ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งยวด ยิ่งมาก ยิ่งห่างไกลธรรมมาก สมาธิอะไรก็ไม่ต้องไปทำ ไร้สาระ!

อ้าว เคยพูดเรื่องนี้บ่อยๆ แล้ว แต่เห็นยังมีท่านที่หลงการทำ อะไรเยอะๆ มากๆ ยุ่งๆ แยะๆ แล้วคิดว่านั่นคือการปฏิบัติยิ่ง ยวด แล้วเป็นของดี เห็นใครที่ ทำอะไรเยอะๆ นั่งสมาธิ, เผา ตัวเอง, ทรมานตัวเองได้ ก็ยิ่ง ชอบ เอาละ สรุปเลยละกัน ไม่ ต้องไปทำอะไร ให้มันได้ธรรม ทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องทำแล้วได้ นะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง...


ความหลงไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ย่างตัวแบบโยคี อะไรนั่นล้วนไร้สาระ


อ้าว ก่อนที่จะเตลิดเปิดเปิงไปหลงโยคีที่ย่างตัว ทำสมาธิ เผาไฟอะไรกัน บอกก่อนเลยครับว่าไม่ใช่กรรมของเรา เราไปทำ ก็เท่ากับเราทำกรรมต่อ ตัวเราเอง คือ เอาตัวเราเองไปทรมานทรกรรม ไร้สาระ เราเกิดมาก็มีกรรม กันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำกรรมซ้ำเติมตัวเองให้โง่เง่าอะไรอีก ส่วนคนที่เขา ทำนั้น เพราะเขามีกรรม เลยทำอย่างนั้น หมดกรรมเมื่อไร ก็รู้เองว่าโง่เสีย จริงที่ไปทำกรรมต่อตัวเองเช่นนั้น ไม่ต้องไปคิดปรุงแต่ง ทำกรรมอะไรต่อ ตัวเองเลย เรามีกรรมมากพออยู่แล้ว รับไป เสวยไปให้หมด หมดแล้วมันก็ "ปิ๊งได้" ถ้าเราพร้อมนะครับ ทีนี้ ที่ผมว่าไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมอะไรนี่? ไม่ ใช่ว่าไปสุดโต่ง ไม่ทำอะไรเลยนะครับ ทำได้ครับ เหมือนคนปกติ ทำไปไม่ ได้กำหนดว่าต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้ธรรมอย่างนี้อะไรเลย ทำตัวตามที่ เราเป็น ธรรมชาติตามปกตินี่ละไม่ต้องไปทำกรรมลากตัวเองให้ไปทรมาน เพิ่มอะไร แล้วก็ไม่ต้องไปหลงโยคีที่เขาทรมานตัวเอง ทำสมาธิมากหรือมี การย่างตัวในกองไฟโชว์อะไรนั่นด้วย ไร้สาระครับ นี่ผมก็ไม่ได้รู้เองหรอก ในเมื่อพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว เราก็อาศัยบารมีท่านมาโปรด พอแล้ว ไม่ ต้องไปทำตัวเป็นท่านแทนที่ท่านอีกแล้ว ไม่มีองค์ที่สองแล้วครับ ท่านตรัส ไว้ตั้งแต่แรกเกิด ท่านก็ชี้นิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว หมายถึง พระพุทธเจ้ามีหนึ่งเดียว


เมื่อโลกวิกฤติ คนขาดที่พึ่งทางใจ ซาตานก็ปั้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง


ต่อไป เป็นเรื่องของการปั้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ซึ่งไม่ใช่ของจริงนะ ครับ เป็นของปั้นแต่ง ทำโดยภาคมืดครับ เพื่อให้มีพระพุทธเจ้าของเขา เองที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์จริง พระพุทธเจ้าองค์ที่สองนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ครับ หลายครั้งแล้ว ที่ภาคมืดปั้นมาให้คนประเทศต่างๆ เช่น ในประเทศ ธิเบตก็มี, เนปาล ก็มี ฯลฯ มันก็คือการปั้นแต่งที่ได้ผลในกลุ่มคนที่ยังล้า หลังครับ เพราะมันจะกลายเป็นที่พึ่งทางใจของคนในยุคนั้นๆ ได้ เพราะ คนทั้งหลายยังล้าหลัง และต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ในช่วงที่โลกได้ เข้าสู่วิกฤติ ก็เท่านั้นเอง สิ่งเหล่านี้ก็เกิดตามกันมาครับ ทว่า แท้แล้วยุค แต่ละยุคมีพระพุทธเจ้าได้ ๑ องค์เท่านั้น (ถ้าอยู่ในยุคที่มีพระพุทธเจ้า) ไม่มีการเกิดขึ้นซ้อนกันของพระพุทธเจ้าองค์ที่สองนะครับ แต่พุทธะนั้น มีได้มากครับ เรียกว่า "หมื่นพุทธะ" มีได้อนันต์ เป็นจิตเดิมแท้ต้นทางที่ กำเนิดของจิตทั้งปวงมาจากพุทธะก็เท่านั้นแต่ "พุทธะ" กับ "พระพุทธ เจ้า" ต่างกันเล็กน้อยนะครับ ผมจึงขอเรียกพุทธะอื่นๆ ที่เกิดมาหลังพระ พุทธเจ้าตรัสรู้ และโปรดแล้วว่า "พุทธสาวก" ครับ เพราะชัดเจนดีที่สุด


การทำงานปกติ ก็พัฒนาพละห้าอยู่แล้ว แต่ยังไม่ใช่ทาง "สัมมา" เท่านั้น


ต่อไป คำว่าไม่ต้องไปฝึกสมาธิ เพราะมันเกิดได้เองอยู่แล้วขณะทำงานได้ ครับ เรียกว่า พละทั้งห้านั้นก็มาจากการทำงาน, ใช้ชีวิตตามปกตินั่นแหละ แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "สัมมา" ครับ เพราะยังไม่เป็นกลาง ยังเอนไป เพื่อสนองประโยชน์ทางโลกอยู่ครับ อย่างคนที่ไปฝึกสติ, สมาธิ ฯลฯ อะไร ก็เช่นกัน ยังไม่ใช่สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ อะไรหรอก มรรคมีองค์แปด จะมี ได้ เกิดได้ ไม่ใช่มาจากเราอุปทานไปเอง คิดเอาเอง ว่าปฏิบัติแบบนั้นแบบ นี้ แล้วมันจะมีได้ เกิดได้หรอกนะครับ แต่มันจะมาเมื่อได้รับการโปรดจนถึง ธรรมจริงๆ ครับ การเข้าถึงธรรมในระดับต่างกัน ทำให้ได้มรรคไม่เท่ากันก็ เริ่มจากบรรลุโสดาบัน จะได้มรรค ๕ ตัวแรก (ถึงสัมมาอาชีวะ) ที่เหลืออีก สามตัว ก็ได้ทีละตัวตามระดับการบรรลุธรรม ก็เท่านั้นเองครับ มันกลางมา ก่อนบรรลุธรรมไม่ได้หรอก ก่อนบรรลุธรรม มันไม่มีใครกลาง (สัมมา) ทั้ง นั้น พอบรรลุธรรมแล้วถึง "กลางได้จริง" การไปปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่ปฏิบัติที่ เป็นกลางหรอกครับ ไม่ได้ต่างจากคนไม่ปฏิบัติ เพราะการทำงาน ก็คือการ ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ยิ่งปฏิบัติในสำนักนั้น, สำนักนี้มาก ยิ่งเอนเอียงครับ


การไปปฏิบัติธรรมในสำนักทั้งหลาย ไปได้ เอาแต่พอดี ก็พอ ไม่ต้องมาก


ต่อไป ผมไม่ได้ขวางการสร้างบารมี หรือการปฏิบัติอะไรของท่านนะครับ แนะนำเพียงเรื่อง "ความพอดี" คือไม่ต้องไปจมปลักปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีก จนไม่รู้ว่าจะจบตรงไหน อย่างไร? เอาแต่พอดี คือ ไปเพื่อให้เกิดปัญญามี ปัญญาแล้ว ก็เรียกว่า "พอดี" บางคนช้า, บางคนเร็ว ไม่ต้องถึงขั้นบรรลุ ธรรมในพระพุทธศาสนา ก็ได้ เอาแค่มีปัญญาเข้าใจในการปฏิบัติของใน สำนักนั้นๆ ก็พอ ไม่ต้องไปเก่งอะไรมาก ไม่ต้องไปแข่งเอาเหนือใครในนั้น พอเข้าใจ พอมีปัญญา ก็พอแล้ว นี่แหละ ที่เรียกว่า "พอดี" คือ ไม่หลงไป จมปลักอยู่ หลงวนอยู่กับการปฏิบัติที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญา โง่แล้วโง่อีกอยู่ นั่น ไม่เกิดปัญญาเสียที ไม่รู้จะปฏิบัติอะไรไปให้มันนักหนา นี่เรียกว่าขาด สติ เพราะสติไม่ทำงาน มันจึงหลงไปเรื่อยๆ หยุดไม่ทัน สติไม่ทันบอกว่านี่ เจ้าหลงไป หาทางจบไม่ลง หยุดไม่ได้แล้ว ก็เลยปฏิบัติจมปลัก อยู่นั่นเอง ส่วนคนที่ "สติทำงาน" สติก็จะบอกว่า "เอาละ พอดีแล้ว พอได้ จบได้" นี่ สติมันทำงาน มันบอกเราอย่างนี้ ถ้ามันไม่ทำงาน มันหลับอยู่ มันไม่ตื่นเสีย ที มันก็จะไม่บอกเราๆ ก็จะหลงปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนหาที่จบ หาที่หยุดไม่ได้


พระพุทธเจ้าจอมปลอม กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง การท่องเที่ยวได้


ต่อไป ภาคมืดจะปั้นให้มีพระพุทธเจ้าจอมปลอมขึ้นมา ประเทศใดที่ทำได้ก็ จะอ้างได้ว่า ฉันมีพระพุทธเจ้า มาดูสิ มาเที่ยวสิ ฉันเป็นศูนย์กลางของพระ พุทธศาสนานะ เธอจะต้องมาขึ้นกับฉัน แทนที่จะบอกว่าอะไรเป็นอะไร? ไม่ ละ ตั้งคำถามไปว่า "เธอลองไปดูสิ ว่าโยคีคนนั้นเขาทำได้ยังไง" คือ แขก เขาหลอกให้เราไปดู ให้เราไปหลง ให้เราไปเยี่ยมชม แบบเนียนๆ ก็เท่านั้น (คนไทยโบราณถึงว่า เจองูกะแขกให้ตีแขกก่อน แหม มันหลอกเก่งจริงๆ) เอาละ อย่างไรเสียก็กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งขยายผลไประดับ โลกได้ เหมือนประเทศในกลุ่มมุสลิมไง ทีนี้ ประเทศเขาก็เอาบ้าง ไหนๆ ก็ มีประเทศมากมายที่นิยมพุทธ ก็เอาเลย ตั้งตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางเลยปั้น พระพุทธเจ้าองค์ที่สอง (จอมปลอม) ขึ้นมา ถ่ายทำให้เห็นการทำสมาธิ? อะไรต่อมิอะไร ไร้สาระ หวังสร้างกระแส คนที่ทำจริง ตัวจริง ก็อย่างหนึ่งก็ ต้องแยกแยะให้ออกนะ คนละอย่างกัน ส่วนคนที่ไปปั้นให้เขาเป็น ให้คนที่ ปฏิบัติโยคี ทำสมาธิเป็นพระพุทธเจ้าอะไรนั่น ก็อีกส่วนหนึ่ง คนละส่วนกัน ต้องแยกแยะให้ดีละ เอาละ อย่าไปหลงกับการปฏิบัติมาก โยคี เขาก็ชอบ โชว์ ชอบอวด อวดโชว์ฤทธิ์โชว์เดช ในสมัยพุทธกาลมีมากมาย พระพุทธ เจ้าท่านไม่นิยม เพราะไม่ช่วยให้เกิดปัญญาอะไร ยิ่งทำให้คนหลงไปใหญ่


"ตัวตนที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" นั้น ก็อาจมีได้ เป็นไปได้


ต่อไป บนโลกนี้อาจมีคนที่เกิดมาแล้วทำตัวเหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีได้ เพราะอะไร? เพราะในอดีตชาติมาในครั้งที่ท่านยังทรงเป็นพระโพธิ สัตว์ นามว่า "พระมหาโพธิสัตว์อาภา" อยู่นั้น ท่านแบ่งภาคมากมาย ทว่า บางภาคแบ่ง บางตัวตน ไม่ได้มาทำหน้าที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อไม่ได้ ทำหน้าที่นั้น ได้ทำหน้าที่อื่นแล้ว ยังไม่เข้านิพพาน ก็มาเกิดอีกได้ และจะมี ลักษณะหรือพฤติกรรมคล้ายพระพุทธเจ้าสมณโคดมได้ ทว่า เขาไม่ได้มา ทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง "เป็นพระพุทธเจ้าซ้อนกัน" นั้นไม่ได้ เขามาทำหน้าที่อื่นของเขา ก็ว่ากันไป เท่านั้นเอง ที่สามารถจะเป็นไปได้ที่ สุด ทีนี้ ถ้าพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะทรงมาโปรดตัวตนที่เหลืออยู่ ซึ่งยัง ไม่ได้นิพพานของท่านแต่ก่อน ทั้งหลาย ก็สามารถทำได้ หากท่านจะทรง โปรด ทรงกระทำ อันนี้ ไม่ใช่วิสัยของเราจะไปตัดสินว่าท่านทำจริงหรือไม่ แต่อย่างไรเสีย ในยุคพุทธกาลหนึ่งยุค จะไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดซ้อนกันถึง สององค์ หรือมีเกินกว่า ๑ องค์นั้น เป็นไปไม่ได้ มีได้ก็แต่ "พุทธะ" เท่านั้น ไม่ก็ตัวตนของ "พระมหาโพธิสัตว์อาภา" ที่ยังไม่เข้านิพพาน ก็เท่านั้นเอง


อย่ามัวหลงพระอาภาโพธิสัตว์ จนหลงลืมพระพุทธเจ้าสมณโคดมละ?


สุดท้าย พระมหาโพธิสัตว์อาภา ในอดีตได้แบ่งภาคมากมาย บางภาค แบ่งไม่ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดม ดังนั้น อาจมาเกิดได้ ก็ จะมีลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้าสมณโคดมได้ ทว่า ไม่ใช่ว่าท่านจะมา เกิดเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง เราก็ไม่ควรไปหลง หรือเข้าใจผิด เวลาเห็นใครปฏิบัติมากๆ นั่งสมาธิมากๆ ย่างตัวกับไฟแบบโยคี นี่เราก็ ไม่ต้องไปหลง ในเมื่อพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็เกิดแล้ว ตรัสรู้แล้วใน โลกนี้ เราก็ตรงไปสู่ท่านเลยไม่ต้องวนกลับไปหาพระโพธิสัตว์อาภาอีก ส่วนคนที่มีกรรม มีบุญเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์อาภานั้น เขาก็ต้องมีเรื่องมี ราวทำร่วมกันไป ก็แล้วแต่เขา เรารู้ไว้ว่าไม่ใช่กิจของการมาตรัสรู้อีกที ก็แล้วกัน แต่เขาอาจทำหน้าที่เป็น "ร่างเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าสมณ โคดม" ได้ เพราะพระพุทธเจ้าสมณโคดม มีวิบากกรรมตัดรอน ทำให้มี สังขารใช้ได้เพียง ๘๐ ปี ทว่า ท่านยังดำรงอยู่ในอีกธรรมชาติหนึ่ง ในที่ ต่างไปจากเราจะคิดได้ เหนือสังขารแล้ว ท่านสามารถประสานเชื่อมโยง มายัง "สังขารอื่นๆ" เพื่อโปรดสัตว์ ก็ได้ ธรรมของท่าน เชื่อมโยงผ่านที่ ร่างของคนที่ยังมีสังขารอยู่ก็ได้ อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเกิดเป็นพระพุทธ เจ้า แต่เป็นเรื่องของการทำกิจโพธิสัตว์ ที่ใช้ร่างเชื่อมโยงกับท่าน ก็เท่า นั้นเอง เอาละ ในระหว่างใครบางคน กำลังเดินตามรอยกรรมเก่าของเขา อยู่ เราก็อย่าเพิ่งไปยุ่งจะดีกว่า รอให้เขาได้บารมีเต็มแล้ว ก็ค่อยมาว่ากัน


8 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment