ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ตำนานแห่ง "สี่อัศวินชัมบาลา" ค้ำจุนพระพุทธศาสนาอย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอเล่าเรื่องของสี่อัศวินชัมบาลาต่อเลยก็แล้วกันนะครับเพราะค่อนข้างเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงไปของพระพุทธศาสนา จึงค่อยๆ กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร เราจึงควรนำมาศึกษาร่วมกันนะครับ เชิญครับ


"มารพุทธะ" ต้นกำเนิดของนิกายเซน และการสังคายนาพระไตรปิฎก


มารพุทธะ เป็นหนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลา ผู้พิทักษ์ "ธรรมวินัย" ฝ่ายมารซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ "นิรมาณกายของพระพุทธเจ้า" ที่ทำให้ผู้คนเห็นท่านมีกายทิพย์เป็นพระพุทธเจ้า นั่นเอง แต่กายนี้มิใช่ "ธรรมกาย" เพราะมีธรรมกายอีกกายหนึ่งของท่านซึ่ง "ไร้ลักษณ์" ด้วยเพราะวิญญาณขันธ์ได้นิพพานไปก่อนแล้ว จึงไม่มีวิญญาณขันธ์ห่อหุ้ม มีแต่ "มโนธาตุ" เท่านั้น นั่นคือ "ส่วนธรรมกาย" ของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีรูปลักษณ์แห่งพุทธะเลย เอาละ กล่าวถึง "มารพุทธะ" เมื่อถ่ายทอดสู่พระมหากัสสปะด้วยวิธี "แลกจีวร" ระหว่างพระพุทธเจ้าและพระมหากัสสปะแล้ว จึงเริ่มกิจของตนประสานกับพระมหากัสสปะหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว โดยการทำ "สังคายนาพระไตรปิฎก" อันเป็นสิ่งที่ "คิดเอง ทำเอง" ไม่ใช่รับสั่งของพระพุทธเจ้าเลย (แต่ก็เป็นไปด้วย โพธิจิตร่วมด้วย ทำให้เราได้มีตำราธรรมจนถึงทุกวันนี้) แล้วพระมหากัสสปะจึงขึ้นเป็น "ผู้นำสงฆ์องค์แรก" นี่จึงนับเป็นจุดเริ่มของ "การแตกหน่อ-แตกกอ" ขึ้นเป็นนิกายเซนนั่นเอง ทว่า นี่คือ วิธีการสืบทอดศาสนาให้มีอายุยืนยาวต่อไป ถ้าไม่ทำก็อาจจะไม่เหลือศาสนาให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษากัน ทว่า เมื่อทำแล้วก็ทำให้เกิดความแตกแยก แตกต่างจากพระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้ไป ได้เช่นกัน



"ลูซิเฟอร์" ต้นกำเนิดของ "ธรรมจากตัวอักษร" และตำรามูลกัจจายน์


ซาตานลูซิเฟอร์ ได้ถ่ายทอดสู่พระมหากัจจานะ ดูแลต่อไป เพราะไม่มีผู้ใดจะคุมซาตานลูซิเฟอร์ได้เท่าท่านอีก ซาตานลูซิเฟอร์ได้กินผลไม้ทิพย์แห่งการหยั่งรู้ไป ทำให้เหมือนมีสัพพัญญูญาณ รู้ไปหมดทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ (การรู้มาก กับการมีปัญญาแจ้ง เป็นคนละอย่างกัน) พระมหากัจจานะ ก็รู้ใจ อ่านใจพระพุทธเจ้าได้ เพราะอาศัยลูซิเฟอร์นี่เองทำให้ท่านเข้าใจว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้าใช้ภาษาบาลีสันสกฤษ ซึ่งนานวันไป ความไม่เที่ยง อาจทำให้ผู้คนไม่ได้ใช้ภาษานี้ และลูกหลานจะไม่มีใครเข้าใจพระธรรมแบบที่มีตัวอักษรของพระพุทธเจ้าได้ ดังนั้น ท่านจึงได้รจนาคัมภีร์มูลกัจจายน์ ขึ้นมา เพื่อให้คนรุ่นหลังสามารถแปลและมีความเข้าใจในภาษาที่ใช้ในพระพุทธศาสนาได้ ทว่า "พระธรรมกาย" ที่ถ่ายทอดธรรมแท้ของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้ใช้ภาษานั้น แต่ทรงใช้ภาษา "มคธ" ต่างหาก คำว่าภาษามคธ นั้นยังไม่ใช่ภาษาที่ชาวมคธใช้กันทว่ามันหมายถึง "ภาษาจิต" หรือ "จิตสู่จิต" อันเป็นภาษาดั้งเดิมของสัตว์ในโลกนี้ ที่มนุษย์ ก็ดี, สัตว์เดรัจฉาน ก็ดี, เทวดา ก็ดีล้วนใช้กัน ดังนั้น ธรรมแท้จึง "ไร้อักษรอธิบาย" ส่วน "ธรรมอันเป็นเพียงกุศโลบายหลอกล่อ" ที่ไม่ได้ช่วยให้บรรลุธรรม (แต่แค่หลอกล่อเป็นกุศโลบายเฉยๆ) นั้น เป็นสิ่งที่มีอักษรและอธิบายได้ทั้งสิ้น ต่างจาก "ธรรมแท้จากพระธรรมกาย" เป็นธรรมไร้อักษร, ไร้คำอธิบาย, เป็นภาษามคธ, เป็นธรรมแบบจิตสู่จิต นั่นเองดังนั้น "ลูซิเฟอร์จึงกลายเป็นตัวผู้รู้มากแต่ไม่หลุดพ้น" ถ่ายทอดต่อกันมาเป็นภูเขาพุทธธรรมที่บดบัง "สัจธรรมแท้" บดบังพระธรรมกายนั้นเรื่อยมา



"เทพกระต่ายขาว" ต้นกำเนิดของ "ธรรมผ้าขาว" และการรับขันธ์สาม


พระอานนท์เป็นผู้ที่ได้รับพุทธานุญาติโดยตรงจากพระพุทธเจ้าให้สามารถผ่อนปรนสิกขาบทได้เล็กน้อย ทว่า พระอานนท์ก็ไม่เคยผ่อนปนรสิกขาบทในหมู่ผ้าเหลืองเลย แต่ท่านได้เคยให้ศีล 10 แก่พราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งต้องการบวชเป็นพระมาก แต่ไม่อาจจะบวชได้ ท่านเรียกว่า "ขันธ์ 3" คือ ศีล, สมาธิ, ปัญญา ในส่วนของศีลนั้น ท่านได้ผ่อนปรนสิกขามาจาก ศีลภิกษุนั่นเอง ดังนั้น พระอานนท์จึงได้ผ่อนปรนสิกขาบทเสียเฉพาะในฆราวาสก็เท่านั้น แต่มิได้แตะต้องในส่วนของสงฆ์เลย ทว่า เทพกระต่ายขาวที่ท่านได้รับการสืบทอด ต่อจากพระพุทธเจ้านั้น เป็นเทพที่ใช้ "ปราณเสพติด" ในการดึงคนให้เข้ามาใกล้ ให้คนเสพติดธรรมะ ทำให้ธรรมะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ช่วยให้หลุดพ้นได้ จำจะต้องได้ "ยาแก้" จากพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าโดยตรงเท่านั้น จึงจะเลิก "เสพติดธรรมะ" ได้ ไม่เช่นนั้น ท่านที่เข้ามาศึกษาพระธรรมในพระพุทธศาสนา ก็จะเกิดอาการเดียวกันคือ เสพติดธรรมะ ขาดไม่ได้ ต้องอ่าน ต้องดู ต้องฟังธรรม อยู่ตลอด ติดอยู่อย่างนี้ขาดไม่ได้ ทว่า นี่ไม่ได้เลวร้ายหรือผิดพลาดอะไร เป็นธรรมดาของการดึงปวงสัตว์ไว้ก่อน รอจนอินทรีย์แก่กล้าก็จะได้รับ "ธรรมโอสถ" นั้นๆ เอง จึงจะหลุดพ้นและได้เข้าใจว่า "มีธรรมก็เหมือนไม่มีธรรม" ไม่ต้องมีธรรม ก็มีธรรมได้ ไม่ต้องเสพติดธรรมะ อีกต่อไปนั้นเป็นอย่างไร นี่จึงพ้น "ติดธรรม"



"อสูรทศกัณฐ์" ต้นกำเนิดของธรรม "ว่างเปล่าไร้ดวงใจ"


พระอชิตะ เป็นผู้ที่ได้รับบาตรของพระพุทธเจ้าไปได้และมีอิทธิฤทธิ์มาก ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณ "อสูรทศกัณฐ์" ไป อสูรตนนี้ ถอดดวงใจทิพย์ได้ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า"ว่างเปล่าไร้จิตไร้ใจ" ซึ่ง ก็ไม่ใช่การบรรลุธรรมที่แท้จริงเป็นเพราะถูก "ถอดดวงใจทิพย์" ไปก็เท่านั้น ทำให้คนทั้งหลายที่ถูกทำเช่นนี้ คิดว่าตนได้บรรลุธรรมแล้วเพราะติดที่"กับดักของความว่างเปล่า" แต่ว่า "ไร้ซึ่งหัวใจแห่งความว่างเปล่า" ซึ่งแม้ว่าอาการนี้จะทำให้เป็น "เหตุใกล้นิพพานก็ตาม" ทว่า ถ้ายังไปไม่ถึง "หัวใจแห่งความว่างเปล่า" ก็จะไม่อาจบรรลุธรรมได้ เพราะหัวใจแห่งความว่างเปล่านั้นมิใช่ความว่างเปล่า แต่กลับเป็น "ความอิ่มเต็มด้วยสัจธรรมแท้อันไม่เคยสูญหาย - ไม่เกิด - ไม่ดับ - ไม่กลับกลาย เป็นสิ่งเดิม สิ่งสุดท้าย สิ่งเดียวกัน" ดังนั้น จึงก่อให้เกิดลัทธิ ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องความว่างเปล่ามาก แต่กลับไม่เข้าถึงนิพพานได้เพราะสูญเสีย "ดวงใจทิพย์" ไปนั่นเอง ไม่เข้าถึงหัวใจแห่งความว่างเปล่าได้ นั่นเอง นอกจากนี้ ยังกลับกลายเป็นนิกาย "มหายาน" ต่อมาอีก ด้วยเพราะมุ่งเน้นการช่วยให้พระภิกษุได้มีปัจจัยในการดำรงชีพมากเกินไป (แบบมหายาน) ซึ่งทั้งที่จริงแล้ว "คนเราทุกคนมีบุญกรรมของตัวเอง" ไม่มีใครที่จะมาทำตัวเป็นผู้นำหมู่สงฆ์เพื่อจะบอกว่าตนมีบุญมาก จะได้นำบุญมาหล่อเลี้ยงคณะบริวารได้ก็หาไม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น บุญของใคร ก็ของมัน กรรมของใครก็ของมัน ทำแทนกัน ยกให้กัน ก็ไม่ได้ แล้วไฉนจะต้องไปหาวิธีช่วยให้พระได้มีลาภมากด้วยเล่า? อันนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำ (แต่ก็มีผู้ทำ ในภายหลัง)



ทั้งหมดนี้ล้วน "เป็นมายาภาพของกรรม" มิใช่ความถูกหรือความผิด


สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวล ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เกิดจากสี่อัศวินชัมบาลานั้น ก็คือ "มายาภาพแห่งกรรม" อันเกิดขึ้นในโลกคือละครแห่งกรรมนี้มิใช่ ความผิดแต่ประการใด แต่ก็ไม่ใช่ความถูกต้องอะไร ให้ต้องมาทำตามๆ กัน ก็หาไม่ เอาละ มันไม่ใช่ทั้งความถูก-ผิด หรือดี-ชั่วอะไร? ทั้งนั้น มันเป็นแค่ "กรรม" และความไม่เที่ยง ผันแปรไปตายุคสมัย เท่านั้นและมันยังคง "เล่นต่อไป" ตราบเท่าที่ ยังไม่ถึงเวลาปิดฉากละครโรงนี้ลงไป ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงเวลาชำระล้างจิตวิญญาณทั้งสี่ดวงนี้ ตราบที่ยังไม่ถึงวาระสิ้นอายุพุทธกาล 5,000 ปี มันก็จะต้องมี "ร่างสังขาร" ที่รับสืบทอด "สี่อัศวินชัมบาลา" ผู้ยอมเสียสละสวมเกราะศักดิสิทธิ์แต่เต็มไปด้วย "อาถรรพ์" เหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันได้สืบทอดไปอยู่กับผู้ที่ไม่มีธรรมมากพอแล้ว ย่อมพากันเตลิดเปิดเปิงไปสู่นรก ไม่ก็ภพมืดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นแน่แต่ถ้ามันอยู่กับผู้มีธรรมแก่กล้า มันก็อาจจะไม่แผลงฤทธิ์มากเกินไป เหมือนกับที่อยู่กับพระสาวกองค์สำคัญทั้งสี่องค์แรก นั้น ท่านก็ไม่ได้สร้างกรรม สร้างบุญอะไรมาก ท่านทำเพียงจุดเล็กๆ เพื่อศาสนานี้ก็เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรมากมายใหญ่โตอะไรเลย แต่เพียงเท่านั้นก็พอแล้วดังนั้น การเจริญรอยตามพระสาวกองค์สำคัญนี้ จึงไม่ใช่การสร้างทำอะไรมากมาย แต่เป็นการทำ "จุดเล็กๆ" ที่สำคัญจริงๆ ก็พอแล้ว เพื่อ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ "พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแท้" ให้ถูกเปลี่ยนจนกลายพันธุ์ไป



เมื่อ "เทพกระต่ายขาว" ได้รับการชำระล้างแล้ว เทพองค์ใหม่จะมาแทน


หลังกึ่งกลางยุคพุทธกาล หนึ่งในสี่อัศวินชัมบาลาจะได้รับการชำระล้างไปก่อนคือ "เทพกระต่ายขาว" ส่งผลให้ "เทพนักษัตรทั้ง 12 องค์" จะถูกเปลี่ยนยกทั้งชุดด้วย ซึ่งเทพนักษัตรชุดใหม่ที่ลงมานี้เป็นพาหนะทรงของ "พระสุริยเทพ" หรือ "พระอาทิตย์ยูไล" ทั้งสิ้น พระธรรมที่เคยมีในพุทธศาสนา "สายเทพ" แต่เดิมต่อสายมาจากพระจันทร์ยูไลมีความเย็นเน้นรับมากกว่ารุก และอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ก็จะเปลี่ยนไปเป็น "มีไฟที่จะทำกิจ" มากขึ้น, "เน้นรุกมากกว่ารับ" และ "ไม่อยู่เฉยๆ มีหน้าที่ทำก็จะทำไป" เป็นแบบ "การทำงานคือการปฏิบัติธรรม" และ "ไม่แยกพระและฆราวาสมาก" ทั้งพระและฆราวาส ล้วนปฏิบัติได้เท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่ต่างกันเลย เพราะเนื่องจากพระธรรมอันเป็นเหตุใกล้นิพพาน (แต่ไม่ใช่ที่มาจากพระธรรมกายฯ) นั้น มาจากพระอาทิตย์ยูไล นั่นเอง มาเป็นเครื่องดึงดูดคนให้เข้ามาธรรม ปูพื้นฐานเบื้องต้นเป็น "เหตุใกล้" ก่อนบุคคลจะมีอินทรีย์แก่กล้าและพร้อมรับธรรมจาก "พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า" โดยตรง ต่อไป ดังนั้น "พระธรรมแท้" ยังคงมาจาก "พระธรรมกาย" นั้นดังเดิม แต่ "พระธรรมอันเป็นกุศโลกบายหลอกล่อ" จะเปลี่ยนไป คือ มีที่มาจากพระอาทิตย์ยูไล แทนพระจันทร์ยูไล แสงธรรมของท่าน จะส่องทั้งทางโลกและทางธรรม สว่างไสว แจ้งไปหมด ทำให้เข้าใจแจ้งโล่งโจ้งทั้งทางโลกและทางธรรมรอบทิศ โลกจะไม่มืดมิดดุจรัตติกาลแต่จะสว่างไสวดุจเวลากลางวันนั้น ส่วน "สามอัศวินชัมบาลา" ท่านอื่นจะยังคงอยู่ดังเดิม



สุดท้ายนี้ พลังของอัศวินชัมบาลาทั้งสี่ จะถูกชำระล้างไปหนึ่งในสี่ส่วนทำให้ พลังงานใหม่เข้ามาแทนที่ได้ 1 ใน 4 ส่วน อีก 3 ส่วนยังคงเดิมพลังงานเก่าที่ได้รับการชำระล้างคือ พลังของเทพกระต่ายขาว ทำให้มี "เทพนักษัตร 12 องค์" ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน และเทพชุดใหม่นี้จะทำหน้าที่รับพลังธรรมจาก "พระอาทิตย์ยูไล" แทน จากเดิมที่เคยรับพลังธรรมของพระจันทร์ยูไล ซึ่งธรรมของพระยูไลนี้ จะเป็นธรรมอันเป็น "เหตุใกล้นิพพาน" แต่ยังไม่ใช่ "ธรรมแท้" เพราะธรรมแท้นั้นจะมาจาก "พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" เท่านั้น แต่ท่านจำต้องเข้าใจด้วยว่าธรรมอันเป็นกุศโลบายหลอกล่อ ธรรมอันเป็นเหตุใกล้เหล่านี้นั้นเป็นเหมือนการปูพื้น เป็นเหมือนบันใดขั้นหนึ่งของการฉุดช่วยปวงสัตว์ซึ่งอยู่ชั้นล่างต่ำลงไปให้มาใกล้ "พระธรรมแท้" อันเป็นธรรมไร้อักษรซึ่งเป็น "อไทฺวตธรรม" (ธรรมที่ไร้อักษร ไร้คำอธิบาย) อันเป็นธรรมที่พ้นแล้วจากความเป็น "ทวิภาวะ" (ของคู่ตรงข้าม) เป็นทวารตรงสู่นิพพานโดยแท้จริง


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายนั้น จงเปิดดวงตาธรรมท่านด้วย สวัสดี



1 ส.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment