ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ความเหลื่อมซ้อนกันของมิติทางโลกและทางธรรม อาจทำให้คุณได้แม่เป็นเมีย?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล่าเล็กๆ ที่ เป็นเกร็ดความรู้ เรื่อง "มิติ" มาเล่า สู่กันฟังนะครับ คือ มันมีมิติสองมิติ ที่เกี่ยวข้องกันมากๆ คือ มิติทางโลก และมิติทางธรรม ซึ่งมันจะเหลื่อมซ้อน กันอยู่ตลอด และส่งผลต่อวิถีชีวิตของ เรา ทำให้ เรามีวิถีชีวิตที่บิดเบือนเบี่ยง เบนไปจากที่ควรจะเป็นไป อันเป็นผล มาจากการเหลื่อมซ้อนกันของสองมิติ ไงครับ (ถ้ามีผลจากมิติเดียว คงไม่มี ความเบียงเบบนขนาดนี้) เอาละ มา ฟังกันเลยดีกว่าครับ


มิติทางโลก และ มิติทางธรรม ที่เปรียบเสมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?


อย่างแรกเลย ผมอยากให้ท่านทราบถึง ความซับซ้อนของมิติต่างๆ ซึ่งมี ผลเกี่ยวเนื่องกันด้วยทั้งหมด แต่ด้วยความเข้าใจของมนุษย์มีน้อย เขาจึง เข้าใจถึงมิติต่างๆ ได้ทีละมิติเป็นส่วนใหญ่ และทำให้เขาขาดความเข้าใจ ในองค์รวมของทุกๆ มิติ จนเกิดคำถามขึ้นว่าทำไม จึงเป็นเช่นนั้น เพราะถ้า ดูตามมิติใดมิติหนึ่งเดียวแล้ว มันน่าจะได้ผลอีกแบบหนึ่ง แต่ด้วยเพราะใน ความเป็นจริง สรรพสิ่งไม่อาจแยกออกจากมิติใดได้เลย ทำให้การมองสิ่ง ใดก็ตามในมิติเดียวนั้น "ใช้ไม่ได้" หรือทำให้รู้สึกเหมือนว่าเกิดความบิด เบือน คลาดเคลื่อนไปจากความเข้าใจในมิติหนึ่งเดียวนั้นๆ เอาละ อย่างไร ผมก็ต้องคุยกับคุณไปแบบ "ทีละมิติ" เพราะคุณไม่อาจเข้าใจในแบบมิติ องค์รวมได้ โดยผมจะแยกมิติสองมิติออกจากกัน คือ มิติทางโลกและมิติ ทางธรรม ไม่ได้แยกกันจริงๆ นะครับ มันเป็นการ "แยกเพื่อพิจารณา" ก็ เท่านั้นเองและสองมิตินี้แท้จริงแล้วก็แยกกันไม่ออกเลย มันเป็นหนึ่งเดียว กันอยู่ตลอดอยู่แล้ว แต่เพื่อให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมจึงจำต้องทำเช่นนี้ และผลที่ออกมาก็เหมือน "ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน" ซึ่งผมจะพูดต่อไป


กรณีศึกษา "การหย่าร้าง" ของคู่สมรสที่เร็วเกินไป เกิดจากอะไร?


ต่อไปผมอยากจะยกกรณีศึกษา ให้คุณลองพิจารณาง่ายๆ สักหนึ่ง กรณี ก็แล้วกัน คือ ยุคสมัยปัจจุบัน ทำไมคู่สมรสหย่าร้างกันเร็วเหลือ เกิน คำตอบคือ เพราะผลจากมิติทางธรรมส่งมาได้แค่นั้น กล่าวง่ายๆ ก็คือ บุญกรรมส่งผลให้เขาได้เป็นคู่สมรสกันไม่ยืนยาว ได้แค่นั้น แต่ ถ้าเทียบกันคนในยุคก่อนทำไม เขาจึงอยู่กันได้นาน? คำตอบคือ เขา ได้สร้าง "บุญกรรม-บารมี" ในปัจจุบันร่วมกัน เพื่อสานต่อบุญกรรมที่ มีมาในอดีตให้ยืดยาวขึ้นไปอีก นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขามีบุญที่ จะครองคู่อยู่ด้วยกัน 2 ปีแล้วหมดไป แต่ในระหว่าง 2 ปีนั้น เขาได้ทำ บุญ, สร้างบารมีร่วมกันด้วย มันก็จะยืดอายุและทำให้ความเป็นคู่ครอง ของพวกเขา ยืดยาวไปได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่ทำต่อเลยในที่สุด ก็ไม่จีรัง ไม่เที่ยงครับ เป็นความรักที่ไม่ยั่งยืนไปได้ ไม่อาจเอาชนะความไม่เที่ยง ไปได้ครับ ดังนั้น ในกรณีศึกษานี้ เราจะเห็นว่า "ในมิติทางธรรม" นั้นมี ความไม่เที่ยง มีวาระความดำรงอยู่จำกัด แต่เมื่อทำบางอย่างต่อเนื่องก็ จะทำให้มิติทางโลกเกิดเป็นผลยืดยาวออกไปได้ ในฐานะเดิม คือ เป็นคู่ สมรสกันดังเดิม ทว่า ยังมีบางกรณีที่ "สัมพันธภาพเปลี่ยนแปลงไป" ก็ คือ จากเดิมอาจเป็นคู่รัก อาจเปลี่ยนเป็นเหมือนเพื่อนหรือพี่น้องแทน ก็มี อันนี้ เป็นผลจากการเบี่ยงเบนจากความเหลื่อมซ้อนกันของสองมิตินี่เอง


"สถานภาพที่สับสน" ของ "ตัวตนในสองมิติ" อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ต่อไปผมอยากจะยกกรณีศึกษา กรณีที่ผลจากความเบี่ยงเบนของความ เหลื่อมซ้อนกันของสองมิติ ส่งผลให้ "สถานภาพของบุคคล" เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่คู่สมรสหมดบุญกรรมกันแล้ว แต่ได้อาศัยผลบุญ ในปัจจุบันสร้างร่วมกันต่อไป แล้วยังไม่หย่าขาดกันอยู่ในครอบครัวเดียว กันต่อไปแต่ภายใต้ "สถานภาพทางธรรม" ที่เปลี่ยนไป เช่น เป็นพี่-น้อง กัน แทนที่จะเป็นคู่ครองกันเหมือนเดิม ดังนั้น "ตัวตนในมิติของทางโลก" เขาทั้งสองคือ "คู่สมรส" แต่ "ตัวตนในมิติของทางธรรม" เขากลับกลาย เป็น "พี่น้อง" กัน อันนี้ พอเห็นภาพชัดไหมครับ? คิดว่าบางท่านอาจได้มี ประสบการณ์แบบนี้มาบ้างแล้วที่ "สัมพันธภาพของท่านเปลี่ยนไป" แต่ก็ ยังคงดำรงสัมพันธภาพกับใครๆ เอาไว้ได้เช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนสถานะ ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ ยังมีกรณีที่สัมพันธภาพมีความแตกต่างไปจากนี้มากเช่น กรณีที่อดีตชาติ แม่และลูกชาย เคยเป็นสามี-ภรรยา กันมาก่อน แล้วหมด บุญที่จะเป็นแม่ลูกกันในชาตินี้ ทว่า ได้อาศัยผลบุญกรรมแห่งการเป็นสามี ภรรยากันมาในอดีตชาติ เพื่ออยู่ร่วมบุญกรรมกันในชาติปัจจุบันต่อไปอีกก็ จะทำให้สัมภันธภาพของแม่-ลูก เปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับ สามี-ภรรยาได้ แต่โดยทางโลกแล้ว ก็ยังเป็นแม่ลูกกันเหมือนเดิม ตัวตนแห่งความเป็นสามี ภรรยานั้นจะมีเฉพาะในทางธรรมเท่านั้น แต่ในชีวิตจริง ก็จะมี "ความเบี่ยง เบน" เกิดขึ้นได้ด้วย เช่น การที่แม่-ลูกชาย งอนกันบ่อยๆ ราวกับคู่รัก เป็น ต้น ไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมต่างๆ ที่เหมือนกับสามีภรรยากันจริงๆ ก็ได้ครับ (และไม่สมควรจะมีอย่างยิ่งเลยครับ) เอาละ ทีนี้ ท่านพอเห็นภาพของมิติ ทางธรรม (เช่น ผลจากบุญกรรม) อันส่งผลให้เกิดความเบี่ยงเบนของมิติ ทางโลกหรือยัง? ในบางครอบครัว เป็นยิ่งกว่านี้ ในอดีตชาติ พ่อเป็นสามีที่ มีภรรยาสองคน ในชาติปัจจุบัน ภรรยาคนหนึ่งตามมาเป็นภรรยากันอีกได้ ไม่นานก็หย่ากัน แล้วมีภรรยาอีกคนตามมาเกิดเป็น "ลูกชาย" ซึ่งพ่อผู้นั้น เลือกที่จะอย่กับลูกชายแทนภรยา อย่างนี้ ก็มี ฟังดูแล้วซับซ้อนไหมครับ?


จะทำอย่างไรถ้ามิติทางธรรม ไม่หนุนส่งผลของมิติทางโลก (หมดบุญ)


ต่อไปผมอยากจะยกตัวอย่างที่มักเกิดขึ้นและพบได้บ่อยๆ คือ การหมด บุญที่จะมีฐานะใดฐานะหนึ่งร่วมกัน เช่น หมดบุญที่จะได้เป็น เจ้านาย- ลูกน้องกันแล้ว หรือหมดบุญที่จะเป็นพ่อ-ลูกกันเร็วผิดปกติ เช่น เมื่อได้ ให้กำเนิดแล้วก็หมดบุญทันที ลูกก็ตกเป็นกำพร้าทันที แบบนี้ก็มีได้ครับ แล้วจะทำอย่างไรละ ถ้ามิติทางธรรม ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ของท่าน ในมิติทางโลก? มันทำให้ชีวิตของท่านไม่ค่อยแน่นอน และผันผวนมาก จนทำให้รู้สึกถึงความไม่มั่นคงเอาเสียเลย ก็ไม่ยาก เพียงแต่ท่านต้องมี ความเข้าใจในเรื่อง "สัมพันธภาพในมิติทางธรรม" เสียก่อน เช่น ถ้าใน มิติทางธรรม ท่านจะมี "ภรรยา" 2 คน มีบุตรถึง 10 คน ทว่าในมิติทาง โลก ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้แน่ๆ แล้ว ท่านก็สามารถใช้ "สมมุติทางโลก" อื่นๆ ที่เหมาะสม เช่น การให้ตำแหน่ง "เรขานุการ" แก่ภรรยาน้อย (ใน มิติทางธรรม) และการรับเอา "เด็ก 10 คน" เข้ามาทำงานในบริษัท ใน ตำแหน่งต่างๆ เช่นนี้ ก็ได้เช่นกัน เห็นไหมครับ บุญกรรมเก่าหนุนส่งมามี ปัญหาเรื่อง "สถานภาพปัจจุบัน" เราก็หาสมมุติ, สถานภาพใหม่ๆ ที่มัน เหมาะสมรองรับเขา ก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่รับเขา คุณก็อาจจะสูญเสีย ทั้งคน ที่เคยร่วมบุญบารมีกับคุณมาในอดีตไปเลยทีเดียว ใช่มั้ยละครับ อนึ่ง ใน ปัจจุบัน ท่านก็ยังสามารถสร้างบุญบารมีร่วมกับคนที่หมดบุญกรรมต่อกัน แล้วได้ เพื่อที่จะรักษาพวกเขาไว้ด้วย "สถานภาพทางธรรมอื่นๆ" แต่ใน ตำแหน่งทางโลก พวกเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม ก็เท่านั้นเอง ซึ่งวิธีนี้ ท่าน ก็จะไม่ต้องเกิดความผันผวนในชีวิตมากเกินไป ทว่า ท่านจะหมดโอกาส ที่จะได้รับ "คนใหม่ๆ" ที่จะเข้ามาในชีวิตของท่าน "แทนที่คนเก่าๆ" ซึ่ง หมดวาระบุญกรรมกันไปแล้ว อีกด้วย อันนี้ ท่านควรพิจารณาให้ดีๆ ครับ


การเลือก "สัมพันธภาพใหม่" อาจทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปและดีขึ้นได้?


ต่อไปผมอยากจะยกตัวอย่างในกรณีที่คุณไม่ได้เลือกที่จะรักษาสัมพันธ ภาพเดิมไว้ แต่คุณยินดีที่จะยอมให้มัน "จบสิ้นลงไป" ตามมิติทางธรรม เพื่อที่จะเปิดโอกาสตัวคุณเองให้ได้พบกับ "คนใหม่ๆ" ที่จะเข้ามาทำกิจ แทน "คนเก่าๆ" และคุณจะได้สร้างสัมพันธภาพใหม่กับคนใหม่ๆ ได้บ้าง เอาละ มันก็อาจทำให้ชีวิตของคุณ "พลิกผันไปได้" มากมาย เหมือนกับ กลายเป็นคนอีกคนไปเลย เช่น สามเณรที่บวชอยู่นานๆ หมดบุญกรรมนั้น แล้ว จึงสึกกลับได้ภรรยา ที่ส่งหนุนนำให้กลายเป็นนักการเมืองไป แบบนี้ ก็อาจมีได้ เป็นได้ เราเรียกว่าการเลือกสัมพันธภาพใหม่ ซึ่งมันก็อาจจะดี กว่าเก่ามากมายเลยก็ได้ แต่คนเรามัก "ยึดติดในสิ่งเดิม" มากเกินไปจน "กลัวการเปลี่ยนแปลง" และมักมีทัศนคติเชิลลบกับการเปลี่ยนแปลง ว่า มันจะทำให้ชีวิตแย่ลง ซึ่ง "ไม่จริง เสมอไป" เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้น มีทั้งดีขึ้นและแย่ลง ไม่ได้มีแต่แย่ลงเสมอไป เท่านั้น ใช่มั้ยครับ ดังนั้นถ้า เรายอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้าง ยอมให้ "สัมพันธภาพใหม่ได้เกิด ขึ้นได้บ้าง" ชีวิตของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ดังเช่นที่ คังซีฮ่องเต้ยอมรับขันทีอุ้ยเสี่ยวป้อเป็นเพื่อน ผลออกมาเปลี่ยนแปลงชีวิต ของคนทั้งสองไปราวฟ้ากับดินไปเลย นั่นแหละ สัมพันธภาพใหม่ที่เข้ามา เปลี่ยนแปลง "ชีวิตเดิมๆ ของคุณ" ซึ่งมันอาจไม่ได้ย่ำแย่เสมอไปเลยครับ


"ความสูญเสียคนรักเก่า" อาจทำให้คุณได้รับ "สิ่งดีๆ สิ่งใหม่" เข้ามา


ต่อไปผมอยากจะยกตัวอย่างในกรณีที่บางท่านสูญเสียคนที่รักไป อย่าง ไม่น่าจะเป็น อย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น หรือเร็วเกินไป เช่น บางคนที่ลูกชาย ตายก่อนที่จะได้บวช ทว่า ผมอยากให้ท่านลองมองโลกในแง่ดีดูบ้าง ว่า นี่อาจจะเป็น "การหมดบุญกรรมร่วมกัน" ของท่านและบุตรชายคนนั้นๆ และทำให้เกิด "สัมพันธภาพใหม่" เปิดทางให้ท่านได้พบเจอกับคนที่จะ เข้ามาทำหน้าที่ "เหมือนลุกชายคนเก่า" ของคุณ นั่นคือ สัมพันธภาพ ใหม่ นั่นเอง ถ้าคุณใจกว้างพอ บางทีคุณอาจจะพบว่าพระเจ้าไม่ได้ร้าย กับคุณเลย แต่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่คุณแล้วในช่วงเวลาหนึ่งๆ และเมื่อ ถึงช่วงเวลาหนึ่งๆ คุณก็อาจจะต้องได้รับ หรือเปลี่ยนบางสิ่งออกไปจาก ชีวิต เพื่อเปิดรับสิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตของคุณ ก็ได้ นั่นคือ แม้ว่า บางคนจะเสียลูกชายไป เขาอาจจะได้พบเจอคนอื่นที่ทำหน้าที่เหมือนว่า เป็นลูกชายของเขาอีกคน และถ้าเขาใจกว้างมากพอ เขาก็สามารถที่จะ รับ "สัมพันธภาพใหม่" นั้นในฐานะ "บุตรบุญธรรม" ก็ได้ ท่านพอจะเห็น อะไรไหม? ตรงกันข้าม ถ้าท่านมัวแต่จมปลักอยู่กับความทุกข์ และความ ตายที่ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ ท่านก็จะไม่ได้อะไรเลย นอกจาก จะมีแต่เสียไป อย่างเดียวเท่านั้น คือ นอกจากจะเสียคนรักแล้ว ยังจะเสียใจอีกมากด้วย ดังนั้น ขอเพียงคุณ "เปิดใจให้กว้างไว้เสมอ" คุณอาจจะได้รับสิ่งดีๆ เข้า มาในชีวิต แทนที่สิ่งเดิมๆ ที่ขาดหายไป มีเก่าไป ใหม่มา ได้มา เสียไป นี่ ก็คือสัจธรรมชีวิตอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังไปได้ตลอด


ผลของมิติทางธรรม อาจทำให้คุณต้องทำการจัดตำแหน่งใหม่บ่อยๆ?


สุดท้าย ที่ผมอยากจะแนะนำคือ เนื่องจากผลของบุญกรรมมากมายใน อดีตชาติที่มีมากมายหลายระลอกคลื่นนั้น ทำให้สถานภาพปัจจุบันของ คุณไม่เที่ยงเอาเสียเลยและหลายอย่างไม่อาจดำรงอยู่ได้นานนัก ดังนั้น บางครั้ง คุณอาจต้อง "จัดสัมพันธภาพใหม่" บ่อยๆ เหมือนกันการที่คุณ ปฏิรูปองค์กร, ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของคนในองค์กร บ่อยๆ ประมาณนั้น เช่น บางครั้ง ตำแหน่งภรรยาทางธรรม ของคุณอาจจะเปลี่ยนไปบ่อยขึ้น คุณอาจจะต้องหา "ตำแหน่งทางโลก" ที่เหมาะสมมารองรับ เช่น ให้เขา มาเป็นลูกน้องของคุณ ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยไม่ได้รับมาในรูป ของภรรยา เช่นนี้ ก็ได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว ในคนที่บำเพ็ญบารมีก้าวหน้าไป เรื่อยๆ จะเกิดภาวะที่เรียกว่า "การเปลี่ยนกลุ่มสัมพันธภาพใหม่" อยู่บ่อย ครั้งได้ เหมือนกับการเลื่อนชั้นจากสวรรค์ชั้นหนึ่งไป ชั้นสอง, สาม, สี่ นั้น ก็ส่งผลให้ท่านต้องบำเพ็ญบารมีร่วมกับคนกลุ่มที่ต่างไปด้วยเช่นกัน ทว่า ถ้าพวกเขาบำเพ็ญบารมีตามท่านได้ทัน พวกเขาก็ยังคงเลื่อนชั้น เลื่อนขั้น ตำแหน่งตามคุณไปได้เหมือนเดิม แต่ถ้าพวกเขาตามไปไม่ทัน ก็จะหมดก็ จะไม่มีสถานภาพระหว่างกันต่อไปอีก คือ จบลงเท่านั้นเอง ดังนั้น ในวิถีนี้ จึงขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย ว่าจะมีระดับในการเลื่อนชั้นเร็วมากน้อยแค่ไหน ถ้าใครไปได้เร็วกว่า ก็จะไปก่อน เช่น ลูกน้องอาจบำเพ็ญบารมีเร็วกว่าเจ้า นาย และไปก่อนเจ้านาย ก็ได้ เช่น ลาออกจากที่หนึ่ง ไปยังที่ที่สูงขึ้นกว่า อย่างนี้ ก็มีได้ เป็นไปได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไปได้สูงแค่ ไหน เขาก็จะไม่โดดเดี่ยวเพราะ "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" เหนือคนยังมีคนเหนือ กว่าขึ้นไป ที่รอจะได้พบเจอกันอยู่ดี สัมพันธภาพใหม่ๆ จึงเกิดขึ้นได้เสมอ


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระบิดาจักรวาล สู่สัมพันธภาพใหม่ของท่าน สวัสดี


4 ก.ย. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment