ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

พลังงานที่ปลดปล่อยจากจุดใดในโลก เช่น จุดที่แผ่นดินไหวเกี่ยวกับพลังจิตยังไง?

สวัสดีครับ วันนี้ มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ เกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติที่จะมา จากจุดใดในโลกนี้ เกี่ยวข้องกับ "พลังจิต" ของมนุษย์แต่ละคน อย่างไร? เอาละ มันเกี่ยวโยงกัน นะครับ ชักตื่นเต้นแล้วสิ เพราะ ถ้าเรารู้ เราทำนายได้ละก็ มันก็ จะทำอะไรได้อีกมากเลยใช่มั้ยละ อย่าช้าเลย เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ


พลังงานเก่าของผู้บำเพ็ญบารมี เชื่อมโยงอยู่ในบางจุดของโลกใบนี้?


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ ผู้มีพลังจิตมากๆ คือ ผู้บำเพ็ญบารมีมา มาก (นอกจากผู้ที่ฝึกฤทธิ์โดยไม่สนใจจะบำเพ็ญบารมีแล้วผู้มีบารมี ก็เป็นผู้ที่มีพลังจิตมาก อีกประเภทหนึ่งครับ) โดย "พลังงานเก่า" จะ ถูกเก็บไว้ใน "ที่ใดที่หนึ่งในโลกนี้" แล้วจึงรอเวลาที่จะได้รับการปลด ปล่อยออกมา เมื่อผู้มีบารมีท่านนั้น เวียนว่ายตายเกิดมาอีกชาติ ท่าน ก็จะบำเพ็ญบารมีจนสะเทือนถึง "พลังงานเก่า" ของตน ซึ่งเคยได้รับ การ "ผนึกไว้ในบางจุดของโลกนั้น" ในที่สุด พลังงานนั้นจะถูกปลด ปล่อยออกมา เช่น พลังงานที่เป็นรูปธรรมชีวิตต่างๆ เช่น ภาคแบ่งส่วน พลังงานที่เป็นมังกร ซึ่งแบ่งออกมาใหม่ๆ แล้วยังควบคุมได้ยากจนต้อง ผนึกไว้ในภูเขาบางแห่งในโลก เมื่อผู้บำเพ็ญบารมีที่แบ่งภาคส่วนพลัง งานนั้นมาเกิดใหม่ แล้วบำเพ็ญบารมีมากพอ พลังงานส่วนที่ถูกผนึก ก็ จะได้รับการปลดปล่อยออกมา แล้วกลับมาสู่ร่างสังขารของเขา กลาย เป็น "พลังงาน" ส่วนหนึ่งที่เขาจะได้รับเพิ่มไป เพื่อการพัฒนาให้สูงขึ้น


พลังงานเก่าที่ถูกผลึกไว้ เมื่อปลดปล่อยแล้วอาจทำให้แผ่นดินไหวได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เมื่อพลังงานเหล่านี้ได้รับการ "ปลดปล่อย" ก็จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น ถ้าพลังงานถูกผนึกอยู่ที่ ใต้ดิน ก็อาจส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ถ้าพลังงานถูกผนึกอยู่ใน น้ำ ก็อาจทำให้เกิดคลื่นซึนามิได้ ดังนั้น หลังการปลดปล่อย จึงทำให้ เกิด "ภัยพิบัติ" ในรูปแบบที่แตกต่างกันได้ ซึ่งมูลเหตุที่พลังงานเหล่า นี้ได้รับการปลดปล่อยมักมาจาก "การที่มีผู้มีบุญบารมี" มากพอที่จะ ชำระล้างพลังงานเก่าเหล่านี้ได้ มาเกิดพร้อมแล้ว นั่นเอง เช่น กรณีที่ พระถังซัมจั๋งได้ปลดปล่อย "ซุนหงอคง" ออกมาก็เกิดแผ่นดินไหวได้ เช่นกัน พอนึกภาพออกแล้วใช่ไหมครับ (แม้จะดูเป็นนิยายไปหน่อยแต่ คิดว่าทำให้เข้าใจและเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นนะครับ) ทีนี้ เมื่อเกิดแผ่น ดินไหวหรือภัยพิบัติใดขึ้นก็ดี อย่าเพิ่งตกใจนะครับ หลายครั้ง มีความ สูญเสียไม่มากเกินไป เช่น เสียหายเฉพาะทรัพย์สิน แต่คนตายไม่มาก นะครับ เอาละ เราควรหันมามองแง่ดีบ้าง นั่นคือ มันเป็นโอกาสดีที่จะมี ผู้มีบุญบารมี มาปลดปล่อยพลังงานที่ชำระล้างได้ยากแล้ว และสิ่งนี้ ก็ จะนำมาซึ่งสิ่งดีงามในอนาดคตต่อไป เหมือนซุนหงอคง ที่ใช้พลังเพื่อ ช่วยเหลือพระถังซัมจั๋ง อัญเชิญพระไตรปิฎกจากอินเดียได้สำเร็จไงละ


เมื่อใช้หลักการเช่นนี้ เราจึงทำนายแผ่นดินไหวได้ ด้วยการสังเกตุบุคคล?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ หากเราใช้หลักการนี้ และหลักการนี้ได้รับการ พิสูจน์ว่าใช้ได้จริง เราจึงจะทำนายภัยพิบัติได้ครับ เช่น ทำนายแผ่นดิน ไหวจากการสังเกตุการบำเพ็ญบารมีของผู้มีบารมี ถ้าเรามีนักพลังจิตที่ มีญาณหยั่งรู้อดีตก็หยั่งดูอดีตของคนที่บำเพ็ญบารมีมากๆ เช่น คนที่ถูก เสนอข่าวดังๆ ทางทีวี เราตรวจเช็คดูอดีตชาติแล้วถ้าพบว่าเขาเคยสร้าง บารมีไว้ที่ใดมากๆ บริเวณนั้นแหละครับ จะเกิดภัยพิบัติได้ เช่น ที่ผ่านมา ไม่นานนี้ เกิดแผ่นดินไหวที่ "มลฑลยูนนาน" ประเทศจีน ในช่วงนั้นผมก็ ได้รับข่าวทางทีวีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับบุคคลที่บำเพ็ญบารมี และสัมผัสได้ว่า เขาเคยเกิดเป็นผู้ปกครองแค้วนยูนนาน (แต่เป็นคนไทย-อิสลามนะครับ) ผ่านมาไม่นานก็เกิดแผ่นดินไหว (แต่ผมไม่ใช่นักทำนาย และไม่ต้องการ ทำนายภัยพิบัติด้วยนะครับ) นั่นคือผลกระทบจากความเชื่อมโยงกันของ พลังงานเก่าที่ถูกผนึกไว้ของผู้มีบุญบารมีผู้นั้น เอาละ มีข้อสังเกตุนิดหนึ่ง ครับ ผู้มีบุญบารมีท่านนั้น ต้องบำเพ็ญบารมียิ่งยวด เสียสละอะไรมาก จน ถึงจุดสะเทือนใจอย่างรุนแรงด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญบารมีแล้วได้ดีก็ ไม่สะเทือนอะไรนะครับเช่น บำเพ็ญบารมีส่งเสริมลูกจนลูกเสียชีวิตเป็นต้น


ภาคมืดจะขัดขวางกระบวนการปลดปล่อย ด้วยการช่วยเหลือคนนั้นก่อน?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในกระบวนการนี้ จะมีการคานดุลยภาพอำนาจ ด้วย "ภาคมืด" ซึ่งภาคมืดได้ครอบงำโลกนี้ ทั้งยังสร้างถาวรวัตถุเอาไว้ มากมาย ทำให้พวกเขาไม่ต้องการเห็น "อนิจจังของโลก" เลยแม้แต่นิด ดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็น "ฮีโร่ของมนุษย์โลกที่หลงโลก" เพราะพวก เขานี่เองที่ช่วยขัดขวางกระบวนการนี้ ทำให้การปลดปล่อยไม่สำเร็จและ ทำให้โลกสงบนิ่งอยู่ต่อไป ไม่เกิดภัยพิบัติ เอาละมองในทางโลก ภาคมืด ทำดีแน่นอน แต่มองในทางธรรมแล้ว มันขัดแย้งกับธรรมชาติ กับกฏแห่ง กรรมนะครับ ทว่า เราคนกลาง ก็อย่าเพิ่งใส่ทัศนคติทางใดมาก แต่เรานั้น ก็ควรเคารพกฏแห่งกรรมด้วยนะครับ (ในขณะที่ก็ต้องมีจิตเมตตาต่อภาค มืดด้วย) ทีนี้ ภาคมืดเขาจะทำอย่างไรครับ? คำตอบคือ เขาก็จะเข้ามาหา ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยเหลือให้ไม่ต้องถึง "จุดสะเทือนอารมณ์" นั้นๆ ซึ่ง เป็น "จุดสำเร็จแห่งการบำเพ็ญบารมีด้วยนะครับ" กล่าวคือ เขาทำให้การ บำเพ็ญบารมี "ไปไม่ถึงที่สุด" นั่นเอง ขวางไว้ด้วยการ "ทำความดี" ตอบ เช่น คนที่บำเพ็ญบารมีเหนื่อยยากมากๆ แทบหมดแรงแล้ว เกือบบารมีเต็ม แล้ว ทว่า เขามาขวางไว้ก่อนที่จะเต็มและจะส่งผลสะเทือนโลก ด้วยการมี บริวารมาช่วย ก็ดี, เอาเงินมาช่วย ก็ดี ฯลฯ นั่นแหละ เขามาแบบนี้เอง ทว่า เขาไม่ได้ให้ฟรีๆ นะครับ แต่มาพร้อมเงื่อนไข แลกเปลี่ยน ซึ่งมองทางโลก แล้วคุณได้อะไรมากมาย ทว่า ถ้าคุณเห็นทางธรรม จะรู้ว่าคุณขาดทุนครับ


คนที่ภาคมืดช่วยจะถูกปั้นให้กลายเป็น "ฮีโร่" แต่สอบตกในทางธรรม


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ คนที่ยอมรับการช่วยเหลือจากภาคมืด จะไป ไม่ถึงดวงดาว จะเข้าทางภาคมืด จะถูกภาคมืดปั้นให้กลายเป็น "ฮีโร่" ในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง ในวงการใด วงการหนึ่ง ได้ทั้งหมดครับ แต่ นี่หมายความว่า "คุณสอบตก ในการบำเพ็ญบารมีครั้งนี้แล้ว" นั่นเอง ผมอยากจะพุดให้คุณเห็นภาพชัดๆ ง่ายๆ เปรียบเทียบกันคือ ระหว่าง คนที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาคมืด บำเพ็ญบารมีถึงที่สุด สะเทือน ใจเพราะมันยิ่งยวดจริงๆ จนถึงขั้นปลดปล่อยพลังงานเก่าที่อยู่ใต้โลก ได้ กับคนที่ยอมรับการช่วยเหลือจากภาคมืด และไปไม่ถึงจุดนั้น จะมี วิถีชีวิตไปคนละทางกันเลยนะครับคือ คนที่ถูกภาคมืดปั้นจะกลายเป็น ฮีโร่หรือคนดังที่เป็นที่รู้จักในระดับสาธารณชนแล้วถูกภาคมืดวางแผน ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการเช่น จากนักร้อง มาเป็นดารา จากดารามา เป็นพิธีกร นักข่าว จากนั้นมาเป็น ส.ส. เป็นต้น แต่พอตายลงก็ไปสู่ภพ มืด มิติมืดครับ ไม่มีรายชื่อที่จะได้คิวเกิดในสามภพนี้เลย ต่างจากท่าน ที่บำเพ็ญบารมีถึงที่สุดได้ บางท่านก็กลายเป็น "มาร" ครับ แต่นับว่ามี ผลสำเร็จครับ เหมือนพญามาราธิราชไง เป็นพญามาร แต่ก็บำเพ็ญได้ สำเร็จ พอเข้าใจมั้ย เช่น บางคนถึงที่สุดแห่งการบำเพ็ญบารมี ต้องสูญ เสียลูกชายที่รักไป เขาก็มีความโกรธแค้นเกิดขึ้น บารมีก็สำเร็จนะครับ แต่จะได้ไปสวรรค์ชั้นมาร ซึ่งมันยังดีกว่าลงสู่ภพมืด ที่ไม่มีคิวได้เกิดใน สามภพเลยใช่มั้ยครับ ทีนี้ ท่านพอมองเห็นภาพอนาคตสองแบบนี้ไหม?


คนที่สอบผ่านทางธรรม แม้ว่าอาจจะถูกมองว่าล้มเหลวทางโลก แต่...


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ คนที่บำเพ็ญบารมีสำเร็จ หลายท่าน ถูกมายา แห่งโลก ทำให้สังคมมองบิดเบือนผิดเพี้ยนไปด้วย "อวิชชา" ด้วยคนใน สังคมส่วนใหญ่ยังมิได้บรรลุธรรม พวกเขาจึงมองผู้บำเพ็ญบารมีสำเร็จ ผิดไปว่าเป็นผู้ล้มเหลวทางโลก เช่น ถ้ามีพระราชาคนหนึ่งไปตัดหัวเพื่อ ถวายเป็นพุทธบูชา ในยุคนี้ คนก็คงมองกันว่า "ล้มเหลว สิ้นคิด คิดสั้น และคงทุกข์ใจจนไม่มีทางออกแล้ว" เป็นต้น เห็นภาพออกมั้ยครับ ชัด นะครับว่า "มุมมองของคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้บรรลุธรรมนั้น" ผิดไปยัง ไง เอาละ ทีนี้ ก็มาดูวิถีชีวิตของผู้ที่ "ล้มเหลวในทางโลกแต่สำเร็จทาง ธรรม" กันบ้าง เขาจะมีชีวิตอย่างไร? คำตอบก็คือ ชีวิตของเขาจะหมด ความวุ่นวายเก่าก่อนที่เขาเคยมี ไป แล้วจะมีชีวิตใหม่ที่เรียบง่ายขึ้นครับ แต่อย่างไรเสีย "เขาก็อยู่ได้ในโลกนี้" และไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดต้องไปมี ชีวิตเหมือนสัตว์ในอบายภูมิสี่นะครับ เช่น ไม่ต้องไปเป็นคนเร่ร่อน เหมือน สัมภเวสี ไม่ต้องไปขอทานเหมือนเปรต ก็มีชีวิตพออยู่ พอกิน พอมี พอได้ ครับ เพียงแต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรแบบชาวโลกเขาอยากเป็นกัน ดังนั้น เมื่อมองจากสายตาของสังคมส่วนใหญ่ เขาก็คือ กลุ่มคนที่ถูกมอง ข้าม นั่นเอง เพราะไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนกับคนในสังคมส่วนใหญ่นี้


พระอรหันต์ที่ผ่านจริง ไร้ชื่อเสียง แต่อรหันต์เก๊ กลับถูกปั้นให้โด่งดัง?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ วิถีทางที่แตกต่างทั้งสองทางนี้ คือ ทาง ที่บำเพ็ญบารมีจนถึงที่สุดโดยไม่ร้องขอให้ภาคมืดช่วย และวิถีทาง ที่ยอมรับการช่วยเหลือจากภาคมืดนั้น ต่างกันมาก และมีได้ในคนที่ อยู่ในทุกวงการครับ แม้แต่วงการศาสนาทุกศาสนา เช่น ในหมู่พระ ที่อยากเป็นพระอรหันต์ เขาไม่ได้มีทุกข์ทางโลกแล้วจึงไปบวช ก็มี บางท่านบวชพระตั้งแต่เด็ก ถามว่า "ความทุกข์ทางโลกของท่านที่ ท่านผ่านมาด้วยประสบการณ์ตัวเองมีอะไร?" ขอโทษนะครับ ความ ทุกข์ ก็ดี, ประสบการณ์ของพระบางรูป ก็ดี นั้นๆ ก็ยังเทียบไม่ได้กับ "คนเร่ร่อนที่อยู่ข้างถนน" เลย คุณเข้าใจคำว่า "วัชรยาน เขาดูคน ที่ประสบการณ์ตรงจากชีวิตจริงหรือเปล่า?" กล่าวคือ คนที่จะบรรลุ ธรรมจริงๆ มันก็ผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ นี่มาก่อนนั่นแหละ ที่ บวชอยู่สบายในผ้าเหลืองมาแต่เด็ก จะไปเห็น "ทุกข์อันแท้จริง" ใน โลกนี้ได้จากที่ไหน? แล้วมันจะได้อริสัจสี่กัน ณ ที่ใด? ในกุฎิหรือใน อะไรของมัน ไม่มีหรอก ถ้าสบายอยู่ในผ้าเหลืองแล้ว จะหาความทุกข์ ในอริยสัจสี่แบบคนที่ผ่านประสบการณ์ทางโลกมาได้อย่างไร? เอาละ มันไม่จบแค่นี้ ภาคมืด ก็ครอบงำให้มันหลงตัวเอง เพราะมันเรียนมาก เรียนปริยัติมาเยอะ มันเลยคิดว่า กูอรหันต์แล้ว! นั่นแหละ "อรหันต์ปั้น ได้" ละ ปั้นโดยภาคมืดเขา นั่นเอง ไม่ใช่ของจริง เป็นของเก๊ มีอยู่มาก มายในประเทศนี้ เอาละ ฟังไว้ให้ดีนะ พระอรหันต์ในความเป็นจริง ไม่มี ที่มีชื่อเสียงหรอก ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความโด่งดังอะไรทั้งนั้น แต่คนที่ เขาเกิดมาตามหลังที่ท่านตายไปแล้ว เขามาเขียนตำราเอาไว้ มันก็เลย ทำให้ดูเหมือนดัง เวลาเราไปอ่านตำรา โอ้ แหม ดังจริงหนอ นั่นมันใน ตำรา อย่าไปหลงมาก! อย่าไปอยากดังอย่างที่อ่านมาในตำรามากนัก เดี๋ยวจะเตลิดเปิดเปิงไป เอ้า เตือนเท่านี้ละ ไม่อยากพูดมาก สอนยาก!


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย ช่วยส่องประสบการณ์จริง สวัสดี


9 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment