ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ไม่ใช่ชาวพุทธก็ "ตรัสรู้พุทธะ" ได้ แต่ถ้าอยู่นอก "ธรรมวินัย" ก็ยังไม่นิพพาน?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมยังขอปูพื้นฐานธรรมในพุทธศาสนาต่อไปก่อนนะครับ เพราะมันสำคัญมากทีเดียยวสำหรับท่านที่คิดจะไต่ระดับให้สูงขึ้นไปถึงจักรวาล ท่านเจริญรอยตามพระโมคคัลลานะ ก็จะได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนะครับ ดังนั้น ในวันนี้ ผมขออธิบายคำสองคำ คือ "พุทธะ" และ "นิพพาน" ให้ชัดเจนขึ้นไปอีกครับ


"พุทธะ" คือ วิวัฒนาการสูงสุดของจิตวิญญาณ อันเป็นสัจธรรมสากล


กล่าวคือ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในหรือนอกพุทธศาสนา คุณก็สามารถที่จะเพิ่มวิวัฒนาการของคุณถึงระดับ "จิตวิญญาณพุทธะ" ได้ มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะอยู่ในพุทธศาสนาหรือไม่? อุปมาเหมือน "บัวบาน" นั้น ไม่เกี่ยวว่าจะมีแสงธรรม หรืออยู่ในวงล้อมของแสงธรรมก่อนหรือไม่ ดอกบัวอาจเจริญได้ดีจนบานแล้วเสียก่อนจะถึงเวลาได้รับแสงธรรม ก็มี ดังนั้น คำว่า พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาบัวสี่เหล่า แล้วเลือกบัวเหล่าบน เช่น บัวบาน ก็คือ เลือก "ผู้ที่มีจิตวิญญาณพุทธะ" มาก่อน นั่นเอง ซึ่งไม่ต้องอธิบายธรรมอันใดก็มีญาณตรัสรู้ถึงนิพพานเองได้แล้ว (แต่จะได้หลังพระพุทธเจ้าๆ จะตรัสรู้เป็นองค์แรก แต่ไม่ใช่องค์เดียวที่ได้ญาณนี้ ก็เท่านั้น) ซึ่งในบรรดาผู้ที่ได้ "ญาณตรัสรู้" (พุทธะ) ทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ที่ละสักกายทิฐิได้ ท่านจึงบรรลุธรรมเป็น "อรหันตสัมมาสัมพุทธะ" ส่วนพุทธะท่านอื่นนั้นไม่อาจจะทลายสักกายทิฐิได้ ต้องอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า จึงจะยอมจำนนเป็นสาวก จึงจะละสักกายทิฐิตนได้ ดังนั้น ในยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านยังไม่ได้มีศาสนายิ่งใหญ่ คนส่วนใหญ่อยู่นอกศาสนาของท่านมาก่อน จำนวนคนที่ตรัสรู้พุทธะมากมาย ก็อยู่นอกพระพุทธศาสนาเช่นกันแล้วพระพุทธเจ้า จึงทำให้พวกเขาละสักกายทิฐิบรรลุอรหันต์ เข้ามาบวชใน "พระพุทธศาสนา" ในภายหลัง เมื่อพวกเขาอยู่ใน "ธรรมวินัย" นี้แล้วจึงมีโอกาสนิพพานได้ แต่ถ้าเขาอยู่นอกธรรมวินัย จะไม่ได้นิพพาน แต่จะได้จุติยัง "สุขาวดีโลกธาตุ" แล้วเกิดเป็นพระยูไล (พุทธะ) อยู่บนนั้นเอง



ศาสนาอื่นๆ ก็รู้สัจธรรมสากล หรือ "นิพพาน" นี้ได้ โดยไม่ได้อยู่ในพุทธ?


และเพราะเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าพุทธะ สามารถเกิดได้นอกธรรมวินัย แต่ไม่อาจนิพพานได้นอกธรรมวินัย (ดังนั้น ธรรมวินัยจึงสำคัญต่อที่คนจะได้นิพพานหรือไม่ อย่างยิ่ง) ดังนั้น การรูถึง "สัจธรรมสากล" เช่น การมีญาณหยั่งรู้ได้ถึง "นิพพาน" นั้น จึงมีได้ "ทุกศาสนา" เพราะมันคือ"สัจธรรมสากล" เช่น บางท่านอาจเรียกในนามอื่นว่า "เต๋า" หรือไม่มีแม้คำจะเรียกหรืออธิบายได้ ก็มี ดังนั้น หากท่านเข้าใจว่า "สัจธรรมแท้" กับ"นิพพาน" เป็นคนละตัวกัน เช่น คิดว่า ธรรมะ ธรรมชาติ สัจธรรมอันแท้มีอยู่ก่อน แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้นิพพานทีหลัง นิพพานเป็นอีกเรื่อง ธรรมะธรรมชาติ เป็นอีกเรื่อง ... ถ้าท่านเข้าใจอย่างนี้ ท่านกำลังเข้าใจผิดอย่างยิ่งแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย นิพพานคือ สัจธรรม เป็นธรรมะ ธรรมชาติที่แท้จริง มีอยู่จริง มีมานานแล้วและมีอยู่ต่อไป ไม่แปรผัน ไม่ใช่เพิ่งมามี มาสร้าง มาตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้าภายหลัง ก็หาไม่ ดังนั้น คำว่า "สัจธรรม" ก็คือ "ความจริงหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงในศาสนาใดก็ตาม" ล้วนเหมือนกันทั้งหมด ต่างกันแต่การใช้สมมุติบัญญัติในการอธิบายก็เท่านั้นเพียงแต่ว่าพวกเขาที่มีปัญญารูแจ้งในสัจธรรมและนิพพานนั้น อาจจะไม่รีบนิพพาน ไม่ได้อยู่ใน "ธรรมวินัย" นี้ และไม่ได้นิพพาน ก็เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ถึงสัจธรรมสากลนี้ได้ ก็หาไม่ (รู้ไม่ได้แปลว่าจะได้) ดังนั้น "สัจธรรมสากล" จึงเป็นสากล ไม่อาจแยกว่าเป็นของศาสนาใด ก็มีได้ รู้ได้ ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่จะทำได้ถึงนิพพานหรือไม่? ก็เท่านั้นเอง



พุทธะหรือพระยูไล บางองค์มาสร้างศาสนาอื่น แต่ก็รู้ถึงนิพพานเช่นกัน


นอกจากนี้ ยังมีผู้มีบารมีธรรมมีจิตวิญญาณเป็นพุทธะจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่มาสร้าง "ศาสนาอื่นๆ" ไว้เพื่อรองรับปวงสัตว์ที่ไม่มีบุญถึงพุทธศาสนา ก็มีได้ เป็นได้ และท่านเหล่านี้ก็ล้วน "บรรลุถึงสัจธรรมสากลทั้งสิ้น" ทว่า ท่านอาจจะไม่ได้เรียกธรรมนั้นว่านิพพาน ก็เท่านั้นเอง ท่านได้เข้าถึงแล้ว แต่ได้ให้ธรรมไว้อีกส่วนซึ่งแตกต่างจากพระพุทธศาสนา แต่เพียง "เปลือกนอก" เท่านั้น แต่แก่นแท้แล้วไม่ต่างกันเลย ดังนั้น "ทุกศาสนาไม่ได้มุ่งเน้นสอนให้ยึดติดว่าต้องทำความดี-ละเว้นความชั่ว-ทำใจให้บริสุทธิ์" อย่างชาวพุทธชอบเหมารวมอย่างนั้น ก็หาไม่ แต่ฟังให้ดี "ทุกศาสนาสอนให้ไม่หลงโลกไม่หลงติดในสมมุติ เพื่อมุ่งสู่สัจธรรมสากลสูงสุด" เท่านั้น ซึ่งคำว่าสัจธรรมสูงสุดนั้นก็อาจมีชื่อเรียกและวิธีการเข้าถึงที่ต่างกันออกไป เช่น การที่บางศาสนามุ่งให้จิตตรงต่อพระเจ้าก่อน แล้วจะได้สถิตย์ยังสวรรค์ของพระเจ้าก็หลุดพ้นจากทุกข์และจากความไม่เที่ยงของโลกนี้ได้ สุดท้ายก็นิพพานได้ เช่นกันแต่นิพพานด้วย "วิถีที่แตกต่างกัน" เช่น บางคนนิพพานเมื่อละสังขารบนโลกนี้ แต่บางคนยังต้องไปเกิดบนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วอยู่ที่นั่นยาวนานระยะหนึ่ง จนถึงจุดหนึ่งก็จะนิพพาน โดยไม่ต้องลงมาเกิดอีก



มนุษย์ที่มีเชื้อสายไกอาจะนิพพานบนโลก แต่ต่างดาวจะต้องกลับดาวแม่


และเนื่องจากว่า "มนุษย์บนโลกนี้" มี "เชื้อสายทางจิตวิญญาณ" ที่ต่างกัน บ้างมีเชื้อสายของไกอา (ชาวโลก) แต่บ้างก็มีเชื้อสายต่างดาว ดังนั้นพวกเขาจึงนิพพานในวิถีที่แตกต่างกัน กล่าวคือ มนุษย์ที่มีเชื้อสายไกอานี้จะนิพพานในโลกนี้ ไม่ไปยังโลกธาตุหรือดาวดวงอื่นๆ แต่กลุ่มที่มีเชื้อสายจากดาวดวงอื่น หรือโลกธาตุอื่น พวกเขาจะต้อง "กลับสู่ดาวแม่" ของเขาก่อน แล้วจึงจะนิพพานในดาวดวงนั้นหรือโลกธาตุนั้นๆ และเพราะเหตุนี้จึงมี "ศาสนาต่างๆ" ที่ไม่ใช่แต่พุทธศาสนาเท่านั้น และศาสนาหลายศาสนาก็มี "พระเจ้า" และเรื่องราวของ "สวรรค์ในโลกหน้า" ซึ่งไม่ได้อยู่ในโลกนี้ อีกด้วย อย่างไรก็ดี ยังมี "เชื้อสายมนุษย์ต่างดาว" อีกกลุ่มหนึ่งที่มายังโลกเพื่อช่วยเหลือพระพุทธศาสนา พวกเขาจึงเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับศาสนาพุทธมาก ก็เท่านั้นเอง แต่เมื่อพวกเขาละสังขารจากโลกแล้ว เขาจะมีวิถีที่ดำเนินไปข้างหน้าแตกต่างจาก "ชาวโลกที่มีเชื้อสายไกอา" หรือจะกล่าวให้ชัดไปเลยก็คือ "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของชาวโลกที่มีเชื้อสายไกอา" นั่นเอง ในขณะที่ศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งหลายนี้เป็นศาสนาของชาวโลกที่มีเชื้อสายของ "ต่างดาว ซึ่งพวกเขาจะมี พระเจ้า" รอพวกเขา อยู่ต่างดาวส่วนพระพุทธเจ้า ก็คือ ผู้มีเชื้อสายต่างดาวที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าเป็นผู้เหมาะสมที่จะลงมาโปรดและสร้างศาสนาให้แก่ "ชาวโลกที่มีเชื้อสายไกอา" นั่นเอง เรื่องเชื้อสายของจิตวิญญาณนั้น สำคัญมาก เพราะจะส่งผลต่อการดำเนินไปของแต่ละท่านในวิถีที่แตกต่าง และศาสนาที่ต่างกันด้วย



มนุษย์ที่มีเชื้อต่างดาวที่นิพพานบนโลกได้แก่พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกฯ


ยังมี "มนุษย์ที่มีเชื้อสายต่างดาว" อีกประเภทที่นิพพานบนโลก คือ มนุษย์ที่มีบารมีมากพอเอาตัวรอดได้เองและ "ไม่ชอบการอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้า" พวกเขาก็จะเอาตัวรอดถึงนิพพานได้เองบนโลกนี้ โดยไม่ต้องไปดาวแม่ ไม่ต้องกลับไปสู่อ้อมกอดของพระเจ้าอีก ซึ่งจะมีสองแบบคือผู้ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า เท่านั้นเอง ซึ่งคนสองแบบนี้ ในระหว่างการเดินทางเวียนว่ายตายเกิดในจักรวาล จะมีแนวคิดซึ่งจะออกไปอยู่นอกการปกครองของพระเจ้า ซึ่งมีจำนวนมากทีเดียวที่ "ไปไม่รอด" ก็มีและส่วนน้อยมากที่จะ "ไปรอดได้ด้วยตนเอง" ดังนั้น พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงมีได้น้อย และเกิดได้น้อยบนโลกใบนี้ แต่สำหรับผู้ที่ได้ "พุทธะ" แล้วยังไม่นิพพาน พร้อมทั้งยังนำพาสาวกของตนกลับไปยัง "ดาวแม่" ได้ นั้น มีได้นับไม่ถ้วน เรียกว่าเป็น "หมื่นพุทธะ" ความเป็นพุทธะนั้น เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของจิตวิญญาณอยู่แล้ว การกลับคืนสู่ภาวะเดิมแท้ของจิตวิญญาณ จึงไม่ใช่ของแปลกใหม่ใดสำหรับจิตวิญญาณแต่อย่างใดเลย ดังนั้น "พุทธะ" จึงเกิดได้มากมายไม่ยากนัก บนโลกนี้ ดุจดัง "เม็ดทรายในมหานที" ก็ดี หรือ "บัวบาน" ที่มีอยู่มากมายในหนองน้ำก็ดี



การเข้าถึงซึ่ง "พุทธะ" ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็น เพราะเป็นดังรากเหง้าดังเดิม


ดังเดิมแท้นั้น จิตวิญญาณของมนุษย์ มาจาก "พุทธะ" แล้วจรท่องไปในจักรวาลและภพภูมิต่างๆ เพื่อพัฒนา, เรียนรู้ และเลือกทางเดินใหม่ ของตนเอง สุดท้าย จิตวิญญาณสามารถกลับคือสู่นิพพานในรูปแบบ "พุทธะหรือแบบอื่นที่เหมาะสม ก็ได้" ดังนั้น การกลับคืนสู๋ภาวะเดิมแท้ของจิตฯ คือ "พุทธะ" นั้นจึงไม่ยากแต่อย่างใด (แต่ไม่ได้หมายความว่าจิตนั้นคือพุทธะ นะครับ) เพราะจิตเดิมแท้มาจากพุทธะแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธะเสมอไป ก็เข้าถึงซึ่งนิพพานได้ เพราะ "เลือกทางเดินใหม่ได้เอง" จึงไม่จำเป็นต้องยึดว่าต้องมีจิตเป็นพุทธะเสมอไป ทว่า ผู้ใดที่จะเลือกกลับคืนสู่พุทธะ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าความเป็นไปได้เลย ดังนั้น จะกล่าวว่าจิตนี้คือ พุทธะ ไปเสียเลยก็ไม่ได้ แต่ควรกล่าวว่าจิตเดิมแท้มาจากพุทธะ แต่มีวิธีทางเลือก สามารถเลือกทางเดินใหม่ได้มากมาย จึงไม่จำเป็นต้องกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ ก็ได้ ก็สามารถถึงซึ่งพระนิพพานได้ เช่นกัน แต่หากผู้ใดจะกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ "ก็ไม่ใชเรื่องยากเกินไป" และเมื่อเข้าสู่ความเป็นพุทธะแล้ว "ไฉนเลย จะไม่ล่วงรู้ในพุทธวิสัยอันเป็นอจิณไตยนี้" ก็เมื่อเป็นพุทธะแล้ว ย่อมมีพุทธวิสัยดุจเดียวกันกับพุทธะอื่นๆ ด้วย ดังนี้ฯ



สุดท้ายนี้ "พุทธะ" คือ ภาวะดั้งเดิมของจิต ไม่ยากเกินไปเลยที่จิตนั้นจะกลับคืนสู่ภาวะดั้งเดิมนั้น ท่านทั้งหลาย จงมีกำลังใจฮึกเหิม เพื่อที่จะกลับคืนสู่ภาวะเดิมแท้ของจิตนั้นเถิด แม้ไม่ถึงซึ่งพุทธะ แต่ด้วยได้พระบารมีของพระพุทธเจ้าสมณโคดมทรงโปรด "นิพพาน" ก็ไม่ใช่ที่ห่างไกล ไม่ใช่ของยากอีกต่อไป มิใช่ ไม่ยากเพราะเราดีเลิศอะไร แต่ที่ไม่ยากเพราะได้บารมีของพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงโปรดสัตว์แล้ว จวบจนถึงสิ้นพุทธกาล 5,000 ปีนี้ ท่านยังมีโอกาสอยู่ ที่จะเข้าถึงซึ่ง "บรมสุขอันหาสิ่งใดเทียบมิได้นั้น" เร็วเถิด อย่าได้ให้เวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปเปล่าเลย สหายธรรมทั้งหลายเอ๋ย พระธรรมอันสว่างไสวนั้น ส่องสว่างกระจ่างแจ้ง แก่ท่านทั้งหลายแล้ว ความมืดมิดและความ หม่นหมองทุกข์ตรมทั้งหลาย จักพลันมลายไป โดยง่ายดายสหายธรรมทั้งหลายเอ๋ย ท่านจงเร่งทำกิจอันควรให้สำเร็จสมดังความประสงค์ของท่านเถิด "พุทธะ" อยู่ไม่ไกล อยู่ที่ใจของท่าน "นิพพาน" อยู่ไม่ไกล อยู่ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องค้นหา ไม่ต้องไขว่คว้าแย่งชิง แต่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด สหายธรรมที่รักเอ๋ย มันอยู่ในท่านเองอยู่แล้ว มิต้องเหนื่อยยากแลกสิ่งใดมาเลย มันเป็นของท่านอยู่แล้ว!


ขอพลังแห่งธรรมกายนั้น จงส่องสว่างให้ท่านเบิกบานโดยพลัน สวัสดี



25 ก.ค. 2555


"เสียงจากดั้งเดิม"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment