ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ความดีที่เป็นพิษ การครอบงำด้วยความดี พันธนาการแห่งความดี?

กะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ต้องพูด เพราะการครอบงำด้วยความดี และการ ใช้ความดีเป็นอาวุธนี่ ยังไม่จบ ไม่สิ้นซะ ที เอ่อ เลยต้องมาพูดให้ฟัง ไม่น่าเชื่อนะ ความดี ก็ใช้ทำร้ายคน เล่นงานคนได้ละ เอ้า มันเป็นยังไง ลองมาดูกันครับ ...


ความดีที่แท้จริง ต่างจาก ความดีที่ไม่แท้จริง อย่างไร?


อย่างแรกเลย ผมน่ะไม่ปฏิเสธความดีหรอกครับ ถ้ามัน เป็นความดีที่แท้จริง ทำจากใจใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่หวังผล อะไรจากการกระทำความดีนั้นจริงๆ ทว่า เดี๋ยวนี้ มันไม่ ใช่แบบนั้น คนธรรมดา ปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ ที่ไม่ได้ มีอำนาจทางการเมืองอะไร ทำความดีกัน ก็ทำไปอย่าง นั้นๆ แหละครับ นั่นแหละ ทำไปงั้นเองไม่ได้หวังผลอะไร ของมัน คนธรรมดา อย่างเราๆ ท่านๆ นี่ จะไปหวังผลว่า ทำความดี แล้วจะได้ผลอะไรได้ละครับ? เราก็ทำไปโดย ที่แทบไม่ได้คิดด้วยว่าเราทำความดีอะไร หรือบางทีเห็น ความดีของคนอื่นใหญ่มากๆ บดบังความดีของเราไป ก็ มี เราเลยไม่ค่อยได้คิดครับว่านี่ความดีนะ ของเรานะ ไม่ ได้สนใจ คุณเป็นแบบนั้นไหมละ? (ผมคิดว่าก็ใช่แหละ) นั่นแหละ "ความดีที่แท้จริง" ทำก็เหมือนไม่ทำ ดีก็ไม่ใช่ ความดีอะไร ทำไปเปล่าๆ อย่างนั้น ทว่า คนที่มีอำนาจคน ที่ต้องเล่นการเมือง ต้องมีบริวาร ต้องมรพรรคพวกนี่นะ ก็ ทำอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่ได้หรอก เขาทำความดี กันอีกแบบ เรียกว่าทำแล้วต้องโฆษณา ต้องประชาสัมพันธ์ ต้องเอามา ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง อย่างไรบ้าง เดี๋ยวจะเล่า ต่อไปครับ สรุป ตรงนี้ก่อนว่าแยกแยะได้นะครับ ว่าดีที่แท้นี่ มันต่างจาก "ดีที่ไม่แท้จริง" ยังไง? คือ ดีที่แท้นี่ ทำแล้วมัน ก็เหมือนไม่ได้ทำ เหมือนไม่มี เหมือนมองไม่เห็น ทำแล้วว่าง เปล่าไปอย่างนั้น ไม่ทันคิดด้วยว่า นี่ฉันก็ทำความดีหรือเนี่ย?


ความดีที่ไม่แท้จริง เขาเอาไปใช้เป็นอาวุธทางการเมืองได้ยังไง?


ต่อไป ผมจะเล่าถึงว่าการใช้ความดี เป็นอาวุธในทางการเมืองนี่ เขาทำกันอย่างไร? โอ้ย มากมายหลายรูปแบบครับ ผมต้องลอง เปรียบเทียบกับรูปแบบของอาวุธก็แล้วกัน สมมุติว่าพลังความดี มีสีทอง นะ อาวุธนั้นเป็นอาวุธทิพย์มีสีทอง เช่น บ่วงบาศก์สีทอง ก็ใช้ "ผูกมัดคนด้วยความดี" ให้เขาเป็นทาสเราไปตลอด, พลัง สีทอง ก็ใช้ "ครอบงำคนด้วยความดี" คือ แผ่พลังสีทองครอบงำ เลย เช่น การสรรเสริญเยินยอ, การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ คนลุ่มหลงอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง, พลังสีทองแบบมีพิษ เช่น การ ทำความดีต่อเรา แต่ประสงค์ให้เราอ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่เติบโตเป็น ผู้ใหญ่ได้, การใช้ความดีเป็นโล่ห์กำบังหรือเกราะคุ้มตัว แสดงตัว ว่าฉันคือคนดีนะ เธอทำอะไรฉันไม่ได้ จะมีกรรมนะ เป็นต้น นี่แหละ "อาวุธที่เรียกว่าความดี" ละ มันถูกสร้างมาจากพลังจิตที่เรียกว่า ความดี มีสีทองนะ และมีหลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าเขาจะกำหนดให้ มันมีรูปแบบไหน? อย่างที่ได้ยกตัวอย่าง อธิบายไปแล้วนั่นแหละ


"ความดี" หรือ "ความไม่ดี" ไม่ได้อยู่ที่สิ่งนั้น แต่อยู่ที่คนใช้ต่างหาก?


ต่อไป ถ้าผมสมมุติว่ามีคนที่มีพลังจิตด้านดี ก่อรูปทิพย์เป็นอาวุธทิพย์สี ทองอยู่ และอีกคนหนึ่งมีพลังจิตไม่ดี มันสีดำ ก่อตัวเป็นอาวุธทิพย์สีดำ ถามว่า คนสองคนนี้ ดีหรือไม่ดี วัดกันที่ไหนอย่างไร ดูที่เขามีอาวุธชนิด ไหนหรือ? ไม่ใช่หรอก ดูที่ว่าเขาใช้อย่างไรมากกว่า คนเรามีส่วนดีบ้าง ส่วนไม่ดีบ้างในตัว ถ้าใครสักคนมีส่วนไม่ดีบ้าง อาจจะมาก แต่เขาก็ไม่ ได้ใช้มันไปทำร้ายใคร เช่น โกหกเก่ง ปั้นน้ำเป็นตัวได้ วันๆ โม้ไปทั้งวัน แต่ไม่ได้โม้เพื่อทำร้ายใคร ไม่ได้โม้เพื่อหลอกเอาอะไรจากใคร อุปมาก็ เหมือนคนมีอาวุธร้าย เอามาร่ายรำโชว์ แต่หาได้ทำร้ายใครไม่ ตรงกัน ข้าม อีกคน มีอาวุธแห่งความดี มีความดีเป็นอาวุธ แต่เขาใช้ตลอด ไม่มี ว่างเว้น ไม่เคยวางอาวุธ ไม่เคยหยุดที่จะใช้อาวุธเลย เขาใช้ความดีของ เขาเล่นงานให้ผู้คนลุ่มหลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่คนเบื่อแล้ว เข้ามาคุยเรื่อง "วิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ" ยังตามมาครอบงำถึงในนี้ โดยไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหมวดนี้เลย แต่เพราะ "พลังแห่งความดีนี้ ครอบงำรุนแรงมาก" ผู้ดูแลเว็บบอร์ดยังไม่รู้สึก ไม่รู้ตัวว่าโดนเล่นเข้าให้ แล้ว ก็มี นี่ แบบนี้ ไม่นับว่าเป็นความดีที่แท้จริง เพราะอะไร? เพราะเขานั้น ใช้ความดีไปเล่นงานคนอื่น ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม เช่น ในรูปแบบที่ ใช้การประชาสัมพันธ์ครอบงำ เป็นต้น แม้ไม่ได้ออกมาในรูปแบบทำร้าย ก็ ตาม หรือการเข่นฆ่าทำลาย ก็ตาม แต่ก็คือ "รูปแบบหนึ่งของการเล่นงาน คนอื่นด้วยความดี" เช่นกัน นี่แหละที่บอกว่า คนเราวัดความดีกันที่ไหน? ก็ มิใช่เพราะเขามีอาวุธแห่งความดีหรือความชั่วหรอก อาวุธมันไม่ผิด จะผิด ก็ที่ตัวคนนำอาวุธนั้นไปใช้อย่างไร ต่างหาก จึงเรียกว่าเป็นคนดีได้หรือไม่?


คนที่ใช้สิ่งที่ไม่ดีไปในทางที่ดี เช่น ยาพิษ, ยาเสพติด ไม่ใช่คนไม่ดี


ต่อไป ในโลกนี้ยังมีบางคนที่ใช้ของไม่ดี ไปในทางที่ดี เช่น คนที่ใช้ ยาพิษไปรักษาโรคคน เช่น ที่ทำเป็นเซรุ่มต้านพิษงูบางชนิด เป็นต้น หรือบางคนใช้มอร์ฟีนในการรักษาโรคคนด้วยการผ่าตัด ก็มี แบบนี้ เห็นได้ชัดครับว่าเขาไม่ใช่คนเลว เช่นกันยังมีคนอีกมากมายบนโลก ที่เป็นเช่นนี้ ที่ใช้ "สิ่งที่ไม่ดี" ไปในทางที่ดี เพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตัว เอง เช่น ใช้พลังมาร, ใช้พลังด้านมืด, ใช้พลังอสูร, ใช้มนต์ดำ ฯลฯ ไปในทางที่ดี เช่น ใช้เพื่อให้คนตื่นขึ้นแล้วตรงต่อธรรม อย่างพอดีไม่ ได้ทำให้เขาตายไปเลย ก็หาไม่ อันนี้ ผมมองว่าเขาน่าจะเป็นคนดีคน หนึ่ง เช่น การใช้เครื่องควบคุมธรรมชาติ ทำให้เกิดภัยพิบัติ ถ้าเขามิ ได้ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ทำเพื่อให้มนุษย์หันกลับมาดูแล ธรรมชาติและทำให้ธรรมชาติฟื้นตัว ผมเชื่อว่า "เขาก็คือคนดีคนหนึ่ง ได้" นะครับ แม้ว่าสิ่งที่เขานำมาใช้จะถูกเรียกว่า "สิ่งที่ไม่ดี" ก็ตามที เพราะที่สำคัญ มันอยู่ที่ "การใช้" ต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่ของที่ใช้ นั่นเลย


คนที่ใช้สิ่งที่ดีไปในทางที่ไม่ดี เช่น ความดีครอบงำคน ไม่ใช่คนดี


ต่อไป คนที่มีความดีมากๆ หากใช้พลังความดีของตนเองไปเพื่อ ครอบงำผู้คน ก็หาใช่คนดีแล้ว เพราะเขาใช้ความดี ไปในทางที่ไม่ ดี ไงละ อย่าหลงที่พลัง อย่าปล่อยให้พลังนั้นครอบงำคุณ อย่ายอม ให้พลังแห่งความดีนั้น ทำให้คุณลุ่มหลง อย่าหลงความดีมากเกิน ไป เพราะมันอาจทำร้ายคุณอยู่ เพราะมันอาจกำลังครอบงำคุณ ก็ ได้ เพราะคุณอาจกำลังตกเป็นเหยื่อของความดี อยู่ก็ได้ ดังนั้น คุณ จงตื่นขึ้น หลุดพ้นจาก "บ่วงบาศก์แห่งความดี" ที่พันธนาการคุณนี้ เสียทีเถิด เพราะเขาผู้ใช้ความดี ครอบงำ, ผูกมัดคุณนี้ เขาย่อมไม่ ใช่คนดีที่แท้จริงเลย เป็นเพียง ไผ้ดีจอมปลอม" ได้เท่านั้นเอง เพราะ อะไร? เพราะว่าเขาใช้ความดีไปผิดทาง เขาได้รับพลังธรรมชาติให้ มีพลังแห่งความดีแล้ว แต่กลับใช้พลังแห่งความดีนั้นไปเพื่อครอบงำ ผู้คนทั้งหลายให้ยอมสยบต่อเขาโดยดี ใช้พลังแห่งความดีเป็นเกราะ คุ้มกันตัวเองเมื่อเวลาตัวเองทำความผิด ก็ไม่ต้องรับผิด เพราะว่าเขา เป็นคนดี คนไม่ดีก็เลยต้องตายไปซะ ถูกแล้ว ดีแล้ว คนดีฆ่าคนเลวก็ ไม่ผิด เช่นนี้น่ะหรือคนดีที่แท้จริง? เวลาอยากเล่นงานใคร ก็เอาความ เลวมาครอบงำใส่ร้ายเขา ว่าเขาเลว ทหารไปฆ่ามันเลย มันเลว มันทำ ลายประเทศชาติ ฆ่ามันได้เลย ไม่ผิด ไม่บาปอะไรเลย ทำเพื่อชาตินะ แบบนี้น่ะหรือ? คนดี? โอ้แม่เจ้า น่าสงสารมนุษย์โลกที่ยอมง่ายนี่นัก!


"ผลงาน" กับความเป็นคนดี หรือคนไม่ดี นั้น ต้องแยกแยะจากกันให้ชัด


ต่อไป คำว่า "ผลงาน" ก็อย่างหนึ่ง คำว่า "คนดี" ก็อย่างหนึ่ง ต้องแยก แยะออกจากกันให้ชัด เช่น คนดีบางคนอาจไม่มีผลงานอะไรเลย ก็ได้ ก็ เพราะเขาอาจยังไม่มีโอกาสสร้างผลงาน นั่นเอง ในขณะที่คนเลวบางคน ก็อาจมีผลงานได้มากมาย เพราะอะไรครับ? เพราะเขามีโอกาสสร้างผล งาน มีอำนาจในการสร้างผลงานได้ยังไงละครับ เอาละ ดังนั้น ผลงานกับ ความดี จึงเป็นของที่ไม่ใช่อันเดียวกัน คนละสิ่งกันนะครับ ต้องแยกแยะให้ ดีด้วย คนบางคนอาจเป็นคนเลว แต่เขาอาจสร้างผลงานได้ดี มากมายได้ ก็มีครับ คนแบบนี้ก็ควรเลี้ยงไว้ แต่ต้องระวังเขาด้วย เหมือนเลี้ยงเสือ นั่น แหละครับ คนบางคนเป็นคนดีแต่ยังไม่มีผลงานเลยก็ควรเลี้ยงดูไว้เหมือน กัน เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมที่จะให้โอกาสเขาได้สร้างผลงานบ้าง อย่างไร ละครับ เอาละ หวังว่าคงจะแยกให้ออกนะครับ ระหว่างคนที่ไม่ได้ดีจริงแต่ มีผลงานเยอะ มาอวด มาโชว์ มาทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ออกข่าว ให้ เราเห็นเยอะๆ ครอบงำเราไปทุกวันๆ นั้น นั่นก็อย่างหนึ่ง อย่าสับสนกับคน ที่ดีที่แท้จริงละ เพราะมันคนละอย่างกัน คนละคนกันนะครับ พอเข้าใจนะ


นายทำความดี ลูกน้องทำความเลว นี่ก็ต้องแยกแยะจากกันให้ชัด


สุดท้าย คนบางคนเป็นเจ้าคน นายคน ทำความดีโดยไม่หวังผล ก็ มี แต่มีลูกน้องเอาความดีของเจ้านายไปเป็นอาวุธ เล่นงานผู้คนไป หมด เช่น เอาความดีของเจ้านายตนเองไปครอบงำผู้อื่น ตนเองนั้น เป็นขี้ข้า ต้องภักดีต่อนาย มันก็ถูกต้องแล้ว แต่ดันเอาความคิดแบบ ขี้ข้ามาครอบงำประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง ประชาชนเหล่านั้นเขาได้ รายได้จากการทำงานด้วยตัวเอง ไม่ได้อาศัยเงินของเจ้านายคุณที่ จะดำรงชีพแบบขี้ข้าอย่างพวกคุณ แต่พวกคุณกลับเอาความคิดที่ เหมือนขี้ข้านั้นมาครอบงำประชาชน ให้พวกเขาภักดีเหมือนคุณ นี่ มันไม่ถูกต้อง เจ้านายคุณจ่ายเงินเดือนให้คุณ คุณก็ทำงานภักดีไป แต่เขาจ่ายเงินเดือนให้ประชาชนหรือเปล่า? แล้วทำไมประชาชนจะ ต้องไปภักดีกะเจ้านายคุณด้วย? ตรงกันข้าม ถ้ามีใคร จ่ายเงินมาให้ แก่ประชาชน ครั้งละ สามร้อย ห้าร้อย ก็ดี แล้วให้ประชาชนไปชุมนุม ประท้วงเพื่อตัวเขาเอง ถามว่าประชาชนรับเงินไปแล้ว "สมควรไหม ที่จะภักดีต่อคนที่จ่ายเงินเขา?" นี่ ก็ไม่ต่างจากขี้ข้าที่ภักดีเจ้านายดัง เช่น พวกคุณหรอก (บางคนนะจ๊ะ ไม่ได้หมายถึงทุกคนที่อ่านกระทู้) ขอร้อง แยกแยะให้ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความดีครอบงำจนอยุติธรรม


จบ...


15 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"จิตวิญญาณอำมตะแห่งดาวโลก" และการเกิดขึ้นของศาสนาที่มีพระเจ้า?

ฮาโหลๆ เพื่อนๆ นี่ผมไปอ่านเรื่อง ของโธท แห่งแอตแลนติสมา แล้ว ก็คัมภีร์มรกตด้วย ก็เลยสงสัยแล้ว ก็สื่อสารถามท่านที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้น ก็เลยได้คำตอบอะไรบางอย่างมาโม้ ให้ฟังกันอีกแล้วครับท่านผู้ชม เอาละ อย่าช้าเลย เรื่องของโธทและวิหาร ศักดิสิทธิ์แห่งแอตแลนติส รวมทั้งสิ่ง ที่เชื่อมโยงไปสู่การเกิดขึ้นของอียิปต์ อีกด้วย โอ้ว แม่เจ้า ลึกลับจริงๆ ครับ


ก่อนศาสนาที่มีพระเจ้าจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดจิตวิญญาณอำมตะในโลก?


เอาละ ผมจะบอกท่านทั้งหลายว่าก่อนหน้าที่ดาวโลกจะมีศาสนาที่มีพระ เจ้าเกิดขึ้นนั้น โลกอาจมีอารยธรรมอยู่ แต่เรื่องราวทางธรรมของพวกเขา ยังไม่ได้มีรูปแบบเป็นศาสนาที่ชัดเจน มันยังเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้นเอง แต่เขาก็เชื่อเหมือนๆ กันหมดครับ คือ เขามีความเชื่อในจิตวิญญาณ, ใน สิ่งศักดิสิทธิ์, สิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น, ภูติผี-เทพเจ้า ฯลฯ แต่พวกเขายังไม่ มีความรู้เรื่อง "ภพภูมิที่ชัดเจน" ว่าดาวโลกนี้มีภพภูมิอะไรบ้างและมีใคร ที่ดูแลเป็น "เจ้าแห่งภพภูมิหรือเจ้าสวรรค์ชั้นนั้นๆ" แต่พวกเขาหลายคนก็ มีฤทธิ์มาก จิตวิญญาณของพวกเขากล้าแกร่งมาก สามารถถอดออกจาก ร่างแล้วดำรงอยู่เป็นอำมตะได้ โดยทิ้งร่างเก่าที่สิ้นสภาพแล้ว ไปสู่ร่างใหม่ คือ ร่างมนุษย์คนอื่นๆ ได้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่า "ชีวิตอำมตะ" ในแบบของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะไม่ไปไหนจากดาวโลกนี้ ดังนั้น เมื่อเขา ตายลงจึงไม่ไปเกิดยังสวรรค์ ไม่ใช่เกิดเป็นคนใหม่ในชาติภพใหม่ ทว่า ก็ ยังคงดำรงอยู่ในรูปนามแห่งจิตวิญญาณอำมตะนั้นดังเดิมครับพวกเขาไม่ ทราบว่านิพพานคืออะไร แน่นอนว่าจิตวิญญาณของพวกเขายังไม่นิพพาน และเป็นอำมตะอยู่ยังไม่ตาย ไม่เกิดสู่ภพใหม่ เขาอยู่ระหว่างภพสองภพที่ ไม่ใช่ทั้งโลกและสวรรค์ (ซึ่งไม่ใช่นรกด้วย) แล้วเขาก็เลือกหาร่างใหม่ๆ ของมนุษย์บนโลกไปเรื่อยๆ ทว่า พวกเขาไม่ใช่ซาตาน ไม่ใช่พวกมืดครับ ผมขอเรียกว่าเป็น "พลังคลาสสิค" ก็แล้วกัน ซึ่งมีหลายแบบ ถ้าพวกเขา ยอมตาย ก็จะเกิดใหม่ในภพสวรรค์ที่สูงมาก เป็นเทพต่างๆ เช่น สุริยเทพ, นารายณ์ ฯลฯ ได้เลยครับ ทว่า พวกเขาไม่ยอมตาย จึงมีจิตวิญญาณซึ่ง จรออกจากร่างก่อน ทิ้งร่างที่กำลังตายไปหาร่างใหม่เพื่อชีวิตอำมตะครับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "โธท" ผู้สื่อบอกคัมภีร์มรกต แห่งแอตแลนติสด้วยครับ


จิตวิญญาณอำมตะในโลก ทำให้ต้องมีศาสนาที่มีพระเจ้าเกิดขึ้น?


ต่อไป คำถามคือ ทำไมจึงต้องมีศาสนาที่มีพระเจ้าเกิดขึ้นในโลก? เพราะว่าโลกของเรามี "เจ้าสวรรค์แห่งโลกสวรรค์ทั้งหกชั้น" อยู่ แล้ว แต่พระเจ้าในศาสนาต่างๆ "ท่านประจำอยู่ต่างดาว" เหตุผล ทำไมเราไม่เอาแต่เจ้าแห่งสวรรค์ของโลก ก็พอ ทำไมต้องให้มีเจ้า แห่งดาวอื่นมาสร้างศาสนานั้นๆ ด้วย? (พระเจ้า) คำตอบก็คือด้วย มีมนุษย์โบราณในโลกนี้ ที่มี "ระดับของจิตวิญญาณขั้นสูง" สูงไป เกินกว่าศาสนาในยุคนั้นจะรองรับได้ ถ้าพวกเขาตายลงจะไปเกิดใน มิติที่สูงกว่าสวรรค์ทั้งหกชั้นของโลก คือ ไปพรหมโลกธาตุบ้าง, ไป สุขาวดีโลกธาตุบ้าง ฯลฯ เรียกว่าไปนอกโลก ไปดาวอื่น นั่นเอง ทว่า ในยุคนั้น ศาสนาบนโลกไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขามีจิตวิญญาณ ที่สูงเกินไปกว่าศาสนาจะบอกทางแก่เขา อีกทั้งพวกเขายังมีฤทธิ์ทำ ให้ดำรงอยู่อย่าง "จิตวิญญาณอำมตะ" บนดาวโลกนี้ได้อีก ทำให้ใน ที่สุด ศาสนาที่เล่าเรื่องราวของพระเจ้าแห่งดาวอื่นที่สูงขึ้นกว่าโลกนี้ จำต้องลงมาบอกเรื่องราวแก่พวกเขา เพื่อรองรับพวกเขาไปจากโลก ไปยังที่ๆ พวกเขาควรจะไป ไม่ใช่ค้างคาอยู่บนโลกอย่างนี้ตลอดไป!


จิตวิญญาณอำมตะเหล่านั้นจำต้องผ่านการตายก่อน จึงไปสู่ภพใหม่ได้


ต่อไป คือ จิตวิญญาณเหล่านี้ เริ่มจากความต้องการมีอำนาจเหนือความ ตาย จึงได้ฝึกวิชาฤทธิ์ขั้นสูง ให้ไม่ต้องตาย คือ ร่างกายเนื้อเน่าตายไป แต่จิตวิญญาณของพวกเขายังไม่ตาย? อ้าวเป็นไปได้ยังไง ร่างตายแต่ จิตวิญญาณไม่ตาย? โธ่ ไม่ยากเลย พอใกล้ตายใช่มั้ย พวกเขาก็จะทำ การถอดจิตวิญญาณออกจากร่าง ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาไม่ถูก สลาย ไม่ตาย ไม่เกิดใหม่ ยังคงเดิม ความทรงจำ, สัญญาขันธ์ ก็ไม่ถูก ล้างลบออกไป ยังยึดติดอยู่กับเรื่องเดิม เช่น เป็นคนยุคแอตแลนติส ก็จะ ยึดติดและจดจำเรื่องเดิมๆ นั้น แท้จริงแล้ว "ความตายคือประตูเปิดสู่มิติ ใหม่" ทำให้พวกเขาได้ชีวิตใหม่ เริ่มต้นใหม่ อย่างเหมาะสม จะได้ไม่ไป จดจำอดีตเดิมๆ มากเกินไป นั่นคือ "หน้าที่ของความตาย" แต่พวกเขา ไม่ยอมตาย ไม่ยอมผ่านกระบวนการตาย จิตวิญญาณของพวกเขาถอด ออกจากร่างโดยไม่ผ่านการตาย แล้วสามารถประสานเข้าร่างมนุษย์คน ใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้พวกเขาดำรงอยู่ได้ด้วยวิธีแบบนี้เอง พวกเขาจึงกลายเป็น "จิตวิญญาณอำมตะประจำดาวโลก" ที่ผมเรียก ว่า "กลุ่มพลังคลาสสิค" ไม่ใช่ทั้งภาคมืด และภาคสว่างอย่างแท้จริง ก็ ถ้าเขาจะเป็นภาคสว่างอย่างแท้จริง พวกเขาต้องยอมรับความตาย ต้อง ตายก่อนเพื่อเกิดใหม่ในภพสวรรค์ ไปพบพระเจ้าประจำสวรรค์นั้นๆ แล้ว (หรือเจ้าสวรรค์ชั้นนั้นๆ) จึงค่อย "รับกิจจากเจ้าสวรรค์" ลงมาทำกิจยัง โลก ถึงจะถูกตามกฏสวรรค์นะครับ แต่พวกเขา ตัดสินใจเลือกชีวิตอำมตะ ในแบบของพวกเขาเองทำให้ไม่ผ่าน "เจ้าสวรรค์ชั้นใดๆ" รับรองเลยครับ


"การชำระล้างและการสร้างใหม่" ช่วยให้จิตวิญญาณอำมตะหลุดพ้น


ต่อไป จิตวิญญาณอำมตะที่ตกค้างอยู่ในดาวโลกเหล่านี้ จะได้รับการ ชำระล้างและสร้างใหม่ ซึ่งต้องการกระบวนการตายในร่างของมนุษย์ พวกเขาก็จะกลายเป็นชีวิตใหม่ที่พร้อมไปสู่ภพภูมิใหม่แล้วครับ นี่คือ วิธีการปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นไปจากพันธนาการของดาวโลก ดวงนี้ ไปสู่ดวงดาวที่เขาควรจะไป ไปสู่อ้อมกอดแห่งพระเจ้าที่แท้จริง เพราะพวกเขายังไม่ถึงวาระที่จะนิพพาน พวกเขาก็ยังต้องไปสู่พระเจ้า และจะได้รับ "ชีวิตนิรันด์" ที่ถูกต้องเสียทีครับ ดังนั้น จึงต้องมีร่างของ มนุษย์ที่จะรองรับ "จิตวิญญาณอำมตะ" เหล่านี้ เช่น จิตวิญญาณโธท ผู้รจนาคัมภีร์มรกต แล้วสลายจิตวิญญาณเขา เพื่อให้เขาผ่านการตาย ให้ได้เกิดใหม่ (สร้างใหม่) ก็จะสำเร็จได้ครับ ในกระบวนการสร้างใหม่ หรือการเกิดใหม่ของจิตวิญญาณอำมตะแห่งดาวโลกเหล่านี้ พวกเขาก็ จะได้รับ "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์" นี้ด้วยครับ เพื่อให้เขากลายเป็นชีวิต ใหม่อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจิตวิญญาณอำมตะที่อยู่ในดาวโลกเหล่านี้ มีมาก มายครับ ตกค้างอยู่เยอะทีเดียวแม้ว่าพวกเขาไม่ใช่ภาคมืดก็ตามนะครับ เช่น พวกเขาอาจเคยเป็นฤษี ที่มีฤทธิ์มาก มีพลังจิตมาก พอตายแล้วเขา อาจยึดมั่นในตำรา, ของขลัง, ถ้ำ, สมบัติอะไรๆ ก็แล้วแต่ ฯลฯ พวกเขา ก็จะตกค้างเป็นจิตวิญญาณอำมตะที่ยังไม่ผ่านการตาย ก็ดี หรือผ่านการ ตายแล้วแต่ไม่ยอมจุติเคลื่อนไปยังภพภูมิที่ถูกต้อง ก็ดีครับ เมื่อพระพุทธ ศาสนานำปัญญาที่แท้จริงมาสู่โลกแล้ว มีพระโพธิสัตว์ลงมาโปรดสัตว์ก็ มากมาย เราก็สามารถนำทางจิตวิญญาณเหล่านี้ได้ครับเพื่อเคลื่อนย้าย "จิตวิญญาณ" ที่ตกค้างของพวกเขาไปยังภพภูมิที่ถูกต้องเสียที ทว่านี่ ไม่ใช่งานที่ง่ายนักนะครับ เพราะเราจำจะต้องมีอำนาจจิตที่เหนือกว่าเขา จึงจะทำให้จิตวิญญาณเหล่านี้ ยอมเชื่อ, ไววางใจ และให้เรานำทางได้


จิตวิญญาณอำมตะเหล่านี้ บ้างก็มีอายุมากกว่าลูซิเฟอร์เสียอีก?


ต่อไป เมื่อพระเจ้าทรงทราบเรื่องของจิตวิญญาณอำมตะบนดาว โลกนี้แล้ว ท่านจึงปล่อยให้ลูซิเฟอร์ก่อเรื่องราวบนสวรรค์ครับ ก็ พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง การที่จะห้าม หรือขัดขวางลูซิเฟอร์ ก่อนเขา จะทำอะไรลงไปนั้น "ก็ย่อมได้แน่นอนครับ" ทว่า ท่านก็ปล่อยไป ตามธรรมชาติ แล้วลูซิเฟอร์ก็ทำผิดกฏสวรรค์ ไม่ยอมรับทัณฑ์ก็ หนีลงมายังโลก นั่นคือแผนการณ์ของพระเจ้าที่จะให้เทพสวรรค์ ลงมายังโลก เพื่อดึงเอาจิตวิญญาณอำมตะที่อยู่บนโลกยาวนาน เหล่านี้ ขึ้นไปเสียที (แล้วลูซิเฟอร์ก็อยู่บนโลกแทนที่ไป อย่างนั้น มังครับ?) เป็นการปรับเปลี่ยนพลังงานที่เก่าแก่มากๆ ของโลกให้ มีผู้รับช่วงต่อไป เป็นกลุ่มใหม่ นั่นเอง ดังนั้น จิตวิญญาณเก่าแก่ที่ อยู่มาก่อนลูซิเฟอร์นี้ จึงมีทั้งฤทธิ์เดชและความรู้มากกว่าลูซิเฟอร์ ซะอีกครับ อุปมาก็เหมือนพระเจ้าใช้ลูซิเฟอร์เป็นปลาเล็ก เพื่อล่อ ปลาใหญ่ (พวกจิตวิญญาณอำมตะในดาวโลก) มาติดกับ นั่นเอง


จิตวิญญาณในร่างกายเรามีหลายตัวตน ไปเกิดหรือเข้าร่างคนอื่นก็ได้?


ต่อไป คือ จิตวิญญาณในร่างกายของเรามีหลายตัวตน สามารถที่จะให้ บางตัวตนไปเกิดก่อนที่เราจะตาย ๑ ปี ก็ได้ เพื่อให้เขากลายเป็น "ตุลกู" หรือ "ร่างใหม่" รอไว้ล่วงหน้าก่อน ก็ได้ หรือจะให้ไปอยู่เป็นภูติประจำที่ ร่างสังขารอื่นๆ ก็ได้ เพื่อใช้ร่างนั้นทำหน้าที่บางอย่างแทนเรา เป็นต้น นี่ คือ วิชาที่โธทเอง ก็บอกไว้ในคัมภีร์มรกต ทว่า เมื่อเราปล่อยจิตวิญญาณ หนึ่งดวงออกจากร่างไปอยู่ในร่างอื่นแล้ว พลังปราณภายในร่างเราจะลด ลง ทำให้สุขภาพแย่ลงหรือป่วยได้ ดังนั้น เราต้องทำการเสริมพลังปราณ ภายในให้กลับคืนมาเท่าเดิม ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีบอกไว้ในคัมภีร์ มรกต แต่ท่านอาจค้นพบในตำราอื่นๆ นี่คือ สิ่งที่ต้องทำ ต้องมีคู่กัน เพราะ การ "ถ่ายทอดจิตวิญญาณสู่ร่างผู้อื่น" ก็อาจทำให้อายุขัยท่านลดลง จน ถึงขั้นตายได้ในเวลาไม่นาน ถ้าท่านต้องการยืดอายุขัยของท่าน ก็ต้องไป รับเอา "จิตวิญญาณที่ตกค้างในโลก" มาเสริมร่างกายท่านต่อไป ซึ่งหาก ท่านไปรับเอาจิตวิญญาณมนุษย์มา ท่านก็จะทำร้ายมนุษย์คนนั้นให้มีอายุ ขัยสั้นลง จนอาจถึงแก่ความตายได้ (ผลไม่ต่างจากมหาเวทย์ดูดดาว) นี่ จึงเป็นเหตุให้ท่านควรใช้จิตวิญญาณที่ไม่ใช่มนุษย์ และเมื่อท่านได้เสริม อายุขัยตัวเองด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ท่านก็จะอยู่ในสภาพกึ่ง คนกึ่งปีศาจ ดังนั้น ท่านต้องทำการชำระล้างจิตวิญญาณนั้นๆ ให้เกิดใหม่ อีกด้วย จึงจะทำให้จิตวิญญาณดวงนั้นกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และทำ ให้ท่านกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งได้ โฮ่ วิธีการยาวจริงๆ ครับ (วิธีการส่วนหลังนี้ ในคัมภัร์มรกต ก็ไม่มีบอกไว้นะครับ มีอยู่ในที่อื่นอีกที)


เมื่อท่านมีอายุยืนยาวแล้ว ก็ควรไม่แก่ และมีเงินใช้ด้วยนะคร้าบ...


สุดท้าย เมื่อท่านสำเร็จวิชาต่ออายุขัยด้วยการเสริมด้วยจิตวิญญาณ ดังกล่าวแล้ว ได้ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แล้ว ก็ยังมีปัญหาอีกว่าแล้ว เมื่ออายุมากๆ ไม่แก่แย่หรือ? ดังนั้น ท่านจำต้องฝึกวิชาอำมฤติอีกนะ คือ วิชาที่ทำให้ร่างกายไม่แก่เฒ่า เหมือนเราหยุดอายุตัวเองไว้ ไม่มี มากไปกว่านั้นได้ หรือเคลื่อนวนย้อนกลับมาสู่ความเป็นเด็กอีกครั้ง ก็ ยังได้ นั่นแหละ ทีนี้ พอไม่แก่ ไม่ตายแล้ว ก็ต้องมีเงินใช้ ใช่ไหมครับ? เพราะถ้าอยู่ไปนานๆ บนโลกแบบไม่มีเงินใช้ แถมต้องทำงานหนักไป ตลอดชีวิต ก็สู้ตายๆ ไปซะดีกว่า ฮ่าๆๆๆ ขึ้นสวรรค์ดีกว่าใช่มั้ยละครับ ถ้าจะอยู่นานๆ บนโลก ก็ต้อง "มีเงินใช้ด้วย" ซึ่งผมแนะนำพลังไซย่า ให้คุณ เพราะมันเป็นพลังที่ทำให้คุณมีเงินใช้ โดยไม่ต้องทำงานอะไร มากมาย ถ้ามีเงินใช้เพราะทำงานหนักทั้งวัน อันนี้ ตายไปสวรรค์ดีกว่า คุณว่ามั้ยละครับ? เอาละ ที่ผมบอกมาทั้งหมดนี้ เหมาะกะคนบางคนที่ น้อยมากๆ ที่สมควรอยู่บนโลกนี้นานๆ โดยไม่กระทบโลกนักเท่านั้นเอง คนที่อยู่นานๆ แล้วสร้างผลกระทบโลกมาก ก็อย่าอยู่นานเลย ตายๆ ไป ซะเหอะ ว่ะ ฮ่าๆๆๆ (อย่ามีทัศนคติเชิงลบกับความตายละเดี๋ยวจะกลาย เป็นจิตวิญญาณอำมตะประจำดาวโลก ไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิใหม่ซะที)


จบได้แย้ววววว ...


13 ต.ค. 2555

"เสียงจากจิตอำมตะ"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ยิ่งฝึกยิ่งเพี้ยน ไม่ต้องไปฝึกอะไรทั้งนั้น (เคล็ดลับวรยุทธ์ของหลวงจีนกวาดลาน)

ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาสาระ ผมแนะนำก่อนว่า นี่เป็นเคล็ดลับการฝึกจิต ให้มีพลังภายในที่ ดีที่สุด เจ๋งที่สุดเลย จากหลวงจีนกวาดลาน หรือหลวงจีนนิรนาม ในเรื่อง ๘ เทพอสูรมัง กรฟ้า นั่นเอง หลักการฝึกงานมากครับ คือ "ฝึกโดยไม่ฝึก - ปฏิบัติโดยไม่ปฏิบัติ" นั่น แหละ เคล็ดลับของท่านละ วันนี้ ผมเลยเอา มาเล่าให้ฟังกันครับ


ทำไม ยิ่งฝึกกลับยิ่งเพี้ยน พอไม่ฝึกแล้วกลับสำเร็จได้ละ?


อ่า ถ้าคุณเคยอ่านหรือดูหนังกำลังภายในเรื่องแปดเทพอสูร มังกรฟ้ามาแล้วละก็ ก็คงจะทราบว่าในเรื่องนั้น มีคนอยู่สอง คนที่แอบขโมยอ่านคัมภีร์ของเส้าหลินไปมากมาย เอาไปฝึก จนเก่งเลย ทว่า เขาทั้งสองคนกลับต้องได้รับผลกระทบข้าง เคียงจากการฝึกนั้น เพราะอะไรละครับ? ก็เพราะอะไรที่มัน ไม่ใช่ธรรมชาติ มันก็จะขัดแย้งกับธรรมชาติแล้วมันก็จะเล่น งานธรรมชาติภายในเราภายหลัง นั่นเอง อาทิเช่น การที่ไป ฝึกลมหายใจ กำหนดให้มันเข้าหรือว่าออกให้มันเป็นยังไงก็ ช่างเถอะ ล้วนไม่เป็นไปตามธรรมชาติปกติของมนุษย์ แม้ว่า มันจะทำให้คุณได้ฤทธิ์, ได้อภิญญา, ได้อะไรๆ ที่พิเศษมาก็ ตาม ทว่า สิ่งที่คิดขึ้น, ทำขึ้น, กำหนดขึ้น อย่างไม่เป็นธรรม ชาติ นี้เอง ที่กลายเป็นผลร้ายทำลายผู้ฝึกในภายหลังเอง ? ทว่า ในคนที่เข้าใจจริงๆ ไม่ต้องฝึกอะไร ก็เหมือนฝึกอยู่ทุก วัน ทุกเวลา ดังนั้น หลวงจีนกวาดลานที่เอาแต่กวาดลานวัด ไปวันๆ เหมือนไม่ได้ฝึกยุทธ์อะไรกับใครเลย จึงกลายเป็นผู้ ที่มีพลังวัตรสูงสุดได้โดยไม่มีปัญหาอะไรจากการฝึกนั้นเลย


ใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ไม่ได้ฝึกอะไร ก็ได้ผลได้เช่นกัน?


ต่อไป การฝึกโดยไม่ฝึก, ปฏิบัติโดยไม่ปฏิบัติ นี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ เมื่อบุคคลมีปัญญาเข้าใจในธรรมะ ธรรมชาติจริงๆ เมื่อนั้นแม้ว่า เขาจะไม่ได้ฝึกอะไรเลย แค่ใช้ชีวิตปกติตามธรรมชาติ กลับเป็น ว่าเขาฝึกอยู่ทุกขณะจิต, ทุกเวลา นี่ต่างจากคนที่ฝึกอย่างมีรูป แบบ ที่พวกนั้น จะมีเวลาฝึกและเวลาที่ไม่ได้ฝึกอยู่ ดังนั้น เวลา ในหนึ่งวันของเขาจึงไม่ได้ฝึกตลอดเวลา แต่ละวันที่เสียไปของ เขาจึงถูกลดทอนลงไปโดย "ช่วงเวลาที่ไม่ได้ฝึก" ดังนั้น เวลา ของผู้ที่ฝึกโดยไม่ฝึกนี้ จึงยาวนานกว่า พลังวัตรสะสมที่ได้ย่อม จะมากกว่าเป็นธรรมดา อีกทั้งการฝึกโดยไม่ฝึกนี้ กลับทำให้ไม่ ผิดธรรมชาติ, ไม่เสียสมดุลเดิม ของธรรมชาติไป จึงไม่เกิดผล กระทบด้านลบต่อผู้ฝึกพลังจิต, พลังภายใน, พลังปราณใดเลย


ธรรมชาติจัดสรรให้ทุกคนได้รับการฝึกที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดใหม่


ต่อไป คือ ธรรมชาติได้จัดสรรให้มนุษย์ได้รับการฝึกที่เหมาะสมกับภารกิจ ของเขาอยู่แล้ว โดยไม่ต้องไปคิดค้นวิธีการฝึก, รูปแบบการฝึก ฯลฯ อะไร ใดๆ อีกเลย ถ้าเราเข้าใจธรรมชาตินี้ได้ เราก็จะพัฒนาไปได้เอง โดยไม่ใช้ การฝึกอะไรเลยก็ได้ อย่างที่หลายท่านทราบดีแล้วว่าโลกได้รับการเปลี่ยน แปลงอะไรหลายอย่าง ให้ได้รับพลังจักรวาลมากมาย และพลังเหล่านี้เอง ก็ขับเคลื่อนมนุษย์ให้ได้รับการฝึกอย่างเป็นธรรมชาติ ไปในตัวเองแล้วด้วย มันจึงไม่ต้องมีการฝึกแบบใดๆ รูปแบบการปฏิบัติ หรือการทำสมาธิในแบบ ใดๆ เลย เมื่อบุคคลเข้าใจ ถึงตรงนี้ได้ ก็จะไหลไปตามธรรมชาติ และได้รับ พลังธรรมชาติโดยไม่ต้องฝึก ทั้งยังได้รับอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลาด้วย


จักรวาลได้ออกแบบ "โลก" นี้ให้กลายเป็นสนามฝึกพิเศษทุกที่, ทุกเวลา


ต่อไป คือ จักรวาลได้ออกแบบโลกไว้อย่างดีและสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้มวล มนุษย์ได้รับการฝึกตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการฝึกแบบใดอีก ไม่ต้อง คิดค้นวิธีการฝึกจิต, ฝึกตน, ฝึกสมาธิ ฯลฯ อะไรขึ้นมาเลย ทุกอย่างล้วน เป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว มันดำเนินอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อใดที่คน ออกห่างจากธรรมะ ธรรมชาติ เขาก็เหมือนหยุดฝึก หรือฝึกผิดทางไปเอง ทำให้แทนที่จะพัฒนาและยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นได้ กลับกลายเป็นต้อง เสียโอกาสดีๆ ที่จะได้รับการฝึกนั้นๆ ได้รับพลังพิเศษไปได้ในที่สุด นั่นเอง ทุกอย่างในโลกขณะนี้ ดีอยู่แล้ว, พร้อมอยู่แล้ว, สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่เว้น แม้แต่เมื่อเกิดภัยพิบัติ นั่นก็คือ แบบแผนการฝึกอย่างหนึ่งจากจักรวาลนี้ เช่นกัน ดังนั้น ผมจึงกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าไม่ต้องไปคิดค้นหรือหาวิธี การฝึกพลัง, ฝึกจิต, ฝึกตน ฯลฯ อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องเลย เพราะมันมี อยู่แล้ว และเตรียมไว้ให้อย่างดีแล้วทั้งสิ้น เพียงคุณเห็นและเข้าใจมันเอง เท่านั้นก็พอ เมื่อคุณอยู่ในกระบวนการฝึกนี้ได้ตลอด คุณก็จะก้าวหน้าเอง


เมื่อฝึกผิดจนเกิดปัญหา จึงต้องเกิดวิชาฟอกไขกระดูก เปลี่ยนเส้นเอ็น


ต่อไป คือ คุณคงเคยได้ยินสุดยอดวิชาเส้าหลิน เปลี่ยนเส้นเอ็นและฟอก ไขกระดูก บ้างใช่ไหมครับ นั่นแหละ วิชาที่เอาไว้ใช้ล้างผลของการฝึกที่ ผิดทาง อย่างที่คุณเห็นในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าที่หลวงจีนกวาดลาน ได้ใช้วิชาบางอย่าง ทำให้คนที่ผิดวิชาไปผิดๆ ตายแล้วเกิดใหม่ ล้างวิชา ที่ฝึกมาผิดๆ นั้น (ซึ่งก็คือ อวิชชา นั่นเอง) เพราะพวกเขาฝึกแล้วทำให้มี ผลกระทบข้างเคียง ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ดังนั้น จึงต้องใช้วิชาเปลี่ยนเส้น เอ็น ฟอกไขกระดูก ในการล้างพิษอันเป็นผลจากการฝึกเหล่านั้นเสีย หาก พวกเขาไม่ได้ฝึกผิดเพี้ยนไป เขาก็ไม่ต้องพึ่งพาวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น, ฟอก ไขกระดูก นั้นเลย ดังนั้น ผมจึงสรุปไว้ว่าฝึกโดยไม่ต้องฝึก, ปฏิบัติโดยไม่ ต้องปฏิบัติ เพราะในยุคสมัยนี้ ยากที่จะหาใครมาแก้ไขผลร้ายอันเกิดจาก การฝึกที่ผิดพลาดของท่านได้ เพราะไม่มีผู้สืบทอดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นและ วิชาฟอกไขกระดูกในระดับที่สามารถรักษาให้ท่านได้ง่ายๆ อีกแล้ว นั่นเอง


การฝึกจิตที่ผิดพลาด อาจไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย แต่จิตใจก็...


ต่อไป คือ การฝึกจิตที่ผิดพลาดนั้น แม้ว่าบางอย่างไม่ส่งผลกระทบ ต่อร่างกาย ก็ตาม ทว่า ก็อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ เช่น ทำให้มี ความหลง คิดว่าตนเองได้บรรลุอรหันต์แล้ว ก็มีได้ เป็นได้ ทั้งยังอาจ ส่งผลกระทบต่อไปอีกถึงขั้น ทำให้มีพฤติกรรม การดำรงชีพที่เพี้ยน ไปจากเดิมได้ ซึ่งในสมัยโบราณคนมากมายอยากได้ฤทธิ์เดช เมื่อมี วิชา ฝึกแล้วได้ฤทธิ์เดชได้จริง ทว่า กลับต้องได้รับผลข้างเคียงตาม มาด้วยเสมอ ดังนั้น การฝึกที่ดีที่สุด จึงกลายเป็นการไม่ฝึกอะไรเลย แต่ใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมะ ธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ก็จะกลาย เป็นการฝึกตลอดเวลา ทุกวัน ทุกสถานที่ได้ แม้แต่ในยามที่นอนหลับ ก็กลายเป็นการฝึกพลังจิตได้เช่นกัน นี่แหละคือเคล็ดลับที่สำคัญที่สุด


"ดาวฤษี" ดาวแห่งดาบส, การฝึกตน, การสอนสมาธิ แต่ไม่ใช่ที่สุด?


สุดท้าย คือ การฝึกตน ก็ดี, ฝึกจิต ก็ดี, ฝึกสมาธิ ก็ดี ฯลฯ ล้วนมาจาก พลังของดาวฤษี ทั้งสิ้น ซึ่งพลังของดาวดวงนี้ ไม่ใช่พลังอันเป็นที่สุด เลย แต่จะทำให้ท่านที่ถูกพลังนี้ครอบงำต้องปฏิบัติอะไรมากมายไปซะ หมด พลังของดาวฤษีนั้น ยังไม่สูงเท่าพลังของดาวสุริยะเลย ทั้งยังไม่ อาจไปเทียบได้กับดาวไซย่าด้วย ดังนั้น จึงไม่ต้องเอ่ยถึงนิพพาน ด้วย พลังของดาวฤษีนี้ ยังไม่ได้นิพพาน ยังไม่ใช่นิพพานนี่เอง แต่จะนำพา ท่าน "ไปติดดาว" คือ ไปจุติและดำรงอยู่ในดาวฤษีนี้ ยาวนานนักหนา ไม่ได้มีความก้าวหน้าในธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งนี่ก็ไม่ได้ผิดหรือถูกอะไร เป็นเพียงธรรมะ ธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่ผมได้เอามาเล่าให้ได้ ฟังกันว่าเมื่อสร้างเหตุอย่างนี้ๆ ไว้แล้วผลจะออกมาอย่างไรก็เท่านั้นเอง


12 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ไม่ได้โม้นะ! ความไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ห่วยแตก ของใครๆ นั้น มันยอดอยู่แล้วพวกเอ้ย

เฮ้นี่ มีใครกำลังคิดอยากจะทำให้ความ ไม่ดีในตัวเองทั้งหลาย ความไม่ได้เรื่อง ความห่วยแตก ฯลฯ ทั้งหลายในตัวเอง หมด หายไป บ้างหรือเปล่า? หรือใครที่ พยายามขจัดมันออกไปบ้างไหม? เช่น พยายามขจัดความทุกข์, ความเครียด, ความหมองเศร้า, ความหม่นหมอง ฯลฯ ออกไปอะไรแบบนั้น ไม่น่า พวกเอ้ย เอ็ง คิดผิดแล้ว ทุกอย่างมันคือธรรมะ ธรรม ชาติ อย่าไปปฏิเสธตัวเองเล้ย เอ็งน่ะ มี ความเลว, ทุเรศ, ห่วยแตก, ไม่ได้เรื่อง อะไรต่อมิอะไร ก็ช่าง นั่นแหละ ยอมรับ สิ่งที่ตัวเองเป็นซะ ทั้งหมด ทุกอย่างน่ะ แหละ เพาะอะไรละ? แหม ของดีทั้งนั้น เดี๋ยวจะโม้ให้ฟังแบบซุปเปอร์เม้าท์เลย


ตัวตนหลากมิติของคุณอาจกลายเป็นทาสซาตาน เมื่อคุณปฏิเสธมัน?


เฮ้แล้วฉันไปปฏิเสธมันตอนไหนละ? อ้าวก็ตอนที่เอ็งปฏิเสธส่วนที่ไม่ดี ในตัวเองน่ะแหละ เช่น ปฏิเสธความทุกข์, ความเศร้าหมองของตนเอง ที่ไหนได้ละ ความทุกข์ความเศร้าหมองนี่ มันมีที่มาจาก "ตัวตนหลาก มิติของคุณเอง" เมื่อคุณปฏิเสธมัน คุณอาจสูญเสียตัวตนในระดับจิต วิญญาณแก่ซาตานไปแล้วได้สิ่งอื่นที่คุณต้องการมาแทนเช่น ได้ตัวตน ที่ดูแฮปปี้มากๆ ทว่า คุณไมได้บรรลุธรรมอะไรหรอกนะ มันก็แค่เปลี่ยน ตัวตนต่างมิติเท่านั้น และแย่ไปกว่านั้นคือ ตัวตนของคุณแต่เดิมที่มีความ หม่นหมองนั้น กลายเป็นทาสซาตานไปแล้ว เพราะคุณยอมให้มันไปเอง เขาเลยเอาไป คุณต้องการความสุขผ่องใส คุณก็ได้รับมา แต่ทว่า มันก็ มาจากตัวตนในโลกมืดที่แฮปปี้มากๆ เท่านั้นเอง แต่มันไม่ใช่ของดี หรือ ตัวตนที่บรรลุธรรม สว่างไสวอะไรหรอกนะ มันก็แค่ "ตัวตลกตัวหนึ่ง" ที่ ทำให้คุณขำๆ ได้ก็เท่านั้นเอง นี่หละ ผมจึงเริ่มต้นด้วยการเตือนคุณว่ามิ ควรที่คุณจะปฏิเสธ "ความไม่ดีหรืออะไรๆ ในตัวของคุณเองเลย" โอเค?


"พระอรหันต์จอมปลอม" ถูกปั้นโดยซาตาน เมื่อเขาปฏิเสธกิเลสตัวเอง


มันไม่จบแค่นั้นนะซาร่าห์ เพราะคนมากมายที่อยากได้อรหันต์และคิดจะ ตัดกิเลส หรือทำให้มันหมดไปนั้น พอเขาเพียรพยายามแรกๆ มันยังไม่มี อะไรเข้าตาซาตาน เขาก็ไม่สนใจ รอก่อน รอให้มันพยายามต่อไป ให้มัน มีบารมีมากอีกหน่อย โตพอเก็บเกี่ยวได้อีกหน่อย พอได้ที่ละ ซาตานก็จะ แลกเปลี่ยนให้ โดยเอา "จิตภาคแบ่งส่วนที่มีกิเลส" ไปเป็นทาสในภพมืด แล้วเอาตัวตนที่เป็นบริวารโลกมืดเข้ามาแทนที่ ให้มีหัวโขนที่ดูเหมือนกับ พระอรหันต์เลย เขาก็เลย "ปั้นพระอรหันต์ได้" อย่างไรละ? นั่นน่ะ ไม่ใช่ พระอรหันต์อะไรหรอก แค่คนที่แลกเปลี่ยนจิตวิญญาณกะซาตานไปโดย ที่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง พอสูญเสียจิตวิญญาณภาคแบ่งส่วนที่มีกิเลสไป ก็ เหลือแต่ส่วนที่ใสบริสุทธิ์มากๆ ไร้กิเลส ก็เลยคิดว่าบรรลุธรรมละตูแล้วก็ ตามมาด้วยการ "ถูกแทรกด้วย จิตวิญญาณฤษี ภาคมืด" ทำให้หลงคิด ไปว่า "ฉันบรรลุได้ด้วยมรรควิธี, ด้วยสมาธิ, ด้วยเหตุนั้นเหตุนี้ฯ" ไม่น่ะ ซาร่าห์นั่นมันไม่ใช่วิถีการบรรลุธรรมอะไรเลย นิพพานไม่มีเหตุเกิดได้นะ ถ้านิพพานมีเหตุเกิดได้ มันก็ต้องดับได้ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาตรัสเรื่อง นี้ชัดเจน พระอัสสชิก็บอกแก่พระสารีบุตรแต่แรกพบเลย นิพพานนั้นมัน ไม่มีเหตุเกิด แล้วใครจะไปสร้างเหตุเพื่อให้เกิด ให้ได้นิพพานได้เล่า ใน เมื่อมันเป็นเช่นนั้นเอง มานานแล้ว ไม่ใช่แต่ในอดีตเท่านั้น ไม่ว่าปัจจุบัน หรืออนาคต ก็เหมือนเดิม เช่นเดิมเช่นนั้น ไม่ขึ้นกับกาลและสถานที่ใดๆ อีกด้วย คือ ไม่ต้องนั่งขี่ม้าไปเมืองนิพพานที่ไหนหรอกจ๊ะ มันไม่ได้ขึ้นกะ ภพอยู่แล้ว มันจะหาที่ หาบริเวณ หาอาณาเขต หาเมือง หาสวรรค์วิมาน อะไรได้ที่ไหนกะนิพพานเล่า? โอ้ย มีสาระมากไป ขอโทษๆ ไม่ได้เจตนา


คนมีปัญญาเขายอมรับทุกอย่างได้ทั้งนั้นแหละ ใครสอนให้ปฏิเสธกิเลส?


อาวละ คนที่มีปัญญาเขาจะเห็นชัดว่า "ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมะ ธรรมชาติ" ทีนี้ เมื่อเขายอมรับในธรรมะ ธรรมชาติ เขาจะไปปฏิเสธ หรือไม่เอาอะไรงั้น หรือ? ไม่เลย แม้แต่กิเลส, อวิชชา, ทุกข์, ขันธ์ห้า ฯลฯ อะไรต่อมิอะไร นั้น ก็ธรรมะ ธรรมชาติทั้งนั้น คนมีปัญญาก็คือคนที่ยอมรับความจริงครับ แล้ว อะไรคือความจริงละ? แหม ทุกอย่างมันก็จริงหมดแหละ เพียงแต่มันจริงที่ มิติไหน? จริงแบบใด? เช่น จริงแบบโลกๆ, จริงแบบสมมุติๆ, จริงตามฝัน, จริงตามจินตนาการ, จริงตามการโกหก หรือว่าจริงแบบวิมุติ ฯลฯ อาวละ มันก็จริงกันทั้งนั้น เพียงแต่เป็น "ความจริงในมิติที่ต่างกัน ก็เท่านั้นเอง" ก็ ไต่ระดับไปให้เลยระดับมิติที่ ๕ ก่อนนะจ๊ะ แล้วจะเข้าใจความจริงในแบบนี้ เองละจ้า ดังนั้น การเริ่มต้นไปอ่านตำรา เขาว่ามาว่ากิเลสไม่ดี เป็นของทำ ให้เกิดผลเลวร้ายอะไร? มันก็เกิดทัศนคติเชิงลบ เอนเอียงไปแล้ว แล้วมัน ก็เอาจุดเริ่มต้นจาก อวิชชา จากความเอนเอียงนี้แหละ ไปปฏิบัติ มันก็เลย เข้าทางซาตานซะเลย มันไม่ใช่ "มรรค" ที่แท้จริงหรอก ตื่นได้แล้วนะจ๊ะ!


ยอมรับซะเหอะ เราต่างก็มีตัวตนที่บ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ กันทั้งนั้น


อาวละ ทีนี้ ตัวตนในมิติต่างๆ ของคุณๆ ทั้งหลายนั้น ถูกพระผู้สร้าง สร้างมาให้ครบองค์ทุกมิติ เพื่อให้คุณเข้าใจเพื่อนมนุษย์ทุกคน และ ทุกแบบ ดังนั้น เราทุกคนจึงมี "ตัวตนทุกแบบทุกมิติ" ไม่ว่าจะเป็นตัว ตนที่บ้า, ที่หลง, ที่ห่วยแตก, ที่เลว, ที่มืดมน ฯลฯ เรามีกันหมด และ มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะมาชำระล้างตัวตนในมิติต่างๆ เพื่อรวบรวม ตัวตนของเราให้เป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่า The one ซึ่งทุกคนสามารถ เป็น The one ได้ ในแบบของตัวเอง เมื่อเขาคนนั้นได้ทำหน้าที่รวบ รวมเศษตัวตนอื่นๆ ในมิติต่างๆ ของตัวเองให้เป็นหนึ่งได้ เขาก็จะเป็น The one ได้ ในแบบของเขาเองได้ แต่ถ้าเราปฏิเสธสิ่งไม่ดีในตัวตน ของเรา เราก็จะสูญเสียตัวตนที่ไม่ดีนั้นไป ทว่า ตัวตนนั้นไม่ดีจริงๆ แค่ ไหน? เช่น เทพหมู อาจไม่ดีที่ขี้เกียจ, เอาแต่กินกับนอน ทว่า เขาก็มี ความเป็นเทพและมีข้อดีอะไรอีกมากมาย ถ้าคุณเสียเขาไปแล้วคุณก็ จะสูญเสียส่วนดีของเขาไปด้วย และนั่น ก็ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาหรือ บรรลุธรรมอะไรเลย เป็นวิถีของคนโง่ที่เสียอะไรไปยังไม่รู้ตัวตะหากละ


ถึงเวลาใช้ "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" อย่างผู้มีปัญญากันแล้ว


อาวละ ทีนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะหันมาใช้ทุกอย่างที่เราได้รับมาจากธรรม ชาติของเรา อย่างผู้มีปัญญา คำว่าอย่างผู้มีปัญญานั้น ย่อมใช้อย่างมี สติ มีปัญญา ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป มีคำกล่าวว่า "ถ่อมตนเกิน ไปคือ ความทนงตนอย่างหนึ่ง" นั่นแหละ อะไรที่มันมากเกินไปหรือว่า น้อยเกินไป มันก็ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาทั้งนั้น แม้แต่ความดี, ความมี เมตตา ถ้ามากเกินไป ก็กลายเป็น "ตรงข้ามได้" นะจ๊ะ เช่น ถ้าแม่นั้น รักลูกมากเกินไป อาจทำให้เด็กอ่อนแอ นั่นกลายเป็นว่าแม่ทำร้ายเด็ก ก็ได้? โอเค? มันมากเกินไปไงละ มันไม่พอดีไงละ นั่นแหละ ความดีก็ มีพิษได้เหมือนดีนกยูงไงล่ะ ทีนี้ เมื่อมีปัญญาแล้วก็เห็นชัดอย่างนั้นว่า ทุกสรรพสิ่งก็คือ ธรรมะ ธรรมชาติ อยู่แล้ว เป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว หามี ความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บวก, ลบ ฯลฯ ในสิ่งนั้นๆ เองไม่ มันคือ ธรรมะ ธรรมชาติล้วนๆ ที่บริสุทธิ์ในตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งให้มี ความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บวก, ลบ ฯลฯ อะไรๆ อีก มันก็จบสมบูรณ์แล้ว


"ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วนเป็นธรรมชาติที่มีหน้าที่ของมันเอง


เอาละ ทีนี้ "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ทั้งหลาย ก็ล้วนเป็นธรรมะ, ธรรมชาติที่มีหน้าที่ของมันเอง มีเหตุผลในตัวเอง ที่มันต้องมี, ต้องเกิด, หรือว่าต้องดับไป ก็ตามที เป็นเช่นนี้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องให้คน ไปทำกรรมให้มัน "เกิดขึ้นหรือดับไป" ก็หาไม่ นั่นคือ ไม่ใช่หน้าที่อะไร? ที่เราจะต้องไปทำให้อะไรมันดับเลย เราไม่จำเป็นจะต้องไปตัดกิเลส หรือ ว่าทำกรรมอะไรให้อะไรมันสิ้นไป สูญไปเลย เพราะมันก็เป็นของไม่เที่ยง อยู่ในตัวมันเองแล้วทั้งนั้น มันเป็นธรรมะ เป็นอนิจจัง เป็นตัวที่เกิด แล้วมัน ก็เป็นตัวที่ดับ จบของมันเอง ทุกอย่างมันก็แค่ลีลาทางธรรมะ ธรรมชาติที่ มองเปลือกนอกแล้วเห็นสมมุติเป็น "มายาหลอกหลอนเกิด-ดับ" วนเวียน ไปอยู่นั่น ทั้งหมดที่เห็นนี้ "ล้วนไม่ใช่วิมุติ ล้วนไม่ใช่นิพพาน" มันเป็นแค่ เปลือกนอก เป็นแค่สมมุติ เป็นแค่ภาพมายา หาใช่ความจริงแท้ไม่ ก็เท่านี้ แท้แล้วมันจริงอยู่แล้วทั้งนั้น แท้แล้วมันนิพพานอยู่ในตัวเอง อนิจจังอยู่ใน ตัวมันเอง ทุกอย่างอยู่แล้วทั้งนั้น ไม่ใช่สาระอะไรที่เราต้องไปทำกรรมใดๆ ให้มันเป็นอะไร อย่างไรไปเลย พระพุทธเจ้าก็แค่แสดงสิ่งที่เป็นจริงอยู่แล้ว มันก็จริงอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย มันก็จริงของมันอย่างนั้น แล้วนี่เราจะต้องไปทำอะไรๆ กะมันอีกเล่า? ในเมื่อมันก็เป็นธรรมอยู่แล้วนี่


"ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วนมีค่า ขายให้ซาตานได้ทั้งนั้น?


สุดท้าย อยากจะเตือนท่านไว้ว่า "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วน มีคุณค่าในตัวมันเอง เฉกเช่นเดียวกันกับคนบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ ก็ มีคุณค่าในตัวเองเช่นกัน และมันก็ขายให้ซาตานได้ด้วยละ เช่น ถ้าคุณ ไม่อยากได้ความเหลวไหลห่วยแตกแล้ว คุณเอาไปขายให้ซาตาน มันก็ จะเอาตัวตนส่วนที่มีความเหลวไหลห่วยแตกของคุณไป ไม่ว่าตัวตนนั้นๆ จะอยู่ในมิติใดก็ตาม แล้วคุณก็อาจได้สิ่งที่คุณต้องการมาได้ จากการได้ แลกเปลี่ยนกันครั้งนั้น ดังนั้น ถ้าคุณยังไม่ต้องการให้ตัวตนหลากหลาย มิติของคุณต้องลงไปกองรวมกันที่ "ภพมืด" ละก็ คุณก็ควรระวังการไม่ ยอมรับใน "ข้อด้อย, จุดอ่อน, สิ่งไม่ดี" ในตัวคุณเองด้วย เพราะสิ่งเหล่า นี้ "ล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันในทุกมิติ" แม้ว่าการกระทำของคุณนี้ จะปรากฏเฉพาะในมิติของคุณ แต่มันมีผลแน่นอนในทุกๆ มิติ รวมทั้งตัว ตนอื่นๆ ของคุณด้วย ที่อาจตกเป็นเหยื่อของคุณเองได้ แน่นอนว่ามันอาจ ทำให้ตัวตนปัจจุบันของคุณได้อะไรมามากมาย อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมี จะเป็นไปได้ เช่น คุณอาจชนะคดีได้โดยที่ไม่น่าเชื่อเลย อะไรแบบนี้ ทว่า คุณกำลังสูญเสียตัวตนในหลากหลายมิติของคุณไปทีละตัวตนๆ หรือไม่?


จบซะที..


11 ต.ค. 2555

"เสียงจากสามประสาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จักรวาลจะสร้าง "มนุษย์ต้นแบบ" ของมวลมนุษย์มาก่อนคือ The one นั้นคือใคร?

พี่น้องครับ พี่น้องทั้งหลาย ผมมีเรื่องจะบอกว่า ในการสร้างมวลมนุษย์ทั้งหลายนั้น จักรวาลจะ สร้าง "มนุษย์ต้นแบบ" ขึ้นมาก่อน ๑ คนเท่านั้น ที่ดีที่สุด แล้วจากนั้น เมื่อสำเร็จดีแล้ว มวลมนุษย์ ทั้งหลายก็จะอาศัยมนุษย์ต้นแบบ (The one) คนนั้นเป็นแบบอย่างต่อไป อาวละ วันนี้ เราก็มา คุยเรื่องนี้กันเลยเหอะ ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้กันแล้ว


จักรวาลเลือก "พระอาภาโพธิสัตว์และพระศรีอาร์ฯ" เป็นมนุษย์ต้นแบบ?


สรุปเลยละกัน ยุคนี้ จักรวาลเลือก "พระมหาโพธิสัตว์อาภา" เป็นต้นแบบ ของมวลมนุษย์ทั้งหมด และให้ภาคหนึ่ง ตัวตนหนึ่งของท่านลงมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนตัวตนอื่นๆ จะตามมาทำหน้าที่เป็นต้นแบบมนุษย์ใน รูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าครับ ทว่า เรื่องของเรื่องมันมีปัญหาครับ คือ พระอาภาโพธิสัตว์ท่านมีบารมีไม่มาก ท่านจะไปได้ถึงเพียงจุดหนึ่งก็ จะทำหน้าที่ต่อไม่ได้ ท่านมาได้เท่านั้น ทำได้แค่นั้น เหมือนครั้งอธิษฐาน แลกเปลี่ยนดอกบัวนั่นแหละ พระอาภาฯ เลือกดอกบัวบานแล้วไปก่อนแต่ มันบานไม่นานก็เหี่ยวครับ เป็นนิมิตหมายให้รู้ว่าแม้ท่านจะได้รับพลังนั้น ไปก่อน แต่มันจะอยู่ได้ไม่นาน ท่านก็จะต้อง "ส่งทอดต่อให้พระศรีอาร์ฯ" ไม่เช่นนั้นกำลังบารมีของท่านจะเอาไม่อยู่ สถานการณ์จะร้ายแรงเกินไป กว่าที่ท่านจะดูแลได้ครับ เรื่องของเรื่องเป็นแบบนี้ เลยทำให้มนุษย์ตัวตน แรกที่จะได้รับ "ต้นแบบพลังงานจากจักรวาล" จึงเป็นพระอาภาโพธิสัตว์ และจะมีพระศรีอาร์ฯ มารับช่วงต่อไป หลังจากนั้นครับ (จนจบตลอดยุคนี้)


"พระอาภาฯ และพระศรีอาร์ฯ" ก็มีหลายตัวตน แล้วมันตัวไหนกันล่ะ?


สรุปเลยละกัน "ตัวตนในมิติแห่งจักรวาล" ครับ แม้ว่าตัวตนของท่าน จะมีหลายตัวตนมากมายก็จริง ทว่า แต่ละตัวตนประจำอยู่ในมิติที่ไม่ เหมือนกัน ต่างกันไปครับ ดังนั้น ตัวตนที่ทำหน้าที่เป็นต้นแบบมนุษย์ และจะได้รับ "พลังจักรวาลที่ดีที่สุด" ก่อนใครๆ ก็คือตัวตนในมิติแห่ง จักรวาล นั่นเอง นั่นหมายความว่า ตัวตนนั้นๆ จะต้องไต่ระดับขึ้นไปให้ ถึงระดับจักรวาลให้ได้ จึงจะได้รับพลังนั้นและกลายเป็นต้นแบบของ มวลมนุษย์ในยุคนี้ได้ครับ นี่แหละ วิธีเลือก, วิธีสร้างมนุษย์ของพระผู้ สร้าง ท่านจะต้องทดลองและเลือกที่ดีที่สุดก่อน ๑ คนแล้วจึงจะขยาย ไปยังคนอื่นๆ จำนวนมากต่อไปครับ สำหรับตัวตนอื่นๆ ที่ไม่อาจจะไต่ ระดับไปถึงจักรวาลได้ก็จะไปทำหน้าที่ในมิติอื่นๆ ครับเช่น ในมิติของ ประเทศชาติก็ดี, ในมิติของนานาชาติก็ดี ฯลฯ ซึ่งจะยังไม่ถึงมิติของ จักรวาลครับ อ้าวละ ทีนี้ "ตัวตน" ของพระมหาโพธิสัตว์อาภา ก็จะมี มาเกิดเรื่อยๆ เพราะ "ตัวตนภาคสว่าง-ตัวตนที่สูงขึ้น" จะอยู่เป็นสิ่งที่ เรียกว่า "จิตอำมตะ" นี้ ไม่นิพพานยาวนาน และจะแบ่งภาคส่วนของ พลังลงมาเรื่อยๆ ครับ เพื่อให้ได้ตัวตนที่ทำหน้าที่ต่างๆ กันไปอย่างทั่ว ถึงครับ ไม่ต่างจากตัวตนของพระศรีอาร์ฯ เหมือนกัน ในที่สุดของการ บำเพ็ญบารมี จักรวาลก็จะเลือกเขาทั้งสองให้ได้รับรู้เรื่องราวของจักร วาลครับ เพื่อเตรียมพร้อมร่างสังขารตัวตนนั้นๆ ให้กลายเป็นตัวตนต้น แบบของมวลมนุษย์ (The one) ในยุคสมัยนี้ นั่นเอง (ทั้งสององค์ฯ)


"พระอาภาฯ" จะถูกเลือกก่อน แล้ว "พระศรีอาร์ฯ" จะรับช่วงต่อภายหลัง


สรุปเลยละกัน พระมหาโพธิสัตว์อาภา จะได้รับเลือกให้ได้รับพลังจักรวาล "ต้นแบบของยุค" ไปก่อน ซึ่งจะเป็นพลังจักรวาลที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่ สุดของมนุษย์โลกครับ แต่ต่อมา ท่านจะทำกิจไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ ก็จะมีคน ที่สองมารับช่วงต่อไปซึ่งก็คือ "พระมหาโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตรัย" นั่นเอง ดังนั้น ผู้ที่ดูออกว่าต้นแบบของมนุษย์คือใคร และจะรับช่วงต่อจากใครได้ก็ ต้องเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยแน่นอน เพราะคนอื่นไม่อาจทราบได้ และไม่มี ความสามารถที่จะรองรับพลังจักรวาลนั้นๆ ได้ ในช่วงแรกพระอาภาฯ จะมี พลังอำนาจมากมาก่อน แต่ช่วงหลังท่านจะมีกำลังลดลงและไปต่อไม่ไหว เมื่อนั้นพระศรีอาร์ฯ จะปรากฏมารองรับพลังจักรวาลนั้นๆ แล้วนำพาไปต่อ เอง ซึ่งมีมากมายหลายสายนะครับ พลังจักรวาลแต่ละสายมีหน้าที่ต่างกัน ทำให้คนที่ได้รับได้รับภารกิจที่ต่างกันด้วย ท่านก็จะไต่ระดับไป จากพลังที่ ไม่สูงมากไปยังพลังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ครับ นั่นหมายความว่าท่านจะได้พบกับ ตัวตนของพระอาภาฯ โพธิสัตว์แต่ละตัวตน ในมิติที่ต่างกัน เพื่อที่จะรับเอา พลังจักรวาลที่มีในแต่ละตัวตน ไปทำหน้าที่ต่อ จนหมดวาระ ก็เลื่อนระดับ ไปสู่ตัวตนและพลังงานในระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นเอง (ถ้าทำได้นะ)


แม้แต่ "พระศรีอาร์ฯ" ก็อาจจะสลับตัวตน กันทำหน้าที่ของกันและกันได้


สรุปเลยละกันว่า แม้แต่พระอาภาฯ หรือพระศรีอาร์ฯ เอง ก็อาจจะมีการ สลับตัวตน ในการทำหน้าที่กันได้ เช่น ตัวตนหนึ่งเคยรับพลังดาวมฤตยู มาก่อน แล้วไปต่อไม่ไหว ทำงานต่อไม่ไหว ก็อาจจะต้องส่งพลังทอดต่อ ให้ตัวตนอื่น ทำหน้าที่แทนตัวเองต่อไป ดังนั้น ตัวตนบางตัวตน อาจเคย มีพลังอำนาจมาก ต่อมา ก็อาจจะสูญสิ้นพลังอำนาจที่มีแต่เดิมนั้นไปได้ ครับ โดยก่อนที่จะสูญเสียไปนั้น จะมี "ตัวตนอีกตัวของตน" ที่เข้ามารับ พลังจักรวาลนั้นไปต่อ พร้อมกับปฏิบัติภารกิจแทนต่อไปครับ ทว่า ไม่ใช่ แต่ตัวตนของเขาเอง แม้แต่ตัวตนอื่นๆ เช่น ตัวตนของนางแก้ว บางองค์ ก็สามารถมารับไม้ต่อ ทำงานต่อได้นะครับ เหมือนการวิ่งผลัด มีการส่ง ไม้ต่อกัน นั่นแหละ หรือบางครั้งพระศรีอาร์ฯ อาจจะส่งไม้ต่อทอดให้แก่ พระโพธิสัตว์องค์อื่น ที่มีความพร้อม มีความเหมาะสมที่จะรับและรับได้ ก็ได้ครับ ทว่า ผู้ที่ถ่ายทอดพลังพิเศษให้คนอื่นแล้วไม่ได้เลื่อนระดับขึ้น ก็จะเสี่ยงที่จะได้รับภัย และอาจถึงตายได้ครับ ส่วนคนที่ยังไขว่คว้าหา พลังงานใหม่มาแทนที่ของเก่าได้ ก็จะไม่เป็นอะไรครับ ยิ่งถ้าพัฒนาขึ้น ไปได้รับพลังงานที่สูงขึ้นได้ ก็จะยกระดับตัวเองไปได้เรื่อยๆ ครับ ซึ่งจะ ต้องยอมปลดปล่อยพลังงานเก่าของตน ให้แก่ผู้สืบทอดหรือผู้รับกิจซึ่ง จะทำหน้าที่แทนต่อไปด้วยนะครับ จึงจะถ่ายทอดและเปลี่ยนพลังสำเร็จ


อย่ามัวหลงสิ่งหลอกล่อทางโลก คุณอาจกลายเป็นผู้รับสืบทอดก็ได้


สรุปเลยละกันว่า "มันไม่แน่ไม่นอนหรอก" ทุกอย่างไม่เที่ยง เปลี่ยน แปลงได้ คนที่เคยได้รับพลังจักรวาล ก็ดี, ได้รับการเลือก ก็ดี ฯลฯ ก็ เปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น ดังนั้น ขอให้คุณตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเถอะ คุณก็ จะได้รับพลังจักรวาลที่ดี ได้รับการถ่ายทอดจากคนดีๆ ได้ ถ้าคุณไม่ หลงสิ่งหลอกล่อยั่วยุไปเสียก่อน คุณก็จะรักษาระดับของคุณไว้ได้ มี แต่จะไต่ระดับสูงขึ้นครับ แต่ถ้าคุณหลงออกนอกทางไปเสียก่อนละก็ ก็จะไม่ได้ไต่ระดับไปสูงขึ้นก็จะไม่ทราบอะไรที่เหนือกว่านั้นกว่าที่คุณ เคยเข้าใจได้ครับ และมันหมายถึงการเดินทางอันยาวไกลของคุณใน จักรวาลนี้ด้วย เหมือนการวิ่งแข่งนั่นแหละ คุณอาจไปได้ไกลมากๆ ก็ จะมีโอกาสได้พักเหนื่อยได้ ในขณะใครบางคนหลงออกนอกเส้นทาง ก็จะยิ่งห่างไกลออกไปจากเป้าหมายแต่เดิมครับ และผมอยากจะบอก ว่า "ตลอดเส้นทางเดินนี้" มีสิ่งหลอกล่อยั่วยุมากมายอยู่ตลอดทั้งสอง ข้างทาง คือ ทั้งฝ่ายที่เป็นลบและฝ่ายที่เป็นบวกครับ แล้วแต่ว่าจะหลง ออกไปฝั่งไหน ทางฝั่งที่เป็นลบหรือฝั่งที่เป็นบวก ที่เข้ามาทดสอบครับ


ผู้ที่ได้รับ "เศษพลัง" กับ "ศูนย์กลางพลัง" นั้นแตกต่างกันอย่างไร?


สรุปเลยละกันว่า มันต่างกันมากครับ คนที่ได้รับเศษพลังมีมากมายก็ ไม่ใช่ The one ครับ อันนี้มีมากได้ เหมือนได้รับโจทย์เล้กๆ ไปลอง ก่อน ถ้าสอบผ่านก็จะได้เข้าใกล้ศูนย์กลางพลังไปเรื่อยๆ ครับ แต่ถ้า ไม่เวิร์กแล้ว ก็จะสูญเสียพลังนั้นไปครับ โดยคนที่มี "ศูนย์กลางพลัง" จะมาดึงดูด รองรับ รวมเอา เศษพลังเล็กน้อยทั้งหลายไปครับ ซึ่งไม่ ใช่การดูดพลังนะครับ แต่เป็นไปตามธรรมชาติจัดสรร ดังนั้น หลาย คนที่รู้สึกเหมือนว่าถูกดูดพลัง เสียพลังให้คนอื่น ก็ควรเข้าใจด้วยว่า บางครั้ง อาจเพราะ "มีศูนย์กลางพลัง" มาดึงดูดและรับเองเศษพลัง เหล่านั้นไปรวมกันครับ แล้วคนที่เป็นศูนย์กลางพลังได้เรื่อยๆ เมื่อได้ เก็บรวบรวมเศษพลังทั้งหมด ก็จะกลายเป็น The one สำหรับพลัง ชนิดนั้นๆ ครับ พอเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับ เพราะพระผู้สร้างไม่อาจล่วง รู้ได้ว่ามนุษย์ทุกตัวตนที่ท่านสร้าง จะลิขิตชีวิตตัวเองไปตามที่ท่านมี ท่านให้ไว้หรือไม่? เพราะท่านสร้างให้ทุกตัวตนเลือกทางเดินเองได้ ก็จะทำให้ท่านไม่ทราบผลอันนี้ ท่านจึงต้องทดลองกับตัวตนหลายๆ ตัวตนครับ โดยการให้เศษพลังเหล่านั้นมาเป็นโจทย์กับหลายตัวตน ก่อน เมื่อผ่านการทดสอบหมดแล้ว ก็จะเก็บเศษพลังคืน จึงเกิดมี เป็น The one ขึ้นมาไงละครับ แล้วในบรรดา The one นี้ จะมีเพียง ๑ คนเท่านั้นที่เป็น Super นะครับ เรียกว่า Super the one ก็ได้มั้ง?


แม้แต่พลังองค์เทพก็มี "เศษพลัง" กับ "ศูนย์กลางพลัง" เหมือนกัน?


สุดท้ายสรุปว่า แม้แต่พลังองค์เทพก็มีแบบเศษพลังและแบบศูนย์กลาง พลังครับ เช่น เทพกวนอู ท่านอาจไปพบว่าทำไมมีคนทรงเยอะจัง แล้ว ร่างทรงไหนที่เป็นของจริง? เอาละ ของจริงอาจไม่ได้มีทั้งหมด ทุกคน ก็มีจริงบ้าง, เท็จบ้าง ทว่า ของจริงอาจไม่ได้มีเพียง ๑ คนนะครับ แบบ ว่ามันมีทั้งที่แบบ "เศษพลังเล็กๆ" และแบบ "ศูนย์กลางพลัง" อยู่ด้วย ไงครับ บางคนอาจได้รับเศษพลังของเทพกวนอูแต่บางคนอาจเป็นศูนย์ กลางพลังของเทพกวนอู ก็ได้ครับ นี่คือ ข้อแตกต่างกันอีกประการหนึ่ง ในกรณีนี้บางคนก็ทำหน้าที่ "รวบรวมเศษพลัง" ด้วยครับ ขอเรียกง่ายๆ ว่าเป็น "คนรวมญาณ" ก็แล้วกัน เช่น บางคนอาจรวบรวมญาณขององค์ พระนเรศวรอยู่ อะไรแบบนี้ก็มีได้ เป็นไปได้ครับ และเมื่อเขารวบรวมญาณ เหล่านั้นได้หมดแล้ว เขาก็จะกลายเป็น ร่างฯ พระนเรศวรแบบ The one นั่นเอง นี่เรียกว่าการ "เคลียร์เศษญาณที่ตกค้าง" อย่างหนึ่ง นั่นเองครับ เอาละ จบก่อนดีกว่า ...


10 ต.ค. 2555

"เสียงจาก The one"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เคล็ดลับพ่อรวยสอนลูกเป็น "เศรษฐี" โดยไม่ต้องเหนื่อยยากด้วยพลังไซย่า?

เอาละ ผมคิดว่ายุคนี้ คงไม่มีอะไร ที่คนอยากจะเป็นกันมากไปกว่าได้ เป็นเศรษฐีมีเงินทองเยอะๆ มังครับ ที่ทำงานกันทุกวันนี้ เหนื่อยยากกัน ทุกวันนี้ ก็เพื่อเงิน ก็เพื่อความร่ำรวย ไม่ใช่หรือครับ ถ้าอย่างนั้น ก็มาคุย กันเรื่องนี้เลย ตรงประเด็นที่สุดว่ามั้ย ผมเลยขอเสนอกระทู้รวยด้วยพลัง ไซย่า รวยโดยไม่ต้องเหนื่อยยาก ครับ ให้ท่านทั้งหลายโดยเฉพาะ!


จงใช้ "ความร่ำรวยเป็นเศรษฐีด้วยพลังไซย่า" เป็นมรรคของคุณ?


อย่างแรกเลย ผมต้องขอบอกก่อนว่าการตั้งใจไปสู่ความร่ำรวยเป็น เศรษฐีด้วยพลังไซย่านี้ ไม่ได้ขวางการเข้าถึงธรรมของคุณเลย มัน จะเป็นเหมือนกุศโลบายที่ใช้ได้จริง ตอบโจทย์ในชีวิตจริงของคุณ และมีอะไรมากมาย คอยเอื้อหรือช่วยคุณในเรื่องธรรม มันจึงไม่ใช่ ความหลงนะครับ มันเป็นการใช้ "กิเลสเป็นโพธิ" สำหรับผู้มีปัญญา แล้ว เขาย่อมเห็นกิเลสเป็นธรรมะ ธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนไม่ถึงธรรม ไม่มีปัญญา ก็ใช้กิเลสไม่เป็น ตกเป็นทาสของกิเลส ส่วนคนมีธรรมก็ ใช้กิเลสเป็น เท่านั้นเอง นี่แหละ ธรรมะที่มีความเป็นกลาง พอดี ไม่มี ภาวะสุดโต่งไปทางบวก หรือลบเกินไป ไม่ใช่ไปปฏิเสธความร่ำรวย, หรือหลงใหลความร่ำรวยเกินไป โอเค? ดังนั้น การพุ่งเป้าไปสู่ความ ร่ำรวยด้วยพลังไซย่า จึงเป็นเครื่องหลอกล่อที่ไม่ทำให้คุณหลงออก ไปนอกทางธรรมหรอกครับ มันจะดีแค่ไหน? ถ้าคุณเจริญทั้งทางโลก และทางธรรมคู่กันไปด้วย นั่นแหละ พลังไซย่าที่ผมจะแนะนำคุณครับ


ความร่ำรวยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการก่อกรรมใดๆ แต่มาจากพลังไซย่า


ต่อไป ผมจะไม่แนะนำให้คุณไปทำกรรมอะไรทั้งนั้น คุณจะทำกรรม อะไรไปมากมายให้มันเหนื่อยยากทำไม? ในเมื่อทุกเวลา ทุกวินาที ของคุณ มันมีค่าในตัวมันเอง ดุจทองคำอยู่แล้ว ถ้าคุณเริ่มต้นคิดว่า จะใช้เวลาในชีวิตเท่าไรก็แล้วแต่ ทำกรรมด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ จะดีจะ ชั่วก็แล้วแต่ แล้วรอรับผลของมันให้ออกมาเป็น "ความร่ำรวย" แล้ว ละก็ ผมขอบอกเลยว่า "คุณขาดทุนตั้งแต่ต้นแล้ว" โธ่ๆๆ ที่รัก อย่า โง่ไปหน่อยเลย คิดจะทำงานอะไรมากมายเพื่อให้ได้ความร่ำรวย ก็ ดี, ให้ได้เงินทองมากมาย ก็ดี คุณจะใช้เวลาทำกรรม ทำงาน อยู่กะ มันนานเท่าไร? เมื่อเทียบกับเวลาที่คุณมีให้กับการเสวยสุข? นั่นละ คุณเคยเห็นคนรวย มีเงินมากๆ ไหม? แต่เขามีเวลาเสพสุขกับเงินที่ เขามีเท่าไร? หรือจริงๆ แล้ว เขาเสียเวลาไปกับการทำให้ตัวเองรวย สัก ๗๕% ของเวลาในชีวิต แล้วมีเวลาเพียง ๒๕% ของชีวิตที่จะมี ความสุข เสพสุขกับสิ่งที่ตนเองหามาได้นั้น "โง่มาก หนูจ๋า" แค่เริ่ม ต้นคิดก็โง่แล้ว เอาง่ายๆ ลองเอา ๗๕% - ๒๕% ดู นั่นแหละ ก็ขาด ทุนแล้ว คือ เวลาในชีวิตที่เสพสุขมันก็แค่ ๒๕% แต่เวลาที่เสียไปกับ การทำกรรมให้ได้เป็นคนรวยนี่ มันใช้ไปมากถึง ๗๕% แล้วมันจะไม่ ขาดทุนได้อย่างไรละครับ? เอาละ เลิกโง่นะลูกนะ โอ๋ๆๆ เด็กน้อย คิด ใหม่นะลูกนะ เริ่มต้นคิดแบบไซย่า คิดแบบเศรษฐี ก็เป็นเศรษฐีได้, ไม่ จำเป็นต้องเอา "มูลค่าทรัพย์สินที่เป็นวัตถุ" มาคิดอย่างเดียว เดี๋ยวจะ โดนหลอกเอา วัตถุกับเวลาในชีวิต อะไรมันมีค่ามากกว่า แหม แค่นี้ก็ รู้แล้ว เศรษฐีที่แท้จริง อาจมีเงินเก็บแค่หลักร้อย ก็เป็นเศรษฐีได้ครับ!


พลังไซย่าช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีได้อย่างไร โดยไม่ต้องเหนื่อยยาก?


ต่อไป ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจพื้นฐานสัจธรรมของโลกนี้บ้างแล้วว่าคน ที่จะรวย หรือเป็นเศรษฐีได้ มันก็เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรม ไม่ว่าจะ เป็น "วิบากกรรมดีแต่ปางก่อนนำพา" ให้เกิดมาก็รวยแล้ว ไม่ต้องมา ทำงานเหนื่อยยาก หรือว่าอาจจะรวยได้วิธีใดก็ได้ โดยไม่ได้ก่อกรรม กระทบถึงใคร นั่นแหละ รวยจริง ด้วยด้วยผลบุญเก่าสนองผลให้ ทว่า บางคนอาจไม่ได้รวยด้วยบุญเก่า แต่เพราะสร้างกรรมใหม่ ให้มากไป กว่าวิบากกรรมเก่า เช่น วิบากกรรมเก่าให้เกิดมาเป็นคนจน แต่เขาได้ ทำกรรมมากมายฝืนกรรม ให้มันมากไปกว่าของเขา ทำกรรมปัจจุบัน ให้ตนได้พ้นจากความยากจน ได้เป็นคนร่ำรวย อันนี้ เรียกว่า รวยด้วย การก่อกรรมปัจจุบัน คิดง่ายๆ บริษัทขายไก่ ก็ต้องฆ่าไก่วันละกี่ตัว ถ้า ลูกค้าต้องการ และการแข่งขันสูง จะหยุดผลิตก็ไม่ได้ ทุกคนที่ได้เสพ สุข ได้รับผลจากบริษัทนี้ร่วมกัน ก็ร่วมกันก่อกรรม และต้องร่วมกันรับ กรรมไป สมมุติต้องผลิตไก่ให้ได้วันละ ๑๐๐ ล้านตัว แม่เจ้า? กรรมมัน จะมากแค่ไหน? คิดดูแล้วกัน? เอาละ ทีนี้ ก็เลยมีคนคิดสองแบบ พวก หนึ่งก็คิดว่า "ฉันยอมรับกรรมวะ ขอให้พ้นจากความยากจนก็พอ" อีก พวกหนึ่งก็คิดว่า "ฉันยอมรับกรรมแล้ว ขอไม่ต้องก่อกรรมมาก ก็พอ" ซึ่งไม่ใช่แนวทางของไซย่าทั้งสองแบบนะครับ เราไม่เน้นก่อกรรมให้มี ให้ได้อะไรก็จริง แต่เราไม่ได้แนะนำให้ต้องยอมอยู่อย่างยากลำบากให้ โง่หรอกครับ เพราะคนในโลกที่เชื่อเรื่องกรรม มักคิดว่ากรรมเที่ยง มัน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทว่า ชาวไซย่าเห็นกรรมไม่เที่ยง, ไม่อาจยึดเป็นตัว ตนของตนได้ครับ นั่นคือ พลังของไซย่าเปลี่ยนชีวิตให้คนที่มีวิบากเป็น คนยากจน ให้กลายเป็นคนรวยได้ โดยไม่ต้องก่อกรรมทำเข็ญ นั่นเอง!


ปรับพลังชีวิตเป็นพลังไซย่า กรรมก็เปลี่ยนได้ ชีวิตก็เปลี่ยนเป็นเศรษฐี?


ต่อไป อย่างที่ผมบอกแล้วว่าชาวไซย่าเขาเข้าใจดีว่าคนบนโลกที่เชื่อใน กฏแห่งกรรม ส่วนใหญ่มักคิดว่ากรรมมันตายตัว มันเที่ยงแท้ เปลี่ยนไม่ ได้ ทว่า ชาวไซย่าเขาเห็น อนิจจัง, อนัตตา ในกรรมครับ ดังนั้น มันย่อม เปลี่ยนแปลงได้เสมอ และพวกเขาก็ทราบดีว่ามันมาจาก "พลังงานภาย ใน" ของคนแต่ละคน นำพากรรมมาสู่ตัวเขาเอง เมื่อใดที่คุณมีพลังภาย ในแบบหนึ่ง มันก็จะจูน, จะดึงดูดเอาวิบากกรรม ซึ่งเป็นพลังงานอีกแบบ หนึ่งเข้ามาเหมือนกัน ดังนั้น มันจึงมีพลังงานบางชนิดที่จูนเอากรรมหรือ บุญมาได้ "แตกต่างกัน" ถ้าคุณเข้าใจเรื่องนี้ และมีพลังงานภายในที่จูน กับพลังบุญได้ มันจะดีแค่ไหนละ? นั่นแหละที่ผมบอกว่าคุณไม่ต้องไปทำ กรรมอะไรให้มันเหนื่อยยาก คุณเคยเห็นมั้ย คนที่ทำกรรมให้ได้มาซึ่งเงิน ทองมากๆ เขาอาจได้มากจริงแต่ไม่อาจเสพ หรือเสวยสุขจากมันได้เลย? อ้าวมีนะครับ เช่น รวยแต่ถูกฟ้อง จนต้องโอนเงิน มาให้ใครต่อมิใครวุ่นไป หมด นี่ก็มีให้ทราบกันทั่วประเทศแล้วนะครับ ขอบอกนะครับว่าร่างสังขาร ที่ผมเชื่อมต่อข้อมูล (คนที่โพสกระทู้นี้) เขาไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ครับ แต่เงินและทองก็เข้ามาสู่บ้านเขาเรื่อยๆ หึๆๆๆ ขอไม่บอกว่ามันมาได้ยังไง บ้าง เพราะมันมาในฐานะที่ยังไม่ใช่ของเขาเท่านั้นเอง แต่มันก็เป็นสิ่งที่มี ให้เห็นได้จริงครับ เพราะว่าพวกเราชาวไซย่าไม่ได้โม้ โอเค เขายังไม่ได้ มีเงินอะไรนัก เพราะไม่มีรายได้แบบคนทางโลก แต่พลังของไซย่าก็ทำให้ เขาเห็นเป็นรูปธรรมแล้วว่าสาร์นจากต่างมิติที่เขาได้รับ มันความเป็นจริง!


จงมีชีวิตอยู่อย่างเศรษฐีที่แท้จริง ไม่ใช่มีเงินมากมายแต่ใช้ชีวิตไม่เป็น


ต่อไป คือ ความเป็นเศรษฐีที่แท้จริงนั้น มันไม่ได้วัดจากการมีอะไรเยอะ แต่มันวัดจาก "ชีวิตจริงๆ ของคุณว่าดำรงอยู่อย่างไร?" ถ้าคุณมีเงิน เยอะมากๆๆๆ แต่คุณก็นอนป่วยอยู่ตลอด และใช้เงินเหล่านั้นไม่ได้เลย ขอบอกเลยว่าคุณไม่ใช่เศรษฐีแล้ว คุณก็แค่คนป่วยคนหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะชีวิตจริงของคุณเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าคนๆ หนึ่งมีเงินติดตัวแค่ไม่กี่ พัน แล้วใช้จักรยานปั่นไปท่องโลกเรื่อยๆ ได้ มีคนสงสารช่วยให้เงินแก่ เขารายทางสักไม่กี่ร้อย เขาก็ไปได้เรื่อยๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเศรษฐีที่ กำลังเอาเงินไปท่องเที่ยว และเช่าจักรยานขี่ไปเรื่อยๆ เลยครับ นั่นหละ ที่ผมกำลังบอกคุณว่าความเป็นเศรษฐีที่แท้จริง มันไม่ได้วัดกันที่วัตถุที่ มีอยู่ แต่มันดูที่ "ชีวิตจริงของคุณ" ว่าคุณมีชีวิตจริงเป็นอย่างไร? และ ทำอะไรอยู่ในแต่ละวัน, แต่ละนาที? นี่แหละคือ "ความหมายของคำว่า เศรษฐี" ในแบบฉบับของ "พ่อ (ไซย่า) รวยสอนลูก" อย่างไรละครับ!


"พลังไซย่า" พลังแห่งความมั่งมี-ศรีสุข และโชคลาภ-วาสนาทั้งปวง


ต่อไป คือ พลังไซย่าเป็นพลังที่ตรงกันข้ามกับพลังของดาวมฤตยูที่นำ โชคร้ายและภัยพิบัติมาสู่คน ดังนั้น พลังไซย่าจึงเป็นพลังแห่งความมี โชค พลังแห่งความมั่งมี-ศรีสุขและโชคลาภ-วาสนาทั้งปวง นั้นเอง นี่ แหละ เป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของคนในโลกนี้เลย ทว่า เฉพาะ คนที่มีบุญได้เสวยใช่มั้ยครับ ที่จะได้รับสิ่งดีๆ โชคดีเหล่านี้ เอาละ ชาว ไซย่าก็เหมือนผู้ที่มีอำนาจในการควบคุม "โชคดี" ทั้งหลาย ไม่ต่างไป จากชาวดาวมฤตยูที่มีอำนาจในการควบคุม "โชคร้าย" ทั้งหลาย อย่าง ที่บอกแล้วว่า "พลังบุญมันไม่เที่ยงและไม่อาจยึดมั่นได้" มันถูกจูนและ ดึงดูดได้ด้วย "พลังบางอย่าง" และพลังไซย่าก็ดึงดูดพลังบุญได้ ต่าง จากพลังมฤตยูที่ดึงดูดพลังกรรมของปวงสัตว์ นั่นหมายความว่าเมื่อคุณ ได้รับพลังไซย่า คุณก็จะมีบุญเข้าถึงตัวด้วย โดยที่คุณอาจไม่ได้อยากมี อยากเป็น แค่คุณไม่ปฏิเสธมันก็พอ พลังบุญจะเข้ามาเรื่อยๆ และถ้าคุณ ยอมรับมัน คุณก็จะได้รับมันได้ คนอื่นก็อาจมองว่าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไม โชคดีจัง ทำไมคุณจึงได้รับอะไรต่อมิอะไรต่างจากคนอื่นจังเลย


"พลังไซย่า" ไม่ได้ทำให้คุณยึดมั่นหรืออยากรวย แต่โชคดีมันมาเอง?


สุดท้าย คือ พลังไซย่าไม่ได้ทำให้คุณยึดมั่น หรืออยากรวยแต่อย่างใด ไม่เลย ตรงกันข้าม พลังของไซย่าจูนได้ดีกับคนที่ใสมากๆ ไม่ได้มีความ อยากหรือยึดความร่ำรวยแต่อย่างใด ด้วยซ้ำไป ทว่า "มันมาเอง" ก็โชค ดีอย่างไรละครับ? มันถูกดึงดูดหรือถูกจูนมาด้วยพลังไซย่า โดยที่คุณไม่ ได้ก่อกรรมให้ได้มา ถึงแม้ว่ามันไม่ได้มากมายถึงขนาดใครบางคนในโลก นี้ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณ "มีชีวิตดำรงอยู่" ในโลกนี้เหมือนเศรษฐี ได้อย่างแท้จริง บางคนอาจมองว่านี่เป็นการยึดมั่น, ความอยากหรือความ โลภหรือไม่? ไม่เลย มันเป็นธรรมชาติปรุงแต่งไปอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ ว่าคนที่เป็นเช่นนี้จะอยากหรือยึดมั่นในสิ่งนั้นๆ เลย เอาง่ายๆ นะครับ คนที่ มีธรรม เข้าถึงธรรมแล้ว มีปัญญาแล้ว ก็อาจมีชีวิตดำรงอยู่บนโลกได้ต่าง กัน เช่น บางคนอรหันตืแล้วแต่อยู่ในโลกอย่างยากลำบาก ก็มี, แต่บางคน ที่อรหันต์แล้ว อยู่บนโลกนี้อย่างสุขสบายเหมือนเศรษฐี ก็มีได้, เป็นได้ครับ สุดท้าย มันขึ้นอยู่กับ "การเลือก" ของคุณเอง หวังว่าคุณ จะมีปัญญาพอ ที่จะเลือกดำรงอยู่บนโลกนี้อย่างผู้มีปัญญา และไม่ต้องยากลำบากนะครับ จบ ...


9 ต.ค. 2555

"เสียงจากชาวไซย่า"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งยวด ยิ่งมาก ยิ่งห่างไกลธรรมมาก สมาธิอะไรก็ไม่ต้องไปทำ ไร้สาระ!

อ้าว เคยพูดเรื่องนี้บ่อยๆ แล้ว แต่เห็นยังมีท่านที่หลงการทำ อะไรเยอะๆ มากๆ ยุ่งๆ แยะๆ แล้วคิดว่านั่นคือการปฏิบัติยิ่ง ยวด แล้วเป็นของดี เห็นใครที่ ทำอะไรเยอะๆ นั่งสมาธิ, เผา ตัวเอง, ทรมานตัวเองได้ ก็ยิ่ง ชอบ เอาละ สรุปเลยละกัน ไม่ ต้องไปทำอะไร ให้มันได้ธรรม ทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องทำแล้วได้ นะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง...


ความหลงไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ย่างตัวแบบโยคี อะไรนั่นล้วนไร้สาระ


อ้าว ก่อนที่จะเตลิดเปิดเปิงไปหลงโยคีที่ย่างตัว ทำสมาธิ เผาไฟอะไรกัน บอกก่อนเลยครับว่าไม่ใช่กรรมของเรา เราไปทำ ก็เท่ากับเราทำกรรมต่อ ตัวเราเอง คือ เอาตัวเราเองไปทรมานทรกรรม ไร้สาระ เราเกิดมาก็มีกรรม กันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำกรรมซ้ำเติมตัวเองให้โง่เง่าอะไรอีก ส่วนคนที่เขา ทำนั้น เพราะเขามีกรรม เลยทำอย่างนั้น หมดกรรมเมื่อไร ก็รู้เองว่าโง่เสีย จริงที่ไปทำกรรมต่อตัวเองเช่นนั้น ไม่ต้องไปคิดปรุงแต่ง ทำกรรมอะไรต่อ ตัวเองเลย เรามีกรรมมากพออยู่แล้ว รับไป เสวยไปให้หมด หมดแล้วมันก็ "ปิ๊งได้" ถ้าเราพร้อมนะครับ ทีนี้ ที่ผมว่าไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมอะไรนี่? ไม่ ใช่ว่าไปสุดโต่ง ไม่ทำอะไรเลยนะครับ ทำได้ครับ เหมือนคนปกติ ทำไปไม่ ได้กำหนดว่าต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้ธรรมอย่างนี้อะไรเลย ทำตัวตามที่ เราเป็น ธรรมชาติตามปกตินี่ละไม่ต้องไปทำกรรมลากตัวเองให้ไปทรมาน เพิ่มอะไร แล้วก็ไม่ต้องไปหลงโยคีที่เขาทรมานตัวเอง ทำสมาธิมากหรือมี การย่างตัวในกองไฟโชว์อะไรนั่นด้วย ไร้สาระครับ นี่ผมก็ไม่ได้รู้เองหรอก ในเมื่อพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว เราก็อาศัยบารมีท่านมาโปรด พอแล้ว ไม่ ต้องไปทำตัวเป็นท่านแทนที่ท่านอีกแล้ว ไม่มีองค์ที่สองแล้วครับ ท่านตรัส ไว้ตั้งแต่แรกเกิด ท่านก็ชี้นิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว หมายถึง พระพุทธเจ้ามีหนึ่งเดียว


เมื่อโลกวิกฤติ คนขาดที่พึ่งทางใจ ซาตานก็ปั้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง


ต่อไป เป็นเรื่องของการปั้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ซึ่งไม่ใช่ของจริงนะ ครับ เป็นของปั้นแต่ง ทำโดยภาคมืดครับ เพื่อให้มีพระพุทธเจ้าของเขา เองที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์จริง พระพุทธเจ้าองค์ที่สองนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ครับ หลายครั้งแล้ว ที่ภาคมืดปั้นมาให้คนประเทศต่างๆ เช่น ในประเทศ ธิเบตก็มี, เนปาล ก็มี ฯลฯ มันก็คือการปั้นแต่งที่ได้ผลในกลุ่มคนที่ยังล้า หลังครับ เพราะมันจะกลายเป็นที่พึ่งทางใจของคนในยุคนั้นๆ ได้ เพราะ คนทั้งหลายยังล้าหลัง และต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ในช่วงที่โลกได้ เข้าสู่วิกฤติ ก็เท่านั้นเอง สิ่งเหล่านี้ก็เกิดตามกันมาครับ ทว่า แท้แล้วยุค แต่ละยุคมีพระพุทธเจ้าได้ ๑ องค์เท่านั้น (ถ้าอยู่ในยุคที่มีพระพุทธเจ้า) ไม่มีการเกิดขึ้นซ้อนกันของพระพุทธเจ้าองค์ที่สองนะครับ แต่พุทธะนั้น มีได้มากครับ เรียกว่า "หมื่นพุทธะ" มีได้อนันต์ เป็นจิตเดิมแท้ต้นทางที่ กำเนิดของจิตทั้งปวงมาจากพุทธะก็เท่านั้นแต่ "พุทธะ" กับ "พระพุทธ เจ้า" ต่างกันเล็กน้อยนะครับ ผมจึงขอเรียกพุทธะอื่นๆ ที่เกิดมาหลังพระ พุทธเจ้าตรัสรู้ และโปรดแล้วว่า "พุทธสาวก" ครับ เพราะชัดเจนดีที่สุด


การทำงานปกติ ก็พัฒนาพละห้าอยู่แล้ว แต่ยังไม่ใช่ทาง "สัมมา" เท่านั้น


ต่อไป คำว่าไม่ต้องไปฝึกสมาธิ เพราะมันเกิดได้เองอยู่แล้วขณะทำงานได้ ครับ เรียกว่า พละทั้งห้านั้นก็มาจากการทำงาน, ใช้ชีวิตตามปกตินั่นแหละ แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "สัมมา" ครับ เพราะยังไม่เป็นกลาง ยังเอนไป เพื่อสนองประโยชน์ทางโลกอยู่ครับ อย่างคนที่ไปฝึกสติ, สมาธิ ฯลฯ อะไร ก็เช่นกัน ยังไม่ใช่สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ อะไรหรอก มรรคมีองค์แปด จะมี ได้ เกิดได้ ไม่ใช่มาจากเราอุปทานไปเอง คิดเอาเอง ว่าปฏิบัติแบบนั้นแบบ นี้ แล้วมันจะมีได้ เกิดได้หรอกนะครับ แต่มันจะมาเมื่อได้รับการโปรดจนถึง ธรรมจริงๆ ครับ การเข้าถึงธรรมในระดับต่างกัน ทำให้ได้มรรคไม่เท่ากันก็ เริ่มจากบรรลุโสดาบัน จะได้มรรค ๕ ตัวแรก (ถึงสัมมาอาชีวะ) ที่เหลืออีก สามตัว ก็ได้ทีละตัวตามระดับการบรรลุธรรม ก็เท่านั้นเองครับ มันกลางมา ก่อนบรรลุธรรมไม่ได้หรอก ก่อนบรรลุธรรม มันไม่มีใครกลาง (สัมมา) ทั้ง นั้น พอบรรลุธรรมแล้วถึง "กลางได้จริง" การไปปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่ปฏิบัติที่ เป็นกลางหรอกครับ ไม่ได้ต่างจากคนไม่ปฏิบัติ เพราะการทำงาน ก็คือการ ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ยิ่งปฏิบัติในสำนักนั้น, สำนักนี้มาก ยิ่งเอนเอียงครับ


การไปปฏิบัติธรรมในสำนักทั้งหลาย ไปได้ เอาแต่พอดี ก็พอ ไม่ต้องมาก


ต่อไป ผมไม่ได้ขวางการสร้างบารมี หรือการปฏิบัติอะไรของท่านนะครับ แนะนำเพียงเรื่อง "ความพอดี" คือไม่ต้องไปจมปลักปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีก จนไม่รู้ว่าจะจบตรงไหน อย่างไร? เอาแต่พอดี คือ ไปเพื่อให้เกิดปัญญามี ปัญญาแล้ว ก็เรียกว่า "พอดี" บางคนช้า, บางคนเร็ว ไม่ต้องถึงขั้นบรรลุ ธรรมในพระพุทธศาสนา ก็ได้ เอาแค่มีปัญญาเข้าใจในการปฏิบัติของใน สำนักนั้นๆ ก็พอ ไม่ต้องไปเก่งอะไรมาก ไม่ต้องไปแข่งเอาเหนือใครในนั้น พอเข้าใจ พอมีปัญญา ก็พอแล้ว นี่แหละ ที่เรียกว่า "พอดี" คือ ไม่หลงไป จมปลักอยู่ หลงวนอยู่กับการปฏิบัติที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญา โง่แล้วโง่อีกอยู่ นั่น ไม่เกิดปัญญาเสียที ไม่รู้จะปฏิบัติอะไรไปให้มันนักหนา นี่เรียกว่าขาด สติ เพราะสติไม่ทำงาน มันจึงหลงไปเรื่อยๆ หยุดไม่ทัน สติไม่ทันบอกว่านี่ เจ้าหลงไป หาทางจบไม่ลง หยุดไม่ได้แล้ว ก็เลยปฏิบัติจมปลัก อยู่นั่นเอง ส่วนคนที่ "สติทำงาน" สติก็จะบอกว่า "เอาละ พอดีแล้ว พอได้ จบได้" นี่ สติมันทำงาน มันบอกเราอย่างนี้ ถ้ามันไม่ทำงาน มันหลับอยู่ มันไม่ตื่นเสีย ที มันก็จะไม่บอกเราๆ ก็จะหลงปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนหาที่จบ หาที่หยุดไม่ได้


พระพุทธเจ้าจอมปลอม กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง การท่องเที่ยวได้


ต่อไป ภาคมืดจะปั้นให้มีพระพุทธเจ้าจอมปลอมขึ้นมา ประเทศใดที่ทำได้ก็ จะอ้างได้ว่า ฉันมีพระพุทธเจ้า มาดูสิ มาเที่ยวสิ ฉันเป็นศูนย์กลางของพระ พุทธศาสนานะ เธอจะต้องมาขึ้นกับฉัน แทนที่จะบอกว่าอะไรเป็นอะไร? ไม่ ละ ตั้งคำถามไปว่า "เธอลองไปดูสิ ว่าโยคีคนนั้นเขาทำได้ยังไง" คือ แขก เขาหลอกให้เราไปดู ให้เราไปหลง ให้เราไปเยี่ยมชม แบบเนียนๆ ก็เท่านั้น (คนไทยโบราณถึงว่า เจองูกะแขกให้ตีแขกก่อน แหม มันหลอกเก่งจริงๆ) เอาละ อย่างไรเสียก็กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งขยายผลไประดับ โลกได้ เหมือนประเทศในกลุ่มมุสลิมไง ทีนี้ ประเทศเขาก็เอาบ้าง ไหนๆ ก็ มีประเทศมากมายที่นิยมพุทธ ก็เอาเลย ตั้งตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางเลยปั้น พระพุทธเจ้าองค์ที่สอง (จอมปลอม) ขึ้นมา ถ่ายทำให้เห็นการทำสมาธิ? อะไรต่อมิอะไร ไร้สาระ หวังสร้างกระแส คนที่ทำจริง ตัวจริง ก็อย่างหนึ่งก็ ต้องแยกแยะให้ออกนะ คนละอย่างกัน ส่วนคนที่ไปปั้นให้เขาเป็น ให้คนที่ ปฏิบัติโยคี ทำสมาธิเป็นพระพุทธเจ้าอะไรนั่น ก็อีกส่วนหนึ่ง คนละส่วนกัน ต้องแยกแยะให้ดีละ เอาละ อย่าไปหลงกับการปฏิบัติมาก โยคี เขาก็ชอบ โชว์ ชอบอวด อวดโชว์ฤทธิ์โชว์เดช ในสมัยพุทธกาลมีมากมาย พระพุทธ เจ้าท่านไม่นิยม เพราะไม่ช่วยให้เกิดปัญญาอะไร ยิ่งทำให้คนหลงไปใหญ่


"ตัวตนที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" นั้น ก็อาจมีได้ เป็นไปได้


ต่อไป บนโลกนี้อาจมีคนที่เกิดมาแล้วทำตัวเหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีได้ เพราะอะไร? เพราะในอดีตชาติมาในครั้งที่ท่านยังทรงเป็นพระโพธิ สัตว์ นามว่า "พระมหาโพธิสัตว์อาภา" อยู่นั้น ท่านแบ่งภาคมากมาย ทว่า บางภาคแบ่ง บางตัวตน ไม่ได้มาทำหน้าที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อไม่ได้ ทำหน้าที่นั้น ได้ทำหน้าที่อื่นแล้ว ยังไม่เข้านิพพาน ก็มาเกิดอีกได้ และจะมี ลักษณะหรือพฤติกรรมคล้ายพระพุทธเจ้าสมณโคดมได้ ทว่า เขาไม่ได้มา ทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง "เป็นพระพุทธเจ้าซ้อนกัน" นั้นไม่ได้ เขามาทำหน้าที่อื่นของเขา ก็ว่ากันไป เท่านั้นเอง ที่สามารถจะเป็นไปได้ที่ สุด ทีนี้ ถ้าพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะทรงมาโปรดตัวตนที่เหลืออยู่ ซึ่งยัง ไม่ได้นิพพานของท่านแต่ก่อน ทั้งหลาย ก็สามารถทำได้ หากท่านจะทรง โปรด ทรงกระทำ อันนี้ ไม่ใช่วิสัยของเราจะไปตัดสินว่าท่านทำจริงหรือไม่ แต่อย่างไรเสีย ในยุคพุทธกาลหนึ่งยุค จะไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดซ้อนกันถึง สององค์ หรือมีเกินกว่า ๑ องค์นั้น เป็นไปไม่ได้ มีได้ก็แต่ "พุทธะ" เท่านั้น ไม่ก็ตัวตนของ "พระมหาโพธิสัตว์อาภา" ที่ยังไม่เข้านิพพาน ก็เท่านั้นเอง


อย่ามัวหลงพระอาภาโพธิสัตว์ จนหลงลืมพระพุทธเจ้าสมณโคดมละ?


สุดท้าย พระมหาโพธิสัตว์อาภา ในอดีตได้แบ่งภาคมากมาย บางภาค แบ่งไม่ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดม ดังนั้น อาจมาเกิดได้ ก็ จะมีลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้าสมณโคดมได้ ทว่า ไม่ใช่ว่าท่านจะมา เกิดเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง เราก็ไม่ควรไปหลง หรือเข้าใจผิด เวลาเห็นใครปฏิบัติมากๆ นั่งสมาธิมากๆ ย่างตัวกับไฟแบบโยคี นี่เราก็ ไม่ต้องไปหลง ในเมื่อพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็เกิดแล้ว ตรัสรู้แล้วใน โลกนี้ เราก็ตรงไปสู่ท่านเลยไม่ต้องวนกลับไปหาพระโพธิสัตว์อาภาอีก ส่วนคนที่มีกรรม มีบุญเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์อาภานั้น เขาก็ต้องมีเรื่องมี ราวทำร่วมกันไป ก็แล้วแต่เขา เรารู้ไว้ว่าไม่ใช่กิจของการมาตรัสรู้อีกที ก็แล้วกัน แต่เขาอาจทำหน้าที่เป็น "ร่างเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าสมณ โคดม" ได้ เพราะพระพุทธเจ้าสมณโคดม มีวิบากกรรมตัดรอน ทำให้มี สังขารใช้ได้เพียง ๘๐ ปี ทว่า ท่านยังดำรงอยู่ในอีกธรรมชาติหนึ่ง ในที่ ต่างไปจากเราจะคิดได้ เหนือสังขารแล้ว ท่านสามารถประสานเชื่อมโยง มายัง "สังขารอื่นๆ" เพื่อโปรดสัตว์ ก็ได้ ธรรมของท่าน เชื่อมโยงผ่านที่ ร่างของคนที่ยังมีสังขารอยู่ก็ได้ อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเกิดเป็นพระพุทธ เจ้า แต่เป็นเรื่องของการทำกิจโพธิสัตว์ ที่ใช้ร่างเชื่อมโยงกับท่าน ก็เท่า นั้นเอง เอาละ ในระหว่างใครบางคน กำลังเดินตามรอยกรรมเก่าของเขา อยู่ เราก็อย่าเพิ่งไปยุ่งจะดีกว่า รอให้เขาได้บารมีเต็มแล้ว ก็ค่อยมาว่ากัน


8 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ผีหลุดมาจากนรกเพราะการปลดปล่อย แต่ถ้าไม่ได้รับ "การไถ่" ก็ไม่รอดอยู่ดี

อ้าว วันนี้มีเรื่องค้างมาคุยต่อครับ ไม่ได้ใช้พลังของไซย่ามากนักใน ช่วงนี้ หลังใช้แล้วมันมีปัญหาเข้า เว็บนะครับ (ไม่ทราบว่าเพราะอะไร) เรื่องของเรื่องคือ การปลดปล่อยที่ เราทราบกันดีนั้น บางครั้ง มันเป็น แค่การปลดปล่อยเขาออกมาจากที่ กักขังหรือในภพเบื้องล่าง ทว่า ถ้า เขายังไม่เข้าสู่กระบวนการต่อไป ก็ จะยังไม่รอดอยู่ดี เช่น จิตวิญญาณ มืดจะมีพันธสัญญา พันธะกรรมกับ ซาตาน ถูกซาตานผูกมัดไว้ใช้งาน ทีนี้ เขาได้รับการปลดปล่อยมาแล้ว ก็จะมาหาร่างมนุษย์อยู่เพื่อทำงาน รับใช้ซาตาน, ระบบซาตานทั้งหลาย เราเลยต้องมี "พระผู้ไถ่" จึงจะช่วย ให้พวกเขารอดจาก "ภาคมืด" ได้ เราจึงมี "พระผู้ช่วยให้รอด" ไงครับ เอาละ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ


เมื่อบำเพ็ญบารมี "พร้อมแล้ว" พระโพธิสัตว์ควรทำกิจ "ไถ่" ปวงสัตว์


เอาละ เริ่มแรกเลยคือ ควรเข้าใจก่อนว่าการฝึกฝนตน, การศึกษา, การ บำเพ็ญบารมี ก็อย่างหนึ่ง มันเป็น "ช่วงแรกก่อนรับกิจ" ครับ แต่ถ้าผ่าน ได้แล้ว เหมือนเราเรียนจบ สอนผ่านหมดแล้วน่ะครับ เราก็จะมีงานทำใช่ ไหมครับ? (สมมุติง่ายๆ นะครับ) พระโพธิสัตว์ก็เช่นกัน จะบำเพ็ญบารมี อย่างไรก็แล้วแต่ กินเจหรือไม่กินเจ ก็แล้วแต่ ถ้าบำเพ็ญบารมีได้เต็มแล้ว (สำหรับที่จะใช้ในชาตินั้นๆ) จึงจะเข้าสู่ขั้นตอน "รับกิจจากสวรรค์" ซึ่ง ในขั้นตอนนี้ พระโพธิสัตว์ "จะไม่ได้ลองผิด, ลองถูกไปเองอีกแล้ว" แต่ก็ จะได้รับ "เฉลย" ว่าจะต้องทำอย่างไร? อะไรที่ทำไปแล้วมันผิด ก็แก้ใหม่ ให้มันถูก อะไรแบบนั้น เอาง่ายๆ ที่ท่านเห็นคนทำความดี, สร้างบารมีมาก มายกันนั้น "ผิดไปแล้ว ๙๐% กว่า" แต่มันก็ไม่ใช่ความผิด ความเลวร้าย อะไรนะ มันคือ "การลองผิดลองถูก" ขณะบำเพ็ญบารมียังไม่สำเร็จไง ก็ จะมีผิดกันได้เป็นธรรมดา แต่เมื่อเต็มแล้ว พอดีแล้ว เดี๋ยวเบื้องบนท่านจะมี เฉลยมาให้เราเองว่าให้เราทำอะไร ทำอย่างไร ทำกับใครบ้าง จะดีขึ้นครับ


การทำกิจ "ไถ่" ปวงสัตว์ เป็นกิจจากสวรรค์เพื่อฉุดช่วยสัตว์ในโลกมืด


ต่อไป ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่าสัตว์ในโลกนี้ ที่จำเป็นจะต้องได้รับความ ช่วยเหลือมากเป็นพิเศษคือพวกที่อยู่ในอบายภูมิ ๔ ซึ่งมีพระกษิติครรภ์ ดูแลอยู่ อีกพวกหนึ่งคือ พวกที่ไม่ได้อยู่ในระบบภพภูมิทั้งสามนี้ และไม่ ได้มาจากต่างดาวหรือโลกธาตุอื่น แต่เป็นพวกที่หลบซ่อนผิดกฏสวรรค์ ในใต้ภาคพื้นโลกเรานี่เอง พวกเขาเหล่านี้มีมากมาย มีตั้งแต่ที่ยังมีกาย ทิพย์เป็นเทพชั้นสูงๆ, ชาวพรหมโลกชั้นสูงๆ หรือแม้แต่พวกต่างดาว ที่ อับแสงไปแล้วกลายสภาพเป็นภาคมืดก็มีครับ ดังนั้น โลกจึงกลายเป็นที่ หลบซ่อนตัวของ "ผู้กระทำความผิดแล้วหลบหนีมา" มากมายครับ เรา จึงต้องมีการร้องขอให้พระโพธิสัตว์ลงมาช่วยแก้ไขปัญหานี้ เหมือนคน เรานี่แหละครับ บางครั้งทำผิดไปแล้ว ไม่รู้จะกลับหลัง, ถอยหลังกลับได้ อย่างไร? ทั้งยังถูกพลังภาคมืด ดึงดูดไปเรื่อยๆ ให้ถลำลึกไปเรื่อยๆ ดังนี้ จึงเป็น "กิจสำคัญ" มากทีเดียวครับ ที่เราจะมา "ไถ่จิตวิญญาณมืด" ที่ ถูกพันธนาการไว้กับภาคมืดเหล่านั้นให้เขากลับคือสู่ระบบสามภพดังเดิม


ท่านทั้งหลายมาเป็นส่วนหนึ่งของพระผู้ไถ่และพระผู้ช่วยให้รอดกันเถิด


ต่อไป ท่านทั้งหลายที่บำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว "บางท่าน" จะมีบารมี และ มีความสามารถในการโปรดสัตว์แบบนี้ได้ "ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้" แต่ "ทุกคนก็เรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ ไม่ต่างกัน" คือ ทุกคนสามารถลอง เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง จนถึงจุดที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็น "พระผู้ไถ่และผู้ ช่วยให้รอด" ได้ ทว่า แต่ละท่านก็มี "บารมีและกำลังจำกัด" บางครั้งก็ ไถ่จิตวิญญาณเขาได้ "ครั้งหนึ่งแล้ว" ทว่า เขามีเจ้าหนี้เยอะเหลือเกินก็ เลยช่วยเขาได้แค่ "ชั่วคราว" เท่านั้น ไม่นานก็มี "ภาคมืดที่เป็นเจ้าหนี้" มาผูกพันธนาการเขาต่ออีก เลยไม่จบ ไม่สิ้นกันได้ มันทำได้แค่นั้นเอง ก็ เพราะเวรกรรมของแต่ละคนมีมากน้อยไม่เท่ากัน และบารมีของพระโพธิ สัตว์เองก็มีไม่เท่ากัน จึงเป็นเช่นนี้เองครับ แต่อย่างไรเสีย แม้การช่วยให้ เขาได้รับการไถ่ ได้รับความรอด แค่เพียงชั่วขณะสั้นๆ ก็อาจทำให้เขาได้ มีโอกาสรับแสงธรรมและเกิดปัญญาได้เหมือนกัน ทว่า หลังจากนั้น เขาก็ ยังต้องกลับไปอยู่ในฐานะเดิม คือ ถูกภาคมืดพันธการอีกเช่นเดิม เอาละนี่ ไม่ใช่ความผิดอะไรหรือของใรคร แต่มันเป็นเช่นนี้เอง เราช่วยเราได้เท่านี้ ก็ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าจะช่วยให้หลุดพ้นไปเลย, ได้มากกว่านั้น ก็ยิ่งดีครับ


เหล่าซอมบี้ทั้งหลาย เมื่อได้รับการปลดปล่อยแล้วจะมาอาศัยร่างคน!


ต่อไป เหล่าซอมบี้ (จิตวิญญาณมืดที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อย) เมื่อได้ รับการปลดปล่อยแล้ว พวกเขาจะมาครองร่างคนอยู่ เขาจะเลือกคนที่มี พลังจิตต่ำๆ ก่อน ตามกำลังของเขาที่จะครอบงำได้ เช่น คนป่วย หรือผู้ เสพยาเสพติด ขาดสติอยู่ จากนั้นจะพัฒนาไปเรื่อยๆ เพื่อหา "ร่างใหม่" ที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกำลัง "ฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้น" ของพวกเขา แต่ร่างที่ดีนั้น ครอบงำได้ยาก จำต้อง "หาช่องโหว่" เช่น ถ้าเป็นพระ จะต้องยุยง, ดล จิตดลใจให้หลงตัวเอง ให้ประมาทเข้าไว้ เมื่อประมาทพลาดพลั้ง ผิดศีล มากๆ ก็กลายเป็น "ช่องโหว่, ช่องกรรม" เปิดให้พวกเขาเล่นงานพระผู้ นั้นได้ ยังมีอีกหลายวิธีมากที่พวกเขาจะเล่นงานผู้ที่มีพลังจิตสูงๆ หรือมี สภาพร่างกายสมบูรณ์ มีบุญบารมีหล่อเลี้ยงตัวดีๆ เช่น การหลอกให้ได้ เสวยผลบุญมากจนเกินตัว สุดท้าย ไม่ทันรู้ตัวว่าบุญตนติดลบไปแล้ว ได้ กลายเป็นหนี้ภาคมืดไปแล้ว เมื่อไรไม่ทราบ (เคยโดนไหมครับ ที่เขามา เก็บเงินอะไรเรามากมาย โดยเราไม่ทราบก่อน เช่น ค่าโทรฯ คุณเกินค่ะ) อะไรแบบนั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำกันอย่างดีและเป็นระบบโดยภาคมืดนั่นเอง


เหล่าซอมบี้ทั้งหลาย "อัพเกรดตัวเอง" ให้มีฤทธิ์มากขึ้น ได้อย่างไร?


ต่อไป เมื่อเหล่าซอมบี้มาอยู่ร่วมกับร่างสังขารมนุษย์แล้ว หรือยังอยู่ใน ขั้นตอน "รอเข้าร่างคนอยู่" หรือ "กำลังเลือก, กำลังหาอยู่" ก็ดี เขาก็ จะทำการ "อัพเกรดตัวเอง" ให้มีฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ไปอยู่ในพระ พุทธรูป, เทวรูป, เครื่องรางของขลัง, พระเครื่อง, รูปภาพ, หรืออะไรก็ ได้ที่รองรับ "พลังจิตของมนุษย์ได้" เช่น ไมค์ร้องเพลง ก็ดี ก็ได้นะครับ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ได้ครับ พวกเขาจะอาศัยเกาะอยู่ เพื่อรับพลังจิต ของคนทั้งหลาย ทั้งยังเสริมความหลงให้คนเช่น ใช้ฤทธิ์เดชทำให้คนมี เงิน, รวยขึ้น, ถูกหวยมากผิดปกติ ฯลฯ ก็จะก่อให้เกิด "วังวนแห่งความ เชื่อที่หลงผิด" เชื่อแล้วได้ เชื่อแล้วเป็นจริงก็ยิ่งเชื่อแล้วซอมบี้ที่อยู่เบื้อง หลัง ก็จะได้รับพลังจิตของคนไปเรื่อยๆ ต่อเนื่อง เลยกลายเป็นวังวนมืด ไปครับ มันจะมีลักษณะคล้าย "ธรรมจักร" แต่มันไปคนละทาง ให้ผลไป คนละอย่าง ธรรมจักรหมุนแล้วสว่างขึ้น แต่วังวนมืดหรือ "สวัสดิกะ" นั้น จะหมุนแล้วยิ่งมืด ยิ่งดำ "พลังแห่งความมืดหลง" ยิ่งเข้ามามากขึ้นครับ


การไถ่จิตวิญญาณมืดออกมาจากภาคมืด บางครั้งก็ต้องแลกด้วย...


ต่อไป ในกระบวนการไถ่จิตวิญญาณมืด ที่ถูกพันธนาการโดยภาคมืด นั้น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ หรือมีปัญหากับภาคมืด (เช่น การปะทะ กัน) จึงใช้สันติวิธีเช่น การแลกเปลี่ยนด้วยอะไรบางอย่างยกตัวอย่าง เช่น พระเยซู ได้ใช้ชีวิตของท่านเอง เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนเพื่อไถ่เอา จิตวิญญาณบาป จิตวิญญาณมืดในยุคนั้น ออกไปจากพันธนาการซึ่ง ภาคมืด ต้องการแลกด้วยชีวิตของท่าน ให้ท่านตายไปจากโลกเพราะ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็จะได้รับการยอมรับจากคนมากมาย จนจะทำให้ พวกเขาสิ้นอำนาจไป พระเยซูก็จะกลายเป็น "ผู้นำคนใหม่ในยุคนั้น" พวกภาคมืดต้องการมีอำนาจดังเดิม จึงให้ท่านตายบนไม้กางเขนเพื่อ ให้พ้นๆ ไปเสีย ผลจากการแลกเปลี่ยนครั้งนั้น ทำให้พระเยซูไถ่เอาจิต วิญญาณมืดมาได้มากมายเช่นกัน จึงกลายมาเป็นพระนามที่เรียกกัน ว่า "พระผู้ไถ่" ในอีกฐานะหนึ่ง ที่มาของพระนามนี้ ก็เป็นไปดังกล่าว


การไถ่จิตวิญญาณมืดออกมาจากภาคมืด โดยการแลกด้วยบุญของตน


สุดท้าย ก็คือ การไถ่จิตวิญญาณมืดอีกวิธีที่ดีกว่าการแลกด้วยชีวิตครับ ก็คือ การไถ่จิตวิญญาณบาป ด้วย "การแลกด้วยผลบุญ" ของเรา ถ้ามี มากนะครับ หรือไม่เราก็ทำบุญไปเรื่อยๆ ตุนไว้ เพื่อเป็นคลังบุญในการที่ เราจะเบิกมาใช้ในการ "ไถ่จิตวิญญาณบาป" ซึ่งจะมี "จิตวิญญาณมืด" ที่มาทำหน้าที่ "แลกเปลี่ยนกับเรา" อีกที ทั้งนี้ ถ้าจิตวิญญาณดวงนั้นๆ ไม่ได้ติดหนี้ภาคมืดมากเกินไป หรือทำงานใช้หนี้ภาคมืดมานานแล้ว ก็ จะมีโอกาสไถ่เขาได้มากขึ้น เมื่อไถ่เขาแล้ว เขาจะมาอยู่กับเราๆ ก็ต้อง ช่วยให้เขากำเนิดใหม่อีก ด้วยการชำระล้างจิตวิญญาณบาป นั่นเอง ที่ กล่าวเช่นนี้ ให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ ไม่ใช่การเอาน้ำมาล้างจริงๆ หรือถ้า คนที่มีพลังจิต, มีของทิพย์เป็นแจกันทิพย์ที่มีน้ำทิพย์ชำระจิตวิญญาณ ได้ ก็สามารถทำได้ด้วยการ "สมมุติเอาน้ำมาล้าง หรือรดน้ำมนต์ ก็ได้" อันนั้นได้เฉพาะท่านที่มีธรรมเอื้ออำนวยนะครับ ก็ใช้สมมุติทางโลก เช่น น้ำ ชำระล้างได้เลย ทำพอเป็นพิธี เท่านั้น สำคัญอยู่ที่ "ใจ-พลังจิต" ที่ อยู่ข้างในต่างหากครับ เอาละ เรื่องการไถ่ยังมีอีกมากมาย เอาไว้แค่นี้ก็ พอนะครับ ท่านใดมีประสบการณ์จริง ก็เชิญเล่า, แลกเปลี่ยนกันได้ครับ สวัสดีครับ ....


7 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กินเจบริสุทธิ์กินอย่างไร? อาหารนั้นมันไม่มีความผิดในตัวมันเองหรอก

อ้าวละ วันนี้ ผมขอต่อเรื่องกินเจ ก็แล้วกัน สำหรับท่านที่ยังคิดว่า ตนเองเข้าใจ แต่มันจริงหรือไม่? ก็ลองอ่านดูละกัน ถ้าไม่อ่าน ไม่ ตั้งใจอ่าน เอาแต่ยึดความรู้เดิมๆ ก็จะไม่รู้เรื่องที่ผมสื่อสารเท่านั้น แหละครับ เราสื่อสารก็เพื่อการ สื่อสารให้เข้าใจ ไม่ใช่อะไรอื่นๆ ขี้เกียจพูดมาก เข้าเรื่องเลยครับ


อาหารใดๆ นั้น มันก็คือธรรมะ ธรรมชาติ แล้วความไม่บริสุทธิ์มาจากไหน?


อย่างแรก ถ้าคุณยังยึดติดอยู่ว่า "นี่คือเนื้อสัตว์ นี่คือผัก" คุณก็ยังไม่ได้เจ บริสุทธิ์นะครับ สำหรับท่านที่เข้าถึง "เจบริสุทธิ์" แล้ว พระจี้กงบอกว่า เขา จะเห็น "อาหารทุกอย่างที่กิน มันก็แค่ธรรมะธรรมชาติ เหมือนดิน, น้ำ, ลม ไฟไม่มีอะไรแตกต่างกันในเนื้อสัตว์หรือผัก" ท่านว่าอย่างนั้น แล้วผมก็เลย ถาว่าอย่างนี้ "ความไม่บริสุทธิ์จากการกิน" มันมาจากไหน? ท่านก็เมตตา ตอบผมว่า "สรรพสิ่งล้วนเป็นธรรม" อาหารทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว ทว่า ความไม่บริสุทธิ์ของอาหารที่เรากิน มาจาก "มโนกรรม, วจีกรรม และกาย กรรม" ของผู้กระทำกรรม ผู้กินอาหารนั้นเอง "หาใช่มาจากอาหารนั้นไม่" แล้วมันมาได้อย่างไร? ท่านก็ตอบว่า "เมื่อผู้กินอาหาร เริ่มมีดำริอย่างนี้ว่า ฉันจะกินสิ่งนั้น ฉันจะกินสิ่งนี้ย่อมมีเจตนา ย่อมมีสังขารปรุงแต่งอาหารนั้น จึงไม่ใช่ เจบริสุทธิ์" ไม่ใช่ด้วยตัวอาหารเอง แต่ด้วยมโนกรรมของเขานั้น ปรุงแต่งมันขึ้นมา เช่น ฉันจะกินผัก, ฉันจะกินเจ, ฉันจะกินข้าวขาหมู ฯลฯ เมื่อมีเจตนากำหนดจะกินอย่างนี้ ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นผักหรือเนื้อสัตว์ ก็ ดี อาหารนั้นหาใช่เจบริสุทธิ์ไม่ บุคคลย่อมกินยเจบริสุทธิ์ได้เมื่อ 1. เขาไม่ ได้กำหนดเจตนาในการกินอาหารใดๆ 2. เขาไม่ได้ลงมือกระทำกรรมเพื่อ ให้ได้มาซึ่งอาหารนั้นๆ (เช่น ได้รับจากที่ผู้อื่นให้) 3. เขาไม่ได้กินด้วยจิต ที่คิดว่า "ฉันจะกินสิ่งนั้น ฉันจะกินสิ่งนี้" สักแต่ว่ากินๆ ไปอย่างนั้นเองหละ


การกำหนดเจตนา "กินเจ" จะมีกรรมฆ่าสัตว์มากมาย (กว่าจะได้ผักมา)


ต่อไป ผมก็ถามท่านต่อว่าแล้วการกินเจที่คนทั่วไปกินอยู่ทุกวันนี้ ใช่เจซึ่ง เรียกว่า "เจบริสุทธิ์" หรือยัง? ท่านตอบว่า "ยังไม่ใช่หรอก" เพราะยังมี การกำหนดเจตนา ตั้งใจ ที่จะกินสิ่งนั้น สิ่งนี้อยู่เลย ไม่รู้หรืออย่างไรว่าผัก ทั้งหลาย กว่าจะได้มานั้น คนปลูกผักต้องไถพรวน ฆ่าไส้เดือนตายไปเท่า ไร? ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดให้แมลงตายไปเท่าไร? กว่าจะมาถึงมือคนกินเจนั้น ผ่านการเบียดเบียนผู้อื่น (รวมทั้งแรงงานทั้งหลายที่ทำให้เรามีผักกิน) ไป แล้วเท่าไร? กรรมทั้งนั้นเลย เมื่อบุคคลมีเจตนากำหนดจะกินเจเช่นนั้น เขา ก็ย่อมจะได้รับผลกรรม "ร่วมกันไปกับผู้ปลูกผักทั้งหลาย" ดังนั้นพระพุทธ เจ้า จึงทรงบอกศีล ไม่ให้ภิกษุไปหักร้างถางพง, ปลูกผัก หรือแม้แต่เด็ดใบ ไม้ ก็ไม่ได้ให้กระทำ แต่ถ้าไม่รีบนิพพาน จะทำก็ได้ อันนี้ ต้องแยกแยะด้วย ว่าคนละกรณีกัน คนละวัตถุประสงค์กัน อนึ่ง คำว่าเจบริสุทธิ์นั้น พระสาวก ที่ท่านฉันได้ ก็ด้วยไม่มีเจตนาจะกำหนดให้ว่าจะฉันอะไร มีอะไรฉันก็ฉันไป และมิได้เป็นผู้กระทำกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารนั้น ท่านรับบิณฑบาตร ก็ เท่านั้นจะไปบอกญาติโยมว่าห้ามใส่เนื้อก็ไม่ได้ ตอนจะฉันจะฉันแต่ผักแล้ว โยนเนื้อทิ้ง ก็ไม่ใช่ ท่านไม่เห็นสาระความแตกต่างอะไรของสิ่งที่อยู่ในนั้น แล้ว ก็คือ "ธรรมะ ธรรมชาติ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ธาตุต่างๆ ไม่ต่างกันเลย" นี่ "พระอรหันต์แท้ๆ" เขาฉันเจบริสุทธิ์กันอย่างนี้ มิใช่ ฉันเป็นคนดีมากละ กินแต่ผักจ๊ะ กำหนดเจตนา ไปเลือกซื้อ ชี้เอานั่นเอานี่ แล้วก็จ่ายๆ เงินไป อันนี้ ถ้าทำแบบนั้นแล้วได้เจบริสุทธิ์ก็คงมีพระอรหันต์กันเกลื่อนเมืองแล้ว


การ "กินเจ" ตามเทศกาลมันเป็นเรื่องทางโลกตามประเพณีไม่ใช่ของแท้


ต่อไป การกินเจที่เราเห็นในเทศกาลกินเจได้ "เจบริสุทธิ์หรือไม่" พระจี้กง เมตตาตอบว่า "ไม่ได้เลย" มันเป็นแค่การกินเจแบบทางโลกเป็นเรื่องโลกๆ เป็นไปตาม "กระแสนิยมชั่วครั้งคราว" ก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวเข้าเทศกาลไหว้ เจ้า มันก็ฆ่าไก่ฆ่าหมูกันเพียบไปหมด เออ จิตใจมันก็เหมือนเดิม แล้วมันจะ ได้ "เจบริสุทธิ์" กันได้อย่างไร? ที่ไหนกัน? มันจะได้ก็แต่ "เจเปี้ยว" ก็เท่า นั้นแหละ มันเป็นเรื่องทางโลก เขาก็ทำกันไป เราไม่ได้ขวางอะไร เราบอก แค่ว่ามันยังไม่ใช่ "เจบริสุทธิ์" ในทางธรรมที่แท้จริง ก็เท่านั้นเอง แยกแยะ ให้ออกหน่อยนะ "อะไรที่เป็นทางธรรมแท้ อะไรที่เป็นแค่สมมุติทางโลก?" นี่ไม่เหมือนกัน ยังไม่เกิดปัญญาจริง ไม่เข้าถึงธรรมจริง อะไรๆ มันก็ได้แค่ โลกๆ สมมุติๆ ไปอย่างนั้นแหละ มันยังไม่ใช่เจบริสุทธิ์จริง อย่าเพิ่งไปหลง ตัวเองมากละ ว่าฉันกินเจได้ ฉันปฏิบัติกินเจมานาน ฉันได้ธรรมแล้ว โอ้ยนี่ เดี๋ยวนี้มันหลงตัวเองกันเยอะ เพราะมันถือตัวกันว่ามันปฏิบัติไดแล้ว แต่ที่ ได้นี่ มันของจริงหรือยัง? ตั้งตัวเป็นศาสดาบ้าง, อาจารย์สอนธรรมบ้างแต่ มันไม่ได้มี "ธรรมะจริงๆ" ธรรมจริงๆ ยังไม่เกิด ก็ออกมาทำงานก่อน มันก็ ไม่ผิดหรอก ถ้าเข้าใจตัวเอง ว่าตัวเองยังไม่ใช่ธรรมแท้ แต่ทำกิจปูทางไป ก่อน แต่นี่พอทำกิจไปแล้วมีคนมาแห่ห้อมล้อมมากก็เลยหลงตัวเองไปเลย


การโฆษณา-สอนว่าการกินผักดีกว่ากินเนื้ออย่างนั้น เป็นคำสอนของใคร?


ต่อไป พวกที่เป็นลัทธินอกคอกไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง "เจบริสุทธิ์" ก็พยายาม ทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับในความคิดของตน จึงได้ใช้การโฆษณา สั่งสอน ให้คนกินเจ กินผักว่าดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือ คำสอนของพระ พุทธเจ้าหรือไม่? พระจี้กงเมตตาตอบว่า "ไม่ใช่ มีหรือที่พระพุทธเจ้าท่าน สอนให้เลือกฉัน อย่างนั้น ดีกว่าอย่างนี้ เนื้ออย่างนี้ไม่ดีอย่างนั้น?" อะไร? แอบอ้างพระพุทธเจ้า "บาปหลายๆ เด้อ" ท่านไม่ได้มีสอนเรื่องโภชนาการ อะไรหรอก สอนแต่การเข้าใจในสัจธรรมความจริง แก่นแท้แล้วก็ไม่ยึด แม้ แต่อาหารที่กิน ก็เท่านั้นเอง แต่มีศีลให้ไว้จริงบ้างว่าเนื้ออะไรที่ภิกษุไม่ควร ฉัน ก็เท่านั้น ไม่ได้มีบอกเรื่องว่าเนื้อนี้มันไม่ดีอย่างนั้น เลยห้ามเป็นศีลไว้ว่า ไม่ให้กิน อะไรแบบนั้น ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีแต่พิจารณาสิ่งที่ ตนจะกิน เรียกว่าพิจารณาอาหาร เช่น อาหาเรปฏิกูลสัญญา อันนั้น มีบ้าง คือ ให้พิจารณารวมไปหมดว่าอาหาร ไม่ใช่ของที่จะยึด ไม่แบ่งว่านี่ผักนะ นี่เนื้อสัตว์นะ มันดี-เลว, ถูก-ผิด ต่างกันนะ อะไรแบบนั้นมีอยู่ตรงไหนหรือ


"บัวมีสี่เหล่า" อวโลกิเตศวรที่ดื้อด้าน ก็ตั้งตัวเป็นศาสดาแทนฯ ต่อไป


ต่อไป ยังมี "อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์" พวกหนึ่งที่ดื้อด้านสอนไม่ได้แต่ หลงตัวเอง ยกตัวเองเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า แล้วบอกกะคนทั้ง หลายว่าคำสอนของตัวเอง ก็คือ ของพระพุทธเจ้า ถูกต้องแล้ว เพราะ คิดว่าฉันคิดถูกแล้ว ฉันดีเลิศแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าโลกเรานี้ พระพุทธ เจ้านั้นเกิดได้ยาก ไม่มีใครเหมือน ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ตรัสรู้แล้วมี สัพพัญญูญาณ ไม่มีสาวกองค์ใดแทนที่ได้ เขาไม่สนใจเรื่องนี้ ก็เลย ตั้งตัวเป็นผู้นำแทนพระพุทธเจ้า ถือเอาความคิดของตนเป็นใหญ่แล้ว ไปเผยแพร่คำสอนว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ตอนนี้มีปัญหามาก เลย จะทำอย่างไรดีละ? พระจี้กงเมตตาตอบว่า "บัวมีสี่เหล่า" ท่านที่ อยู่ข้างบน ก็ทราบทั้งหมด ท่านไม่ได้บอกว่าใครทำถูกหรือผิดอะไร ก็ เป็นไปตามธรรมะ ธรรมชาติ เช่นนั้นเอง บัวบางดอกก็พร้อมจะบานแต่ บัวบางดอกก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น "ผ่าเหล่าผ่ากอ" ก็มีอยู่ทั่วไป ซึ่งท่าน พระจี้กงสำเร็จธรรมถึง "พุทธะ" สูงกว่าอวโลกิเตศวรที่แอบอ้าง ยกตัว เหล่านั้นมากมาย แต่พระจี้กงไม่เคยสร้างลัทธินิกายใดๆ เลย ไม่เคยยก ตัวเองเป็นผู้นำอะไรเลย ท่านทำกิจของท่านตามธรรมะ ธรรมชาติ แล้ว มีผู้อื่นนิยมชื่นชมท่าน ก็เท่านั้นเอง นี่ก็คือ "ตัวอย่าง-แบบอย่าง" ของ "พระสาวกที่ดี" มิใช่ "คนที่แอบอ้างนามพระพุทธเจ้า อ้างตัวเป็นสาวก แต่มีใจคิดกบถ ยกตัวเองแทนพระพุทธเจ้า เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่"


อวโลกิเตศวรที่ดื้อด้านเหล่านั้น ไม่มีบารมีถึงดวงดาว ต้องไปแบบปัจเจกฯ


ต่อไปคือ ผลจากความดื้อด้านของอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เหล่านั้น ก็จะนำ พาพวกหล่อนไปยังภูมิแห่ง "ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่ยากลำบาก และไม่มีสังคม ต้องหาทางตรัสรู้เองอย่างยาก และดำรงอยู่ในโลกในยุคที่ แสนยากลำบาก มีแต่คนมีกรรมหนักๆ มาเกิดทั้งสิ้น นั่นก็คือ ผลจากความ ดื้อด้านของอวโลกิเตศวรเหล่านั้น แทนที่จะได้นิพพานง่ายๆ เพียงรอให้มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้บนโลก รอรับท่าน รอการโปรดจากท่าน ก็ได้นิพพาน แล้ว ยังดั้นด้นไปหาความยากลำบากเอง อันนั้น ก็แล้วแต่เขา ถ้าเขาอยาก จะเลือกทางเดินเช่นนั้น เราได้บอกแก่เขาทั้งหลายแล้วถึง "เหตุและผล" ที่พวกเขาก่อไว้ เขาก่อเหตุไว้อย่างนี้ จะได้ผลอย่างไร สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับ พวกเขาเอง ที่ผ่านมาเราเคยเห็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" แต่ละพระองค์ซึ่ง บำเพ็ญบารมีมา "ล้วนต้องฆ่าตัวตาย" เอาตัวเองรอดไปคนเดียวทั้งสิ้น นี่ ไม่ใช่ของดี คนที่ฆ่าตัวตาย เพราะกรรมมาก กรรมหนัก มีทุกข์มาก แต่นี่ก็ คือ "วิถีการเข้าสู่ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า" ในขณะที่พระพุทธเจ้า ก็ มีการฆ่าตัวตายเช่นกัน แต่ท่านจะฆ่าตัวตายเพื่อเป็นพุทธบูชา เช่น การใช้ ร่างกายจุดต่างประทีปบูชาพระพุทธเจ้า, การตัดเศียรตนเองถวายแด่พระ พุทธเจ้า ฯลฯ นับว่าเป็นวิบากกรรม ฆ่าตัวตายเหมือนกัน แต่ไปคนละทาง คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตชาติ บำเพ็ญบารมีมา "จะตัวตายเพื่อเอา ตัวรอดจากความทุกข์ไปเดี่ยวๆ ไม่มีการถวายอะไรเป็นพุทธบูชาเลย" นี่ ท่านอยากพบจุดจบเช่นนั้น ก็ตามแต่ใจนะ เราได้เตือนท่านทั้งหลายแล้ว


อวโลกิเตศวรที่ดื้อด้านเหล่านั้น จำต้องพึ่งบารมี "พระนิตยโพธิสัตว์"


สุดท้ายคือ ถ้าอวโลกิเตศวรที่ดื้อด้านเหล่านั้น ต้องการหลุดพ้นจากวิถี แห่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็จำต้องพึ่งบารมี "พระนิตยโพธิสัตว์" องค์ใด ก็ได้ สักองค์หนึ่ง ไม่อาจไปรอดได้ด้วยตัวคนเดียว เอาละ ลองดูหนังจีน กำลังภายในใช่ไหม? พวกเขาก็ไม่ต่างจาก "หลีชิวสุ่ย, ลีม๊กโช้ว, แม่ ชีมิกจ้อ" ฯลฯ พวกนี้เก่งทั้งนั้น "เป็นผู้หญิงเก่งที่เอาตัวไม่รอด" จึงต้อง มีพระนิตยโพธิสัตว์เข้ามาพัวพันกรรมด้วย เพื่อช่วยฉุดให้มีทางรอดนั่น แหละ เป็นผู้หญิงเก่งที่ดื้อด้าน ไม่มีใครเอาอยู่ สอนไม่ได้แต่เพราะความ เก่ง ก็ทำให้คนหลงกันมาก เทียบกับในยุคปัจจุบัน พวกหล่อนเหล่านี้ ก็ คือ ผู้หญิงที่ตั้งตนเป็นผู้นำทางธรรม, ตั้งสถานธรรม ตั้งตัวเป็นอาจารย์ ทั้งหลายทั้งแหล่ นั่นแหละ แต่ไปไม่รอด ไม่ถึงนิพพานจริงๆ หรอก ทว่า พูดไปเขาก็จะหาว่า เราดูถูกเขา เขาย่อม ไม่ยอมรับสิ่งนี้ได้อยู่แล้ว อีก ประการเขาก็เป็นผู้นำ เป็นใหญ่เป็นโต ต้องคุมคนมากมาย อย่างนี้ เขา ก็ "หน้าใหญ่มากๆๆ" จะให้เขาหน้าแตกต่อหน้าลูกน้อง ลูกขุนพลอย พยัคฆ์เหล่านั้นได้อย่างไร? เอาละ เราจะบอกให้ว่าชาติสุดท้ายของคน พวกนี้ไปไหน? ถ้าโชคดี ก็จะมีพระนิตยโพธิสัตว์มาฉุดช่วยดึงไว้ ก็จะมี ฐานะเป็น "พุทธมารดา" ผู้ให้กำเนิดบ้าง ผู้เลี้ยงดูบ้าง แต่ไม่มีทางที่จะ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ เขาผูกเงื่อนกันไว้อย่างนี้ ว่าไม่ให้โปรดได้ เขาจะดื้อด้านต่อไปจนกว่าจะถึง "ชาติสุดท้าย" ที่พระนิตยโพธิสัตว์ได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ เขาถึงจะยอม "เข้านิพพาน" นี่แหละ ทำไว้ ร่วมกันอย่างนี้เลยต้องมากระทบ มาเจอกันหลายชาติก็ไม่จบสักที 555 จบแล้วคร้าบ ...


6 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS