ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

"รักเหนือขอบเขต" รักกับอมนุษย์-สัตว์-เพศเดียวกัน ก็ได้ทั้งสิ้น?

สวัสดีครับ เห็นหัวข้อในวันนี้ อย่าเพิ่งตกใจ คิดว่าจะเป็นการเผยแพร่แนวคิดวิปริตหรือลัทธิประหลาดนะครับแต่นี่คือ "สัจธรรมความจริงแห่งความรักที่เหนือขอบเขตใดๆ" หรือก็คือรักที่บริสุทธิ์แท้จริง ที่ท่านอาจจะได้เคยได้รับฟังจากที่ใดมาก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทัศนาครับ


"ความรัก กับ กาม" เป็นคนละสิ่งกัน ท่านจะต้องแยกแยะออกจากกัน


อย่างแรกที่ท่านควรทราบก่อนอื่นเลยก็คือ ความรักและกามนั้น เป็นคนละสิ่งกัน หมายความว่าอะไร? ความรักแท้ที่บริสุทธิ์และเหนือขอบเขตใดๆ จะขวางกั้นนั้น ไม่เกี่ยว ไม่เนื่องด้วยกิเลส, ตัณหา หรือกามฯ เลยมันเป็น ความรักที่บริสุทธิ์ อย่างแท้จริง และไม่เนื่องด้วยสังขารใดๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ทุกสังขารหรือแม้แต่ไม่มีสังขารก็ตาม เช่น ความรักที่เกิดกับอมนุษย์, ปีศาจ, นางงู, นางแมงมุม, สัตว์เดรัจฉาน, มนุษย์เพศเดียวกัน ฯลฯ ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะสิ่งนี้ไม่เนื่องด้วยสังขาร ไม่เกี่ยวกับกามแต่อย่างใด และมันไม่มีความผิดแต่ประการใดเลย เพราะตราบใดที่เราไม่ได้ใช้สังขารในการเสพกาม เราไม่ได้ผิดประเวณี มันก็คือ "ความรักที่บริสุทธิ์" ที่ไม่ถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยอะไร ใดๆ เลย มันเป็นสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ใน "เบื้องลึกของจิตใจอันแสนลึกลับ" และเป็นความลับของจิตที่ปิดซ่อนไว้ เพราะมันอาจรัก และเรียกร้องต่อสิ่งที่สังคมปฏิเสธ หรือไม่ต้องการ ก็ได้? เพราะนี่คือ "พลังดึงดูด ที่มาจากจิตเบื้องลึก" อย่างแท้จริง มันพ้นแล้วจากเรื่องที่เกี่ยวเนื่องด้วยสังขารใดๆ มันจึงอาจเรียกร้อง"บางสิ่ง" ที่ "พร้อมเติมเต็ม" ให้แก่มัน และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์และสมดุลแม้ว่ามันจะขัดแย้งกับค่านิยมในสังคมก็ตาม



"ความรัก" คือ พลังดึงดูดเพื่อการหลอมรวมของสองมโนธาตุให้สมดุล


อย่างที่สอง ที่ท่านควรทราบคือ "ความรักคืออะไร?" แท้จริงแล้วมันก็คือ "พลังดึงดูด และถ่ายเทให้" ของมโนธาตุ (จิต) สองดวง ที่พร้อมหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเติมเต็มกันและกันให้สมดุลและสมบูรณ์ ซึ่งผลที่ได้คือ "วิวัฒนาการขั้นสูงสุดแห่งมโนธาตุสายพันธุ์มนุษย์" ซึ่งก็คือจิตวิญญาณ "พุทธะ" นั่นเอง สรุปง่ายๆ ก็คือ จิตวิญญาณจะดึงดูดหรือถ่ายเทพลังงานให้แก่กัน เพื่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายให้สมดุลและกลับคือสู่ภาวะสูงสุดของจิตวิญญาณหรือ "พุทธะ" นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น การหลอมรวม มโนธาตุของ "พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์" ซึ่งพร้อมแล้วด้วยขณะนั้น มโนธาตุที่ถูกฝังไว้แนบแน่นว่าจะไม่ขอบรรลุพุทธะตราบสัตว์นรกไม่หมดสิ้น มโนธาตุนั้นได้นิพพานหมดเหลือแต่"วิญญาณขันธ์" จะผสมบวกเข้ากับ "จิตวิญญาณของอวโลกิเตศวร" ที่ได้ทำการดับวิญญาณขันธปรินิพพานแล้ว เหลือแต่ "มโนธาตุ" ทั้งสองนี้(วิญญาณของพระกษิติครรภ์ และ มโนธาตุของพระอวโลกิเตศวร) จะมาผสมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและสำเร็จเป็น "พุทธะ" โดยสมบูรณ์ หรือแม้แต่การหลอมรวมกันของจิตวิญญาณ "พระเมตตรัยโพธิสัตว์ กับจิตวิญญาณอื่นๆ" เช่น จิตวิญญาณเทพนักษัตร หรือพระนารายณ์ ก็สามารถสำเร็จถึง"พุทธะ" ได้เช่นกันเพราะนี่คือการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของจิตวิญญาณ



"พระศรีอาร์ฯ องค์ปฐม" ของภัทรกัปหน้า จะตรัสรู้ด้วยวิธีดังกล่าวนี้


อย่างที่สาม ที่ท่านควรทราบคือ แม้แต่การตรัสรู้ของพระศรีอาร์ฯ องค์ปฐมของภัทรกัปหน้า ก็จะเกิดจากการผสมของจิตวิญญาณสองดวงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยจิตวิญญาณดวงหนึ่งจะอยู่ในร่างของ "สตรีเพศ" มาก่อน และเป็นจิตวิญญาณภาคแบ่งของท่านเอง ซึ่งจรไปอาศัยในร่างของสตรีเพศ เนื่องจากท่าน "ไม่มีสังขารเป็นสตรีเพศ" อีกแล้ว ดังนั้น ท่านจึงต้องแบ่งภาคส่วนจิตวิญญาณออกไปอยู่ในร่างของสตรีเพศเพื่อเรียนรู้และเข้าใจสตรีเพศแทน ในขณะที่ร่างสังขารที่พร้อมจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นจะมีความเป็นชาย (หยาง) ตามปกติ เมื่อจิตวิญญาณสองดวง หลอมรวมกันแล้ว ท่านจึงจะตรัสรู้เป็น "พุทธะ" ได้สำเร็จ และไม่ต้องไปเกิดในสังขารของสตรีเพศโดยตรงก็สามารถเข้าใจในความเป็นสตรีเพศได้ด้วยวิธีแบบนี้ และผลจากสิ่งนี้ ทำให้ท่านมีกำลังในการโปรดสตรีเพศได้ด้วย ข้อนี้จะแตกต่างจากพระศรีอาร์ฯ องค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ที่ไม่สามารถโปรดสตรีเพศได้ 



"การสอนเรื่องความรัก-ใคร่" ของธรรมยุคนี้ ทำให้เกิดทัศนคติเชิงลบ

อย่างที่สี่ ที่ท่านควรทราบคือ หากท่านได้อ่านตำราไตรปิฎก ท่านจะพบว่ามีการสอนเรื่องความรักใคร่ในเชิงลบเช่น การมองว่ากามเลวร้ายหรือความรักมีแต่ด้านของความลุ่มหลงและเป็นกิเลสเท่านั้น แต่ไม่มีใครมาแจ้งความจริงให้กระจ่างว่าแล้วทำไมคนเราต้องมีกามกัน ทำไมต้องรักกัน? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ทราบว่ามาจากการสอนของพระพุทธเจ้าจริงหรือว่ามาจากการแต่งตำราไตรปิฎกของคนรุ่นหลังกันแน่? แต่ในความจริงแล้วก็คือ "ความรักและความใคร่" เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ไม่มีความถูกหรือผิด, ดีหรือชั่ว, บวกหรือลบในตัวมันเอง ทั้งสิ้น บุคคลที่ไม่เข้าใจก็จะลุ่มหลงมันได้ ส่วนผู้ที่กลัวถูกมันครอบงำให้ลุ่มหลงก็จะเอนซ้ายคือมอง "ความรักและความใคร่ในแง่ลบ" และพยายามกดข่มความรู้สึกไว้ด้วย "ธรรมวินัย" ต่างๆ และทำให้ไม่มีใครสักคน ที่เข้าใจ หรือรู้แจ้งในสิ่งที่เรียกว่า "ความรักหรือความใคร่" นี้เลย ทว่า นี้ไม่ผิดแต่ประการใดเพราะเป็น "ธรรมะที่เหมาะสมกับคนในยุคนี้แล้ว" นั่นเอง มันเป็นธรรมที่ใช้ได้กับปวงสัตว์ที่พร้อมจะเข้านิพพานในยุคนี้ (แต่ไม่เหมาะกับยุคหน้า)



เมื่อท่านรักใครสักคนหนึ่งท่านไม่จำเป็นต้องเป็น "ตัวตนตัวนั้น" ก็ได้?


อย่างที่ห้า ที่ท่านควรทราบคือ เมื่อท่านรักใครหรืออะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องเป็นตัวตนตัวนั้น เช่น ถ้าพระสาวกรักพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าพระสาวก จะต้องเป็นเกย์ เสมอไป มันก็แค่ "ความรักที่บริสุทธิ์" เท่านั้นเอง ความรักหรือแม้แต่ความใคร่ ก็เป็น "ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของชีวิตทั้งหมดของท่าน" (Slice of life) ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องเป็นมันทั้งตัวตนของท่าน และท่านไม่ควรปล่อยให้ความคิด"เศษเสี้ยวเล็กๆ" นั้น "กลืนกินท่านไปทั้งตัวตน" ยกตัวอย่างเช่น ถามว่าคนที่เคยทำงานขาย เขาต้องเป็น "นักขายทั้งชีวิต" หรือเปล่า? คนที่เคยทำนา จะต้องเป็นชาวนาทั้งชีวิตหรือไม่? ไม่เลย มันก็อาจเป็นแค่"ส่วนเสี้ยวหนึ่งในชีวิตทั้งหมดของท่าน" ก็เท่านั้นเอง อย่าให้ส่วนนี้มาครอบงำและกลืนกินท่านไปหมดทั้งตัวตนได้ ท่านสามารถไปเป็นอะไรๆ ได้อีกมากมาย คนบางคนมีหลายอาชีพ หลายบทบาท หลายตัวตนแล้วเขาต้องเป็นตัวตนไหนทั้งชีวิตหรือไม่? ไม่เลย เขาก็คือเขาที่สามารถจะ"สวมหัวโขน" แล้วถอดมันออกมาได้ หลากหลายใบ ก็เท่านั้นเอง คนที่มีความรักกับอะไรสักอย่าง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวตนนั้น เช่น ถ้าเขามีความรักกับเพศเดียวกัน เขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็น "ผู้รักร่วมเพศ" เพราะเขาก็คือเขา ที่มีความรักแบบนั้น เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ หนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง เขายังเป็นอะไรได้อีกมากมาย การที่เขาถูกเรียกว่าเป็น "เกย์" ก็ดี, เลสเบี้ยน ก็ดี, ฯลฯ มันคือ "การตีตรา" ของสังคมที่จองจำเขา กักขังให้เขาต้องอยู่กับ "ตัวตน" หรือ "หัวโขน" นั้นๆ เพียงอันเดียว ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับคนที่ถูกเรียกว่า "คนพิการ" เขาอาจแค่มีความพิการเป็น "ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ส่วนหนึ่งของชีวิต" ก็เท่านั้น แต่เขาเป็นอะไรได้อีกมากมาย ไม่ใช่แค่ "คนพิการ" ดังที่สังคมตีตราให้เขาเป็น เท่านั้น?



"กาม" เป็นสิ่งที่ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขต แต่ "ความรัก" ไม่มีขอบเขต


อย่างที่หก ที่ท่านควรทราบคือ "กาม" ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตไม่ออกไปนอกขอบเขต การออกนอกขอบเขตของกาม ทำให้ผิดศีล ผิดประเวณีได้ ซึ่งส่งผลให้จิตวิญญาณของท่าน "มืดมัวหมองลง" ถ้าท่านผิดเฉพาะความคิด ท่านอาจได้รับ "พลังมืดดำ" เพียงบางส่วน ซึ่งท่านสามารถจะชำระล้างได้ ไม่ยาก ไม่นานเกินไป แต่ถ้าท่านผิดโดยสังขาร่วมด้วย ท่านก็จะได้รับพลังดำมืดมาก และต้องใช้เวลาในการชำระล้าง ที่ยาวนานขึ้นนั่นคือ "ผลจากการผิดในกาม" ทว่า สำหรับ "ความรัก" แล้ว มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "ขอบเขต" ยิ่งถ้าท่านสามารถมีความรักได้อย่างไร้ขอบเขต มีพลังในการข้ามขอบเขตหรือกำแพงที่ขวางกั้นความรักของท่านไปได้นั่นจะยิ่งทำให้พลังแห่งรักของท่าน "ไร้ขีดจำกัด" ไปมากยิ่งขึ้น มันจะทำให้"ดวงใจของท่านใหญ่โต" ยิ่งขึ้น หัวใจที่ยิ่งใหญ่และพองโต จะเป็นหัวใจที่มีพลังมาก รับพลังและส่งพลังได้มากยิ่งขึ้น จะขยายขีดจำกัดในใจของท่านออกไปได้อีก ไม่ว่า ท่านจะเคยมีอะไรเป็นกำแพงขวางกั้นในใจ หรือมีอะไรเป็นเครื่องขวางกั้นพลังแห่งรักของท่าน ทุกอย่างจะถูกทำลายให้สิ้นไปด้วย "พลังแห่งรักที่ไร้ขอบเขตนั้น" มันคือ พลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งกำแพงที่ขวางกั้นใดๆ ก็ไม่อาจขวางกั้นมันได้เพราะพลังแห่งรักที่ไร้ขอบเขตนั้นเอง



สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมด ยังเป็นเพียงแค่ "ข้อมูลเบื้องต้น" สำหรับท่านเท่านั้น ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ค้นพบมันหรือมีความรักที่ไร้ขอบเขตนั้นได้ด้วยตัวของท่านเอง ท่านก็จะไม่มีทางเข้าใจความรักอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่นั้นได้เลย ท่านจะถูกจำกัดกรอบให้อยู่แต่ ความรักของชายหญิงเท่านั้น ซึ่งมันไม่อาจจะทำให้ท่าน "ค้นพบสิ่งใหม่ๆ" ได้ทว่า ท่านจำเป็นต้องมีศีลที่แก่กล้าไว้ด้วย ในการเข้าถึงซึ่ง "ความรักที่ไร้ขอบเขตนี้" เพราะหากท่านทำผิดศีล หรือผิดประเวณีแล้ว ท่านอาจจะไม่ได้ค้นพบความรักที่บริสุทธิ์และไร้ขอบเขตนี้อีกเลย ด้วยพลังแห่งความมืดดำจะครอบงำและขวางกั้นท่านไว้และท่านจะถูกพลังมืดดำนั้นพันธนาการ กักขังท่านไว้ในคุกแห่งความตรอมตรม ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ


ขอพลังแห่งรักอันบริสุทธิ์ไร้ขอบเขตนั้น จงจุดไฟรักในใจของท่าน สวัสดี



20 ก.ค. 2555


"เสียงจากหัวใจ"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

1 comments:

Unknown said...

ขอบคุณนะคะ

Post a Comment