ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

พลังศักดิสิทธิ์แห่งเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะตกอยู่แก่ผู้ใด?

สวัสดีครับ ยังมีเรื่องเกราะอัศวินชัมบาลาที่ผม ก็ยังไม่ได้ให้รายละเอียดไว้มากนักซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะครับ เพราะมันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่ในยุคนี้ (5,000 ปีแห่งพุทธกาล) สรุปง่ายๆ ก็คือ ผู้ใดได้รับชุดเกราะอัศวินศักดิสิทธิ์แห่งชัมบาลา ผู้นั้นจะมีอำนาจมากมาย และจะได้ขับเคลื่อนโลกนี้ไปด้วยมือของตนเอง


มานั่งลงฟังกันง่ายๆ สบายๆ นะครับ ...



พลังคุ้มครอง "ยุคพุทธกาล" คือ พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา?


อย่างแรกท่านต้องเข้าใจก่อนคือ "โลกนี้มียุคสมัย" อยู่ มันเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ที่คุณต้องดูทีละเรื่องไป (ทีละยุค) จึงจะเปลี่ยนเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งได้ (ไปสู่อีกยุคหนึ่ง) เข้าใจง่ายดีไหมครับ เอาละ ทีนี้ เพื่อให้หนังเรื่องนั้นเล่นจนจบได้ตาม "บทละครของผู้กำกับ" มันจึงต้องมีการ"ควบคุมและกำกับการแสดง" นะครับ เพื่อไม่ให้ตัวละครที่มาเกิดบนโลกนี้ เล่นนอกบท ออกนอกเรื่องไปหมด แล้วมันจะไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิด ควรมีควรเป็น "ในยุคนี้" ไงละครับ ทีนี้ อะไรละที่ทำหน้าที่นั้น? ผมเรียกง่ายๆ ว่า "พลังศักดิสิทธิ์แห่งการควบคุมยุคสมัย" ก็แล้วกัน ง่ายดีไหมครับ ทีนี้ พลังงานนี้ อยู่ในรูปของอะไรละ? คำตอบคือ มีทั้งรูปพลังงานที่ไม่มีรูปแบบตายตัว, พลังงานที่มีรูปแบบตายตัว หรือแม้กระทั่งรูปธรรมชีวิต ก็มีครับ ในบรรดาพลังงานเหล่านี้ ที่สำคัญที่สุดคือ "พลังของชุดเกราะแห่งอัศวินชัมบาลา" ผู้ปกป้องคุ้มครองยุคสมัย ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไปครับ



ตำนานความเป็นมาแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา เกิดแต่ครั้งพุทธกาล


พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา มีมานานแล้ว แท้แล้วก็คือ "พลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" นั่นเอง พลังงานเก่าเหล่านี้ จะยังไม่ได้รับการชำระล้างให้หมดไปจนกว่า "จะสิ้นยุคพุทธกาล 5,000 ปี" เพราะเป็น "พลังแห่งการดูแลยุคสมัย" ให้ดำรงอยู่ในแบบที่มันควรจะเป็น และในเมื่อมันคือพลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าฯ ดังนั้น มันจึงมีที่จากพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ครั้งท่านยังดำรงชีพอยู่นั่นเอง นั่นหมายความว่า "ท่านเคยใช้มันทำกิจมาก่อน" และท่านได้ถ่ายทอดให้พระสาวกที่เหมาะสมจะได้รับทั้ง 4 ท่าน เช่น พระมหากัสสปะ ท่านได้รับเมื่อเกิดมีการแลกเปลี่ยนจีวรกับพระพุทธเจ้า, พระอชิตะ ท่านได้รับเมื่อได้ไปหาบาตรของพระพุทธเจ้าสำเร็จ หรือกล่าวให้ง่ายๆ ก็คือ ท่านเหล่านี้ ก็คือ "สองในสี่อัศวินชัมบาลา" นั่นเอง ซึ่งอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะเป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนาสืบไปจนครบอายุพุทธกาล 5,000 ปี ทั้งยังต้องทำกิจขับเคลื่อนโลกให้ดำเนินไปตามกรรมที่ควรจะเป็นอีกด้วยซึ่งมันจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ทั้งหมดเลยทีเดียว ดังนั้น ผู้ใดได้รับพลังนี้ไป ผู้นั้นจึงกลายเป็น "ใหญ่ในโลก" มีอำนาจมากในโลกยุคนี้เลยครับ



พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ แท้จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่?


พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ แท้จริงแล้วก็คือพลังงานชั้นนอกของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ใช่ระดับชั้นของ "ธรรมกาย" แต่เป็น "นิรมาณกาย" ของท่าน ทั้งสี่นิรมาณกาย นั่นเอง (พระพุทธเจ้ามี 3 กาย ได้แก่สัมโภคกาย, ธรรมกายและนิรมาณกาย ในส่วนนิรมาณกาย มีทั้งสิ้น 4 นิรมาณกาย) หรือก็คือ "จิตวิญญาณชั้นนอกที่คุ้มครองสังขารของท่านให้ทำกิจได้สำเร็จ" ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 เหล่า คือ เทพ, มาร, ยักษ์, และพรหมเมื่อท่านละสังขาร จิตวิญญาณทั้ง 4 นี้จรออกจากร่างแล้วก็ได้เข้ามาทูลขอ "พระพุทธศาสนา" ต่อพระพุทธเจ้า ท่านก็ได้ยกให้ แต่พระอานนท์ ก็ทูลขอไว้สักครึ่งหนึ่งก่อน หลังกึ่งกลางพุทธกาล จิตวิญญาณทั้ง 4 นี้ จึงจะมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ หมายความว่าอะไร? หมายความว่า เมื่อครั้งมีพระพุทธเจ้าอยู่ จิตวิญญาณทั้งสี่ห่อหุ้มท่านภายนอก เพื่อเชื่อมโยงท่านกับเหล่านั้นทั้งสี่เหล่า (เทพ, มาร, ยักษ์, พรหม) จึงทำกิจโปรดสัตว์ ได้มากมาย แต่เมื่อท่านดับขันธปรินิพพานแล้ว ทั้งสี่นี้จะเลือก "ร่างสังขาร" ใหม่เพื่อ "ห่อหุ้ม" ภายนอกแล้วทำกิจต่อไป จนกว่าจะหมดอายุพุทธกาลคือ 5,000 ปี หรือก็คือวิธี "การสืบทอดทายาทพระพุทธศาสนา" โดยใช้พลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าหรือนิรมาณกายของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ได้นิพพาน เพื่อทำกิจต่อไปแบบ เหนือสังขาร คือ ในสังขารอื่น เพราะสังขารของพระพุทธเจ้าจะมีอายุไม่มากต้องสิ้นไป ด้วยวิธีนี้ จึงสามารถเชื่อมโยงให้เหล่าปวงสัตว์ที่มีบ่วงกรรมเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าแต่ครั้งก่อนมา ได้มีสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาต่อไปได้ เพราะท่านไม่มีสังขารแล้ว จึงต้องมีการเชื่อมโยงด้วยวิธีนี้ จึงจะทำให้ผู้รับสืบทอดศาสนา ทำกิจได้เหมือนเดิม



พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ และ "ทายาทสายธรรมทั้งสี่"


พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะตกทอดแก่ทายาทแห่งสายธรรมทั้งสี่ เปลี่ยนร่างสังขารไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดสิ้นยุค ซึ่งได้แก่

1. ทายาทสายเทพ : จิตวิญญาณเทพกระต่าย ซึ่งจะทำหน้าที่รับพลังธรรมจาก "พระจันทร์ยูไล" แล้วถ่ายทอดพลังธรรมออกไป ขณะโปรดสัตว์ ดังนั้น จึงเหมือนมีธรรมมาก (แต่เป็นพลังธรรมจากพระจันทร์ยูไล) หลอกล่อให้ปวงสัตว์เข้ามาหามากๆ ก่อนที่พระธรรมกายจะโปรดอีกทีนอกจากนี้ เทพกระต่ายยังปรุง "ปราณเสพติด" ทำให้คนเสพติดธรรมไว้ก่อนแล้วจึงจะแก้ให้ทีหลังเพื่อยึดโยงปวงสัตว์เอาไว้ก่อนนั่นเอง อนึ่ง สายธรรมนี้ จะเลือกมาจากคนที่ทำงานเป็นลูกน้องคนอื่น มีอินทรีย์ที่แก่กล้าดีเพราะทำงานมาก หมดกรรมจากการเป็นลูกน้องแล้วเข้าสายเทพเช่น พระอานนท์ (รับใช้พระพุทธเจ้า) ก็ได้รับสืบทอดสิ่งนี้ ทั้งยังเคยใช้ดึง "ภิกษุณีโกกิลา" (ที่เคยเป็นทาส) ตามมาบวชจนบรรลุธรรมอีกด้วย

2. ทายาทสายมาร : จิตวิญญาณ "มารพุทธะ" ซึ่งมีรูปกายภายนอกที่เหมือนพระพุทธเจ้าครบทุกประการ ทว่า จิตวิญญาณนี้ไม่ใช่ "ธรรมกายที่มีธรรมจริง อยู่" ดังนั้น จึงทำได้เพียงหลอกล่อให้คนเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่พระธรรมกายของท่านจะ "โปรดในเวลาที่เหมาะควร" ตามอินทรีย์ ที่พร้อมรับ (ไม่ใช่จะให้ธรรมแท้ได้ทุกเวลา ต้องดูทุกปัจจัยให้พร้อมด้วย) สิ่งนี้ได้ถ่ายทอดให้แก่ "พระมหากัสสปะ" ทำให้ท่านกลายเป็นคนเคร่งธรรมวินัยมากเกินไป (ตามลักษณะของพลังมาร) แต่ก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น อนึ่ง พลังนี้จะถ่ายทอดให้แก่ท่านที่ "เก็บตัวอยู่นานๆ หรือได้รับโทษโดยอยุติธรรมแล้วยอมทดได้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบ" ผลจากบารมีที่อดทนบำเพ็ญเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบ ทำให้ได้พลังมารที่มากด้วยกฏ-วินัยนอกจากนี้ คนจะชอบและเข้ามารุมล้อมมาก เพราะเปลือกนอกที่น่าศรัทธานับถือสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณ์แห่งพระรัตนตรัย (แต่สิ่งนี้ยังไม่ได้ธรรมจริง)

3. ทายาทสายพรหม : จิตวิญญาณ "นารายณ์ภาคมืด" หรือ "ลูซิเฟอร์" นั่นเอง ทำไมต้องเป็นลูซิเฟอร์? เพราะ 1 เขาไม่มีทางไป พระเจ้าไม่รับเขาเขาจึงต้องมาพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า 2 เพราะเขาได้ขโมยกิจผลไม้แห่งการหยั่งรู้เข้าไป ทำให้เขาเหมือนคนรู้มากไปหมด คล้ายสัพพัญญูญาณ จึงดึงผู้คนมากมายในสายพรหมเข้ามาหาได้มากมายเพื่อพระธรรมกายจะโปรดต่อในภายหลัง (หลอกล่อให้เข้ามาก่อน) ดังนั้น ท่านจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เขาจึงมีอำนาจมากในโลกนี้ และทำไมมนุษย์จึงนับถือเขาเหมือนดั่งพระเจ้า (เพราะเขาคือ นิรมาณกายหนึ่งของพระพุทธเจ้า นั่นเอง) เอาละ ไม่ว่าเขาจะดูดีหรือร้ายอย่างไรในสายตาท่านแต่เขาก็เหมาะสมที่จะทำกิจดึงผู้คนเข้ามาหาได้ก็แล้วกัน ซึ่งเขาจะเลือกดึงคนกลุ่มที่มีทุกข์มากๆ ซึ่งเบื่อหน่ายโลกหรือสามภพนี้แล้วแต่เขาหลงผิดไปจึงคิดว่าการดึงออกจากสามภพก็ไม่ต้องเวียนว่ายในสามภพแล้ว แต่เขาก็ทำให้สัตว์นิพพานไม่ได้

4. ทายาทสายอสูร : จิตวิญญาณ "ทศกัณฐ์" ซึ่งมีบริวารมาก จะดึงสายพลังอสูรเข้ามาได้มาก พวกเขาจะมีกำเนิดที่ต่ำต้อย และรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของการเกิดมาบนโลกนี้ และมีใจที่ต้องการ "พัฒนาตนเองให้สูงขึ้น" จึงพร้อมและเหมาะที่จะโปรด ทว่า อสูรก็คืออสูรอยู่วันยังค่ำ พวกเขาแม้จะอยากทำตัวให้ดีขึ้น แต่ก็ยังติดนิสัยเดิม แก้ได้ยาก อยู่ดี เมื่อมีพลังอสูรแล้วก็จะดึงคนที่มีสายสัมพันธ์มาทางอสูรได้มากด้วย มนุษย์จะมีพลังงานภายนอกปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เมื่อถึงเวลาจะบรรลุธรรม พลังงานชั้นนอกในส่วนที่เป็นจิตวิญญาณจะจรออกชั่วขณะ ทำให้เหลือ "จิตหนึ่ง-จิตเดียว" นั่นคือ "ช่วงโอกาสในการบรรลุธรรม" ต้องมีจิตหนึ่งเดียว จากนั้น จึงมีพลังงานที่เป็นจิตวิญญาณชั้นนอกกลับเข้ามาคุ้มครองสังขารให้ดังเดิมต่อไป


เอาละ หวังว่าท่านคงเข้าใจ "พลังงานที่ช่วยจูนดึงคนเข้ามา" หาธรรมก่อนที่พระพุทธเจ้าจะโปรดด้วยพระธรรมกายภายหลังนะครับ มันคือสิ่งที่เหมือนกุศโลบายในการดึงคนเข้ามาเท่านั้น อย่าคิดมาก แม้ว่าพวกนี้จะยังไม่ได้ธรรมแท้จริง แต่เขาก็มีหน้าที่ดึงคนเข้ามา ก็เท่านั้นเอง ครับ



"ทายาทสายธรรมทั้งสี่" หรือ "อัศวินชัมบาลาทั้งสี่" ชุดแรกได้แก่ใคร?


หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ทายาทสายธรรมทั้งสี่ ชุดแรกได้แก่

1. สายเทพ คือ พระอานนท์ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณเทพกระต่าย
2. สายมาร คือ พระมหากัสสปะ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณมารพุทธะ
3. สายพรหม คือ พระมหากัจจานะ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณลูซิเฟอร์
4. สายอสูร คือ พระอชิตะ ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณอสูรทศกัณฐ์


ทั้งสี่ท่านเมื่อได้รับสืบทอดทายาทธรรมแล้ว จึงทำกิจแตกต่างกันไป เช่น พระมหากัจจานะ ได้รจนาคัมภีร์มูลกัจจายน์ไว้ เพื่อให้ชนรุ่นหลังสามารถเข้าใจในไวยกรณ์บาลีสันสกฤตได้, พระมหากัสสปะ สังคายนาพระไตรปิฎก, พระอานนท์สืบทอดพลังธรรมจาก "พระจันทร์ยูไล", พระอชิตะ ก็ดูแลความเป็นอยู่, ปัจจัย, อาหารการกินของหมู่สงฆ์ ฯลฯ เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่คล้ายครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทว่า เพราะท่านทั้งสี่ไม่ทันเฉลียวใจคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาทิคุณมาก จึงหาวิธีอยู่เหนือสังขาร และ "ไม่ได้รีบร้อนจะนิพพานเลย" ตั้งแต่บอกเรื่องมารมาทูลให้ปรินิพพานแก่พระอานนท์แล้ว ท่านไม่ได้รีบร้อนนิพพาน จึงหาวิธีอยู่ต่อไปจนกว่าจะครบ 5,000 ปี ตามสัจจสัญญาว่าจะช่วยให้สัตว์ทั้งหลายได้นิพพานจนกว่าจะครบอายุพุทธกาล (เช่น ท่านลั่นสัจจะวาจาว่าขอเพียงเหลือพระธรรมเพียงนิด ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงก็ถึงนิพพานได้) นี่เป็นลักษณะหนึ่งของการให้การรับรองธรรมของท่านเอง เป็นสัจสัญญาที่จะคอยช่วยให้ปวงสัตว์ได้ถึงนิพพาน ด้วยเหตุนี้ท่านจึง "นิพพานบางส่วนเพื่อเหลือมโนธาตุ" ไว้ เพื่อโปรดสัตว์ ต่อไป ดังนั้น "พระธรรมกาย" ของท่านจึงยังมิได้นิพพานไปหมด ทว่า พวกเราได้พบพระธรรมกายนั้นหรือไม่หรือได้แต่หลงรูปกายแห่งพระพุทธเจ้าแล้วติดอยู่กับนิรมาณกายของท่านกันแน่? (ซึ่งนั่นเป็นเพียงมารพุทธะเท่านั้นเอง) และเพราะท่านทั้งสี่ ไม่ได้เฉลียวใจในจุดนี้ "จึงไม่ได้ค้นหาพระธรรมกายนั้นเพราะคิดว่านิพพานไปหมดแล้ว" ท่านจึงทำกิจ "ต่างคนต่างทำ-ต่างคนต่างคิด" สุดท้าย ก็เกิดการแตกแยกเป็นลัทธิ, นิกายต่างๆ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการที่ได้รับนิรมาณกายจากท่านแล้วก็ยังต้องเชื่อมโยงกับพระธรรมกายของท่านให้ได้ดังเดิมด้วย "พระธรมจึงจะไม่ขาดหาย" (ดังนั้น หลวงพ่อสด จึงได้รับคำสั่งให้ลงมาเกิดเพื่อค้นหา สิ่งที่เรียกว่า "พระธรรมกาย" นี้ นั่นเอง)



เส้นทางที่ขัดแย้งระหว่าง "พระเจ้า" และ "พลังแห่งอัศวินชัมบาลา"


ท่านอาจคิดไปว่าอัศวินชัมบาลาต้องทำแต่สิ่งที่ดีไหม? มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เราควรเรียกว่า "ทำสิ่งที่ควรทำ-จำเป็นต้องทำ" มากกว่า เพราะว่าการทำความดีต่อปวงสัตว์มากไป อาจทำให้สัตว์หลงทาง หลงโลก และไม่มีใครอยากเข้านิพพานเลยก็ได้ ดังนั้น นี่จึงเป็น "จุดเริ่มต้นของความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและอัศวินชัมบาลา" เช่น พระเจ้าต้องการสร้างโลกให้ดีงาม แต่อัศวินชัมบาลากลับพาปวงสัตว์ไปทำสงคราม เสียก็ได้ ทำไมละ? ก็เพื่อให้เข้าคอนเซฟ "เข้านิพพานด้วยทุกข์" ไงละ ถ้าโลกไม่มีทุกข์ คนก็หลงโลก ไม่มีใครอยากเข้านิพพานเลย นี่ละ เพราะเหตุนี้ "อสูรทศกัณฐ์จึงเป็นหนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลา" ไงละครับ หรือแม้แต่ลูซิเฟอร์ ก็กลายมาเป็นหนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลาทั้งๆ ที่ขัดแย้งกับพระเจ้า เพราะอะไร? พอจะมองเห็นมุมมองที่แตกต่าง และสถานการณ์ที่ต่างกันไหมครับ? มันไม่ใช่ความผิด หรือความถูกของใครนะครับ เพียงแต่ "ทุกคนมีหน้าที่ที่ต่างกันไปก็เท่านั้นเอง" ทีนี้ ท่านพอเข้าใจคำว่า "มันไม่มีใครผิดหรือถูก" แต่มันมีหน้าที่แตกต่างกัน เท่านั้นเอง เอาละ เห็นไหมละ แม้แต่ซาตาน ก็มีหน้าที่ของเขานะครับ โอเคไหม? ต่อไปที่ท่านต้องเข้าใจคือ ใครได้รับทายาทนี้ไปจะมีอำนาจมากในโลกด้วยครับ แต่พวกเขาอาจได้รับแต่ความมืดมนในท้ายที่สุดจะมีแต่ทุกข์ และต้องยอมจำนนต่อโลกนี้ และอยากหลุดพ้นไงละครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันช่างเป็นทุกขลาภหรือจะเรียกว่าอะไรดีนะ ไม่ละมันก็เป็นเช่นนั้นของมันเองนั่นแหละ ดังนั้น ผู้ที่จะรับสืบทอดชุดเกราะนี้ก็ควร "มีพลังธรรมมาก" จริงๆ ไม่เช่นนั้น อาถรรพ์ของชุดเกราะทั้งสี่นี้คงจะลากพาท่านไปสู่นรกไม่ก็โลกมืด แน่นอนละครับ คิดให้ดีๆ ก่อนละ



ผู้ถูกเลือกทั้งสี่ให้ได้รับ "พลังแห่งชุดเกราะอัศวินชัมบาลา" เป็นอย่างไร?


ผู้ที่ถูกเลือกแล้วทั้งสี่ ให้ได้รับชุดเกราะอัศวินชัมบาลา จะต้องถูกเตรียมตัวให้มีลักษณะที่พร้อมรับชุดเกราะนั้นๆ ให้ได้ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันดังนี้

1. ชุดเกราะเทพ : ร่างสังขารจะถูกเตรียมจาก "ลูกน้องที่ซื่อสัตย์" ไม่ว่าจะทำงานให้เจ้านายคนใด ก็ตาม จนหมดวิบากกรรม จากการเป็นลูกน้องแล้ว เขาก็จะไม่มีอะไรจะทำ และจะต้องฝึกรับ "พลังธรรมจากเบื้องบน" เพราะพลังสายเทพ จะเป็นพลังงานที่รองรับพลังธรรมที่บริสุทธิ์ถูกต้องจากเบื้องบนโดยตรง ซึ่งพวกเขามีอินทรีย์ที่แก่กล้ามากจากการทำงาน

2. ชุดเกราะมาร : ร่างสังขารจะถูก "ให้รับโทษอย่างอยุติธรรม" เช่น ถูกจับขังคุก หรือกักบริเวณ หรือถูกใส่ร้ายอย่างอยุติธรรม แล้วสังขารก็ยอมรับโทษนั้นเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบโดยรวมแต่เพราะได้รับอยุติธรรมจึงมีความโกรธแค้นเกิดขึ้นบางส่วน ทำให้ประสานพลังกับภาคมารได้

3. ชุดเกราะพรหม : ร่างสังขารจะ "ทำผิดแล้วไม่ยอมรับโทษ" จะต้องหาวิธีอยู่รอดให้ได้เหนือกฏหมาย แล้วเมื่อเขาทำได้ จะกลับมามีอำนาจมากมาย ซึ่งเป็นรอยกรรมที่สอดคล้องกับลูซิเฟอร์ นั่นเอง ซึ่งในประเทศไทย ก็มีสังขารที่ถูกเตรียมสังขารไว้เช่นนี้เช่นกัน (แปลกใจไหมละครับ)

4. ชุดเกราะอสูร : ร่างสังขารที่เกิดจากจุดที่ต่ำต้อย และพยายามพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้น โดยหาเส้นสาย พรรคพวกให้มากๆ เข้าไว้ แต่ไม่ได้ยอมจำนนต่อคนเหล่านั้นอย่างแท้จริง เพราะตีหลายหน้าได้เก่ง ไม่ต่างอะไรกับ "ทศกัณฐ์" นั่นแหละ ทว่า เขากลับมีศรัทธาที่แท้จริงต่อสิ่งศักดิสิทธิ์นะ แม้ว่าเขาจะไม่เลือกที่จะเชื่อใจเจ้านายคนใดที่เป็นมนุษย์นัก ก็ตามที


เอาละ สิ่งสำคัญที่สุดที่จะเลือก "ใครมาเป็นร่างสังขาร" นั้นๆ ก็คือ เขาจะต้องมี "บุญบารมีมาก" ทำไว้แต่หนหลัง เอาไว้เป็นทุนประกันว่าเมื่อเขามีอำนาจมากแล้ว เขาจะไม่หงายหลังไปเสียก่อน เพราะเขาจะได้รับอะไรที่มากมายเหนือคนอื่นเลย ดังนั้น เขาจึงจะต้องมีบุญบารมีเก่า ทำไว้เป็นทุนและมีพลังจิตที่กล้าแกร่งมากพอที่จะ "ควบคุมพลังของชุดเกาะทั้งสี่" ได้



สุดท้ายนี้ ถึงเวลาชำระล้างพลังงานเก่าของพระพุทธเจ้า 1 ใน 4 ส่วนเพื่อปรับยุคสมัยเปิดรับ เตรียมพร้อมเข้าสู่ "ยุคพระศรีอาร์ฯ" เพื่อไม่ให้พลังงานเก่าของพระพุทธเจ้าสมณโคดม กำหนดความเป็นไป กำกับบทให้โลกเป็นยุคของท่านไปตลอด จึงต้อง "ค่อยๆ ปรับพลังควบคุมออก" โดยในยุคแรกจะปรับออก 1 ในสี่ส่วนคือ พลังงานสายเทพจะชำระล้างพลังงานเก่าที่เป็นพลังงานของเทพกระต่ายออก จากนั้น จักรวาลจะส่ง"พลังงานใหม่-สายเทพ" ลงมาดูแลโลกแทนพลังงานชุดเก่าจึงจะเกิดการผสมผสานของพลังงานที่ขับเคลื่อนโลกทั้งสี่ส่วนในสูตรใหม่ ได้แก่ Y + 3X นั่นเอง หรือก็คือ พลังงานใหม่ 1 ส่วน รวมกับพลังงานเก่าสามส่วน นั้นเอง เอาละ ช่วงนี้ โลกจะแปรปรวนและยากแก่การคาดเดามากที่สุด เพราะมันยังไม่ลงตัวนะ รอให้ลงตัวก่อนก็จะทำนายได้ชัดเจนขึ้นครับ


ขอพลังชุดเกราะศักดิสิทธิ์จงคุ้มครองโลกนี้อย่างที่ควรจะเป็น สวัสดีครับ



5 ก.ค. 2555


"เสียงจากชัมบาลา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment