ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

วิธีจับสังเกตุ "มนุษย์ต่างดาว" พวกเขามีอะไรที่แตกต่างจากสัตว์ในโลกนี้หรือ?

สวัสดีครับ วันนี้เป็นเรื่องง่ายๆ พื้นๆ ก็แล้วกัน เพราะถ้าสูงเกินระดับของท่านทั้งหลายไป อาจจะทำให้ไม่อาจที่จะเข้าถึงได้จริงๆ นะครับ เรามาคุยเรื่องง่ายๆ พื้นๆ กันก็แล้วกัน คือ เราจะสังเกตุได้อย่างไรว่านั่นคือพลังที่มาจาก "ต่างดาว" เอาละ มีวิธีง่ายๆ เดี๋ยวผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังนะครับ


อย่างแรก คุณต้องเข้าใจ "รูปธรรมชีวิต" ในโลกนี้ทั้งหมดก่อน


เอาละ นี่คือ อย่างแรกที่คุณต้องเข้าใจ คือ "มนุษย์โลก" คืออะไร? มนุษย์โลกก็คือ สิ่งมีชีวิตที่พัฒนาให้บรรลุสัจธรรมสากลได้ และจะมีลักษณะของ "การผสมผสานในตัวอย่างสมดุล" เช่น มีทั้งความเป็นชายและหญิง (แต่ไม่ใช่แบบ 50-50 ก็ได้), ดี-ชั่ว-ถูก-ผิดในแต่ละตัวตนทั่งนั้น แต่ "มนุษย์ต่างดาว" ไม่ใช่เช่นนี้ พวกเขามีก็แต่"พลังต้นแบบหนึ่งเดียว" เฉพาะจากดาวดวงนั้นๆ ทำให้เราทราบได้ว่าเขาไม่ใช่สัตว์โลก และมาจากดาวดวงใด (พวกที่มาจากดาวดวงเดียวกันจะมี "แหล่งต้นพลังงาน" เหมือนกัน) เช่น พวกที่มีแต่พลังภาคสว่าง ไม่มีมืดเลย ก็มี, พวกที่มีแต่พลังด้านบวก ไม่มีลบเลยก็มี(เช่น ชาวไซย่า) หรือพวกที่มีแต่พลังด้านลบ ไม่มีบวกเลยก็มี (เช่นพวกดาวมฤตยู) สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ "ผิดสังเกตุจากมนุษย์" ที่จะทำให้เราสังเกตุได้ว่าเขามาจากดาวดวงอื่น เพราะมนุษย์จะไม่มีลักษณะที่คงที่เพียงหนึ่งเดียวได้เช่นนั้น มนุษย์โลกจะมีลักษณะผสมผสานในตัวอย่างสมดุล อันนี้ คือ เอกลักษณ์ของมนุษย์โลก ต่อให้มนุษย์โลกมีธรรมแล้ว ก็ยังต้องดำรงอยู่ตามธรรมชาตินี้ อย่างที่มนุษย์โลกเป็น แต่ก็ยังมี "รูปธรรมชีวิตขั้นสูงในโลกนี้" ที่ไม่มีสังขาร เช่น เทพต่างๆ นั้นจะมีลักษณะ หนึ่งเดียว ไม่มีลักษณะผสม แบบขั้วตรงข้ามแบบมนุษย์ทว่า พวกเขาจะมี "ระดับ" ไม่ถึงชาวต่างดาว เพราะชาวต่างดาว จะมีพื้นฐานด้านสัจธรรมคือเข้าใจในเรื่อง อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา เป็นพื้นฐานอยู่แล้วจาก "พระเจ้าประจำดวงดาวของเขา" ก่อนที่จะมายังโลกนี้ ดังนั้น นี่ก็คือ จุดสังเกตุอีกประการหนึ่งว่าพวกเขาคือ มนุษย์ต่างดาวเอาละ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทราบสัจธรรมพื้นฐานนั้นๆ ทว่า พวกเขาก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันในจักรวาลนี้ ดังนั้น พวกเขายังทำอะไรได้มากมายไม่เว้นแม้แต่การทำลายล้างโลก พวกเขาก็สามารถทำได้ตามหน้าที่นั้น



สัตว์โลกทั้งหมด จะได้รับธรรมจาก "พระพุทธเจ้าของโลกนี้" เท่านั้น


เอาละ ต่อไปที่คุณต้องทราบ ก็คือ "ผู้ที่มีเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว" ทั้งหมดจะต้องรับ "ธรรมะจากต่างดาว" เท่านั้น พวกเขาจึงจะกลับคืนสู่ "ดาวแม่" ของพวกเขาได้ ดังนั้น พวกเขาจะมีธรรมได้ โดยไม่ต้องรับธรรมจากท่านที่อยู่ในโลกนี้ หรือก็คือ เขาไม่จำเป็นต้องรับธรรมจากพระพุทธเจ้าที่เกิดในนี้ตรัสรู้ในโลกนี้ แต่พวกเขาจะต้องรับฟังคำสั่งและธรรมะจากพระเจ้า ผู้ดูแลดาวของเขาโดยตรง นั่นคือเขาต้องรับฟังคำสั่งและทำตามพระเจ้าที่อยู่ในดาวอื่น ไม่ใช่ดาวเคราะห์โลกใบนี้ แต่สัตว์ในโลกนี้ "ต้องรับธรรมตรงจากพระพุทธเจ้าแห่งโลกนี้" เท่านั้น ดังนั้น ถ้าท่านสังเกตุเห็นผู้ใดมีธรรมโดยไม่ต้องรับจากพระพุทธเจ้าได้ แล้วธรรมนั้นก็สอดคล้องกับสัจธรรมสากลก็อาจหมายความว่าเขาคือ "เชื้อสายของมนุษย์ต่างดาว" ที่ลงมายังโลกนี้โดยอาจจะมาอยู่ในสังขารแบบมนุษย์ ก็ได้ หรือแม้ไม่มีสังขารมนุษย์ ก็ได้นั่นคือ "ต้นสายธรรม" ของพวกเขา จะมาจากต่างดาว ไม่ได้มาจาก พระพุทธเจ้าที่เกิดเป็นมนุษย์โลกใบนี้ แต่กลับมีสัจธรรมพื้นฐานไม่แตกต่างกันสิ่งนี้ ทำให้พวกเขาแตกต่างจากเทพประจำดาวโลกนี้ด้วย แม้ว่าเทพที่อยู่ในโลกใบนี้ จะมีลักษณะ "หนึ่งเดียว" เหมือนกับชาวมนุษย์ต่างดาวก็ตาม



มนุษย์ต่างดาว จะมีวิทยาการแปลกใหม่ และปัญญาสูงกว่ามนุษย์ปกติ


เอาละ ต่อไปที่คุณต้องทราบ ก็คือ มนุษย์ต่างดาวมีพัฒนาการสูงกว่าคนในโลกนี้ เพราะ "มนุษย์ต่างดาวที่มีพัฒนาการต่ำกว่าโลกนี้ จะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาสู่โลกนี้" เพราะอะไร? เพราะพวกเขามีหน้าที่เป็นเช่น พี่เลี้ยง เข้ามาถ่ายทอดวิทยาการของพวกเขาให้แก่มนุษย์โลกนี้ นั่นเอง ทว่า พวกเขายัง "ยึดติดโลกเก่า" ของพวกเขาอยู่ ดังนั้น ข้อสังเกตุอีกประการหนึ่ง ก็คือ "พวกเขามักเผลอยึดครองโลก" และสร้างโลกให้เป็นไปตาม "ต้นแบบตามดาวของเขา" พวกเขาจึงสร้างโลกในมุมใดมุมหนึ่งตามแบบดาวของเขา เท่านั้น ไม่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่สนใจมุมมองของชาวดาวอื่นๆ ที่ลงมาถ่ายทอดวิทยาการให้กับโลกใบนี้เลย หรือกล่าวให้ง่ายก็คือ "พวกเขามีโลกในอุดมคติแบบของตัวเอง" ที่มันไม่ครอบคลุมความเป็น "โลกใบนี้" เพราะอะไร? เพราะเขามาจาก "ดาวดวงนั้น" นั่นเอง พวกเขาจึงยังยึดติดอยู่กับสภาวะของดาวดวงเดิมมากเกินไป นั่นเอง ดังนั้น พวกเขาจึงมีความเป็นส่วนตัวสูง มีโลกส่วนตัวแบบของตัวเองและแตกต่างจากมนุษย์โลกปกติ ที่จะเปิดกว้าง เปิดรับ และศึกษาโลกนี้อย่างไม่มีการจำกัดโลกทัศน์ของตนเอง ในขณะที่มนุษย์ต่างดาว จะไม่เปิดรับแนวคิดอย่างอื่น ที่มาจากดาวดวงอื่นเลย (เพราะว่า มันเข้ากับเขาไม่ได้)



มนุษย์ต่างดาว จะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับโลกที่ผิดปกติบางประการ


เอาละ ต่อไปที่คุณต้องทราบ ก็คือ มนุษย์ต่างดาวจะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับโลกหรือมนุษย์โลก พวกเขาไม่เก่งด้านการผสมผสานและพัฒนาตัวเองให้เปลี่ยนไปตามสิ่งต่างๆ พวกเขาเก่งแต่จะเป็นเช่นเดิม แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พัฒนาไปทางอื่น แบบอื่น นอกจากแบบของดาวของพวกเขาเอง ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีปัญญาและวิทยาการสูง ที่โลกเราไม่มี แต่พวกเขาก็มีจุดอ่อนและความคับแคบบางประการด้วยเหมือนกันนอกจากนี้ พวกเขายังมีปัญหาในด้านการปรับตัวเข้ากับโลกใบนี้ด้วยในหลายประการ ทำให้พวกเขาจะดำรงชีวิตตามปกติของชาวโลกไม่ได้นักไม่เต็มที่นัก บางครั้ง ชาวต่างดาวบางพวกก็ต้องมีการ "พักเพื่อเติมพลัง" ก็มี บางพวกก็มี "ช่วงพัฒนาการที่ต่างจากมนุษย์" เหมือนการอยู่ในดักแด้ ระยะหนึ่ง อะไรประมาณนั้น พวกเขามีอะไรที่แปลกและแตกต่างจากมนุษย์โลกอย่างนี้ จึงกลายเป็น "จุดสังเกตุอีกประการหนึ่ง" ที่คุณจะพอสังเกตุได้ ทว่า คุณควรมองเขาด้วยความเข้าใจและด้วยจิตใจที่อ่อนโยนไม่ใช่การจับผิด และรังเกียจพวกเขา เพราะพวกเขาลงมาเพื่อทำภารกิจให้แก่โลกนี้โดยตรง แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิด, จิตใจ แตกต่างกันไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมนุษย์เองก็มีความคิดแตกต่างกัน ทั้งดีและเลว ก็มีอยู่มากมาย ไม่ใช่หรือ? เอาละ มนุษย์โลกควรเป็นเจ้าบ้านที่ดี ที่ต้อนรับเขาให้ดีด้วยก็แล้วกัน เพื่อการทำกิจพัฒนาโลกในด้านต่างๆ ร่วมกันต่อไป



มนุษย์ต่างดาว จะทำกิจต่างๆ ผ่านการประสานงานกับมนุษย์ ทำไม?

ข้อต่อไปก็คือ มนุษย์ต่างดาวจะทำกิจโดยไม่ผ่านมนุษย์ ไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีความเข้าใจโลกนี้ อย่างที่มนุษย์โลกนี้เป็นอยู่ พวกเขาก็ต้องทำกิจผ่านมนุษย์ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเกิดปัญหาตามมาภายหลัง การทำหน้าที่เพียงพี่เลี้ยง ที่คอยบอกมนุษย์แล้วให้พวกเขาทำเอง จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด และพวกเขาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกนี้ "มากเกินไป" อีกด้วย ดังนั้น จึงต้องมีร่างสังขารของมนุษย์ "เป็นตัวแทน" ในการทำหน้าที่ต่างๆ ของพวกเขาด้วย ดังนั้น คนเราจะรู้จักหรือสัมผัสเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวผ่าน "มนุษย์ที่เป็นร่างตัวแทน" ของพวกเขาก็ได้ แต่ถ้าเราได้สัมผัสพวกเขาโดยตรง เราอาจถูกเลือกให้เป็น "ร่างตัวแทน" ของพวกเขาก็ได้นอกจากนี้ พวกเขายังมีวิธีประสานงานกับมนุษย์มากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประสานร่างกับมนุษย์ ก็ดี, การประสานเฉพาะพลังบางส่วนกับสังขารมนุษย์ ก็ดี, การสื่อสารทางจิตกับมนุษย์ ก็ดี และมีอีกหลายวิธีที่พวกเขาสามารถทำได้ และแตกต่างกันไป ตามวิทยาการของดาวนั้นๆ



มนุษย์ต่างดาว จะมีพลังงานภายในมากกว่ามนุษย์โลกและแตกต่างไป


ข้อต่อไปก็คือ "พลังงานภายใน" ของพวกเขาจะแตกต่างจากมนุษย์โลกและมีพลังมากกว่ามนุษย์โลก และพวกเขาจะมีพลังงานแบบเดียวกัน เมื่อมาจากดาวดวงเดียวกันทำให้เรา "สังเกตุและจัดกลุ่มพวกเขาได้ไม่ยาก" ปกติ พวกเขามีพลังมากกว่ามนุษย์ที่มีพลังภายในมากๆ เสียอีก แต่พวกเขาอาจไม่ได้ใช้พลังนั้นๆ มากเสมอไป บางดาว ชอบใช้พลัง แต่บางดาวก็ไม่นิยมใช้พลัง แตกต่างกันไป นอกจากนี้ พวกเขายังมีพลังงานที่แปลกมาก และยากแก่การเข้าใจของมนุษย์หรือเทพที่อยู่ในโลกนี้ด้วย เมื่อใครได้รับพลังจากชาวต่างดาวแล้ว จึงส่งผลให้เกิดความแตกต่างจากคนอื่นได้มากมาย พลังงานที่แปลกใหม่เหล่านี้ กลายเป็น "ของใหม่" สำหรับโลกนี้ ซึ่งสรรพสัตว์ในดาวดวงนี้ "จะยากแก่การเข้าใจ" อย่างมาก และต้องทำการศึกษาเรียนรู้ยาวนานทีเดียวจึงจะเข้าใจในระบบพลังงานของพวกเขาได้ เพราะว่าพลังงานของพวกเขาต่างจากของโลกเราอย่างมากเช่น การที่พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้ในระบบพลังงานแบบขั้วเดียวได้ ก็แตกต่างจากมนุษย์มากมาย ซึ่งมนุษย์ไม่อาจดำรงอยู่ในภาวะขั้วเดียวนั้นได้ แม้ว่าจะเข้าใจมีปัญญาเห็นธรรมแล้วก็ยังต้องอยู่อย่างมนุษย์โลกต่อไป



กระบวนการศึกษา "มนุษย์ต่างดาว" ของมนุษย์โลกภายใต้ขีดจำกัด


ข้อต่อไปก็คือ ต้องเข้าใจว่าวิทยาการปัจจุบันของเรา ยังไม่มากพอที่จะศึกษามนุษย์ต่างดาวได้มากนัก เราไม่มีเครื่องมือเฉพาะด้านมากมายที่จะทำการศึกษาพวกเขาได้ เช่น เครื่องวัดพลังงาน เฉพาะดาวบางดวงที่จะช่วยทำให้เราจับตาดูพลังงานเหล่านั้นที่แปลกและแตกต่างไปจากโลกนี้ได้ นอกจากนี้ "ชื่อและภาษา" ที่พวกเขาใช้ ยังแตกต่างจากเรามาก ดังนั้น มันจึงไม่มีประโยชน์ถ้าเราพบพวกเขา เราได้ชื่อพวกเขามาเพื่อบอกพวกท่านต่อ จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อภาษาและชื่อของพวกเขา เหล่านั้น "ล้วนไม่อยู่ในความเข้าใจของมนุษย์โลกเลย" ดังนั้น จึงต้องมีการใช้ "ภาษาและการตั้งสมมุติบัญญัติเรียกกันแบบมนุษย์โลก" สมมุติว่าคุณพบดาวดวงหนึ่ง เป็นดาวดวงใหม่ คุณจะถามดาวดวงนั้นว่ามันชื่ออะไรอย่างนั้นหรือ? คงไม่ใช่หรอก คุณก็ต้องตั้งชื่อดาวที่คุณค้นพบด้วยภาษาของคุณเองนั่นแหละ ดังนั้น คุณไม่ควรสับสนเพราะมีการใช้สมมุติบัญญัติเรียกพวกเขา เพียงเท่านั้นเลย ! อย่าให้มันมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นการเรียนรู้ของคุณเพียงเพราะการใช้คำ เท่านั้นเอง?



สุดท้ายนี้ แม้คุณจะไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มากพอที่จะศึกษาพวกเขา ทว่า คุณมีสิ่งที่ดีกว่านั้นและทรงประสิทธิภาพมากกว่านั้นซึ่งมันเป็น "สากลอย่างยิ่งในจักรวาล" นี้ ก็คือ "จิต" ของคุณเอง นั่นละที่คุณจะสามารถใช้ในการศึกษาพวกเขาได้อย่างดีที่สุด พวกคุณไม่มีความจำเป็นต้องเห็นพวกเขาด้วยตาเปล่าหรอกนะ เพราะการรับรู้ทางตาของพวกคุณ ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณเข้าใจพวกเขาเสมอไป เพราะถ้ามีจิตที่ไม่ตรงกัน สื่อสารกันไม่ได้ แม้แต่มนุษย์โลกด้วยกัน "ยังไม่เข้าใจกันเลย" ใช่ไหมละครับ? ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้คุณศึกษาเขาได้ อย่างมีความเข้าใจมากที่สุด ก็คือ "จิตของคุณ" นั่นเอง จิตที่ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจเด็ก ที่มีความอยากรู้อยากเห็น มีแรงบันดาลใจ มีความกล้า ที่จะใฝ่ฝันกล้าที่จะคิดและค้นหาสิ่งที่เป็นเพียงจินตนาการที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่มีจริง


ขอพลังแห่งความใสซื่อดุจเด็กจงเป็นแรงบันดาลใจแก่คุณต่อไป สวัสดี



7 ก.ค. 2555


"เสียงจากต่างดาว"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment