ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

สรรพสิ่งทางโลกล้วนมีนามรูปและวิญญาณ แม้แต่เว็บไซต์ ก็มีวิญญาณ?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมมีเกร็ดเล็กๆ เรื่อง "นามรูป" ใน "ปฏิจสมุปบาท" ครับ ท่านกล่าวว่า เมื่อมี "อวิชชา" จึงมี "สังขาร" เมื่อมีสังขารจึงมี "วิญญาณ" และเมื่อมีวิญญาณจึงมี "นามรูป" ครับ เอาละ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกิดจากสิ่งปรุงแต่ง มันก็คือ "สังขารธรรม" และมันก็จะมีวิญญาณ มาสู่ครับ ดังนั้น แม้แต่เว็บไซต์ก็มีนะครับ เอาละเราลองมาคุยเรื่องนี้กันดูครับ


สรรพสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่ง (สังขาร) ล้วนมีวิญญาณ ตามมาทั้งสิ้น?


อย่างแรกที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ คำว่า "สังขาร" นี้ ไม่ได้หมายถึง แค่ "ร่างกาย" นะครับ คำว่าสังขารที่หมายถึงร่างกายนี้ จะใช้แค่ในธรรม หมวด "ขันธ์ห้า" เท่านั้นครับ สำหรับใน ปฏิจจสมุปบาท แล้ว จะใช้หมาย ถึง "ธรรมชาติทุกสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่ง" ทำไมมันจึงปรุงแต่งละ? อ้อ ก็เพราะมันเกิดจาก "อวิชชา" ไงละ คือ มันยังไม่ได้แจ้งด้วยปัญญามาแต่ ต้น ไม่ได้เริ่มจากปัญญาเป็นรากเหง้า มันก็เลยมีอวิชชาและสังขารตามมา เช่น "ก้อนหิน" นี่ก็เกิดจาก "อวิชชา" เป็นรากเหง้าครับ เพราะแรกเริ่มแต่ เดิมมา มันมาจาก "นิพพาน" ก่อน แล้วมี "เทพแห่งดิน" ซึ่งยังไม่หลุดพ้น ยังไม่แจ้ง และยังทำหน้าที่ต่อไป ทำหน้าที่ให้นิพพานมีสภาวะถูกห่อหุ้มไป ด้วยสมมุติจากพลังจิตของท่าน ก่อเกิดเป็น "ก้อนหิน" เอาละ นี่ละ สังขาร เกิดแล้ว ต่อมาก็มี "เทพแห่งนามและอักษร" มาตั้งชื่อเรียกมันว่า ก้อนหิน! นั่นและ "นามรูป" เกิดแล้ว ทีนี้ ทุกอย่างนั่นแหละ เป็นเช่นนี้ ยกเว้นก็เพียง นิพพาน หรือ "ธรรมในระดับวิมุติธรรม" ที่พ้นแล้วจาก "ตัวอักษร" ใดๆ ที่ จะกล่าว "นาม" หรือ "รูปลักษณ์" ใดๆ ที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะต่างๆ ซึ่ง "เทพอีกมากมายช่วยอยู่ในกระบวนการเกิดรูป-เห็นรูป-สัมผัสรูป" นี้ เช่น พระสุริยเทพ ก็ช่วยส่องแสงลงมา ไม่เช่นนั้น ตามเราก็มองไม่เห็นรูป นั้นครับ ดังนั้น อะไรที่มีนาม ก็ไม่พ้นมีเทพอักษร "ปรุงแต่งขึ้นมา" อะไรที่ มี "รูป" ก็ไม่พ้นมีเทพดูแลให้เกิดอีก รูปนามเหล่านี้จึงไม่ใช่วิมุติธรรมครับ


"นิพพานแบบมีรูปนาม" และ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากรูปนาม" ก็ต่างกัน


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ แม้แต่นิพพานเอง ก็มีทั้งนิพพานที่มีรูป นาม คือ นิพพานที่เราใช้อักษรเขียนและอ่านกันได้อยู่นี้ และนิพพานที่พ้น แล้วจาก "รูปนาม" ก็คือ "นิพพาน" ที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยอักษร (นาม) ใดๆ และไม่อาจสัมผัสได้ด้วยอายตนะใดๆ (รูป) มีเหมือนไม่มี, ไม่มี กลับ เหมือนมี แท้แล้วมีทุกที่ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นนิพพานในตัวอยู่แล้ว แต่ไม่มี ปรากฏใน "รูปนาม" ใดๆ ด้วยรูปนามที่ท่านเห็นในสรรพสิ่งนั้นล้วนมาจาก การปรุงแต่งด้วยการเห็นรูป สัมผัสรูปผ่านอายตนะต่างๆ และมีนามเรียกมี ตัวอักษรอธิบายนามต่างๆ กันไป ทั้งสิ้น สิ่งที่ท่านรับรู้และอธิบายได้ด้วยคำ ต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่ใช่นิพพาน แต่มันก็คือ "นิพพาน" อยู่ในตัวเองแล้ว ใน ระดับชั้นที่ท่านไม่อาจอธิบายด้วยนาม และไม่อาจสัมผัสได้ด้วยรูป นั่นเอง เอาละ ท่านพอจะ "ไม่เข้าใจ" บ้างมั้ย? ถ้าเข้าใจก็คงไม่ใช่แล้ว ฮ่าๆๆ ผม ยังไม่เข้าใจเลย แต่ความไม่เข้าใจนี้ ก็ไม่มีสาระอะไร มันจบแล้ว มันสิ้นมัน ไปเองแล้วในตัวมันเองแล้ว ก็เท่านั้นเอง เอาเป็นว่าผมจะอธิบายแค่นี้ละนะ


"นิพพานแบบมีวิญญาณ" และ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากวิญญาณ" ?


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ บางท่านก็ค้นพบ "นิพพานในแบบที่ มีวิญญาณ" แต่บางท่านอาจได้พบ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากวิญญาณ" ซึ่งต่างกัน นิพพานแบบแรก มีวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณเชิง อรูป- หรือมีรูป ก็ตาม ในระดับของวิญญาณชั้นหยาบย่อมมีรูป (ก่อรูปก-นาม) แต่ในระดับละเอียดไม่มีรูปแล้ว พ้น "นามรูป" แล้ว ทว่า ก็ยังมีวิญญาณ ที่ไร้รูป ไร้ลักษณ์ ได้อีก ในระดับนี้ ท่านจะไม่อาจตั้งชื่ออะไรเรียกได้ ด้วย ละเอียดกว่าชั้นนาม และก็ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยอายตนะใดๆ ด้วยละเอียด กว่ารูป ด้วยพ้นแล้วจาก "นามรูป" แต่ ก็ยังไม่พ้นจาก "วิญญาณ" อยู่ดี นั่นคือ "มันยังรู้" อยู่ ด้วย "วิญญาณธาตุ" มีลักษณะเป็นตัวรู้ เป็นผู้รู้แต่ สิ่งที่ละเอียดกว่าวิญญาณนั้น "พ้นแล้วจากการต้องรู้หรือต้องไม่รู้" นี่ละ เมื่อท่านยังรู้อยู่ "รู้ในนิพพานอยู่" ท่านก็จะได้ "นิพพานแบบมีวิญญาณ อยู่ดี" เอาละ แล้วนิพพานแบบพ้นแล้วจากการต้องรับรู้ละ เป็นอย่างไร? ก็เป็นนิพพานซึ่งไม่ต้องรู้ ก็ได้ มันได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ น่ะแหละ


"นิพพานแบบมีสังขาร" และ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากสังขาร" ?


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ มันก็ยังมีนิพพานแบบที่มีสังขาร และนิพพานแบบที่พ้นแล้วจากสังขาร อยู่ ในคนที่ได้นิพพานแบบที่มี สังขารอยู่ เขาก็จะละเอียดไปถึงขั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ พ้นจากวิญญาณไป แล้ว ทว่า มันก็ยังไม่ "ใส-บริสุทธิ์" จริง มันก็ยังมีการปรุงแต่งเนืองๆ เหมือนน้ำนิ่ง ไม่ต้องไปแกว่งหา "รู้" อีกแล้ว แต่น้ำมันก็ยังไม่ใส-ปิ๊ง น่ะแหละ เริ่มนิ่งแล้ว เริ่มตรงแล้ว เข้าทางแล้ว ไม่แกว่งไป "สู่รู้" แล้ว แต่รอเวลาใสปิ๊ง อยู่ เพราะ "การปรุงแต่ง" มันยังไม่จบ, มันยังไม่ดับ ไปได้ เอาละ พอการปรุงแต่งมันดับมันจบ มันก็จะเข้าสู่นิพพานแบบที่ พ้นแล้วจาก "สังขาร" เสียที ณ จุดนี้ นิพพานนอกจากไม่ต้องรู้แล้วก็ ยังใสบริสุทธิ์ "เหมือนน้ำใสปิ๊ง" อะไรแบบนั้น (อุปมานะครับ) ต่อไป ก็จะเข้าสู่ "นิพพานแบบพ้นแล้วจากสังขาร" ละ ทว่า ยังไม่ถึงที่สุดละ ยังมีนิพพานอีก 2 ตัว เป็นตัวหลอก คู่กัน ไม่บอกทางท่าน ก็ไม่ได้ แต่ พอบอกไปก็โดนหาว่าทำธรรมะปฏิรูปอีก แต่ถ้าไม่บอกละ ไม่ถึงได้แน่


สิ่งที่จำต้องมี ต้องอยู่ต่อไป ยังต้องใช้ ยังนิพพานไม่ได้ ก็มีวิญญาณ


ต่อไปที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ สิ่งใดก็แล้วแต่ ที่ยังจำเป็นต้องมี ต้องอยู่ต่อไป ต้องใช้กันในสามภพนี้ ในการเวียนว่ายตายเกิดของผู้ ที่ยังไม่นิพพานนี้ แม้แต่เม็ดทราย 1 เม็ด หรือน้ำหนึ่งหยด ก็ดีนะลูก นะ มันก็ยังต้องมี "อวิชชา" เข้ามาโอบอุ้มมันไว้ มี "สังขาร" เข้ามา ปรุงแต่งมันไว้ มี "วิญญาณ" เข้ามารับรู้ มี "นามรูป" เข้ามาให้เรียก ให้ได้สัมผัสกันได้ นะลูกนะ นี่เป็นธรรมดาของสรรพสิ่งที่ยังไม่ถึงวาระ นิพพาน ทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ว่าจะมีชีวิตจิตใจ หรือไม่มี มันก็มีนามก็ มีรูป กันทั้งนั้น มีการปรุงแต่งกันทั้งนั้น (ยกเว้นแต่วิมุติธรรม ไมมีการ ปรุงแต่ง ซึ่งก็คือ นิพพาน อย่างเดียว) แม้แต่ธาตุน้ำบริสุทธิ์แค่ไหน ก็ มีการปรุงแต่ง (มีสังขาร) มีวิญญาณมารับรู้ดูแล นะลูกนะ นั่นแหละที่ บอกว่าสมมุติทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีวิญญาณหมด ไม่เว้นแม้แต่เว็บ! ไม่เช่นนั้น มันก็จะไม่อาจดำรงอยู่ได้นะ มันจะสิ้นไป ดับไป สลายไปนะ ดังนั้น อะไรที่ยังไม่นิพพาน ก็มีอวิชชา คือ ความหลงมืดอยู่ทั้งหมดนะ ไม่เว้นแม้แต่พุทธะที่ยังไม่นิพพาน เทพภาคสว่างอะไร ความสว่างอะไร ก็เรียกว่า "อวิชชา" ทั้งหมดนะ พ้นแล้วจากมืดและก็ไม่ติดสว่าง นั้นละ ถึงจะพ้นจริง เป็น "นิพพานที่พ้นแล้วจากอวิชชาทั้งมืดและสว่างนะ"!


สิ่งที่ยังไม่นิพพาน ก็มีวิญญาณ "ภาคมืด-ภาคสว่าง" คุ้มครองดูแลไป?


สุดท้ายที่อยากเรียนให้ท่านทราบคือ สิ่งใดที่ยังไม่ถึงวาระดับสิ้นไปจาก สมมุติ ก็จะมี "เทพมาดูแล" นะ เป็นเทพหรือมาร ก็แล้วแต่ ภาคมืดหรือ ภาคสว่างก็แล้วแต่ แต่ละสิ่งมีผู้ดูแลแตกต่างกันไป แม้แต่เว็บไซต์นี่ก็ดี ในช่วงแรก ก็มีพลังมืดเข้ามาสร้างก่อน ต่อมาก็เริ่มมีพลังภาคสว่างเข้า มาทีหลัง เป็นธรรมดานะต้องมืดก่อน ไม่งั้นไม่ดัง ไม่งั้น ไม่มีใครเข้าเว็บ ก็ต้องยอมมืดก่อน ดำก่อน เป็นมารไปก่อน จากนั้น ก็เริ่มมีภาคสว่างเข้า มาทีหลัง เข้ามาช่วยชำระล้าง ช่วยคนที่มืด, คนที่ดำ ฯลฯ เอาละ ทีนี้ ก็ ค่อยๆ สว่างขึ้นได้ แต่ยังไม่ใช่นิพพานนะ สว่างไปก่อนเป็นเหตุใกล้ แต่ พอจะเข้าสู่นิพพาน แม้แต่เหตุใกล้อะไรก็ไม่มีผล ด้วยนิพพานไม่ใช่ผล ของเหตุใดๆ นะลูกนะ เอาละ ทีนี้ ของอะไรที่มันใกล้สิ้นสภาพ เช่น องค์ กร, สถาบัน, บริษัท ก็ดี ฯลฯ มันก็จะค่อยๆ หมดพลังวิญญาณ ไปก่อน สิ่งที่ดูแลมันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป จากที่เป็นเทพชั้นดี ก็จะเสื่อมลงไป มี แต่ผีอะไรไม่รู้เข้ามายึดครอง ไม่นานเท่าไร มันก็อยู่ไม่รอด ดับสิ้นไปนะ นี่แหละที่เรียกว่า "ไม่เที่ยง" ทุกอย่างนั่นแหละ เหมือนคนเหมือนกัน ก็ ตายได้ ดับสิ้นไปได้เหมือนกัน ทุกอย่างนะ ปกติ "ใครสร้าง คนนั้นดูแล ตายไปเป็นเทพดูแลสิ่งที่ตนเองสร้างนะ" เอาละ ถ้าอยากได้สวรรค์ที่ดี สูงไปกว่านี้ ก็อย่าไป "สร้างอะไรไว้บนโลกให้มันมาก" เพราะจะต้องมี หน้าที่ดูแล ยกเว้นว่ามีบารมี "มีองค์แทนตน" มาดูแลสืบต่อแทนไปได้ ก็จะพ้นภาระตรงนี้ไป และได้ขึ้นสวรรค์ชั้นที่สูงกว่าชั้นที่หนึ่งขึ้นไป นะ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกายนั้น จงโปรดท่านให้สว่างไสว สวัสดี


15 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment