ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

เฮ้? ใครจะไปรู้ว่าที่แท้ "เด็กกำพร้า" ก็คือเนื้อนาบุญที่ดีอย่างหนึ่ง?

อ่ะ เมื่อวานโพสกระทู้ไม่ขึ้นเลย โพสไม่จบนะครับ แต่ไม่เป็นไร วันนี้ ก็มาตั้งต้นใหม่ หัวข้อง่ายๆ คือ "เรื่องของเนื้อนาบุญ" น่ะ ครับ เอามาเล่าฝากกันฟังเล่นๆ ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องซีเรียสนะครับ พร้อมแล้วก็เข้ามาคุยกันได้เลย ...


คนแต่ละคนมี "พลังบุญ" ไม่เท่ากัน แล้วคนแบบไหนละที่เป็นเนื้อนาบุญ?


เริ่มต้นด้วยอย่างแรกนะครับ เรามาทำความรู้จักกับ "พลังบุญ" ก่อน ว่ามี ที่มาจากอะไร? ง่ายๆ ก็มาจากคนที่มีบุญบารมีมากพอที่จะทำให้ คนที่ทำ บุญนั้นๆ ได้รับพลังบุญไปหล่อเลี้ยงตัวเองได้ เช่น พระสงฆ์ที่มีศีลดี บารมี ก็มาจากศีลนี่ละครับ ทว่า ไม่ใช่แต่พระสงฆ์เท่านั้นครับที่เป็นเนื้อนาบุญได้ อาทิเช่น คนที่ไม่มีกาม ปราศจากกาม มีพลังเนกขัมบารมี ก็เป็นเนื้อนาบุญ ที่ดีได้ครับ เช่น เด็กที่เกิดใหม่ๆ, วัยรุ่นที่ยังไม่เคยมีกาม ฯลฯ แบบนี้ ก็เข้า ข่ายมีพลังบุญที่มาจาก "เนกขัมบารมี" ซึ่งเป็น "ของเก่า" ได้นะครับ ไม่ ใช่ของใหม่ ดังนั้น เด็กจะแผ่พลังบุญให้ผู้เลี้ยงดู ก็คือ พ่อแม่, ผู้ให้กำเนิด ก่อน แต่ในเด็กบางคน มีพลังบุญมากกว่านั้น ธรรมชาติจึงจัดสรรให้แผ่ไป ให้คนจำนวนมากแบบ "สาธารณะ" ครับ เขาก็เลยต้องเกิดเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งใครๆ จะไปเลี้ยงดู ให้สิ่งของ หรืออะไรๆ ก็ได้ครับ พวกเขาสมมุติว่าอยู่ ในบ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน 50 ชีวิต ทั้งหมด เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด ก็จะมี พลังบุญมากทีเดียวครับ เราไปทำบุญให้เขาได้ แม้ว่าเราไม่มีบุตรของเราก็ ไม่เป็นไรครับ เพราะพวกเขาพร้อมรับได้ เอาละ ยังมีมากกว่านี้ที่เป็นเนื้อนา บุญได้ ซึ่งก็คือคนที่มีบุญบารมีในแบบต่างๆ จะแผ่พลังบุญให้คนอื่นได้ครับ


"เนื้อนาบุญ" จะสิ้นพลังบุญที่จะแผ่ให้แก่ผู้คนที่ทำบุญแก่เขา เมื่อไร?


ต่อไป แม้ว่าพวกเขาที่เรียกได้ว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" จะมีพลังบุญ และ สามารถแผ่พลังบุญหล่อเลี้ยงคนที่ทำบุญทำทานแก่เขาได้ ก็จริง แต่ มันก็ไม่เที่ยงนะครับ "มันสามารถหมดได้ เหมือนแปลงนาที่ย่ำแย่ลง" ได้เพราะอะไรบ้าง ง่ายๆ ครับ ก็คือ "ความเสื่อมในธรรม-ความเสื่อม ในบารมีที่บำเพ็ญ" เช่น เด็กอาจเสียพรหมจรรย์ (ไม่ว่าผู้ชายหรือว่า ผู้หญิง) เขาก็จะไม่อาจทำหน้าที่ "เนื้อนาบุญ" ได้ต่อไป ต้องยกให้ผู้ ที่เป็นสามีหรือภรรยา ผ่านการแต่งงาน แล้วใช้ชีวิต ทำงานทำการให้ เหมือนผู้ใหญ่ปกติ ทำหน้าที่เป็นผู้รับ ให้พ่อแม่ เลี้ยงดูอีกไม่ได้แล้วนะ ครับ แต่ถ้าเขาเสียพรหมจรรย์แล้ว กลับมาบำเพ็ญใหม่ เช่น หย่าขาด กันไปแล้ว ผู้ชายบวชพระ, ผู้หญิงอาจบำเพ็ญในผ้าขาว ก็จะมีพลังนี้ กลับมาได้อีกครับ ก็จะต้องบำเพ็ญนานหน่อย เช่น สัก 5 ปี ก็กลับมามี พลังเนื้อนาบุญได้ และสามารถดำรงอยู่แบบ "เนื้อนาบุญ" คือ ไม่ต้อง ทำงาน ปล่อยให้คนอื่นทำงานไป แล้วเราก็รับทักษิณาทานได้ครับ คือ กลับมาทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญได้ นั่นเอง สมมุติว่า ก่อนมีกาม เด็กนั้น อาจให้พลังบุญเราได้มีกินมีใช้ 75% แต่เมื่อแต่งงานแล้ว เด็กก็ได้รับ การช่วยเหลือจากอีกฝ่าย 50% อันนี้ ชัดเจนนะครับว่าการเสียพรหม จรรย์นี้ "ไม่คุ้มเลย" แต่ว่าถ้าก่อนเสียพรหมจรรย์ เด็กให้พลังบุญได้ 75% แต่เมื่อแต่งงานแล้ว อีกฝ่ายช่วยเหลือเรามากได้ถึง 80% อัน นี้ก็นับว่าคุ้ม "ควรค่าแก่การเสียพรหมจรรย์" ครับ อันนี้ ไม่ต่างกันทั้ง ผู้ชายและผู้หญิงครับ สำหรับผู้ชาย ถ้าเสียพรหมจรรย์ ก่อนบวชพระ ให้บำเพ็ญเนกขัมบารมีในผ้าขาวก่อน สักระยะครับ พลังบุญจึงจะขึ้น กลับมาเป็นเนื้อนาบุญที่ดีได้ แล้วก็ค่อยบวชพระต่อก็ได้ครับ ส่วนคนที่ ไม่เคยเสียพรหมจรรย์ก่อน ก็บวชพระได้เลยไม่ต้องบวชขาวก่อนครับ


"เนื้อนาบุญ" มีในคนที่ไม่ได้บำเพ็ญพรหมจรรย์ก็ได้ถ้าบำเพ็ญบารมีอื่น


ต่อไป ยังมีเนื้อนาบุญอีกแบบที่ไม่ได้บำเพ็ญพรหมจรรย์ แต่เขาก็ยังเป็น "เนื้อนาบุญ" ได้ครับ เช่น เป็นครอบครัวที่เป็นพราหมณ์ทั้งคู่ และมีบุตร ได้ และไม่ทำงาน ถ้าบำเพ็ญบารมีอื่นๆ กล้าแกร่งดี ก็สามารถทำหน้าที่ เป็นเนื้อนาบุญได้ครับ แต่กรณีนี้ บอกได้เลยครับว่า "ยากมากๆ" ทางที่ ดีคือ ถ้าจะทำตัวเป็นเนื้อนาบุญ ก็ต้องบำเพ็ญพรหมจรรย์ครับ ส่วนว่าจะ ดูหนังโป้หรือระบายอกทางอื่น ที่ไม่ได้มีกามกับใคร คือ ถ้าเป็นพระก็ผิด ศีลระดับ "สังฆาทิเสส" อันนี้ ยังกลับมาทำหน้าที่เนื้อนาบุญได้แต่ก็ต้อง เคลียร์พลังงานที่ไม่ดีออกไปด้วยการ "เข้ากรรม" หรือการปฏิบัติที่ยาก ยิ่ง เช่น เข้าปริวาสกรรม (สำหรับพระ) ก็หายพ้นไปได้ สำหรับฆราวาส ก็ต้องบำเพ็ญยิ่งยวดหรือทำกิจโปรดสัตว์ยิ่งยวดเหมือนกันก็หมดได้ครับ จริงๆ แล้วไม่ว่าพระหรือฆราวาสไม่มีใครเหนือใคร เหมือนกันครับ ในแง่ ธรรมะ ความจริง และการปฏิบัติ ถ้าฆราวาสปฏิบัติได้ทัดเทียมพระ ก็ไม่ ต่างจากพระครับ แต่ถ้าฆราวาสหลงตัวเองว่าตนไม่ต่างจากพระ ก็เลยมี การปฏิบัติแบบฆราวาส ก็สิ้นสภาพความเป็นเนื้อนาบุญไปได้ครับ คือ ไม่ ว่าจะห่มสีอะไร หลักการปฏิบัติเหมือนกันหมด ถ้าฆราวาสผิดสังฆาทิเสส ก็ต้องเข้ากรรมก็ต้องบำเพ็ญยิ่งยวดเหมือนกันจึงจะกลับมาเป็นเนื้อนาบุญ ได้ครับ ไม่ใช่ว่าพอเป็นฆราวาสแล้วประมาทว่าคนกับพระก็ไม่ต่างกัน แต่ ตัวเองกลับปฏิบัติต่างไปจากพระ แล้วนี่จะทำตัวเสมอพระ ก็ไม่ได้นะครับ!


"บิดามารดาแก่เฒ่า" ถ้าบำเพ็ญพรหมจรรย์ ก็เป็นเนื้อนาบุญแก่บุตรได้


ต่อไป ถ้าบิดามารดาแก่เฒ่าแล้ว บำเพ็ญพรหมจรรย์ ละเว้นจากกามแม้ ว่าจะไม่เจตนาก็ดี เช่น ภรรยาหรือสามีตายไปฝ่ายหนึ่ง แม้ไม่มีเจตนาที่ จะบำเพ็ญเนกขัมบารมีอะไร แต่ก็มีพลังพรหมจรรย์ จะทำหน้าที่เป็นเนื้อ นาบุญได้ครับ ดังนั้น ถ้าบุตรแต่งงานแล้ว มีความยากลำบาก ในการอยู่ กิน, ดำรงชีพ ก็อย่าลืมบิดามารดาเก่าแก่ที่บ้านเก่าครับ เพราะว่าท่านมี ความสามารถเป็น "เนื้อนาบุญ" ได้ อ่ะ ทีนี้ ก็มีคนค้านครับว่า แหม ก็ไม่ เห็นว่าต้องไปทำบุญให้พ่อแม่เลย ให้พระก็ได้มีเยอะแยะไป ก็ขออธิบาย อย่างนี้ครับว่า "พลังบุญของเนื้อนาบุญแต่ละท่าน มีจำกัด" ถ้าพระท่าน ได้รับบุญทานจากคนอื่นมากแล้ว พลังบุญท่านจะลดลง เหมือนเด็กบาง คนที่แผ่พลังบุญให้ได้แต่พ่อแม่ของตัวเอง แต่เด็กกำพร้าให้ได้มากกว่า กว้างขวางกว่าน่ะครับ คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นมาก ได้รับมา มากแล้ว พลังบุญก็แผ่ไปมาก เหลือให้คนที่มาทำบุญหลังๆ ได้น้อย แต่ คนที่ยังไม่ค่อยได้รับจากใครเลยนั่นแหละยังมีพลังบุญแผ่ได้มาก ยังไม่ ค่อยมีใครไปขุดเจาะเอาก็มีมากครับ เอาละ จริงอยู่ว่าทำบุญแล้วก็ได้ไม่ ต่างกันหรอก จะทำกับใครก็ได้ ถูกครับ ทว่า "มันให้ผลในรายละเอียดที่ ต่างกันด้วยครับ" เช่น ให้ได้เร็ว ได้ช้า ต่างกัน บุญไหนที่ต้นน้ำ จะได้เร็ว บุญไหนปลายน้ำ (เช่น ไปทำหลังคนอื่น เขาทำกันมากแล้ว) จะได้กลับ มาช้า มันถึงมีคำว่า "เนื้อนาบุญ" ว่าใครที่เป็นได้และเป็นไม่ได้ไงละครับ


"พระโพธิสัตว์" ขณะศึกษาและบำเพ็ญบารมียิ่งยวด ก็เป็นเนื้อนาบุญได้


ต่อไป ก็คือ "พระโพธิสัตว์" ที่ไม่ได้บวชนะครับ แต่กำลังบำเพ็ญบารมียิ่ง ยวด เช่น กำลังศึกษาเล่าเรียนแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ถ้าเขายังไม่มีกาม ยังไม่มีแฟนหรือครอบครัว ก็ทำหน้าที่เป็น "เนื้อนาบุญ" ได้ครับ และบาง ท่านก็เป็นเนื้อนาบุญอันวิเศษยิ่งทีเดียวครับ เพราะอะไร? เพราะว่าท่านไม่ ค่อยได้รับจากใครมากแบบพระสงฆ์นะครับ คนที่ไปช่วยเหลือท่านเหล่านี้ ก็จะได้พลังบุญต้นน้ำ ก่อนใครอื่นเลยครับ บางท่านก็มี "คนจองทำบุญ" ก็มีนะครับ มีหลายคนจองให้เลยก็มีเช่น จองกันให้ทุนการศึกษาแก่เด็กที่ เข้าข่ายเป็นพระโพธิสัตว์ครับ สำหรับคนที่มีครอบครัวแล้วคู่ครองของเขา ก็จะทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำจุนเอง เราไม่ควรไปทำทักษิณาทานให้เขามากก็ เขามีครอบครัวแล้วนะครับ แต่ถ้าพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์คนนั้นยัง ไม่มีครอบครัว แม้ว่ามีพ่อแม่ เลี้ยงดูแลอยู่ แต่พ่อแม่ เลี้ยงดูแลได้ไม่ทั่วถึง เช่น ขาดส่งเรื่องค่าเล่าเรียน อันนี้ละ โอกาสทองมาแล้ว เราก็ชิงทำบุญไป เลยครับ ใครไม่เอาเราเอาเอง เช่น นักศึกษาแพทย์ที่มาจากชนบท พวกนี้ มีพลังบุญเยอะ เป็นเนื้อนาบุญที่ดีทีเดียวครับ แต่ต้องเลือกสถานศึกษาที่มี การแข่งขันสูงๆ หน่อยละ เพราะเขาจะบำเพ็ญบารมีกันแบบยิ่งยวดนะครับ


"ฤษี-คนทรง-ผู้ปฏิบัติธรรม" ที่อยู่ในศีลธรรมที่ดี ก็เป็นเนื้อนาบุญที่ดีได้


ต่อไป ก็คือ กลุ่ม ฤษี, คนทรง, ผู้ปฏิบัติธรรมในวัดต่างๆ ท่านเหล่านี้ ก็ทำ หน้าที่เป็น "เนื้อนาบุญ" ที่ดีได้ครับ ดังนั้น เราสามารถสนับสนุน ได้เต็มที่ เช่น จองเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเพลแก่กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม อย่างนี้ก็ได้นะ ครับ ไม่ต้องยึดว่าจะที่ไหน บางสถานธรรม เขาก็มีเลี้ยงดูอยู่แล้ว เราก็ไป ขอเขาสิครับว่าผมขอจองเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มนี้สัก มือได้ไหม? ใช้เงินประมาณเท่าไร? ทางสถานธรรมอาจบอกว่าประมาณ สองพัน ก็ดี, ห้าพัน ก็ดี เราพอไหวมั้ย? ถ้าเราไหว ก็ทำไปได้ครับ เห็นมั้ย ครับว่าเนื้อนาบุญมีอยู่มากมาย บุญมีให้ทำเยอะแยะครับ (ไม่ใช่มีแต่พระ) หรือยิ่งถ้าเป็นคนทรงที่เป็นโสด ไม่มีคู่ อันนี้ ยิ่งเหมาะนะครับ เราก็ดูว่าเขา ทำอะไร เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? และมีรายได้หรือเปล่า? เช่น ถ้าดูดวงฟรี, รับ รักษาโรคด้วยพลังจิตฟรี อันนี้ เหมาะเราละครับที่จะจองทำบุญต้นน้ำ เป็น คนแรกๆ ที่ได้รับพลังบุญนี้ก่อน นาบุญ ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ เราก็ทำไปเลย ครับ ไม่ต้องสนใจใคร นาบุญที่คนอื่นทำกันมากเกินไปแล้ว มันจะเริ่มขาด ความอุดมสมบูรณ์ไปแล้วครับ เราก็ไม่ต้องไปทำมากอีก ไม่ต้อง "แห่ตาม กันไป" หรอกครับ เราหาเอง, เจอเอง, ได้เองก่อนใครแบบนี้ดีกว่านะครับ


คนเราทุกคน ก็ควรจะมี "นาบุญที่ดี" ไว้ทำบุญประจำ มรรคผลต่อเนื่อง


สุดท้าย ก็คือ คนเราอยู่บนโลกนี้โดยสิ้นบุญ ไร้นาบุญทำ คงจะแย่นะครับ ดังนั้น เราก็ควรแสวงหา "นาบุญ" ของเราเอาไว้ สักอย่างหนึ่ง สักคน ก็ ยังดีครับ เช่น ถ้าเรามีลูกหลายคน อาจมีลูกชายคนหนึ่งไปบวชยาวๆ นี่ก็ โชคดีเลย ได้เป็นแหล่งเนื้อนาบุญของเรา, ถ้าเรามีลูกผู้หญิงแล้วก็กลาย เป็นหม้าย แต่ถ้าเขาบำเพ็ญพรหมจรรย์ ก็เป็นแหล่งเนื้อนาบุญได้ครับ ซึ่ง ถ้าเรามองรอบตัวเราให้ดี เรามีนาบุญเยอะแยะให้เลือกเลยครับ ไม่มีใครที่ ถูกฟ้าทอดทิ้ง ทำให้ไม่มีนาบุญจะทำนะครับ ลองดูดีๆ อย่ายึดติดแต่ว่าเรา จะให้แก่ญาติหรือลูกเรา หรือใครที่มีเชื่อสายของเราเท่านั้น มองให้กว้าง, ทำให้ให้กว้างครับ แล้วเราจะได้เห็น ได้เข้าถึง และได้เนื้อนาบุญดีๆ ซึ่งยัง มีอีกมากมายเลยครับ ทีนี้ ยิ่งถ้าเราได้นาบุญประจำที่ไม่ต้องแย่งกับใครก็ ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่ เช่น พ่อแม่ที่แก่เฒ่าแล้ว และไม่มีใครดูแล แหม เสร็จเรา ละ เราก็เอาเลยมาเป็นนาบุญของเรา ได้ฟรีๆ ไม่มีแม้แต่ค่าโอนนะครับ ไม่ ต้องใช้เงินไปซื้อที่นาของใคร ทำประจำ ทำให้ต่อเนื่อง ทำเรื่อยๆ ไป ก็จะ มีพลังบุญหนุนนำหล่อเลี้ยงเราได้ตลอดไป ต่อเนื่องได้เรื่อยๆ ครับ เอาละ แนะนำมามากแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่บุญกรรมสัมพันธ์ของแต่ละท่านครับ สวัสดี ...


4 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment