ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพ หรือทำงานทางโลกเสมอไป ก็ได้?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเกร็ดเล็กๆ ของ การดำรงอยู่ของมนุษย์ในโลกนี้ ที่ต่าง กันออกไป บางท่านสามารถดำรงอยู่ใน โลกนี้ได้ "โดยไม่ต้องมีอาชีพการงาน" แต่เขาก็มี "หน้าที่โดยธรรม" นะครับ เหมือนต้นไม้ เหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่ มันก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่นั่นแหละ ครับ ปกติ เราจะเห็นแต่ "พระ" คือ ผู้ที่ ไม่มีอาชีพแต่สามารถอยู่ได้ ทว่า ฆราวาส ก็สามารถอยู่อย่างนั้นได้ครับ เอาละ วันนี้ ผมจะมาคุยเรื่องนี้ให้ฟังกันแบบง่ายๆ ครับ


ระบบ "สัตว์สังคม" และการ "พึ่งพาอาศัยกัน" ถูกสร้างขึ้นในโลกนี้?


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ ในดาวดวงอื่น หรือโลกธาตุอื่นๆ หรือใน มิติทิพย์ของโลกนี้ ก็ดี "สัตว์ที่มีบุญ จะได้เสวยบุญของตนเอง" โดยที่ ไม่ต้องรอให้ใครมาให้ หรือผ่านการทำงาน ทำกรรมให้ได้มาแต่อย่างไร เพราะมาโดยผลบุญอยู่แล้ว อยู่เฉยๆ ก็มีปรากฏขึ้นมาเองครับ ทว่า ใน มิติทางกายภาพของ "โลกมนุษย์" จะแตกต่างไปจากนั้น ผู้มีบุญบารมี จะถูกกำหนดให้ไม่อาจที่จะอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ผลบุญออกดอกผลมาเอง ได้ แต่จะต้องได้รับผ่านระบบที่เรียกว่า "การพึ่งพาอาศัยกันของสัตว์โลก ซึ่งเป็นสัตว์สังคม" เช่น การเกิดขึ้นของทารกก็จะได้รับจากผู้อื่นก่อน ได้ รับจากพ่อแม่ ก่อน เป็นต้น ซึ่งการพึ่งพาอาศัยกันเป็น "ธรรมดาของโลก นี้" นะครับ ธรรมชาติเขาสร้างมาให้มีอย่างนั้น ไม่ให้มีบุญออกมาได้เอง เหมือนในมิติทิพย์ หรือในโลกธาตุอื่น เขาต้องการให้เกิดการพึ่งพากันใน หมู่สัตว์คือ สัตว์ที่มี "บุญน้อย-กรรมมาก" ก็จะได้รับบุญจากการให้ความ ช่วยเหลือ "ผู้มีบุญบารมี" ส่วนผู้ที่มีบุญบารมีแล้วจะไม่ได้รับบุญโดยการ เกิดเองมากนัก เพราะระบบนั้นเขาวางไว้ให้แก่ "พระปัจเจกพุทธเจ้า" นะ ครับ เช่น การเกิดขึ้นของป่าหิมพานต์ หรือป่าที่พระปัจเจกพุทธเจ้า จะเข้า ไปอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยพึ่งพาใคร แต่แบบนี้ ไม่ใช่ระบบส่วนใหญ่ เพราะ ระบบส่วนใหญ่ เขาวางระบบไว้ให้สัตว์โลกต้องพึ่งพาอาศัยกันนั่นเองครับ


การดำรงอยู่แบบ "นักบวช" หรือ "พราหมณ์" คือ การโปรดสัตว์โลก ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในโลกนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีบุญบารมี ไม่ต้อง มีอาชีพการงานทางโลกอีกแล้ว เขาได้สร้างบุญบารมี ได้ทำอะไรมาพอ สมควรแล้ว และเขาจะได้รับการจัดสรรให้ต้องอยู่ในอีกแบบหนึ่งคือ ให้ อยู่แบบ "เนื้อนาบุญของโลก" หรืออยู่แบบ นักบวช ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ บวชเป็นพระ ก็ได้ เช่น เขาอาจเป็นพราหมณ์, ฤษี เป็นต้น เอาละ เขาจะ ดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วย "การรับทักษินาทาน" จากผู้อื่น เพื่อทำตนเป็นเนื้อ นาบุญของโลก เป็นที่พึ่งพิงของสัตว์โลก พวกเขาจึงไม่ต้องทำงานทาง โลก หรือมีอาชีพใดๆ อีก ซึ่งมันจะเกิดขึ้นโดย "ธรรมชาติจัดสรร กรรม นำพา" ไม่ได้เกิดจาก "การก่อกรรมให้ได้เป็น" พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะ เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องการมีอาชีพเหมือนคนปกติ ทว่า มันจะไม่อาจ เป็นเช่นนั้นได้เลยครับ เพราะธรรมชาติได้จัดสรรให้เขาได้ทำหน้าที่ ซึ่ง สำคัญมากคือ "เนื้อนาบุญของโลก" ไปแล้ว เขาจึงต้องทำหน้าที่นี้ แม้ ว่าเขาจะไม่มีอาชีพใดๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีหน้าที่ ไม่ทำกิจ อะไร ไม่มีบทบาทอะไร ก็หาไม่ ตรงกันข้าม พวกเขามีหน้าที่ที่สำคัญมาก คือ การเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นที่พึ่งทางบุญให้แก่สัตว์อื่นครับ ถ้าไม่ มีพวกเขามารับทักษิณาทาน คนทางโลกก็จะอยู่อย่างยากลำบาก จะไม่ มีบุญเลี้ยงตัวและจะไม่สามารถทำหน้าที่ทางโลกได้ตามปกติดังเดิมก็ได้ ซึ่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นพระภิกษุเสมอไป สามารถเป็นฆราวาสก็ได้



การดำรงอยู่แบบ "นักบวช" หรือ "พราหมณ์" คือ การโปรดสัตว์โลก ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ในโลกนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีบุญบารมี ไม่ต้อง มีอาชีพการงานทางโลกอีกแล้ว เขาได้สร้างบุญบารมี ได้ทำอะไรมาพอ สมควรแล้ว และเขาจะได้รับการจัดสรรให้ต้องอยู่ในอีกแบบหนึ่งคือ ให้ อยู่แบบ "เนื้อนาบุญของโลก" หรืออยู่แบบ นักบวช ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้ บวชเป็นพระ ก็ได้ เช่น เขาอาจเป็นพราหมณ์, ฤษี เป็นต้น เอาละ เขาจะ ดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วย "การรับทักษินาทาน" จากผู้อื่น เพื่อทำตนเป็นเนื้อ นาบุญของโลก เป็นที่พึ่งพิงของสัตว์โลก พวกเขาจึงไม่ต้องทำงานทาง โลก หรือมีอาชีพใดๆ อีก ซึ่งมันจะเกิดขึ้นโดย "ธรรมชาติจัดสรร กรรม นำพา" ไม่ได้เกิดจาก "การก่อกรรมให้ได้เป็น" พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะ เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องการมีอาชีพเหมือนคนปกติ ทว่า มันจะไม่อาจ เป็นเช่นนั้นได้เลยครับ เพราะธรรมชาติได้จัดสรรให้เขาได้ทำหน้าที่ ซึ่ง สำคัญมากคือ "เนื้อนาบุญของโลก" ไปแล้ว เขาจึงต้องทำหน้าที่นี้ แม้ ว่าเขาจะไม่มีอาชีพใดๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีหน้าที่ ไม่ทำกิจ อะไร ไม่มีบทบาทอะไร ก็หาไม่ ตรงกันข้าม พวกเขามีหน้าที่ที่สำคัญมาก คือ การเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นที่พึ่งทางบุญให้แก่สัตว์อื่นครับ ถ้าไม่ มีพวกเขามารับทักษิณาทาน คนทางโลกก็จะอยู่อย่างยากลำบาก จะไม่ มีบุญเลี้ยงตัวและจะไม่สามารถทำหน้าที่ทางโลกได้ตามปกติดังเดิมก็ได้ ซึ่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นพระภิกษุเสมอไป สามารถเป็นฆราวาสก็ได้


การล่มสลายของพราหมณ์ ทำให้พราหมณ์เข้าแทรกในพระพุทธศาสนา


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ แต่ดั้งเดิมมาธรรมชาติสร้างให้โลกนี้มีเนื้อนาบุญ ที่เรียกว่า "พราหมณ์" ซึ่งไม่ใช่เรื่องการแบ่งแยกวรรณะ อย่างที่บางท่าน ถูกสอนจนฝังทัศนคติเชิงลบลงไปว่าระบบชนชั้นวรรณะเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ แท้จริงแล้ว มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการณ์นั้นเลย มันถูกสร้างมาอย่างดี ก็ เพื่อรองรับ "เนื้อนาบุญของโลกฝ่ายฆราวาส" ซึ่งจะมีมาเกิดอย่างแน่นอน แต่ด้วยผลกระทบจากการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา ทำให้ระบบวรรณะ ล่มสลายลงและผลกรรมนี้ "ย้อนหวนกลับคืนสู่พระพุทธศาสนา" เสียเอง ทำให้ "พราหมณ์และนักบวชนอกรีต" ไม่มีที่อาศัย ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ใน พระพุทธศาสนา อาศัยผ้าเหลืองห่มกายแทน ทั้งๆ ที่พวกเขานั้น มีจริตเป็น พราหมณ์ มิใช่พระ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีจิตตรงนิพพานเลย มีแต่จิตที่คิด สร้างทำสิ่งต่างๆ, รักษาสิ่งต่างๆ, ทำลายล้าง บางสิ่งบางอย่าง ฯลฯ ตาม วิถีแห่งพราหมณ์นั้นๆ ดังนั้น การช่วยเหลือพระพุทธศาสนาให้ผ้าเหลืองนี้ บริสุทธิ์ขึ้น จึงต้องดึงเอาพราหมณ์ออกจากหมู่พระ เพื่อให้ผ้าเหลืองแก่ผู้ ที่เป็น "พระแท้" เท่านั้น ดังเช่นที่พระอุปคุตและพระเจ้าอโศกมหาราชเคย ทำร่วมกัน ทว่า การจะสึกพระทั้งที่ไม่ผิดปาราชิก ก็ไม่ได้ และเมื่อพวกเขา ออกจากผ้าเหลืองแล้ว ถ้าไม่อาจดำรงอยู่ได้แบบนักบวช ก็ไม่ได้อีก ดังนั้น จึงจำเป็นต้อง "สร้างนักบวชฝ่ายฆราวาส" (ผ้าขาว) ให้ดำรงอยู่ได้ จึงจะ ทำการคัดเอาพราหมณ์ออกจากพระแท้ได้ในลำดับต่อไป พระพุทธศาสนา จึงจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และผู้สึกออกจากพระ ก็เป็นกำลังสำคัญใน การช่วยเหลือพระพุทธศาสนาได้ต่อไป นั่นก็คือการพึ่งพาอาศัยกัน นั่นเอง


การดำรงอยู่ของพราหมณ์ ที่ไม่ใช่วรรณะและไม่ใช่ศาสนาพราหมณ์


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ นักบวชฝ่ายฆราวาสหรือที่เรียกง่ายๆ กันว่า "พราหมณ์" นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นวรรณะใดวรรณะหนึ่ง หรือศาสนา พราหมณ์ ก็ได้ แต่หมายถึง การดำรงอยู่ของ "นักบวชฝ่ายฆราวาส" ซึ่ง ธรรมชาติจัดสรรค์แล้วให้อยู่บนโลกนี้ได้โดยที่ไม่ต้องมีอาชีพใดๆ ทั้งนี้ สวรรค์ได้พยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ "หลายชาติ" เพื่อแยกเอาผู้ ที่เป็นพราหมณ์ออกจากผ้าเหลือง ทำให้พระพุทธศาสนานี้บริสุทธิ์ขึ้น ทว่า ประสบความสำเร็จเพียงในชาติซึ่ง "พระอุปคุตและพระเจ้าอโศก มหาราช" ร่วมบารมีกัน เท่านั้นเอง แต่เพราะไม่มีการสร้างระบบรองรับ "เหล่าพราหมณ์ให้ดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ดังเดิม" ทำให้ เหล่าพราหมณ์ กลับเข้ามาสู่ผ้าเหลือง และพระพุทธศาสนาอีก ดังเดิม ดังนั้น การช่วย พระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ มีการปฏิบัติที่ถูกต้องตรงทางจึงต้องเริ่มต้น ที่การสร้างระบบรองรับ "เหล่าพราหมณ์" แล้วตามมาด้วยการสึก โดย สมัครใจของผู้ที่เห็นชัดเจนแล้วว่าตนปฏิบัติไม่ตรงตามคำสอนของพระ พุทธเจ้า หรือไม่ได้มีจริตที่จะเป็นพระภิกษุอย่างแท้จริง เพราะมีจริตเป็น พราหมณ์มากกว่า นั่นเอง ดังนั้น การเกิดขึ้นของ ระบบรองรับพราหมณ์ จึงไม่ใช่การทำลายพระพุทธศาสนา แต่เป็นการช่วยชำระความบริสุทธิ์ ให้แก่พระพุทธศาสนา เหมือนดังที่พระเจ้าอโศกมหาราชและพระอุปคต เคยได้ร่วมบารมีกัน กระทำจนสำเร็จมาแล้ว (แต่ยังไม่ครบถ้วน) นั่นเอง


การ "ยุติกรรม" ที่พระพุทธศาสนาทำให้วรรณะพราหมณ์ "ล่มสลาย"


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เพราะพระพุทธศาสนาเคยทำกรรมเอาไว้ ทำ ให้ระบบวรรณะสิ้นไป ด้วยความเข้าใจว่าระบบวรรณะคือสิ่งเลวร้าย ก็ ดี หรือเพราะไม่เจตนา ก็ดี แต่กรรมนั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และมีผลแล้ว นี่ จึงเป็นเหตุให้ "พราหมณ์ครอบงำพุทธ" ในเวลาต่อมา การเคลียร์พลัง งานกรรม พลังงานเก่าในเรื่องนี้จึงช่วยชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ ขึ้น ซึ่งเราต้องไม่ลำเอียง เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือพระพุทธศาสนา มากไป เพียงเพราะว่าเราเกิดชาวพุทธ อย่างนั้น จะยิ่งทำให้การแก้ไขมิ อาจทำได้ ไปใหญ่ จำต้องมีใจที่เป็นกลาง และมองเห็นกรรมอันเป็นเหตุ ต้นแต่เดิมที่ "ผูกกันมา" ให้ชัดเจนก่อน จึงจะแก้ไขให้ถูกต้องได้ ดังเช่น การนำ "ระบบพราหมณ์" มาคืนแก่เหล่าพราหมณ์เสีย ก็จะยุติกรรม ซึ่ง ดำเนินมา แต่ครั้งสมัยพุทธกาลได้ ทำให้เหล่าพราหมณ์ ไม่เข้าแทรกใน พระพุทธศาสนาอีกต่อไป เป็นการจบวงจรอุบาทว์ของพระพุทธศาสนาไป หนึ่งวงจร ซึ่งเราต้องเข้าใจ "สัจธรรมความจริงของโลกนี้" ด้วยว่า การ ที่โลกมีพราหมณ์มารับทักษินาทาน นั้นเป็นปกติของโลก ไม่ผิดแต่อย่าง ใด เคียงคู่ไปกับการมีพระพุทธศาสนา ก็ได้ แม้ว่าพราหมณ์เหล่านั้น จะมี พฤติกรรมที่แตกต่างไปจากพระ หรือมีสิ่งไม่ดีบ้าง แต่ถ้าพวกเขามีบุญที่ ได้ทำไว้แต่ปางก่อน ให้ได้รับทักษินาทานได้โดยไม่ต้องมีอาชีพใดๆ พวก เขาก็ย่อมสามารถรับได้ โดยไม่มีความผิดแต่อย่างใด ตราบเท่าที่ผลบุญ ของเขายังสนองผลอยู่ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะหมดบุญแล้ว ก็เท่านั้น


มนุษย์โลกเกิดมาต่างกันเพราะบุญกรรมต่างกัน ไม่ใช่เรื่องชนชั้นวรรณะ


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ มนุษย์โลกเกิดมาบนโลกนี้ด้วย "บุญกรรม" ที่ ต่างกัน จึงมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน ดั้งเดิมโลกจึงจัดสรรให้มีวรรณะ แต่อยู่กันได้อย่างดี ไม่มีการเหยียดชนชั้นวรรณะ แต่ภายหลัง เกิดปัญหา ระหว่างวรรณะขึ้น "ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาที่ตัวระบบวรรณะ" แต่มันเป็นด้วย "ตัวบุคคล" แต่ละบุคคลในวรรณะนั้นๆ ต่างหาก กระทำกรรมชั่ว ทำให้มี ปัญหาขึ้น และถูกคิดว่าสาเหตุมาจากระบบวรรณะ จึงทำให้มีการทำลาย ระบบชนชั้นวรรณะไป ด้วยข้อหาว่า เป็นระบบที่ทำให้คนถูกเหยียดหยาม หรือถูกแบ่งแยกให้แตกต่างกัน เอาละ ผมไม่ได้ต้องการรื้อฟื้นระบบวรรณะ เพื่อที่จะย้อนยุคถอยหลัง กลับไปสู่อดีต หรอกนะครับ ผมก็เพียงเล่าให้ฟัง ถึงความล่มสลายของระบบๆ หนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้ผิดที่ตัวระบบ แต่มันมาจาก ตัวบุคคลแต่ละบุคคลต่างหาก ที่มีทั้งดีและไม่ดี ปนๆ กัน และทำให้ระบบนี้ ต้องล่มสลายไป ที่ผมกล่าวมานี้ เพียงให้ท่านเข้าใจเป็นเบื้องต้น และสิ่งที่ ควรจะเกิดขึ้นต่อไป มันไม่ใช่ระบบชนชั้นวรรณะแต่เป็นการ "พึ่งพาอาศัย กันของสัตว์โลก" ที่มากขึ้นพอที่จะรองรับ "การดำรงอยู่ของนักบวชฝ่าย ฆราวาส" ได้ โดยที่เขาสามารถรับทักษินาทานจากผู้อื่นได้โดยไม่มีอาชีพ นี้ต่างหากที่ผมต้องการ ซึ่งมันสอดคล้องกับธรรมชาติของสัตว์โลกอยู่แล้ว


จงสร้างระบบ "พึ่งพาอาศัยกัน" ขึ้นมา ก่อนที่โลกจะฉิบหายด้วยปัจเจกฯ


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ โลกนี้จะอยู่ได้ สัตว์โลกต้องเข้าใจถึงการดำรง อยู่ร่วมกันแบบ "สัตว์สังคมที่พึ่งพาอาศัยกัน" คือสัตว์บางตนแม้ไม่ทำงาน ก็สามารถอยู่ได้ด้วย "ทักษินาทาน" จากสัตว์เหล่าอื่น นี่แหละ "เนื้อนาบุญ ของโลก" ที่จะทำให้โลกดำรงอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าขาด "เนื้อนาบุญเหล่านี้" แล้ว โลกก็คงต้องฉิบหายลงไป ไม่อาจอยู่ได้ด้วยแนวคิด "ตัวใครตัวมัน กู ทำงาน เงินของกู กูต้องได้" ความคิดเชิงปัจเจกชนเช่นนั้น ไม่อาจช่วยให้ โลกนี้ดำรงอยู่ได้เลย ความเห็นแก่ตัว หรือคิดเอาตัวรอดเฉพาะตนนั้นแหละ ที่จะทำลายโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือโลกนี้ให้ดำรงอยู่ ได้ต่อไป จึงต้องฟื้นฟู "ระบบพึ่งพาอาศัยกันของมนุษย์โลก" ซึ่งเป็นสัตว์ สังคม ให้กลับคืนมาให้ได้ การที่คนกลุ่มหนึ่งทำงานแล้วคิดว่าเงินของตน ที่ได้จากการทำงาน ก็ต้องเป็นของตนเท่านั้น เป็นความคิดที่ผิดมาก และ จะทำให้โลกนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว ดังนั้น ในบางศาสนาเช่นศาสนาอิสลาม จึงมีศีลธรรมชัดเจนว่าจะต้องบริจาค "ซะกาต" ประมาณ 10% ของเงิน ที่มีอีกด้วย นั่นแหละ วิถีที่ช่วยให้โลกนี้ยังคงดำรงอยู่ได้ ไม่ฉิบหายไปก่อน


ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยให้ท่านตื่นแจ้งฉับพลัน สวัสดี


27 ส.ค. 2555

"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

1 comments:

Unknown said...

ถ้ามีเกมส์ให้เล่นด้วยก็ดีนะ 55555

Post a Comment