ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

การกินเจน่ะ มันเป็นการบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ นะ (ไม่ต้องกินเจ)

สวัสดีครับ วันนี้มีข่างฝากจากบางท่าน ที่เขาอยากเตือนท่านที่บำเพ็ญบารมีกัน หน่อยว่า การบำเพ็ญบารมีนี่มันให้ผลที่ ต่างกัน ถ้าเราไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ก็ อาจบำเพ็ญแล้วกลายเป็นพระปัจเจกฯ ไปได้โดยไม่เจตนาก็ได้ อ้าว แล้วมันจะ มีการบำเพ็ญต่างกันอย่างไร? เอาละ ก็ ลองมาคุยกันดูง่ายๆ ตามเดิมครับ


พลังมารเทวทัต ยังคงมีผู้สืบทอด เพื่อดึงคนออกจากพระพุทธศาสนา!


อย่างแรก ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าถึงแม้ว่าพระเทวทัตจะตายแล้วตกนรก ก็จริง แต่ตำแหน่ง "มาร" ที่ว่างลง มันจะว่างไม่ได้ บนสวรรค์จะมีผู้สืบ ทอดตำแหน่งนี้ต่อ ทำงานเหมือนมารเทวทัตเลย ก็คือ การทำให้ศาสนา พุทธ ปั่นป่วน, แตกแยก, ล่มสลาย หรือกลายพันธุ์เป็นแบบพระปัจเจกฯ เอาละ ต่อมา ที่ท่านควรจะทราบคือ "อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์" มีบารมีมา 2 อสงไขยเป็นพื้นฐาน และพร้อมตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยง่าย และยุคนี้ คนมีบุญน้อยจึงต้องอาศัยบารมีของอวโลกิเตศวรมากกว่าองค์ อื่น ทว่า ท่านก็อาจเป๋เข้าทางสายปัจเจกฯ ได้ง่ายๆ ดังนั้น จึงต้องให้ท่าน มาเกิดเป็น "สตรีเพศ" ทั้งที่ท่านคือ "มหาบุรุษ" เพื่ออะไร? ก็เพื่อกันไม่ ให้ท่านตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง เรื่องของเรื่องมันเป็นมายังงี้ ทว่า มันไม่จบแค่นี้ เพราะมารเทวทัตยังทำงานอยู่ และเขาก็ครอบงำให้มี การบำเพ็ญเป๋ออกไปนอกทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาของสัตว์สังคม ให้เพี้ยนไปเป็น "ศาสนาของพระปัจเจกฯ" ไปแทน ดังนั้น จึงเอาแนวคิด ในการบำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกฯ มาครอบงำ, แทรกแทนการบำเพ็ญ ในแบบเดิม ถ้าจะลองสังเกตุดูจะพบว่าพระบรมโพธิสัตว์ในทศชาติชาดก ไม่มีชาติใดเลยที่บำเพ็ญบารมี "เพื่อการกินเจ" ? ทว่า การกินเจนี้ เป็นที่ มาจาก "พระเทวทัต" โดยตรง และพระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าไม่ต้อง มีอะไรก็กินๆ ไปตามบุญตามกรรม ไม่ต้องเลือกมาก ไม่ต้องไปกำหนด คุย กันเรียบร้อยแล้ว พระเทวทัตก็โมโห เลยเล่นงานเสียหมู่สงฆ์ แตกเป็นสอง ฝ่าย จนสุดท้ายพระพุทธเจ้าเลยไปโปรดเทวดาบนสวรรค์เสียนานเลยครับ


การกินเจ เป็นการเตรียมพร้อมดำรงอยู่แบบพระปัจเจกฯ ในป่าที่มีแต่พืช


ต่อไปคือ การดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนานั้น จะไม่อยู่แบบแยกตัวออก ไปจากสังคมมนุษย์นะครับ ท่านจะอยู่ร่วมกับสังคมมนุษย์ได้ และก็จะทำ หน้าที่เป็น "เนื้อนาบุญของโลก" อยู่ได้ด้วยการ "รับทักษิณาทาน" ครับ แต่พระปัจเจกฯ ท่านจะดำรงอยู่อีกแบบคือ จะดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเองเดี่ยวๆ ท่านจะมีป่าอยู่ ไม่มายุ่งกับสังคมมนุษย์มาก เพราะท่านคือ "ปัจเจก" ไม่ นิยมเข้าสังคมมั่วสุมกับคนมากอยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างที่ท่านอาจมีวิบากเข้ามา เกี่ยวข้องกับคนซึ่งไม่ใช่ปกติของการดำรงชีพประจำวันของท่าน ดังนั้น ท่านจึงต้องบำเพ็ญเพื่อการกินเจ เพราะถ้าอยู่ป่าแล้วไม่กินเจไม่ได้ครับ ก็ เพราะถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็ต้องล่า ต้องฆ่าสัตว์กิน อย่างนั้นย่อมจะไม่ได้ นิพพาน เพราะยังมีกรรมมากอยู่ แต่พระพุทธศาสนาเรานี้ ท่านไม่ได้ไปฆ่า สัตว์เอง ท่านบิณฑบาตรรับมาตามบุญตามกรรม ไม่ใช่ไปทำกรรมใหม่ให้ ได้มาซึ่งอาหารนะครับ อันนี้ ต้องเข้าใจ แยกกันให้ออกให้ชัดเจนด้วยครับ


สัตว์กินสัตว์ เป็นธรรมชาติหนึ่งของวิบากใน "สัตว์สังคม" ที่ไม่ใช่ปัจเจกฯ


ต่อไปคือ ในระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ จะมีทั้งสัตว์กินพืชและสัตว์กินสัตว์ ซึ่งไม่มีอะไรถูกหรือผิดครับ มันก็แค่ "ธรรมชาติ" เท่านั้นเอง มันมีวิบากกัน มาอย่างนั้น เลยต้องมาเกิดเป็นเช่นนั้น ชดใช้กันอย่างนั้น ไม่เช่นนั้น ก็ไม่มี ทางหลุดกันหมดครับ เพราะมันเป็นสัตว์สังคม จึงต้องเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง กับสัตว์ตัวอื่น จะหลุดพ้นไปได้โดยไม่กระทบกับใครเลย ไมได้ เพราะไม่ใช่ "ปัจเจกวิถี" ไงครับ อีกประการ ถ้าสัตว์ในโลกเกิดมาแล้วตายไปโดยไร้ค่า ชีวิตและเนื้อหนังเน่าเปื่อยไปโดยไม่มีบุญบารมีอะไรได้มาเลย สัตว์นั้นก็จะ ไม่มีบุญเลี้ยงตัวที่จะยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น พ้นความเป็นเดรัจฉานไปได้ หรอกครับ ดังนั้น เขาต้องสร้างบุญบารมีด้วยการ "ยอมให้สัตว์อื่นกิน" จึง จะได้บุญบารมีมากพอหลุดพ้นจากภพเดรัจฉานครับ ซึ่งเป็น "แนวทางใน การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ทำตามๆ กันมาเป็นพุทธประ เพณีแล้ว" เช่น พระพุทธเจ้าในอดีตชาติ เคยเกิดเป็น "กระต่าย" ก็กะโดด เข้ากองไฟให้คนกินจึงได้บารมีครบในชาตินั้น, เคยเกิดเป็น "สุเมธดาบส" ก็โดลงหน้าผาให้แม่เสือกิน จึงได้บารมีครบในชาตินั้นได้ครับ ถ้าไม่มีวิถีให้ สัตว์กินกันเป็นทอดๆ แล้ว มันจะไม่มีบุญกรรมเชื่อมโยงกัน ฉุดดึงกัน จนได้ เป็น "สัตว์สังคม" ขึ้นมาได้เลย เรียกว่าตัวใครตัวมัน บุญกรรมไม่เกี่ยวพัน กันมาเลย สัตว์ก็อาจจะต้องกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไปหมดได้นะครับ


การตัดเวรตัดกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร ก็ทำให้เข้าสู่วิถีของพระปัจเจกได้


ต่อไปคือ ยังมีอีกมากมายหลายวิธี ที่ทำให้ท่านอาจเผลอเข้าทางปัจเจกฯ เช่น การทำบุญหรืออะไรๆ เพื่อ "ตัดเวร-ตัดกรรม" หรือชดใช้กรรมกันให้ หมดๆ ไปเสีย อะไรแบบนั้น คือ ไปคิดเอง ทำเอง เอาตัวรอดจากบ่วงกรรม ไปเอง โดยไม่ "รอให้สัตว์อื่นเข้ามายุ่งกับตนแล้ว" แบบนี้ บางอย่างก็อาจ ได้ผลจริง คือ ตัดเวรกรรมหมดกันไปได้จริง ด้วยปัญญาของคนที่คิดมานั้น ทว่า มันจะทำให้ท่าน "หลุดพ้นไปแบบพระปัจเจกฯ" ได้นะครับ มันยังมีวิถี การบำเพ็ญบารมี อีกมากมายหลายประการเลย "ที่ไม่เคยมีมา แบบที่พระ บรมโพธิสัตว์เขาทำกัน" แต่มันมาจาก "อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์" ที่ใกล้ ที่ ต้องการตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มาเกิดเป็นผู้หญิงแล้วทำตัวเป็นผู้นำ สร้างลัทธินิกายใหม่ๆ สอนให้คนบำเพ็ญบารมี และสุดท้าย ก็เข้าสู่วิถีของ พระปัจเจก ครับ มันไม่ใช่วิถีทีทำให้เข้าสู่พระพุทธศาสนาที่มีพระพุทธเจ้า เป็นผู้นำเลยครับ สรุปง่ายๆ เพราะพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดเป็นหญิงเหล่านี้ก็ มาจาก "อวโลกเตศวรโพธิสัตว์" ที่พร้อมจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจก ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ด้วยบารมีฐานเก่าคือ "สองอสงไขย" ทว่า ท่านไม่ได้มีบารมีมาก ครบสมบูรณ์แบบ "พระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์" ไม่ได้สามารถบำเพ็ญ บารมีเป็น "ต้นแบบ-ผู้นำ-พี่ใหญ่" ให้แก่พระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ได้ครับ ก็ ได้แต่ "ปูพื้นฐานไว้ก่อน" เพื่อรอ "ต้นแบบ-ผู้นำ-พี่ใหญ่" มาเติมส่วนที่ ขาดหายหรือบกพร่องไป "ให้เต็มครับ" ทว่า มารเทวทัตหรืออะไรก็ดี ได้ ครอบงำให้ผู้หญิงเหล่านั้น หลงตัวเอง ตั้งตัวเองเป็นเจ้าลัทธิยิ่งใหญ่ หลง ลืมพระโพธิสัตว์ใหญ่องค์นั้นไปก็เลยกลายเป็นปัญหาแก้ไม่ตกถึงทุกวันนี้


ถ้าจะบำเพ็ญบารมี "ก็ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า" ไม่ใช่ไปดูอวโลกิเตศวร


ต่อไปคือ การบำเพ็ญบารมีก็มีมากมายหลายแบบ ได้มากมายเยอะแยะ แต่ว่าแต่ละแบบให้ผลไม่เหมือนกัน คนเราเลยเกิดมาไม่เหมือนกัน และ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากันจริงๆ "น้อยมาก" ที่เหลือก็เป็นอย่างอื่นคับ ไม่ใช่ว่าท่านเหล่านั้นไม่มีบารมีนะครับ มีมากๆๆๆๆ เลย ล้นมากๆๆๆๆ ก็ มีครับ ทว่า "ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมีแบบพระพุทธเจ้า" แล้วจะให้ผลมี ผลได้ เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? เอาละ ไม่ต้องไปหลงทางมาก ลอง ดูตัวอย่างการบำเพ็ญบารมีองพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ก็ได้ ว่าท่านทำ อะไรมาบ้าง ทำมาอย่างไร? ไม่เห็นจะเหมือนกับพระอวโลกิเตศวรครับ ต่างกันเล็กน้อย คนละแบบกัน ได้ผลคนละอย่างกัน ไม่มีใครผิด-ถูกแต่ เขาปรารถนากันคนละแบบ เลยบอกกะท่านว่าถ้าจะดูตัวอย่างการทำดี บำเพ็ญบารมี ก็ทำตามพระพุทธเจ้าในอดีตก็ได้ ทำไมไปแห่ทำตามพระ อวโลกิเตศวร? (ระวังจะเป็นนางแก้วยกโหลเน้อ) ทีกินเจละทำกันมาก ทำกันได้ กันดี ทีทำตามพระพุทธเจ้าในอดีต เช่น พระเตมีย์ใบ้, พระเวส สันดร ฯลฯ ละก็ "หาแทบไม่ได้เลย" นี่ละน้า ทำไม พระพุทธเจ้าถึงเกิด ได้ยาก ทำไม นางแก้วมันถึงมีเป็น "พันๆ" เอาละ ก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน


ไปสอนให้คนกินเจ ใช่ว่าจะไม่มีกรรม เดี๋ยวโรงงานขายไก่ ก็เจ๊งกัน?


ต่อไปคือ การไปสอนให้คนกินเจ คุณอาจได้บุญบารมีเพราะการกินเจ ก็ได้ ส่วนหนึ่ง ทว่า ส่วนหนึ่งก็กระทบต่อระบบเศรษฐกิจนะครับ คือ คน ที่เขาขายไก่ เลี้ยงสัตว์ สัตว์ได้ใช้ชีวิตเลือดเนื้อตนเอง สร้างบุญบารมี ส่วนเขาก็ได้เงินไป คนกินก็ได้อร่อยไป นั่นแหละ ถ้ามันกระทบ มันก็คือ กรรมเหมือนกัน กระทบกับธุรกิจ, เศรษฐกิจ ซึ่งมีคนและสัตว์เกี่ยวข้อง อยู่ในระบบนี้มากมาย คนที่ไม่มีกรรมจริงๆ คือ ไม่ก่อกรรมทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะด้านสนับสนุนให้คนกินเนื้อสัตว์หรือสนับสนุนให้คนกินเจกล่าว ง่ายๆ คือ "ช่างมัน" ปล่อยมันไปตามเวรตามกรรมของมัน ก็แค่นั้นเอง ส่วนคนที่ "ไม่ปล่อยมันไปตามกรรม" แต่กระทำกรรมไม่ว่าขาใดก็ตาม มันก็ยังมีบุญมีกรรม เกิดขึ้นอยู่ดีนั่นแหละ คำสอนให้กินเจนี่ ไม่มีในคำ สอนของพระพุทธเจ้าเลย ท่านสอนแต่เรื่องปล่อยไปตามธรรมชาติ ไป ตามกรรม บุญ-บาป ท่านก็ปล่อยหมดลอยหมดแล้ว ไม่ได้กระทำไปอีก จบแล้ว หมดแล้ว ไม่มีต่อไปอีกแล้ว ก็แค่นั้น ส่วนการสอนเรื่องการสร้าง บารมี บำเพ็ญบารมีอะไรนี่ ไม่ใช่ว่ามหายานจะถูกนะครับ ง่ายๆ ไม่ต้อง ไปคิดอะไรใหม่ ทำตามพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ก็ได้แล้ว ง่ายที่สุด ยัง ไปคิดใหม่ทำใหม่อะไรกันมากมาย เอามาจากไหนกัน? แล้วจะให้ผลมี ผลเป็นอย่างไรกัน? ก็ยังไม่รู้เลย เอาละ ไม่ขวางใคร อยากอะไร ก็ทำๆ ไปละกัน "สอนกันไม่ได้หรอก" ทำตามใจตัวเองกันทั้งนั้น อยากทำอะไร ก็ทำไป เรื่องของใครของมัน ฉันก็พูดแล้วก็จบแค่นี้ละ ไม่ใช่เรื่องของฉัน


"ผู้หญิง" ที่เป็นอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่ดื้อด้านสอนยาก จะเป็นปัจเจกฯ


สุดท้ายคือ ยังมีอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อีกมากมายที่มาเกิดเป็นผู้หญิงและ ก็เป็นผู้หญิงเก่ง, สวย, รวย, และมีอำนาจด้วยครับ เยอะแยะเต็มบ้านเมือง ทีนี้ พวกที่ดื้อด้านสอนได้ยาก ไม่ยอมผู้ชาย จะต้องไปเกิดเป็นพระปัจเจกฯ ครับ โดยเฉพาะพวกตัวตั้งตัวตี ไปสร้างลัทธินิกายแล้วยกย่องตัวเองซะยิ่ง ใหญ่นี้ ไปกันใหญ่เลย ตัวเองไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านำพาสัตว์ให้ถึง นิพพานได้จริง และมันมีปัญหาแล้วในปัจจุบันนี้ "ผู้หญิงไม่ยอมผู้ชาย" จะ ทำตัวเป็นใหญ่ เพราะ "ผู้ชายห่วยแตก" ใช่ ผู้หญิงเขาดีจริงๆ สวย, รวย, เก่ง, มีอำนาจ, ทำตัวดี, ฯลฯ และผู้ชายก็ "ห่วยแตก" บ้าง, เลวบ้าง, ไม่ ได้เรื่องบ้าง มันก็จริงอ่ะ แต่นี่มันคือ "วิบากกรรมของสัตว์เขา" ที่ผู้หญิงใน ยุคนี้ "ต้องยอมรับไป" ไม่รับไม่ได้ เขาสร้างมาอย่างนี้ ถ้าไม่ยอมรับ ก็ต้อง ไปตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ เอง จะไปทำตัวอย่าง "บูเช็คเทียน" ไม่ได้ เพราะ นั้นมัน "ภาคแบ่งของพระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์" มันไม่ได้เกิดมาเพื่อที่ จะเป็นผู้หญิงกะเขา มันแหกคอกจะไปแหกคอกตามเขาได้ไง บุญบารมีคน เราทำมาไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน เอาละ ผู้ชายทั้งหลาย ฟังให้ดี ไม่ต้องไป ทำตัวดีอะไรมากกะผู้หญิงนัก ทำตัวเหมือนอุ้ยเสี่ยวป้อนั่นแหละ ไม่ต้องไป ง้อมาก แต่ทุ่มเทเวลาไปทำเพื่อปวงสัว์ หรือ "ภาพรวม-ภาพใหญ่" ไป ซึ่ง เป็นบทบาทของผู้ชายอยู่แล้ว สุดท้าย "มันหนีกรรมไม่พ้น" คนมันต้องได้ ต้องมี ต้องเป็นสามีภรรยากัน ยังไงมันก็หนีกันไม่พ้น ไม่ต้องไปทำอะไรให้ ได้มันมาหรอก ไม่ต้องเลยนะ ทำดีมากไปเดี๋ยวเขาหลงเพลิน นิยมเกิดเป็น หญิงกันยกใหญ่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ฟ้าต้องการ ฟ้านิยมก็แต่มหาบุรุษเพศครับ จบ ...


5 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment