ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

เมื่อท่านไม่คิดเกิดอีกแล้ว ท่านอาจไม่ได้นิพพาน และกลายเป็นสัมภเวสีได้?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล็กๆ ซึ่งเป็น เกร็ดความรู้ มาคุยกันสบายๆ เบาๆ ไม่ยากนะครับ เรื่องของคนที่คิดว่า เขาน่าจะได้นิพพานแล้ว แต่แล้วก็ ไม่ได้ครับ อ้าว มันพลาดไปตรงไหน นั่นสินะ น่าสนใจมั้ยครับ ว่าพระที่มี ความน่าศรัทธา ชอบประกาศตนว่า นี่คือชาติสุดท้ายแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว นั้น เขาไม่ได้นิพพาน แล้วกลายเป็น สัมภเวสีได้อย่างไร มาดูกันเลยครับ


เมื่อท่านไม่คิดเกิดอีกแล้ว ท่านอาจไม่มีที่เกิดและไม่ได้นิพพานด้วย ก็ได้?


อย่างแรก ที่ผมอยากเตือนท่านด้วยเจตนาดี และหวังดีต่อท่านอย่างจริงใจ คือ "สิ่งที่คุณไม่เท่าทัน" บางอย่าง มีอยู่จริง และสามารถหลอกลวง และ ครอบงำให้คุณคิดว่าคุณได้นิพพานแน่แล้ว คุณไม่ต้องเกิดอีก อะไรแบบนี้ แต่มันได้จริงหรือเปล่าละ? ถ้าคุณไม่ได้เกิดอีกแล้ว แต่ไม่ได้นิพพานละ อ่ะ แล้วอย่างนี้ คุณจะไปอยู่ไหน? คำตอบง่ายมากเลยครับ เพราะคุณจะได้มี เพื่อนมากมายเหลือคณานับใน "ภพมืด" มันอยู่นอกสามภพ เทพเขาไม่มี ใครยอมรับว่านี่เป็นภพนะครับ แต่เรายืมคำมาเรียกใช้เฉยๆ บางท่านเรียก ว่า "อันตรภพ" ไงละครับ มันก็คือ ภาวะที่อยู่นอกระบบสามภพของโลกนี้ เป็นพวกแอบๆ ซ่อนๆ อยู่ เป็นสัมภเวสี รอเกิด แต่ไม่มีชื่อในบัญชีรายชื่อที่ จะได้เกิดอีกเลยครับ เพราะไปตั้งจิตเอาไว้อย่างนั้นว่าจะไม่ขอเกิดอีก บ้าง จะเป็นชาติสุดท้ายของตนแล้วบ้าง ทว่า "ปฏิบัติไม่ถึงนิพพานจริง" ครับ เพราะหลายคนถูกพลังมืดครอบงำ ให้คิดว่าได้อรหันต์แน่แล้ว ชาตินี้ชาติ สุดท้ายแล้ว ไม่ได้เกิดอีก ก็เลย "รับเงินรับทอง" กันสนุกไปเลย เรียกว่า "เฮ้ย ไหนๆ นี่ก็ชาติสุดท้ายของมึงแล้ว เอาให้มันเต็มที่กันไปเลยโว้ย" นี่ ละมันมาแบบนี้และมันก็ทำกันแบบนี้ พอเห็นภาพออกชัดไหมครับว่ามีจริง


โทษแห่งความเป็น "อรหันต์เทียมเท็จ" ต่างจากผู้มีปัญญาที่แท้จริงยังไง?


ต่อไป ผมอยากให้คุณแยกแยะสองสิ่งนี้ให้ได้ก่อน คือ ผู้มีปัญญาที่แท้จริง กับ "ผู้ที่ทำเหมือนมีปัญญา แต่มันไม่ได้มีจริง" เช่น ไปเรียนเปรียญธรรม 9 ประโยคมา บ้าง, จบ นักธรรมชั้นตรี, โท, เอก บ้าง, ได้ปริญญาตรีของ หลักสูตรในห้องเรียนบ้าง ฯลฯ แล้วคิดเอาเองว่า "กูอรหันต์แล้วว่ะ" 555 อาจารย์ผมเขาเรียกว่า "หันหมู-หันหมา" หันไป หันมา ก็งี่เง่าเหมือนเดิม เอาละ ขอโทษนะที่ผมใช้คำแรง เจตนาให้คุณตื่นแจ้งจริงๆ ให้เต็มตาอย่า สลึมสลือให้มากนัก ของแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องการมีความรู้ หรือการคิดได้ คิดไปเอง หรืออะไรทั้งนั้น พอหลงเข้าไปแล้ว มันก็ไปกันไกล การที่เราจะ ไปนั่งเรียน ทำข้อสอบ อะไรนั้น มันทำได้ จบกันได้ เก่งกันได้ แต่มันไม่ใช่ วิถีของการบรรลุธรรมอะไรเลยแม้แต่น้อย เดียวนี้มีกันเกลื่อน ผมขอเรียก ว่า "นักวิชาการศาสนา" ก็แล้วกัน พวกนี้ทำได้เหมือนพระอรหันต์นะหละ ปฏิบัตินั่งสมาธิอะไรก็ทำได้ แต่ไม่รู้จริงๆ หรอกว่าการมีปัญญา กับการมี ความรู้ การเลียนแบบ เหมือนลิงเห็นคนนั่ง ก็นั่งตามนี่ มันต่างกันอย่างไร เอาอย่างนี้ ถามหน่อย คนๆ หนึ่งอาจโง่มากไม่รู้อะไรในไตรปิฎกเลย ถาม ว่าเขาจะมีปัญญาหลุดพ้นได้โดยไม่ใช่ผู้รู้หรือไม่? หรือว่า เขาต้องรู้ก่อน (ยึดติดว่าต้องรู้ก่อนเสมอ) ถึงจะมีปัญญาได้? ไอ้ความรู้กับปัญญา อะไร มันเกิดก่อนกัน? เช่น มะม่วงมีมาก่อน ความรู้เรื่องมะม่วงไหม? หรือความ รู้เรื่องมะม่วง มันต้องมีมาก่อนมะม่วงเกิดบนโลก เอ้าไปคิดกันเองไม่พูดละ


สิ่งที่คล้ายปัญญา แต่มันก็ยังไม่ใช่ปัญญา แถมงี่เง่ายิ่งกว่าเดิมอีก?


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็นสิ่งที่เหมือนปัญญา แต่มันไม่ใช่ปัญญาอ่ะ แล้วมันจะเป็น "ตา" หรือไง? (ตา เป็นชื่อเล่น ของคุณปัญญาครับ) เช่น คนบางคนปฏิเสธทุกอย่างบอกว่าอย่าไปยึดมันเลย อะไรก็ไม่ใช่ ทั้งนั้น อย่างนี้แหละ "งี่เง่าบัดซบ" ไม่ยึดอะไรเลยหรือ? งั้นเอาสมบัติ มาให้ผมละกัน ผมเอาเอง 555 บางคนก็บอกว่าตัดฉับพลันเลย อะไร เกิดปุ๊บ ตัดวงจรฉับพลันเลย ยังงี้ เวลาหิว ก็ตัดฉับพลัน ไม่ต้องกินได้ ไหม? นี่ก็โง่ไปอีกแบบ บ้างก็มีสติรู้ตลอด ต้องรู้มันไปซะหมด อ้าว ถ้า เกิดสติไม่ทันรู้ ไม่รู้ทัน อ้าวผิดอีก เออ ทีนี้มันก็นั่งรู้ เดินรู้ ยืนรู้ อะไรๆ ก็รู้ทั้งหมด ไม่รู้ นั้นทำไม่เป็นซะแล้ว ใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ ก็ไม่ ได้ อันนี้ก็งี่เง่าไปอีกแบบ โอ้ย เยอะแยะอย่าให้ผมพูดเลย สรุปก็คือ ไม่ ต้องไปหาข้อสรุปอะไรกับธรรมะทั้งนั้น สรุปเมื่อไร ได้ความโง่กลับมา ทุกที ชอบหาข้อสรุป จุดจบกันจังว่าสรุปแล้วมันคืออะไร พอจับได้ ก็ ยึดไอ้สิ่งที่จับได้นั่นต่ออีก นี่แหละ มันถึงไม่จบเสียที เป็นแมววิ่งไล่จับ หางตัวเอง มันจะจบได้อย่างไรกัน ในเมื่อมันพยายามจะ "จับความ ธรรม" ให้ได้ข้อสรุป ให้ได้อะไรสักอย่าง เช่น ฉันสรุปได้แล้วว่า ไม่ยึด สักกะอย่าง อะไรแบบนี้ ก็มี, บ้าง ก็ไปสรุปว่า ก็ปล่อยวางทุกอย่าง สิ มันไม่ใช่ แต่ก็ไม่เชิง ทั้งนั้นแหละ ดูเหมือนจะใช่ แต่ไม่ใช่ ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่ แต่มันก็เกือบๆ จะใช่ นั่นแหละ ถึงบอกว่าไม่ต้องไปสรุปกับมัน


ภัยมืดที่ครอบงำผู้ต้องการเป็น "พระอรหันต์" เขาก็ปั้นให้เป็นได้ทั้งนั้น


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็น "กระบวนการปั้นพระอรหันต์เทียม" เหมือน กับการปั้นพระพุทธรูป, หล่อพระ ฯลฯ นั่นแหละ มันก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จริงๆ หรอกนะ แต่คนก็นิยมชมชอบกัน เหมือนกันเลย พระอรหันต์เทียม นี่ก็เหมือนกัน มีอยู่เกลื่อนบ้านนี้เมืองนี้ไปหมด ไม่ต่างอะไรกับ "นาฬิกา โรเล็กซ์ปลอม" นั่นแหละ เพราะอะไร? เพราะคนบ้านนี้เมืองนี้ ชอบของ ปลอมกัน ทั้งนิยมชมชอบ, ทั้งยอมรับ และทั้งปกป้อง และสร้างภาพว่า ไม่มีหรอกของปลอม ทั้งๆ ที่ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งโลกแล้วว่าเป็นแหล่งของ ปลอม ปลอมได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งนายกฯ ยังไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม หรือ นายกตัวจริงอยู่ดูไบ ก็ไม่รู้? ผู้หญิงเดินไปเดินมาบนถนน ยังไม่แน่ว่าอาจ เป็น "ผู้หญิงปลอม" ก็ได้ หมอศัลยกรรมเขาก็ทำได้ ทุกอย่างปลอมหมด ของจริงมีมั้ย? "มี" แต่ไม่มีโอกาสได้เกิด เพราะคนชอบและยอมรับของ ปลอมไปแล้ว แม้กระทั่งอรหันต์ ก็ปลอมกันได้ พระเจ้าจักรพรรดิ ก็ปลอม กันได้ ปลอมได้ทุกอย่าง ประเทศนี้จึงเป็นประเทศแห่งความลวงโลกและ ความ "จอมปลอม" อ้าว ที่ผมพูดนี่ ไม่ได้ต้องการจะทำลายภาพลักษณ์ อะไรหรอกนะ พูดให้ตื่น ให้คิด ให้ได้ปัญญา ให้พัฒนาให้ดีกว่านี้ต่อไป มิ ได้ต้องการลบหลู่อะไรท่านเลย เพราะท่านแตะไม่ได้กันอยู่แล้ว ถือว่า "ติ เพื่อก่อ" ก็แล้วกัน รู้แล้วก็ไปทำให้มันจริง จะปกป้องของปลอมไปทำไม!


ภาคมืดปั้นคนให้เป็น "พระอรหันต์" ได้อย่างไร?


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็นว่าภาคมืดเขาปั้นคนให้ เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร? ไม่ยากเลยครับ มันก็ เริ่มต้นจากเลือกคนที่คล้ายๆ พระอรหันต์มาหน่อย แล้วก็หาคนมาเยอะๆ มาแห่ห้อมล้อม เชื่อกันว่ามัน คืออรหันต์ และห้ามแตะนะ แตะไม่ได้ แตะแล้วผิด บาป "ไอ้ มุขห้ามแตะ" นี่ มันใช้กันได้ดี ในเมืองนี้ แตะไม่ได้ นี่ อ้าว แล้วแต่ อยากไม่ให้ใครแตะก็เอา จะได้เหมือน "ขี้ก้อนหนึ่ง" หรือ "หมาเน่าตัวหนึ่ง" ที่ไม่มีใครเขาอยากแตะ เพราะมันน่ารังเกียจ ไม่คิด จะให้ใครเจียรไนเลย ก็เอา ไม่อยากให้ใครเขามา ตำหนิเลยก็เอา จะได้ไม่ต้องเป็นเพชรกะเขา เพราะ หาช่างมาแตะ มาเจียรไน มาตำหนิอะไร ไม่ได้เลย ก็เอา จะได้เป็นก่อนขี้ เป็นหมาเน่ากันทั้งประเทศไป ไม่ต้องเป็นเพชรกะเขาแล้ว เหลวแหลกกันไป เพราะ อะไรก็ "แตะไม่ได้" นี่ละ เดี๋ยวนี้ มันมีพร้อมแล้วนี่นะ จะใช้เงินซื้อโหษณาประชาสัมพันธ์ปั้นให้ใครเชื่อว่า ใครเป็นอรหันต์ กันก็ได้ทั้งนั้นแหละ แถมถ้าไม่เชื่อ ก็ จะเป็นบาปกรรมอีก หาว่าลบหลู่อีกนั่น เอาละ ไม่ว่า กันละ พูดให้ฟังเฉยๆ ใครอยากจะเชื่ออะไร? นับถือ ก้อนขี้หมา, ไหว้ตอไม้ขอหวยอะไร ก็ทำกันไปเถอะ ใครทำอะไร ก็ได้อย่างนั้นเองนั่นแหละ ยุคก่อนสุโขทัย มานี่ ย้อนยุคไปเกือบ 1,000 ปี เขาเจริญกว่านี้ เพราะ อย่างน้อยเขาก็เลือกไหว้เทพเจ้าฮินดู ไม่ไหว้ ไม่หลง เชื่ออะไรก็ได้ ที่ให้หวยกูได้แบบนี้ เหมือนนางกากี ไม่ เลือกผัว เขาให้ไก่ชิ้นหนึ่งเอาแลกเป็นเมีย มันก็เอา ก็ ได้กันไป ไม่เลือก ไม่รู้จักเลือกที่จะรัก จะศรัทธาอะไร กันแล้ว ก็ทำกันไป ตามใจชอบ ก็แล้วกัน ลูกหลานนาง กากี แค่เขาให้หวยได้ ก็ยอมไปกราบไหว้บูชา โดยไม่ เลือกว่าสิ่งนั้นเป็นเทพหรือปีศาจ ด้วยซ้ำไป นั่นแหละ คนสมัยนี้ ก้าวหน้ากว่ายุคขอมเรืองอำนาจมากว่าพัน ปี ยังไม่ต่างอะไรกับสมัยยุคหิน เห็นอะไรแปลกๆ ก็ไป ไหว้ ไปนับถือว่าเป็นเทพเจ้ากันหมด เออ นี่มันเจริญขึ้น หรือว่าล้าหลังลง ก็ลองดูกันเอาเองเถิด เจ้าประคุณเอ๋ย


ทำไมธรรมะเขาไม่มีคำอธิบาย ก็เพราะมันทำให้เบี่ยงเบนได้อย่างนี้?


ต่อไป ผมอยากให้คุณเห็นว่าธรรมะที่แท้จริง เขาไม่มีคำอธิบายเพราะ อะไร? ไม่ใช่เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้หรอก จะให้อธิบายมันก็ ทำได้ แต่จะให้มันตรงเป๊ะๆ เลยนี่ไม่ได้ หรอก เขาถึงว่าธรรมแท้ไม่มี คำอธิบาย เพราะมันมี "ตัวที่ชอบเอาคำอธิบายไปใช้" โดยที่ไม่มี ไม่ ได้ปัญญาก่อนจริงๆ เช่น พวกพราหมณ์ฤษีบางพวก (ไม่ใช่ทุกคนนะ) ชอบมาเอาข้อสรุป หรืออะไรที่อ่านแล้วเข้าใจ ไปสอนคนอื่นเขาต่อทั้ง ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย พวกนี้ เข้าใจอะไรได้ง่าย หรือเร็วกว่า เขาหน่อย ก็เลย "ตั้งตัวเป็นครูคนอื่น" ที่เข้าใจอะไรได้ยาก หรือเข้าใจ ทีหลัง ก็เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้ มีปัญญาอะไรจริงๆ ดังนั้น เขาจึงไม่นิยม จะบอกว่าสรุปแล้วนิพพาน เป็นอย่างนั้น หรือเป็นอย่างนี้อะไรกัน ด้วย พอมีข้อสรุปแล้ว เดี๋ยวก็จะมี "พวกเอาข้อสรุปไปใช้เป็นแบบเรียนต่อ" ซึ่งมันไม่อาจจะทำได้อย่างนั้น การบรรลุธรรมมันไม่อาจเกิดได้เช่นนี้ ต่อให้เอาข้อสรุปที่ใช่ ตรงมากๆ ไปเรียนต่ออะไรกัน มันก็ได้แค่ความ รู้ ความเข้าใจ เท่านั้นเอง มันไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ยิ่งพวกที่ชอบมา อ่านของคนอื่นแล้วไม่ได้นับถือเจ้าของ ต้นสายธรรม เพราะตัวเองนี่ หลงตัวเอง ว่าจะไม่ก้มหัวให้ใคร ไม่ยอมเป็นศิษย์ใครอยู่แล้ว แอบมา ขโมยอ่านของเขา เข้าใจแล้วก็ไปตั้งตัวเองเป็นครู แบบนี้ นี่มีอยู่มาก โดยไม่รู้ว่าต้นสายธรรม เขามีกลไกลควบคุมธรรมของเขาอย่างไร? บางพวกเอาไปฝึกเอง ขโมยไปทดลองทำเอง สิ่งไม่ดีเข้าตัวก็มีมาก นั่นหละ ธรรมะมันมีกลไกลควบคุมภายในมันเอง มาแอบลักขโมยไป มันไม่ได้ดอก สุดท้าย ก็ต้องจ่ายคืน อยู่ดี เอาละ ไม่พูดมากละ หวังว่า คงเข้าใจคำกล่าวที่ว่าทำไม ธรรมะไม่อาจอธิบายได้ จะให้อธิบายมัน ก็ได้ แต่มันจะไม่ได้ธรรมจริงๆ กัน ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ คงเข้าใจแล้วสินะ


8 ก.ย. 2555

"เสียงจากสามท่าน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment