ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

กินเจบริสุทธิ์กินอย่างไร? อาหารนั้นมันไม่มีความผิดในตัวมันเองหรอก

อ้าวละ วันนี้ ผมขอต่อเรื่องกินเจ ก็แล้วกัน สำหรับท่านที่ยังคิดว่า ตนเองเข้าใจ แต่มันจริงหรือไม่? ก็ลองอ่านดูละกัน ถ้าไม่อ่าน ไม่ ตั้งใจอ่าน เอาแต่ยึดความรู้เดิมๆ ก็จะไม่รู้เรื่องที่ผมสื่อสารเท่านั้น แหละครับ เราสื่อสารก็เพื่อการ สื่อสารให้เข้าใจ ไม่ใช่อะไรอื่นๆ ขี้เกียจพูดมาก เข้าเรื่องเลยครับ


อาหารใดๆ นั้น มันก็คือธรรมะ ธรรมชาติ แล้วความไม่บริสุทธิ์มาจากไหน?


อย่างแรก ถ้าคุณยังยึดติดอยู่ว่า "นี่คือเนื้อสัตว์ นี่คือผัก" คุณก็ยังไม่ได้เจ บริสุทธิ์นะครับ สำหรับท่านที่เข้าถึง "เจบริสุทธิ์" แล้ว พระจี้กงบอกว่า เขา จะเห็น "อาหารทุกอย่างที่กิน มันก็แค่ธรรมะธรรมชาติ เหมือนดิน, น้ำ, ลม ไฟไม่มีอะไรแตกต่างกันในเนื้อสัตว์หรือผัก" ท่านว่าอย่างนั้น แล้วผมก็เลย ถาว่าอย่างนี้ "ความไม่บริสุทธิ์จากการกิน" มันมาจากไหน? ท่านก็เมตตา ตอบผมว่า "สรรพสิ่งล้วนเป็นธรรม" อาหารทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว ทว่า ความไม่บริสุทธิ์ของอาหารที่เรากิน มาจาก "มโนกรรม, วจีกรรม และกาย กรรม" ของผู้กระทำกรรม ผู้กินอาหารนั้นเอง "หาใช่มาจากอาหารนั้นไม่" แล้วมันมาได้อย่างไร? ท่านก็ตอบว่า "เมื่อผู้กินอาหาร เริ่มมีดำริอย่างนี้ว่า ฉันจะกินสิ่งนั้น ฉันจะกินสิ่งนี้ย่อมมีเจตนา ย่อมมีสังขารปรุงแต่งอาหารนั้น จึงไม่ใช่ เจบริสุทธิ์" ไม่ใช่ด้วยตัวอาหารเอง แต่ด้วยมโนกรรมของเขานั้น ปรุงแต่งมันขึ้นมา เช่น ฉันจะกินผัก, ฉันจะกินเจ, ฉันจะกินข้าวขาหมู ฯลฯ เมื่อมีเจตนากำหนดจะกินอย่างนี้ ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นผักหรือเนื้อสัตว์ ก็ ดี อาหารนั้นหาใช่เจบริสุทธิ์ไม่ บุคคลย่อมกินยเจบริสุทธิ์ได้เมื่อ 1. เขาไม่ ได้กำหนดเจตนาในการกินอาหารใดๆ 2. เขาไม่ได้ลงมือกระทำกรรมเพื่อ ให้ได้มาซึ่งอาหารนั้นๆ (เช่น ได้รับจากที่ผู้อื่นให้) 3. เขาไม่ได้กินด้วยจิต ที่คิดว่า "ฉันจะกินสิ่งนั้น ฉันจะกินสิ่งนี้" สักแต่ว่ากินๆ ไปอย่างนั้นเองหละ


การกำหนดเจตนา "กินเจ" จะมีกรรมฆ่าสัตว์มากมาย (กว่าจะได้ผักมา)


ต่อไป ผมก็ถามท่านต่อว่าแล้วการกินเจที่คนทั่วไปกินอยู่ทุกวันนี้ ใช่เจซึ่ง เรียกว่า "เจบริสุทธิ์" หรือยัง? ท่านตอบว่า "ยังไม่ใช่หรอก" เพราะยังมี การกำหนดเจตนา ตั้งใจ ที่จะกินสิ่งนั้น สิ่งนี้อยู่เลย ไม่รู้หรืออย่างไรว่าผัก ทั้งหลาย กว่าจะได้มานั้น คนปลูกผักต้องไถพรวน ฆ่าไส้เดือนตายไปเท่า ไร? ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดให้แมลงตายไปเท่าไร? กว่าจะมาถึงมือคนกินเจนั้น ผ่านการเบียดเบียนผู้อื่น (รวมทั้งแรงงานทั้งหลายที่ทำให้เรามีผักกิน) ไป แล้วเท่าไร? กรรมทั้งนั้นเลย เมื่อบุคคลมีเจตนากำหนดจะกินเจเช่นนั้น เขา ก็ย่อมจะได้รับผลกรรม "ร่วมกันไปกับผู้ปลูกผักทั้งหลาย" ดังนั้นพระพุทธ เจ้า จึงทรงบอกศีล ไม่ให้ภิกษุไปหักร้างถางพง, ปลูกผัก หรือแม้แต่เด็ดใบ ไม้ ก็ไม่ได้ให้กระทำ แต่ถ้าไม่รีบนิพพาน จะทำก็ได้ อันนี้ ต้องแยกแยะด้วย ว่าคนละกรณีกัน คนละวัตถุประสงค์กัน อนึ่ง คำว่าเจบริสุทธิ์นั้น พระสาวก ที่ท่านฉันได้ ก็ด้วยไม่มีเจตนาจะกำหนดให้ว่าจะฉันอะไร มีอะไรฉันก็ฉันไป และมิได้เป็นผู้กระทำกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารนั้น ท่านรับบิณฑบาตร ก็ เท่านั้นจะไปบอกญาติโยมว่าห้ามใส่เนื้อก็ไม่ได้ ตอนจะฉันจะฉันแต่ผักแล้ว โยนเนื้อทิ้ง ก็ไม่ใช่ ท่านไม่เห็นสาระความแตกต่างอะไรของสิ่งที่อยู่ในนั้น แล้ว ก็คือ "ธรรมะ ธรรมชาติ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ธาตุต่างๆ ไม่ต่างกันเลย" นี่ "พระอรหันต์แท้ๆ" เขาฉันเจบริสุทธิ์กันอย่างนี้ มิใช่ ฉันเป็นคนดีมากละ กินแต่ผักจ๊ะ กำหนดเจตนา ไปเลือกซื้อ ชี้เอานั่นเอานี่ แล้วก็จ่ายๆ เงินไป อันนี้ ถ้าทำแบบนั้นแล้วได้เจบริสุทธิ์ก็คงมีพระอรหันต์กันเกลื่อนเมืองแล้ว


การ "กินเจ" ตามเทศกาลมันเป็นเรื่องทางโลกตามประเพณีไม่ใช่ของแท้


ต่อไป การกินเจที่เราเห็นในเทศกาลกินเจได้ "เจบริสุทธิ์หรือไม่" พระจี้กง เมตตาตอบว่า "ไม่ได้เลย" มันเป็นแค่การกินเจแบบทางโลกเป็นเรื่องโลกๆ เป็นไปตาม "กระแสนิยมชั่วครั้งคราว" ก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวเข้าเทศกาลไหว้ เจ้า มันก็ฆ่าไก่ฆ่าหมูกันเพียบไปหมด เออ จิตใจมันก็เหมือนเดิม แล้วมันจะ ได้ "เจบริสุทธิ์" กันได้อย่างไร? ที่ไหนกัน? มันจะได้ก็แต่ "เจเปี้ยว" ก็เท่า นั้นแหละ มันเป็นเรื่องทางโลก เขาก็ทำกันไป เราไม่ได้ขวางอะไร เราบอก แค่ว่ามันยังไม่ใช่ "เจบริสุทธิ์" ในทางธรรมที่แท้จริง ก็เท่านั้นเอง แยกแยะ ให้ออกหน่อยนะ "อะไรที่เป็นทางธรรมแท้ อะไรที่เป็นแค่สมมุติทางโลก?" นี่ไม่เหมือนกัน ยังไม่เกิดปัญญาจริง ไม่เข้าถึงธรรมจริง อะไรๆ มันก็ได้แค่ โลกๆ สมมุติๆ ไปอย่างนั้นแหละ มันยังไม่ใช่เจบริสุทธิ์จริง อย่าเพิ่งไปหลง ตัวเองมากละ ว่าฉันกินเจได้ ฉันปฏิบัติกินเจมานาน ฉันได้ธรรมแล้ว โอ้ยนี่ เดี๋ยวนี้มันหลงตัวเองกันเยอะ เพราะมันถือตัวกันว่ามันปฏิบัติไดแล้ว แต่ที่ ได้นี่ มันของจริงหรือยัง? ตั้งตัวเป็นศาสดาบ้าง, อาจารย์สอนธรรมบ้างแต่ มันไม่ได้มี "ธรรมะจริงๆ" ธรรมจริงๆ ยังไม่เกิด ก็ออกมาทำงานก่อน มันก็ ไม่ผิดหรอก ถ้าเข้าใจตัวเอง ว่าตัวเองยังไม่ใช่ธรรมแท้ แต่ทำกิจปูทางไป ก่อน แต่นี่พอทำกิจไปแล้วมีคนมาแห่ห้อมล้อมมากก็เลยหลงตัวเองไปเลย


การโฆษณา-สอนว่าการกินผักดีกว่ากินเนื้ออย่างนั้น เป็นคำสอนของใคร?


ต่อไป พวกที่เป็นลัทธินอกคอกไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง "เจบริสุทธิ์" ก็พยายาม ทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับในความคิดของตน จึงได้ใช้การโฆษณา สั่งสอน ให้คนกินเจ กินผักว่าดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือ คำสอนของพระ พุทธเจ้าหรือไม่? พระจี้กงเมตตาตอบว่า "ไม่ใช่ มีหรือที่พระพุทธเจ้าท่าน สอนให้เลือกฉัน อย่างนั้น ดีกว่าอย่างนี้ เนื้ออย่างนี้ไม่ดีอย่างนั้น?" อะไร? แอบอ้างพระพุทธเจ้า "บาปหลายๆ เด้อ" ท่านไม่ได้มีสอนเรื่องโภชนาการ อะไรหรอก สอนแต่การเข้าใจในสัจธรรมความจริง แก่นแท้แล้วก็ไม่ยึด แม้ แต่อาหารที่กิน ก็เท่านั้นเอง แต่มีศีลให้ไว้จริงบ้างว่าเนื้ออะไรที่ภิกษุไม่ควร ฉัน ก็เท่านั้น ไม่ได้มีบอกเรื่องว่าเนื้อนี้มันไม่ดีอย่างนั้น เลยห้ามเป็นศีลไว้ว่า ไม่ให้กิน อะไรแบบนั้น ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีแต่พิจารณาสิ่งที่ ตนจะกิน เรียกว่าพิจารณาอาหาร เช่น อาหาเรปฏิกูลสัญญา อันนั้น มีบ้าง คือ ให้พิจารณารวมไปหมดว่าอาหาร ไม่ใช่ของที่จะยึด ไม่แบ่งว่านี่ผักนะ นี่เนื้อสัตว์นะ มันดี-เลว, ถูก-ผิด ต่างกันนะ อะไรแบบนั้นมีอยู่ตรงไหนหรือ


"บัวมีสี่เหล่า" อวโลกิเตศวรที่ดื้อด้าน ก็ตั้งตัวเป็นศาสดาแทนฯ ต่อไป


ต่อไป ยังมี "อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์" พวกหนึ่งที่ดื้อด้านสอนไม่ได้แต่ หลงตัวเอง ยกตัวเองเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า แล้วบอกกะคนทั้ง หลายว่าคำสอนของตัวเอง ก็คือ ของพระพุทธเจ้า ถูกต้องแล้ว เพราะ คิดว่าฉันคิดถูกแล้ว ฉันดีเลิศแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าโลกเรานี้ พระพุทธ เจ้านั้นเกิดได้ยาก ไม่มีใครเหมือน ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ตรัสรู้แล้วมี สัพพัญญูญาณ ไม่มีสาวกองค์ใดแทนที่ได้ เขาไม่สนใจเรื่องนี้ ก็เลย ตั้งตัวเป็นผู้นำแทนพระพุทธเจ้า ถือเอาความคิดของตนเป็นใหญ่แล้ว ไปเผยแพร่คำสอนว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ตอนนี้มีปัญหามาก เลย จะทำอย่างไรดีละ? พระจี้กงเมตตาตอบว่า "บัวมีสี่เหล่า" ท่านที่ อยู่ข้างบน ก็ทราบทั้งหมด ท่านไม่ได้บอกว่าใครทำถูกหรือผิดอะไร ก็ เป็นไปตามธรรมะ ธรรมชาติ เช่นนั้นเอง บัวบางดอกก็พร้อมจะบานแต่ บัวบางดอกก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น "ผ่าเหล่าผ่ากอ" ก็มีอยู่ทั่วไป ซึ่งท่าน พระจี้กงสำเร็จธรรมถึง "พุทธะ" สูงกว่าอวโลกิเตศวรที่แอบอ้าง ยกตัว เหล่านั้นมากมาย แต่พระจี้กงไม่เคยสร้างลัทธินิกายใดๆ เลย ไม่เคยยก ตัวเองเป็นผู้นำอะไรเลย ท่านทำกิจของท่านตามธรรมะ ธรรมชาติ แล้ว มีผู้อื่นนิยมชื่นชมท่าน ก็เท่านั้นเอง นี่ก็คือ "ตัวอย่าง-แบบอย่าง" ของ "พระสาวกที่ดี" มิใช่ "คนที่แอบอ้างนามพระพุทธเจ้า อ้างตัวเป็นสาวก แต่มีใจคิดกบถ ยกตัวเองแทนพระพุทธเจ้า เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่"


อวโลกิเตศวรที่ดื้อด้านเหล่านั้น ไม่มีบารมีถึงดวงดาว ต้องไปแบบปัจเจกฯ


ต่อไปคือ ผลจากความดื้อด้านของอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เหล่านั้น ก็จะนำ พาพวกหล่อนไปยังภูมิแห่ง "ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่ยากลำบาก และไม่มีสังคม ต้องหาทางตรัสรู้เองอย่างยาก และดำรงอยู่ในโลกในยุคที่ แสนยากลำบาก มีแต่คนมีกรรมหนักๆ มาเกิดทั้งสิ้น นั่นก็คือ ผลจากความ ดื้อด้านของอวโลกิเตศวรเหล่านั้น แทนที่จะได้นิพพานง่ายๆ เพียงรอให้มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้บนโลก รอรับท่าน รอการโปรดจากท่าน ก็ได้นิพพาน แล้ว ยังดั้นด้นไปหาความยากลำบากเอง อันนั้น ก็แล้วแต่เขา ถ้าเขาอยาก จะเลือกทางเดินเช่นนั้น เราได้บอกแก่เขาทั้งหลายแล้วถึง "เหตุและผล" ที่พวกเขาก่อไว้ เขาก่อเหตุไว้อย่างนี้ จะได้ผลอย่างไร สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับ พวกเขาเอง ที่ผ่านมาเราเคยเห็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" แต่ละพระองค์ซึ่ง บำเพ็ญบารมีมา "ล้วนต้องฆ่าตัวตาย" เอาตัวเองรอดไปคนเดียวทั้งสิ้น นี่ ไม่ใช่ของดี คนที่ฆ่าตัวตาย เพราะกรรมมาก กรรมหนัก มีทุกข์มาก แต่นี่ก็ คือ "วิถีการเข้าสู่ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า" ในขณะที่พระพุทธเจ้า ก็ มีการฆ่าตัวตายเช่นกัน แต่ท่านจะฆ่าตัวตายเพื่อเป็นพุทธบูชา เช่น การใช้ ร่างกายจุดต่างประทีปบูชาพระพุทธเจ้า, การตัดเศียรตนเองถวายแด่พระ พุทธเจ้า ฯลฯ นับว่าเป็นวิบากกรรม ฆ่าตัวตายเหมือนกัน แต่ไปคนละทาง คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตชาติ บำเพ็ญบารมีมา "จะตัวตายเพื่อเอา ตัวรอดจากความทุกข์ไปเดี่ยวๆ ไม่มีการถวายอะไรเป็นพุทธบูชาเลย" นี่ ท่านอยากพบจุดจบเช่นนั้น ก็ตามแต่ใจนะ เราได้เตือนท่านทั้งหลายแล้ว


อวโลกิเตศวรที่ดื้อด้านเหล่านั้น จำต้องพึ่งบารมี "พระนิตยโพธิสัตว์"


สุดท้ายคือ ถ้าอวโลกิเตศวรที่ดื้อด้านเหล่านั้น ต้องการหลุดพ้นจากวิถี แห่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็จำต้องพึ่งบารมี "พระนิตยโพธิสัตว์" องค์ใด ก็ได้ สักองค์หนึ่ง ไม่อาจไปรอดได้ด้วยตัวคนเดียว เอาละ ลองดูหนังจีน กำลังภายในใช่ไหม? พวกเขาก็ไม่ต่างจาก "หลีชิวสุ่ย, ลีม๊กโช้ว, แม่ ชีมิกจ้อ" ฯลฯ พวกนี้เก่งทั้งนั้น "เป็นผู้หญิงเก่งที่เอาตัวไม่รอด" จึงต้อง มีพระนิตยโพธิสัตว์เข้ามาพัวพันกรรมด้วย เพื่อช่วยฉุดให้มีทางรอดนั่น แหละ เป็นผู้หญิงเก่งที่ดื้อด้าน ไม่มีใครเอาอยู่ สอนไม่ได้แต่เพราะความ เก่ง ก็ทำให้คนหลงกันมาก เทียบกับในยุคปัจจุบัน พวกหล่อนเหล่านี้ ก็ คือ ผู้หญิงที่ตั้งตนเป็นผู้นำทางธรรม, ตั้งสถานธรรม ตั้งตัวเป็นอาจารย์ ทั้งหลายทั้งแหล่ นั่นแหละ แต่ไปไม่รอด ไม่ถึงนิพพานจริงๆ หรอก ทว่า พูดไปเขาก็จะหาว่า เราดูถูกเขา เขาย่อม ไม่ยอมรับสิ่งนี้ได้อยู่แล้ว อีก ประการเขาก็เป็นผู้นำ เป็นใหญ่เป็นโต ต้องคุมคนมากมาย อย่างนี้ เขา ก็ "หน้าใหญ่มากๆๆ" จะให้เขาหน้าแตกต่อหน้าลูกน้อง ลูกขุนพลอย พยัคฆ์เหล่านั้นได้อย่างไร? เอาละ เราจะบอกให้ว่าชาติสุดท้ายของคน พวกนี้ไปไหน? ถ้าโชคดี ก็จะมีพระนิตยโพธิสัตว์มาฉุดช่วยดึงไว้ ก็จะมี ฐานะเป็น "พุทธมารดา" ผู้ให้กำเนิดบ้าง ผู้เลี้ยงดูบ้าง แต่ไม่มีทางที่จะ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ เขาผูกเงื่อนกันไว้อย่างนี้ ว่าไม่ให้โปรดได้ เขาจะดื้อด้านต่อไปจนกว่าจะถึง "ชาติสุดท้าย" ที่พระนิตยโพธิสัตว์ได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ เขาถึงจะยอม "เข้านิพพาน" นี่แหละ ทำไว้ ร่วมกันอย่างนี้เลยต้องมากระทบ มาเจอกันหลายชาติก็ไม่จบสักที 555 จบแล้วคร้าบ ...


6 ต.ค. 2555

"เสียงจากนิรนาม"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment