ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

พันธนาการแห่งความเชื่อ การเสพติดความเชื่อ และเบื้องหลังภาคมืดของความเชื่อ

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมาคุยกับท่านเรื่องพื้นๆ นะครับ คือ เรื่อง "ความเชื่อ" ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และส่งผลกระทบต่อจิตใจคนได้มาก แต่อย่างไรก็ตาม เราก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้มันนะครับ โอเค ทำใจสบายๆ เรามาคุยกันแบบง่ายๆ และเป็นกันเอง ก็แล้วกันครับ


ความเชื่อที่ถูกกำหนดด้วยคนอื่น และความเชื่อที่คุณเลือกทิศทางได้เอง


อย่างแรกเลย ผมอยากให้คุณแยกแยะระหว่างความเชื่อสองแบบนี้ให้ได้ก่อน คือ 1. ความเชื่อที่ถูกกำหนดโดยผู้อื่น เช่น ความเชื่อตามคำทำนาย 2. ความเชื่อที่คุณเลือกทิศทางได้เอง เช่น คุณเลือกที่จะเชื่อว่า มันต้องมีแสงสว่างรออยู่ในวันข้างหน้า ถ้าคุณไม่ละความพยายาม ทว่า ความเชื่อทั้งสองแบบนี้ ให้ผลต่อชีวิตคุณในแบบที่แตกต่างกันมาก กล่าวคือ แบบที่หนึ่ง คุณจะถูกชักจูงไปตามความเชื่อนั้น เป็นเหมือน "วัวเชื่อง" ที่ถูกเขาสนทะพายแล้วลากจูงจมูกไป ซึ่งมันอาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้างอะไรก็แล้วแต่ แม้ว่าคุณไม่ถูกจูงจมูกด้วยความเชื่อนั้น "คุณ ก็เดินไปเองได้อยู่แล้ว" อย่าลืมซะละ! นั่นหมายความว่าความเชื่อหรือคำทำนายบางอย่าง แม้ว่ามันจะจริง แต่มันก็ไม่จำเป็น ที่คุณต้องอาศัย หรือไปพึ่งพายึดเกาะมันเลย คุณก็ยังมีชีวิตได้ตามปกติแม้ไม่ทราบคำทำนายเหล่านั้นด้วยซ้ำไป เชื่อมั้ยละ? ทว่า คุณหลายคนก็ยังอยากจะลุ้นว่าคำทำนายนั้นๆ จะเป็นจริงหรือไม่ มันเหมือนการเสพติด หรือการติดพนัน อะไรสักอย่างหนึ่งและนั่นทำให้คุณต้องติดพันกับการ "เสพติดรับคำทำนายเนืองๆ" และไม่ได้รับอิสรภาพจากการ "ถูกจูงจมูก" ไปได้ คุณยังเป็นได้แค่วัวตัวหนึ่งในฝูงวัวทั้งหลายที่มีเจ้าของลากจูงไป ก็เท่านั้นเอง คุณก็ยังไม่ใช่วัวที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง (ซึ่งแท้แล้ว วัวก็แค่หาหญ้ากิน มันง่ายมากครับ เพราะมีหญ้ามากมายในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องยอมเป็นทาสใครแล้วจึงจะมีหญ้ากิน) นั่นคือ "ความเชื่อที่เป็นบ่วงพันธนาการ" ผูกมัดให้ชีวิตของคุณต้องอยู่กับสิ่งนั้น และเสพติดมัน รอคอยเวลาที่มันจะเป็นจริง และมันไม่ช่วยในการยกระดับชีวิตของคุณเลย ความเชื่อที่ถูกจูง ความเชื่อที่ถูกกำหนดด้วยคนอื่นเหล่านี้ ยังไม่ใช่ "ความเชื่อที่คุณเลือกทางเดินได้เอง" นะครับ ยังไร้อิสระยังเต็มไปด้วย "บ่วงพันธนาการแห่งความเชื่อ" ซึ่งคอยจูงจมูกคุณ ต่อไป



คุณยอมเป็น "ทาสของพระเจ้า หรือ ทาสของความเชื่อ" เหล่านั้นกันแน่


ต่อไปที่คุณควรจะตรวจเช็คตัวคุณเองสักนิดคือ จริงหรือไม่ที่คุณยอมเป็น "ทาสของพระเจ้า" หรือแท้แล้วคุณ "ทรยศต่อพระเจ้า" แล้วเปลี่ยนนายไปรับใช้ "ความเชื่อ" เหล่านั้นแทน เช่น ความเชื่อที่ว่ามีเกาะถูกสาป ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงหายได้ แล้วนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าบอกแก่หรือ? มันอยู่ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้ามอบแก่คุณหรือไม่ ความเชื่อเหล่านี้มาจากที่ใดกันแน่? คุณยอมก้มจำนนเป็นทาสต่อความเชื่อเหล่านี้ไปแล้วหรือไร? แทนที่จะเชื่อในพระเจ้าดังเดิม เชื่อในพระคัมภีร์ที่พระองค์ประทานดังเดิม ทว่านี่มันไม่เหมือนหรอกนะ คุณเปลี่ยนไปแล้ว คุณทรยศต่อพระเจ้า คุณเปลี่ยนไปเชื่อในใครก็ไม่รู้ คุณยอมรับเขาคนนั้นเป็นเจ้านาย และหลงลืมพระเจ้าของคุณไปหมดแล้ว เอาละ มันยังมี "ความเชื่อและคำทำนายใหม่ๆ" ซึ่งเกิดขึ้นมา "สนองความอยากเสพ" ของพวกคุณ พวกคุณมีกิเลสอยากที่จะเสพ และรับรู้มัน ซึ่งสิ่งเหล่านั้น "มิได้อยู่ในพระคัมภีร์" มิได้อยู่ในสิ่งที่พระเจ้าต้องการบอกให้คุณทราบเลย แต่คุณได้เปลี่ยนไปแล้ว ใจของคุณได้ออกห่างจากพระเจ้าไปแล้ว คุณเลือกที่จะเชื่อในคำทำนายและคำสาปแช่งอันเกิดขึ้นจาก "คนที่ไม่ใช่พระเจ้า" สร้างมันขึ้นมาในภายหลัง แทนที่จะเชื่อสิ่งที่พระเจ้าบอกแก่คุณ เชื่อในพระคัมภีร์ดังเดิม คุณถูกความเชื่อเหล่านั้นผูกมัด พันธนาการมายาวนาน ไม่อาจเป็นอิสระจากมันได้ เพราะคุณมีใจออกห่างจากพระเจ้า คุณยอมจำนนต่อสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า และสิ่งนั้นได้ "ครอบงำและกลืนกิน" ชีวิตจิตใจคุณไปแล้ว เพราะคุณได้มอบความเชื่อให้แก่มัน แทนที่จะมอบความเชื่อให้แก่พระเจ้า และนั่นก็ให้คุณทราบไว้ว่าคุณได้ออกจาก "อิสลาม" แล้ว คุณไม่ได้อยู่ในสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้อีกต่อไป เพราะตัวคุณเลือกที่จะเชื่อในสิ่งนอกรีตไปเอง



"เบื้องหลังของความเชื่อ" ซึ่งถูกสร้างด้วยภาคมืดนั้นกำลังกลืนกินคุณ


เรื่องต่อไปคือ ในโลกนี้ยังมี "คนอีกมากมาย" ที่รับใช้ความมืด ไม่ได้รับใช้พระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ทาสของพระเจ้าที่แท้จริง ทว่า พวกเขากำลังรับใช้ "ภาคมืดอยู่" สิ่งเหล่านั้นคือ ปีศาจร้ายที่กำลังกลืนกิน ผู้ลุ่มหลงผู้ที่มีใจออกห่างจากพระเจ้าและยอมจำนนต่อสิ่งชั่วร้ายแทนแม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ทว่า แท้จริงแล้วในใจของพวกเขาไม่ได้มี "พระเจ้า" อยู่เลย พวกเขาหลงออกนอกทาง และมอบความเชื่อไปให้แก่ปีศาจร้ายเหล่านั้นไปแล้ว ปีศาจร้ายเหล่านั้นใช้ผู้คนมากมายมาสร้างความเชื่อที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ แต่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเอง สร้างมันขึ้นมาใหม่ เพื่อบงการผู้คน ให้หลงเชื่อตาม และจะได้ช่วงใช้ผู้คนทั้งหลายไปตามใจต้องการนั้น แม้แต่เยาวชนทั้งหลายที่ดูเหมือนว่าจะเคร่งครัดและเชื่อในพระเจ้า ทว่า พวกเขาก็ดูดีแต่เปลือกนอกเท่านั้น เพราะใจของเขาถูกปีศาจร้ายกลืนกินไปแล้ว เขาไม่ได้มีใจตรงต่อพระเจ้าดังเดิม พวกเขาได้นำเอา "ปีศาจร้าย" เข้ามาในศาสนา แล้วเข้ามาแทนที่พระเจ้าองค์เดิม ทำให้สังคมสันติสุขไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง เพราะปีศาจร้ายนั้นได้ครอบงำและกลืนกินพวกเขาไปแล้ว พวกเขาจึงรับใช้พวกปีศาจร้าย พวกเขามิได้รับใช้พระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ทาสของพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขากลายเป็น "ทาสของปีศาจร้าย" ไปเสียแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันว่าพวกเขา อยู่ในสังคมสันติสุข ทว่า พวกเขาได้อัปเปหิตัวเอง ออกไปจากสังคมสันติสุขนานแล้ว และพวกเขานี่แหละที่ทำลายสังคมสันติสุข



พระเจ้ามอบ "สังคมสันติสุข" ให้คุณ แต่คุณกลับเลือกเชื่อความมืดมน

เรื่องต่อไปคือ พระเจ้าได้มอบ "สังคมสันติสุข" ให้แก่คุณแล้ว แต่คุณก็ไม่ได้เลือกที่จะรับสิ่งนี้ คุณเลือกที่จะรับ "ความมืดมน" แทนสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้ คุณเลือกที่จะเชื่อความมืดมน เลือกที่จะยอมรับให้สังคมของคุณเต็มไปด้วยความมืดมน การนองเลือด และการเข่นฆ่ากันเอง นี่น่ะหรือ "คนฉลาด?" พระเจ้ามอบสังคมสันติสุขให้แก่คุณแล้วแต่คุณกลับมองว่ามันไม่ใช่ คุณต้องการ "ดินแดน" คุณต้องการ "อำนาจ" แล้วดินแดนและอำนาจที่คุณต้องการนั้น มันใช่ "สังคมสันติสุข" ที่พระเจ้าประทานให้แก่คุณหรือไม่? คุณเลือกสิ่งใดกันแน่? เลือกสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้ หรือเลือก "อำนาจในการครอบครองดินแดน" ซึ่งนำพาสังคมของคุณไปสู่ความมืดมน, การเข่นฆ่า, การก่อการร้าย และการทำร้ายกันเองไม่เว้นแม้แต่ละวัน คุณแน่ใจหรือว่าคุณเชื่อในพระเจ้าจริงๆ คุณเชื่อจริงๆ ไหมว่าพระเจ้าได้มอบสังคมสันติสุข ให้แก่คุณแล้วหรือเพราะคุณยังไม่เชื่อ คุณยังระแวง ไม่ไว้ใจพระเจ้า คุณจึงถูกปีศาจร้ายครอบงำให้คิดว่าพระเจ้ายังไม่ได้มอบดินแดนและสังคมสันติสุขให้แก่คุณนั้น คุณจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและการแบ่งแยกดินแดน เพราะอะไร? เพราะคุณยังไม่เชื่อในพระเจ้าจริงๆ ไม่เชื่อว่าพระเจ้าได้มอบดินแดนและสังคมสันติสุขให้แก่คุณแล้ว นั่นเองคุณจึงหาวิธีให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณคิดว่าพระเจ้ายังไม่ได้มอบให้แก่คุณนี้และนั่นจึงกลายเป็น "ช่องว่าง" ที่ทำให้คุณออกห่างจากพระเจ้า และกลายเป็น ผู้รับใช้ปีศาจร้าย ซึ่งต้องการทำลาย "สังคมสันติสุข" ของพระเจ้า ซึ่งสังคมนั้นแต่เดิมสันติสุขดีอยู่แล้ว พระเจ้ามอบสังคมสันติสุขให้แก่คุณมานานแล้ว แต่เพราะปีศาจร้ายนั้นครอบงำพวกคุณ มันจึงได้ช่วงใช้พวกคุณให้ทำลายสังคมสันติสุขที่พระเจ้ามอบให้แก่คุณนั้นเสีย


การแอบอ้าง "พระเจ้า" ของปีศาจร้าย เพื่อครอบงำผู้คนให้หลงเชื่อ?


เรื่องต่อไปคือ ปีศาจร้ายได้วางแผนการเพื่อหลอกใช้ผู้คนทั้งหลายให้หลงคิดว่าทำเพื่อพระเจ้า, พลีชีพเพื่อพระเจ้า ฯลฯ ทว่า พวกเขา ก็แค่ "แอบอ้างพระเจ้า" เอาความเชื่อที่ผู้คนมีต่อพระเจ้ามาเพื่อให้คนหลงเชื่อ ก็เท่านั้น พวกเขาอาจเป็น "ครูสอนศาสนา" ที่ดูน่าเชื่อถือ ศรัทธามาก ทว่า พวกเขาอาศัย "เปลือกนอกที่ดูน่าเชื่อถือศรัทธา" นั้น เพื่อจะครอบงำผู้คนให้ลุ่มหลง และแอบอ้างพระเจ้าว่านี่คือคำสั่ง นี่คือโองการจากพระเจ้า? จริงหรือที่พระเจ้าจะมอบโองการนั้นแก่เขา? พระเจ้าเคยมอบโองการให้แก่มนุษย์ "บางคนเท่านั้น" ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรับได้ และคนผู้นั้นต้องเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ซึ่งพระเจ้าได้เลือกแล้ว เอาละคนที่คุณเชื่อ เขาอาจเป็นครูสอนศาสนาที่ดูเก่งมาก และน่าเชื่อถือมากทว่า ต่อให้เขาเก่งและน่าเชื่อถือศรัทธาแค่ไหน ก็ใช่ว่าพระเจ้าจะเลือกเขา ใช่ว่าพระเจ้าจะมอบโองการ หรือสั่งการแก่เขา ดังนั้น พวกเขาแค่ "แอบอ้างพระเจ้า" มาหลอกใช้ผู้คนให้หลงทำตามเท่านั้น เพราะอะไรข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ท่านดังนี้? เพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้นขัดแย้ง ต่อสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ คือ "สังคมสันติสุข" นั่นเอง พวกเขา ไม่ได้กำลังทำให้สังคมสันติสุขเกิดขึ้น แต่พวกเขากำลังทำให้สังคมสันติสุขนี้ ล่มสลายลงไปต่างหาก พวกเขานำพาผู้คนไปก่อการร้าย ทำร้าย ทำลายผู้คน เช่นนี้หรือ "สังคมสันติสุข" เอาละ ท่านอาจจะอ้างว่าสิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมดก็เพื่อรักษาไว้ซึ่งสังคมสันติสุข ทว่า มันใช่หรือ? เพราะสิ่งที่ท่านทำ มันคือการทำลายความสันติสุขของสังคมต่างหาก ท่านลองดู "มหาตมะ คานธีร์" เป็นตัวอย่าง เขาคือชาวฮินดูที่ถูกชาวมุสลิมฆ่าตายเพราะอะไร? เพราะเขาคือ คนที่สร้างสังคมสันติสุขได้ด้วยวิธีสันติ เขาจึงถูกชาวมุสลิมจอมปลอมฆ่าตาย เพราะถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาก็จะกลายเป็นผู้นำที่ชาวมุสลิมทั้งหลายเชื่อว่าเขาจะนำสังคมสันติสุขมาให้ได้ กล่าวง่ายๆ ก็คือ ชาวมุสลิมจอมปลอมฆ่าเขาเพราะกลัวว่าเขาจะมีอำนาจเหนือกว่าตน, จะได้อำนาจไป เพราะอะไร? เพราะเขาทำให้เกิด "สังคมสันติสุข" ได้จริง เขาใช้ "สันติวิธี" ในการสร้างสังคมสันติสุขแต่ "ครูสอนศาสนาจอมปลอม" เหล่านั้น "ไม่มีทางทำได้" พวกเขาจึงต้องฆ่ามหาตมะ คานธีร์ เสีย เพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อพระเจ้าหรือทำเพื่อศาสนาอะไรเลย พวกเขาทำเพื่อ "รักษาอำนาจของพวกเขาไว้" เท่านั้นเอง เพื่ออำนาจของเขาเองแต่แอบอ้างพระเจ้านั่นแหละมุสลิมจอมปลอม



"การแบ่งแยกดินแดน" คือ ยุทธวิธีครองอำนาจของปีศาจร้ายในมุสลิม


เรื่องต่อไปคือ เหล่าปีศาจร้ายที่ซ่อนกายแฝงอยู่ในเหล่ามุสลิมนั้น จะถือครองอำนาจด้วยการสร้าง "ความเชื่อที่ผิดๆ ผูกมัดผู้คนไว้" และจะทำให้ชาวมุสลิมตกอยู่ในสภาวะ "หวาดกลัว" ด้วยวิธีการต่างๆ ที่พวกเขาทำไปทั้งหมดนี้ "ไม่ใช่เพื่อพระเจ้าเลย" พวกเขาแอบอ้างพระเจ้ามาบังหน้า แต่พวกเขาทำไปเพื่อ "อำนาจของพวกเขาเอง" ทั้งนั้น พวกเขาก็กลัวว่าอำนาจที่พวกเขามี จะหมดไป ชาวมุสลิมจะไม่เชื่อถือพวกเขาอีกดังนั้น พวกเขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อ "ทำลายคนอื่น" ที่จะมาแย่งชิงเอาอำนาจไปจากเขา พวกเขาหลงไหลอำนาจ และเป็น ทาสของอำนาจไปแล้ว มิใช่ ทาสของพระเจ้าอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น กรณีการแบ่งแยกดินแดนของชาวมุสลิมในอินเดีย จนกลายมาเป็นประเทศใหม่ ซึ่งยังไม่เคยมี "สังคมสันติสุข" เกิดขึ้นได้จริงเลย การแบ่งแยกดินแดนไม่ช่วยทำให้เกิดสังคมสันติสุขได้จริง มันทำให้ "พวกบ้าอำนาจ ยังคงครองอำนาจ" อยู่ต่อไป เท่านั้น พวกเขาใช้การแบ่งแยกดินแดนเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจมิใช่เพื่อสร้างสังคมสันติสุขอย่างที่ท่านรอคอยและต้องการเลย ท่านลองดูก็ได้ ทุกวันนี้ ประเทศในโลกมุสลิมประเทศใดบ้างที่มีความสันติสุขที่ได้มาจากการแบ่งแยกดินแดน คำตอบคือ "ไม่มีเลย" ยิ่งแบ่งแยกดินแดนก็ยิ่งนำมาซึ่งความไม่สงบสุขเท่านั้น ทำให้เกิดสงคราม, การเข่นฆ่า, การแย่งชิงอำนาจกันไม่สิ้นสุดเท่านั้น เอาละ ผมขอเล่าต่อ ในช่วงหนึ่งที่ท่านมหาตมะ คานธีร์ ได้ถ่ายรูปเปลือยคู่กับ "หญิงมุสลิม" เพื่อบอกแก่ผู้คนว่าการเปลือยกายของชาวอินเดียไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือเรื่องความใคร่ใดๆ พวกมุสลิมบ้าอำนาจ มุสลิมจอมปลอม ก็กลัวว่ามหาตมะ คานธีร์ จะกลายเป็น "ผู้นำที่น่าศรัทธาคนใหม่" แก่ชาวมุสลิมด้วย พวกเขาจึงต้องฆ่าท่านมหาตมะ คานธีร์ นั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องการทำเพื่อพระเจ้าอะไรเลย มันก็เป็นเรื่องของ "การแก่งแย่งชิงอำนาจ" กัน เท่านั้นเอง แล้วต่อมา พวกเขาก็พากัน "แบ่งแยกดินแดน" ออกไป เพราะอะไร? เพราะพวกเขากลัวเสียอำนาจไปก็เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่พวกเขารู้อยู่ว่ามหาตมะ คานธีร์ สร้างสังคมสันติสุขให้เกิดขึ้นจริงได้ (แต่พวกเขาทำไม่ได้) พวกเขาจึงต้องแบ่งแยกดินแดนออกไป เพื่อยุดครองมวลชนเอาไว้ เพื่อให้ได้รับความเชื่อถือต่อไป



เหล่าปีศาจร้าย กำลังขยายอิทธิพลกันยึดครองโลกและศาสนาอื่นด้วย


เรื่องต่อไปคือ "เหล่าปีศาจร้าย" ที่ซ่อนกายอยู่ในโลกมุสลิมเหล่านั้นก็ได้ขยายอิทธิพลต่อไป ไม่ใช่แค่ศาสนาอิสลามเท่านั้น ไม่ใช่แค่ประเทศในโลกมุสลิมเท่านั้น แต่พวกปีศาจร้ายเหล่านี้ ยังขยายอิทธิพลลุกลามออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และศาสนาอื่นๆ ด้วย ด้วยวิธีการเดิมซึ่งใช้ได้ผลดีมาแล้ว คือ "การทำให้กลัว" ยิ่งพวกเขาทำให้คนกลัวเท่าไรก็จะได้พลังอำนาจมากขึ้นเท่านั้น พวกเขานั้นไม่เคยเชื่อในพระเจ้าจริงๆ พวกเขาแอบอ้างพระเจ้า และซ่อนตัวอยู่ในศาสนามาตลอด แต่ตอนนี้มันถึงวาระที่ "ปีศาจร้ายที่ซ่อนกายในศาสนาต่างๆ" จะออกมาแย่งชิง เพื่อครองโลกกันแล้ว ปีศาจร้ายในศาสนาพุทธ ก็ออกมา ปีศาจร้ายในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ก็ออกมา, ปีศาจร้ายในศาสนาคริสตร์ ก็ออกมา ฯลฯ พวกเขาต้องการยึดครองโลก ทั้งหมดเอาไว้ให้อยู่ในกำมือของพวกเขาเองไม่ยอมให้โลกตกอยู่ในกำมือของปีศาจร้ายเผ่าอื่น ทว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดและตอนนี้ โลกกำลังได้รับการเยียวยาแล้ว เหล่าปีศาจร้ายกำลังได้รับผลกรรม, จะต้องยอมจำนน และจะต้องพ่ายแพ้ต่อ "ภาคสว่าง" ในท้ายที่สุด


ขอพลังแสงธรรมของพระผู้เป็นเจ้าจงทำความเชื่อของคุณให้ตรง สวัสดี



8 ส.ค. 2555


"เสียงจากสังคมสันติสุข"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment