ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

อรหันต์เป็นผลที่เนื่องมาจากการสร้างเหตุ แต่นิพพานไม่มีเหตุใดทำให้เกิด?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอยกประเด็นสัจธรรมพื้นฐานมารองรับปรับอินทรีย์ของท่านให้สักเล็กน้อย เพื่อให้ท่านมีพื้นฐานสัจธรรมรองรับข้อมูลต่างๆ ที่ดูออกจะหลุดโลกได้เอาละ ผมขอกลับมาพูดเรื่อง "นิพพาน" ก็แล้วกัน มันเป็นสัจธรรมพื้นฐานขั้นต้นที่ท่านควรเข้าใจก่อนที่จะรับธรรมจากต่างดาว ซึ่งมีระดับที่สูงขึ้นไปอีกนะครับ ...


พระอรหันต์ไม่จำเป็นต้องนิพพาน นิพพานกับอรหันต์เป็นคนละสิ่งกัน?


เอาละ อย่างแรกที่คุณต้องทราบเลยก็คือ "นิพพาน" คือ สัจธรรมแท้ที่มีมานานแล้วก่อน "สมมุติทางโลก" จะเกิดขึ้นแบบไม่เที่ยง แล้วดับไปจากสมมุติหนึ่ง สู่สมมุติหนึ่ง ต่อเนื่องไปตามแรงขับดันของเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้น นั้นละ คือ "ลีลาของสมมุติที่ไม่เที่ยง จึงมีเกิด-ดับ ตามเหตุปัจจัย" ทว่า "นิพพานเป็นวิมุติธรรม เป็นธรรมแท้ ไม่ใช่สมมุติ จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิด-ดับ" สรุปง่ายๆ คือ "นิพพาน ไม่เกิด ไม่ดับ มีมานานแล้วก่อนที่จะเกิดสมมุติซึ่งไม่เที่ยงสมมุติที่เกิด-ดับไปนั้น" เอาละ ต่อมาสิ่งที่คุณควรเข้าใจอีกคือ "อรหันต์คือสมมุติ" อย่างหนึ่ง ที่เกิดจาก "มรรค" เป็นเหตุ เมื่อคุณเดินตามมรรคที่ถูกต้อง "เป็นเหตุ" คุณจะได้ "อรหันต์ เป็นผล" ได้ เรียกว่า "อรหันตผล" นั่นเอง ทว่า อย่าลืมนะ นิพพานไม่ใช่ผลของอะไร ไม่อาศัยอะไรๆ เกิด เพราะพ้นแล้วจากการเกิด และการดับนั้นทีนี้ คุณเข้าใจความแตกต่างของคำว่าอรหันต์และคำว่านิพพานแล้วหรือยัง? เอาละ มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ใช่ไหม? ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ข้อสรุปที่ว่า "พระอรหันต์ต้องนิพพานเสมอ" หรือ "อรหันต์แล้วจะไม่นิพพาน ไม่ได้" ก็หาไม่ เอาละ ยังมีพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมแล้ว "ยังไม่รีบนิพพาน" ทั้งยังหาวิธีดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ "แบบของตนเอง" ด้วยปัญญาที่ตนมีนั้นๆ



พระอรหันต์ เป็นสมมุติที่เกิด-ดับได้ ไม่เที่ยง เกิดจาก "มรรค" เป็นเหตุ


ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว "พระอรหันต์" จึงเป็นสมมุติที่ถูกสร้างให้เกิดได้ มีได้ และดับได้ ไม่เที่ยง โดยอาศัย "มรรค" เป็นเหตุให้เกิด หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณเดินมรรคเป็นเหตุ จนเกิดปัญญาในระดับซึ่งเขาสมมุติไว้ให้ว่าคือ "อรหันต์" คุณก็จะได้ชื่อว่าอรหันต์ก็แค่นั้นเอง แต่คุณก็อาจจะยังไม่นิพพานก็ได้ เช่น ถ้าคุณมีบุญ-กรรม เยอะมาก ต้องเสวยไปอีก 10 ชาติจึงหมด แต่คุณมีปัญญาบารมีมากเดินตามมรรคจนได้ผลเป็น "อรหันต์" คูณก็คือ อรหันต์ ก็แค่นั้นเอง แต่คุณยังไม่นิพพานหรอกเช่น ผู้หญิง เป็นเพศที่มีกรรมมาก อาจต้องเสวยกรรมไปอีก 10 ชาติแต่เมื่อมาตั้งใจปฏิบัติตามมรรคแล้ว ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ยังไม่ถึงวาระนิพพาน ก็เท่านั้นเอง เมื่อท่านละสังขารแล้วยังไม่นิพพาน ไปเกิดที่สุขาวดี หรือโลกธาตุอื่นๆ ก็ได้ จากนั้น ท่านก็ลงมาเกิดยังโลกอีก ความเป็นพระอรหันต์ "ก็ดับลง" กลายเป็น "ปุถุชนธรรมดา" ใหม่อีกครั้ง แค่นั้นเอง ดังนั้น กลุ่มคนที่อาศัย "มรรค" เป็นเหตุให้เกิด "อรหันต์เป็นผล" จึงไม่จำเป็นต้องนิพพานเสมอไป พวกเขาบรรลุธรรมแล้ว จะดำรงอยู่ต่อไปอีกเพื่อเสวยบุญกรรมที่เหลือให้หมด ซึ่งพวกเขาจะต้องไปอยู่ต่างดาวไม่ใช่ดาวดวงนี้ เพราะวิทยาการของดาวดวงนี้ "ต่ำไปแล้ว สำหรับเขา"



นิพพาน สัจธรรมแท้ไม่เกิด-ไม่ดับ ทุกสรรพสิ่งก็คือ "นิพพาน" อยู่แล้ว


ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว "นิพพาน" ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่สมมุติที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่สมมุติที่ยังวนเวียนอยู่กับการเกิด-ดับ นิพพานคือ สัจธรรมที่มีมาแล้วแต่ดั้งเดิมก่อนเกิดสมมุติ และสรรพสิ่งก็เป็นนิพพาน อยู่แล้วในตัวมันเอง ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เข้าใจดังนี้ สมมุติว่าคุณมี "ดินน้ำมัน" ก้อนหนึ่ง คุณปั้นให้เกิดเป็นช้าง แล้วคุณก็ทำลายให้ดับไป แล้วคุณก็ปั้นใหม่ให้เป็นม้า ทำอย่างนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถามว่า "ดินน้ำมัน" ก็คือ "ดินน้ำมัน" อยู่ดังเดิมใช่หรือไม่? แม้ว่าจะมีช้าง, ม้า, วัว, ควาย ฯลฯ ที่เกิดจากการปั้นแล้วทุบไปเรื่อยๆ เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามที่คนปั้นให้เป็นไป ก็ตาม มันก็ยังคงเป็น "ดินน้ำมัน" อยู่ดังเดิม แต่ช้าง, ม้า, วัว, ควาย ฯลฯ อะไรนั้นก็คือ "สมมุติอันไม่เที่ยง" เกิดแล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัย ใช่หรือไม่? เอาละ ดังนั้น "นิพพาน" จึงเป็นสัจธรรมแท้ที่มีอยู่แล้วใน "ทุกสรรพสิ่ง" แม้แต่ใน "กิเลสก็มีนิพพาน" ใน "อวิชชาก็มีนิพพาน" ใน "ความเท็จก็มีนิพพาน" ใน "จิตนาการและความเพ้อฝันก็มีนิพพาน" พอเข้าใจตรงนี้หรือไม่? ว่าในทุกสมมุติล้วนมีนิพพานเป็นรากฐาน ทั้งสิ้นเมื่อใด "หยุด" ปั้น, หยุดปรุงแต่ง, หยุดสร้างเหตุปัจจัย หนุนเนื่องให้เกิดมี "กรรม" มี "ตัวตน" มี "ชาติ-ภพ" ใหม่ๆ ต่อไป มันก็จะสิ้นพลังแรงอันจะหนุนเนื่อง สุดท้าย มันต้องจบ มันต้องนิพพาน เพราะมันนิพพานอยู่แล้วมันมีอยู่แล้ว รอแต่ สมมุติที่บดบัง ดับสิ้น ไม่มีเหตุหนุนให้เกิดอีก ก็เท่านั้น



มนุษย์ต่างดาวที่อรหันต์แล้วมีวิทยาการที่หนุนเนื่องให้ไม่รีบนิพพาน ก็ได้


ข้อต่อไปที่คุณควรทราบคือ "วิทยาการจากต่างดาว" ล้วนเป็นวิทยาการที่ต่อยอดจากนิพพานแล้วทั้งสิ้น กล่าวคือ พวกเขาล้วนบรรลุอรหันต์แล้วและหาวิธีดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ต่อไป "ตามแบบของตัวเอง" พวกเขาจึงมีวิทยาการที่แตกต่างกันและอยู่คนละดาวกัน ปนกันไม่ได้ พวกเขาจะใช้วิธีหนุนเนื่องให้เกิดสมมุติ, ตัวตน และชาติภพใหม่ๆ ไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นก็จะไม่รีบนิพพาน ด้วยเหตุนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาบรรลุอรหันต์แล้ว และรู้แจ้งในนิพพานทั้งหมด ก็ตามที เช่น วิทยาการจาก "สุขาวดีโลกธาตุ" ซึ่งจะใช้ "กิเลสเป็นโพธิ" ก็ดี เพื่อจะหนุนเนื่องให้ตัวตนยืดยาวออกไป ไม่นิพพานไปเสียก่อน ทว่า "วิทยาการของแต่ละดาว ก็ต่างกัน" เช่น ดาวบางดวงก็อยู่ยาวต่อไปได้ด้วยการ "ใช้พลังด้านบวก" แต่อย่างเดียวทั้งยังสามารถ "ปลุกพลัง" ฟื้นคืนสภาพได้อีก เมื่อพลังงานด้านบวกลดลง พวกเขาก็ใช้การปลุกพลังเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถดำรงอยู่แบบ "เสวยผลบุญ" ต่อไปได้เรื่อยๆ ยาวนาน ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่ต้องรีบนิพพาน ก็ได้ เพราะเหตุนี้ ท่านที่ประสงค์ รับวิทยาการจากต่างดาว จึงควรมีลักษณะเหมือนพวกเขาด้วยคือ ควรจะได้ธรรมขั้นพื้นฐานคือ "เรื่องนิพพาน" นั้น ก่อนรับวิทยาการอื่น



การทำให้คนบรรลุอรหันต์นั้นอาศัย "มรรคเป็นเหตุ" ได้หลากหลายวิธี


ข้อต่อไปคือ การสร้าง "อรหันต์" นั้นทำได้มากมายหลายวิธี โดยไม่สนว่าพวกเขาจะนิพพานหรือไม่? ขอเพียงเกิดปัญญาแจ้งในนิพพานถึงขั้นที่เรียกได้ว่าอรหันต์ก็พอแล้ว แต่คนที่จะนิพพานนั้น "จะมีวาระของเขา" ถ้ายังไม่ถึงวาระ ไม่ถึงเวลา ยังเสวยผลบุญกรรมไม่หมด ก็ยังไม่นิพพานดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงแยกแยะสัตว์สองกลุ่มนี้ออกจากกันได้ ว่ากลุ่มไหนที่จะนิพพานไปก่อน กลุ่มไหนอรหันต์แล้วยังไม่นิพพาน และยังไปเกิดเพื่อดูแลพระพุทธศาสนาได้อีก เช่น การที่ท่านมอบบาตรให้พระอชิตะ ท่านนั้นทราบดีว่าพระอชิตะอรหันต์แล้วแต่ยังมีบุญกรรมต้องเสวยอีก ยังไม่หมดก็ยังไม่ถึงวาระนิพพาน และยังดูแลพระศาสนาให้ท่านต่อไปได้ ไม่ต่างจากพระมหากัสสปะ, พระอานนท์, พระมหากัจจานะ ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนไม่ต่างกัน เอาละ มากล่าวถึง "เทคนิก" การสร้างอรหันต์กันดีกว่า มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด เช่น เทคนิกการทำให้เกิด จิตหนึ่ง โดยการทำให้ จิตวิญญาณอื่นๆ "จรออกจากร่างจนเหลือจิตดวงเดียว" เมื่อเทศนาธรรม ก็จะบรรลุได้ง่าย, เทคนิกการใช้ ความดับ ของกิเลสชั่วขณะเหมือนเมฆน้อยลอยเลื่อนลับจากดวงจันทร์ไปก็จะไม่มีกิเลสบดบังชั่วขณะนั้นก็ทำนิพพานให้แจ้งได้ไม่ยากและอีกหลายเทคนิกมากมาย ล้วนช่วยให้เกิดอรหันต์ได้ ไม่ยากนัก



ผู้ที่พร้อมนิพพาน ไม่จำเป็นต้องฉลาด เกือบปัญญาอ่อนก็นิพพานได้


ข้อต่อไปคือ ผู้ที่พร้อมนิพพานนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนฉลาด แม้คนที่เกือบปัญญาอ่อน ก็ถึงวาระนิพพานได้ เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรเป็นเหตุ ไม่ใช่ต้องอาศัย "ความฉลาด ความมีปัญญาเป็นเหตุ จึงให้นิพพานเป็นผล" อย่างนี้ ก็หาไม่ ไม่ใช่เลย ไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือรู้มากอะไรเลย โคตรโง่ แทบปัญญาอ่อน งี่เง่า ไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง ก็อาจเข้าข่ายพร้อมนิพพานได้ "ถ้ามันถึงวาระจริงๆ" ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือรู้มาก, รู้ไปหมด ก็ได้พระพุทธเจ้าบางพระองค์อาจคล้ายคนปัญญาอ่อน, งี่เง่า ไม่ได้เรื่องก็ได้ แต่ท่านรู้เรื่องนิพพานดี ก็เท่านั้นเอง ท่านเข้าใจคนที่จะนิพพานและสุกงอมพร้อมเต็มที่ ดีว่ามีลักษณะ, วิสัย, พฤติกรรม ฯลฯ อย่างไร ท่านจึงอธิบายให้ชาวโลกและสังคม เข้าใจและยอมรับได้ว่าพวกเขาสามารถอยู่บนโลกต่อไปแบบ "ไม่เอาไหน" บุญไม่ทำ - กรรมไม่สร้าง แล้วอย่างไร? การเข้าถึงนิพพาน ไม่จำเป็นต้องฉลาดเสมอไป



สุดท้ายนี้ การนิพพานแบบบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) นั้น อาจเกิดขึ้นได้แบบพิสดาร เช่น การนิพพานเฉพาะส่วน "จิตวิญญาณ" เหลือ สังขารไว้เพื่อรอให้ "จิตวิญญาณดวงอื่นมาใช้ร่างสังขารต่อ" ก็ได้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ "การกำเนิดใหม่จากนิพพาน" หมายความว่า หลังจากจิตวิญญาณนั้นนิพพานไปแล้วทิ้งเชื้อเหลือสังขารไว้ สังขารจึงเป็นเชื้อเกิดใหม่ได้ โดยใช้"จิตวิญญาณ" อื่นๆ ที่เดิมทีไม่ได้อยู่ในร่างสังขารนั้นๆ ทำให้เกิดการ เกิดใหม่จากนิพพาน หรือกำเนิดใหม่หลังนิพพานแล้ว ส่วนใดที่นิพพานไปแล้วไม่อาจเกิดได้อีกส่วนเหลือจากการนิพพานบางส่วน (สอุปาทิเสสนิพพาน) นั่นแหละ จึงเป็น "เชื้อเกิดใหม่ได้อีก" เอาละ นี่คือ "วิทยาการใหม่ล่าสุด" ซึ่งเพิ่งค้นพบไม่นานมานี้เอง มันไม่เหมือนวิทยาการจากดาวอื่นๆ เดิมๆ ที่เคยใช้กัน เพื่อ "ไม่รีบนิพพาน" เพราะวิทยาการเดิมๆ นั้น พวกเขาที่บรรลุอรหันต์แล้ว จิตวิญญาณก็ยังไม่ได้นิพพาน (เช่น อาศัยเพียงกิเลสนิพพานชั่วขณะเพื่อการบรรลุธรรมแต่ยังไม่รีบนิพพาน) ดังนั้นจำนวนจิตวิญญาณที่เวียนว่ายอยู่ในจักรวาล จึงมากเกินไป และเริ่มจะล้นโลกมนุษย์ เพราะมาแย่งกันเกิดมากเกินไป จำเป็นต้องให้ "จิตวิญญาณนิพพาน" ไปบ้าง บางส่วนในขณะที่ท่านที่ไม่รีบนิพพานก็ต้องได้ "จิตวิญญาณดวงใหม่" เพื่อที่จะใช้ "เวียนว่ายตายเกิดต่อไป" เอาละ มันเหือเชื่อเกินไป ใช่ไหม? ไม่ได้ต้องการให้ท่านเชื่อหรอกนะ เล่าให้ฟังเล่นๆ เท่านั้น เพราะว่ามันสูงเกินไปเกินกว่าที่ใครจะเชื่อได้ เพราะขนาดอรหันต์ต่างดาวเขายังทำกันไม่ได้เลย


ขอพลังธรรมแห่งพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าจงปรากฏแก่ท่าน สวัสดี 



14 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment