ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

โพธิสัตว์บารมีล้นแล้วไม่ได้มาสร้างบุญแต่จะเป็นตัวกระทำกรรม เป็นโจรยังได้

สวัสดีครับ วันนี้มีเกร็ดความรู้เล็กๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระโพธิสัตว์ซึ่งมีบุญบารมีมากหรือเต็มแล้ว ท่านจะมีวิถีการเวียนว่ายตายเกิดในสามภพที่ต่างไปจากท่านอื่นๆ นะครับ อาทิเช่น พระเมตตรัยโพธิสัตว์ จะมีบุญบารมีเต็มแล้ว ท่านจะ "บุญไม่ทำ กรรมไม่สร้าง" คือ ไม่ทำอะไรเลย อยู่แบบผู้มีศีลบริบูรณ์ เสวยผลบุญของตนไปวันๆ ไม่ทำอะไร ส่วนพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ท่านจะมีบารมีล้นเกินกว่าพระเมตตรัยโพธิสัตว์แล้ว ท่านก็จะไม่กลัวการเวียนว่ายตายเกิด ไม่กลัวกรรม คือ มีจิตตรงเห็นว่าทำกรรมแล้วก็ต้องรับกรรม แต่ท่านยอมรับกรรมนั้นเพื่อขับเคลื่อนโลกธรรมให้ปวงสัตว์ได้ถึงนิพพานครับ ท่านยอมแม้จะเกิดมาเป็น "โจร" นะครับ แปลกใช่ไหมเอ่ย? เอาละ วันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ


อย่ายึดติดแต่ความดีหรือผลบุญ ภารกิจของสวรรค์มีทั้งสองด้าน (ดี-ร้าย)


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ "สวรรค์ไม่ใช่ขี้ข้ามนุษย์โลก ที่จะต้องมาทำอะไรสนองกิเลสมนุษย์" แต่สวรรค์มีหน้าที่ของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ต้องการหรือไม่ก็ตาม พอใจหรือไม่ก็ตาม สนองกิเลสมนุษย์หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นความจำเป็นตามกฏแห่งกรรมแล้ว สวรรค์ก็ต้องทำเช่นนั้นเช่น บางครั้ง มนุษย์มีกรรมต้องตายด้วยน้ำท่วมพร้อมๆ กันทั้งเมือง ท่านก็ต้องทำให้มันเกิดขึ้น เพื่อขับเคลื่อนให้เป็นไปตามกรรมนั้นๆ ทว่า ไม่ใช่ว่าเทพทุกองค์จะทำได้นะครับ เทพเขามี 2 กลุ่ม กลุ่มที่ประทานบุญให้มนุษย์ก็มี กลุ่มที่ประทานเคราะห์กรรมให้มวลมนุษย์ ก็มี เทพกลุ่มไหนมีหน้าที่ทำอะไรก็ต้องทำอย่างนั้นจะไปทำอย่างอื่น นอกลู่นอกทางไม่ได้นะครับ ดังนั้นมันไม่มีหรอกคำสอนที่ว่า "ให้ยึดมั่นทำความดี ยึดติดละเว้นความชั่ว" นั่นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนานะครับ แท้จริงแล้วมันไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นอะไรได้เลย ทั้งความดีและความชั่ว ยึดติดความดีแล้วจะได้ถึงนิพพานหลุดพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้หรือ? ไม่มีหรอก ถ้ามีอย่างนั้นพระเจ้าจักรพรรดิที่ทำความดีก็นิพพานไปได้โดยไม่ต้องรอให้โลกมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หรอก เทพสวรรค์ต้องทำตามหน้าที่ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง หรือคิดเอาเองว่านั่นดี นี่เลว รู้ได้หรือว่าอะไรดีแท้ อะไรเลวจริง? ไม่หรอก เทพที่รู้ว่านั่นดี-นี่เลว นั้นมีแต่ "ลูซิเฟอร์" ที่ขโมยกินผลไม้แห่งการหยั่งรู้ไปเท่านั้น มันรู้ไม่จริงหรอก ที่คิดว่าฉันทำความดี และทำดีมากๆ แล้วหลงตัวเองว่าตนทำดี หลงดีในตนนั้น ก็เป็น "มาร" ดื้อด้านสอนไม่ได้ ไปก็เยอะแล้วเพราะอะไร? เพราะมันหลงดี มากเกินไปจนสอนไม่ได้ นั่นเอง เอาละ ทีนี้ คุณเข้าใจไหมว่า "เทพสวรรค์ทำตามหน้าที่ จะมาคิดเองว่า อะไรดีอะไรเลว มารู้ดีเกินกว่าเจ้าสวรรค์ ไม่ได้นะครับ" เจ้าสวรรค์สั่งอะไร ก็ต้องทำไปตามหน้าที่นะครับ แต่พระโพธิสัตว์ (สูงกว่าเทพ) นี้ต่างจากเทพด้วยท่านมีปัญญาบารมี ใช้ปัญญาบารมีคิดเอง ทำเอง โปรดสัตว์เอง ได้ครับแต่ท่านก็ต้องยอมรับกรรมที่จะตามมาด้วยครับ ซึ่งท่านมีบารมีในตนรองรับได้



โพธิสัตว์บางองค์ลงมาทำเลว (ในสายตาคน) แต่มันมีเหตุผลที่คาดไม่ถึง


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ยังมีพระโพธิสัตว์บางองค์สร้างบารมีมาจนล้น ก็จะไม่ลงมาทำ "ส่วนประทานบุญให้มนุษย์" แต่ ท่านจะทำ "ส่วนประทานบาปเคราะห์" ให้มนุษย์แทน อันนี้ ท่านมี "อาญาสิทธิ์อาญาธรรม" เต็มที่มีอำนาจเต็มกำลัง ทำได้เต็มที่ครับ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ปวงสัตว์ก็จะมีหนี้กรรมที่ไม่มีทางใช้ได้หมด เสียที มันก็เข้านิพพานไม่ได้นะครับ เพราะยังชำระหนี้กรรมไม่หมด จะหลงดี ติดดี เลือกเอาแต่ดีๆ ไม่ได้ครับ คนเราต้องแฟร์ในอดีตชาติเคยทำมาทั้งส่วนดีและเลว ถึงเวลารับบุญ ก็ดีใจกันใหญ่ แต่พอเวลารับกรรม จะไม่ยอมรับ อันนี้ ก็ไม่ได้นะครับ ดังนั้น ในสายตาบางคน พระโพธิสัตว์องค์นั้นอาจลงมาทำกรรมเลว แต่แท้แล้วนั่นคือ หน้าที่ที่ต้องทำครับ มันคือการโปรดสัตว์อย่างหนึ่งเช่น การเกิดมาเป็นคนฆ่าสัตว์ไม่ใช่ว่าเขาอยากเป็นนะครับ แต่เขาถูกกำหนดมาให้ทำ เลือกไม่ได้ และถ้าทำแล้วสัตว์ที่มีกรรมนั้น ก็จะชำระกรรมหมด ปลดกรรมได้ หมดกรรมนั้นไปครับ ซึ่งวิถีการบำเพ็ญบารมีแบบนี้ เป็นแบบเฉพาะในพระโพธิสัตว์ "สมันตภัทร" นะครับ ไม่มีในพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ เพราะองค์อื่นๆ ไม่มีบารมีมากพอที่จะทำได้ครับ เฉพาะองค์นี้องค์เดียวเท่านั้น ที่จะทำได้ครับ



ผมไม่ได้สอนให้คุณทำเลว "เฉพาะบางท่านเท่านั้น" ที่มีบารมีกระทำได้?


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ผมไม่ได้สอนหรือชี้นำให้คุณทำความเลวอะไรเลย เพราะเรื่องแบบนี้ "ธรรมชาติจะจัดสรร" เอง และเขาผู้ถูกเลือกแล้วก็จะไม่อาจปฏิเสธได้ จะถูกบังคับ จะถูกควบคุมให้ต้องทำเช่นนั้น แม้เขาจะไม่อยากกระทำก็ตาม คุณไม่มีสิทธิ์ไปคิดเองว่าตัวคุณหรือตัวใคร จะมีหน้าที่กระทำการ ประทานบาปเคราะห์ ให้คนอื่นได้ นอกจากว่าเขาจะถูกธรรมชาติจัดสรรเองเท่านั้น ซึ่งท่านผู้ถูกเลือกแล้วนี้จะได้รับพลังจากดาวเทพนพเคราะห์ผู้ประทานบาปเคราะห์ทั้งสององค์ใหญ่ คือ พระราหู, พระเกตุ โดยพระราหูจะกระทำโดย "กิเลส" ความลุ่มหลงเป็นพลังขับเคลื่อนแต่พระเกตุจะมี "ความใสซื่อไร้เดียวสา" หรือความไม่รู้ ไม่เจตนา เป็นตัวขับเคลื่อน ทั้งสองเมื่อทำกิจร่วมกัน ก็จะประทานบาปเคราะห์กรรม ให้แก่ มวลมนุษย์ได้มากมายโดยที่ทั้งสองนั้น "ต่างก็มีบารมีรองรับผลนั้นๆ ได้" จึงได้รับเลือกแล้วจากธรรมชาติจากสวรรค์ให้เป็น "ตัวกระทำ" ฝ่ายบาปเคราะห์ (ไม่ใช่ฝ่ายประทานบุญนี่นะ) ทว่า ถ้าทั้งสองบำเพ็ญบารมีจนพ้นไปจาก "โพธิสัตว์" จนถึง "พุทธะ" แล้วก็สามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปนั่งในตำแหน่ง "พระยูไลทั้ง 7" แห่งดาวเทพนพเคราะห์ "ฝ่ายประทานบุญ" ได้ ท่านก็หลุดพ้นจากวังวนในการก่อกรรมนี้ ไม่ต้องไปทำกรรมให้แก่มวลมนุษย์อีกต่อไป ทว่า หน้าที่ทุกหน้าที่มีความสำคัญทั้งสิ้นไม่ต่างกันเลย ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป ดังนั้น แม้ใครจะเกิดมาต่ำต้อยเป็นเพียงคนฆ่าสัตว์ก็ไม่อาจปรามาสเขาได้ว่าจิตใจของเขาต้องต่ำต้อย หรือเลวร้ายไปด้วย ถ้าท่านมีปัญญาหยั่งลึกเห็นแจ้งในเรื่องกรรมแล้ว ก็จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้เอง



คนบางคนทำไม? ทำบุญไม่ขึ้นเลย แต่ทำเลวขึ้น สำเร็จได้ง่ายเสียจริง?


ต่อไปที่ท่านควรทราบก็คือ "ผู้ที่ถูกเลือกแล้ว" ว่าให้เป็นตัวกระทำกรรมที่จะประทานบาปเคราะห์กรรมให้แก่ผู้อื่นนั้น จะเป็นผู้ทำบุญไม่ขึ้น ทำความดีไม่ได้ หรือไม่สำเร็จ ซึ่งเขาจะรู้ จะเอ๊ะใจ และจะเข้าใจเองในเรื่องนี้ว่า ที่เขาทำความดีไม่ได้นี่ มันเป็นเพราะอะไร นอกจากนี้ เขายังทำเลวได้ง่ายๆ สำเร็จได้ง่ายอีกด้วย ทว่า เขาจะมีกำลังบารมีในการกระทำความเลวนั้นๆ ได้ระดับหนึ่ง พอหมดกำลังบารมีของเขาแล้ว "กรรมก็จะตามเขาทัน" ซึ่งเขาจะทราบดีอยู่แล้ว "โดยไม่ต้องให้ใครมาสอน" เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเขาทำกรรมเลวอย่างนี้ เขาจะต้องได้รับผลกรรมอย่างไร? ในวันหนึ่งข้างหน้านั้น และเมื่อถึงที่สุดแห่งการกระทำ เขาก็จะปลงตกและบรรลุธรรมได้ไม่ยากเลย เหมือนการบรรลุธรรมของ "องคุลีมาล" ฉะนั้น กล่าวง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ฝ่าย "บุญหรือบาป" เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขาตามนั้น ฝ่ายบุญ ก็ต้องประทานบุญ, ฝ่ายบาป ก็ต้องประทานบาป ให้แก่มวลมนุษย์ จะไปทำอย่างอื่น "ไม่ได้" และเมื่อเขาทำจนหมดภารกิจนี้แล้ว เขาก็จะเข้าสู่วิถีธรรม "ปลงตก" บรรลุธรรมได้ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่เกิดมาสร้างความดี หรือองคุลีมาลที่เกิดมาสร้างกรรม ก็ไม่ต่างกันเลย ต่างก็สามารถบรรลุธรรมได้ทั้ง ฝ่ายบุญและบาป



"ลูซิเฟอร์" จะสร้างภาพว่า "ตนคือตัวดี-พระเจ้า" และใส่ร้ายฝ่ายบาป

ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ "ลูซิเฟอร์" (นารายณ์ภาคมืด) ผู้เป็นปรปักษ์ของอสูรราหู (เขาไม่ถูกกันจากครั้งกวนน้ำอำมฤติ) จะสร้างภาพทำตัวให้เป็น "ตัวดี" ให้คนหลงใหล และศรัทธาเขาราวกับพระเจ้า หรือผู้ยิ่งใหญ่ในโลก โดยผ่านร่างสังขารของมนุษย์ที่เป็นเครื่องมือของเขาและจะใส่ร้ายอสูรราหู ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นอสูรว่าเป็นตัวร้าย ทว่า ธรรมชาติของสัตว์ เสือ ก็ต้องฆ่าสัตว์อื่นกินเป็นธรรมดา มันไม่ได้ผิดหรือเลวร้ายอะไร นี่คือ "ธรรมะ ธรรมชาติ เป็นไปตามกฏแห่งกรรมแต่ต้นแล้ว" จึงมีเสือมาฆ่าสัตว์อื่นกิน คงดุลยภาพของระบบนิเวศน์ไป เช่นกัน อสูรราหูก็คือ "อสูร" เกิดมาเป็นอสูร ย่อมมีวิถีชีวิต การดำรงชีพแบบอสูรแต่เขาได้รับการ "แต่งตั้งจากสวรรค์ให้เป็นเทพเจ้าแห่งดาวนพเคราะห์" คือมีหน้าที่ "ประทานบาปเคราะห์แก่ปวงสัตว์" แล้ว โดยอาญาสิทธิ์, อาญาธรรม "สมบูรณ์" ดังนั้น หากลูซิเฟอร์จะฝืนกฏแห่งกรรมนี้ ฝืนธรรมชาตินี้ ก็อาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ท่านจะพบเห็นได้บ่อยๆ ทว่า สุดท้ายแล้วสวรรค์ย่อมไม่เข้าข้าง "ผู้ฝืนกฏแห่งกรรมฝืนธรรมชาติ" แม้ว่าเขาจะอ้างความดี ก็ตาม แต่การทำความดีอย่างขาดความเข้าใจในระบบกรรมนั้น ก็จะนำโลกไปสู่ "ความวิบัติ" ได้ ดังนั้น มันจึงเป็นได้แต่เพียง ความดีจอมปลอมก็เท่านั้นเอง ไม่อาจเป็นความดีที่แท้จริงได้เลย เพราะความหลงดีนี้นั่นเอง



"ธรรมจอมปลอม" คือ การอ้างความดีเพื่อครอบงำมนุษย์อย่างไร้ปัญญา


ต่อไปที่ท่านควรทราบ ก็คือ ในโลกนี้ยังมี "ธรรมะจอมปลอม" อยู่อีกมาก
เช่น ธรรมะที่ "อ้างความดีมาบังหน้า" เพื่อหลอกให้คนยอมรับได้ง่ายๆ ก็
เพื่อที่จะ "ครอบงำจิตใจผู้คน" ให้ผู้คนหลงเชื่อ เพราะหลงดี ติดดี คิดว่า
เขามาดี แต่มันเป็น "ดีจอมปลอม" เป็น "ความดีที่มีพิษ" ไม่ใช่ความดีที่
แท้จริง ถ้ามันเป็นความดีที่แท้จริง มันก็ดีนะสิ ใครก็ต้องการ ใครก็ยอมรับ
ทว่าถ้ามันไม่ใช่ความดีที่แท้จริง มันเป็น "ความดีจอมปลอม" แอบแฝงมา
เพื่อ "ครอบงำจิตใจผู้คน" ให้หลงใหล, ให้ยึดติดเขา ราวกับเป็นพระเจ้า
เสียเอง นั่น ไม่ใช่ความดีที่แท้จริงเลยเป็น "ความมืดหลง" ที่อ้างความดี
มาบังหน้า ก็เท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับ "ประเทศมหาอำนาจ" ที่อ้างว่าจะมา
ช่วยเหลือประเทศเล็กน้อย ล้าหลัง เอาความดีบังหน้า แต่ไม่ได้มีเจตนาที่
ดีที่แท้จริง ทว่า มีเจตนาจะมาฉกฉวยเอาผลประโยชน์หวังจะกอบโกยผล
ประโยชน์จากประเทศเล็กๆ ไปเป็นของตนก็เท่านั้น นี่แหละมันไม่ใช่ความ
ดีที่แท้จริง มันเป็น "ความดีจอมปลอม" ดังนั้น พวกจอมปลอมเหล่านี้ จะ
ใช้ "ความดีบังหน้า" จะ "อ้างความดี" และสอนให้ทำดี นับถือคนดี แต่ก็
ไม่มีประชาชนคนไหน ที่มีปัญญาเห็น "สัจธรรมความจริง" ขึ้นมาได้เลย
ต่างก็ "ตามืดบอด" หลงดี ติดดี ในตัวของเขาและภพที่เขาสร้างขึ้น เอาไว้ครอบงำผู้คนนั้น นี่แหละ ผมจึงแนะนำคุณว่าอย่ายึดติดในความดีหรือความชั่ว แต่ต้องมีปัญญาหลุดพ้นให้ได้ทั้งสองส่วน แล้วคุณจะเข้าใจใน"ระบบกฏแห่งกรรม" และความจำเป็นในการทำกิจ "ส่วนบุญและบาป"



การเกิดมาเป็น "โจร" ของพระโพธิสัตว์บารมีมาก ก็มีได้ เกิดได้เช่นกัน


สุดท้ายที่ท่านควรทราบ ก็คือ พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมากเกิน ล้นเกินแล้ว
อาจมาเกิดเป็นมิจฉาชีพได้ เช่น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ สามารถมาเกิด
เป็นโจรได้ แต่นั่นก็คือ "ร่างอวตารของสิ่งศักดิสิทธิ์" ที่คุณไม่ควรลบหลู่
เหมือนกับ "พระนารายณ์" ก็มีปางอวตารมาเป็น "ปรศุราม" ซึ่งมีจิตเป็น
อสูร เข่นฆ่าล้างบางตระกูลกษัตริย์ก็มีมาแล้ว เพราะนี่คือ "กรรม" อันเป็น
อจิณไตยสำหรับผู้ที่ยังไม่มีญาณหยั่งถึงได้ ดังนั้น ในโลกนี้ จึงมีมหาโจร
หรือโจรบางคนที่กลายมาเป็น "วีรบุรุษ" ก็มีได้ เป็นได้ เพราะเหตุนี้นั่นเอง
เอาละ สิ่งหนึ่งที่ท่านควรทราบไว้คือ "แม้แต่พระอรหันต์ ก็มีปัญญาเท่าใบ
ไม้ในกำมือ" ยังมีเรื่องบางเรื่องที่อยู่นอกกำมือที่ท่านจะพึงทราบได้ ท่านก็
ไม่อาจทราบได้ถึงเรื่องเหล่านั้น แต่บางท่านอาจไม่มีใบไม้ในกำมือแบบนั้น
แต่เขาอาจมี "ญาณหยั่งรู้พิเศษ" เช่น พราหมณ์บางคนอาจได้ญาณหยั่ง
รู้อดีต หรืออนาคต ก็มีได้ เป็นได้เหมือนกัน ผมไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อ
ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา หรือยกว่าใครเหนือใครนะครับ แต่เอา
มาเป็นตัวอย่างประกอบความเข้าใจของท่านผู้อ่าน ก็เท่านั้น สุดท้ายนี้ สิ่ง
ที่เราไม่คาดคิดในโลกมนุษย์นี้, ในสามภพนี้, ในจักรวาลนี้ ยังมีอีกมาก ก็
ขอให้ท่าน "ทำใจกว้างๆ" อย่าเพิ่งไปตัดสินสิ่งที่ตนยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่
รู้จริง ผมไม่ได้สอนว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ แค่แนะการ ไม่ตั้งธง ไม่ให้
มี "ทัศนคติเชิงลบหรือบวก" ก่อนที่จะรับข้อมูลอย่างหนึ่งอย่างใด เท่านั้น



24 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment