ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

การไม่ปฏิบัติอะไรใหม่เลย ทำตัวปกติธรรมดา ธรรมะแบบธรรมชาติแท้ จึงปรากฏชัดจริง?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องง่ายๆ แต่อาจจะ ขัดแย้งในความคิดหรือความรู้สึกของ บางท่านบ้าง เพราะมันเป็นการปฏิบัติ ธรรมในแบบที่ไม่ต้องไปปฏิบัติอะไรเลย คือ ทำตัวเหมือนปกติ ธรรมดา อย่างที่มัน เป็น อย่างที่ธรรมชาติ วิบากกรรมมันจัด สรรให้เราเป็น เราทำ (ไม่ใช่ให้เป็นง่อย หรือเป็นพระอิฐพระปูนนะ) เอาละ มันก็ เลยเหมือนไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรใหม่เลย แต่นี่แหละ คือ "วิธีธรรมะ ธรรมชาติ" ที่จะ ทำให้ "ธรรมะ ธรรมชาติ" ปรากฏชัดใสแจ๋ว ไม่มีการปรุงแต่ง อย่างไร เรามาคุยกันครับ


การไปทำโน่นทำนี่ เพราะคิดว่าคือการปฏิบัติธรรม ก็คือ ความหลงอย่างหนึ่ง


อย่างแรกที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ หลายท่านมักคิดว่าการปฏิบัติธรรมอัน แท้จริง จะต้องไปทำนั่น ทำโน่น ทำนี่ เช่น ไปนั่งสมาธิ, ไปสวดมนต์, ไปทำ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ มากมาย วัดนั้นบ้าง สถานธรรมนี้บ้าง กับหลวงพ่อ องค์นั้นบ้าง ครูอาจารย์คนโน้นบ้าง ฯลฯ ผมขอสรุปเลยนะครับ สิ่งทีทำนั้น มันไม่ใช่ "มรรคตามธรรมชาติแห่งไปสู่พระนิพพาน" หรอก แต่ก็ไม่ได้ผิด อะไร มันเป็นแค่ "วิบากตามธรรมชาติ ที่ไม่เกี่ยวกับการจะได้นิพพานหรือ ไม่" นะครับ มันเป็นแค่บุญกรรมทำแต่งร่วมกันมา ให้ต้องไปทำแบบนั้นกัน ก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวและไม่ใช่เหตุของการนิพพานครับ แต่มันอาจเป็นมรรคที่ ทำให้ "บรรลุธรรม" ได้ คือ บรรลุธรรมได้ด้วยเหตุพวกนี้ แต่ไม่เกี่ยวกับว่า จะได้นิพพานหรือไม่นะครับ (บางท่านอาจบรรลุธรรมแต่ยังไม่นิพพานก็มี) การไปทำนั่น ทำโน่น ทำนี่ มันก็เริ่มต้นจาก "อวิชชา" นั่นแหละครับ คือไม่ รู้ว่านิพพานคืออะไร "เริ่มต้นจากไม่รู้ก่อน" แล้วก็เลยไปคิดทำนั่นนี่กันมาก มาย มันก็เลยกลายเป็น "สังขารธรรม" ทั้งสิ้นครับ เกิดจากอวิชชาก่อน ก็ ตามมาด้วย "สังขาร" เตลิดเปิดเปิงไปตามฏิจจสมุปบาท แต่ก็ไม่ผิดอะไร นะครับ มันเป็นไปตาม "วิบากกรรมของแต่ละท่าน" เท่านั้นเอง เช่น บาง ท่านก็ถูกวิบากกรรมนำพาให้ไปปฏิบัติธรรมอะไรมากมาย แต่บางท่านก็ อาจถูกหลอกให้ไป "ฆ่าคนเหมือนองคุลีมาล" ไงครับ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ ไม่ต่างกันครับ ไม่ว่าจะถูกวิบากกรรมแบบองคุลีมาลหรือแบบฤษีที่ได้บวช สุดท้ายแล้ว "ไม่ใช่เหตุของนิพพาน" ครับ นิพพานไม่ใช่ผล ไม่ได้เกิดได้ ด้วยเหตุอะไรสร้างมัน นิพพานพ้นแล้วจากการเกิด-ดับ พ้นแล้วจากเหตุ และผลทั้งปวง พ้นแล้วจากวงจรปฏิจจสมุปบาทครับ มันจึงไม่เกี่ยว ไม่มี สาเหตุว่า "ต้องไปปฏิบัติธรรม" นะ นั่งสมาธิก่อนนะ หรืออะไรเลยนะครับ


แม้ได้ "ธรรมะจากไตรปิฎกทั้งมวล" แล้วนำไปปฏิบัติ ก็หาใช่มรรคไม่?


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ หลายท่านมักคิดว่าเอาธรรมะจากตำรา แล้วมาทำความเข้าใจ แล้วจึงปฏิบัติ ก็ดี, ได้รับการสอนจากครูอาจารย์ แล้วนำไปปฏิบัติ ก็ดี ฯลฯ นั่นคือ "มรรค" แห่งการเข้าสู่นิพพาน ซึ่งก็ยัง ไม่ใช่นะครับ สิ่งนี้อาจมาจาก "การปรุงแต่ง" ด้วยอวิชชา คือ จุดเริ่มต้น ก็ไม่ได้มีปัญญามาก่อน (เหมือนจุดไฟต่อจากสิ่งที่ไม่มีไฟ) แล้วก็นำเอา "ธรรมะของผู้อื่น" จากตำรา จากไตรปิฎก อะไรก็ช่าง ไปปฏิบัติกันครับ ซึ่งไม่ใช่ "ปัญญาที่เกิดจากตัวเอง" คือ จุดเริ่มต้นก็ไม่ได้มีปัญญาสว่าง ไสว ยังไม่แจ้ง แต่เอาธรรมะของเขามาปฏิบัติกัน ก็เลยเริ่มต้นด้วยความ มืดหลง (อวิชชา) ไงครับ มันก็เลยเกิด "สังขาร" และอะไรต่อมิอะไรอีก ตามมามากมาย สุดท้ายก็เกิด "ชาติสืบภพ" ต่อไปอีกมากมายเพราะไป ปฏิบัติเอาเอง นี่แหละครับ เช่น ไปฝึกนั่งสมาธิกัน คิดว่ามันคือมรรคแน่ละ ทว่า ผลจากการนั่งสมาธินี่แหละที่สืบชาติต่อภพ ส่งคนไปพรหมโลกครับ มันไม่ใช่ "ธรรมะ ธรรมชาติ" มันสร้างขึ้น มันปรุงขึ้น มันทำขึ้น เพื่อให้ได้ ให้มี ให้เป็น "ไปตามตำราหรือตามคำครูสอน" มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดเองตาม ธรรมะ ธรรมชาติ หรอกครับ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก็เช่น ทุกสิ่งที่ เกิดจากวิบากกรรมครับ มันพัดพาให้เราต้องทำ ต้องเป็นไป แต่เราก็ไม่ได้ เจตนาอยากจะเป็น หรืออยากจะทำนะครับ มันคือวิบากกรรมจริงๆ จนเมื่อ ถึงวาระพร้อมแล้ว "พระพุทธเจ้า" ก็จะมาโปรดครับ นั่นแหละ เราถึงจะได้ "ธรรมะจากต้นธาตุต้นธรรม" จริงๆ มันต้องเราได้รับวิบากกรรมมากพอถึง จุดหนึ่งก่อน พอจะหมดแล้วท่านก็จะมาโปรดเราได้ "แม้ไร้รูปลักษณ์ครับ" ไม่ใช่เกิดจาก "เจตนา" ของเราจะไปเอาธรรมของใคร หรือใครเจตนาจะ เอาธรรมมาให้เรานะครับ ของที่เกิดจากเจตนานั้น ไม่ได้มาจากวิบากครับ


"ธรรมะจากไตรปิฎกทั้งมวล" ไม่ใช่ธรรมของเรา เอาไปปฏิบัติมันก็ผิด!


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ เพราะ "ธรรมะในพระไตรปิฎก" นั้น ไม่ ใช่ของเราครับ เมื่อเราเอาไปปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่ ไม่เหมือนของต้นธาตุต้น ธรรม ต้นทางเขา เราไปเอามา แล้วก็อุปโลกกันเองว่า คนนั้นใช่ คนนี้ใช่ คนนั้นเหมือน คนนี้เหมือน เป็นของจริง ขอโทษนะครับไม่มีใครจริงหรอก ครับ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไตรปิฎกจากการสังคายนา ครั้งแรกโดยพระมหากัสสปะก็เหมือนกัน ไม่ใช่ "ของต้นธาตุต้นธรรม" ก็ มีบิดเบือนได้ทั้งนั้นแหละครับ แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เลวร้ายอะไร มันก็ คือ "วิบากกรรมร่วมกัน" ไงละครับ แค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่มรรควิธีที่ว่าจะไป เรียนได้นักธรรม, ได้เปรียญ, ได้เกรียน อะไรมา ไม่ใช่หรอกครับ มันก็แค่ "วิบากกรรม" ดีบ้าง ชั่วบ้าง เท่านั้นเอง ของจริงจะได้ก็ต่อสายตรงของที่ แท้จริงครับ ต่อของจริงก็ได้ของจริง เอ้า ยกตัวอย่างความจริงง่ายๆ และ เกิดขึ้นแล้วท่านหนึ่ง เมื่อก่อนท่านก็ไม่สนใจธรรมะ อะไรเลย เอาแต่หลง โลกเหมือนคนปกติ ทำงานหวังเป็นเศรษฐีเท่านั้นเอง ต่อมา หลวงพ่อรูป 1 จะไปโปรด ท่านก็ไม่สนใจ ไม่ยอมรับ ถือตัวอยู่ แล้ววันหนึ่งท่านพร้อมเลย "ท้าให้พระพุทธเจ้ามาสอน" แล้ววันนั้นท่านก็ได้รับธรรมเลย และได้เลย ครับ นี่ละ ที่เรียกว่า "ต่อสายตรง" ได้ธรรมจริง จากพระพุทธเจ้าจริง ไม่ ใช่ได้จากตำรา หรือผ่านใครมานะครับ เอาละ ก็อย่าคิดว่าปาฏิหาริย์ของ พระพุทธเจ้าไม่มีจริงละครับ แม้ว่าท่านไม่มีขันธ์ห้าแล้วก็อย่าคิดว่าท่านจะ โปรดสัตว์ไม่ได้ละ นั่นเป็น ความคิดเอาเอง ไปเองว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ครับ


"ธรรมะตามธรรมชาติ" ตามวิบากกรรม ต่อให้เป็นวิชามาร ก็ฝึกได้ครับ


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ "ธรรมชาติแห่งวิบากกรรมของสัตว์" นี้ ไม่เหมือนกันครับ สัตว์โลกมีกรรมต่างกันไป จะให้เหมือนกันหมด เป็นไป ไม่ได้ ดังนั้น บางท่านอาจได้ไปฝึกปฏิบัติตามตำรา, ตามไตรปิฎก, ตาม ครูบาอาจารย์ แต่บางท่านก็อาจได้วิชามาร, วิชาอสูร, ไสยเวทย์มนต์ดำ ก็ได้ครับ มันมาจาก "วิบากกรรม" เท่านั้นเอง ทว่า มันไม่ต่างกันหรอกนะ ว่าใครจะได้นิพพานก่อนใคร? นิพพานไม่มีเหตุเกิด ไม่มีภพให้ไป จึงไม่มี ว่า "ใกล้หรือไกล" กว่ากันนะครับ ไม่ว่าคนที่มีวิบากกรรมฝึกวิชามาร ฝึก วิชาอสูร, ไสยเวทย์, พลังมนต์ดำ, พลังจิตด้านลบ ฯลฯ มันก็แค่วิบากเท่า นั้นเอง ไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่มรรค ที่ใครจะได้นิพพานก่อนใครครับ ใครมีวิบาก กรรมแบบไหน ก็ต้องรับไปอย่างนั้น เท่านั้นเอง ใครมีวิบากกรรมต้องได้รับ วิชามาร ก็ฝึกไป เป็นมารไปก่อน หมดกรรมแล้ว พร้อมบรรลุธรรมแล้วก็จะ ได้รับการโปรดจาก "ท่านที่เหมาะสมด้วยบุญกรรมที่ร่วมกัน" ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าผมจะเผยแพร่ "วิชามาร" ก็ไม่แปลกอะไร และไม่ใช่เหตุที่จะทำ ให้ใครได้นิพพานเร็วขึ้น หรือช้าลงแต่อย่างใดเลยครับ มันก็เป็นไปตามแต่ วิบากกรรม ดีก็ช่าง ชั่วก็ช่าง ธรรมชาติก็จัดสรรไปครับ ไม่ใช่เหตุนิพพาน


"ธรรมะอันเป็นสังขารธรรม" จากวิบาก จะหมดสิ้นไปก่อนจึงได้ของจริง


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ ต่อให้ท่านได้ครูอาจารย์ที่ดี คิดว่าอรหันต์ แท้แน่นอน ขนาดไหนก็ตาม มันก็ไม่ใช่เหตุแห่งนิพพานครับ สิ่งที่ท่านได้ รับมานั้น จะเป็นได้แค่ "สังขารธรรม" เป็นธรรมที่เกิดจากอวิชชา และได้ รับการปรุงแต่งเกิดสังขาร แล้วทั้งสิ้น ไม่ใช่ "อสังขารธรรม" ไม่ใช่ธรรม ในระดับเดียวกับนิพพานครับ มันก็แค่ "วิบากกรรม" จะดีก็ช่าง, จะชั่ว ก็ ช่าง มันก็แค่วิบากกรรม เท่านั้นเองครับ จนกว่าท่านจะเสวยวิบากกรรมนี้ จนหมดแล้ว เมื่อนั้นแหละ "ท่านจึงพร้อมรับธรรมแท้" ได้ ดังนั้น ท่านจึง ต้อง "รับมันเข้าไป เสวยมันเข้าไป" ให้มันหมดๆ ไปเสียก่อนครับถ้าท่าน ได้วิชาอะไรมาก็ช่าง ตามวิบากกรรมของท่าน ก็ทำๆ ไปให้มันหมดๆ ไป ก็จะถึงเวลาพร้อมรับธรรมแท้จากพระพุทธเจ้าได้ครับ แต่ถ้าท่านเห็นว่านี่ มันเป็นแค่วิบาก ไม่ใช่ธรรมจริง ท่านไม่ยอมรับวิบากกรรมๆ ของท่านก็จะ ไม่หมดสิ้นไปได้สักทีครับ ดังนั้น อะไรก็ช่าง ถ้าเป็นวิบากกรรมแล้ว ก็รับๆ ไปให้มันหมดๆ ไปครับ "ของที่ท่านได้ตอนแรก" มันไม่ใช่ของแท้หรอกก็ รับไปซะ ไม่ต้องไปยึดอะไรมัน จนมันหมดแล้วนั่นแหละ ถึงจะได้ของจริง จะเป็นวิชารมาร, วิชาอสูร, วิชาดีงาม หรือวิชาบ้าบอคอแตก อะไรก็ช่าง เถอะครับ "ไม่แตกต่างกันเลย" ไม่ต้องมาว่าใครถูก ใครผิด ใครดีกว่าใคร หรอกครับ "เหมือนกัน" คือ "ยังไม่พ้นอำนาจแห่งวิบากกรรม" ด้วยกันทั้ง นั้น ไม่ว่าลัทธิ, นิกายอะไรก็ช่าง ไม่ต่างกันครับ เหมือนกัน จะผิด หรือจะ ถูก ก็เหมือนกันที่ "วิบากกรรม" เท่านั้นเองครับ ไม่ใช่ของจริงสักอย่างแต่ ก็ต้อง "ยอมรับไปครับ" จนกว่าจะหมดกรรม จึงจะได้ "ของจริง" นะครับ


"ไม่ต้องมาว่าใครถูกใครผิดเลย" ล้วนแต่ได้รับวิบากกรรมเช่นกันนะหละ


ต่อไปที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิ, นิกาย, วัด, สถานธรรม อะไรที่ท่านคิดว่า "ผิดหรือถูก" ก็ดี, "แท้หรือเทียม" ก็ดี ฯลฯ ล้วนไม่ต่าง กันหรอกครับ มันเป็นไปตาม "วิบากกรรม" เท่านั้นเอง ของจริง ไม่ผ่านมา ทางลัทธิ, นิกาย ฯลฯ หรืออะไรใดๆ ครับ "ต่อตรงมาเลย" จากท่านที่ใช่ ที่ เป็น "ตัวจริง ของจริง" ซึ่งจะปรากฏมาในภายหลัง หลังจากที่เราได้เสวย วิบากกรรมหมดแล้วครับ ดังนั้น ไม่ต้องมาเถียงกันเลยว่า วัดใครดีกว่าใคร หลวงปู่ครูบาของใคร ตรงทางกว่าของใคร "ทุกอย่างเป็นไปตามวิบากฯ" ทั้งสิ้นครับ เมื่อพ้นแล้วจาก "วิบากกรรมบังตา" นั่นแหละ ของจริงจึงมาให้ เห็น มาให้ต่อสายธรรมกันได้จริงครับ ดังนั้น "ก็เสวยวิบากกรรม ก็หลงไป ก่อน" มันเป็นกรรมที่ต้องเสวยให้หมดก่อนครับ จึงจะรับของจริงได้ และมี "กรรม" เป็นเหตุเช่นนี้ มันจึงมี "ลัทธิ-นิกาย" เกิดขึ้นมาได้ครับ ไม่ว่าจะมี ความถูกต้องหรือความผิดเพี้ยนเท่าใด มันก็มาจาก "วิบากกรรมของเราที่ ร่วมสร้างกันมาเองแหละครับ" ดังนั้น จึงไม่ใช่ของที่จะไปห้าม หรือไปทำ ให้ใคร พ้นกรรมนี้ได้อย่างไร ต้องปล่อยไปก่อนครับ รอจนกว่าเขาจะเริ่มมี สติ (เพราะวิบากกรรมบังตาเริ่มหมดแล้ว) นั่นแหละ "สิ่งใหม่" จึงเข้าไป ในชีวิตของเขาได้ จะเป็นสิ่งใหม่ที่ดี ถูกต้อง หรือผิดเพี้ยน ก็แล้วแต่ว่าจะ มีกรรมใหม่เข้ามาบังตาต่ออีก หรือหมดแล้ว เท่านั้นเองครับ ไม่อาจยึดได้


สุดท้าย ทุกคนก็ต้องเป็นไปตาม "วิบากกรรม" ของตน ไม่ว่าจะอย่างไร?


สุดท้ายที่ผมอยากแจ้งแก่ท่านคือ สุดท้ายแล้วเราก็หนีกรรมไม่พ้นครับ ก็ ต้องเป็นไปตามวิบากกรรมของเรา จะเป็นกรรมที่ต้องกลายเป็นมาร ก็ช่าง อสูรร้าย ก็ช่าง, ซาตาน ก็ช่าง ฯลฯ มันก็แค่ "วิบากกรรม ที่แตกต่างกัน" ก็เท่านั้นเองครับ ดังนั้น สุดท้ายแล้วแต่ละท่านก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ อย่างที่เขาเป็น (ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตรงทางก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไปจากวิบากกรรมแต่อย่างใด) ใครจะกลายเป็น "เจ้าลัทธิมาร, เจ้าลัทธิ ซาตาน" มันก็เป็นไปตามธรรมะ ธรรมชาติ วิบากกรรมจัดสรร เองนั่นหละ ครับ มันจะผิดตรงไหน ในเมื่อเขามีกรรมเช่นนั้น คนอื่นก็มีเหมือนกัน เป็น สารพัดจะเป็นกันทั้งนั้น เลวร้าย และแย่กว่านี้ก็มีออกถมไปครับ ไร้สาระ! นั่นแหละ "มรรคธรรมชาติ" ซึ่งมันจะค่อยๆ เข้าสู่ "มรรคมีองค์แปด" ไป เอง "ตามวาระของมัน" ถ้ายังไม่ถึงวาระของมัน มันก็ไม่ใช่ ไม่มี ไม่เป็น แต่ถ้ามันถึงวาระของมันเมื่อไร มันก็เข้าทาง มันใช่ มันมี มันเป็น ของมัน ไปเอง ไปตามธรรมะ ธรรมชาติ จัดสรรเช่นนั้นเอง ไม่แตกต่างกันเลยครับ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย จงช่วยโปรดส่องนำทางท่าน สวัสดี


17 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment