ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ทำไมบรรลุธรรมแล้ว ถ้าไม่รีบบวชจะดูเหมือน "คนบ้า" บ้างก็คนเหลวไหล?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอปูพื้นฐานเรื่องสัจธรรมขั้นต้นก่อนนะครับ ยังไม่ขึ้นไปสู่ระดับที่สูงเกินไป ฐานแน่นจะไปได้อย่างมั่นคงนะครับ อย่าลืม เอาละวันนี้ ผมจะอธิบายเรื่อง "การบรรลุธรรม" ซึ่งในฆราวาสหลังบรรลุธรรมใหม่ๆ จะมีอาการแปลกๆ ได้ถ้าไม่รีบบวชนะครับ เรามาดูกันให้ละเอียดครับ


การบรรลุธรรมส่งผลให้มี "จิตหนึ่ง" เดียวได้ ภายใน 7 วันอาจตาย?


สำหรับการบรรลุธรรมนั้น โดยปกติจะบรรลุเมื่อจิตในร่างเหลือ 1 ดวงที่เรียกว่า "ภาวะจิตหนึ่ง" ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน สำหรับฆราวาสแล้วก็จะมีช่วงเวลานั้นประมาณไม่เกิน 7 วัน ถ้าเขาบรรลุธรรมแล้ว ยังมีจิตในร่างเพียงหนึ่งดวง ครบ 7 วัน ไม่ได้บวชพระ ก็จะละสังขารนิพพานไปในเพศฆราวาสนั้นเอง แต่ถ้าบวชพระได้ทันก่อน ก็จะได้เทพที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง (ชั้นเดียวกันมนุษย์ ไม่สูงไปกว่านั้น) มาคุ้มครองร่างทำให้จิตวิญญาณเพิ่ม ไม่ได้เป็นจิตหนึ่งดังเดิม เดิมใสบริสุทธิ์ ก็ได้รับการ "บวกเพิ่ม" อะไรบางอย่างเข้าไป เช่น "ความเป็นพระ" ซึ่งไม่ใช่ภาวะใสบริสุทธิ์ 100% นะครับ ความเป็น "พระ" ก็คือ รูปนามตัวตนหนึ่ง ที่เมื่ออยู่ในธรรมวินัยแล้ว จะไม่ก่อกรรมเกินขอบเขต และทำให้มีโอกาสนิพพานได้ในชาตินั้น ก็เท่านั้นเอง ทว่า สำหรับ "ฆราวาสแล้ว" ถ้ามีบารมีของตนเอง แล้วบรรลุธรรมในเพศฆราวาส อยู่จนเกิน 7 วันก็ไม่ละสังขาร ก็มีได้ในกรณี ได้รับ "จิตวิญญาณ" อื่นๆ คุ้มครองสังขารไว้ ทำให้ไม่อยู่ในภาวะจิตหนึ่ง ซึ่งจิตวิญญาณที่คุ้มครองสังขารไว้ ไม่ให้ละสังขารภายใน 7 วันนี้ จะไม่ค่อยเหมือนจิตวิญญาณที่ปกป้องผู้ที่บวชพระ เพราะเขาจะมี "ลักษณะที่ไม่เอื้อต่อการนิพพาน" อยู่ ทำให้ผู้ที่รับจิตวิญญาณนั้นไปคุ้มครองสังขารมีลักษณะ "แปลกๆ" คือ จิตที่ใสนั้นไม่แสดงตัว ธรรมกายนั้นมีก็เหมือนไม่มี มันใสจนไม่มีใครเห็นหรือคิดว่าจะมี แต่ส่วนที่ "บวกเพิ่ม" นี่เองที่แสดงตัวชัดเจน จนเหมือนกับเป็นผู้นั้นเต็มตัว (ทั้งที่ไม่จริง) เช่น จิตวิญญาณที่ช่วยคุ้มครองสังขารบางเป็นมาร ก็แสดงออกอย่างมาร, เป็นอสูร ก็แสดงออกอย่างอสูร กลายเป็นว่าฆราวาสที่บรรลุธรรมเหมือนคนไม่ปกติไปเลย เพราะสาเหตุเหล่านี้นั่นเอง 



อย่าตัดสินคนที่ "เปลือกนอก" เพราะเขาอาจเป็น "ฆราวาสใจพิสุทธิ์"


ดังนี้ ผมขอเรียก "ฆราวาสที่บรรลุธรรมแล้วยังไม่ได้บวชพระ" ว่าคือ 
"ฆราวาสใจพิสุทธิ์" ไปก่อนก็แล้วกัน พวกเขาถ้ามีบารมีครองสังขารได้เองโดยไม่ต้องครองจีวรแล้ว ก็จะมีได้ในกรณีพระโพธิสัตว์ นะครับซึ่งพระโพธิสัตว์แต่ละองค์จะมีบารมีเกี่ยวข้องกับ "จิตวิญญาณ" ต่างกลุ่มกันไป เช่น พญามาราธิราช ก็มีบารมีเกี่ยวข้องกับมาร, แต่ถ้าเป็นพระอสุรินทราหู ก็มีบารมีเกี่ยวข้องกับอสูร เป็นต้น ในกรณีถ้าท่านเดินมรรคตรงทางก็บรรลุอรหันตผลได้ก่อน (แต่ยังไม่ได้นิพพานก็ได้ครับ) และถ้าบรรลุธรรมในเพศฆราวาสโดยไม่ได้บวชพระ ก็จะเข้าข่ายเป็นผู้ที่เรียกว่า ฆราวาสใจพิสุทธิ์ มีลักษณะ "ใสหุ้มเกราะ" หรือ "0 + X" คือ ใสแล้วถูกบวกด้วยอะไรบางอย่างเข้าไป ส่วนที่ใสบริสุทธิ์ไม่แสดงตัว มองไม่เห็น มีเหมือนไม่มี แต่ส่วนที่ถูกบวกเพิ่มเข้าไป ก็แสดงตัวชัดจนเหมือนกับมีแต่ส่วนนั้นส่วนเดียวไปเลยเช่น ถ้าบวกด้วยมารก็เหมือนเป็นมารเต็มตัวไปเลย (แท้แล้วไม่ใช่ ไม่เต็มตัว ส่วนที่ไม่ใช่ ไม่แสดงฯ) ด้วยเหตุนี้ จึงให้ท่านระวังด้วยว่า "อย่าตัดสินคนแต่เปลือกนอก" บ้างก็มีเปลือกนอกเหมือน "คนบ้า" บ้าง, "คนเหลวใหลที่ไม่เอาไหน" บ้าง, "คนไม่สังคมโลก-ไร้มนุษย์สัมพันธ์" บ้าง, "คนแล้งน้ำใจ-ดีไม่ทำกรรมไม่สร้าง" บ้าง, "คนไร้อนาคต-อยู่ไปวันๆ" บ้าง ฯลฯ เหล่านี้ อาจจะเป็น"เปลือกนอก" ของผู้บรรลุธรรมได้ ในขณะคนที่มีเปลือกนอกน่าศรัทธานั้น "ส่วนใหญ่ยังไม่บรรลุธรรม" แต่เพราะ "ยึดติดตัวตนที่ต้องทำตัวให้น่าศรัทธานั้น" ทำให้ไม่บรรลุธรรม (ยังไม่ใช่ธรรมชาติ ยังปรุงแต่งอยู่)



"อรหันต์แท้" ไม่เหมือนพระอรหันต์ ส่วนคนที่เหมือนอรหันต์นั้น "เทียม"


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ "พระอรหันต์แท้ๆ ไม่มีเหลือตัว
ตนแห่งความเป็นพระอรหันต์" มีแต่ตัวตนที่ยอมรับวิบากกรรม ทำให้มีวิบากกรรมตกถึงตัว ทำให้ท่านมี "เปลือกนอก" ที่ดูไม่น่าจะใช่อรหันต์ได้ เพราะนั่นคือ "วิบากกรรม" ที่ท่านเสวยอยู่ในหมดในชาตินี้ ก่อนจะนิพพาน ก็เท่านั้น ในขณะที่ คนที่เหมือนพระอรหันต์นั้น "ล้วนเป็นของเทียมเท็จ" (ยกเว้นก็แต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น) ทำไมจึงกล้ากล่าวขนาดนี้ ท่านฟังตรงนี้ให้ดี "มีแต่พระศาสดาเท่านั้นที่ขจัด "อนุสัย" ต่างๆ ได้หมด สิ่งนี้มีเฉพาะในพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว เท่านั้นเอง ก็แม้แต่พระมหากัจจานะ ที่เคยมีลักษณะงดงามน่าศรัทธาในตอนแรก ภายหลังได้กลับกลายเป็นพระอ้วนและมีบุคลิกเปลี่ยนไปและยังมีพระสาวกอีกมากที่มีลักษณะแบบนี้ เช่น พระชินปัญจระ ที่เดิมก็งดงามด้วยจริยาวัตรเช่นกัน ภายหลังเมื่อหญิงสาวฯ โผเข้ากอดท่านก็จะจบลงแค่นั้น แม้แต่พระอานนท์ที่มีจริยาวัตรงาม ก็ไม่อาจเหมือนพระพุทธเจ้า ท่านก็มีลักษณะเหมือน "มาร" บ่อยๆ เพราะถูกมารหลอกบ่อยๆ (ท่านเอง ก็ยอมรับต่อพระพักตรพระพุทธเจ้า) ทั้งยังทำผิดหลายอย่าง จนถูกพระมหากัสปะปรับโทษเอา นี่คือ "ธรรมดาของพระอรหันต์ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า" ย่อมมี "วิบากกรรม" ของตนไม่อาจไถ่ถอนอนุสัยเก่าได้หมดหากดูเพียงแต่เปลือกนอกแล้ว ท่านอาจจะคิดว่าท่านเหล่านี้ไม่เหมือนพระอรหันต์เลย! ทว่า ยังมี "ผู้ที่ยึดติดตัวตนแห่งความเป็นอรหันต์" อยู่กลุ่มหนึ่ง ที่ทำให้ตัวเองมีเปลือกนอกเหมือนพระอรหันต์, ไม่ได้เป็นโดยธรรมชาติ แต่เป็นไปด้วย "การกระทำให้มันเป็น" (ปรุงแต่ง) เหล่านี้คือ "อรหันต์เทียม"



"ความเป็นพระ" มีไว้ให้ฆราวาสผู้บรรลุธรรมแล้ว จำต้องทรงขันธ์อยู่ต่อ


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ "บุคคลไม่จำเป็นต้องบวชพระ" 
เลย สามารถนิพพานได้โดยไม่ต้องมีเรื่องการบวชหรือการเป็นพระอะไรอีก แต่ที่ต้องบวชพระก็เพื่อ "ทรงขันธ์ต่อไปเพื่อทำกิจของสงฆ์" เท่านั้น เอง ดังนั้น การบวชจึงจำเป็นเฉพาะ "ท่านที่บรรลุอรหันต์แล้วเท่านั้นเอง" ท่านที่ยังไม่ได้บรรลุถึงอรหันต์ เช่น ยังได้เพียงอนาคามีอยู่ ล้วนไม่มีเหตุจำเป็นใดที่จะต้องบวชเลย ส่วน "การบวชตามประเพณีไทย" นั้น เป็นอีกเรื่อง คนละเรื่องกัน สามารถทำได้ตามจารีตประเพณีนั้นแต่จะเรียกว่าการ"บวชตามประเพณี" คือ บวชแล้วสึกไป โดยไม่ได้ถือธรรมวินัยมาก ก็ได้ เช่น ผู้บวชไม่มีคุณสมบัติตามธรรมวินัย แต่จารีตประเพณีที่นั่นยอมรับกันก็บวชได้ "นอกธรรมวินัย" แต่อยู่ใน "จารีตประเพณี" นั่นเอง เช่น การมี "ภิกษุณี" ขึ้นนอกธรรมวินัยนั้น แต่หากสังคมยอมรับ และประเพณีเปิดมีให้ได้ ก็นับว่าได้ตามจารีตประเพณี (แต่อยู่นอกธรรมวินัยฯ ก็เท่านั้นเอง) เช่น ในกรณีฆราวาสหญิงบรรลุอรหันตผลแล้ว ทรงขันธ์ได้ยาก อาจจะมีการบวชเพื่อทรงขันธ์ทำกิจต่อไป โดยอาศัยจารีตประเพณีแต่ไม่ได้อยู่ใน "ธรรมวินัย" ก็นับว่า "ทำได้" (ซึ่งหมู่สงฆ์เหล่าอื่น อาจไม่ยอมรับ แต่คนในสังคมยอมรับ ใส่บาตรให้ก็นับว่าใช้ได้) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นไปตามกรรมของปวงสัตว์ในแต่ละยุคสมัยเท่านั้นเอง (คือคนละเรื่องกับ "ธรรมวินัย")



ผู้ถือบวชใน "ลัทธิ-นิกาย" ต่างๆ ล้วนอยู่นอก "ธรรมวินัย" แล้วทั้งสิ้น


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ "พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้นั้นไม่มีลัทธิ-นิกาย" ทุกลัทธิ-นิกาย ที่ท่านรู้ ล้วนอยู่นอกพระพุทธศาสนาดั้งเดิมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเถรวาทหรือธรรมยุติ ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เกิดได้จาก "บุญกรรม" ปรุงแต่งสร้างกันมา เป็นเหตุกรรมตามยุคสมัย ที่แปรเปลี่ยนไป ไม่ใช่พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ นับจาก "พระมหากัสสปะ" ที่ได้สังคายนาพระไตรปิฎก ก็นับว่าเกิดลัทธินิกายใหม่แล้ว ที่เรียกว่า "นิกายเซน" นั่นเอง ดังนั้น คำว่า "พระพุทธศาสนาหักกลาง" คือ ไม่มีพระพุทธศาสนาเดิมแท้ที่ไร้ซึ่งลัทธิ-นิกายอีกแล้ว มีแต่เฉพาะที่แตกแยกเป็นลัทธิ-นิกายต่างๆ ก็เท่านั้นเอง การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง จึงได้สองแบบด้วยกัน คือ 1. แบบหาที่บวชไม่ได้ แล้วละสังขารตายไปภายใน 7 วัน (เหมือนสมัยพุทธกาล ก็มี) 2. แบบไม่ละสังขารตาย เพราะอาจหาที่บวชได้ในนิกายต่างๆ หรือเพราะเหตุอื่น แต่จะไม่ได้ นิพพานจะจุติไปยัง "ภพหน้า" อีก อย่างน้อยหนึ่ง "ภพชาติ" แล้วนิพพานในภพชาตินั้น แบบนี้จะไม่ได้นิพพานบนโลกมนุษย์แต่สามารถไปต่อสายธรรมพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ที่อยู่บนสวรรค์ "ที่ยังไม่ขาดสาย" ได้แต่ในกรณีนี้ ท่านจะต้องไม่ยึดติดในลัทธิ-นิกายนั้นๆ ท่านก็เพียงอาศัยลัทธิ-นิกายนั้นอยู่ชั่วคราวไป แต่มีจิตแน่วแน่ศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านจึงจะไม่จุติไปยัง "สุขาวดี" อันมีพระยูไล (เจ้าลัทธิ) รออยู่


ท่านต่อสายธรรมกับพระพุทธเจ้า "ในโลกนี้" หรือ "ต่างดาว" กันแน่?


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งก็คือ พระพุทธเจ้า นั้นมีทั้งในโลกนี้
และในดาวดวงอื่น ซึ่งพระพุทธเจ้าในโลกนี้ คือ พระสมณโคดม จะช่วยให้ท่าน "นิพพานภายใน 5,000 ปี" ไม่เกินนั้นในโลกนี้ ไม่ไปโลกอื่นๆ ถ้าท่านต่อสายธรรมได้ตรงจริงๆ แต่ถ้าท่านต่อสายธรรมไม่ตรง เช่น ไปมีจิตตรงต่อหลวงพ่อ, หลวงปู่, คุรุ, ครูอาจารย์ ฯลฯ ซึ่งบางท่านได้จุติที่ "สุขาวดีโลกธาตุ" ไปเรียบร้อยแล้ว ท่านก็จะไม่ได้นิพพานในโลกนี้ ในห้าพันปีนี้ ท่านก็ไม่ได้ แต่ท่านจะได้ในโลกธาตุอื่น คือ "สุขาวดี" และจะมีอายุยืนยาวานกว่าห้าพันปีกว่าจะได้นิพพาน ในลัทธิเถรวาททราบเรื่องนี้ดี จึงใช้กุศโลบายว่า "ไม่มีพระพุทธเจ้าที่ใดอีก นอกจากในโลกนี้" นั่นก็เพื่อช่วยให้ท่านได้นิพพานเร็วๆ ง่ายๆ ไม่ออกนอกดาวดวงนี้ไปก็เท่านั้นเอง ส่วนมหายาน ก็มักพูดเรื่องพระพุทธเจ้า (หรือพระยูไล) ที่อยู่ในโลกธาตุอื่นๆ จนกลายเป็น "ความคิดเห็นที่แตกต่างไป" ท่านพอจะเข้าใจในเรื่อง "ความจริงและกุศโลบาย" ที่แตกต่างกันของมหายานและเถรวาทนี้แล้วหรือไม่? ว่าทำไมจึงกล่าวแตกต่างกันในเรื่องพระพุทธเจ้านอกโลกเอาละ ณ เวลานี้ ยุคนี้ ผมเห็นว่า "กุศโลบาย" หลอกล่อนั้นๆ ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ผมก็ขอนำเสนอข้อมูลแบบตรงมาตรงไปให้ฟังอย่างนี้ ก็แล้วกัน



พระพุทธเจ้าในโลกนี้ "เกิดได้ยาก" แต่พระพุทธเจ้าในสุขาวดีเกิดได้ง่าย


อย่างต่อไปที่ท่านควรทราบอย่างยิ่งคือ พระพุทธเจ้าในโลกนี้นั้น "เกิดได้
ยากมาก" ในขณะที่พระพุทธเจ้าในสุขาวดีโลกธาตุและโลกธาตุอื่นๆ นั้น เกิดได้ง่ายมาก เพราะอะไร? เพราะ 


1. พุทธะ คือ ภาวะเดิมแท้ของจิตทุกดวง อยู่แล้ว ดังนั้น พุทธะ จึงเกิดได้ง่ายมาก และดาวที่รองรับพุทธะ ก็คือ "สุขาวดีโลกธาตุ" (และยังมีโลกธาตุอื่นๆ อีกมากด้วย ที่รองรับพุทธะฯ) 

2. พุทธะ เมื่ออยู่ในโลก "ผิดยุคสมัย ผิดเวลา" ไม่อาจจะขึ้นเป็น "เจ้า" แห่งพุทธะได้ แต่จะได้เป็น "เจ้าแห่งพุทธะ" ในวิมานของตนเอง ในดาวอื่นเช่น สุขาวดี เพื่อไม่ให้โลกมียุคสมัยที่แปรปรวนผิดยุคสมัยไป นั่นเอง 

3. พระพุทธเจ้าในโลกนี้ นอกจากจะสำเร็จ "พุทธะ" แล้ว ยังต้องรอยุคสมัยของตน และสาวกทั้งหลายของตนให้พร้อมกันด้วย จึงจะเกิดมีพระศาสนาขึ้นมาบนโลกนี้ได้ ดังนั้น จึงไม่อาจสำเร็จพุทธะก่อน แล้วค่อยมาฉุดช่วยคนไปสู่สุขาวดีได้ แต่ต้องเป็นความพร้อมในหมู่คณะเดียวกันนั้น

เอาละ เหตุผลเบื้องต้นเพียง 3 ข้อก็พอที่จะบอกถึงความยากในการเกิดพระพุทธเจ้าบนโลกหรือในดาวดวงนี้ได้แล้ว หวังว่าคุณจะมองเห็นความสำคัญ และคุณค่าของ "พระพุทธเจ้าบนโลก" นี้ ที่ต่างจากพระพุทธเจ้าในโลกธาตุอื่น หรือในดาวดวงอื่น นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าในโลกนี้ จะได้นิพพานเร็วที่สุด ในขณะที่ดาวดวงอื่นมีอายุขัยยาวนานและต่างยังไม่รีบนิพพานกันทั้งนั้น (บ้างหลังบรรลุอรหันต์แล้วก็อยู่ต่อไปเป็นกัปๆ เลยก็มี)


ขอพลังแห่ง "พระธรรมกาย" นั้นจงส่องสว่างเปิดตาธรรมแก่คุณ สวัสดี



29 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

1 comments:

Unknown said...

สาธุ...
เรากำลังเดินทางไปเราจะไปเจอกันในสถานที่แรก
ก็คือความว่าง...และที่ต่อไปก็คือ...นิพพาน...ถ้าไม่ผิดพลาดอะไรก็คงได้เจอกันไว..สาธุ

Post a Comment