ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

"อภิสิทธิ์ชน" ผู้ที่ธรรมชาติเปิดให้เต็มที่เพื่อ "ทำลายล้างพระพุทธศาสนา"

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องอธิบายให้เหล่าชาวพุทธหรือศาสนาอื่นเข้าใจ คือ เรื่อง "อภิสิทธิ์ชนผู้มีหน้าที่ทำลายล้างศาสนา" ซึ่งจะมีทุกศาสนานะครับ เป็นไปตามดุลยภาพของธรรมะธรรมชาติ มีเกิด มีดับ ตามวาระ ไม่เที่ยงทุกสิ่งเป็นเช่นนั้น ทว่า มันไม่จำเป็นว่าผู้สร้างต้องเป็นผู้ทำลายล้างเสมอไปครับเป็นได้ทั้งสองกรณีคือ ผู้สร้างมาทำลายล้างเอง ก็ได้ หรือ ผู้สร้างอาจมีบารมีได้ช่วย "ผู้ทำลายล้าง" ไว้ เพื่อให้เขามาทำหน้าที่นั้นแทนครับ เอาละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า จะได้เล่าให้ละเอียดครับ


โลกนี้ไม่เที่ยง สิ่งใดถูกสร้างขึ้น เมื่อหมดวาระแล้วต้องถูกทำลายล้าง?


เหตุที่ต้องทำลายล้างเพราะ "หมดวาระ" แล้วนั่นเอง โลกไม่เที่ยง โลกเป็นเช่นนี้ สิ่งใดที่หมดวาระแล้วย่อมต้องดับไป และในกระบวนการทำให้ดับไปนั้น จะต้องมี "ผู้ทำลายล้าง" ลงมาเป็น "ตัวกระทำ" ซึ่งพวกเขาจะมีอย่าง "อภิสิทธิ์ชน" คือ มาแบบที่ใครก็ไม่อาจเอื้อมที่จะขวางเขาได้บ้างมาในฐานะอันสูงส่งและไม่มีใครกล้าแตะได้เลย เขาก็จะทำหน้าที่นั้นได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่มีใครค้านหรือต้านทานได้ ด้วย "ความหลง" เป็นตัวขับเคลื่อน ธรรมชาติสร้างให้เขาได้ทุกอย่าง ได้อะไรมากมาย ทำให้มีความหลงมาก และทำไปโดยไม่มีใครต้านทานหรือห้ามไว้ได้ เมื่อนั้นเขาก็จะกลายสภาพเป็น "มือทำลายล้าง ไปทำลายล้าง สิ่งที่ผู้อื่นสร้างขึ้น" หลักการสำคัญคือ 1. เขาไม่ยอมแพ้ใคร แพ้ใครไม่เป็น จะเอาชนะอย่างเดียว 2. ใครก็เอาเขาไว้ไม่อยู่ ไม่มีใครห้ามเขาได้ ไม่มีใครสักคนขวางเขาได้เลย เมื่อมีคุณสมบัติครบสองข้อสำคัญนี้แล้ว เขาก็จะเป็นอภิสิทธิ์ชนผู้มีหน้าที่ "ทำลายล้าง" สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะ "พระพุทธศาสนา" นั้น



"อภิสิทธิ์ชนผู้ทำลายล้าง" ทำหน้าที่สำเร็จแล้วก็ตกสู่นรก พักยาวนาน


ทว่า ไม่มีผู้ใดหนีกฏแห่งกรรมพ้น เมื่อเขาได้ทำลายล้างอย่างไม่มีใครที่จะห้ามหรือต้านทานได้แล้ว เขาก็ต้อง "รับกรรมนั้นๆ เพียงผู้เดียว" เต็มที่ เต็มกำลัง เขาต้องตกนรกยาวนาน และพักผ่อนอยู่ในนรกนั้น ไม่ต้องมีชาติภพมาเกิดเป็นมนุษย์อีกยาวนานเลยทีเดียว ซึ่งผู้ที่หลงเข้ามาทางนี้แล้ว ยากที่จะถอนตัวได้ เพราะอะไร? เพราะ "ไม่มีใครอยากตกนรกยาวนานแบบนั้น" นั่นเอง ดังนั้น เมื่อเขาคนนั้นหลงหลุดเข้ามาทางสายนี้แล้วธรรมชาติก็เปิดทางให้เขาได้ "หลงตัวเองเต็มที่" ไม่มีใครสอน, ใครห้ามใครต้านทาน ได้เลย เขาก็จะหลงเตลิดเปิดเปิงไป เข้าสู่ทางสายนี้ และได้กลายเป็น "อภิสิทธิ์ชนผู้มีหน้าที่ทำลายล้างศาสนา" ไปในที่สุด ตัวอย่างพระพุทธศาสนายุคของพระสมณโคดม ได้แก่ พระเทวทัต นั่นเอง เขาผู้นี้มีอภิสิทธิ์จะมาทำลายล้างพระพุทธศาสนาได้เมื่อถึงวาระคือ สิ้นอายุพุทธกาล 5,000 ปี ระหว่างนั้น เขาจะเพียรพยายามทำลายล้างครั้งแล้ว ครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ตกนรกครั้งแล้วครั้งเล่าและได้รับอภิสิทธิ์ถูกฉุดช่วยมาจากนรกครั้งแล้ว ครั้งเล่า ทว่า ก็กลับมาทำอีกเรื่อยๆ แต่ไม่สำเร็จจนถึงวาระสิ้นอายุพุทธกาล เขาก็สามารถทำสำเร็จได้เต็มที่, เต็มกำลังของเขา



"อภิสิทธิ์ชนผู้ทำลายล้าง" จะถูกหลอกให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เพื่อ?


ธรรมชาติจะจัดสรร หลอกล่อ ให้เขาหลงทาง เข้าทางแห่งการทำลายล้างนั้น โดยการจัดสรรให้เขาหลงว่าตัวเองมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อจะได้ทำนั่น ทำนี่ ได้ตามใจชอบที่ตนคิดว่าดีเหลือหลาย แต่ด้วยไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา การทำความดีกลายเป็นยาพิษ ทำให้เป็นการทำลายล้างพระพุทธศาสนาแต่เดิม เพื่อทับถมด้วย "ของใหม่" ที่ตนคิดว่าดีเลิศแล้ว ถูกต้องแล้ว (แต่ไม่ถูกจริง) นั่นแหละ การทำลายที่แนบเนียนที่สุด และได้รับการยอมรับ มากที่สุด เลยไม่มีใครห้าม ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือต้านทานได้เลย เขาจึงจะทำหน้าที่ทำลายล้างได้อย่างดีที่สุดสำเร็จอย่างงดงามที่สุด จะไม่ทิ้งเชื้อเหลือ "ของดั้งเดิมที่ถูกต้อง" เอาไว้เลย เพราะหากทิ้งเชื้อเหลือไว้ ก็จะกลายเป็นเชื้อกรรม เชื้อบุญ เชื้อให้คนทั้งหลายมาสานต่อสายบุญ สายบารมี ไม่มีที่สิ้นสุด มีชาติภพต่อเนื่องยาวไป ไม่อาจนิพพานได้ นั่นเอง ดังนั้น ในกระบวนการทำลายล้างนั้น จึงต้องมี "กุศโลบายที่แยบคาย" อย่างยิ่ง เช่น หลอกว่าเขาคือพระศรีอาร์ฯ ทั้งที่ "ไม่จริง" และหลอกให้เขาได้อำนาจไปเพื่อ "ทำตามใจได้เต็มที่" และจะกลายเป็นการทำลายล้างของเดิมจนหมดสิ้นในที่สุด ในขณะพระศรีอาร์ฯ องค์จริงจะทราบใน "กุศโลบายหลอกลวง" นี้ และไม่หลงกลโดยง่ายเลยเอาละ ฟังให้ดีครับที่รัก "พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สร้างบุญบารมีมา" มีจำกัด ได้เท่าไรต้องเสวยเท่านั้น จะเกิดตัวไม่ได้ ผิดธรรมชาติ ผิดกฏแห่งกรรม ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา ไม่มีโกงกันครับ ทีนี้ "บุญที่ได้พระราชามาค้ำพระพุทธศาสนา" นั้น ก็เช่นนั้น สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดม สร้างบุญบารมีมาสรุปแล้วจะได้ "พระธรรมราชา 7 พระองค์" (ดังภาพที่ท่านเห็นพระพุทธเจ้าเกิดแล้วก้าวเดินไปบนดอกบัว 7 ดอก คือ เจ็ดแว่นแคว้น) สรุปคือ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ "ไม่ได้มีบุญจะได้พระเจ้าจักรพรรดิมาค้ำพระพุทธศาสนาเลย แม้แต่องค์เดียว" แต่ พระศรีอาริยเมตตรัย ต่างหากที่สร้างบารมีมาถึง 4 เท่า คือ 16 อสงไขยที่จะได้พระเจ้าจักรพรรดิมาค้ำพระพุทธศาสนา และได้ "เพียง 1 องค์" เท่านั้น แล้วพระพุทธเจ้าองค์นี้ที่สร้างบารมีมาเพียง 4 อสงไขย (น้อยกว่าถึง 4 เท่า) จะเอาบุญบารมีตรงไหนมาโกง มาได้พระเจ้าจักรพรรดิถึง 5 พระองค์ (ตามคำทำนายว่าจะมี5 องค์ แต่ละองค์ดูแล แต่ละ 1,000 ปี จนครบ 5,000 ปี) ซึ่งมันไม่จริงเอาละ สรุปคือพระพุทธเจ้าองค์นี้ "ไม่ได้โกง" แต่มันมี "บางสิ่ง" ที่กำลังหลอกใช้ ให้คนบางคนหลงกลและทำตัวเป็น "ผู้ทำลายล้าง" อยู่ นั่นเอง



บุญบารมีที่จะได้พระธรรมราชาหมดแล้ว ที่เหลือฝากไว้ให้พระโพธิสัตว์


พระพุทธเจ้าสมณโคดมสร้างบุญบารมี มาได้ "พระธรรมราชา 7 องค์" มาค้ำจุนพระพุทธศาสนา และบุญเหล่านั้นได้ "เสวยจนหมดแล้ว" ไม่มีอีก จะโกงบุญกันนั้น เป็นไปไม่ได้ ต้องฝากพระพุทธศาสนาไว้ให้แก่พระโพธิสัตว์แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิ, พระธรรมราชา จะยุ่งไม่ได้ เพราะไม่มีบารมีจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ ฯลฯ ได้ ท่านเหล่านั้นมีฐานะ "เทพ" คือไม่มีบารมีทำตามใจตัวเอง ต้องทำตาม "ระเบียบกฏแห่งกรรมฯ" อย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น ทำดีเกินไป ก็ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา ขอย้ำ ก่อนที่สามภพจะได้รับภัยกันหมด มากไปกว่านี้ ขอร้อง "หยุด" เสียเถิดเพื่อทำอย่างตรงไปตรงมาตามกฏแห่งกรรม อย่าโกงกรรม ดีเกินไป ก็ไม่ได้ทว่า พระโพธิสัตว์ ก็ดี, พุทธะ ก็ดี ล้วนมี "บารมีของตนเอง" ที่จะทำได้และรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นได้ ข้อนี้ต่างจากเทพ ต่างจากพระธรรมราชาและพระเจ้าจักรพรรดิ ท่านสามารถทำได้ด้วย "บารมีของตนเอง" แต่จะต้องพิจารณาให้ดีๆ เพราะการกระทำเหล่านี้ "ฝืนกฏแห่งกรรม-ฝืนธรรมชาติ" มาตั้งแต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว "ยื้ออายุพระพุทธศาสนาให้ยาวไปถึง ห้าพันปีแล้ว" มันทำได้ ด้วยบารมีของพระโพธิสัตว์และพุทธะเท่านั้น ไม่อาจทำได้ ระดับเทพ ขอให้เข้าใจตรงนี้ร่วมกันด้วย! หมายความว่า ถ้าจะเกิดมีพระธรรมราชาหรือพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ดี ต้องมาได้ด้วย "พุทธะหรือพระโพธิสัตว์" ใช้บารมีของตนลงมาค้ำจุนเท่านั้นไม่อาจมาจากเทพได้ (พระเจ้าจักรพรรดิ ปกติจะมาจากเทพฯ ชั้นที่สาม)



พระโพธิสัตว์ที่ยอมฝืนกฏแห่งกรรม จะต้องรับ "ซาตาน" จึงจะทำได้ !


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าการยื้ออายุพระพุทธศาสนานั้น "ฝืนกฏแห่งกรรมฝืนธรรมชาติ" แต่มันทำได้ ถ้าทำด้วย "ผู้มีบารมี" เสียอย่าง ทว่า ในกลไกลฝืนกฏแห่งกรรม ฝืนธรรมชาตินั้น จะสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยพลังของ "ซาตานลูซิเฟอร์" ผมจึงได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่าเขาก็คือหนึ่งในสี่ "อัศวินชัมบาลา" อย่างไรละครับ เขาเป็นอัศวินชัมบาลาได้ก็ด้วยเหตุนี้ และถ้าไม่ใช่เขา ก็ไม่ได้ครับ มีแต่เขาที่ฝืนกฏแห่งกรรม ฝืนธรรมชาติได้ ดังนั้น คนที่ "อยากเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ" จะรับพลังสายเทพภาคสว่าง ไม่ได้ จะต้องรับ "พลังของลูซิเฟอร์" ภาคมืด ปั้นให้เป็นให้ได้ ดังใจฝัน ตามใจปรารถนา ตามใจต้องการเท่านั้น และเมื่อได้รับพลังภาคมืดไปแล้ว โอกาสที่จะ "ทำสิ่งที่ผิดเพราะความมืดมน" ก็เป็นไปได้สูง และเมื่อได้ทำผิดพลาดไป มันก็คือ "การทำลายล้างพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" นั่นเอง สุดท้าย พระพุทธศาสนาก็หนีความจริง ฝืนกฏแห่งกรรม ไม่พ้น "ถูกทำลายล้างอยู่ดี" เอาละ ดังนั้น อย่าฝืนกรรมให้มันมากเกินไป เอาแต่พอดี ที่เรามีพระพุทธศาสนาเลยเกินมา ถึงทุกวันนี้ ก็ฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ "โกงเขามามากแล้ว" เอาละ อย่างไรเราก็จะโกงกันต่อไป ขโมยดอกบัวบานของคนอื่นกันต่อไปจนกว่าจะสิ้นยุคแห่ง "คนขี้ลักขี้ล่าย" เราก็ต้องดำเนินกันต่อไปอย่างนี้ ดังนั้น ก็อย่าไปโกรธแค้นคนที่ทำลายล้างพระพุทธศาสนาเขาเลยและก็อย่าไปตกหลุมพรางกลายเป็น "มือทำลายล้างพระพุทธศาสนา" เสียเองละ เพราะมันมีพลังกรรมของพระพุทธศาสนา ชักชวนขับดันให้ทำลายล้างอยู่ตลอดไม่ใช่เพราะใครเลวหรือใครผิดหรอก ก็พระพุทธศาสนามีกรรมอย่างนั้นจะหนีกรรมหรือ? จะฝืนกรรมหรือ? จะโกงกรรมหรือ? คงเป็นไปไม่ได้!



เพราะพระพุทธศาสนาฝืนกฏแห่งกรรม จึงมีกรรมเป็นเงาตามตัวตลอด


ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าพระพุทธศาสนานี้ ฝืนกฏแห่งกรรม ฝืนธรรมชาติมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น เราก็จะฝืนกันต่อไปเพื่อปวงสรรพสัตว์ แต่เราก็ต้องเคารพกกแห่งกรรม ยอมรับความจริงกันบ้างว่า "พระพุทธศาสนามีกรรมมีเงาตามตัว ให้ถูกทำลายล้างอยู่ตลอด" นี่คือ ความจริงแท้ เพราะแม้แต่พุทธะ ที่มีใจอยากทำเพื่อพระศาสนานี้ ยังสร้าง "ลัทธินิกายใหม่ๆ" ที่ทำให้พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ "หายลบ ถูกกลบเกลื่อนไป" ได้เลย จะเอาอะไรกับพระโพธิสัตว์ ยิ่งมีจิตใจที่ดีงามอยากทำเพื่อพระพุทธศาสนาก็จะทำร้ายทำลายพระพุทธศาสนาให้มากขึ้นไปอีก ด้วยการทำสิ่งที่ตนคิดว่าดีเลิศแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนาดั้งเดิมทั้งนั้น เพราะอะไร? ก็เพราะ "ตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่รีบนิพพาน" แล้วจะนำพาสรรพสัตว์ตรงนิพพานได้ด้วยตัวเอง ได้อย่างไร? ตลกมาก นะคะ (ขำๆ) เอาละ "ความหวังดีที่ไม่รู้จริงทั้งหลายนั้น" ก็ได้ทำร้าย ทำลายพระพุทธศาสนามาตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำลายกันอยู่ "ด้วยเจตนาดีกันทั้งนั้นแหละ" อย่าตกใจ อย่าจิตตกละ ! นี่ไม่ใช่การตำหนินะ เป็นการกล่าวความจริงให้ตื่นแจ้ง ก็เท่านั้นเอง ทุกท่านทำดีกันทั้งนั้นแหละ และได้บุญบารมีมากกันทุกคน แต่ไม่มีใครได้นิพพานเพราะการทำความดีแบบนี้ กันซักคน เพราะอะไร? เพราะทำให้คนอื่นเขาไม่ได้นิพพานนะสิ ตัวเอง ก็เลยมีกรรมไม่ได้นิพพานไปด้วย เอาละ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก นะ ทุกอย่างมันก็แค่ "มายาภาพของโลกแห่งละคร" ที่ล้วนดำเนินไป "ตามกรรมอย่างตรงไปตรงมา" ก็เท่านั้นเอง อย่าเครียดมาก! ใครอยากทำอะไร ก็ทำไป ผมไม่ได้ขวางท่าน ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมอยู่แล้ว แม้แต่พระพุทธศาสนาก็หนีสัจธรรมความจริงไม่พ้น ปลงได้ก็จบ



พระพุทธศาสนาเหมือน "เรือที่ถูกยิงจนพรุน" ท่านรีบไปให้ถึงนิพพานเถิด


เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดว่าพระพุทธศาสนาที่ท่านเห็นว่าเจริญรุ่งเรืองมากไปด้วย "ถาวรวัตถุ" มากมายนี้ มีทรัพย์สมบัติรวมมูลค่าแล้วมหาศาลนั้นแท้แล้ว ไม่ต่างจาก "เรือที่ถูกยิงจนพรุน" มันงดงามอลังการก็แค่เปลือกนอก ก็เท่านั้น มันแทบจะไม่เหลือเค้าโครงของเดิม พระศาสนาดั้งเดิมแท้ให้เห็นเลย ไม่ต่างอะไรจาก "เรือที่ถูกยิงจนพรุน" ไปหมดแล้ว มันงดงามอลังการทั้งลำเพราะถูกสร้างให้ยิ่งใหญ่ไปด้วย "ถาวรวัตถุ" แต่มันไม่ได้ "อุดรอยรั่ว" ที่ถูกยิงจนพรุนเหล่านั้นได้เลย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็รั่วออกไปสู่ "มหาสมุทรแห่งวัฏฏะสงสารตามเดิม" ไม่อาจไปถึงฝั่งพระนิพพานได้ และมันกำลังจะจมมิจมแหล่อยู่ทุกขณะอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านทั้งหลายก็จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเร่งพายเรือไปให้ถึงฝั่งพระนิพพานเถิดเพราะ "มันใกล้จะจมอยู่แล้ว" มันแทบไม่มีอะไร ปกป้องให้ถึงฝั่งนิพพานได้เลย มันมีแต่สิ่งที่ "ดึงปวงสัตว์ออกไปสู่วัฏฏะสงสาร" กันทั้งนั้น ไม่ได้มีใครมองหา "รูรั่ว" แล้วช่ยกันอุดมันเลย มีแต่คนสร้างใหม่ ตามใจที่ตัวเองอยากจะได้, อยากจะมี, อยากจะเป็น, อยากจะไปเสวยบุญกันในชาติหน้านั้น เลยไม่มีใครรู้ว่า "แล้วสรรพสัตว์รั่วออกไปนอกเรือ ไม่ถึงนิพพานได้อย่างไร?" เพราะไม่มีใครสนใจ "รูรั่ว" ไม่มีใครสนใจ "อุดรูรั่ว" สนใจแต่จะสร้างบุญบารมีแข่งกัน ตามแต่ใจที่ตัวเองต้องการอยากจะได้นั้นเองเอาละ ไม่มีใครผิดนะ ไม่มีใครถูกด้วย (ซักคนเลยจริงๆ) มันเป็นแค่กรรมของพระพุทธศาสนานี้ ก็เท่านั้นเอง ผมไม่ได้ต่อว่าใครทั้งนั้น เพียงแต่ร้องบอกให้ท่านที่ปรารถนานิพพานจริงๆ รีบตรงสู่นิพพาน อย่าให้สิ่งอื่นใดมาดึงท่านออกนอกลู่นอกทางไป ก็เท่านั้น เพราะ รูรั่วในเรือ มันเยอะ นั่นเอง



สุดท้ายนี้ ขอสรุปสั้นๆ ว่า "พระพุทธศาสนานี้มีกรรม" ฝืนกรรมมามากแล้ว และ "หนีสัจธรรมความจริงไม่พ้น" จึงเกิดมี "อภิสิทธิ์ชนผู้ทำลายล้างพระพุทธศาสนา" ขึ้น ในแบบต่างๆ ที่คนยอมรับ และพร้อมยินดีรับเพราะ "กรรมบังตา" ทำให้มองไม่เห็นว่า "ความหวังดีนั้นๆ ทำร้ายพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" ไปเสียแล้ว เอาละ พวกเขาไม่ผิดอะไรนะ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ทำได้ถูกต้องด้วย มันเป็นไปตามกรรม อย่างที่มันควรจะเป็นก็เท่านั้นเอง คนที่ไม่อยากมีกรรม ก็ "ไม่ต้องทำอะไรเลย" จะดีที่สุดละไม่ทำอะไร ก็ไม่ต้องผิด เรียกว่า "ศีลบารมีแก่กล้า" นั่นเอง ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย เพราะถ้าท่าน "กระทำโดยไม่กระทำ" เสีย ท่านก็ไม่ต้อง"ทำผิดไปโดยไม่เจตนา" อีกต่อไป และไม่ต้องเป็น "อภิสิทธิ์ชนผู้นั้น" ไม่ต้องไปทำอะไรให้พระพุทธศาสนามากเอาแค่ "ตัวเองให้ถึงนิพพานก็พอ" นั่นแหละ ทำเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องตรงทางที่สุดแล้ว


ขอพลังแห่งพระธรรมกายจงฉุดช่วยท่านให้พ้นจากอภิสิทธิ์ชนฯ สวัสดี



31 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment