ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ดวงดาว-อาคาร-สถานที่-วัตถุสิ่งของ-องค์กร ฯลฯ ก็มีชีวิตได้?


สวัสดีครับ ผมขออธิบายต่อเลยก็แล้วกันในประเด็น "รูปธรรมชีวิต" ซึ่งคุณได้ทราบมาก่อนหน้านี้บ้างแล้วถึงภาวะของความมีชีวิต ผมจึงขออธิบายต่อในเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะอธิบายเลยอย่างง่ายๆ นะครับ เชิญครับ


อย่างแรกที่ต้องเข้าใจคือคำว่า "รูปธรรมชีวิต" นั้นหมายความว่าอะไร?


รูปธรรมชีวิต หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตอยู่ในรูปแบบต่างๆ กัน ตามธรรมชาติเช่น การมีชีวิตของมนุษย์, การมีชีวิตของดวงดาว, การมีชีวิตของตราสินค้า, การมีชีวิตของอาคารบ้านเรือน ฯลฯ เอาละ เท่านี้ท่านคงสงสัยว่าสิ่งที่พูดมานี้บางอย่างมันมีชีวิตด้วยหรือ? หรือมันมีชีวิตได้อย่างไร? มันไม่น่าจะใช่สิ่งมีชีวิตในนิยามของวิทยาศาสตร์ของโลกนี้เลย เช่น อาคารบ้านเรือน จะมีชีวิตได้อย่างไร? จะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร? เอาละ อย่างแรกที่ผมต้องขออธิบายก่อนคือ ภาวะความมีชีวิต ก็อย่างหนึ่ง รูปธรรมที่คุณมองเห็นก็อย่างหนึ่ง มันอาจไม่เหมือนกันก็ได้ เช่น ดวงดาวอาจมีชีวิตในแบบที่ต่างจากมนุษย์ ภายใต้รูปธรรมซึ่งคุณเห็นเป็นดาวดวงกลมๆ นั้นเพราะมันมีองค์ประกอบต่างๆ ที่เรียกว่ารูปธรรมชีวิต เช่น มันมีความคิด มีจิตใจของตนเอง มันมีชีวิตยืนยาวไม่ดับสิ้นสภาพของมันไป จนกว่ามันจะสูญเสียจิตวิญญาณ มันก็จะเข้าสู่ภาวะการดับสลาย แต่เมื่อมันยังไม่ถึงที่ยังไม่ถึงเวลาดับสลาย มันก็ยังถือว่า "มีชีวิตอยู่" นั่นเองและเมื่อมันมีชีวิตมันจึงตอบโต้ต่อการกระทำต่างๆ ต่อมันได้ เช่น การที่โลกปรับดุลยภาพตนเองเมื่อถูกกระทำจากมนุษย์ นั่นก็แสดงถึงว่า "โลกยังมีชีวิตอยู่" ยังไม่สิ้นชีวิตไป มันจึงตอบโต้การกระทำของมนุษย์ได้ เอาละ หวังว่าคุณคงพอเข้าใจคำว่า "รูปธรรมชีวิต" ขึ้นบ้างแล้วนะ ผมจะได้อธิบายในเชิงลึกขึ้นต่อไป



"รูปธรรมชีวิตที่มีจิตวิญญาณ" และ "รูปธรรมชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ"


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ "รูปธรรมชีวิต" ที่มีจิตวิญญาณและไม่มีจิตวิญญาณ ทั้งสองแบบล้วนนับได้ว่า "มีชีวิต" ทั้งคู่ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีจิตวิญญาณก็ตาม ต่างกันตรงที่ รูปธรรมชีวิตใดที่ไร้จิตวิญญาณ มันจะสิ้นสภาพลงได้อย่างรวดเร็วและตอบโต้ต่อสิ่งเร้าได้น้อยกว่ารูปธรรมชีวิตที่มีจิตวิญญาณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ "จิตวิญญาณ" ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น หรือตอบโต้ต่อสิ่งเร้าได้หลากหลายมากขึ้น ซับซ้อนขึ้นก็เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้ท่านสับสน ผมจะขอยืมใช้ศัพท์ทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า "ชาติ" เพื่อบ่งบอกถึง "ระยะการดำรงอยู่ของรูปธรรมชีวิต" ก็แล้วกัน กล่าวคือ คำว่า 1 ชาติ หมายถึง 1 ช่วงระยะเวลาของการดำรงอยู่ของรูปธรรมชีวิตต่างๆ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมเอาไม้ไปเผา ก็จะได้ "ถ่าน" สมมุติผมเอาถ่านไปใช้จนเหลือแต่เถ้า นับเวลาที่ถ่านนั้นมีสภาพเป็นถ่านอยู่ได้ 7 วัน เราจะนับว่า 1 ชาติของถ่านคือ 7 วัน นั่นเองส่วนถ่านก็คือ "รูปธรรมชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ" นั่นเองซึ่งคุณจะสังเกตุได้ถึงความมีชีวิตของถ่านได้ จากการที่มันไม่ยอมติดไฟง่ายๆ มันมีแรงที่คุมสภาวะความเป็นถ่านเอาไว้ระดับหนึ่ง ตอบโต้ต่อการถูกเผาได้ในระดับหนึ่ง นั่นละ คุณลักษณะของความมีชีวิต แม้ว่าจะไม่มีจิตวิญญาณ ก็ตามและ เพื่อไม่ให้คุณสับสนเกินไป ผมจะใช้คำว่า "ชีวะ" เฉพาะกับ รูปธรรมชีวิตที่มีจิตวิญญาณ ก็แล้วกัน ซึ่งไม่ว่ามันจะมีจิตวิญญาณหรือไม่ มันก็มี"พลังงานยึดโยงสภาวะ" ให้ตนดำรงอยู่ได้ ในรูปธรรมสมมุตินั้นๆ ทั้งสิ้น



"นิพพาน" คือ ธรรมชาติที่พ้นแล้วจากความเป็นรูปธรรมชีวิตใดๆ


ต่อไปที่คุณควรทราบคือ "ธรรมชาติที่พ้นแล้วจากการมีชีวิตใดๆ" ก็คือ "นิพพาน" มันเป็นสิ่งที่ไม่เรียกว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เพราะไม่ใช่รูปธรรมชีวิตใดๆ ผมจะขอยกตัวอย่างนะ สมมุติ คนๆ หนึ่งมีจิตวิญญาณอยู่ ยังไม่ตาย ต่อมาเขาตายลง สังขารเน่าสลาย ไม่มีจิตวิญญาณแล้ว สังขารนั้น กลับคืนสู่สภาวะธาตุต่างๆ เช่น ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ฯลฯ ทว่า ธาตุทั้งหมดนี้ ก็ยังเป็น "รูปธรรมชีวิต" อยู่มันเป็นรูปธรรมชีวิตที่ยังไม่นิพพาน แต่ก็ไม่มีจิตวิญญาณ ดวงเก่าถือครองอยู่อีกแล้ว อำนาจการถือครองนั้นจะตกแก่ "จิตวิญญาณสาธารณะ" แยกกันไป เช่น ส่วนของธาตุดิน ตกแก่ พระแม่ธรณี, ส่วนที่เป็นธาตุน้ำ ตกแก่ พระแม่คงคา ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น ทั้งส่วนที่เป็นธาตุดิน, น้ำ และอื่นๆ ก็ล้วน "มีชีวิต" และมี "จิตวิญญาณ" รองรับต่อไป มันยังไม่จบสิ้นจริงๆ มันยังไม่นิพพานจริงๆ มันยังมี "ชีวิต" ต่อไปในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นแหละ "รูปธรรมชีวิตของธาตุต่างๆ" มันมีการดำเนินไป ผ่านการถือครองของจิตวิญญาณ อันแตกต่างกันไปในแต่ละชาติ แต่ละภพ เช่นกันกับ "จิตวิญญาณ" ที่เคยถือครองมัน ก็จะจรไปสู่ "รูปธรรมห่อหุ้ม" ใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ที่ต่างไปจากเดิม กลายเป็นรูปธรรมชีวิตใหม่ๆ ไม่สิ้นสุดจนกว่าจะได้นิพพาน ดังนั้น แม้มนุษย์หนึ่งคน ย่อมมี "องค์ประกอบของรูปธรรมชีวิต" ที่หลากหลายต่างที่กันมา รวมกันชั่วขณะ แล้วแยกกันไป มีชีวิตต่างที่ ต่างทาง ต่างชาติ ต่างภพ กันต่อไป ถ้าคุณยังสับสนว่าในตัวเราจะมี "รูปธรรมชีวิต" มากกว่าหนึ่งอยู่ร่วมกันได้ จริงหรือ? เอาง่ายๆ อย่างนี้ ดูคนที่มีโรคพยาธิ ก็แล้วกัน พยาธิก็เป็นสิ่งมีชีวิตใช่หรือไม่? แต่เขาก็มาอยู่ร่วมในสังขารของคนได้ในบางช่วงขณะหวังว่าคุณคงพอจะเห็นภาพของการมีชีวิตอยู่ร่วมกันแล้วนะครับ ! 



"ความไม่มีชีวิต" คือ ชั่วเสี้ยวขณะเดียวของการ "ตาย" เท่านั้น?


ต่อไปคุณควรเข้าใจ "ภาวะความไร้ชีวิต" ซึ่งจะเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะเดียวขณะ "ตาย" เท่านั้น จุดนี้ ยังไม่เรียกว่านิพพาน แต่เป็นประตูสู่นิพพานได้ มันจะเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น ต่อจากนั้น มันจะเกิดชีวิตใหม่ขึ้นทันที เช่น คนที่ตายแล้วเกิดเป็นสมมุติที่เรียกว่าศพเผาแล้วได้สมมุติที่เรียกว่าเถ้าถ่าน, เถ้ากระดูก, ควัน, ไฟ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเผาศพนี้ ก็ล้วนเป็น "รูปธรรมชีวิตใหม่" ทั้งสิ้น ซึ่งถ้ารูปธรรมชีวิตใหม่ใดไม่มี "จิตวิญญาณถือครอง" สิทธิ์ในการถือครองจะตกแก่ "จิตวิญญาณสาธารณะ" เสมอนี่จึงหมายความว่า "ไม่มีรูปธรรมชีวิตใด ที่ไม่มีจิตวิญญาณดูแล" เพียงแต่จะเป็นจิตวิญญาณที่ถือครองเป็นการเฉพาะตนหรือว่าเป็นจิตวิญญาณสาธารณะเป็นผู้ดูแล "แบบองค์รวม" ก็ตามที ยกตัวอย่างเช่น บ้านเรือนที่คนสร้างขึ้น ถ้ายังไม่มี "ผีบ้านผีเรือน" ดูแลเฉพาะ ประจำไว้ก็จะตกแก่ "เทพแห่งการสร้างบ้านเรือน" เป็นผู้ดูแลไปก่อน ซึ่งก็คือ"พระวิษณุเทพ" นั่นเอง เพราะสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่มีจิตวิญญาณดูแลก็จะสิ้นสภาพความมีชีวิตได้ เช่น บ้านร้าง ก็จะพังไปเอง องค์ประกอบต่างๆ สิ้นสภาพกลายเป็นธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟให้แก่จิตวิญญาณแม่ธาตุ มาเป็นผู้ดูแลต่อไป จนกว่าจะถึงวาระ "นิพพาน" จะมีผู้นำเข้าสู่"นิพพาน" สภาพสมมุติแห่งความมีธาตุ เป็นธาตุ ก็ไม่มีอีก มีแต่ภาวะนิพพานอย่างเดียว อันพ้นแล้วจากภาวะแห่งความมีหรือไม่มีชีวิตนั้นๆ



"มนุษย์" ถูกสอนให้มา "กลืนกิน" สิ่งต่างๆ เพื่อนำพาเข้านิพพาน?


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ "ดั้งเดิมมีแต่นิพพาน" ทว่า จิต นั้นคือนายช่างผู้ปลูกเรือนแห่งสังขารต่างๆ ไม่เพียงแต่สังขารมนุษย์ แต่ทุกสังขารแห่งรูปธรรมชีวิต เช่น สังขารแห่งธาตุ, สังขารแห่งพลัง, สังขารแห่งใจฯลฯ และทุกๆ สังขาร (สังขารแปลว่า ธรรมอันเป็นผลจากการปรุงแต่ง) ดังนั้น เมื่อจิตเป็นผู้ก่อกรรมปั้นแต่งสังขารธรรมต่างๆ ขึ้นมาจากนิพพานจึงต้องเป็นผู้ "นำสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้าง คืนกลับสู่ นิพพาน" เช่นกัน ดังนั้น จิตจึงต้องถือกำเนิดมีสังขารห่อหุ้ม มีสังขารไว้เพื่อ "กลืนกิน" เอาสิ่งทั้งหลายที่ตนสร้างขึ้น ปั้นแต่งขึ้นจากนิพพาน กลับคืนสู่นิพพาน ดังนั้น เขาจึงถูกสั่งสอนให้มา "กลืนกิน" สิ่งต่างๆ อันล้วนแต่เป็นรูปธรรมชีวิต อันมีสมมุติต่างกันไป เพื่อเอาเข้ามาไว้เป็น "สังขารขันธ์แบกไว้" แบกสิ่งที่ตนสร้างเอาไว้จนกว่าจะได้นิพพานทั้งหมดทุกขันธ์ จิตนั้นๆ จึงหลุดพ้นไปได้เอาละ ที่นี้ คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราจึงต้อง "กิน" สิ่งที่มาจากธาตุทั้งหลายปรุงประกอบขึ้นมา กินแล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ที่เราต้องแบกรับภาระไว้ และเราจะต้องนำทั้งหมดเข้านิพพานไปด้วย เหลือทิ้งไว้บางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) ไม่ได้เลยเพราะมันจะกลายเป็นเชื้อเกิดใหม่ได้ และคุณจะยังไม่ได้นิพพาน เช่น การที่คุณดับขันธปรินิพพานแล้วสังขารคุณถูกเผาแล้ว "เหลือพระธาตุอย่างนี้ จะกล่าวว่านิพพานแบบไม่เหลือเชื้อได้อย่างไร? ในเมื่อหลักฐานคือ "พระธาตุ" ก็เหลือทิ้งไว้ให้เห็นอยู่ทนโธ่? เอาละ ผมไมได้ตำหนิใครนะ ผมเพียงแต่ให้คุณสังเกตุว่าบางท่านนิพพานเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร? เพราะท่านอาจจะมีภารกิจที่ต้องทำต่อไปอีก ไม่ได้รีบนิพพาน ก็เท่านั้นเอง เข้าใจไหม?



คุณต้องเก็บทุกอย่างที่คุณสร้างไว้ เข้านิพพานให้หมด จึงนิพพานได้


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ ถ้าคุณต้องการนิพพานจริงๆ คุณจะต้องเก็บทุกอย่างที่คุณสร้างขึ้น เข้านิพพานไปด้วย จึงจะนิพพานได้ ทว่า คุณจะมี "ตัวตนหลายตัวตน" ที่จะแบ่งเบาภาระกันในการเก็บสิ่งต่างๆ ที่คุณสร้างขึ้น เข้าสู่นิพพาน เช่น อาคารบ้านเรือน, สถาบัน, ของทิพย์, ลัทธินิกาย, ศาสนา, ประเทศชาติ ฯลฯ ทุกๆ อย่าง "ไม่มีข้อยกเว้น" จะเหลือเชื้อทิ้งไว้ ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นเชื้อให้เกิดบุญกรรมต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครรับผิดชอบได้ คุณก็ต้องรับผิดชอบเอง (ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณสร้างขึ้นนะ) ดังนั้น ผู้สร้างจึงต้องลงมาเป็นผู้ทำลายด้วยในตัวโอเคไหม? เพราะถ้าคนสร้างไม่เก็บเอง ไม่ทำลายเอง แล้วใครจะทำละ? ยิ่งกว่านี้ ระหว่างสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นยังดำรงอยู่ คุณเองแหละที่จะทำหน้าที่ "รักษา" มันด้วย พราะคุณสร้างมันมาเอง คุณจะให้ใคร มารับผิดชอบละ? เอาละ มันไม่ใช่คุณทำคนเดียวตลอดไปหรอกนะ มันมีหลายคนร่วมมือกันทำขึ้นมา ที่เรียกว่า "สายบุญ สายบารมี" สร้างมาร่วมกันไงละทีนี้ ของบางอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า สร้าง, รักษา, ทำลายได้ไม่ยากแต่ของบางอย่างเป็นพลังงาน เช่น ของทิพย์, จิตวิญญาณ ฯลฯ มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะนำพาเข้านิพพานกันได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม คุณก็ต้องเก็บคืนหมด



"พลังงานยึดโยงสภาวะ" ที่มีความซับซ้อนเกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญาณ?


ต่อไปที่คุณควรจะทราบก็คือ "พลังงานยึดโยงสภาวะ" ซึ่งจะมีอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า "รูปธรรมชีวิต" ทั้งหลาย (รูปนามทั้งหลาย) นั้นมีความเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณเป็นชั้นๆ ไปตามความซับซ้อนเป็นลำดับขั้น โดยมันจะมี "จิตวิญญาณเฉพาะ" ดูแลใกล้ชิด ช่วงที่มันมีความเป็นสมมุติมากและมันจะมี "จิตวิญญาณสาธารณะ" ดูแล ช่วงที่มันห่างไกลจากความเป็นสมมุติมากขึ้น และเข้าใกล้ภาวะนิพพานมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คนที่ยังมีชีวิต ก็จะมีจิตวิญญาณเฉพาะครองสังขารอยู่ แต่เมื่อตายแล้วก็จะเหลือแต่ธาตุต่างๆ ตกอยู่ภายใต้การดูแลของจิตวิญญาณสาธารณะแทนซึ่งมันก็จะใกล้นิพพานมากกว่า ดังนั้น "พลังงานยึดโยงสภาวะ" ของแต่รูปธรรมชีวิต จึงแตกต่างกัน ยิ่งมันห่างไกลนิพพานมากๆ มันก็ยิ่งจะคงตัวได้มากขึ้น มีพลังงานยึดโยงที่ซับซ้อนขึ้น แต่ยิ่งมันใกล้นิพพานมากๆ มันก็ยิ่งจะคงตัวได้ยาก ยิ่งจะสิ้นสภาพได้ง่าย และมีพลังงานยึดโยง ที่ลดลงเรียบง่ายขึ้น และทำให้นิพพานได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ สิ่งใดดำรงคงสภาพได้นานๆ คุณจะต้องทำให้มันมีจิตวิญญาณเฉพาะดูแลและมี "พลังงานยึดโยงสภาวะ" ที่ซับซ้อนมากๆ เช่น องค์กร, บริษัทจะไม่ล้มง่ายๆ ถ้ามันมีพลังจิตจากคนมากมาย ยึดโยงมันไว้ หรือกล่าวง่ายๆ คือคนที่ทำงานทำเพื่อมัน ทำเพื่อบริษัทกันมากๆ มันก็จะได้รับ พลังงานยึดโยงฯ มากขึ้น มันก็จะทรงสภาพได้นานขึ้น ไม่ล้มละลาย สิ้นไป ได้ง่ายๆ นั้นเอง 



16 ก.ค. 2555


"เสียงจากกูรูด้านจิตวิญญาณ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment