ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

อันตรายและอาการที่เกิดจากการใช้พลังจิตที่ผิดพลาด และแนวทางแก้ไข

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอปูพื้นฐานในเรื่องข้อควงระวังในการใช้พลังจิตที่ผิดพลาดนะครับ เพราะสำคัญมากทีเดียว เมื่อท่านพลาดไป จะได้ระลึกรู้ตัวได้เร็ว และแก้ไขได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป ดังต่อไปนี้ครับ


อาการ "จิตวิญญาณจรออกจากร่างแล้วไม่กลับคืน" จะทำอย่างไร?


ปัญหานี้เกิดขึ้นมากนะครับ ในคนที่มี "มโนมยิทธิ" จะเกิดได้ง่ายกว่าคนปกติครับ วิธีแก้ง่ายมากครับ คือ "กายานุสติปัฏฐาน" จำต้องมีสติอยู่กับกายเนืองๆ เช่น ทำงานแล้วก็ให้มีสติ, สมาธิ กับการใช้ร่างกายตลอดนะครับ ในกลุ่มผู้ปฏิบัติแนวเซนจะได้มโนมยิทธิกันทั้งนั้นนะครับและเขาจะไม่ให้เรานั่งสมาธิเฉยๆ หรืออยู่นิ่งมากไป เพราะจิตมันจะจรออกไปยังภพภูมิต่างๆ ง่ายครับ เขาจะให้เราทำงานวุ่นอยู่เรื่อยๆ จะไม่มีการนั่งสมาธินะครับ เพราะสมาธิมีแล้วในขณะทำงาน แต่ถ้าเราไปนั่งสมาธิ หรือนิ่งเฉยมากไป จิตวิญญาณจะจรออกไปยังภพภูมิต่างๆ ง่ายครับ เอาละ ทีนี้ ในคนที่จิตวิญญาณจรออกจากร่าง จะเป็นอย่างไร? ก็ดูไม่ยากครับ เขาจะเหมือน "เหม่อลอย หรือนึกคิดอะไรอยู่ยาวๆ" หรือ"เหมือนมีโลกส่วนตัว" แบบนี้ จิตวิญญาณเขาอาจจรไปอยู่ในภพภูมิที่ใดสักแห่งหนึ่ง ทำให้สังขารของเขามีโลกส่วนตัวครับ อันนี้อาจยังไม่มีอันตรายมากเท่ากับบางท่านที่ "จิตวิญญาณหลงออกไปอยู่กลางที่ว่างในจักรวาล" จะทำให้เขารู้สึกหลง, หลงทาง, หลงตัวเอง คิดว่าตนเองคือ เจ้าของจักรวาล หรือเจ้าของทุกสิ่งได้ เขาจะเหมือนรับข้อมูลมาจากจักรวาลแหล่งต่างๆ ได้ แต่จิตวิญญาณของเขา "หลงอยู่" นะครับ เขากลับมาสู่พื้นดินไม่ได้ เรียกว่า "ยิ่งใหญ่มากจนปกติไม่เป็น" นะครับ ถ้าพบใครเป็นแบบนี้ อย่าเพิ่งไปหลงเชื่อเขา และอย่าเพิ่งไปมองเขา ในแง่ลบนะครับ เขากำลังหลงและต้องการ "ผู้นำทาง-ให้กลับคืนปกติ" ครับนอกจากนี้ ยังมีที่อันตรายกว่านี้คือ "จิตวิญญาณถูกจับ" เช่น ถูกกักขังถูกพันธนาการไว้ ในภพภูมิหรือที่ต่างๆ ทำให้ส่งผลต่อการดำรงชีวิต ต่อสังขารที่ยังไม่สิ้นอายุขัยนั้นได้ครับ เช่น ทำให้ตกอยู่ใต้อำนาจบางคนได้



การใช้พลังงานพื้นฐานของจิต ที่ผิดวิธี ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้


อีกข้อหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ การใช้พลังงานพื้นฐานของพลังจิตที่ผิดวิธีไปทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ เช่น พลังงานภาคดำ ทำให้มีความเป็น "มิจฉาทิฐิ" หลงผิดไปได้, พลังงานภาคมืด ทำให้มืดมนและจมในทุกข์, พลังงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายหรือจิตใจ คือ ใช้แล้วทำให้ตนเองได้รับผลกระทบด้านลบ เช่น ใช้ทำร้ายคนอื่น แล้วย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้ด้วย ก็มีนะครับ ซึ่งพลังงานเหล่านี้ ไม่แนะนำให้ใช้นะครับ แต่ก็มีบางท่านที่ "ก่อนศึกษา" ไม่ทราบมาก่อนว่าพลังจิตที่ตนใช้นั้นมีพื้นฐานมาจากพลังงานสายใด เมื่อได้เรียนไปแล้ว จึงเริ่มเข้าใจและมีความรู้แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ง่ายๆ อีกแล้ว ก็มีครับ เช่น พระหลายรูป ที่คิดจะเอาดีทางอภิญญา อาจได้ครูถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์ให้ แทนที่จะได้มีวิชชาสายที่ถูกต้อง เช่น สายกรรมฐานที่ถูกต้อง เป็นต้น ผมคิดว่า เรื่องนี้ท่านอาจจะทราบดีนะครับว่าผลของการใช้พลังงานที่ผิดพลาด กลายเป็นปัญหามากขนาดไหน ดังนั้น ท่านที่ไม่ชำนาญก็ควรปฏิบัติเพื่อธรรม หรือเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณจะดีกว่าครับ เอาความเข้าใจ เอาปัญญาก่อนแล้วค่อยไปฝึกอภิญญาภายหลังจะปลอดภัยกว่าครับเพราะพลาดแล้วแก้ยาก



จิตวิญญาณที่จรออกจากร่างไปแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง?


กรณีที่ "จิตวิญญาณ" บางดวงของท่าน จรออกจากร่างไป ก็มีหลายทางที่เป็นไปได้ ทั้งด้านดีและร้าย ทางด้านดีคือ จิตนั้นจรออกไปยังภพภูมิที่ดี กลายเป็นตัวตนภาคสว่างคอยนำทางให้แก่สังขารเบื้องล่าง แบบนี้ พบได้บ่อยๆ ในท่านที่ถอดกายทิพย์ไปสวรรค์บ่อยๆ แล้วจิตวิญญาณดวงนั้น อาจไม่อยากจะกลับคืนสู่สังขารและภพมนุษย์อีก วิธีการแก้ไขคือ จำต้องพอใจในความเป็นมนุษย์ การดำรงชีพแบบมนุษย์ และภพมนุษย์หากจิตวิญญาณดวงนั้นไม่พอใจในภพ (วิภาวะตัณหา) เขาก็จะจรไปยังภพภูมิที่เขาต้องการและอยู่ได้ และยากมากที่จะเรียกเขากลับมา (เช่น พิธีเรียกขวัญ) ในด้านร้าย หากจิตนั้นหลงทางไปยังจักรวาล ท่านจำเป็นต้องส่งสัญญาณเรียกหาผู้ที่ชี้ทางให้แก่ท่านได้ เช่น พระพุทธเจ้า, ท้าวผกาพรหม (ซึ่งในปัจจุบันท่านไม่ได้ประจำพรหมโลก แต่ประจำอยู่กลางจักรวาล) หรือ แม้แต่พระบิดาจักรวาล ท่านจำต้องร้องขอความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ เพื่อหาทางกลับให้ได้ ไม่เช่นนั้น ท่านจะหลงไปและทำให้สังขารของท่านที่อยู่บนโลก เกิดปัญหาต่างๆ ได้ เช่น การหลงตัวเอง การไม่เข้าใจตัวเอง การหลงโลก หลงภพ และมีความคิดว่าตนเป็นเจ้าของจักรวาล เป็นต้น อีกวิธีหนึ่ง คือ ท่านก็ต้อง "สละจิตวิญญาณ" ดวงนั้นไปเสียเพื่อไม่ให้เขาส่งผลมายังท่านได้อีก ท่านจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่มีจิตวิญญาณนั้นแต่ท่านจะต้องใช้จิตวิญญาณดวงอื่นในการดำรงชีพแทน ซึ่งก็ได้เช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าจิตวิญญาณมีความคิด จิตใจ ของเขาเอง



การฝึกพลังจิตที่ผิดพลาด ก่อให้เกิดพลังจิตได้แต่จะเกิดผลร้ายมากกว่า


อีกกรณีหนึ่งคือ การได้รับการแนะนำให้ฝึกพลังจิตที่ดีและถูกต้อง แต่ถูกดัดแปลงหรือทำให้ผิดเพี้ยนไป เพราะตัวเองฝึกผิดพลาดหรือเพราะเหตุใดก็ตาม เช่น พลังธรรมจักร ที่หมุนไปทางสว่าง ถ้าไม่ผ่านการทดสอบก็อาจเกิดภาวะ "ตีกลับ" ไปหมุนทางด้านมืดได้ เมื่อเกิดเหตุการนี้กับท่านสิ่งที่ท่านควรทำอย่างยิ่งคือ "หยุด" หยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อนไม่ว่าจะเป็นความคิด, การพูด หรือการกระทำ เพื่อไม่ให้หลงทางมากไปกว่าเดิม ในบางท่านฝึกพลังอย่างหนึ่งแล้วเกิดภาวะ "ตีกลับ" ทำให้สิ่งที่ฝึกกลายเป็นสิ่งตรงข้ามได้ เช่น จากเดิมฝึกพลังสายร้อน ธาตุไฟ อาจตีกลับเป็นพลังสายเย็น ธาตุน้ำแข็งได้ นอกจากนี้ ยังมีบางท่านฝึกพลังหยินแล้วตีกลับเป็นหยาง (หญิงกลายเป็นชาย) และหยางกลายเป็นหยิน (ชายก็กลายเป็นหญิง) ก็มีได้ เป็นไปได้เหมือนกัน ท่านควรเข้าใจอย่างหนึ่งคือมนุษย์จะมี "ดุลยภาพหยิน-หยาง" หรือพลังคู่ตรงข้ามในตัว ไม่อาจจะคงสภาวะเพียงขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างเดียวได้ ทำให้เกิดภาวะ "ตีกลับ" ได้เมื่อฝืนฝึกพลังด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การฝึกแบบพลังคู่ตรงข้าม (พลังหยิน-หยาง) จึงเป็นทางออกอย่างหนึ่ง ในการแก้ไขนี้



การมี "ครูบาอาจารย์ที่มีสังขาร" คอยดูแลอย่างใกล้ชิดคือทางออก


เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา การมีครูบาอาจารย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดและคอยบอกทางแก้ไขให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป จึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าการฝึกเองคนเดียว เพราะการฝึกด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้ดูแลนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับ ผลกระทบจากการฝึกพลังจิตที่ผิดวิธีดังนั้น เมื่อท่านได้รับตำราหรือข้อมูลในการฝึกจิตใดไปแล้ว ก็ตาม ก็ควรแสวงหาครูหรือผู้ดูแลที่ไว้ใจได้ด้วย ที่ท่านสามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที และตลอดเวลา คือ ท่านควรไปอยู่กับครูท่านนี้ต่อเนื่องจนกว่าท่านจะฝึกสำเร็จ จึงจะออกไปได้ ถ้าท่านฝึกผิดพลาดครูผู้ดูแล ก็จะให้การช่วยเหลือ หรือแก้ไขให้ได้ อนึ่ง บางครั้ง ครูท่านนั้น อาจไม่สามารถดูแลได้ทุกอย่างได้ บางอย่างอาจเหนือบ่ากว่าแรงดังนั้น การรับศิษย์เพื่อฝึกพลังจิตนั้น จึงไม่ได้รับกันง่ายๆ เพราะต้องดูแลอย่างมากจนกว่าจะสำเร็จการฝึกพลังจิตได้อย่างแท้จริง นั่นเอง นี่คือ เหตุผลที่ว่าทำไม บางท่านพยายามหาครูบาอาจารย์ในการฝึกจิตแต่มันกลับไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด และศิษย์ต้องมีศรัทธาแน่วแน่เชื่อใจอาจารย์อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น ถ้าไม่อาจดูแลศิษย์ได้ จะกลายเป็นการสร้าง "นักพลังจิตด้านลบ" ขึ้นมาแทน และจะกลายเป็นผลร้ายไป 



สายธรรมและแนวทางในการฝึกจิตแบบตรงกันข้าม อาจช่วยท่านได้


นอกจากครูบาอาจารย์จะคอยดูแลให้ความช่วยเหลือท่านได้แล้ว ยังมี "สายธรรมตรงข้าม" ซึ่งฝึกพลังจิตแบบตรงกันข้ามอยู่ ในบางครั้ง ก็อาจช่วยเหลือท่านได้ เช่น เมื่อท่านฝึกวิชชาสายร้อน แล้วเกิดตีกลับมีพลังสายเย็นมาแทนที่ ท่านไม่อาจจะแก้ไขได้ บางครั้งท่านจำเป็นต้องอาศัยมุมมองและความรู้ ของผู้ที่ฝึกพลังจิตสายตรงข้าม เช่น พลังจิตสายเย็น เป็นต้น ซึ่งระดับ "กูรู" แล้ว จะทราบกันดีว่า หากท่านไม่อาจจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง ยังมีกูรูท่านอื่นใดพอจะหาทางออกหรือช่วยแก้ไขให้ได้บ้าง เรียกว่า ระดับกูรูนั้น เขาจะรู้ทาง รู้ธรรมกันเอง เมื่อเกิดมีปัญหาแบบนี้ขึ้น เขาสามารถยื่นมือช่วยเหลือกันได้เช่น ถ้าคนที่ฝึกจิตไม่สำเร็จแล้วเริ่มกลายสภาพเป็นนักพลังจิตด้านลบ กูรูผู้ที่ฝึกพลังสายตรงข้าม ก็อาจสามารถช่วยล้างพลังภายในของเขาได้ด้วย เพื่อไม่ให้เขากลายเป็นนักพลังจิตด้านลบ ถลำลึกไปมากกว่าเดิม ที่เรียกว่าการ "ทำลายอภิญญา" นั่นแหละ กูรู ท่านสามารถเก็บอภิญญาคืนกลับได้กรณีที่จำเป็นและแก้ไขไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องทำเช่นนั้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้กลายเป็นปัญหาต่อไป นั่นเอง (หลายท่านอาจเคยโดนแล้ว)


เอาละ วันนี้ เล่าให้ฟังแค่พอเล็กน้อยสบายๆ อย่าเครียดมากละ สวัสดี



24 ก.ค. 2555


"เสียงจากกูรูด้านพลังงาน"
รับสื่อสารโดย


瑠璃

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment