ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า!

สวัสดีครับ ยังมีเรื่องหนึ่งที่หลายท่านอาจเข้าใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่ดีพอ ดังนั้น ผมจึงรับอาสาที่จะอธิบายในเรื่องนี้โดยเฉพาะ คือ เรื่องพลังงานที่อยู่ในจักรวาลแบบต่างๆ อันประกอบกันขึ้นมาดุจองคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า เป็นพลังงานที่ได้ขับเคลื่อนจักรวาลมายาวนาน และจะยังคงทำอย่างนั้นอยู่ต่อไป ซึ่งผมจะค่อยๆ เล่าต่อไปครับ


พลังงานที่แตกต่างกัน ภาคส่วนต่างๆ นั้น แท้แล้วคือ "องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า" นั่นเอง อย่างไรหรือ? ก็เพราะพลังงานที่ต่างกันนี้ ประกอบกันขึ้นมาจนทำให้จักรวาลสมบูรณ์ เติมเต็มส่วนที่ขาดหาย ทำให้ครบองค์ประกอบมากยิ่งขึ้น ผมจึงขอเรียกว่า "องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งต่อไป ผมจะอธิบายถึงส่วนต่างๆ ที่เหมือนดั่งอวัยวะร่างกายแห่งพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผมขอแบ่งเป็น 5 ส่วนด้วยกันคือ


1. พลังงานกลุ่มต้นแบบ (OM - Original Model) เป็นดั่งพระหัตถ์ขวาของพระผู้เป็นเจ้า ที่เราอาจเรียกว่าเทพ หรือผู้ที่เดินตามทางและทำตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ออกนอกทางอื่น พวกเขาจะคงความถูกต้องไว้ เพื่อเป็นต้นแบบให้ผู้อื่นที่หลงทางอยู่ เดินตามรอยมาในภายหลัง

2. พลังงานกลุ่มทดลอง (IT - Incomplete tester) เป็นดั่งพระหัตถ์ซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า ที่ถูกเรียกว่ามาร แต่ผมกำลังให้คุณมองมุมใหม่ที่ไม่ใช่การวนติดอยู่กับคำว่ามารร้าย เอาเป็นว่าพวกเขาไม่ชอบอยู่ในเส้นทางที่ถูกกำหนด ชอบทดลองจึงออกนอกเส้นทาง และยังไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาชอบทดสอบผู้อื่นด้วย ขัดขวางคนที่เดินตรงทาง และทำสิ่งที่ตรงข้ามกับพระหัตถ์ข้างขวา แต่พวกเขาก็จำเป็นต่อสมดุลของจักรวาล

3. พลังงานกลุ่มตัวแบบใหม่ (NM - New model) เป็นดั่งศีรษะของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะเอาตัวเองเป็นหนูทดลองเพื่อหาเส้นทางใหม่ๆ ให้ผูคนเดินตามมา และพวกเขาก็ทำสำเร็จ เข้าเข้าถึงเส้นชัยแห่งแสงสว่างและความหลุดพ้นได้ด้วยเส้นทางของเขาเอง ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ จึงเป็น"ตัวแบบใหม่" เป็นดั่งสมองของพระผู้เป็นเจ้า หรือศีรษะของท่านเลยละ

4. พลังงานกลุ่มมืดหวนกลับ (In darkner) เป็นดั่งเท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็ขาดไม่ได้ ที่จะหยั่งลงไปเบื้องล่าง และเหยียบก้าวไปในสิ่งที่สกปรกหรือแปดเปื้อน แต่พวกเขาพร้อมแล้วที่จะหวนกลับคืนสู่ต้นแบบดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ พวกเขาจึงหาวิธีหวนกลับมายังตัวต้นแบบ (พระหัตถ์ขวา)

5. พลังงานกลุ่มมืดหลุดออก (Out darkner) เป็นดั่งเท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้าที่จะขาดไม่ได้อีกเช่นกัน พวกเขาคือกลุ่มที่ยอมตกลงสู่เบื้องล่างเพื่อกระทำกิจที่พระหัตถ์ทังสองของพระผู้เป็นเจ้าไม่อาจกระทำได้ แต่ว่า กลุ่มนี้จะไม่ยอมหวนกลับคืนมาง่ายๆ พวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปในทางเบื้องต่ำ และมืดมิดไปเรื่อยๆ พวกเขาจึงหลุดออกจากระบบปกติที่เป็นอยู่


องคาพยพ ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งห้านั้น จำต้องประสานงานกัน และทำกิจร่วมกัน จึงจะโอบอุ้มจักรวาลนี้ให้เคลื่อนไปได้อบย่างสมบูรณ์ ทว่า ท่านจะต้องเลือกทางเดินที่แตกต่างกัน และเกิดความขัดแย้งกันบ้าง เป็นธรรมดาไม่มีใครผิดหรือถูก แต่ทุกคนมีหน้าที่ที่ต่างกันเท่านั้น ดุจองคาพยพของพระผู้เป็นเจ้า ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน แม้ว่าท่านจะเรียกอีกฝ่ายว่ามารหรือพวกมืดก็ตาม แต่ทว่า ท่านก็ยังขาดพวกเขาไม่ได้ เพราะบางภาระกิจ ก็ต้องอาศัยการดำเนินการของพวกเขาเช่นกันและหลายครั้งการทำกิจนั้นอาจขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แต่นั่นคือ วิถีแห่งการเรียนรู้และปรับตัวเท่านั้นดังนั้น หวังว่าท่านคงเข้าใจที่จะดำรงอยู่และทำกิจร่วมกันในลักษณะนี้ด้วย



และเมื่อผมได้ให้คำอธิบายไปแล้ว ต่อไปนี้ ผมจะไม่ใช้คำว่าฝ่ายมารหรือฝ่ายมืด นะครับ หวังว่าท่านคงเข้าใจ ถ้าผมจะเรียกว่า "มือซ้าย" ของพระผู้เป็นเจ้า หรือ "เท้าข้างใดข้างหนึ่ง" ของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นเราจะไม่กล่าวถึงพวกเขาในมุมที่เป็นลบ (เช่นคำว่า "มารร้าย" หรือคำว่า "พวกมืด") แต่เราจะกล่าวถึงแต่ละท่าน แต่ละภาคส่วน หรือพลังงานแต่ละชนิดในมุมที่เป็น "องคาพยพ" ของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่ผมได้อธิบายไปแล้ว เพราะการแบ่งแยกพรรคพวกนั้น ก็คือ จุดเริ่มต้นของการแตกแยกและขาดความสามัคคี ซึ่งองคาพยพของพระผู้เป็นเจ้า นั้นควรทำกิจอย่างกลมกลืนประสานกัน จึงจะทำให้กิจต่างๆ ดำเนินไปด้วยดี เหมือนร่างกายของเรา จะขาดไปเสียซึ่งมือซ้าย หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่ง คงไม่ดีแน่ครับ


ถึงแม้ว่าเราไม่อาจเป็นได้ทั้งหมดขององคาพยพของพระผู้เป็นเจ้าแต่ผมยังคงยืนยันคำเดิมเสมอว่า "คุณเลือกที่จะเป็นได้" และเมื่อใดที่คุณเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับผลของมัน และยากนักที่จะถอนตัวออกจากการเลือกนั้น เพราะคุณก็คิอ ส่วนหนึ่งขององคาพยพที่จะต้องมี ขาดไม่ได้ ไปเสียแล้ว นั่นเอง ดังนั้น จำเป็นที่ผมจะต้องเตือนเน้นย้ำแก่คุณอีกครั้งในโอกาสที่คุณยังมี และสามารถที่จะเลือกได้นี้ เพราะเมื่อใดที่ทุกอย่างลงตัวแล้ว มันยากยิ่งที่จะถอนตัวหรือเลือกใหม่ หวังว่าคุณคงจะเลือกได้ไม่ยาก หนึ่งในห้าส่วนนั้น มือขาว, มือซ้าย, เท้าขวา, เท้าซ้าย หรือจะศีรษะ ดี? ไม่ยากเลย ใช่ไหมครับ?

และเพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น และเข้าใจถึงองคาพยพส่วนต่างๆของพระผู้เป็นเจ้าให้มากขึ้นยิ่งกว่านี้ ผมจะขออธิบายเป็นส่วนๆ ไป โดยเริ่มต้นจาก "พระหัตถ์ขวา" ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในรูปนามใด มีรูปหรือไร้ลักษณ์ แต่พวกเขาจะมีลักษณะเหมือนๆ กันก็คือ

1. จะเดินตามเส้นทางดั้งเดิมที่ถูกต้อง ไม่ออกนอกเส้นทาง
2. เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ไม่ดื้อรั้น ไม่ทำตามอำเถอใจตนเอง
3. มีกฏระเบียบ มีกรอบการทำงาน ไม่ทำเกินหน้าที่ของตน

4. จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรโดยพละการณ์ ทำตามแบบเดิม
5. จะเป็นต้นแบบของสิ่งที่ตรงทางหลุดพ้นให้ผู้เดินตามมา

ดังนั้น พวกเขาจึงมีข้อดีคือ ไม่เกะกะระราน ไม่เกเร ไม่ก่อกวนไม่ทำสิ่งที่ผิดละเมิด หรือปั่นป่วนเรา แต่ก็จะอนุรักษ์นิยมมากไปเสียหน่อย ไม่ค่อยยอมลองผิด ลองถูก ไม่ค่อยทำสิ่งที่ออกนอกลู่นอกทางและบางครั้งพวกเขาจะมีความเข้าใจที่จำกัดในกรอบไม่มีความคิดที่นอกกรอบมากนัก ซึ่งท่านจะสัมผัสพวกเขาได้ถ้าท่านเลื่อนระดับไปสู่ทางที่ถูกต้อง ในแต่ละระดับมีพวกเขารออยู่เพื่อบอกทางแก่ท่าน แสดงผลเชิงประจักษ์แก่ท่านเพื่อยืนยันผลของการเดินทางที่ถูกต้องตรงทางและสว่างไสวของพวกท่านนั้น



ส่วนต่อไปคือ "พระหัตถ์ซ้าย" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะมีลักษณะที่ตรงกันข้ามกับพระหัตถ์ขวา ซึ่งเรามักเรียกเขาว่า "มาร" แต่อย่างที่ผมบอกแล้วว่าเราจะเคลียร์พลังงานเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับเขาจากคำว่า "มารร้าย" ไปเสีย เพราะเราต้องเข้าใจถึงความเป็นส่วนหนึ่งใน "องคาพยพ" นี้ของพวกเขาด้วย ดังจะอธิบายดังต่อไปนี้ครับ

1. ชอบทำตามใจตัวเองมากกว่าฟังคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้า และมักออกนอกเส้นทางเพื่อหาเส้นทางใหม่ๆ ของตนเอง ซึ่งพวกเขาจะไม่พบความสำเร็จในครั้งแรกที่กระทำ ทำให้กลายเป็นการทดลองที่ยังไม่สำเร็จ แต่เพราะมีการทดลองของพวกเขาเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่จะต้องทดลองได้อาศัยความล้มเหลวของพวกเขา ต่อยอดเส้นทางใหม่ได้

2. ชอบทดสอบคนอื่น, ทดลองความสามารถ, ปัญญา, การปฏิบัติตนของผู้อื่น ทำตนเหมือนเป็นพระเจ้าผู้กำหนดความถูกผิดเองได้ ตัดสินผู้คนว่าผ่านหรือไม่ผ่านตามใจตัวเอง (ซึ่งอาจไม่ตรงกับ พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ก็ได้) ทว่า เพราะการทดสอบของพวกเขานี้เองที่จะทำให้ "ผู้เข้าทดสอบ" อื่นๆ เข้มแข็งและพัฒนาเส้นทางที่ดีมากกว่าได้

3. มักขัดขวาง, เกะกะระราน, กลั่นแกล้ง, เล่นงาน, จับผิด, อ้างนั่นนี่เพื่อเล่นงาน "ผู้ทดลอง" คนอื่นๆ ถ้าผู้ทดลองนั้นอ่อนแอ ก็จะกลายเป็นพวกเดียวกับเขา เรียกว่า "การทดลองไม่สำเร็จผล" แต่ถ้าผ่านได้ ก็จะกลายเป็นสิ่งยืนยันถึงความสำเร็จของผลการทดลองได้มากทีเดียว จึงกลายเป็นเครื่องช่วยอีกแบบหนึ่งสำหรับผู้ทำการทดลองเส้นทางใหม่ๆ


พวกเขาจะถูกเรียกว่า "มาร หรือ มารร้าย" มานาน แต่พวกเขาก็ได้รับการยอมรับในหมู่คนมากมาย ทว่า ต่อไปนี้ เราจะมองเขาใหม่ให้เห็นถึงประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเขา ซึ่งหาได้ยากทีเดียว และหากสามารถนำสิ่งที่พวกเขาล้มเหลวมาพัฒนาต่อไปให้สำเร็จผลได้ ก็จะย่อย่นการทดลองค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ของนักท่องจักรวาลได้ไปอย่างมากทีเดียว


ส่วนต่อไปคือ "เท้าขวา" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้เหยียดยื่นลงในที่ต่ำเพื่อทำกิจเฉพาะที่ยากยิ่ง ซึ่งมือซ้ายและมือขวา ไม่สามารถกระทำได้และไม่อาจเข้าถึงได้ ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงต้องมีองคาพยพที่เหยียดต่ำลงไปในที่ที่มืดมิด ผมจึงเรียกส่วนนี้ว่า "เท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งยังคงพร้อมที่จะกลับคืนสู่ "สภาวะดั้งเดิม" ซึ่งพวกเขาจะมีลักษณะดังนี้

1. การไม่ยอมรับในกฏระเบียบดั้งเดิม หรือการถูกลงทัณฑ์ ทำให้ต้องหนีลงไปเบื้องต่ำ และเข้าสู่ความมืดมน หรือก็คือ การเยียดลงเบื้องล่างของเท้าขวา นั่นเอง ซึ่งผมนิยมที่จะเรียกอย่างนี้มากกว่าภาษาที่คุณใช้กันอยู่ที่เรียกว่า "เทวดาตกสวรรค์" ใช่ไหม? ฟังดูมันร้ายแรงมากเลย ไม่หรอกก็แค่การเหยียดลงของเท้าแห่งพระผู้เป็นเจ้า เพื่อทำกิจเบื้องล่าง เท่านั้น

2. การสร้าวงโลกของตนเอง มิติของตนเอง การอยู่นอกระบบปกติดั้งเดิมการสร้างระบบใหม่ของตนที่ผิดไปจากระบบดั้งเดิมที่ควรมี ควรเป็น ทว่าก็สะท้อนถึง "ความมีอยู่ของบางสิ่ง" ที่จำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติต่างออกไป ซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น การกระทำของเขาด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อระบบดั้งเดิม ด้านหนึ่งก็เพื่อการดำรงอยู่ของบางสิ่งที่เคยถูกมองข้ามไป นี่แหละ ผมจึงเรียกพวกเขาว่า เท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า

3. การพร้อมยอมรับและกลับคืนสู่เส้นทางดั้งเดิม พวกเขายากลำบากมานานแล้ว จึงพร้อมและอยากกลับมาสู่เส้นทางที่สว่างไสวดังเดิม ทว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดนัก เพราะการกลับเข้ามาสู่เส้นทางดั้งเดิมนั้น อาจทำให้พวกเขาต้องได้รับผลกระทบ หรือได้รับโทษทัณฑ์ที่รุนแรงมาก ก็เป็นได้ดังนั้น แม้พวกเขาต้องการคืนกลับ ทว่า เส้นทางการกลับ ยังยาวไกลอยู่

พวกเขา จะแหกคอก แหกกรอบ แหกกฏ และพยายามสร้าง "แนวร่วม" ให้มากขึ้นเพื่อดำรงอยู่ในแบบของพวกเขา ซ้อนขึ้นมาในระบบดั้งเดิมนั้นทว่า พวกเขาก็ยังมีความหวังว่าจะสามารถดำรงอยู่ร่วมกันกับทุกคนได้?



ส่วนต่อไปคือ "เท้าซ้าย" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้เหยียดยื่นลงในที่ต่ำเพื่อทำกิจเฉพาะที่ยากยิ่ง ไม่ต่างจาก "เท้าขวาของพระผู้เป็นเจ้า" แต่ก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างไปจากเท้าขวา คือ การที่พวกเขาต่อต้านและไม่ยอมกลับคืนสู่เส้นทางเดิม ทำให้ดูเหมือนพวกเกเรไปบ้าง ทว่า นั่นก็คือ "เท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า" เช่นกัน ย่อมมีความสำคัญจำเป็น ดังนี้

1. นอกจากจะมีลักษณะเหยียดลงเบื้องล่างอย่างเท้าขวาแล้ว พวกเขาจะแตกต่างและตรงกันข้ามกับ "เท้าขวา" มากคือ พวกเขาไม่ต้องการหวนกลับ และพร้อมตายทุกเมื่อ ไม่กลัวอะไร และไม่ต้องการการเจรจาต่อรองอะไรทั้งสิ้น ทว่า การกระทำของพวกเขาที่ดูเกเรและเป็นปรปักษ์อย่างยิ่งนี้ก็มีเหตุผลในระดับมิติที่สูงขึ้น และท่านสามารถหาประโยชน์จากพวกเขาได้ เมื่อยกระดับตัวเองขึ้นสูงมากพอที่จะเห็นภาพกว้างที่รวมเอาพวกเขาไว้ด้วยนั้นได้ ดังที่บอกแล้วว่าพวกเขาก็คือ เท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า ดังนี้ จึงมีเหตุผลและมีประโยชน์บางอย่าง เพียงแต่เราจะต้องเข้าใจให้มากขึ้น

2. พวกเขามักมี "คติความเชื่อ" แบบของตัวเอง หรือศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้ามาก ถึงขนาดยอมพลีชีพโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เลย ดังนั้น ในมุมหนึ่ง พวกเขาคือ ผู้เสียสละตนอย่างยิ่งยวด ยิ่งกว่าส่วนอื่นใดของพระผู้เป็นเจ้าเลยทีเดียว ทว่า พวกเขาไม่ใช่ศีรษะของพระผู้เป็นเจ้า จึงได้ทำสิ่งที่อาจยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด พวกเขาเป็นเท้าซ้ายที่ยอมทั้งแปดเปื้อนและพร้อมสละตนเต็มที่ แต่ในระดับพวกท่านอาจเรียกเขาว่า "โจร" เลยก็ได้

มีความจำเป็นมากครับที่เราจะต้องทำความเข้าใจ "เท้าซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า" นี้ให้มาก เพราะเป็นองคาพยพส่วนที่เข้าใจได้ยากที่สุด แต่ก็อุทิศตนมากที่สุด พร้อมยอมสละตนสูงสุดเช่นกัน ดังนั้น เราจะขาดพวกเขาไม่ได้นะครับ เพราะถ้าขาดพวกเขาแล้ว ท่านอาจจะหาคนที่สละตนไม่ได้อีกเลย



ส่วนสุดท้ายคือ "ศีรษะ" ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีลักษณะเด่นเหมือนกับศีรษะ คือ เป็นส่วนที่มีทั้งปัญญา, ความคิดและตรงกลางมากที่สุดมองเห็นทุกส่วนได้อย่างถ้วนทั่วมากที่สุด ทว่า ก็ไม่ใช่ส่วนที่จะปฏิบัติการเหมือนมือและเท้า ดังนั้น พวกเขาจึงทำงานโดยใช้การสื่อสาร การสั่งการ การบริหาร เป็นสำคัญ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่าง ดังนี้

1. พวกเขาเหมือน "พระหัตถ์ขวา" ตรงที่ ค้นพบเส้นทางเดินที่ถูกต้องตรงทาง และหลุดพ้นสู่ความสว่างไสวได้ในท้ายที่สุดของการทดลองแต่ต่างกันตรงที่ พวกเขากล้าทดลองเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งพระหัตถ์ขวา ไม่ทำ

2. พวกเขาเหมือน "พระหัตถ์ซ้าย" ตรงที่ กล้าที่จะทดลองและค้นหาเส้นทางเดินใหม่ๆ แต่พวกเขาต่างจากพระหัตถ์ซ้ายตรงที่ "ค้นพบและประสบความสำเร็จ" ในการทดลองหาเส้นทางเดินใหม่ๆ นั้นด้วยตนเอง 


3. พวกเขาเหมือน "เท้าขวา" ตรงที่ พร้อมสละตนลงสู่เบื้องล่างได้เสมอแต่ต่างกันตรงที่พวกเขาไม่มีลักษณะใดๆ ที่จะตกลงสู่เบื้องล่างได้เลย จึงต้องดำรงอยู่ในฐานะเดิมคือที่ศีรษะ คือ พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งผิดเลย นั่นเอง

4. พวกเขาเหมือน "เท้าซ้าย" ตรงที่ มีอุดมการณ์ของตนเอง พร้อมสละตน อุทิศตน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวังแม้จะได้กลับมาหรือไม่? ทว่าพวกเขาก็ยังสามารถกลับมาสู่เส้นทางดั้งเดิมที่ถูกต้องได้ด้วยตนเองอยู่ดี 



องคาพยพส่วน "ศีรษะของพระผู้เป็นเจ้า" มักมีข้อเสียคือ "ไม่อาจกระทำสิ่งต่างๆ ได้เอง" อาจเป็นเพราะการที่เขาเอาตัวเองเข้าทดลอง คือเป็นหนูทดลองจนอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจกระทำการใดได้อีกได้แต่ใช้ปัญญาเท่านั้นทว่า พวกเขาคือ ส่วนที่สำคัญมากและหาได้ยากยิ่งทีเดียว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรเลย หรืออยู่เหมือนคนที่ไม่มีงานทำ ตกงาน หรือว่างงานก็ดีทว่า อย่าเพิ่งมองข้ามเลยไปละ เพราะนี่คือ "ส่วนที่สำคัญ" ที่สุดทีเดียว


สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจความเป็นหนึ่งเดียวกันของจักรวาลนี้มากขึ้น มันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้วโดยที่คุณไม่ต้องกระทำการรวมอะไรไว้ด้วยกันเลย มันเป็นหนึ่งเดียวกันมานแล้ว อยู่แล้ว ทว่า ภาวะที่ถูกแบ่งแยก, จำกัดกรอบ, ความคับแคบ ฯลฯ ทำให้มันถูกทำให้กลายเป็น "คนละส่วนกัน" และนานวันเข้ามันก็ขัดแย้งกันเอง, ปะทะกันเองอย่างที่คุณเห็นอยู่ แต่นั่นไม่แปลกอะไรหรอกนะ เพราะเป็นวิถีของการ"ทดลอง" เท่านั้น ซึ่งนักท่องจักรวาลทั้งหลายจะทดลองเข้าสู่ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมือขวาหรือเท้าซ้าย ก็ดี มันจึงเกิดความขัดแย้งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อไรที่มันลงตัวแล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้น ราวกับว่าคุณไม่ต้องทำอะไรเลย? เพราะอะไร? เพราะทุกอย่างเป็นองค์ประกอบของการกระทำอยู่แล้ว มันคือ องคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่จะขับเคลื่อนจักรวาลนี้ไปอย่างที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว นั่นเอง หวังว่าคุณจะเข้าใจและเข้าถึงในสิ่งที่ผมได้สื่อสาร ซึ่งอาจเป็นการยากสักหน่อยสำหรับคุณเพราะมันอยู่ในมิติที่สูงมากๆ และคุณจะต้องเลื่อนระดับให้ได้ถึงระดับ "สากลจักรวาล" จริงๆ


17 พ.ค. 2555


"เสียงจากองคาพยพแห่งพระผู้เป็นเจ้า"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment