ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

"เงิน" กำลังครอบงำ ล่ามโซ่คุณไว้ดุจทาสหรือไม่? ทำอย่างไรจะพ้นจากปีศาจเงิน?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ ครับ คือ จำได้มั้ยครับที่ผมบอกว่าสมมุติทุก สิ่งในโลกล้วนมี "วิญญาณ" เช่นกัน ครับ "เงินก็มีวิญญาณ" มันเป็นสิ่งที่ กำลังมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ครับและ กำลังครอบงำคน ล่ามโซ่คน ให้คนจะ ต้องกลายเป็น "ทาสของเงิน" ฟังดูก็ ไม่ต่างจากปรัชญาทั่วไปเนอะ แต่ผม กำลังจะบอกว่ามันไม่ใช่ปรัชญา แต่ มันคือ "ความจริง" และตอนนี้มันมีทั้ง "รูปนาม" ที่แก่กล้ามากครับ มันมีจิต วิญญาณ และกำลังเล่นงานมนุษย์อยู่ เอาละ เริ่มน่าสนุกแล้ว งั้นเรามาเข้า เรื่องกันแบบง่ายๆ สบายๆ กันเลยครับ


"สมมุติทั้งหลายที่คนสร้างขึ้น" อาจกลายเป็น "ปีศาจ" ได้ถ้าได้รับ...


อย่างแรกที่ผมอยากจะบอกท่านคือ "สมมุติทุกอย่างที่คนสร้างขึ้น" ถ้า ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังจิตของคนจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดมี "วิญญาณครอง" และตามมาด้วย "จิต" และถ้าพลังจิตที่หล่อเลี้ยงนั้น เป็นพลังกิเลสแล้ว มันมีโอกาสสูงมากครับที่จะกลายเป็น "ปีศาจ" หรือ ก็คือ "สื่อนำวิญญาณ" อย่างหนึ่ง ขณะนี้ เงิน ได้กลายเป็นสื่อนำปีศาจ ร้ายเข้ามาครอบงำมนุษย์ ทั้งยังผูกมัดล่ามโซ่มนุษย์ไว้เป็นทาสของมัน! ในขณะเดียวกัน ถ้าสมมุติที่คนสร้างขึ้นได้รับพลังงานที่ดี มันก็จะนำพา วิญญาณที่ดี สว่างไสวตามมาคุ้มครองสิ่งนั้นด้วย เช่น เทวรูปที่ได้รับการ ดูแลอย่างดีและถูกต้องจากผู้ดูแลศาลเจ้า (ทว่า แบบนี้เป็นไปได้ยาก จน แทบไม่มีอีกแล้วบนโลกครับ) ดังนั้น ผู้รู้จึงแนะนำว่าไม่ควรสร้างสมมุติที่ สามารถ "รองรับพลังจิต" ของผู้คนไว้บนโลกมากครับ เช่น ไม่ควรสร้าง เทวรูปต่างๆ ให้คนกราบไหว้เพราะคนที่กราบไหว้โดยไม่ส่งพลังจิตให้สิ่ง นั้นๆ มีน้อยและเป็นไปได้ยากครับ พลังจิตของคนทั้งหลายเมื่อส่งไปรวม กันที่ "วัตถุสมมุติ" นั้นแล้ว วัตถุนั้นก็จะรองรับเอาพลังจิตของคนไว้ ทว่า มันได้ไม่นานครับ เพราะวัตถุพวกนี้ ไม่อาจจะรองรับพลังจิตคนได้ดีนัก ก็ จะมี "จิตวิญญาณ" มาเอาพลังจิตเหล่านั้นไปครับ แล้วมันก็จะเติบโตขึ้น จนกลายเป็นปีศาจที่มีฤทธิ์มาก แปลงร่างได้ ประสานร่างกับมนุษย์ได้ จน ถึงขั้นทำอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย พลังจิตที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณนั้น ก็ มีคำเรียกครับว่า "วิญญาณาหาร" คือ พลังวิญญาณที่หล่อเลี้ยง เหมือน อาหาร นั่นแหละครับ นี่แหละ การพัฒนาการของเหล่าปีศาจทั้งหลายครับ


ทุกครั้งที่คุณใช้เงิน คุณอาจจะสูญเสียพลังปราณแห่งมนุษย์ไปเรื่อยๆ


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ถ้าท่านใช้เงินไม่เป็น ทุกครั้งที่ท่านใช้ เงิน ท่านจะถูก "ปีศาจเงิน" สูบลมปราณไปเรื่อยๆ มันจะสูบลมปราณ เฉพาะนะครับ ฟังให้ดีนะ มันจะสูบลมปราณที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความ เป็นมนุษย์ เท่านั้น ลมปราณชนิดอื่นๆ มันไม่ต้องการครับ เพราะอะไร? เพราะมัน "ต้องการเป็นมนุษย์" ครับ ปีศาจเงิน จะสูบลมปราณเฉพาะ ที่ทำให้มนุษย์ค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป มันจะค่อยๆ ทำให้คน ไม่เหลือความเป็นมนุษย์ครับ เพราะมันต้องการเป็นมนุษย์ และตอนนี้ มันก็กำลังจะสำเร็จแล้ว มันวางแผนจะตั้งตัวเป็น "พระเจ้า" บนโลกนี้ ด้วย ดังนั้น "พระเจ้าที่แท้จริง" จึงต้องทำบางอย่างเพื่อหยุดกระบวน การนี้ครับ เอาละ ถ้าคุณอยากจะรู้ความจริง ลองสังเกตุดูครับ ใช้ที่ใช้ เงินเป็นการแก้ปัญหาในชีวิตมากๆ จนเคยชิน จะไม่ค่อยรู้ว่าจะใช้พลัง ความสามารถของ "มนุษย์" ในการแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร เอะอะอะไร ก็ใช้เงินแก้ปัญหาก่อนเลยครับ คนพวกนี้จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพราะสูญ เสีย "พลังชีพแห่งมนุษย์" ครับ มันจะเปลี่ยนถ่าย "ปราณปีศาจ" ของ มันสู่ร่างมนุษย์ จนมนุษย์มีสภาพกึ่งปีศาจ หมดสิ้นความเป็นมนุษย์และ มันก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ อาศัยในร่างมนุษย์ ได้เหมือนมนุษย์ปกติ ! เมื่อมองด้วย "ตาทิพย์" ท่านจะเห็นกายทิพย์ของมันเหมือนมนุษย์ปกติ ทำให้ท่านไม่คิดปราบหรือทำลายมัน มันก็จะรอดจากเงื้อมมือของท่าน ไปได้ เพราะขณะนี้มันเริ่มจะได้ "ร่างมนุษย์" แล้วในระดับทิพย์นะครับ


หยุด "ใช้เงินแก้ปัญหาชีวิต" แต่จงปลุกพลังชีพมนุษย์ขึ้นมาใช้แทน !


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ทางแก้ที่ท่านจะไม่สูญเสียพลังชีพแห่ง ความเป็นมนุษย์ไปให้มัน ก็คือ ท่านจะต้องหยุดใช้มัน (เงิน) แก้ปัญหา ชีวิตต่างๆ เช่น เวลาไม่มีอาหาร ท่านทำอย่างไร? มีปัญหาแล้วใช่มั้ย ก็ ใช้เงินแก้ปัญหาอย่างนี้หรือเปล่า? นั่นละ มันได้พลังชีพมนุษย์ของท่าน ไปอย่างง่ายดายมาก ท่านลองปรับมุมคิดสิ เวลาไม่มีอาหาร อ๊ะ ฉันเป็น "มนุษย์โลก" ฉันมีพลังที่จะทำมันเองได้ เอาละ ฉันหาอาหารบ้าง แต่ก็ ใช้เงินเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบบ้าง (แต่ไม่ได้ใช้เงินแก้ปัญหานี้ 100%) นี่ อย่างนี้ พลังชีพมนุษย์ของท่าน จะไม่ถูกมันสูบไป เพราะท่านใช้พลังนี้ ในการแก้ปัญหาชีวิตเรื่อยๆ แต่ใช้ "เงิน" เป็นองค์ประกอบนิดหน่อย ก็ เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าใช้เงินแก้ปัญหา ซื้อมาซะ ก็จบ อันนี้ ใช้ไม่ได้ มันก็ จะครอบงำท่าน แล้วส่งพลังมืดของมันให้ท่าน พร้อมทั้งสูบเอาพลังชีพ แห่งมนุษย์ของท่านไป สรุปคือ 1. อย่าใช้เงินแก้ปัญหาชีวิต แต่จงปลุก พลังชีพแห่งมนุษย์ขึ้นมาใช้ โดยให้เงินเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น 2. อย่าให้เงินนำหน้าทุกอย่าง แต่จงให้มันตามหลัง เช่น ใช้ปัญญาให้ ดีก่อนแล้วจึงว่าเรื่องเงินตามมาทีหลัง และอย่าไปพึ่งมันมากเกินไปครับ 3. อย่านับถือคนเพราะเรื่องเงิน และอย่าส่งจิตส่งใจไปเรื่องเงินมากเกิน ไป พลังจิตของท่านจะไม่สูญไปยังปีศาจเงินนี้ เช่น เวลาทำงาน ก็ทำให้ ดี ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะให้เงินเราเท่าไร แล้วพลังชีพของท่านจะไม่มี ลดลง จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป เพราะถูกปีศาจเงินนี้ สูบเอาไปครับ แล้วก็อย่าดีใจกับการได้เงินมาก อย่าหลงเงินมาก มันเป็นแค่ "ของใช้" อย่างหนึ่งในชีวิตของเรา เหมือนมีด, จอบ-เสียม, ปากกา ฯลฯ ก็แค่นั้น


คนมีบารมีใช้เงินได้ แต่ถ้าไม่มีบารมีมาทางนี้ "อย่าไปใช้เงินมาก" ครับ


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ผู้มีบารมีต่ออะไร ก็จะใช้สิ่งนั้นได้โดยไม่ มีปัญหาครับ เช่น มีบารมีต่อมีด ก็ใช้มีดได้ไม่มีปัญหา, มีบารมีต่อตำรา ก็ ใช้ตำราได้ โดยไม่หลงบ้าตำรา-ยึดติดตำรา, มีบารมี ต่อเงิน ก็ใช้เงินได้ โดยไม่ถูกเงินครอบงำ ฯลฯ เอาละ "ของทุกอย่างในโลก" อย่าไปหลงมัน มาก มันมีวิญญาณถือครอง และครอบงำเราได้ครับ เช่น คนไม่มีบารมีที่จะ ได้ "แว่นทิพย์" แต่ดันไปดู "ทีวี" ประจำ ผลเป็นไงครับ ก็ถูก "สื่อครอบงำ ความคิด" ไปหมด หลงไหลคลั่งใคล้ดารา, ไหลตามกระแสทีวี ฯลฯ และก็ อะไรอีกหลายอย่างจะเกิดขึ้นกับคุณ ทำให้คุณมีพลังจิตที่แย่ลง เป็นลบ ก็ ได้ หรือเริ่มดำมืด มีกิเลสมากมาย ก็ได้ครับ "ของทุกอย่าง" อย่าไปใช้มัน มากเกินไป เทพเทวดาเขามี "ของทิพย์" ประจำองค์กันแค่คนละ 1 อย่าง ก็พอใช้แล้วครับ เช่น คัมภีร์ทิพย์, แจกันทิพย์, กระบี่ทิพย์ ฯลฯ ท่านละแค่ 1 อย่างเท่านั้น มนุษย์เรา "มีเกินตัว" แล้วไม่รู้ภัยของมันครับ ไม่รู้ว่าของ "สมมุติทุกอย่างบนโลก" มีวิญญาณสื่อเชื่อมโยง ถือครอง และคอยดูแล อยู่ เมื่อใช้ไม่เป็น ก็จะหลง และนำพาไปสู่ความเสื่อมครับ เช่น คนที่ไม่มี บารมีจะขี่รถยนต์ แต่เพราะอยากได้ เข้าระบบซาตานก็ไปกู้มา ถูกผูกมัด ให้จ่ายหนี้ 10 กว่าปี ได้เป็นเจ้าของทันที เร็วทันใจ แถมรัฐบาลยังสนับ สนุนเต็มกำลังให้ลดหย่อนภาษีอีก เอากันเข้าไป เลยได้ง่าย เป็นหนี้ได้ ง่าย ถูกซาตานผูกมัดให้ต้องเสียอิสรภาพ ต้องทำงานในระบบทุนนิยม ในระบบซานต่อไป ไม่อาจพ้นได้ นี่ มันไม่มี "บุญบารมี" ของมันจริงจะ ได้ครองหรอก แต่มันได้ด้วยอำนาจซาตาน แลกมาเท่านั้นเอง บางคนก็ ไม่มีบุญจะได้กินของหวานแล้ว (เป็นโรคเบาหวาน) ฝืนกินเข้าไป ก็จะ กลายเป็นภัยแก่ตัวได้ นี่ละ ที่บอกว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบุญบารมี ได้ ใช้สิ่งของใดๆ ก็ได้ตามใจ ตามแต่มีอำนาจเงินหรือกินอะไรก็ได้อย่างนี้


เมื่อ "ปีศาจเงิน" คิดตั้งตัวเป็น "พระเจ้าแห่งเงินตรา" ครองโลกใบนี้ ?


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ ตอนนี้บนโลกมีปีศาจอยู่มากมาย และ ปีศาจที่มีอำนาจมากๆ มีอยู่ 5 ตัวด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ "ปีศาจเงิน" ครับ ปีศาจทั้งหลาย เมื่อมีอำนาจมากๆ มีบริวารมากๆ และไม่มีใครจะ ปราบได้ ก็เริ่มหลงตัวเอง และคิดตั้งตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าแห่งโลกใบ นี้ และพวกเหล่าปีศาจทั้ง 5 ตน ก็มีอำนาจและบริวารมาก พอๆ กันนะ ครับ มันจึงยังตกลงเรื่องอาณาเขตกันไม่ได้ และมันได้ครอบงำอยู่ใน "ร่างมนุษย์หลายเชื้อชาติ" ส่งผลให้มนุษย์โลกกำลังขัดแย้งกันด้วย "เรื่องอาณาเขต" เป็นต้น มันก็แค่ใช้ร่างมนุษย์ งัดข้อกัน เล่นงานกัน ประเมินกำลังกันและตามมาด้วยการทำสงครามเพื่อยึดครองขอบเขต ของกันและกันครับ ยิ่งเฉพาะในยามนี้ที่เทพทั้งหลาย กำลังเปลี่ยนชุด มันก็เข้าแทรก เข้าเสียบแทนครับ ปีศาจเงิน ก็ใช้อำนาจเงินของมันนั่น แหละเป็นพลังของมัน กดข่มผู้คนและลดอำนาจของปีศาจสงครามไว้ ด้วยการอ้าง "สันติภาพ" นะครับ แต่ตัวมันเองก่อสงครามเงินอยู่ โดย ใช้เงินนี่แหละ เล่นงานและทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ครับ เช่น การที่ มันใช้เงิน ซื้อสินค้าบางชนิด "มากหรือน้อย" ไปกว่าปกติ ก็ส่งผลต่อ "ดุลยภาพของตลาด" ทำให้ราคาสินค้าชนิดนั้นแพงขึ้น หรือถูกลง ก็ ได้ และตามมาด้วยการขายของในตลาดต่างประเทศ ได้มากขึ้น หรือ น้อยลงได้ด้วยครับ เห็นมั้ยครับว่ามันใช้เงินเป็นอาวุธเล่นงานคนอื่นได้


คุณก็สามารถเป็นเศรษฐี และมีชีวิตที่ดีได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีเงินมากก็ตาม


ต่อไปที่ผมอยากจะบอกท่านคือ การเป็นเศรษฐี ไม่จำเป็นต้องวัดกันที่ได้ เงินมาก หรือมีเงินมากเลย คุณสามารถเป็นเศรษฐีที่ไม่ได้มีเงินมาก แต่ ก็มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีได้ ด้วยเงินที่อาจไม่มากเท่าใดก็ตาม เช่น ยาม ที่คุณขี่จักรยานไปตลาด อาจจะไกล 10 กิโลเมตร (เหมือนคนจนเนอะ) คุณอาจไม่ได้ใช้เงินเพื่อขึ้นรถโดยสารประจำทาง ทว่า การที่คุณได้ไปขี่ จักรยาน มันก็ไม่ต่างจากคุณเอาเงินไปเข้าฟิตเนสดีๆ ราคาแพงๆ เพื่อจะ ได้ "ปั่นจักรยาน" ในนั้นเท่าไรหรอกครับ นึกภาพออกมั้ยครับ ว่าสุดท้าย แล้ว "วิถีชีวิตมันไม่ต่างกัน" ระหว่างคนที่เสียเงินเข้าฟิตเนสเดือนละพัน กับคนที่ไม่ได้ใช้เงิน แต่ใช้จักรยานขี่ไปตลาดเอง นี่ไง ผลออกมาไม่ต่าง กัน แต่มันต่างกันตรงที่ "พลังงานที่ใช้ครับ" คนที่ใช้เงิน จะใช้พลังงานที่ มาจากภาคมืดและสูญเสียพลังชีพแห่งมนุษย์ไปเรื่อยๆ แต่คนที่ไม่ได้ใช้ เงิน กลับมีพลังชีพแห่งมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีเปลือกนอกเหมือน กันก็ตาม เอาละ "ถ้าคุณเข้าใจว่าการใช้พลังชีพแห่งมนุษย์เพื่อยกระดับ ชีวิตของคุณให้เป็นเศรษฐีได้อย่างไร?" คุณก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเศรษฐีที่ มาได้ด้วยเงินหรอกครับ (การเป็นเศรษฐีอาจมาได้หลายวิธี ที่ไม่จำเป็นที่ จะต้องมาจากเงินอย่างเดียว) สุดท้ายแล้ววิถีชีวิตมันก็ไม่ต่างกันเลยครับ ตรงกันข้าม คนที่มีเงินมากๆ อาจจะมีชีวิตอยู่อย่าง "ขี้ข้า" หรือ เป็นทาส ของเงินอยู่ก็ได้ ของแบบนี้มันไม่แน่นอนครับ "ต้องดูจากวิถีชีวิตจริงๆ" ก็ จะดูออกได้ว่าใครมีชีวิตอยู่อย่างเศรษฐี พระราชา หรือว่ายาจก ที่แท้จริง!


คนที่มี "บารมีใช้เงินได้" ในโลกนี้มีอยู่น้อย ดังนั้น จึงมีศีลห้ามพระรับเงิน


สุดท้ายที่ผมอยากจะบอกท่านคือ คนที่มีบุญบารมีใช้เงินได้นั้น ก็มีอยู่น้อย ครับ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตราศีลให้ไว้ว่าไม่ให้ภิกษุไปรับเงินทอง ใคร มา มันเป็นของที่เกินตัวเกินกำลังบุญบารมีของพระสาวกของพระพุทธเจ้า ครับ พระพุทธเจ้าท่านมีสัพพัญญูญาณ ที่ทราบเรื่องนี้ดี แต่จะตรัสออกไป ตรงๆ ว่าเธอไม่มีบุญบารมีพอจะรับมัน แบบนี้ มันก็ไม่เหมาะ เดี๋ยวก็จะเกิด อาการกระตุ้น "อีโก้" ให้คนรู้สึกว่า "ฉันไม่มีบารมีเหรอ? หน่อยแน่ ฉันจะ ทำให้ดูว่าฉันมีนะ" เป็นต้น ดังนั้น ท่านก็ไม่อธิบายมากไป ให้ยืดเยื้อครับ ก็แค่เป็นศีลไว้ ก็พอแล้ว จบ เอาละ ที่นี้ คนที่มีบุญบารมีที่ใช้เงินได้ ใช้เงิน เป็นนั้น เป็นอย่างไร? เอาละ ท่านผู้นั้นจะมี "ของทิพย์ชนิดหนึ่ง" ที่เรียก ว่า "คฑาหมุนเงิน" ก็แล้วกัน ในคฑาทั้งหลายนั้น มีหลายชนิดครับ เช่น คฑาที่ด้ามยาวๆ เอาไว้ "ลงหลัก-ปักฐาน" จุดใดจุดหนึ่ง ด้วยปณิธานที่ แน่วแน่ เพื่อริเริ่มลงรากฐานสิ่งใหม่ๆ ครับ ส่วนคฑาอีกแบบ จะเป็นคฑาที่ เอาไว้ถือ มีหัวเป็นดวงแก้ว ด้านไม่ยาว ใช้ถือนำทางผู้คน รวมใจคน และ ส่องนำทาง ชี้ทางให้ผู้คนที่มืดมนครับ ส่วนคฑาแบบที่สามนี้ จะเป็นคฑา ที่ใช้ "พาดบ่า" ปลายสองข้างมีดวงมณี หมุนไปมา ให้เงินหมุนไหลเข้า ไหลออกได้ครับ เป็นคฑาอีกแบบ ลักษณะเหมือนหยก เป็นคฑาหยกครับ เอาละ ของทิพย์นี้ ดูไม่ออกด้วยตาเปล่า ก็อย่าไปคิดมากเลย มองไม่เห็น สังเกตุจากการใช้เงินของเขาดีกว่า คนที่งก, ตระหนี่, ประหยัด นี่ก็ไม่ใช่ พวกใช้เงินเป็นนะครับ การใช่เงินมันต้องมีการหมุนเข้า-ออกครับ เพื่อให้ มันมีพลวัตร เกิดความงอกงาม ให้ได้เงินมากขึ้นตามมา ไม่งั้นมันจะหมด ไปครับ นั่นคือ "การใช้เงิน" ใช้ให้เป็นครับ ไม่ใช่การเก็บเงิน อย่างเดียว


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล โปรดส่องนำทางชีวิตท่าน สวัสดี


18 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment