ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

สร้างโลกใหม่ หรือจริงๆ แล้วก็คือ โลกใบเดิมที่ถูกห่อหุ้มด้วยสมมุติใหม่?

สวัสดีครับ วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่องพื้นฐานคือ แนวคิดสร้างโลกใหม่ที่กำลังแพร่ขยายอยู่ขณะนี้ คำถามคือ มันจะเป็น โลกใหม่ ตามความคาดหวังของผู้คนจริงหรือไม่ หรือว่าแท้จริงแล้วมันเป็นได้แค่โลกใบเดิมที่ถูกห่อหุ้มด้วยสมมุติใหม่กันแน่ เอาละ วันนี้ เรามาคุยเรื่องนี้กัน


"โลกใหม่" ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของภาคมืดและภาคสว่าง


อย่างแรกที่เราควรทราบคือ "พลังงานขับเคลื่อน" ที่ทำให้เกิด "โลกใหม่" นั้น มาจากแหล่งใด ถ้ามาจาก "พลังภาคมืด" นั้นแน่นอนว่าโลกไม่ได้ใหม่จริง แต่เป็นโลกใบเดิมที่ถูกห่อหุ้มด้วยสมมุติใหม่ก็เท่านั้น แต่ถ้าเกิดขึ้นด้วยภาคสว่าง โลกก็จะได้รับการสร้างใหม่อย่างแท้จริง โดยไม่กระทบต่อสมมุติเดิมมากนักนี่คือ อย่างแรกที่เราควรเข้าใจก่อน เพราะถ้าเราสร้างโลกใหม่ด้วยพลังงานเก่า พลังงานภาคมืด ผลของมันจะไม่ต่างไปจากเดิมเลย มันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสมมุติห่อหุ้มเท่านั้นเอง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงได้เลย และด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการตรวจเช็ค "พลังที่ขับเคลื่อนให้เกิดโลกใหม่" ให้มากว่ามาจากแหล่งพลังงานใด



พลังภาคมืดก็มี "ตัวตนผู้สร้าง" ไม่ต่างจากพลังภาคภาคสว่าง


ต่อไปที่เราควรทราบคือ พลังภาคมืดเองก็มี "ตัวตนผู้สร้าง" ซึ่งไม่ต่างไปจากพลังภาคสว่างเลย เทพองค์ใดที่ภาคสว่างมี ภาคมืดก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ทำงานไปคนละทางกันเท่านั้นเองเช่นพระสุริยเทพของภาคมืด ก็มีเหมือนกัน แต่ท่านจะทำงานให้กับภาคมืด ไม่ได้ทำงานให้กับสวรรค์ โดยจะใช้ "พลังแสงสว่าง" ส่องสว่างให้ปัญญาแก่ผู้คน "เป็นฉากหน้า" และมีพลังภาคมืดเป็น "เบื้องหลัง" เพื่อเปิดทางให้ผู้คนยอมรับได้ง่ายๆ เพราะยังมีคนบางกลุ่มที่สัมผัสพลังได้ดี แยกแยะพลังมืด และสว่างได้ดีเมื่อพวกเขาสัมผัสพลังของพระสุริยเทพภาคมืด เขาจะไม่รู้ว่านี่คือ "ส่วนหนึ่งของภาคมืด" เพราะท่านมีพลังภาคสว่างอยู่ในตัวนั่นเอง ดังนั้น จึงสามารถหลอกคนที่มีจิตสัมผัสแยกแยะพลังมืดและสว่างได้ดี วิธีการคือการให้ "ข้อมูลที่สว่างไสวแต่ด้านเดียว" ทำให้ผู้คนยอมรับ, เปิดใจรับ และคิดว่าเขามาดี และไม่มีพิษภัยจากนั้น เบื้องหลังที่เป็นภาคมืดของท่านก็จะทำกิจภาคมืดต่อไป



"แผนการสร้างโลกใหม่" ก็มีทั้งของภาคมืดและภาคภาคสว่าง

ต่อไปที่เราควรทราบคือ แผนการสร้างโลกใหม่นั้น มีทั้งในภาคมืดและภาคสว่าง แต่ทั้งสองส่วนจะทำหน้าที่ตามเป้าหมายต่างกันไป ภาคสว่างจะทำหน้าที่ตามกฏแห่งกรรมตามบัญชาสวรรค์แต่ภาคมืด จะทำตามแผนการของภาคมืด จะไม่ตรงตามสวรรค์มนุษย์ทั้งหลายจะถูก "คัดเลือกเข้าสู่ภาคมืดหรือภาคสว่าง" ก็เพื่อกลายเป็นกำลังในการขับเคลื่อนแผนการของเขานั่นเอง จึงมีมนุษย์บางคนทำงานให้ภาคมืดและมนุษย์บางคนทำงานให้กับภาคสว่าง ในแผนการเดียวกันก็คือ "การสร้างโลกใหม่" นั่นเองทว่า ภาคมืด จะมุ่งเน้นการสร้างโลกในส่วน "วัตถุมากกว่าเรื่องจิตใจ" แต่ภาคสว่างจะมุ่งเน้นการสร้างโลกในส่วน "จิตใจมากกว่าเรื่องวัตถุ" ทว่า ทั้งสองภาคส่วนก็จะทำกิจของตนไปด้วยกันทั้งคู่ (คู่ขนานกันไป) อาทิเช่น เรื่องการเลื่อนระดับของโลก ส่วนภาคสว่างจะมุ่งเน้นจิตวิญญาณว่ามีการพัฒนาขึ้นจริงหรือไม่แต่ภาคมืดจะไม่สนใจตรงนั้นเลย แต่จะมุ่งเน้นเรื่อง ความเจริญทางวัตถุมากกว่า ซึ่งสิ่งนี้ มนุษย์หลายคนอาจไม่สามารถแยกแยะได้



"กลุ่มพลังคลาสสิค" ไม่ใช่ของทั้งภาคมืดและภาคภาคสว่าง


ต่อไปที่เราควรทราบคือ นอกจากกลุ่มพลังงานภาคมืดและภาคสว่างแล้ว ยังมีกลุ่มพลังงานคลาสสิคที่เกิดจากโลกและมีภาวะเป็นกลางจากภาคมืดและภาคสว่าง อยู่ด้วย พลังภาคส่วนนี้เองก็มีไม่น้อย และหากพลังคลาสสิคเข้าร่วมด้วยช่วยส่วนไหน ในภาคส่วนนั้นก็จะมีกำลังมากในโลกเนื่องจากกลุ่มพลังงานคลาสสิคนี้ เกืดจากโลกและอยู่คู่โลกมานานแล้ว ดังนั้น จึงกลายเป็นกลุ่มพลังงานที่คอยคานอำนาจ ของพลังภาคมืดและภาคสว่างได้ เอาละ สิ่งที่ท่านควรทราบต่อไปคือ ท่านกำลังใช้พลังภาคมืดภาคสว่าง หรือพลังงานคลาสสิคอยู่ เพราะมันมีผลอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของท่านในชาตินี้และในอนาคตชาติข้างหน้ามากทีเดียว ดังนั้น ท่านจึงควรตรวจเช็คพลังงานที่ท่านใช้ทำงานด้วย



"ตัวตนในมิติต่างๆ" ซ้อนทับกันอยู่ ดังนั้น จิตวิญญาณประสานกายได้


ต่อไปที่เราควรทราบคือ ตัวตนในมิติต่างๆ นั้นมีมากมายใน "ทุกมิติ" ไม่ใช่ว่าท่านมีตัวตนอยู่ในมิติของสังขาร แต่ในมิติของพลังงานท่านจะไม่มีตัวตน ก็หาไม่ สรุปง่ายๆ คือ "ในทุกมิติมีตัวตน" และ "ตัวตนมีอยู่ในทุกมิติ" ดังนั้น ภาวะที่เรียกว่า "จิตวิญญาณประสานกาย" ก็ดี หรือ "ภูติผีประสานร่าง" นั้น จึง "มีความเป็นไปได้ อันเนื่องมาจากภาวะการเหลื่อมซ้อนกันของมิติต่างๆ นั่นเอง" การกล่าวว่าไม่มีตัวตนในมิติของพลังงานหรือภูติ-ผีมาซ้อนกายนั้น จึงไม่จริง เป็นการปิดบังอำพรางความจริงบางอย่างไว้เท่านั้น เรื่องของการ "ซ้อนทับกันของตัวตนในมิติต่างๆ" นั้นเกิดขึ้นได้ แต่เราอย่าไปติดภาพการเข้าทรง หรือผีสิงร่างแบบในหนัง มากไปนัก เพราะสิ่งที่ท่านได้รับรู้มาอาจแทรกไว้ด้วยพลังงานเชิงลบมากเกินไปกว่าที่จะเสนอความจริงตามความเป็นจริง เอาละ สรุปก็คือ "พลังภาคมืดและภาคสว่าง" ต่างมีตัวตนในมิติของพลังงาน ที่สามารถซ้อนทับกับตัวตนที่มีสังขารของมนุษย์ได้ เป็นผลจากสภาวะการเหลื่อมซ้อนกันของมิติต่างๆ เท่านั้นเอง ซึ่งผู้ที่มีพลังจิตก็สามารถกำหนดทิศทางของมันได้ด้วย



"นิพพาน" คือ ธรรมชาติที่พ้นแล้วจากทุกมิติ (ภพ) และทุกตัวตน


ต่อไปที่เราควรทราบคือ ยังมีธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พ้นแล้วจากทุกตัวตนและทุกมิติ นั่นคือ ภาวะธรรมชาติที่เรียกกันว่า "นิพพาน" นั่นเองเอาละ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้อยู่ในภาวะนิพพานนี้ ท่านก็ยังมีตัวตนในแต่ละมิติอยู่ต่อไปและท่านก็ยังไม่พ้นการมีตัวตนตัวใหม่ๆ ในมิติที่แตกต่างออกไปเรื่อยๆ ได้ ในขณะเดียวกัน ตัวตนในมิติต่างๆ ก็ยังจะเชื่อมโยงตัวตนของตนเข้าสู่ "ตัวตนเชิงสังขารที่เป็นมนุษย์" มากไปกว่ามิติอื่นๆ อีกด้วย นั่นคือ "ตัวตนในมิติของสังขาร" เป็นเหมือนศูนย์รวมของตัวตนในแต่ละมิตินั่นเอง ดังนั้น คำว่า "จิตวิญญาณ ประสานกาย" จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่สามารถเกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่การซ้อนกันของตัวตนในมิติของพลังงานกับตัวตนเชิงสังขาร ที่คนมักเรียกว่าการเข้าทรง การสิงสู่ การสถิตย์ ฯลฯ ก็ล้วนสามารถเป็นไปได้เช่นกัน ทว่า คุณไม่ควรตระหนกตกใจกับเรื่องการเหลื่อมซ้อนกันของตัวตนต่างมิติเหล่านี้ให้มากนัก แต่ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมและดำเนินชีวิตอย่างไร ให้เกิดการ "ยกระดับของตัวตนของคุณและตัวตนในมิติอื่นๆ ที่เชื่อมโยงถึงกัน" จะดีกว่า นั่นหมายความว่าเมื่อใดที่ตัวตนเชิงสังขารของคุณได้เลื่อนระดับไปแล้ว คุณก็ควรช่วยเหลือตัวตนในมิติอื่นๆ ให้เลื่อนระดับไปด้วย ด้วยการ "เชื่อมโยงกันของตัวตนต่างมิติ" ซึ่งมันไม่ยากเกินไปเลย


ขอพลังแห่งพระบิดาจักรวาล จงช่วยตัวตนทุกมิติของคุณ ให้สว่างไสว
สวัสดี ... 



10 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment