ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

จิตวิญญาณมืด พญามาร-ปีศาจนกฮูก-ผีดูดเลือด ผู้ครอบงำระบอบยุติธรรม

สวัสดีครับ วันนี้ ผมอยากจะเล่านิทานก็แล้วกัน เพื่ออธิบายถึงบางสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และครอบงำระบบยุติธรรมอยู่ ให้ท่านให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร และทำงานอย่างไร? ประชาชนคนธรรมดาอย่างเรา จะได้ไม่ถูกคนอื่นเขาหลอกได้ง่ายๆ นะครับ


"ความยุติธรรม" ไม่มีในกฏหมาย มีอยู่แต่ใน "กฏแห่งกรรม" เท่านั้น


อย่างแรกที่สุด "สัจธรรมความจริงของโลก" ที่คุณควรเข้าใจคือ ความยุติธรรมที่แท้จริง มันไม่เคยมาจากระบบกฏหมายหรอกครับ โดยระบบแล้วเปิดช่องมากมาย ให้คุณสามารถ "ใช้ช่องโหว่ของกฏหมายเพื่อทำความผิด" ได้ โดยที่คุณไม่ต้องรับโทษ แต่มันเปิดเฉพาะ "คนระดับบน" ก็เท่านั้น เพราะอะไร? เพราะคนระดับบนสร้างกฏหมายขึ้นมา พวกเขาก็แค่สร้างมันขึ้นมากดข่มและครอบงำคนระดับล่างเท่านั้น พวกเขารู้ว่ากฏหมายมีช่องโหว่ให้เล่นอย่างไร เพราะพวกเขามีอำนาจในการตรามันขึ้นมาไงละ พวกเขามีเงิน มีอำนาจ มีเส้นสาย พรรคพวกในรัฐสภามากพอที่จะตรากฏหมายที่เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องของตนเอง เอาละ อย่าเพิ่งไปมองคนที่ทำแบบนั้นในด้านลบหรือเลวร้ายนะครับ แต่ต้องเข้าใจให้ชัดว่า "นี่คือ ธรรมดาของประชาธฺปไตย" ครับ ใครมีทุนมากกว่าคนนั้นก็ได้รับชัยชนะไป ไม่ว่าจะเป็น "ทุนทางปัญญา-ความรู้ด้านกฏหมายที่มากกว่า" ก็ดี, "ทุนทางทรัพย์-จ้างทนายดีๆ มารับใช้ได้" ก็ดี, "ทุนทางเส้นสายอำนาจทางการเมือง" ก็ดีที่สามารถจะตรากฏหมายเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องของตนได้ "โดยชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย" มันไม่ใช่ความผิดนะครับ ถ้าคุณเข้าตามระบบ ระบอบ จนถึงจุดที่คว้าอำนาจมาได้เขาก็ยอมรับกันครับว่า "คุณเจ๋ง คุณทำได้" คุณคือผู้ชนะ และเป็นผู้ที่จะกำหนดความชอบธรรมขึ้นได้ด้วย "กฏหมาย" ครับ นี่คือ ความจริงของโลกนี้นะครับ มันไม่ได้เป็นปรัชาญาที่สวยหรูตามทฤษฏีในตำราอะไรเลยแต่นี่ละ "ความจริงของชีวิต-ความจริงของโลก" ไม่ได้มีใครผิดหรือถูกนะ ทุกคนก็ดิ้นรนไปตามทาง ตามกติกา เท่านั้น ผมจึงบอกว่าความยุติธรรมที่แท้จริงมีอยู่แต่ใน "กฏแห่งกรรม" เท่านั้น ไม่มีในกฏหมายครับ



"พญามาร" ภาคมืดผู้สร้าง "กฏหมาย" ขึ้นมาในโลกและใช้มันยังไง?


อย่างที่สอง เป็นเรื่องในมิติทิพย์คือ "ที่มาของกฏหมายทั้งหลายล้วนมาจากพญามาราธิราช (ภาคมืด) ทั้งสิ้น" พญามารหมดบุญแล้วตกสวรรค์จึงต้องมากบดานอยู่ในโลกมนุษย์ และได้สร้างกฏหมายขึ้นใช้ เขาก็คือผู้สร้าง, ผู้รักษา กฏหมายทั้งหลายเหล่านั้น และท้ายที่สุดเขาจะต้องมาเป็น "ผู้ทำลายล้างกฏหมาย" เหล่านั้นเองครับ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นซึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว เขาจะมาเกิดใหม่ และจะถูกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมเล่นงานก่อน จนเมื่อจิตของเขามืดดำ มีความแค้นเก็บกดถึงที่สุด ก็จะสำเร็จเป็นพญามารอีกครั้ง แต่ทีนี้ เขาจึงเริ่มกิจทำลายล้างได้ครับ แต่กว่าจะถึงจุดนั้น กฏหมายก็ถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมืองเพื่อสนองประโยชน์ส่วนตน" ของคนกลุ่มต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมามีอำนาจ ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้วครับ พวกเขาล้วนรู้ดีว่า "กฏหมายทั้งหลายก็ล้วนมีช่องโหว่" ทั้งนั้น ก็พวกเขาตรามันขึ้นมาเองนี่ครับ แต่พวกเขาจะมีวิธีซ่อนไม่ให้คนอื่นรู้ และพวกเขาจึงได้ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ตรงนั้นในการทำความผิดมากมายหลายประการ และกลายเป็นคนที่มีอำนาจในสังคม เรื่องของเรื่อง มันก็อย่างนี้เอง ละครับ นี่คือ "ความชอบธรรมตามระบบประชาธิปไตย" ไม่ได้ผิดอะไรเลย มันเป็นอย่างนี้เอง นั่นแหละครับสรุป ก็คือ "พญามารคือผู้ตรากฏหมาย" ขึ้นมาบนโลกนี้ผ่านสังขารต่างๆ นั่นเอง เขาคือ "จิตวิญญาณผู้สร้างกฏหมาย" และต้องมาทำลายมันเอง



"ปีศาจนกฮูก" และ "มัจจุราชมาร" จะแทรกอยู่ในร่าง "ผู้พิพากษา"


อย่างที่สอง คือ "ผู้พิพากษา" (ศาล) จะมีจิตวิญญาณสองดวงที่เข้ามาเกี่ยวข้องและแทรกในร่างของผู้คนที่รับหน้าที่นี้ได้แก่ มัจจุราชมารและ "ปีศาจนกฮูก" ซึ่งทั้งสองตนนี้ จะมีมุมมองในการพิพากษาที่ต่างกัน กล่าวคือ "ปีศาจนกฮูก" จะจับ "ปีศาจหนู" กิน หรือเล่นงานพวกที่กินสกปรก, โกงกิน, ฮั้วะกัน, ติดสินบน ฯลฯ เป็นต้น เรียกว่าเป็นปีศาจที่เล่นงานปีศาจด้วยกัน เขาจะมีความสุขุมรอบคอบ น่าเกรงขาม และมีบุคลิกที่น่าศรัทธา เงียบสงบนิ่ง และทรงภูมิปัญญาด้านกฏหมาย แต่ก็จะจับปีศาจหนูกิน คือ ลงโทษคนที่โกงกิน นั่นเอง ส่วนมัจจุราชมาร เขาจะตัดสินคดีด้วยความโกรธแค้น ใช้ความรู้สึกส่วนตนในการตัดสิน เขาจึงมีลักษณะเหมือน "ท่านเปา" หน้าดำคร่ำเครียดและดุดันกว่า ดูไม่น่านับถือมากกว่า แต่ก็มีด้านที่เล่นงานคนทำความผิดแบบ "รุนแรงเกินไป" เหมือนกัน หากท่านเห็นสัญลักษณ์ของอิลูมินาติ จะเห็นรูปนกฮูก ใช่มั้ยครับ นั่นแหละ พวกเขาใช้ปีศาจนกฮูกในการครอบครองอำนาจทางศาล



"ปีศาจค้างคาว" (ผีดูดเลือด-vampire) จะแทรกอยู่ในร่าง "ทนาย"


อย่างที่สาม คือ "ทนายความ" จะมีจิตวิญญาณบางชนิดอยู่ด้วย เช่น ปีศาจค้างคาว ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่หากินกลางคืน หรือหากินกับพวกมืด หรือล่าจิตวิญญาณมืดเป็นอาหาร เหมือนกับปีศาจนกฮูก นั่นแหละเพราะพวกเขาจะสูบเลือดสูบเนื้อ เก็บเงินค่าทำคดีกับเหยื่อไปมากมายจนฝรั่งมีคำเสียดสีว่าเป็น "ผีดูดเลือด" นั่นเอง เมื่อพวกปีศาจหนู ต้องการได้รับชัยฃนะในชั้นศาล พวกเขาหนีการตามล่าของปีศาจนกฮูกก็ต้องยอมให้ "ปีศาจค้างคาว" ดูดเลือดแทน ไม่ตาย แต่ก็แทบหมดตัว! ชนะคดีได้ รอดได้ ไม่ต้องถูกพิพากษาแต่ก็ต้องจ่ายเงินให้ทนายความไปมากมาย พวกทนายมากมายจึงมี "ผีดูดเลือด" หรือ ปีศาจค้างคาวหรือคนไทยเรียกว่า "เวตาร" นั่นแหละ เขาคือ จิตวิญญาณที่เกิดจากคนที่มีความรู้มากแต่หวงวิชาความรู้ ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใคร ซ้ำยังใช้วิชาความรู้ไปหากิน เล่นงานคนอื่น ไม่สนใจความถูกผิดที่แท้จริง จึงมีสภาพกลายเป็น "ปีศาจผีดูดเลือด" เช่นนั้น ถ้าพวกเขาไม่ดูดเลือด ก็จะต้องอ่อนแอและเกิดอาการ "หนาวสั่น" ขึ้นมา ทว่า ก็มี "ปีศาจ" ที่บำเพ็ญธรรมเหมือนกัน เช่น ปีศาจค้างคาวที่บำเพ็ญศีลบารมีจะไม่ดูดเลือดสัตว์อื่น เขาจะมีอาการหนาวสั่นได้ง่าย และอ่อนแอ จนกวาจะได้สำเร็จธรรม ก็จะ "กำเนิดใหม่" เป็นมนุษย์ได้เต็มตัว (ปีศาจที่ดีก็มีนะ) มีหนังหลายเรื่องเชียวที่ได้รับแรงบันดาลใจนี้ ไปแต่งเป็นเรื่องราว เช่น แบทแมน อัศวินรัตติกาล ซึ่งเปิดมุมมองต่อผีดูดเลือดในด้านดี ก็มีครับ



ปีศาจที่หากินกลางคืน บางพวกก็ "ล่าจิตวิญญาณมืด" เป็นอาหาร


ท่านฟังไม่ผิดหรอกครับ "ผีกินผี" มีอยู่จริง ซึ่งผีที่มีฤทธิ์มากขนาดนี้เราจะเรียกว่า "ปีศาจ" นะครับ ในบรรดาปีศาจเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะเลวทั้งหมดนะครับ เขาเกิดเป็นปีศาจเพราะกรรม นะครับ แต่บางตนก็ต้องใจทำความดีเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นปีศาจ ก็มีมากมายครับ! ทีนี้ ปีศาจที่หากินกลางคืน ก็มีพวกหนึ่งเป็น "นักล่าจิตวิญญาณมืด" นะครับ พวกเขาจะหากินอยู่กับพวกจิตวิญญาณมืดทั้งหลาย เมื่อคนเข้าสู่ทางมืดขายวิญญาณให้ซาตานแล้วจิตวิญญาณมืดจะแทรกในร่างควบคุมเขา เขาจะทำความผิดไปโดยขาดสติ ไม่ใช่ไม่มีเจตนานะครับ แต่ด้วยความไม่รู้ตัวเท่าทัน เพราะขาดสติ นั่นเอง ถึงจุดหนึ่ง เขาก็จะ "ถูกจับและเข้าสู่กระบวนการพิพากษา" ครับ ทีนี้แหละ ก็จะโดนเล่นงานโดยปีศาจที่หากินกลางคืนทั้งหลายแหล่ เริ่มตั้งแต่ตำรวจที่จับเขา ก็มีทั้ง "เทพแมว" และ "ปีศาจแมว" ซึ่งหากินกลางคืนทั้งนั้นโดยเฉพาะพวก "ปีศาจหนู" จะเป็นอาหารของพวกเขาได้ดี ทว่า ปีศาจนั้นไม่ใช่ "จิตวิญญาณมืด" นะครับ อันนี้ ต้องแยกกันให้ชัด พวกเขาก็แค่ "หากินกลางคืน" หรือ "จับจิตวิญญาณมืด" กิน เท่านั้น แต่ไม่ใช่พวกจิตวิญญาณมืดไม่ใช่พวกซาตานนะครับ พวกเขาสามารถบำเพ็ญธรรมได้ด้วย และเมื่อพวกเขาบำเพ็ญสำเร็จก็จะ "กำเนิดใหม่" เป็นมนุษย์ได้



เรื่องบนโลกย่อมเป็นไปตามกรรมแม้แต่ "พญายม" ก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสิน


อีกประการคือ ท่านต้องเข้าใจว่า "กฏแห่งกรรม" จะตัดสินพิพากษาความผิด-ถูก ของปวงสัตว์เอง ระบบบนโลกเดินตามแบบนี้มานานจนแม้แต่ "พญายม" ผู้มีหน้าที่ "พิพากษา" วิญญาณในนรกก็ไม่มีสิทธิ์จะก้าวก่าย "เรื่องบนโลก" นะครับ ท่านมีอำนาจเฉพาะในนรก เพราะท่าน "มีสิทธิ์อำนาจในการปกครองเฉพาะนรก" แต่สำหรับบนโลกนั้นท่านไม่มีสิทธิ์ครับ ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะเห็นการพิพากษาใดบนโลก ก็ดี จงทราบว่าไม่มี "พญายม" มาทำงานให้นะครับ โลกไม่ใช่ที่ทำงานที่พญายมจะมาทำงานครับ ท่านทำงานในนรก ชัดไหมครับ ดังนั้น ผู้ซึ่งทำงานพิพากษาตัดสินคดีกันบนโลกนี้ จึงไม่มีพญายม ผู้ทรงความยุติธรรมที่แท้จริงหรอกครับ ดังนั้น ฟังให้ดีนะครับ "ไม่มีใครมีสิทธิ์อำนาจที่จะพิพากษาตัดสินใคร" บนโลกนี้ครับ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหน ที่จะล่วงรู้ถึง "เวรกรรมแต่เก่าก่อน" ของมนุษย์แต่ละคนได้ ดังนั้น ผู้ที่เข้ามาตัดสินพิพากษาผู้อื่น จึงมีแต่จิตวิญญาณที่ไม่ใช่ภาคสว่างดังกล่าวอนึ่ง คำว่า "วันพิพากษา" แบบศาสนาคริสตร์นั้น ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะมีโองการให้อำนาจใครตัดสินใครได้นะครับ โปรดฟังให้ดีอีกครั้ง มนุษย์ทุกคนภายใต้แสงธรรมแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลายนั้น "ล้วนเท่าเทียม" กัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใครในการ "พิพากษา ตัดสิน ความดี-ชั่ว-ถูก-ผิด" ของใครได้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามกรรม เทพทั้งหลายจะเป็นผู้ดำเนินการเอง ไม่มีการให้อำนาจแก่มนุษย์ใดเหนือผู้อื่นให้ทำเช่นนั้น



ผู้ใดใช้อำนาจตัดสินลงโทษผู้อื่น ผู้นั้นพึงรับกรรมที่เกิดขึ้นนั้นๆ เอง


อีกประการคือ ท่านต้องเข้าใจว่าท่านที่ยิ่งได้อำนาจ ยิ่งใช้อำนาจ ก็ยิ่งต้อง "รับกรรมจากการใช้อำนาจของตน" ไม่ว่าท่านจะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ตาม แม้แต่ "พระเจ้าจักรพรรดิ์" หากได้ใช้อำนาจตัดสินลงโทษใครแล้ว ท่านก็ต้อง "รับผลกรรมจากการลงโทษผู้อื่น" นั้นไปเองแม้ว่าคนๆ นั้นจะมีความผิดจริง ชัดแจ้งทุกประการ ก็ตาม เพราะเขาก็จะได้รับ "กรรมเมื่อถึงวาระเอง" เขาทำกรรมชาตินี้ เขาอาจได้รับชาติหน้า ก็ได้ ดังนั้น เมื่อใดที่ท่านลงมือตัดสินเขาเองว่าผิดแล้วลงโทษเขาท่านก็ต้อง "รับผลจากการลงโทษนั้น" ไปด้วย เราจึงกล่าวแก่ท่านว่า "โลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปพิพากษา-ตัดสิน ความถูก-ผิด-ดี-ชั่ว แก่ใครได้" ถ้าท่านทำอย่างนั้น "ท่านต้องรับผลกรรมที่ทำนั้นเอง" ดังนั้น จึงมีบางท่านไม่อยากเป็นพระราชา เช่น พระเตมีย์ใบ้ ถึงขนาดยอมแกล้งเป็นบ้าใบ้ เพื่ออะไร? เพื่อให้พ้นจาก "นรก" เพราะท่านระลึกชาติได้ว่าได้ตกนรกไปเพราะเกิดเป็นพระราชามาก่อน นั่นเอง แม้ว่าท่านจะตัดสินคดีถูกต้อง ก็ตาม แต่เมื่อท่านใช้อำนาจลงโทษเขา ท่านก็ได้ก่อกรรมต่อเขาแล้ว ท่านก็ต้องรับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน ไม่อาจจะหนีพ้นได้เลย!



สุดท้ายนี้ ผมได้เล่าเรื่องราวของกระบวนการยุติธรรมบนโลกมาทั้งหมดแล้วใน "มิติของโลกทิพย์" ตั้งแต่ที่มาของกฏหมายบนโลก และผู้ที่มาเกี่ยวข้องในกระบวนการนี้ ทั้งหลายแหล่ ซึ่งล้วนมิใช่ "ภาคสว่าง" เลยเพราะเราล้วนมีการเคารพ "กฏแห่งกรรม และมีเทพฯ ที่ดูแล" เรื่องราวเหล่านี้อย่างเป็นระบบดีแล้ว ฟังให้ดีอีกครั้งนะครับ "ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม มิใช่ตามกฏหมาย" และกรรมย่อมมี "วาระสนองผลของมัน" อาจช้า หรือเร็ว ชาตินี้ หรือชาติหน้า ก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องจับคนทำความผิดมาลงโทษให้ได้ในชาตินี้เลย ก็หาไม่ สิ่งนี้ "อยู่นอกระบบกรรม" นะครับ มนุษย์ทำกันเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเทพและภาคสว่างนะครับ ต้องแยกแยะให้ชัดเจน "ต่อพระพักต์ของพระผู้เป็นเจ้า" เราชาวมนุษย์ล้วนเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่มีใครที่มีอำนาจเหนือใคร ไม่มีใครที่จะพิพากษาตัดสินใครได้ แม้ก็แต่ "ผูแอบอ้างโองการสวรรค์" ที่ใช้อำนาจพิพากษาในการเล่นงาน "ศัตรู" ของตน เพื่อให้ตนได้มาซึ่งอำนาจ ก็เท่านั้นเอง!


ขอพลังแห่งแสงธรรม จงฉุดท่านให้พ้นจากวังวนของการตัดสิน สวัสดี



28 ก.ค. 2555


"เสียงจากวันพิพากษา"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment