำลังจะบอกความจริงในมุมมองที่บางท่าน อาจลืมมองไป


นั่นแหละ "โอกาสทองของมนุษย์" มนุษย์โลกไม่ได้ถูกสร้างมาให้ถูกต้องเป็นแบบตามพระเจ้าหรือพระพุทธเจ้า เพราะอะไร? เพราะว่าถ้าถูกสร้างมาให้เหมือนอย่างนั้น ถูกต้องไปหมดแล้ว มนุษย์โลกทุกคนจะไม่อาจออกไปจากขอบเขตแห่งคำว่า "ถูกต้อง" อันคับแคบนั้นได้เลย จะต้องเป็นเช่นนั้น ในแบบที่ถูกต้องอย่างนั้นตลอดเวลา เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย ดังนั้นมนุษย์จึงไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นสิ่งที่เรียกว่า "ความถูกต้อง" เพื่อให้ได้มีโอกาส "ทดลองหาเส้นทางเดินของตนเอง" นั่นเอง เพื่อให้อิสระแก่คนทุกคน ให้โอกาสคนทุกคน ได้ทดลอง เรียนรู้ และแสวงหาเส้นทางเดินในแบบของตนเอง ที่อาจไม่เหมือน ไม่ใช่แบบพระเจ้าหรือพระพุทธเจ้าก็ตามนี่แหละ ผมถึงบอกว่ามันคือโอกาสทองไงละ อีกทั้งมนุษย์โลกนี้ ก็ไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็น "ความผิด" แต่อย่างใด เพราะถ้ามันผิดจริง มันก็จะไม่ถูกพระเจ้าหรือธรรมชาติ สร้างมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ทั้งถูกหรือผิด เลย ที่รัก มันคือ "ความบริบูรณ์พร้อมในตัวเอง" อยู่แล้ว ที่มีครบทุกอย่าง "แล้วแต่จะถูกมองมุมไหน" ก็เท่านั้นเอง สิ่งนี้ละ ที่อำพรางพลังศักดิสิทธิ์ของมนุษย์แต่ละคน และกดข่มทับถมพลังศักดิสิทธิ์นั้นไว้ภายในมานานแสนนาน มันถูกปิดผนึก ไม่ได้รับการไขออก เพียงเพราะความถูกผิด - ดีชั่ว หรืออะไรต่อมิอะไร ที่ทำให้พลังศักดิสิทธิ์แห่งธรรมชาติเดิมแท้ถูกปิดบังอำพรางไป ที่รัก ตื่นข้น แล้วปลุกพลังศักดิสิทธิ์นั้นขึ้นมา ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องใช้มัน จงยืดอกขึ้นอย่างกล้าหาญ แล้วก้าวไปพร้อมกัน



เชื่อมั่นในพลังศักดิสิทธิ์ในตัวเอง เชื่อมั่นในพลังศักดิสิทธิ์ของมนุษย์ทุกคน นั่นคือ ความเชื่ออันสูงสุด เพราะมันมากกว่าแค่คุณเชื่อว่ามีพระเจ้าหนึ่งองค์ หรือเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าบนโลกนี้เสียอีก เมื่อคุณเชื่อใน "เพื่อนมนุษย์ทุกคน" คุณเชื่อใจ ไว้วางใจ ว่าเขาก็คือสิ่งศักดิสิทธิ์หนึ่งเช่นกัน เมื่อนั้น "พลังความเชื่อที่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์" จะเกิดขึ้นแก่คุณ มันไม่มีช่องว่างแห่งความไร้ศรัทธาเหลือให้สิ่งแปลกปลอมเลยที่รัก มันเต็ม มันล้น มันเปี่ยมไปด้วยศรัทธาที่เหนือกว่าศรัทธาใดๆ ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิกศรัทธาพระเจ้าหรือพระพุทธเจ้า หรือเทพเจ้าที่อยู่ในศาสนาของท่านนะ นั่นคือ "บันใดขั้นแรกของพลังศรัทธา" ก็เท่านั้น คุณเลือกศรัทธาสิ่งที่ดีงาม เป็นตันแบบที่ดีงาม ถูกต้องแล้ว ทว่า นั่นยังไม่ไพศาล คุณยังมีศรัทธาที่ตรงไปจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งไม่ผิด แต่มันไม่ได้แผ่ไพศาล ก็เท่านั้นเอง นี่ไง ผมกำลังแนะนำพลังศรัทธาที่แผ่ไพศาลให้แก่คุณ คือ เมื่อใดที่คุณศรัทธาในพลังศักดิสิทธิ์ของมวลมนุษย์ทุกคนคุณจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่น่าเชื่อ และอัศจรรย์อย่างที่สุด มันเป็นพลังที่เปี่ยมล้นและไม่มีจำกัดเลยทีเดียว ที่รัก มันสุดยอดเสียยิ่งกว่าอะไรแล้ว!


ที่รัก เพราะเหตุใดผมจึงแนะนำพลังศรัทธาและพลังแห่งความศักดิสิทธิ์นี้แก่คุณ แน่นอนมันย่อมมีเหตุผล บางสิ่งที่ตรงข้ามกับผม พร้อมแนะนำให้คุณเกลียดเพื่อนมนุษย์ และมองโลก มองคนในแง่ลบ มองมนุษย์ว่ามีแต่ความไม่ได้เรื่อง, ทำผิดซ้ำซาก, สอนไม่ได้, ดื้อด้าน, เอาแต่เถียงทั้งที่ไม่ได้มีปัญญาอะไรนัก, ทะเลาะกันไม่จบสิ้น, ทำอะไรไม่ได้ความ ฯลฯ และอีกมากมายหลายประการ ที่เขาจะสามารถดลจิตดลใจคุณได้ เพื่ออะไรหรือ? ก็เพื่อให้คุณผลิตพลังงานเชิงลบออกมา แล้วเขาจะใช้พลังงานเชิงลบของคุณนั่นแหละ เล่นงานเพื่อนมนุษย์ของคุณเอง ดังนั้น ผมจึงต้องแนะนำสิ่งนี้แก่คุณ เพราะมันเป็นพลังงานที่ตรงข้ามกัน และส่องสว่างขับไล่พลังเชิงลบเหล่านั้นไปได้ มันจำเป็นมากเลยที่รัก มันสำคัญมากด้วย และถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องช่วยกัน ก่อนที่จะสายเกินไป


เอาละที่รัก ผมไม่อยากพูดให้มันยากเกินไป เพราะท่านอื่นๆ เคยบอกแล้วถึง "ตัวตนที่สูงขึ้น" ของท่านทั้งหลาย นั่นแหละ เครือข่ายตัวตนหลากมิติในกลุ่มอัตลักษณ์ของท่าน และเขาก็คือ ท่าน เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน ท่านและเขาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มานานแล้ว จงใช้พลังแห่งความเชื่อมโยงและเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ ในการขับเคลื่อนสิ่งดีงามในโลกนี้ของคุณต่อไป แล้วคุณจะพบ "ความเชื่อมโยงที่ไร้จำกัด" นั่นหมายความว่าไม่ได้มีสิ่งศักดิสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว ที่เชื่อมโยงกับคุณ แต่มีอีกมากมายนัก นับไม่ถ้วน ที่คุณจะสามารถเชื่อมโยงกับตัวตนที่สูงกว่าของคุณได้ เมื่อใดที่คุณได้รับ "แบบทดสอบของคุณเอง" และทำให้มัน"ผ่าน" ได้ เมื่อนั้น พลังแห่งความศักดิสิทธิ์ในตัวของคุณจะถูกปลุกขึ้นสว่างไสวขึ้น ไม่ต่างจากดวงดาวบนท้องฟ้า หรือดวงอาทิตย์เลยทีเดียวที่รัก เวลานั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว เวลาที่สิ่งศักดิสิทธิ์จะเปิดเผยตัวตนและคุณจะได้เห็นว่า "สิ่งศักดิสิทธิ์ใด" ที่สถิตย์อยู่ในตัวคุณ หลับไหลอยู่ในตัวคุณมานานแสนนาน จงกล้าหาญ ที่จะใช้พลังนั้นออกมา ถึงเวลาแล้ว!


22 พ.ค. 2555


"เสียงจากคลื่นแสงแห่งจักรวาล"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขับเคลื่อนโลกด้วยพลังงานใหม่ ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ ฟรี!

ที่รัก สิ่งที่เราจะแนะนำท่านต่อไปนี้ คือ วิธีการใช้ "พลังงานใหม่" ที่เป็นมิตรต่อวัตถุและโครงสร้างต่างๆ แต่เดิม มันไม่ใช่สิ่งที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือทำลายระบบอะไรเลยนะ ที่รัก มันเป็นแค่ "พลังงาน" ที่ช่วยในการขับเคลื่อนระบบ, ระบอบ, โครงสร้างเดิมๆ ที่ไม่ต้องผ่านการปฏิวัติหรือปฏิรูป ก็ได้มันเป็นแค่ "พลังงานขับเคลื่อน" ชนิดใหม่ก็เท่านั้น แต่ท่านยังรู้จักมันไม่มากพอ และใช้มันน้อยเกินไป จนมันไม่แสดงประสิทธิภาพที่เหนือชั้นให้ท่านเห็น เอาละ วันนี้ เรามาเน้นในเรื่องนี้โดยเฉพาะกันเลยดีกว่า นะที่รัก ...


อย่างแรก ให้ท่านจินตนาการถึง รถยนต์ที่ท่านใช้ เดิมท่านใช้เชื้อเพลิงชนิดเก่า แล้วต่อมาท่านเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงชนิดใหม่รถยนต์ของท่าน ก็คันเดิม ไม่ได้ถูกรื้อใหม่ ใช่หรือไม่? นั่นละที่เราต้องการเปรียบเทียบให้ท่านเห็นถึงการใช้พลังงานใหม่ ซึ่งไม่กระทบต่อโครงสร้างเชิงรูปธรรมเดิมเลย แต่พลังงานใหม่นี้มันจะดีกว่า, มีประสิทธิภาพสูงกว่า, เกิดมลพิษในมิติต่างๆ ที่น้อยกว่า และยังมีข้อดีกว่าพลังงานเก่า ดั้งเดิมที่ท่านใช้อยู่มากมาย เอาละ นี่คือ ความเข้าใจเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด ที่เราต้องการสื่อแก่ท่าน ต่อไป เราจะกล่าวถึงพลังงานในระดับต่างๆ กันบ้าง


พลังงานใหม่ มีความเป็นกลาง มีความเป็น "สากลจักรวาล" ดังนั้น ท่านจึงไม่ต้องกลัวว่ามันจะกลายเป็นการครอบงำของประเทศอื่นที่แผ่อิทธิพลมาสู่ประเทศของท่าน นี่เป็นสิ่งที่ใหม่มาก และไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้นเป็นเจ้าของด้วยมันไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ประเทศใดประเทศหนึ่งเลย !


นั่นหมายความว่าใครก็สามารถใช้มันได้ทั้งนั้น ทุกประเทศในโลกนี้ และถ้าใครหรือประเทศใดใช้มัน มันก็จะส่งผลดีต่อท่านเองนั่นแหละ เพราะมันเป็นกลาง เป็นพลังงานที่ช่วยเกื้อหนุนได้ทุกคน ทุกประเทศ ถ้าประเทศอื่นใช้เป็น และกลายเป็นผู้มีพลังอำนาจเพราะพลังงานนี้ ในขณะที่ประเทศของท่าน ไม่รู้จัก และใช้ไม่เป็น ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร? อันนี้ เราคงไม่ต้องอธิบายมากนะ มันเป็นพลังงานอิสระที่ใครก็ใช้ได้ทั้งนั้นถ้าเรียนรู้ที่จะใช้มัน ก็เท่านั้น ที่รัก เธอรู้จักมันแค่ไหน? ใช้มันได้มากขนาดไหน? เราคิดว่าท่านยังใช้มันไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำไป



เอาง่ายๆ อย่างนี้ หลายท่านที่มีชื่อเสียงและกลายเป็นตำนานอำมตะในโลกนี้ หลายท่านได้รับ "พลังงานใหม่" เหล่านี้มานานแล้ว และพวกเขาใช้พลังงานใหม่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็น "ไอสไตน์" ที่ใช้พลังงานใหม่ไปโดยที่เขาอาจไม่รู้ตัว แต่ผลคือ เขาคิดทฤษฏีที่ทันสมัยได้ในยุคของเขา ยังมีอีกเช่น มหาตมะ คานธีร์ ก็เป็นผู้ที่ได้รับพลังงานใหม่ และทำให้เขามีพลังในการขับเคลื่อนการเมืองการปกครองในแบบใหม่ ได้อย่างที่ไม่น่าเชื่อ? คนๆ เดียวสามารถเคลื่อนไหวเพียงลำพัง จนกลายเป็น "คลื่นพลังอำนาจแห่งมวลชน" ในท้ายที่สุด นี่แหละ การใช้พลังงานใหม่ อย่างมีประสิทธิภาพ คนเหล่านี้ กลายเป็นวีรบุรุษในตำนานระดับโลก และเป็นอำตมะในการรับรู้ของผู้คนยาวนานมาลองเปรียบเทียบกับท่านที่ใช้พลังงานเก่าบ้าง เช่น ดารานักร้องในยุคปัจจุบัน เขาไม่รู้จักการใช้พลังงานใหม่ งานของเขา และตัวเขาไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เกิดอะไรได้ เขาจึงต้องใช้ "เงิน" มากมาย เพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อให้พวกเขาโด่งดังและเป็นที่รู้จัก ทว่า คนอย่างไอสไตน์, มหาตมะ คานธีร์ ฯลฯ เขาเหล่านี้ล้วนไม่ได้โด่งดังเป็นที่รู้จักมาได้ด้วย "เงิน" และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เลย เพราะอะไร? เพราะเขาใช้พลังงานใหม่ เป็นนะสิ ที่รัก !


ที่รัก เราคิดว่าขณะนี้หลายท่านก็ยังไม่รู้จัก "พลังงานใหม่" อยู่ดี? ทว่า พลังงานใหม่เหล่านี้ มันตรงมายังโลกนานแล้วและ ณ ปัจจุบัน มันมีพลังมากเป็นพิเศษด้วย บางท่านได้รับมันโดยไม่รู้ตัว และสามารถสร้างผลงานที่ดีและสร้างสรรค์ได้ ทว่า เขาได้รับแบบฟรุ๊คๆ ดังนั้น เขาไม่ได้อย่างต่อเนื่องบางครั้ง เขาจึงสร้างผลงานที่ดีได้มาก แต่บางครั้งกลับไม่ได้เรื่องเลยก็มี ถ้าเขาเพียงแต่รู้จักพลังงานใหม่ให้มากขึ้นอีกสักนิด และใช้ได้อย่างต่อเนื่องละ ผลจะเป็นอย่างไร?


ที่รัก อย่ามองแค่ "ผลบางผลของพลังงานใหม่" ท่านอาจเห็นว่าผลแอปเปิลหนึ่งผล ไม่แปลกอะไรเลยสำหรับท่าน แต่ถ้าท่านมีต้นแอปเปิลที่ออกผลได้ตลอดต่อเนื่องละ? มันต่างกันมากเลยใช่ไหม? หากท่านมองแต่ผลๆ เดียว บางผลของพลังงานใหม่ท่านก็อาจละเลยและมองข้ามไปว่ามันก็ไม่ต่างอะไรกับของเก่าเลย ท่านไม่เห็นความต่าง เพราะท่านไม่ได้ต้นมันนะสิ ท่านได้แต่ผล 1 ผล เลยเห็นว่ามันเล็กน้อยมาก ทว่า สำหรับคนที่ได้ต้นมันกลับผลิตผลงานออกมาได้มากมาย แล้วท่านทำได้อย่างเขารึ? เปล่า? นั่นแหละ เราถึงบอกว่าอย่าดูแต่ผลเพียง 1 ผล ถ้าท่านยังไม่เห็นต้นทั้งต้น ท่านลองรวบรวมผลงานของเขาเข้าด้วยกันแล้วนั่งพิจารณาดูสิ ท่านทำได้อย่างเขาไหม? ทำได้ขนาดนั้นรึ? และเขายังไม่จบ ผลมันยังออกมาเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น ท่านละได้แต่เห็นผลทีละผล ก็เท่านั้น เมื่อไรที่ท่านจะได้ทั้งต้นบ้างละ ที่รัก?



ที่รัก ท่านทราบหรือไม่ถึงผลสุดท้ายของการใช้พลังงานเก่า? หลายท่านกำลังใช้อยู่ โดยไม่รู้ตัว พวกเขาล้วนต้องการความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน พวกเขาหลายคนกำลังจะใช้พลังงานเก่า และพวกเขาไม่อาจหลุดออกมาได้จากพลังงานที่มืดมนเหล่านั้น พลังงานเก่าเหล่านั้นเป็นมลพิษอย่างมากในมิติต่างๆ ท่านยังไม่ทราบถึงผลเสียของมันดีพอและกำลังใช้มันอยู่มากมาย จริงอยู่ที่ ผลของมันออกมาดูดีและเหมือนกับพลังงานใหม่มาก เพราะอะไร? ง่ายๆ เลย ท่านคิดว่าท่านหุงข้าวด้วยฟืนปกติ กลับเอาขยะพิษมาทำเป็นฟืน ท่านจะได้ข้าวสุกออกมา ไม่ต่างกันใช่หรือไม่? ทว่า ผลเสียละ? มลพิษละ? มันต่างกันมากเลยใช่หรือไม่? นั่นแหละที่รัก เรากำลังสร้างความตระหนักรู้ต่อผลจากการใช้พลังงานเก่า และพลังงานใหม่ หากท่านยังไม่รู้ว่าผลเสียจากการใช้พลังงานเก่านั้น ร้ายแรงเพียงใด เราขอกล่าวแก่ท่าน ณ ตรงนี้ว่าเราประสงค์ดีที่จะให้ท่านเลือกพลังงานที่ดีมีมลพิษน้อยกว่าต่อทุกมิติ นั่นคือการเปลี่ยนไปใช้ "พลังงานใหม่"


มาถึงตรงนี้แล้ว บางท่านอาจสงสัยว่า "แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าอะไรเป็นพลังงานใหม่ และพลังงานเก่าละ?" เพราะพลังงานเป็นสิ่งที่ท่านมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เอาละ ที่รัก ท่านมองไม่เห็นลม แต่รู้ได้ว่าลมมีอยู่ เช่นกัน ต่อไปนี้ เราจะอธิบายลักษณะของพลังงานเก่า และพลังงานใหม่ เพื่อให้ท่านสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร และเลือกใช้พลังงานนั้นๆ ได้อย่างเหมาะสม


อย่างแรก "พลังงานเก่า" จะมีลักษณะ ดังนี้

1. เป็นพลังงานที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ใช้แล้วทำให้ชีวิตของท่านยุ่งยากซับซ้อน ยุ่งเหยิง ไม่เรียบง่ายและหาความสงบสุขได้ยากขึ้น แม้จะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ตาม

2. เป็นพลังงานที่ยึดโยงกับอะไรมากมาย แทนที่จะมี
อิสระ ตรงข้ามกับคำว่าอิสระ เพราะจะเต็มไปด้วยภาระ
ผูกพัน ผูกมัดรัดตัว จนท่านรู้สึกได้ถึงการถูกผูกพันนั้น
ได้ไม่ยาก

3. เป็นพลังงานที่แม้มีพลังมากก็จริง แต่ทำให้ท่านแย่ลง มืดมัวลง เครียดมากขึ้น ไม่สว่างไสว ไม่ปลอดโปร่งตรงกันข้ามกับความรู้สึก สว่างไสว สดใส ปลอดโปร่งรู้สึกเป็นลบ

4. ยิ่งท่านใช้ ท่านยิ่งเสพติดมัน และไม่มีความหลากหลาย มันมีลักษณะเฉพาะตัวบางอย่าง ทำให้ท่านติดวนอยู่ในลักษณะดังกล่าว ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาจากสิ่งนั้นได้

5. เป็นพลังงานที่กระทบเชิงวัตถุมาก ใช้แล้วต้องมาเกี่ยวข้องกับวัตถุมาก ต้องใช้วัตถุมาก เป็นวัตถุนิยมและบริโภคนิยม เพราะบริโภคด้วยการกินหรือใช้วัตถุมากกว่าปกติ

6. เป็นพลังงานที่ทำให้ท่านห่างออกจากธรรมชาติ
ดั้งเดิมของท่านไปเรื่อยๆ สูญเสียความเป็นตัวของตัว
เองและธรรมชาติของตนเองไปเรื่อยๆ จนหาตัวตนที่
แท้จริงไม่ได้

7. เป็นพลังงานที่หาง่าย ได้มาง่าย ได้ผลเร็ว เหมาะกับคนใจร้อน อยากได้ดังใจเร็วๆ เป็นพลังงานที่มีอยู่ก่อนและมีอยู่เยอะ จึงคว้าเอามาครองได้ง่ายและเร็วกว่าพลังงานใหม่

ส่วนพลังงานใหม่ ก็มีลักษณะตรงข้ามกันเลยครับ คงไม่ต้องอธิบายรายข้อนะครับ มันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน!



อนึ่ง การใช้พลังงานเก่าก็ไม่ใช่ว่าจะผิดเสมอไปนะครับ ถ้าเรารู้จักวิธีใช้ อย่างไรหรือครับ? คือ การใช้เข้าสู่กระบวนการ "ชำระล้าง" นั่นเอง คือ ทำให้พลังงานเก่านั้น สะอาดใสมากขึ้น ก็จะไม่มีปัญหาสามารถใช้ได้เหมือนกันครับ ดังนั้น การใช้พลังงานเก่า ก็สามารถใช้ได้ ถ้ารู้วิธีใช้นะครับ ส่วนพลังงานใหม่นั้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการชำระล้าง สามารถใช้ได้เลยครับ เพราะผลเสียน้อยกว่ามาก มีมลพิษในมิติต่างๆ น้อยมากถึงไม่มีเลย ทว่า หลายท่านยังไม่รู้จักที่จะใช้ "กระบวนการชำระล้างพลังงานเก่า" เลย ดังนั้น พวกเขาจึงยังไม่ปลอดภัยที่จะใช้พลังงานเก่านะครับ อย่างไรก็ดี เรื่องการชำระล้างพลังงานเก่า เราจะไม่ชี้แจงต่อท่านในขณะนี้ เรามาเพื่อจะสร้างความตระหนักรู้ในการเลือกใช้พลังงานทั้งสองแบบ ก็เท่านั้น และเรามีเวลาน้อยมากที่จะสื่อสารกับท่าน เราไม่อาจกล่าวถึงผลเสียของการใช้พลังงานเก่าได้มากนัก เพราะจะกระทบต่อภาพรวมของการใช้พลังงานทั้งหมด และทำให้เกิดปัญหากับกลุ่มพลังงานเก่าได้ เราจึงทำได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือเป็นเรื่องของท่านแล้วที่จะเลือกใช้พลังงานอย่างไร


สำหรับการใช้พลังงานใหม่เป็นอย่างไรนั้น ก็ไม่ยากครับ เหมือนๆ กับการใช้พลังงานเก่านั่นแหละ ใช้ผ่านรูปแบบรูปธรรมเดิมๆ ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนพลังงานเป็นพลังงานใหม่ก็เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนพลังงานต่างหาก อย่างแรก ถ้าท่านสามารถเชื่อมโยงเข้ากับพลังงานใหม่ได้แล้ว และไม่เปิดรับพลังงานเก่าอีกท่านก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้พลังงานใหม่ได้ด้วยวิธีการเดิมในการใช้พลังงานของท่านนั่นแหละ เพียงแค่เปลี่ยนพลังงานที่ใช้เท่านั้นแต่สำหรับท่านที่ยังใช้พลังงานไม่เป็น โอเค เราไม่มีเวลามากพอที่จะแนะนำท่านได้ ณ เวลานี้ เอาเป็นว่าเราแนะนำเบื้องต้นเพียงเท่านี้ ก่อนก็แล้วกัน สำหรับหัวข้ออื่นๆ จะมีท่านอื่นๆ มาแนะนำต่อไป ครับ


19 พ.ค. 2555


"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กลจักรทองคำแห่งความมั่งคั่งและอิสรภาพชีวิตสู่ "เศรษฐกิจพลังงานใหม่"

สวัสดีครับ สำหรับหัวข้อในวันนี้เป็นสิ่งที่ผมพิจารณาอยู่นานว่าควรหรือไม่ที่จะแจ้งให้ท่านทราบ แต่แล้วในที่สุด ก็จำเป็นต้องแจ้งท่านไปตามหน้าที่นะครับ ผมทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดอะไร ขึ้นเกินไปเลย เพราะสิ่งที่จะแจ้งแก่ท่านนี้ เสี่ยงต่อการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมากทีเดียว เอาละอย่างไรก็คงต้องแจ้งแก่ท่าน ดังจะค่อยๆ อธิบายไปนะครับ


อย่างที่ท่านทราบดีว่าขณะนี้โลกกำลังอยู่ในภาวะท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจอันยิ่งยวด เหมือนเรือน้อยที่ล่องลอยกลางพายุพัดโหมกระหน่ำ ท่านคงรู้สึกอย่างนั้น ทว่า เราไม่ได้ต้องการให้ท่านรู้สึกอย่างนั้นเลย เราต้องการท้าทายให้ท่านกล้าหาญมากขึ้นที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับเศรษฐกิจพลังงานใหม่ ที่จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของท่านให้ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้นในทุกๆ มิติ ก็เพียงเท่านั้น ดังนั้น อย่าได้ตกใจหรือวิตกกังวลเกินไป เรากำลังพาท่านเหินบิน หลายท่านอาจตั้งตัวไม่ทัน กับการเลื่อนระดับนี้ และทำให้เกิดปัญหาหลายประการอย่างที่เห็นกันอยู่ ไม่... นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการให้ท่านเป็นเลย ดังนั้น เราจึงต้องเข้ามาชี้แจงเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อให้ท่านพร้อมเหินบินสู่ระดับที่สูงขึ้นกับเรา ขณะที่ท่านกำลังขัดแย้งทางความคิดกันอยู่ว่าควรใช้มาตรการประหยัดต่อไป หรือควรกระตุ้นเศรษฐกิจดี? ใช่หรือไม่ ก่อนอื่นเราจำต้องแจ้งแก่ท่านว่านั่นไม่ใช่วิถีของเศรษฐกิจพลังงานใหม่เลยทั้งสองกรณี อย่างไรหรือ? ลองมาพิจารณากรณีแรก กันก่อนนะ


เมื่อท่านใช้วิธีการประหยัด เน้นความสมดุล พอดี พอเพียง หรือที่ท่านเรียกกันว่ามาตรการรัดเข็มขัดอยู่นั้น ท่านกำลังทำสิ่งที่ขัดแย้งกับระบบเศรษฐกิจของท่านอยู่ อย่างไร? ก็ระบบเศรษฐกิจที่ท่านใช้อยู่ที่ท่านเรียกว่า "ทุนนิยม" นั้น เป็นระบบที่มีกลไกลการขับเคลื่อนแบบพลวัตรสองขา คือ มีกำไรเป็นขาหน้า และมีต้นทุนเป็นขาหลัง ท่านก้าวสองขาอย่างนี้ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ท่านหยุดไม่ได้ เพราะถ้าท่านหยุดขาหน้า ท่านหยุดขาหลังได้หรือไม่? ก็ไม่ได้ ท่านพอดี พอเพียง สมดุลแล้ว ณ จุดที่ท่านยืนปักหลักมั่นคงอยู่ด้วย "ขาหน้า" ทว่า ขาหลังของท่านมันหยุดหรือเปล่า? ไม่เลยที่รัก ขาหลังของท่านยังเดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ ต้นทุน, ดอกเบี้ยและอะไรอีกหลายประการ มันดันหลังท่านอยู่ตลอด ดังนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านจะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า "จุดสมดุล" หรือ "จุดพอดี พอเพียง" มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "จุดเที่ยง" ให้ท่านยืนปักหลักได้หรอก เพราะจุดสมดุลนั้นมันไม่เที่ยงตั้งแต่แรก มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละวาระเวลา ดังนั้น จุดสมดุลเองก็เปลี่ยนไปเสมอ เหมือนท่านเล่นกระดานโต้คลื่นนั่นแหละ มันไม่นิ่ง ไม่เที่ยง สิ่งที่ท่านทำได้ ไม่ใช่การยืนหยัด ณ จุดที่เรียกว่า"พอดี-พอเพียง" และท่านอยู่ได้แล้ว มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ท่านต้องปรับตัวไปทุกภาวะของคลื่นทะเลแห่งเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปดุจนักเล่นกระดานโต้คลื่น ท่านจะยืนปักหลัก ณ จุดใดจุดหนึ่งที่พอดีนั้นไม่มีเลย ไม่ได้ด้วย เพราะถ้าท่านทำเช่นนั้น ก็เท่ากับท่านกำลังแช่แข็งระบบเศรษฐกิจของท่าน หรือกำลังกักน้ำให้หยุดนิ่ง เมื่อมันนิ่ง ไม่ไหลเวียน มันก็จะกลายเป็นน้ำเน่าในที่สุด นี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระบบทุนนิยมที่ท่านใช้อยู่เลย! โอ ที่รัก ท่านคิดถูกที่กำลังหาวิธีใหม่ๆ เพื่อแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจของท่าน แต่แนวคิดนั้นยังไม่ถูกต้อง เรากำลังเดินเคลื่อนไปข้างหน้า เราจะย้อนถอยหลังไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบฤษีหรือไร? หรือจะให้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจแบบแช่แข็ง? ไม่นะ ที่รัก อย่าทำเช่นนั้นกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่มีพลวัตรขับเคลื่อนแบบสองขา



ต่อไป เราจะขอวิจารณ์แนวทางในการ "กระตุ้นเศรษฐกิจ" บ้าง ซึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่กำลังจะ "สวนกระแส" ของนโยบายรวมอยู่ในขณะนี้ ใช่หรือไม่? ที่รัก ท่านมีแนวคิดที่ถูกแล้วครึ่งหนึ่งแต่วิธีการของท่านยังไม่ถูกต้องนัก เพราะถ้าท่านทำจริง สิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่การเคลื่อนเดินหน้าไปของเศรษฐกิจ แต่มันจะกลายเป็น "ไฟแห่งการปฏิวัติทางการเมืองที่ลุกโชน" แทน โอว พระเจ้า? ..ทำไมหรือ? ท่านร้อนเกินไปไงละ ท่านไม่ใช่ทองคำที่มั่นคงด้วยคุณค่า แต่ท่านกำลังกลายเป็นเพลิงที่รุกใหม้ และมันจะลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาคในเวลาอันสั้นเท่านั้น! ที่รัก ท่านอย่าใจร้อนเกินไป ท่านมีไฟนับว่าถูกต้องแล้ว ทว่า ท่านต้องรู้จักใช้ไฟอย่างสร้างสรรค์และพอดีแก่สภาพที่ท่านเป็นอยู่ด้วย จริงอยู่ ท่านคิดถูกระบบเศรษฐกิจแบบนี้ต้องได้รับการกระตุ้นและมีพลวัตรหมุนเคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ ดังที่เราได้กล่าวแก่ท่านแล้วว่า "ท่านเดินสองขา" และท่านก็ไม่อาจหยุดขาหลังที่ก้าวไม่หยุดของท่านได้ ที่รัก ท่านยังต้องก้าวต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ท่านไม่ใช่พระราชามาเกิดที่ไม่ต้องทำอะไร มีสมบัติเลี้ยงดูอยู่ท่านอยู่เฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร ก็อยู่ได้? ไม่ใช่ ท่านไม่ใช่อย่างนั้นเลยท่านต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป แต่ไม่ใช่วิธีเดิมมันต้องเปลี่ยนวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เปลี่ยนจากการกระตุ้นด้วยเงินทุนหรือทรัพยากรต่างๆ เป็นการกระตุ้นภายใต้แนวคิด "พลังงานใหม่" ต่างหากละ ที่รัก มันคือ การกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ใช้เงินทุนและใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ใช้ภายใต้แนวคิดพลังงานเก่าก็เท่านั้น สิ่งที่เรากำลังบอกแก่ท่านล้วนได้รับการยกระดับไปสู่ระดับพลังงานใหม่แล้วทั้งสิ้น ดังนั้น สิ่งกระตุ้น, ตัวกระตุ้น, ไฟที่กระตุ้นจึงเปลี่ยนไปด้วย


ที่รัก มาถึงตอนนี้แล้ว เราจะได้แจ้งถึงแนวคิดระบบเศรษฐกิจพลังงานใหม่เสียที อย่างไรหรือ? ก็มันขับเคลื่อนด้วยพลังงานใหม่นะสิ กล่าวคือเราไม่ได้เน้นที่เงินทุนแบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า "ทุนนิยม" หรือนิยมเอาทุนเป็นที่ตั้งอีกต่อไป เราใช้ "พลังงานใหม่" เป็นตัวตั้งต้น ซึ่งมันเข้ากันได้กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเดิมของท่าน หรือระบบเศรษฐกิจแบบตรงข้ามคือ "สังคมนิยม" ก็ตาม เพราะสิ่งที่เราถ่ายทอดแก่บรรพชนคนรุ่นก่อนๆ ของท่าน ก็คือสิ่งนี้ ทว่า มนุษย์โลกที่รับการสื่อสารจากเรา ได้เกิดความเข้าใจแตกต่างกันไปสองทาง กลายเป็นการแตกแขนงกันของระบบเศรษฐกิจ คือ สายหนึ่งกลายเป็นทุนนิยม สายหนึ่งกลายเป็นสังคมนิยมซึ่งมันยังไม่สมบูรณ์เลยทั้งสองสาย สิ่งที่เราเสนอนี้ สมบูรณ์พร้อมกว่าแต่เพราะการรับรู้ของบรรพชนบนโลกนี้ ไม่อาจรับรู้ได้รอบด้านถ้วนถี่ ดังนั้น จึงแตกแขนง แยกเป็นสองสายดังกล่าว และเวลานี้ มันถึงเวลาที่จะแจ้งแก่ท่านถึงระบบเศรษฐกิจแบบพลังงานใหม่แล้ว เราไม่รู้จะใช้คำเรียกใดที่ดีกว่านี้ เอาเป็นว่าเราขอใช้คำนี้เรียกมันไปก่อน ซึ่งเราจะอธิบายต่อไป


ที่รัก กลไกลแรกที่เราจะแนะนำให้ท่านรู้จัก ขอเรียกว่า "กลจักรทองคำ" ก็แล้วกัน มันเป็นเหมือนฟันเฟืองที่ใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า ซึ่งในระบบเดิมที่ท่านใช้อยู่ มีความคล้ายคลึงกับสิ่งนี้อยู่บ้าง กล่าวคือ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพลวัตรต่อเนื่องกันไม่สิ้นสุด เช่น ความคาดหวังต่อเงินในอนาคตที่สูงขึ้น ย่อมขับดันให้คนกล้าที่จะปล่อยเงินกู้, และลงทุน (คาดว่าอนาคตต้องได้กำไรคืน) ใช่หรือไม่ จากนั้น พอท่านได้ดังที่ท่านคาดแล้ว ท่านก็มีพลังใจ กำลังใจ และความเชื่อมั่นมากขึ้น ท่านก็ยิ่งจะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ใช่หรือไม่? นี่ละ คือ กลจักรการขับเคลื่อน คือ มีเหตุปัจจัยร่วมหนุนเป็นวัฏจักรต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แบบนี้ใช่ไหม? อะ ทีนี้ เราจะกล่าวถึง"กลจักรทองคำ" บ้าง มันคล้ายๆ กันมากเลยที่รัก แต่จะต่างกันตรงที่ แทนที่มันจะคาดหวังกับเงินในอนาคตว่าจะได้มากขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วมันอาจเป็นไปได้ทั้งมากขึ้นหรือน้อยลง ใช่ไหม? ท่านคิดแต่ขาได้ขาเดียว ไม่คิดถึงขาลงใช่ไหม ในที่สุดพอเศรษฐกิจกลายเป็นขาลง ท่านก็ทำอะไรไม่ถูกใช่ไหมละ? นั่นละ เราจึงเปลี่ยนแนวคิดที่มีต่อความคาดหวังของผลได้รูปตัวเงินในอนาคตเป็น "ความคาดหวังต่อคุณค่าแห่งสาธารณะประโยชน์ในอนาคต" แทน หมายความว่าแทนที่ท่านจะทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพราะท่านคาดหวังว่าจะได้เงินในอนาคตคืนมามากขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นว่าท่านคาดหวังใน "ประโยชน์แห่งสาธารณะ" ในอนาคตมากขึ้นแทน นั่นคือ ท่านทำไปเถิดเพื่อประโยชน์แห่งสาธารณะ โดยไม่ต้องสนใจว่าตัวเงิน, ทุน, หรือรูปธรรมทางทรัพย์แห่งปัจเจกบุคคลจะมากขึ้นหรือไม่? นี่คือ ข้อแตกต่างประการแรกซึ่งมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า GDP ที่มองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่และเพิ่ม GDP รวมทั้งประเทศของท่านได้ เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปจากการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย "เงินทุน" ได้ นี่คือ "ขาแรก" ที่จะขับดันเศรษฐกิจนั้นๆ


เพื่อให้ท่านเข้าใจอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะขอเปรียบเทียบระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และแบบพลังงานใหม่ เป็นดั่งอะไหล่หลายๆ ชิ้นที่ประกอบกันขึ้นมาเป็น "กลจักรขับเคลื่อน" ซึ่งแต่ละชิ้นเมื่อรวมกันแล้ว จะทำงานเป็นพลวัตร ดังต่อไปนี้

ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

1. ความคาดหวังต่อผลได้ในอนาคต - ขับดันไปสู่ ...
2. กิจกรรมทางเศรษฐกิจขาแรก (ลงทุน) - ขับดันไปสู่ ...
3. กิจกรรมทางเศรษฐกิจขาหลัง (กำไร) - ขับดันไปสู่ ...
4. ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ - ขับดันไปสู่ "ความคาดหวังฯ"

ทั้งสี่นี้เป็นองค์ประกอบเหมือนอะไหล่แต่ละชิ้น ที่เมื่อประกอบร่วมกันไปแล้ว จะส่งเสริมเกื้อหนุนกันไปข้างหน้าเป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด ใช่ไหม? ทว่า เมื่อขาแรกของท่าน (การลงทุน) มีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนท่านเริ่มต้องก้าวขาที่สองออกไปไกลยิ่งขึ้นทุกที (ขยายตลาดให้กว้างไปเรื่อยๆ เพื่อให้กำไรมากขึ้นทันต้นทุนที่วิ่งตามหลังมา) ทว่า ตลาดที่ท่านคาดหวัง ไม่เปิดเสรีอย่างที่ท่านต้องการ โอ พระเจ้า? นี่คือ การกลั่นแกล้งกันหรือไร? ไม่ ท่านอย่าได้คิดอย่างนั้น จงก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปซะจงยกระดับตัวเองขึ้นสู่ระดับสากลจักรวาลได้แล้ว นั่นคือ เข้าสู่ระบบพลังงานใหม่ได้แล้ว เพราะท่านใช้อะไหล่ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่คือ ท่านคิดว่า "เงินในอนาคตต้องมากขึ้นเสมอ" ท่านจึงมีดอกเบี้ย และคาดหวังว่าเมื่อให้ยืมแล้วต้องได้เงินในอนาคตคืนมา มากกว่าเดิมเสมอ นี่มันผิดธรรมชาติแล้วที่รัก ผิดตั้งแต่แรก คือ เงินในอนาคตไม่เที่ยง มีเพิ่มหรือลดลง ก็ได้ มันไม่ได้มีแต่ขาขึ้นเท่านั้นนะที่รัก ดังที่กล่าวแก่ท่านแล้วว่าท่านจะต้องรู้จักเล่น "กระดานโต้คลื่น" ในกระแสคลื่นที่ไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจนี้ ท่านจะหยุดก็ไม่ได้ ท่านจะขึ้นอย่างเดียว ก็ไม่ได้นะที่รัก



และต่อไปนี้ เราจะขออธิบายองค์ประกอบที่เหมือนเป็นอะไหล่ในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจพลังงานใหม่ ให้ดูบ้าง ดังต่อไปนี้

ระบบเศรษฐกิจแบบพลังงานใหม่

1. ความคาดหวังต่อคุณค่าสาธารณะในอนาคต - ขับดันไปสู่ ...
2. กิจกรรมทางเศรษฐกิจขาแรก (กิจกรรมต่างๆ) - ขับดันไปสู่ ...
3. กิจกรรมทางเศรษฐกิจขาหลัง (ความพึงพอใจ) - ขับดันไปสู่ ...
4. ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ - ขับดันไปสู่ "ความคาดหวังฯ"ง

สิ่งที่แตกต่างและเปลี่ยนไปคือ 


1. การเปลี่ยนความคาดหวังจาก ที่เคยคาดหวังผลได้ในอนาคตแบบส่วนตัว (ฉันทำ ฉันต้องได้) มาเป็นการหวังในผลได้เชิงสาธารณะประโยชน์ให้มากขึ้น หมายความว่า แม้ไม่ได้สิ่งใดกลับมาแก่ตนเอง แต่เพื่อประโยชน์สาธารณะก็ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ 

2. กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปการลงทุนที่เป็นตัวเงินทุน หรือวตถุทางเศรษฐกิจก็ได้เช่น การปลูกต้นไม้ให้ชุมชนไม่ได้อยู่ในรูปการลงทุน แต่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ และนับเป็น GDP ที่มองไม่เห็นได้ 

3. ขาที่สองที่ตามมา คือ "ความพึงพอใจ" หรือ "จิตใจที่สว่างไสว" ด้วยพลังใจแห่งการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม อันเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนสิ่งนี้ เป็นเหมือน "รางวัล" ที่กระตุ้นให้ผู้กระทำ กระทำกิจกรรมต่อไป ไม่ใช่ตัวกระตุ้นในรูปเงินหรือกำไร เท่านั้น และ 

4. สุดท้าย ก็นำไปสู่ความ"เชื่อมั่นแบบใหม่" (New Confidence) คือ เชื่อมั่นในประโยชน์แห่งสาธารณะสมบัติร่วมกัน แทนที่จะเชื่อมั่นในกำไรส่วนบุคคล ดังระบบเดิม

ทีนี้ ที่รัก ท่านจะต้องกระตุ้นองค์ประกอบที่สามบ้าง (ขาหลัง - ความพึงพอใจ) คือ ท่านควรมีปัจจัยต่างๆ แจกจ่ายแก่ผู้ทำประโยชน์สาธารณะบ้าง เพื่อให้กำลังใจเขา หรือทำให้เขาสามารถดำรงตนอยู่ได้ แม้ไม่มีเงินในขณะที่เขาทำเพื่อสาธารณะประโยชน์นั้นๆ แบบนี้ พวกเขาที่อาจตกงานอยู่ จะไม่เครียดเกินไป มีงานสาธารณะกุศลทำอยู่ ไม่ว่างมากจนมีเวลาไปประท้วง และมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป รออนาคตที่สดใสมากขึ้นไม่เสียเวลาว่างไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งยังสามารถดำรงชีพอยู่ได้ด้วย



และเพื่อให้ท่านเข้าใจหลักการของ "กลจักรทองคำ" ในระดับจุลภาคมากขึ้น เราจะขอยกตัวอย่างในการประยุกต์ใช้กลจักรทองคำนี้ ในการบริหารธุรกิจในระดับย่อยลงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น เดิมเมื่อท่านเชื่อมั่นในเศรษฐกิจมาก ท่านก็จะลงทุนให้มากขึ้น อัดเงินลงไปมากขึ้น ใช่ไหม? ทว่า นั่นเป็นวิธีขับเคลื่อนด้วยพลังงานเก่า แบบเดิม ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ตามหลักการของกลจักรทองคำ คือ ท่านจะไม่ใช้เงินเป็นตัวกระตุ้นอีกแล้ว แต่ท่านจะใช้ "คุณค่าของกิจกรรมแทนตัวเงิน" เพราะมันคือ "กลจักรทองคำ" ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่ "จักรเงิน" ที่ใช้เงินเป็นตัวหลักสำคัญในการขับเคลื่อนอีกต่อไป กล่าวคือ ตัวกิจกรรมที่ท่านทำลงไป มันมีคุณค่าหรือไม่ต่อสาธารณะประโยชน์ ถ้ามีก็ทำได้เลย ไม่ต้องรอเงิน โอเค? มันต่างกันมากใช่หรือไม่? ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมง่ายๆ เช่น เดิมท่านจะอัดตัวเงินเข้าสู้กับคู่แข่งขัน ในการซื้อโฆษณามากๆ ใช่ไหม? หรือลดแลกแจกแถม แบบกระหน่ำ ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมาด้วย แต่แบบใหม่นี้ ไม่ใช่เลย สิ่งที่ท่านจะอัดลงไปแข่งขันนี้เป็น "กิจกรรมอันทรงคุณค่าในตัวมันเอง ดุจทองคำ" ไม่ใช่เม็ดเงินแล้วนี่คือ เปลี่ยนวิธีคิดแบบ "กลจักรเงิน" เป็น "กลจักรทองคำ" โอเค ไหม?


สมมุติง่ายๆ อีกข้อหนึ่ง ถ้าร้านของท่าน เหงามาก คนเข้าร้านน้อยมากๆ แทนที่ท่านจะหาทางลงเงินโฆษณาเพิ่ม หรือลดแลกแจกแถม กระหน่ำเอาอย่างนี้ ท่านปิดร้านเลย 1 วัน แล้วไปที่ชุมชนที่มีผู้คนมากๆ แล้วท่านก็พาลูกน้องในร้านของท่าน แต่งชุดประจำร้านของท่านไปทำประโยชน์สาธารณะตรงนั้นเลย เอาให้มันสนุก เอาให้มันน่าสนใจ เอาให้มันดูมีค่าน่าสนใจ น่าติดตาม น่าเข้าร่วม จะทำความสะอาดวัตถุที่เขาไม่ค่อยสนใจกัน ก็ทำเลย ทำแบบสนุกสนานจริงจัง ดูแล้ว ใครๆ ก็ต้องมอง ชนิดที่เป็นข่าวไปเลย โอเคไหม? นี่ผมยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ที่จริง คุณสามารถคิดอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ได้มากมาย ภายใต้แนวคิด "ไม่ใช้เงินเป็นหลัก" ในการขับเคลื่อน แต่ใช้ "คุณค่าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ" นั้นๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทน เอาละ ผมแนะนำกลจักรทองคำ มาพอสมควรอันที่จริงมันมีอะไรอีกมากมาย ที่มากกว่ากลจักรทองคำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ละเอียดลงไปใน "ระบบเศรษฐกิจพลังงานใหม่" นี้ เพื่อไม่ให้มากเกินไปจนเกินกว่าที่คุณจะนำไปทดลองประยุกต์ใช้ได้ ผมจึงขอยุติลงเพียงเท่านี้


18 พ.ค. 2555


"เสียงจากดาวแห่งการค้าขาย"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เมื่อจักรวาลปรับดุลยภาพ เปลี่ยนฟ้า-วาดฝัน-ปั้นดาว ชีวิตเราจึงเหนือลิขิต!

ที่รัก ท่านได้ทราบแล้วว่าช่วงเวลานี้ จักรวาลจะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงแต่โลกของท่าน และนั่นส่งผลอย่างมากทีเดียวต่อ "ทุกสรรพสิ่ง" ไม่เว้นแม้แต่โลกของท่าน ประเทศของท่านหรือแม้แต่ตัวท่านเอง! ไม่น่าไม่ อย่าทำท่าแบบนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายออก อย่าทำท่าวิตกจริตเช่นนั้น มันไม่สมกับความสง่าผ่าเผยของท่านเลย อัศวินแห่งแสงสว่างทั้งหลาย ยืดอกขึ้นอย่างกล้าหาญ ยิ้มรับมันแล้วแสดงพลังอันแสนกระชุ่มกระชวย ตื่นเต้นและพร้อมรับสิ่งใหม่ อย่างเต็มที่ได้แล้ว ที่รักทั้งหลาย


เมื่อดาวเรียงตัวใหม่ ดวงของท่านถูกจัดสรรใหม่ และท่านจะมีบริวารห้อมล้อมที่เปลี่ยนไป โธ่ ดูท่านสิ ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ตื่นเต้นหน่อยนี่เป็นสิ่งที่ดี ที่จะนำสิ่งดีๆ สิ่งใหม่เข้ามาในชีวิตของท่าน... อย่าทำท่าห่อเหี่ยวอย่างนั้น อย่ายึดติดในญาติมิตรเดิมมากไป เพราะท่านจะสูญเสียโอกาสทอง ที่จะได้เชื่อมสัมพันธ์กับ "ญาติมิตร" ที่วิเศษ ที่ท่านรอคอยมานานแสนนาน ใช่แล้ว เขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับท่านมาก่อน ทว่า เขากำลังเข้ามาในชีวิตของท่านแล้ว เปิดใจให้กว้างหน่อย อย่ายึดแต่สิ่งเดิมๆ มากนัก คู่รักยังมีสามคู่ จะยึดติดคู่กรรมไปทำไม? ในเมื่อคู่บุญที่คอยสนับสนุนส่งเสริมท่าน มารออยู่, คู่บารมี ที่พร้อมสร้างบารมีเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน ก็พร้อมมารออยู่แล้ว ทำไม ยังยึดมั่นถือมั่นแต่สิ่งเดิมๆ อย่างนั้น อย่าใจแคบสิ แล้วคุณจะได้พบกับชีวิตใหม่ที่แท้จริงนะที่รัก เราหวังดีต่อท่าน เพื่อให้ท่าน "เข้าสู่ชีวิตใหม่ที่ลงตัว" ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ท่านจะดำเนินไปเองเพียงเดี่ยวโดด ท่านจะมี "บริวาร" ใหม่ ที่เข้ามาในชีวิตของท่าน ดังนั้น จำเป็นอย่างมากในกระบวนการนี้ที่ท่านจะต้อง "ใจกว้างและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง" เช่น ท่านอาจจะเสียลูกคนเดิมของท่านไปให้ผู้อื่น จากการถูกสู่ขอ นั่นไม่ใช่เรื่องร้ายเพราะท่านอาจจะได้ลูกคนใหม่ ที่ดีกว่า และเสริมดวง เสริมชะตาชีวิตให้ท่านได้ดีกว่าอย่างคาดคิดไม่ถึงเลยทีเดียว ทว่า ถ้าท่านยึดมั่นเกินไปว่า"นี่ลูกฉัน แต่นั่นไม่ใช่ลูกฉัน" สุดท้าย แทนที่คุณจะก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่ที่มีบริวารห้อมล้อมชุดใหม่ คุณก็จะถอยหลังกลับไป "วังวนหน้าเก่าๆ" ดังเดิม นี่น่ะหรือ? สิ่งที่คุณต้องการ แย่มั้ยละ กับการยึดติดในสิ่งเดิมๆ นั้นน่ะ


อ้อ อย่าเพิ่งแปลกใจละ ที่ผมพูดกับคุยแบบกันเอ้ง กันเองแบบนี้ อย่างที่คุณไม่เคยได้ยิน ผมมาจาก "ดาวแห่งสัมพันธภาพ" ผมไม่รู้จะใช้ชื่ออะไรดีไปกว่านี้แล้ว ที่จะทำให้คุณเข้าใจผมได้ แต่เอาเถอะ ใช้มันไปก่อนผมมีหน้าที่มาช่วยเรื่อง "สัมพันธภาพใหม่" ซึ่งจะเกิดขึ้นกับพวกคุณ ทว่า มันไม่ลงตัวเสียที เพราะอะไร? เพราะคุณยึดมั่นถือมั่นในสัมพันธภาพเดิมยึดมั่นในบริวารห้อมล้อมตัวคุณแบบเดิมๆ ทั้งๆ ที่ดวงดาวของคุณเคลื่อนย้ายเปลี่ยนทิศทาง เรียงตัวใหม่แล้ว และคุณควรจะเข้าสู่การกำเนิดใหม่ที่มีชีวิตใหม่ ท่ามกลางบริวารห้อมล้อมชุดใหม่ได้แล้ว แต่มันก็ยังไม่ลงตัวเสียที นี่แหละ ผมจึงได้รับการไว้วานเป็นพิเศษให้ลงมาช่วยในกระบวนการนี้ อย่างแรก อยากบอกให้คุณพร้อมเต็มที่ที่จะเข้าสู่การจัดการพิเศษตามระบบพลังงานที่เปลี่ยนไปของจักรวาล และดวงดาวต่างๆ อันจะส่งผลต่อชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคุณ อย่าได้กลัวการเปลี่ยนแปลงเลย ในเมื่อคุณก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่านี้อีกแล้ว ชีวิตเดิมๆ ที่น่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจนั้น ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องยึดถือเอาไว้ให้เหนื่อยยากเลย อ่า อย่าเพิ่งตกใจคิดว่าผมมายุยงให้คุณแตกแยกกันนะครับ ผมไม่ได้บอกให้คุณไปทำลายสัมพันธภาพเดิมเลยแต่มันจะถูกจัดสรรใหม่เองตามธรรมชาติของจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น มันจะเป็นไปเองแหละคุณเพียง "เปิดใจให้กว้าง และอย่ายึดติดสิ่งเดิมๆ มาก" คุณครับ คุณคงเข้าใจนะว่า "ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ" สิ่งเก่าต้องไปก่อน สิ่งใหม่จึงมาได้ จะเปิดรับสิ่งใหม่ โดยที่คนเก่ายังนั่งเก้าอี้ตัวเดิมไม่ยอมลุก อย่างนี้ คงไม่ได้นะครับ โอว อย่าคิดมากเกินไป ผมไม่ได้หมายถึงตำแหน่งหน้าที่การงานแต่หมายถึง "ตำแหน่งของบริวาร" ตามตำแหน่งดวงดาวที่เปลี่ยนไปครับเช่น ตำแหน่งลูกของท่าน, ภรรยาของท่าน, บิดามารดาของท่าน โอ้ย มันเปลี่ยนกันได้ครับ อย่ายึดมั่นถือมั่นมาก แล้วทุกอย่างจะลงตัวด้วยดีครับ!


สิ่งที่ผมกล่าวมานี้ มันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อ "คุณเลื่อนระดับ" คุณจะได้รับการ "จัดสรรใหม่" ของดวงดาวบริวารที่ห้อมล้อมคุณแต่ถ้าคุณไม่ยอม คุณไม่เปิดทางให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของดวงดาว คุณก็จะไม่ก้าวหน้าต่อไปได้ครับ ยังคงเป็นคนเดิม ที่จมปลักอยู่กับสิ่งเดิมๆ คนเดิมๆ หน้าเดิมๆ ที่คุณเองก็เบื่อแสนเบื่อไงละครับ 555


ก็แล้วทำไม ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว คุณจะได้มีชีวิตใหม่แล้ว ทำไมจึงปล่อยให้มันผ่านไปละครับ? โอ้ย อย่ายึดติดปัจจุบันมากครับ อดีตของคุณมีพลังหนุนส่งที่แตกต่างกัน ส่งสนองผลให้คุณต่างกันออกไปตามวาระและอนาคตของคุณก็คดไปคดมา เปลี่ยนแปลงได้เสมอ อย่ายึดติดมากไป เปิดใจให้กว้าง เปิดตัวเองหน่อย ยอมรับอะไรที่แปลกใหม่ หรือไม่เป็นดั่งใจคิดให้ได้ เพราะนี่คือ "สิ่งดีๆ สิ่งใหม่ ที่เข้ามาในชีวิตของนักเลื่อนระดับ" ครับ อนึ่ง อย่าไปคิดว่าคุณจะต้องสูญเสีย "ญาติมิตร" เดิมๆ ของคุณนะครับ พวกเขายังอยู่ แต่จะมี "ตำแหน่งในจักรวาล" ที่เปลี่ยนไปเมื่ออ้างอิงกับตำแหน่งของคุณเท่านั้นเอง เช่น พ่อ-แม่ ของคุณ อาจเปลี่ยนจากตำแหน่งพ่อ-แม่ กลายเป็นตำแหน่ง "ผู้ช่วย" หรือ "แม่บ้าน-ผู้ดูแล" ก็ได้ครับ มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ในชีวิตจริงของคุณ เขาก็ยังเป็นดังคนเดิมนั่นแหละ แต่ใน มิติของจักรวาล ตำแหน่งดวงดาวของเขา เมื่อเปรียบเทียบกับคุณ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความห่างเหินของคุณหรือการกระทำของเขากับคุณ อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ครับ ก็แค่นั้นเองครับ



ถึงเวลา "เปลี่ยนฟ้า-วาดฝัน-ปั้นดาว" ก้าวสู่ชีวิตใหม่ สร้างอนาคตใหม่ได้ด้วยมือของคุณเองแล้ว ที่กล่าวนี้ ไม่ใช่เพราะปัจจุบันชีวิตของคุณแย่จนต้องเปลี่ยนมันซะใหม่นะครับ มันอาจจะดีอยู่แล้ว และดีมากๆ เลย แต่อย่าไปยึดมั่นมัน เพราะบางที "ภาระกิจหน้าที่ที่สำคัญ" อาจรอคุณอยู่ในอนาคต ดังนั้น คุณต้องเปิดใจให้กว้าง พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลงให้ได้และที่สำคัญคือ ถ้าคุณคือนักเลื่อนระดับตัวยง คุณเลือกได้เลยครับ ว่าจะปรับระดับไปอยู่ระดับใด ซึ่งจะส่งผลให้บริวารห้อมล้อมเปลี่ยนไปด้วยครับเช่น สมมุติง่ายๆ ถ้าคุณไปอยู่บนสวรรค์ชั้นที่สองของโลกนี้ คุณจะได้เจอบริวารกลุ่มหนึ่ง ใช่ไหม? แต่ถ้าคุณเลื่อนระดับไปสวรรค์ชั้นที่หกขึ้นมาละคุณอาจไม่เจอกลุ่มเดิม แต่ไปเจอกลุ่มใหม่ ที่อาจจะน้อยลงกว่าเดิมมากๆ เพราะคุณ "ปรับระดับสูงขึ้น" อย่างไรละครับ? ลองจินตนาการง่ายๆ ถึง"พีรามิด" ก็แล้วกัน ยิ่งคุณไปอยู่บนยอด มันยิ่งเล็กลง คนก็น้อยยิ่งขึ้นแต่ถ้าคุณลงไปอยู่ฐานล่างพีรามิด มันก็กว้างขึ้น จำนวนผู้คนก็มากขึ้น ใช่มั้ยละครับ ดังนั้น สำหรับ "นักเลื่อนระดับตัวยง" แล้ว คุณคงจะเลือกได้ ในสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดนะ ในเมื่อคุณชำนาญการเลื่อนระดับ คุณย่อมจะมีความสามารถในการเลือกได้ว่าจะเชื่อมโยงกับกลุ่มดาวแห่งสัมพันธภาพ กลุ่มใด แต่อย่าเลือกมากเกินไปนักละ เพราะขณะที่คุณเลือกอยู่ คนอื่นเขาก็เลือกอยู่เหมือนกัน เมื่อใดคุณทอดทิ้งสัมพันธภาพแบบที่หนึ่ง คุณอาจไม่มีโอกาสไขว่คว้ามันกลับคืนมาได้อีก เมื่อมันตกอยู่ในมือของคุณอื่นแล้ว !


จะอย่างไรก็ตาม คุณจะเลือกอย่างไรก็ช่าง มันดีทั้งหมดนั่นแหละ แต่อย่าเลือกมาก อย่าเลือกนานเกินไป เพราะคนที่รอทำหน้าที่มีอยู่เยอะครับ มันดีทั้งหมดนั่นแหละ เลือกเอาสักกลุ่มหนึ่ง จะได้ลงตัวแล้วทำหน้าที่ของคุณไปได้เสียที โอเค? เพราะคุณอย่าลืมว่าคุณไม่ใช่ตัวตนที่เป็นตัวโดดตัวเดี่ยวอย่างที่ตาเปล่าของคุณเห็นนี้ คุณคือ "เครือข่ายกลุ่มอัตลักษณ์" กลุ่มใหญ่ ที่มีตัวตนอีกหลายตัวของคุณ มากมายที่กำลังรอนั่งในตำแหน่งที่เหมาะสม และมันกระทบถึงกันทั้งหมดนะครับเมื่อคุณเลือกนั่งตำแหน่งหนึ่งแล้ว ตำแหน่งอื่นๆ จะว่างพอให้ผู้อื่นที่เหมาะสมเข้ามานั่งได้ครับ ดังนั้น คุณควรจะเล่น "เก้าอี้ดนตรี" ให้มันดีๆ หน่อยจะได้มีที่นั่งครบกันได้ทุกคน และเมื่อทุกท่านได้นั่งประจำที่ของตนๆ ที่ได้เลือกตามใจต้องการแล้ว ทั้งหมดทั้งมวล จะได้เดินหน้าทำหน้าที่ของตนแต่ละตัวตนได้ต่อไป นั่นแหละ สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อให้คุณไปให้ถึงให้ได้


อย่าลืมละ ว่าตัวตนของคุณทั้งหลาย รอคอยการตัดสินใจเลือกของคุณเพื่อให้ตำแหน่งแต่ละตำแหน่งมีผู้นั่งประจำการณ์ แน่นอนว่า จะมีการลุกออกจาก "ตำแหน่งเดิม" คุณจะสูญเสียตำแหน่งเดิมไป เพื่อได้รับสิ่งใหม่ตำแหน่งใหม่ ซึ่งมันอาจจะกระทบตำแหน่งหน้าที่การงานทางโลกของคุณหรือไม่ก็ได้ อาจเปลี่ยนหรือไม่ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของคุณเองด้วยแต่อย่าเสียใจไปเลย ถ้าคุณต้องสูญเสีย "ตำแหน่งปัจจุบัน" เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของเรื่องนี้ มันยังไม่จบเลยนี่ครับ มันยังมีตำแหน่งใหม่ ที่รอให้คุณไปนั่งอยู่ ทำใจสบายๆ อย่าเครียดมากนัก มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดเลย กล้าๆ หน่อย! มันเป็นสิ่งใหม่ที่ท้าทายคุณ ให้คุณได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็เท่านั้น อย่าไปยึดติดกับของเก่าๆ สิ่งเดิมๆ มากนัก แล้วคุณก็จะผ่านช่วงแห่งการ "เปลี่ยนผันจัดสรรใหม่" ของคุณนี้ไปได้ด้วยดีครับ



เอาเลยที่รัก เราเปิดอิสระเสรีให้คุณเลือกได้เต็มที่ สมมุติว่าคุณสามารถ"เปลี่ยนฟ้า-วาดฝัน" ได้ดังที่ใจคุณคิด สมมุติว่าคุณคือดาวดวงหนึ่งบนท้องฟ้านั้น คุณจะวางตำแหน่งดวงดาวดวงอื่นๆ อย่างไร ให้รายล้อมตัวของคุณ หรือคุณต้องการจะ "ปั้นดาวดวงใหม่" ขึ้นมา ก็เอาเลย มันคือโอกาส มันเป็นช่วงเวลาที่คุณต้องทำแล้ว ไม่มีช่วงเวลาอื่นใดที่จะเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะเมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ทุกอย่างจะค่อยๆ ลงตัวอีกครั้ง และมันจะ "เปลี่ยนแปลงได้ยากยิ่ง" แล้ว เมื่อทุกอย่างลงตัวไปสู่ "ดุลยภาพใหม่ของจักรวาล" เมื่อนั้น คุณก็ต้องวางมือ เลิกเล่น ไม่อาจเปลี่ยนฟ้า-วาดฝัน-ปั้นดาว ได้ดังใจที่คุณคิดอีก เพราะนี่คือ ช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนของพลังงานและดวงดาวต่างๆ ทั้งจักรวาลเลยทีเดียว


กล้าๆ หน่อย เปิดใจให้กว้าง และอย่ายึดติดสิ่งเดิมๆ เกินไป อะไรที่มาถึงแล้ว พร้อมแล้ว ตรงหน้าท่านแล้ว ก็อย่าให้มันพลาดไป อย่าไปยึดติดหรือคาดหวังมากเกินไปว่า พ่อของเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เพราะบางทีพ่อคนใหม่ที่จักรวาลส่งมาให้คุณ อาจอายุน้อยกว่าที่คุณคิด หรือบางทีอายุน้อยกว่าคุณด้วยซ้ำไป ก็อาจเป็นได้! อย่าไปยึดติดมากเกินไปว่าภรรยาของเราควรเหมือนภรรยาที่ดีหน่อย และไม่แน่นะ จักรวาลอาจส่งผู้ชายมาทำหน้าที่ในตำแหน่ง "ภรรยา" ให้คุณก็ได้ อย่ายึดติดมาก มันเป็นแค่ "สัมพันธภาพ" อย่างหนึ่งเท่านั้น เราไม่ได้บีบบังคับให้คุณต้องทำหรือไม่ทำอะไรเสียหน่อย นั่นหมายความว่าต่อให้คุณมีสัมพันธภาพระหว่างใครในแบบใดก็ตาม คุณก็ยังเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ อะไรได้ เช่น การที่แต่งงานกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมีอะไรในเชิงชู้สาวกับเขาก็ได้ เพราะมันเป็นเพียง "สัมพันธภาพใหม่" ก็เท่านั้น ที่สำคัญคือ คุณจะปรับตัวอยู่กับพวกเขาอย่างไร ให้ลงตัวและมีความสุข ก็เท่านั้นเอง มันไม่มีความจำเป็นเลยที่คุณจะต้องกระทำอะไร หรือไม่กระทำอะไร ในสิ่งที่คุณไม่ต้องการ เพราะคุณเลือกที่จะกระทำสิ่งอื่นๆ ทดแทนให้เขาได้นี่นา? ใช่ไหมละ? และสัมพันธภาพแบบใหม่นี้ อาจทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น กว่าสัมพันธภาพแบบเก่าเสียอีก แม้ว่ามันจะมี"สมมุติเปลือกนอก" ที่ไม่แตกต่างจากสัมพันธภาพแบบเก่าก็ตาม แต่อย่าลืมว่าการกระทำในอนาคตและปัจจุบันของคุณ เปลี่ยนมันได้นี่นาสุดท้ายนี้ ขอให้คุณโชคดีกับการเลือกสัมพันธภาพใหม่ของคุณนะครับ



15 พ.ค. 2555


"เสียงจากดวงดาวแห่งสัมพันธภาพ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"ช่วงแห่งภัยพิบัติ" คือ โอกาสทอง โอกาสสุดท้าย แห่งการเลื่อนชั้นกรณีพิเศษ!

ท่านทั้งหลายได้ทราบข่าว "ภัยพิบัติ" มามากแล้วหลายท่านหวั่นไหว วิตกกังวลและหวาดกลัว ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สากลจักรวาลหวังให้ท่านเป็นเลย เพราะอะไร? เพราะช่วงเวลาที่พิเศษที่สุด เสมือนช่วงเวลาที่คู่รักพันปีได้มาพบเจอกัน ร่วมดื่อมน้ำผึ้งพระจันทร์กันนั้นมาถึงแล้ว คือ ช่วงเวลาที่พิเศษสุดนี้ 


อันไม่อาจหาได้อีกแล้ว ที่รัก พวกเราทั้งหลาย ต่างก็รอคอยโอกาสทองนี้ มานานแสนนาน พวกเราต่างเพียรพยายามกันมามาก กว่าจะถึงวันนี้ได้ และเรา"เสียงจากสากลจักรวาล" ไม่ได้ต้องการบอกอะไรใหม่แก่ท่าน นอกจากสิ่งเดิมที่มีอยู่ใน "หัวใจ" ของท่านเองแล้ว นั่นคือ เสียงที่หัวใจของท่านทั้งหลายเรียกร้อง และรอคอยมานานแสนนาน คือ ช่วงเวลาอันพิเศษสุดเพื่อการ "เลื่อนระดับชั้นในกรณีพิเศษ" ซึ่งหาได้ยากยิ่งในรอบหลายหมื่นปี และไม่อาจหาได้อีกง่ายๆ ดังนั้น เรา "เสียงจากสากลจักรวาล" จึงไม่อยากให้ท่าน ที่รักทั้งหลาย พลาดโอกาสทองในครั้งนี้ หวังว่าท่านทั้งหลาย จะร่วมแสดงความยินดีให้แก่กันและกัน ส่องสว่างให้แก่กันและกัน มอบความรักความอบอุ่นถึงกันและกัน เพื่อก้าวไปสู่การเลื่อนระดับพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคน ดังที่ได้คาดหวังเอาไว้นั้น



ที่รักทั้งหลาย ใช่แล้ว เสียงหัวใจของท่านทั้งหลายเรียกร้องมันเพราะมันไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่มันคือ "โอกาสทองอันพิเศษสุด ที่หาไม่ได้อีก" ซึ่งเราและท่านทั้งหลาย ร่วมกันสร้างขึ้นมาและรอคอย "ช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว" อันอุดมสมบูรณ์และงดงามที่สุด อย่างไม่อาจหาได้อีก ช่วงเวลาแห่งความงดงามของโลกใบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมๆ กับการกำเนิดใหม่ของท่านทั้งหลาย เรา "เสียงจากสากลจักรวาล" ยังคงยืนยันคำเดิมถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดนี้ ไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งความตระหนก, ความวิตกกังวล หรือความอลหม่านอันใด เพราะเป็นช่วงเวลาที่โลกได้สั่งสมพลังงานมายาวนาน และพร้อมผลิดอกออกผลในช่วงเวลานี้ มอบแด่ท่านทั้งหลาย ได้ใช้ในการพัฒนาและเลื่อนระดับของท่านขึ้นไป ช่วงเวลาอันหาได้ยากยิ่งบนโลกมนุษย์ ที่ทุกท่านรอคอยการเก็บเกี่ยวผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ที่เราทั้งหลาย ล้วรร่วมกันสร้างขึ้นมา ขุมพลังอันมหาศาลได้เปิดออกแล้ว เพื่อท่านทั้งหลาย ที่รัก อย่าได้ลังเลอีกเลยลองฟังเสียงหัวใจของท่านสิ มันเรียกร้องช่วงเวลานี้มายาวนานเพียงใด


พลังงานที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่พลังงานแห่งความชั่วร้ายหรือดำมืดเลยแม้ว่าท่านจะเรียกมันว่าพลังงานเก่าก็ตามแต่นั่นคือ "พลังแห่งการเตรียมตัว" เพื่อเตรียมพร้อมให้ท่านได้ก้าวเข้าสู่ขุมพลังที่ยิ่งใหญ่และสว่างยิ่งๆ ขึ้นไป มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายหรือความผิดพลาดของผู้ใด แม้แต่ประการใดเลยทุกอย่างคือ "ความสมบูรณ์พร้อม" ที่ตระเตรียมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่าน "ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาอย่างสง่างาม" เท่านั้นเอง ดังนั้น ท่านจึงต้องเรียนรู้จาก "เบื้องต้นสู่สุดยอด" ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนไม่ต่างกัน และเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว ท่านที่รักทั้งหลาย หัวใจของท่านคงอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้วและรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ท่ามกลางโลกที่เข้าสู่ช่วงที่ใครบางคนยังคงเรียกว่า "ช่วงภัยพิบัติ" ในขณะที่ท่านทั้งหลาย จะมองเห็นมันในมุมใหม่ และเรียกมันใหม่ อย่างเต็มภาคภูมิว่า "The Golden Age" หรือ "ช่วงโอกาสทองอันหาไม่ได้อีกแล้ว" ของท่านที่รอคอยการเลื่อนระดับชั้นในกรณีพิเศษทั้งหลาย และหลายท่านในที่นี้ ได้ก้าวไปไกลแล้ว อีกไม่นานนัก ท่านอื่นๆ ก็จะเลื่อนระดับตามกันไปด้วยเช่นกัน



หมดเวลาที่จะหวาดกลัวหรือลังเลใจแล้ว เด็กน้อยทั้งหลายถึงเวลาแห่งการเติบโตและผลิบานอย่างสง่างามเต็มภาคภูมิของท่านทั้งหลายแล้ว "เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งจักรวาล" ทั้งหลาย จงกล้าที่จะยืนหยัดต่อแสงแดด, สายลม และแม้ในวันที่พายุพัดกระหน่ำ โอกาสทองนี้มาถึงแก่พวกเราแล้ว พลังงานทั้งหลายของโลกนี้ ได้รับการปลดปล่อยออกมาแล้วและพลังงานเหล่านั้น ล้วนตระเตรียมไว้เพื่อท่านทั้งหลายได้ใช้ในการ "ก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น" อย่างสง่างาม ที่รัก ท่านไม่อาจพลาดโอกาสทองเช่นนี้ไปได้แน่นอน เหล่าอัศวินแห่งแสงสว่าง เมล็ดพันธุ์ของจักรวาล ผู้พร้อมที่จะจุดไฟแห่งความสร้างสรรค์, ปัญญา และพลังแห่งการขับเคลื่อนอันไม่มีที่สิ้นสุด


ลุกขึ้นเถิด ถ้าบางท่านยังไม่ตื่น หรือยังนอนหลับอยู่ เพื่อนของท่านได้ก้าวไปแล้ว หลายท่านกำลังเดิน หลายท่านวิ่ง และยังมีอีกหลายท่านที่โผบินอย่างอิสระเสรี ลุกขึ้นเพื่อก้าวไปพร้อมกับเรา สู่วันใหม่ที่เราทั้งหลายล้วนรอคอยกันมานานแสนนาน คือช่วงเวลาแห่งการเลื่อนระดับนี้ พร้อมหรือยัง? ที่จะเปิดรับอย่างไม่มีขีดจำกัด ส่องสว่างอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อพร้อมแล้วไปด้วยกันกับเรา "เสียงแห่งสากลจักรวาล" ตามพันธสัญญาที่เราทั้งหลายได้ร่วมกันทำไว้ มันได้มาถึงแล้วในวันนี้ ...


Are You "Ready กล้า กล้า" ...



เด็กน้อย อย่าได้กลัวสิ่งใด ทุกสิ่งนั้นล้วนได้รับการเตรียมไว้เพื่อท่านทั้งหลาย ได้เติบโตและเลื่อนระดับขึ้นไปทั้งสิ้น "ไม่มีเจตนาอื่นเลย" อย่าได้กลัวพลังงานที่โลกได้ปลดปล่อยออกมา อย่าได้วิตกกังวลและพะวงอยู่กับ "ข่าวร้าย" เพราะสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ยินนั้น ไม่ใช่ข่าวร้ายอีกต่อไป เพราะมันไม่ใช่ข่าวร้ายเลยตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างคือ "โอกาสทอง" ทั้งสิ้น ทุกสิ่งคือ สิ่งที่ท่านรอคอย และเตรียมไว้เพื่อท่าน แม้แสงแดดที่แผดร้อนขึ้นอย่างที่ท่านสงสัยว่า "ผิดปกติ" โอ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเด็กน้อย มันคือพลังงานมหาศาลที่ท่านจะได้รับต่างหากละ แม้ในช่วงเวลาที่โลกหนาวเหน็บ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายหรือภัยพิบัติเลย จงกล้าหาญและยืนหยัดที่จะเปิดรับมันอย่างเต็มภาคภูมิ พัฒนาตัวของท่าน จิตใจของท่านไปพร้อมกับมัน เฉกเช่น นักเล่นกระดานโต้คลื่น ที่กล้าท้าทายเข้าหาคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำมานั้น มันช่างน่าสนุกและน่าท้าทายเสียยิ่งกระไร นั่นแหละ สิ่งที่พวกท่านต้องการและรอคอยมานานแสนนาน ขุมพลังงานทั้งหลายของโลกได้เปิดออกแล้ว


จงกล้าที่จะเปิดรับมัน อย่าให้อคติใดๆ มาสร้างความรู้สึกบวกหรือลบขึ้นในใจของท่าน มันคือ "ธรรมะ ธรรมชาติ" เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้เท่านั้น และมันกำลังจะเปลี่ยนไป มันกำลังจะถูกเขียนใหม่ ถูกสร้างใหม่ ประวัติศาสตร์เหล่านั้นจะได้รับการพลิกอย่างสิ้นเชิง ที่รัก ท่านทั้งหลาย จะเป็นผู้เขียนมันใหม่ ขึ้นมาด้วยตัวของท่านทั้งหลายเอง เลือกทางของท่านเอง และลิขัตมันด้วยตัวเองและจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้เอง มันจะกลายเป็นการวางรากฐานของโลกยุคใหม่ ยุคที่ท่านทั้งหลายรอคอยกันมานานแสนนานนั้น ...



มาถึงตอนนี้ เด็กน้อยทั้งหลาย คงหายวิตกกังวัลกับภัยพิบัติมากขึ้นแล้ว และพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกล้าหาญ อย่างที่ได้บอกมันไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หรือเจตนาลบเลย ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เพื่อการเลื่อนระดับชั้นของท่านทั้งหลายนั่นเอง "ภัยพิบัติ" คำนี้ดูแปลกสำหรับเรา "เสียงจากจักรวาล" เพราะเราไม่ได้สร้างให้มันเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นที่ถูกเรียกว่าภัยพิบัตินั้น เป็นเพียง "ธรรมชาติปกติ" ของโลกนี้ที่มีการขยับเขยื้อน เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เป็นมานานแล้ว


ที่รักทั้งหลาย ถึงเวลานี้ หวังว่าท่านคงพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ พลังงานใหม่ๆ รวมทั้งพลังงานเก่าที่โลกใบนี้ได้ปลดปล่อยออกมา จงกล้าที่จะเปิดรับมัน แม้มันจะถูกเรียกว่าพลังงานด้านมืด หรือพลังงานลบก็ตาม นั่นเป็นสิ่งที่เด็กน้อยเรียกกันไปเอง แม้แล้วมันคือ "บันไดแก้วแห่งการไต่ระดับ" เท่านั้น บันไดแก้วที่งดงามและใสซื่อบริสุทธิ์ มันได้รับการเตรียมไว้เพื่อรองรับท่านทั้งหลาย ให้ก้าวขึ้นมาสู่ระดับแห่งสากลจักรวาล
เปิดใจรับมัน เรียนรู้ ชำระล้างมัน ทำให้มันสว่างไสวขึ้น นั่นแหละ หน้าที่ของเหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งจักรวาล อัศวินแห่งแสงสว่างผู้กล้าหาญทั้งหลายและในท้านที่สุด ท่านจะได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม แต่มันคือ"เสี้ยวส่วนหนึ่งของท่านเอง" ซึ่งท่านได้ทำทิ้งไว้ ตกค้างไว้บนโลกใบนี้และถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องตามมา "เก็บสิ่งที่ท่านหลงลืมไว้" เพื่อการระลึกถึง "รอยทางเดินของท่านเอง" และนั่นจะทำให้ท่านมั่นใจยิ่งขึ้นที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเรา เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นวัตถุพยานผู้ซึ่งสนับสนุนการก้าวเดินของท่านว่าท่านได้เดินมาถูกทางแล้ว ที่รักทั้งหลาย


อย่าได้หวั่นไหว หรือลังเลใจอีกเลย ท่านได้เดินมาถูกทางแล้วแม้สิ่งที่ท่านพบเจออาจจะหาคำอธิบายได้ยากยิ่งก็ตาม ทว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนปรากฏชัด และเป็นที่ประจักษ์แก่ตัวท่านทั้งหลายเองแล้ว นั่นแหละ "ปาฏิหาริย์" ที่ท่านสร้างมันขึ้นมา ด้วยตัวเองมทันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนเลื่อนลอยราวกับความฝัน หรือว่างเปล่ายิ่งกว่าสายลม ขณะนี้ มันเริ่มกลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น และท่านทั้งหลายจะพิสูจน์มันได้ สัมผัสมันได้ชัดเจนขึ้นทุกขณะ และยิ่งจะชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อท่านได้ก้าวเข้าสู่การเลื่อนระดับอย่างเต็มตัว หมดเวลาที่จะสงสัยหรือลังเลใจแล้ว


จงก้าวต่อไป อย่างที่ท่านเป็น เชื่อมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้น และเปิดใจรับทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น มันไม่มีอะไรเลวร้าย, ถูกหรือผิด, ดีหรือชั่วอะไรเลย ทุกอย่างล้วนมาจากความใสซื่อบริสุทธิ์ทั้งสิ้น อย่ากลัวเปิดรับมันเหมือนกับเด็กน้อยที่เพิ่งเกิด เพิ่งเปิดตาดูโลกนี้ แล้วจงเรียนรู้มันอย่างที่มันเป็น ด้วยดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของท่านนั้น


ทุกสิ่งเกิดขึ้น และถูกเตรียมไว้เพื่อการเลื่อนระดับของท่านทั้งหลายอย่าให้ "ความคิดปรุงแต่ง" และ "ความระแวงกังวล" ทำให้ท่านปิดใจ และทำให้ต้องเสียโอกาสทองนี้ไป เปิดรับมันอย่างคนโง่ซื่อดูมันอย่างที่มันเป็น ปล่อยให้มันดำเนินไปตามธรรมชาติของมันวิถีแห่งการเลื่อนระดับ จะไม่ถูกขัดขวาง และมันจะดำเนินไปจนถึงที่สุดคือ "สากลจักรวาล" ในท้ายที่สุดนี้ เราหวังว่าท่านทั้งหลายจะหมดสิ้นความหวาดวิตกในเรื่อง "ภัยพิบัติ" และเห็นโอกาสทองของการเลื่อนระดับจากพลังงานของโลก ดังที่เราได้กล่าวแก่ท่านนั้น



7 พ.ค. 2555


"เสียงจากจักรวาล"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า!

สวัสดีครับ ยังมีเรื่องหนึ่งที่หลายท่านอาจเข้าใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่ดีพอ ดังนั้น ผมจึงรับอาสาที่จะอธิบายในเรื่องนี้โดยเฉพาะ คือ เรื่องพลังงานที่อยู่ในจักรวาลแบบต่างๆ อันประกอบกันขึ้นมาดุจองคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า เป็นพลังงานที่ได้ขับเคลื่อนจักรวาลมายาวนาน และจะยังคงทำอย่างนั้นอยู่ต่อไป ซึ่งผมจะค่อยๆ เล่าต่อไปครับ


พลังงานที่แตกต่างกัน ภาคส่วนต่างๆ นั้น แท้แล้วคือ "องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า" นั่นเอง อย่างไรหรือ? ก็เพราะพลังงานที่ต่างกันนี้ ประกอบกันขึ้นมาจนทำให้จักรวาลสมบูรณ์ เติมเต็มส่วนที่ขาดหาย ทำให้ครบองค์ประกอบมากยิ่งขึ้น ผมจึงขอเรียกว่า "องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งต่อไป ผมจะอธิบายถึงส่วนต่างๆ ที่เหมือนดั่งอวัยวะร่างกายแห่งพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผมขอแบ่งเป็น 5 ส่วนด้วยกันคือ


1. พลังงานกลุ่มต้นแบบ (OM - Original Model) เป็นดั่งพระหัตถ์ขวาของพระผู้เป็นเจ้า ที่เราอาจเรียกว่าเทพ หรือผู้ที่เดินตามทางและทำตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ออกนอกทางอื่น พวกเขาจะคงความถูกต้องไว้ เพื่อเป็นต้นแบบให้ผู้อื่นที่หลงทางอยู่ เดินตามรอยมาในภายหลัง

2. พลังงานกลุ่มทดลอง (IT - Incomplete tester) เป็นดั่งพระหัตถ์ซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า ที่ถูกเรียกว่ามาร แต่ผมกำลังให้คุณมองมุมใหม่ที่ไม่ใช่การวนติดอยู่กับคำว่ามารร้าย เอาเป็นว่าพวกเขาไม่ชอบอยู่ในเส้นทางที่ถูกกำหนด ชอบทดลองจึงออกนอกเส้นทาง และยังไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาชอบทดสอบผู้อื่นด้วย ขัดขวางคนที่เดินตรงทาง และทำสิ่งที่ตรงข้ามกับพระหัตถ์ข้างขวา แต่พวกเขาก็จำเป็นต่อสมดุลของจักรวาล

3. พลังงานกลุ่มตัวแบบใหม่ (NM - New model) เป็นดั่งศีรษะของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะเอาตัวเองเป็นหนูทดลองเพื่อหาเส้นทางใหม่ๆ ให้ผูคนเดินตามมา และพวกเขาก็ทำสำเร็จ เข้าเข้าถึงเส้นชัยแห่งแสงสว่างและความหลุดพ้นได้ด้วยเส้นทางของเขาเอง ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ จึงเป็น"ตัวแบบใหม่" เป็นดั่งสมองของพระผู้เป็นเจ้า หรือศีรษะของท่านเลยละ

4. พลังงานกลุ่มมืดหวนกลับ (In darkner) เป็นดั่งเท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็ขาดไม่ได้ ที่จะหยั่งลงไปเบื้องล่าง และเหยียบก้าวไปในสิ่งที่สกปรกหรือแปดเปื้อน แต่พวกเขาพร้อมแล้วที่จะหวนกลับคืนสู่ต้นแบบดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ พวกเขาจึงหาวิธีหวนกลับมายังตัวต้นแบบ (พระหัตถ์ขวา)

5. พลังงานกลุ่มมืดหลุดออก (Out darkner) เป็นดั่งเท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้าที่จะขาดไม่ได้อีกเช่นกัน พวกเขาคือกลุ่มที่ยอมตกลงสู่เบื้องล่างเพื่อกระทำกิจที่พระหัตถ์ทังสองของพระผู้เป็นเจ้าไม่อาจกระทำได้ แต่ว่า กลุ่มนี้จะไม่ยอมหวนกลับคืนมาง่ายๆ พวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปในทางเบื้องต่ำ และมืดมิดไปเรื่อยๆ พวกเขาจึงหลุดออกจากระบบปกติที่เป็นอยู่


องคาพยพ ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งห้านั้น จำต้องประสานงานกัน และทำกิจร่วมกัน จึงจะโอบอุ้มจักรวาลนี้ให้เคลื่อนไปได้อบย่างสมบูรณ์ ทว่า ท่านจะต้องเลือกทางเดินที่แตกต่างกัน และเกิดความขัดแย้งกันบ้าง เป็นธรรมดาไม่มีใครผิดหรือถูก แต่ทุกคนมีหน้าที่ที่ต่างกันเท่านั้น ดุจองคาพยพของพระผู้เป็นเจ้า ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน แม้ว่าท่านจะเรียกอีกฝ่ายว่ามารหรือพวกมืดก็ตาม แต่ทว่า ท่านก็ยังขาดพวกเขาไม่ได้ เพราะบางภาระกิจ ก็ต้องอาศัยการดำเนินการของพวกเขาเช่นกันและหลายครั้งการทำกิจนั้นอาจขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แต่นั่นคือ วิถีแห่งการเรียนรู้และปรับตัวเท่านั้นดังนั้น หวังว่าท่านคงเข้าใจที่จะดำรงอยู่และทำกิจร่วมกันในลักษณะนี้ด้วย



และเมื่อผมได้ให้คำอธิบายไปแล้ว ต่อไปนี้ ผมจะไม่ใช้คำว่าฝ่ายมารหรือฝ่ายมืด นะครับ หวังว่าท่านคงเข้าใจ ถ้าผมจะเรียกว่า "มือซ้าย" ของพระผู้เป็นเจ้า หรือ "เท้าข้างใดข้างหนึ่ง" ของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นเราจะไม่กล่าวถึงพวกเขาในมุมที่เป็นลบ (เช่นคำว่า "มารร้าย" หรือคำว่า "พวกมืด") แต่เราจะกล่าวถึงแต่ละท่าน แต่ละภาคส่วน หรือพลังงานแต่ละชนิดในมุมที่เป็น "องคาพยพ" ของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่ผมได้อธิบายไปแล้ว เพราะการแบ่งแยกพรรคพวกนั้น ก็คือ จุดเริ่มต้นของการแตกแยกและขาดความสามัคคี ซึ่งองคาพยพของพระผู้เป็นเจ้า นั้นควรทำกิจอย่างกลมกลืนประสานกัน จึงจะทำให้กิจต่างๆ ดำเนินไปด้วยดี เหมือนร่างกายของเรา จะขาดไปเสียซึ่งมือซ้าย หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่ง คงไม่ดีแน่ครับ


ถึงแม้ว่าเราไม่อาจเป็นได้ทั้งหมดขององคาพยพของพระผู้เป็นเจ้าแต่ผมยังคงยืนยันคำเดิมเสมอว่า "คุณเลือกที่จะเป็นได้" และเมื่อใดที่คุณเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับผลของมัน และยากนักที่จะถอนตัวออกจากการเลือกนั้น เพราะคุณก็คิอ ส่วนหนึ่งขององคาพยพที่จะต้องมี ขาดไม่ได้ ไปเสียแล้ว นั่นเอง ดังนั้น จำเป็นที่ผมจะต้องเตือนเน้นย้ำแก่คุณอีกครั้งในโอกาสที่คุณยังมี และสามารถที่จะเลือกได้นี้ เพราะเมื่อใดที่ทุกอย่างลงตัวแล้ว มันยากยิ่งที่จะถอนตัวหรือเลือกใหม่ หวังว่าคุณคงจะเลือกได้ไม่ยาก หนึ่งในห้าส่วนนั้น มือขาว, มือซ้าย, เท้าขวา, เท้าซ้าย หรือจะศีรษะ ดี? ไม่ยากเลย ใช่ไหมครับ?

และเพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น และเข้าใจถึงองคาพยพส่วนต่างๆของพระผู้เป็นเจ้าให้มากขึ้นยิ่งกว่านี้ ผมจะขออธิบายเป็นส่วนๆ ไป โดยเริ่มต้นจาก "พระหัตถ์ขวา" ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในรูปนามใด มีรูปหรือไร้ลักษณ์ แต่พวกเขาจะมีลักษณะเหมือนๆ กันก็คือ

1. จะเดินตามเส้นทางดั้งเดิมที่ถูกต้อง ไม่ออกนอกเส้นทาง
2. เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ไม่ดื้อรั้น ไม่ทำตามอำเถอใจตนเอง
3. มีกฏระเบียบ มีกรอบการทำงาน ไม่ทำเกินหน้าที่ของตน

4. จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรโดยพละการณ์ ทำตามแบบเดิม
5. จะเป็นต้นแบบของสิ่งที่ตรงทางหลุดพ้นให้ผู้เดินตามมา

ดังนั้น พวกเขาจึงมีข้อดีคือ ไม่เกะกะระราน ไม่เกเร ไม่ก่อกวนไม่ทำสิ่งที่ผิดละเมิด หรือปั่นป่วนเรา แต่ก็จะอนุรักษ์นิยมมากไปเสียหน่อย ไม่ค่อยยอมลองผิด ลองถูก ไม่ค่อยทำสิ่งที่ออกนอกลู่นอกทางและบางครั้งพวกเขาจะมีความเข้าใจที่จำกัดในกรอบไม่มีความคิดที่นอกกรอบมากนัก ซึ่งท่านจะสัมผัสพวกเขาได้ถ้าท่านเลื่อนระดับไปสู่ทางที่ถูกต้อง ในแต่ละระดับมีพวกเขารออยู่เพื่อบอกทางแก่ท่าน แสดงผลเชิงประจักษ์แก่ท่านเพื่อยืนยันผลของการเดินทางที่ถูกต้องตรงทางและสว่างไสวของพวกท่านนั้น



ส่วนต่อไปคือ "พระหัตถ์ซ้าย" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะมีลักษณะที่ตรงกันข้ามกับพระหัตถ์ขวา ซึ่งเรามักเรียกเขาว่า "มาร" แต่อย่างที่ผมบอกแล้วว่าเราจะเคลียร์พลังงานเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับเขาจากคำว่า "มารร้าย" ไปเสีย เพราะเราต้องเข้าใจถึงความเป็นส่วนหนึ่งใน "องคาพยพ" นี้ของพวกเขาด้วย ดังจะอธิบายดังต่อไปนี้ครับ

1. ชอบทำตามใจตัวเองมากกว่าฟังคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้า และมักออกนอกเส้นทางเพื่อหาเส้นทางใหม่ๆ ของตนเอง ซึ่งพวกเขาจะไม่พบความสำเร็จในครั้งแรกที่กระทำ ทำให้กลายเป็นการทดลองที่ยังไม่สำเร็จ แต่เพราะมีการทดลองของพวกเขาเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่จะต้องทดลองได้อาศัยความล้มเหลวของพวกเขา ต่อยอดเส้นทางใหม่ได้

2. ชอบทดสอบคนอื่น, ทดลองความสามารถ, ปัญญา, การปฏิบัติตนของผู้อื่น ทำตนเหมือนเป็นพระเจ้าผู้กำหนดความถูกผิดเองได้ ตัดสินผู้คนว่าผ่านหรือไม่ผ่านตามใจตัวเอง (ซึ่งอาจไม่ตรงกับ พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ก็ได้) ทว่า เพราะการทดสอบของพวกเขานี้เองที่จะทำให้ "ผู้เข้าทดสอบ" อื่นๆ เข้มแข็งและพัฒนาเส้นทางที่ดีมากกว่าได้

3. มักขัดขวาง, เกะกะระราน, กลั่นแกล้ง, เล่นงาน, จับผิด, อ้างนั่นนี่เพื่อเล่นงาน "ผู้ทดลอง" คนอื่นๆ ถ้าผู้ทดลองนั้นอ่อนแอ ก็จะกลายเป็นพวกเดียวกับเขา เรียกว่า "การทดลองไม่สำเร็จผล" แต่ถ้าผ่านได้ ก็จะกลายเป็นสิ่งยืนยันถึงความสำเร็จของผลการทดลองได้มากทีเดียว จึงกลายเป็นเครื่องช่วยอีกแบบหนึ่งสำหรับผู้ทำการทดลองเส้นทางใหม่ๆ


พวกเขาจะถูกเรียกว่า "มาร หรือ มารร้าย" มานาน แต่พวกเขาก็ได้รับการยอมรับในหมู่คนมากมาย ทว่า ต่อไปนี้ เราจะมองเขาใหม่ให้เห็นถึงประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเขา ซึ่งหาได้ยากทีเดียว และหากสามารถนำสิ่งที่พวกเขาล้มเหลวมาพัฒนาต่อไปให้สำเร็จผลได้ ก็จะย่อย่นการทดลองค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ของนักท่องจักรวาลได้ไปอย่างมากทีเดียว


ส่วนต่อไปคือ "เท้าขวา" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้เหยียดยื่นลงในที่ต่ำเพื่อทำกิจเฉพาะที่ยากยิ่ง ซึ่งมือซ้ายและมือขวา ไม่สามารถกระทำได้และไม่อาจเข้าถึงได้ ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงต้องมีองคาพยพที่เหยียดต่ำลงไปในที่ที่มืดมิด ผมจึงเรียกส่วนนี้ว่า "เท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งยังคงพร้อมที่จะกลับคืนสู่ "สภาวะดั้งเดิม" ซึ่งพวกเขาจะมีลักษณะดังนี้

1. การไม่ยอมรับในกฏระเบียบดั้งเดิม หรือการถูกลงทัณฑ์ ทำให้ต้องหนีลงไปเบื้องต่ำ และเข้าสู่ความมืดมน หรือก็คือ การเยียดลงเบื้องล่างของเท้าขวา นั่นเอง ซึ่งผมนิยมที่จะเรียกอย่างนี้มากกว่าภาษาที่คุณใช้กันอยู่ที่เรียกว่า "เทวดาตกสวรรค์" ใช่ไหม? ฟังดูมันร้ายแรงมากเลย ไม่หรอกก็แค่การเหยียดลงของเท้าแห่งพระผู้เป็นเจ้า เพื่อทำกิจเบื้องล่าง เท่านั้น

2. การสร้าวงโลกของตนเอง มิติของตนเอง การอยู่นอกระบบปกติดั้งเดิมการสร้างระบบใหม่ของตนที่ผิดไปจากระบบดั้งเดิมที่ควรมี ควรเป็น ทว่าก็สะท้อนถึง "ความมีอยู่ของบางสิ่ง" ที่จำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติต่างออกไป ซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น การกระทำของเขาด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อระบบดั้งเดิม ด้านหนึ่งก็เพื่อการดำรงอยู่ของบางสิ่งที่เคยถูกมองข้ามไป นี่แหละ ผมจึงเรียกพวกเขาว่า เท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า

3. การพร้อมยอมรับและกลับคืนสู่เส้นทางดั้งเดิม พวกเขายากลำบากมานานแล้ว จึงพร้อมและอยากกลับมาสู่เส้นทางที่สว่างไสวดังเดิม ทว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดนัก เพราะการกลับเข้ามาสู่เส้นทางดั้งเดิมนั้น อาจทำให้พวกเขาต้องได้รับผลกระทบ หรือได้รับโทษทัณฑ์ที่รุนแรงมาก ก็เป็นได้ดังนั้น แม้พวกเขาต้องการคืนกลับ ทว่า เส้นทางการกลับ ยังยาวไกลอยู่

พวกเขา จะแหกคอก แหกกรอบ แหกกฏ และพยายามสร้าง "แนวร่วม" ให้มากขึ้นเพื่อดำรงอยู่ในแบบของพวกเขา ซ้อนขึ้นมาในระบบดั้งเดิมนั้นทว่า พวกเขาก็ยังมีความหวังว่าจะสามารถดำรงอยู่ร่วมกันกับทุกคนได้?



ส่วนต่อไปคือ "เท้าซ้าย" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้เหยียดยื่นลงในที่ต่ำเพื่อทำกิจเฉพาะที่ยากยิ่ง ไม่ต่างจาก "เท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า" แต่ก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างไปจากเท้าขวา คือ การที่พวกเขาต่อต้านและไม่ยอมกลับคืนสู่เส้นทางเดิม ทำให้ดูเหมือนพวกเกเรไปบ้าง ทว่า นั่นก็คือ "เท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า" เช่นกัน ย่อมมีความสำคัญจำเป็น ดังนี้

1. นอกจากจะมีลักษณะเหยียดลงเบื้องล่างอย่างเท้าขวาแล้ว พวกเขาจะแตกต่างและตรงกันข้ามกับ "เท้าขวา" มากคือ พวกเขาไม่ต้องการหวนกลับ และพร้อมตายทุกเมื่อ ไม่กลัวอะไร และไม่ต้องการการเจรจาต่อรองอะไรทั้งสิ้น ทว่า การกระทำของพวกเขาที่ดูเกเรและเป็นปรปักษ์อย่างยิ่งนี้ก็มีเหตุผลในระดับมิติที่สูงขึ้น และท่านสามารถหาประโยชน์จากพวกเขาได้ เมื่อยกระดับตัวเองขึ้นสูงมากพอที่จะเห็นภาพกว้างที่รวมเอาพวกเขาไว้ด้วยนั้นได้ ดังที่บอกแล้วว่าพวกเขาก็คือ เท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า ดังนี้ จึงมีเหตุผลและมีประโยชน์บางอย่าง เพียงแต่เราจะต้องเข้าใจให้มากขึ้น

2. พวกเขามักมี "คติความเชื่อ" แบบของตัวเอง หรือศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้ามาก ถึงขนาดยอมพลีชีพโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เลย ดังนั้น ในมุมหนึ่ง พวกเขาคือ ผู้เสียสละตนอย่างยิ่งยวด ยิ่งกว่าส่วนอื่นใดของพระผู้เป็นเจ้าเลยทีเดียว ทว่า พวกเขาไม่ใช่ศีรษะของพระผู้เป็นเจ้า จึงได้ทำสิ่งที่อาจยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด พวกเขาเป็นเท้าซ้ายที่ยอมทั้งแปดเปื้อนและพร้อมสละตนเต็มที่ แต่ในระดับพวกท่านอาจเรียกเขาว่า "โจร" เลยก็ได้

มีความจำเป็นมากครับที่เราจะต้องทำความเข้าใจ "เท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า" นี้ให้มาก เพราะเป็นองคาพยพส่วนที่เข้าใจได้ยากที่สุด แต่ก็อุทิศตนมากที่สุด พร้อมยอมสละตนสูงสุดเช่นกัน ดังนั้น เราจะขาดพวกเขาไม่ได้นะครับ เพราะถ้าขาดพวกเขาแล้ว ท่านอาจจะหาคนที่สละตนไม่ได้อีกเลย



ส่วนสุดท้ายคือ "ศีรษะ" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีลักษณะเด่นเหมือนกับศีรษะ คือ เป็นส่วนที่มีทั้งปัญญา, ความคิดและตรงกลางมากที่สุดมองเห็นทุกส่วนได้อย่างถ้วนทั่วมากที่สุด ทว่า ก็ไม่ใช่ส่วนที่จะปฏิบัติการเหมือนมือและเท้า ดังนั้น พวกเขาจึงทำงานโดยใช้การสื่อสาร การสั่งการ การบริหาร เป็นสำคัญ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่าง ดังนี้

1. พวกเขาเหมือน "พระหัตถ์ขวา" ตรงที่ ค้นพบเส้นทางเดินที่ถูกต้องตรงทาง และหลุดพ้นสู่ความสว่างไสวได้ในท้ายที่สุดของการทดลองแต่ต่างกันตรงที่ พวกเขากล้าทดลองเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งพระหัตถ์ขวา ไม่ทำ

2. พวกเขาเหมือน "พระหัตถ์ซ้าย" ตรงที่ กล้าที่จะทดลองและค้นหาเส้นทางเดินใหม่ๆ แต่พวกเขาต่างจากพระหัตถ์ซ้ายตรงที่ "ค้นพบและประสบความสำเร็จ" ในการทดลองหาเส้นทางเดินใหม่ๆ นั้นด้วยตนเอง 


3. พวกเขาเหมือน "เท้าขวา" ตรงที่ พร้อมสละตนลงสู่เบื้องล่างได้เสมอแต่ต่างกันตรงที่พวกเขาไม่มีลักษณะใดๆ ที่จะตกลงสู่เบื้องล่างได้เลย จึงต้องดำรงอยู่ในฐานะเดิมคือที่ศีรษะ คือ พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งผิดเลย นั่นเอง

4. พวกเขาเหมือน "เท้าซ้าย" ตรงที่ มีอุดมการณ์ของตนเอง พร้อมสละตน อุทิศตน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวังแม้จะได้กลับมาหรือไม่? ทว่าพวกเขาก็ยังสามารถกลับมาสู่เส้นทางดั้งเดิมที่ถูกต้องได้ด้วยตนเองอยู่ดี 



องคาพยพส่วน "ศีรษะของพระผู้เป็นเจ้า" มักมีข้อเสียคือ "ไม่อาจกระทำสิ่งต่างๆ ได้เอง" อาจเป็นเพราะการที่เขาเอาตัวเองเข้าทดลอง คือเป็นหนูทดลองจนอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจกระทำการใดได้อีกได้แต่ใช้ปัญญาเท่านั้นทว่า พวกเขาคือ ส่วนที่สำคัญมากและหาได้ยากยิ่งทีเดียว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรเลย หรืออยู่เหมือนคนที่ไม่มีงานทำ ตกงาน หรือว่างงานก็ดีทว่า อย่าเพิ่งมองข้ามเลยไปละ เพราะนี่คือ "ส่วนที่สำคัญ" ที่สุดทีเดียว


สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจความเป็นหนึ่งเดียวกันของจักรวาลนี้มากขึ้น มันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้วโดยที่คุณไม่ต้องกระทำการรวมอะไรไว้ด้วยกันเลย มันเป็นหนึ่งเดียวกันมานแล้ว อยู่แล้ว ทว่า ภาวะที่ถูกแบ่งแยก, จำกัดกรอบ, ความคับแคบ ฯลฯ ทำให้มันถูกทำให้กลายเป็น "คนละส่วนกัน" และนานวันเข้ามันก็ขัดแย้งกันเอง, ปะทะกันเองอย่างที่คุณเห็นอยู่ แต่นั่นไม่แปลกอะไรหรอกนะ เพราะเป็นวิถีของการ"ทดลอง" เท่านั้น ซึ่งนักท่องจักรวาลทั้งหลายจะทดลองเข้าสู่ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมือขวาหรือเท้าซ้าย ก็ดี มันจึงเกิดความขัดแย้งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อไรที่มันลงตัวแล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้น ราวกับว่าคุณไม่ต้องทำอะไรเลย? เพราะอะไร? เพราะทุกอย่างเป็นองค์ประกอบของการกระทำอยู่แล้ว มันคือ องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่จะขับเคลื่อนจักรวาลนี้ไปอย่างที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว นั่นเอง หวังว่าคุณจะเข้าใจและเข้าถึงในสิ่งที่ผมได้สื่อสาร ซึ่งอาจเป็นการยากสักหน่อยสำหรับคุณเพราะมันอยู่ในมิติที่สูงมากๆ และคุณจะต้องเลื่อนระดับให้ได้ถึงระดับ "สากลจักรวาล" จริงๆ


17 พ.ค. 2555


"เสียงจากองคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ตัวอ่อนมนุษย์ต่างดาวกำลังพัฒนาการอยู่ในมิติพิเศษ บนโลกมนุษย์?

ที่รัก หลังจากที่เราได้อธิบายถึงโลกของท่านที่ประกอบด้วยมิติย่อยๆ มากมาย และเราได้บอกว่ามันยังไม่ใช่ที่สุดของวิวัฒนาการจนกว่าจะรวมทุกมิติย่อยๆ ให้เป็นโลกหนึ่งเดียวในมิติที่สูงขึ้นไปได้ มาแล้ว ท่านอาจสงสัยว่าเพราะเหตุใด โลกใบนี้จึงต้องมี "มิติย่อยๆ" เกิดขึ้นก่อนที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในมิติที่สูงขึ้น? นี่หละ หัวใจสำคัญของการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนตัวอ่อนที่จะได้รับการพัฒนาแบบเร่งรัดพิเศษในมิติต่างๆ นั้น เพื่อไปสู่ "การกำเนิดใหม่" ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และนั่นก็คือ ส่วนหนึ่งของการเลื่อนระดับเท่านั้นเอง เพื่อให้ท่านเข้าใจโลกในฐานะ "มารดา" ผู้ตั้งครรภ์ เราจะอธิบายถึงมิติที่ทำหน้าที่ "ดั่งครรภ์มารดา" นี้ให้แก่ท่านเอง


ก่อนอื่น เราขอแจ้งแก่ท่านว่าเสียงที่ท่านได้ยินอยู่นี้ ไม่ได้ส่งมาจากที่ไหนอันไกลโพ้น แต่มันใกล้ชิดกับโลกของท่านมาก เราอยู่เคียงข้าง "ไกอา" เทวีผู้ดูแลโลกใบนี้ อย่างที่คุณได้ทราบว่าดาวแต่ละดวงจะมีสิ่งที่เหมือนกับ "จิตวิญญาณ" ของมันอยู่เช่น พระอาทิตย์ ก็จะมี "สุริยเทพ" อยู่ ใช่หรือไม่? เช่นกัน ดาวโลกดวงนี้ก็มี "ไกอา" เธอสงบนิ่งมาก เพราะเธอกำลังตั้งครรภ์ครรภ์ของเธอมีลักษณะที่แตกต่างจากครรภ์ทั่วไป เพราะได้รับการสร้างจากพี่ๆ ของเธอ ให้มีลักษณะพิเศษ เป็นมิติเฉพาะต่างๆ และพวกท่านทั้งหลาย ก็ได้รับการจัดสรรให้ไปอยู่ในมิติย่อยๆ เหล่านั้น เพื่อรอ "ตัวอ่อน" ที่จะประสานเป็นหนึ่งเดียวกับท่านอ้อ อย่าเพิ่งตกใจ คิดว่าเราทำร้ายท่านละ หากท่านยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำเพื่อท่าน เพราะเราไม่เคยบังคับขู่เข็ญท่าน และท่านเองได้เลือกทางเดินนี้มาแต่นานแล้ว เพื่อจะเข้าสู่กระบวนการเลื่อนขั้นสู่สากลจักรวาล เชื่อมต่อกับตัวอ่อนที่เป็นสายพันธุ์ของสากลจักรวาล ซึ่งจะกลายเป็นเพื่อนต่างมิติของท่าน ที่ช่วยให้แนะนำท่านด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การเลื่อนระดับ" ดังนั้น "ไกอา" จึงต้องตั้งครรภ์ และเธอได้เชื้อสายพันธุ์ตัวอ่อนมาจาก "สากลจักรวาล" นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากทีเดียวและเป็นเกียรติ์อย่างสูงของโลกนี้ด้วย ขอให้ท่านร่วมแสดงความยินดีกับเธอด้วยละ เพื่อให้ท่านได้สัมผัสกับเธอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นก่อนอื่นต้องแนะนำก่อนว่า "เธอไม่ใช่พระแม่ธรณี" นะ แต่เธอเป็นเสมือน "จิตวิญญาณของดาวโลกใบนี้" ทั้งใบ ต่างกันอย่างไรละ? อย่างนี้ แม่พระธรณีของท่าน จะดูแลผืนแผ่นดินบางส่วน มีหลายองค์ แยกย้ายกันดูแลไป ผืนแผ่นดินของจีน, ของไทย ของอะไรๆ ที่แยกย่อยได้อีกมากมาย แม่พระธรณีแยกกันดูแลไป ไม่ใช่ดูแลทั่วทั้งโลก การดูแลของไกอาจะดูแลทั้งโลก และไม่ใช่แต่เรื่องของแผ่นดินเท่านั้น ทุกอย่าง, ทุกธาตุ, ทุกขันธ์ ฯลฯ เธอดูแลทั้งหมด


ต่อไป เราจะอธิบายถึงพัฒนาการของ "ตัวอ่อน" ที่ท่านทั้งหลายจะได้รับเมื่อผ่านการเลื่อนระดับถึงจุดหนึ่ง ดังที่ได้กล่าวแล้ว มิติที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่ความผิดที่ต้องทำลาย หรือความถูกต้องที่ต้องยึดเอาไว้ มันก็คือ "ครรภ์มารดา" ที่เพาะเลี้ยงตัวอ่อนให้เติบโตจนพร้อมที่จะคลอดเป็น "ตัวตน" นั่นเอง เมื่อมันคลอดตัวอ่อนทั้งหมดแล้ว มันก็จะ "หมดหน้าที่ของตนเอง" และค่อยๆ สลายไป ก็เท่านั้นดังนั้น มันจึงไม่ใช่ความผิดปกติ หรือความเจ็บป่วยของโลกเลยหละ"ไกอาเธอไม่ได้ป่วยนะ" เธอเพียงแค่กำลังตั้งครรภ์เท่านั้น และเป็นการตั้งครรภ์ครั้งใหญ่ ที่มีเชื้อสายของ "สากลจักรวาล" เข้ามาเท่านั้นเอง ดังนั้น ยามที่เธอแพ้ท้อง ท่านอาจรู้สึกว่าโลกแปรปรวนมากไปโอว อย่าได้ตื่นตกใจ เธอแค่แพ้ท้องเท่านั้น ไม่ได้กำลังจะท้องแตกซะหน่อย ไม่นานนัก เมื่อเธอคลอดตัวอ่อนทั้งหมดแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ดังนั้น ท่านไม่ต้องตกใจ และวิตกกังวลอะไรเลย เพราะนี่ก็เป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ อย่างหนึ่งในกระบวนการทั้งหมด เท่านั้น และไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันเป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ เลย เราหวังว่าท่านเองก็จะร่วมยินดีกับข่าวการตั้งครรภ์ของไกอาร่วมกับเราด้วย ที่รัก ทั้งหลาย


อย่างที่ท่านก็ทราบดี สังขารในโลกนี้มีอายุขัยสั้นมาก และทำให้การพัฒนาของ "พลังงานเชิงซ้อนภายใน" ไม่ถึงจุดสูงสุดได้ ท่านก็จะละสังขารกันก่อนแล้ว ดังนั้น "การพัฒนาตัวอ่อนในมิติเฉพาะ" จึงเป็นสิ่งที่เราตระเตรียมไว้เพื่อการนี้ นั่นเอง นั่นคือ เราได้คำนวณแล้วว่าสังขารของมนุษย์โลกส่วนใหญ่ จะไม่อาจอยู่ได้นานพอที่จะเรียนรู้-เลื่อนระดับถึงระดับสากลจักรวาลได้ จริงอยู่เฉพาะบางท่าน อาจทำได้ นั่นเพราะมีความพิเศษจริงๆ เท่านั้น แต่เราไม่ได้ต้องการแต่คนพิเศษ สิ่งที่เราต้องทำนั้นเกี่ยวข้องกับทุกคนในโลก ดังนั้น เราจึงต้องทำในระดับ "ภาพรวม" การออกแบบ "ครรภ์แห่งโลก" จึงได้เริ่มต้นขึ้น เพื่อรองรับการเข้ามาของ"ตัวอ่อนสายพันธุ์สากลจักรวาล" ที่จะเข้ามาช่วยท่านเชื่อมโยงเข้ากับระดับของสากลจักรวาล และช่วยในการเลื่อนระดับของท่านอีกด้วย ในกระบวนการนี้ เราได้รับการช่วยเหลือจากพี่ๆ ด้วยการสร้าง "มิติพิเศษ" ต่างๆ ขึ้นมา รองรับตัวอ่อนเหล่านั้น เพื่อให้ตัวอ่อนพัฒนาการเร็วลัดเป็นพิเศษ ใช้เวลาน้อยแต่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว แก้ปัญหาอายุขัยของสังขารบนโลกทั้งหลายได้มากทีเดียว ดังนั้น เราจึงต้องใช้วิธีการตั้งครรภ์พิเศษนี้


ตัวอ่อนจะได้รับการพัฒนาในครรภ์ หรือมิติที่ต่างกัน ในรูปแบบที่ต่างกันเพื่อปรับระดับเบื้องต้น ก่อนที่จะเข้าสู่ "หลักสากลจักรวาล อันเป็นหนึ่งเดียวกัน" ดังนั้น ในช่วงเวลาของแต่ละท่านที่ถูกจูนเข้าไปร่วมในกระบวนการนี้ ในมิติที่ต่างกัน ทำให้ท่านได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งมีแนวคิดที่แตกต่างกันอีกด้วย ไม่แปลกถ้าจะเห็นท่านทั้งหลาย ขัดแย้งกันบ้าง หรือปะทะกันบ้าง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราประสงค์ ท่านควรพัฒนาตัวเองในมิติของตนเองให้ดีก่อนที่จะนำข้อมูลข่าวสารเฉพาะในมิติของท่านไปก่อให้เกิดข้อขัดแย้งกับท่านที่อยู่ในมิติอื่นๆ และเมื่อท่านผ่านการยกระดับจากมิติของท่านเข้าสู่ระดับสากลจักรวาล ท่านจะได้รับ "ตัวอ่อนของสากลจักรวาล" แล้ว นั่นแหละ คือ เวลาที่เหมาะสมที่ท่านจะแลกเปลี่ยนมุมมอง, ความคิดต่อกันและกัน เมื่อถึงจุดนั้น ท่านจะเข้าใจถึงความแตกต่างอันเป็นเพียงรายละเอียดส่วนย่อย ซึ่งไม่ได้สำคัญเท่ากับ "ภาพรวมหนึ่งเดียวกัน" เลยดังนั้น ระหว่างการฝึกฝนตนในมิติที่ต่างกันนี้ ขอให้ท่านอดทน อดใจรอก่อน เมื่อตัวอ่อนคลอดสมบูรณ์แล้ว คือ เวลาแห่งการแลกเปลี่ยนของท่าน


"ตัวอ่อน" ที่ท่านจะได้รับจึงเป็นเชื้อสายของ "ไกอา และ สากลจักรวาล" ตัวอ่อนที่อยู่ในมิติที่ท่านมองไม่เห็น จะทำหน้าที่เพียงระดับของพลังงานเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อท่านได้รับแล้ว อาจไม่ได้ยินเสียงของเขา หรือมองตัวตนในระดับวัตถุของเขา เพราะเขาอยู่ในระดับมิติของพลังงานเท่านั้นแต่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาสามารถช่วยท่านได้อย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะท่านที่มีความสามารถในการสื่อสาร, ติดต่อ หรือประสานพลัง เข้ากับตัวตนในมิติของพลังงานจะช่วยให้ท่านทำหน้าที่ได้ตรงทาง ตรงต่อสัจธรรมสากลจักรวาลมากขึ้น และนั่นจะทำให้ดีต่อโลกของท่านและจักรวาลมากขึ้นด้วย ทว่า ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ ที่จะได้รับสิทธิ์นี้ อย่างที่เราแจ้งแก่ท่านแล้วว่า "ท่านต้องเลื่อนระดับ" ตัวเองไปถึงระดับหนึ่งก่อน ท่านจึงจะได้รับ"ตัวอ่อน" นี้ได้ สำหรับท่านที่ไม่ได้รับเราต้องแสดงความเสียใจด้วยเพราะ"ตัวอ่อน" มีจำนวนจำกัด ดังนั้น มีเพียง "มนุษย์ชุดแรกที่ผ่านการคัดสรร" แล้วเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับตัวอ่อนแห่งสากลจักรวาลนี้ได้ โอเค นะครับ!


"พัฒนาการของตัวอ่อน" เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวด และท่านเองนั่นแหละที่จะกำหนดทิศทางของเขา กำหนดอนาคตให้เขาได้ เมื่อเขาคลอดและเติบโตขึ้น พวกเขาส่วนหนึ่งจะกลายเป็น "ตัวตนที่สว่างไสว" และส่วนหนึ่งจะกลายเป็น "ตัวตนที่มืดมน" ยังมีรายละเอียดและประเภทของตัวอ่อนอีกมากมายที่แตกต่างกันไปตามการพัฒนาการนั้นๆ ดังนั้น ขั้นตอนของการพัฒนาการของตัวอ่อนจึงสำคัญมากที่เดียว และท่านมีส่วนในการกำหนดมันทั้งหมด เพราะสิ่งที่ท่านทำ จะก่อตัวเป็นแนวทางกำหนดอนาคตของตัวอ่อนเหล่านี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิด หรือถูกอะไรทั้งสิ้น เพราะมันเป็นไปตาม "เชื้อสายของสากลจักรวาล" ต้นทางบรรพบุรุษของเขานั้นครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ดังนั้น มันจึงเป็นไปได้ทั้งหมดว่าตัวอ่อนจะกำเนิดมาเป็นอย่างไร? อะไร? มืด-สว่าง ก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น ดังนั้น เราจึงอยากแนะนำให้ท่านเป็นพิเศษ เพื่อการเตรียมครรภ์ และจะได้คลอดบุตรแห่งจักรวาลในส่วนที่ท่านประสงค์มากที่สุด คือ ภาคสว่าง นั่นเอง หวังว่าท่านคงเข้าใจในวัตถุประสงค์และความหวังดี ของเรานี้


ที่รัก อย่าเพิ่งเคร่งเครียดเกินไป หากท่านกังวลว่าจะคลอดบุตรที่มืดดำ อย่างไรเสีย "บิดามารดา" ย่อมรักและยอมรับบุตรได้ทุกคน "ไกอา" มารดาของพวกเธอ และ "พระบิดาจักรวาล" บิดาของพวกเธอ ล้วนรักและยอมรับทุกสิ่งของเธอทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใด หรือคนใดที่พระบิดาและพระมารดาจะเกลียดชังเลย แต่ที่เราแนะนำให้ท่านคลอดบุตรภาคสว่างเพราะ "เราเป็นตัวแทนของภาคสว่าง" ที่อยู่เคียงข้างกับไกอา ก็เท่านั้น สำหรับไกอานั้น เธอไม่เคยรังเกียจสิ่งใด หรือคนใดเลย เธอยอมรับและรักทั้งหมด อย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะได้รับการสร้างขึ้นมาอย่างไร? มืดหรือสว่าง สำหรับไกอาและพระบิดาจักรวาลแล้วนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย ท่านตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น และมีครบทุกแบบอยู่แล้ว เพราะนี่คือ "ความจำเป็นของดุลยภาพแห่งจักรวาล" นั้น


ที่รัก เพราะเหตุนี้เอง ทุกท่านที่อยู่ในระดับ "สากลจักรวาล" จึงสื่อสารสอดคล้องกันเสมอว่า "ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก" และ "ท่านเลือกทางเดินของท่านเองได้เสมอ" นั่นคือ มันไม่ผิดอะไรหรอก เพียงแต่ท่านเลือกทางเดินของท่านเอง และท่านก็คือ ผู้รับผิดชอบในการเลือกทางเดินนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ เรา "ตัวแทนภาคสว่างผู้อยู่เคียงข้างไกอา" จึงขอทำหน้าที่ในการแนะนำท่านเฉพาะการดำเนินไปสู่ทางสว่างอย่างเดียวเท่านั้น ทว่า ในขณะที่ "ไกอาและพระบิดาจักรวาล" ไม่ได้ลงมาควบคุมดูแลในส่วนย่อยนี้


ดังนั้น เราจึงต้องเคียงข้างไกอา และช่วยเธอให้กำเนิด "ภาคสว่าง" ออกมาให้มากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ให้กำเนิดที่สมดุลต่อจักรวาลนี้เสมอ โอเค ทำใจให้สบายๆ รีแลกซ์ให้มากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียดมาก ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ แล้วการตั้งครรภ์นั้นจะผ่านไปด้วยดี เมื่อท่านทั้งหลายได้ทำตามคำแนะนำของเราและเพื่อนๆ ของเรา ที่จะค่อยๆ ทยอยกันมาให้คำแนะนำแก่ท่านต่อไปตามวาระอันควร สำหรับเราวันนี้ ขอพักเท่านี้ก่อนครับ



16 พ.ค. 2555


"เสียงจากผู้เคียงข้างไกอา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS