ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

เปิดมิตินครลึกลับแห่งชัมบาลา อาณาจักรแห่งอัศวินผู้กล้า

สวัสดีครับ ผมคงต้องกล่าวถึงเรื่องที่เคยกล่าวไว้ต่อเนื่องไปเลยก็แล้วกัน เพื่อให้ท่านเข้าใจอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ซึ่งผมคิดว่าท่านจะหาข้อมูลจากที่อื่นๆ ได้มากมาย สำหรับข้อมูลส่วนนี้ ผมนำเสนอในมุมมองของผมก็แล้วกัน เชิญทัศนาได้ครับ


ธรรมภายในระบบ และธรรมที่หลุดพ้นจากระบบ ต่างกันไฉน?


ในโลกของท่าน ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ได้ร่วมกันสร้าง "ระบบสมมุติ" เพื่อรองรับธรรม หรือผู้มีธรรมไว้ เรียกว่า ศาสนา ก็ดี, ลัทธิ ก็ดี, นิกาย ก็ดี ทว่า ธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบเช่นนั้น ก็ได้ ผู้บรรลุธรรมเอง ก็เช่นกัน บางท่าน ไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบเช่นนั้นเพราะสัจธรรมนั้นเป็น"สากล" มันจึงเข้าถึงได้ทั้งผู้ที่อยู่ในระบบหรือไม่อยู่ในระบบ ก็ตาม แต่มันมีความแตกต่างกันมากอยู่ เช่น ถ้าท่านเข้าสู่ระบบใดระบบหนึ่ง ท่านก็จะได้รับการโอบอุ้มดูแลจาก "ผู้สร้าง" ของระบบนั้นๆ จะเรียกว่าเป็น"พระเจ้า" ของระบบนั้นๆ ก็ได้ (ถ้าคุณเข้าใจความหมายของคำว่าพระเจ้าจริงๆ นะ) ทว่า พวกเขาก็มี "พันธสัญญา" ร่วมกันด้วยในการดูแลระบบและร่วมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ร่วมกันในระบบนั้นๆ ทว่า ยังมีบางส่วน บางท่าน ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบใดเลย และก็ไม่ได้สร้างระบบใดขึ้นมาใหม่ ทว่า ก็เป็นผู้มีธรรมเช่นกัน ในกลุ่มนี้ ถ้ามีธรรมถึงที่สุด จะเรียกว่าเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" นั่นเอง ทว่า ยุคนี้ไม่ใช่ ยุคที่จะเกิดมีสิ่งนั้นได้ จึงมีกระบวนการ "ห่อหุ้ม" (สวมเกราะ) คนบางประเภทเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะถึงที่สุดแห่งธรรมและกลายเป็นพระปัจเจกฯ ไป พวกเขามิได้ต่อสายธรรมสายใด ไม่ได้อยู่ในระบบลัทธิ, นิกายใด แต่มีธรรมสูงไปกว่าผู้ที่อยู่ในลัทธินิกายต่างๆ มาก เข้าข่ายอาจจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ ดังนั้น กระบวนการห่อหุ้ม จึงเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่ผิดยุคขึ้น



กำเนิด "พุทธะเชิงนักรบ" อัศวินแห่งแสงสว่าง และเหล่าผู้กล้าที่ลึกลับ


ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้เกิดกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่มีลัทธิ, นิกาย หรือศาสนาแน่ชัด ขึ้นมา แต่พวกเขากลับมี "ธรรมในตนเอง" เกือบตรัสรู้ด้วยตนเองเป็นพระปัจเจกฯ ทว่า เพราะการ "ห่อหุ้ม" เอาไว้ให้ก่อน พวกเขาจึงยังไม่ถึงที่สุดแห่งธรรมได้ (หากตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ ผิดยุค จะเกิดภัยพิบัติมากมายบนโลกได้) พวกเขาจึงต้องอยู่ในอีกฐานะหนึ่งที่เรียกว่า "พุทธะเชิงนักรบ" หรืออัศวินชัมบาลา และมักไม่ค่อยปรากฏตัวมักอยู่อย่างลึกลับ นอกจากนี้ ผลจากการสำเร็จด้วยวิธีนี้หนึ่งคน จะส่งผลให้เกิดคนต่อๆ ไปมากขึ้นไปได้อีกด้วย เมื่อนั้นก็จะเกิดอัศวินชัมบาลา ที่อยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นๆ มากขึ้นไปด้วย เป็นการขยายอาณาจักรชัมบาลาให้กว้างขวางยิ่งๆ ขึ้นไป พวกเขาจะไม่ได้บวชเป็นพระและมักเป็นฆราวาสบ้างก็เป็นพระราชา ยังมี ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น พวกเขาจะมีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ คือ "ใสหุ้มเกราะ" คือ ภายในระดับลึกจะใสบริสุทธิ์มาก แต่จะถูกห่อหุ้มด้วยพลังงานเชิงซ้อน ที่มีกิเลสอยู่เปลือกนอก ทำให้เปลือกนอกดูเหมือนคนปกติ เหมือนปุถุชนที่มีกิเลสได้ แต่ภายในระดับลึก กลับไม่มี! ซึ่งพวกเขาไม่มีหน้าที่ที่จะสืบทอดต่อสายธรรมในลัทธฺ, นิกายใดเป็นการเฉพาะ แต่จะมีหน้าที่เหมือนแม่ทัพที่ดูแลทั้งหมดในภาพรวมหรือองค์รวมมากกว่า ดังนั้น พวกเขาจึงอยู่นอกระบบลัทธิ, นิกาย แต่ก็ดูแลได้ทั้งหมด



การบรรลุธรรมแบบ "ต่อสาย" กับการบรรลุธรรมแบบ "ด้วยตนเอง"


การบรรลุธรรมสามารถแบ่งได้สองแบบ คือ แบบปกติทั่วไป คือ การบรรลุด้วยการต่อสายธรรม สายใดสายหนึ่ง ในลัทธิหรือนิกายใดๆ ก็ได้ แต่จะต้องมี "ครูบาอาจารย์ที่มีสังขารเป็นมนุษย์" เป็นผู้ต่อสายให้ และเมื่อได้ธรรมแล้ว จะต้องมีธรรมแบบเดียวกันดังเดิมเหมือนสายธรรมเดิมนั้น ทว่ายังมีคนบางกลุ่มที่ "แตกแถวออกไป" คือ "บรรลุได้ด้วยตนเองและไม่ได้ต่อสายธรรมจากสังขารมนุษย์คนใด" เช่น มีครูบาอาจารย์เป็นตัวตนในมิติที่สูงขึ้น หรือมีครูบาอาจารย์เป็นมนุษย์ถ่ายทอดธรรมให้ ทว่า กลับได้ธรรมที่เหนือกว่า หรือที่ครูอาจารย์กลับไม่มี แม้ว่าจะบวชพระ หรืออยู่ในลัทธิ, นิกายอะไรก็ตาม ทว่า "ถ้าบรรลุได้ด้วยตนเอง แล้วได้ธรรมเหนือไปกว่าต้นสาย" ก็จะเข้าข่าย "บรรลุด้วยตนเอง" เช่นกัน เช่น ถ้าครูบาอาจารย์สอนสมาธิให้แบบนั่งปกติ แต่ตนไม่ได้บรรลุจากการรับธรรมนั้นกลับไปบรรลุเพราะความร้อนในกาย (พลังเอี๊ยง) ซึ่งครูบาอจารย์ไม่ได้สอน นั่นหมายถึงว่า "ได้บรรลุด้วยตนเองแล้ว" และจะมีธรรมที่แตกต่างไปจากครูบาอาจารย์ต้นสาย มีธรรมเป็นของตัวเอง แต่ก็อยู่ในสายธรรมนั้นๆ ได้ ด้วยการ "ห่อหุ้ม" ด้วยเครื่องแบบของลัทธิ, นิกายนั้นๆ ไป ก็มีเมื่อใดที่ท่านกลายเป็นเช่นนั้น ให้ทราบเถิดว่าท่านได้เข้าสู่วิถีแห่งอัศวินชัมบาลาแล้ว ท่านก็อาจสึกออกจากลัทธิ, นิกายนั้นๆ ก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในลัทธินิกายนั้นๆ เพราะการถ่ายทอดธรรมที่ต่างกัน หรือท่านจะห่อหุ้มตัวเองอยู่ในลัทธินิกายนั้นๆ แล้วใช้ธรรมของลัทธินิกายนั้นในการถ่ายทอด "โดยไม่ใช่ธรรมที่มีในตัวท่านเอง ที่ท่านตรัสรู้ได้เอง ก็ได้" ทว่า ท่าน คือ "บุคคลสำคัญมาก" ที่จะเสริมต่อ "ธรรมที่ขาดหาย" ของลัทธิ, นิกายต่างๆ เพราะท่านตรัสรู้เองต่างไปจากธรรมเดิม ท่านจะค้นพบธรรมที่ขาดหายหรือส่วนที่ลัทธิ, นิกายนั้นๆ ไม่อาจเข้าถึงได้ (จึงทำให้เกิดเป็นลัทธิ, นิกาย ขึ้นมา แตกต่างไปจากแบบดั้งเดิมแท้นั่นเอง)



การดำรงอยู่ของ "อัศวินชัมบาลา" เหล่าผู้กล้าที่จำต้องปิดบังตัวลึกลับ


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าบางท่านได้ตรัสรู้เองในสิ่งที่แตกต่างไปจากลัทธิหรือนิกายเดิมมีอยู่ ดังนั้น ถ้าท่านห่อหุ้มเปลือกนอกเพื่อการดำรงอยู่ในลัทธิ, นิกายเดิมต่อไป ท่านจำเป็นจะต้อง "ปิดบังธรรมในตนเอง" แล้วใช้ธรรมของลัทธิ, นิกาย นั้นๆ แทน ทั้งๆ ที่ท่านอาจจะทราบดีว่า "ธรรมในลัทธิ, นิกายนั้นๆ มีบางส่วนที่ผิดพลาดเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อย" ก็ตาม ทว่า หากท่านเลือกที่จะออกจากลัทธิ, นิกายนั้นๆ ท่านยังจะสามารถทำหน้าที่ได้มากขึ้นด้วย "ธรรมที่มีอยู่ในตน" ของท่านนั้นเอง โดยไม่ถูก ธรรมของลัทธินิกายที่ท่านอาศัยอยู่บดบังเลย ถ้าท่านตั้งสำนักขึ้นมา มันจะกลายเป็น "ลัทธินิกายใหม่" อีกลัทธินิกายหนึ่ง ที่มีตัวท่านเองเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นได้และท่านก็ต้องนั่งแท่นประจำในฐานะ "พระเจ้าแห่งลัทธินิกายนั้นไป" ซึ่งท่านจะต้องดูแลลัทธินิกายใหม่นี้ "ยาวนาน" ทีเดียว นับว่าเป็นภาระที่หนักพอควร แต่ถ้าท่านไม่ได้ตั้งลัทธินิกายใหม่ขึ้นมา ท่านจะรับภารกิจจาก "เบื้องบน" ก็ได้ ท่านก็จะเข้าสู่วิถีแห่งอัศวินชัมบาลา โดยสมบูรณ์นั่นคือ "อัศวินแห่งแสงสว่าง ที่ได้รับภารกิจสำคัญจากเบื้องบน" นั่นเองในกรณีนี้ ท่านไม่ต้องปิดบังธรรมของตนเองเพื่อปรับตัวอยู่ในลัทธินิกายใดอีกต่อไป ท่านมีอิสรเสรีเต็มที่ที่จะทำหน้าที่ของท่าน โดยไม่ก่อตั้งลัทธินิกายใหม่ขึ้นมา เป็นภาระแก่ตัวท่านเองในอนาคต (ไม่ใช่เจ้าลัทธิใหม่) เหล่าอัศวินชัมบาลาจึงขึ้นตรงเฉพาะ "สวรรค์เบื้องบน" ไม่ขึ้นตรงต่อใคร



ท่านสามารถเข้าสู่วิถีแห่ง "อัศวินชัมบาลา" โดยสมบูรณ์ได้อย่างไร?


เพื่อให้ท่านเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ขอสรุปเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1. "การตรัสรู้พุทธะ" นี่คือ ประการแรกคือ ท่านต้องตรัสรู้เองเป็นพุทธะให้ได้ก่อน จึงจะได้ชื่อว่า "อัศวินชัมบาลา-พุทธะเชิงนักรบ" ใช่หรือไม่?

2. "ไม่ตั้งลัทธิใหม่" นี่คือ สิ่งที่ทำให้ท่านแตกต่างจากผู้ตรัสรู้เป็นพุทธะท่านอื่นๆ ถ้าท่านตั้งลัทธิหรือนิกายใหม่ ท่านจะไม่ได้เป็นอัศวินชัมบาลา

3. "รับกิจเบื้องบน" นี่คือ เอกลักษณ์ของอัศวินชัมบาลา ท่านจะต้องรอรับภารกิจสำคัญจากสวรรค์เท่านั้น มิใช่การคิดเอง ทำเอง สร้างเองหมด

4. "ทูตสวรรค์อัญเชิญ" ต่อไปจะมี "มนุษย์ที่เป็นตัวแทนของทูตสวรรค์" จะมาเชิญท่านให้เข้าสู่ภารกิจที่สำคัญนั้นๆ ท่านจะต้องรอรับกิจจากผู้นี้

5. "สวมเกราะห่อหุ้ม" ในขั้นตอนนี้ท่านจะได้รับพลังงานห่อหุ้มภายนอกที่เหมาะสมในการทำภารกิจนั้น ซึ่งปกติท่านจะต้องเป็น "ฆราวาส" ก่อน

6. "ทำภารกิจให้สำเร็จ" ในขั้นตอนนี้ เมื่อท่านได้รับภารกิจมาแล้ว ต้องทำให้สำเร็จด้วย ซึ่งปกติมักเป็น "ภารกิจภาคปราบ" ท่านจะมีคู่ปรับด้วย


ด้วยเหตุผลทั้ง 6 ประการ ท่านจึงได้ชื่อว่า "พุทธะเชิงนักรบ" เพราะท่านได้เข้าถึงพุทธะแล้วแต่ท่านไม่ได้สร้างลัทธิ, นิกายใหม่ ท่านจึงไม่ใช่เจ้าลัทธิ, เจ้านิกายใหม่ และเพราะท่านมีธรรมที่แตกต่างไปจากสายธรรมดั้งเดิม ท่านจึงไม่อาจอยู่ในลัทธิ นิกายนั้นๆ ได้อีก (จะทำให้เกิดปัญหาแตกแยกในระบบนั้นๆ ได้" ท่านมักจะต้องสึกมาเป็นฆราวาสเสียก่อนและท่านต้องรับ "พลังห่อหุ้มภายนอก" เหมือนชุดเกราะ และต้องทำภาระกิจภาคปราบ ดังนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า "พุทธะเชิงนักรบ" นั่นเอง ในกรณีนี้ท่านจะขึ้นตรงต่อสวรรค์อย่างเดียวและตรงนิพพานที่สุดแต่ยังไม่ถึงวาระนิพพาน



"อัศวินชัมบาลา" และกองทัพของเหล่าผู้กล้า-นักรบแห่งแสงสว่าง


เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงลงได้ เบื้องบนจึงได้จัดสรรให้ท่านมีบริวารที่จะช่วยเหลือให้ทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเขาทั้งหลายจะเป็นดั่งผู้กล้าที่ได้รับการคัดเลือกแล้วจากเบื้องบน ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารและไม่จำเป็นต้องใช้สงคราม ขึ้นอยู่กับว่าท่านสวมเกราะใด นั่นคือ ตัวตนที่อยู่เปลือกนอกของท่านมันเหมือนหัวโขนที่ท่านจะต้องสวมและแสดงบทไปก็เท่านั้นเอง เหล่าผู้กล้าที่เข้ามาเป็นกองทัพศักดิสิทธิ์ของท่านนั้น ไม่จำเป็นต้องตรัสรู้เป็นพุทธะ ก็ได้ ขอเพียง "ผู้นำได้ตรัสรู้พุทธะ" หนึ่งท่านก็พอแล้ว ส่วนท่านอื่นๆ จะมาทำหน้าที่อื่นร่วมกันต่อไป ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตรัสรู้พุทธะทั้งหมด ทว่า การทำหน้าที่ของท่าน จะต้องต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดี ไม่งามหรือสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อสวรรค์ เพื่อทำกิจให้สวรรค์ดังนั้น ท่านจึงมีลักษณะคล้ายนักรบที่ต้องต่อสู้ ต้องปราบศรัตรูให้พ่ายไปด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่เข้าสู่ "วิถีแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้า และมีเหล่าบริวารได้ด้วย" อีกทั้ง ท่านยังไม่ต้องรับภาระการตั้งลัทธิ นิกายใหม่ ขึ้นมา หรือไม่ต้องทำให้เกิดความแตกแยกในลัทธิ นิกายที่ท่านเคยอยู่อาศัย อีกด้วยดังนั้น การเข้าสู่ "วิถีชัมบาลา" จึงเป็นทางออกที่ดีอีกทางหนึ่งของพุทธะ



สุดท้ายนี้ "วิถีแห่งชัมบาลา" ก็เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง เท่านั้น สำหรับท่านที่สามารถเลือกได้ บางท่านอาจไม่เลือกเข้าสู่วิถีนี้ บางท่านอาจจะยอมปิดบังตัวเองอยู่เป็น "พุทธะภายใต้เงาของลัทธินิกายหนึ่งใด" ไปเพื่อความสงบ ไม่อาจแสดงธรรมเฉพาะของตนได้ (เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกในลัทธินั้นๆ ได้ ด้วยมีธรรมต่างกัน) บางท่าน อาจเลือกที่จะแยกตัวไปตั้งลัทธิ, นิกายใหม่ของตนเอง เพราะตนมีธรรมแตกต่างไปจากลัทธิ, นิกายเดิมนั้นๆ ก็จะมีโอกาสแสดงธรรมในตนได้เต็มที่ ทว่า จะไม่มีท่านไหนไปถึงที่สุดแห่ง "วิถีปัจเจกพุทธเจ้า" เพราะยังไม่ใช่ยุคสมัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า นั่นเอง เอาละ ผมได้อธิบายเรื่องของวิถีแห่งชัมบาลามาพอสมควรแล้ว "ไม่ได้เอามาจากตำราใดๆ" หากไม่เข้าหูใครก็ขออภัยด้วย ณ ที่นี้ครับ เป็นความจำเป็นที่ผมต้องพูดจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีข้อมลเพิ่มเติม ในบางส่วนที่ไม่อาจไขข้อข้องใจใครบางคนได้ ใช่มั้ย


สุดท้ายนี้ วิถีแห่งชัมบาลา เป็นวิถีธรรมขั้นสูงที่ต้องผ่าน "พุทธะ" ก่อนจึงจะเข้าสู่วิถีนี้ได้ แม้ท่านเข้าสู่พุทธะแล้ว ก็ยังมีทางเลือกไปอีกหลายทางดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น อาจไม่เข้าสู่วิถีแห่งชัมบาลา ก็ได้ ทั้งหมดนี้ ล้วนขึ้นอยู่กับ "ท่านเลือกทางเดินเอง" เอาละ ผมต้องขอตัวก่อนครับ สวัสดี 



1 ก.ค. 2555


"เสียงจากชัมบาลา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment