ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

"ร่างอวตารของสิ่งศักดิสิทธิ์" เช่น ร่างอวตารของพระกวนอิม, พระศรีอาร์ฯ ฯลฯ เป็นอย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ เรามาคุยกันเรื่องง่ายๆ เล็กๆ คือ เรื่อง "ร่างอวตารของสิ่งศักดิสิทธิ์" เช่น ร่างอวตารของพระศรีอาร์ฯ ท่านคงอยากทราบว่า เป็นใครกันบ้าง? และจะดูออกได้อย่างไร? เอาละ เรามาคุยกันง่ายๆ สบายๆ ในประเด็นนี้กันครับ


"ภาคแบ่งฯ" กับ "ร่างอวตารฯ" จะมีการดำเนินในในวัฏฏะฯ ที่ต่างกัน


อย่างแรกที่ท่านควรทราบและแยกแยะให้ได้ก่อนคือ "ภาคแบ่งฯ" และ "ร่างอวตาร" สองอย่างนี้ คล้ายกันมาก แต่ไม่เหมือนกันนะครับ มันต่างกันอย่างไรละ? อย่างนี้ ภาคแบ่งฯ นี้ ถ้าแบ่งภาคมาจากองค์ใด ท่านจะเดินตามรอยองค์นั้นเพื่อกลับสู่ "จิตเดิมแท้" ไม่เปลี่ยนแนวทางไปอย่างอื่น เช่น ภาคแบ่งของพระเมตตรัยโพธิสัตว์ ถ้าแบ่งออกมาบำเพ็ญบารมีสมมุติแบ่งได้เป็น "เทพเต่ามังกร" เมื่อบำเพ็ญบารมีแล้ว ก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิม นั่นคือ การดำเนินไปของ "ภาคแบ่ง" ดังนั้น ท่านจะมี "องค์ต้นธาตุต้นธรรม" ที่แบ่งภาคท่านมาเป็น "ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น" ซึ่งเป็น "ตัวตนที่สว่างไสว" อยู่เบื้องบนคอยชี้นำทาง ท่านจะมีรอยกรรมและจะกระทำหน้าที่คล้ายกัน เดินตามรอยกันเลย ทว่า "ร่างอวตาร" นั้น จะไม่เป็นเช่นนั้น ร่างอวตารฯ จะเปลี่ยนวิธีการบำเพ็ญของตนไปตามแต่ว่าจะ "อวตารเป็นอะไร" ยกตัวอย่างเช่น พระศรีอาร์ฯ อาจอวตารมาเกิดเป็นผู้หญิงหนึ่งชาติ (ชาติเดียวเท่านั้น) ก็จะอวตารเป็นพระอวโลกิเตศวรก่อนแล้วมาเกิดเป็นผู้หญิง สมมุติว่าเป็น "บูเช็คเทียน" ก็แล้วกันนะ นี่ วิถีการบำเพ็ญารมีก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ต่างกันออกไป อย่างนี้เรียกว่าอวตารฯ



พระศรีอาร์ฯ อวตารเป็นพระรามเจ้า, พระรามเจ้าอวตารเป็นพระศรีอาร์ ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ สิ่งศักดิสิทธิ์และพระนิตยโพธิสัตว์ สามารถจะอวตารเป็นอีกองค์ได้เช่น พระรามเจ้าอวตารเป็น "พระเมตตรัยโพธิสัตว์" ในขณะที่พระเมตตรัยโพธิสัตว์อวตารเป็น "พระรามเจ้า" อย่างนี้ ก็เป็นไปได้ เพื่ออะไร เพื่อที่จะศึกษาแนวทางการบำเพ็ญบารมีของกันและกันนั่นเอง ซึ่งมันก็คือ การแลกเปลี่ยนแนวทางการศึกษาเรียนรู้ในวัฏฏะฯ ที่ต่างมุมมองกันนั่นเอง ดังนั้น ท่านที่ติดตามพระเมตตรัยโพธิสัตว์ก็อาจจะได้บำเพ็ญบารมีร่วมกับ "พระรามเจ้า" ซึ่ง "อวตารเป็นพระเมตตรัย" ก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากผลแห่ง "การอวตาร" นั่นเอง ดังนั้น แม้แต่พระเมตตรัยเองก็อวตารเป็นพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ได้ด้วย เช่น พระกษิติครรภ์อวตาร, พระสมันตรภัทรอวตาร, พระมัญชุศรีอวตาร ฯลฯ เป็นต้น แต่ "จิตเดิมแท้ของท่านมาจากพระเมตตรัยโพธิสัตว์" นั่นเอง หรือถ้าท่านต้องการ นามแบบเต็มๆ ก็ควรจะเรียกว่า "พระเมตตรัยะ-กษิติครรภ์อวตาร" (พระเมตตรัยะที่อวตารเป็นพระกษิติครรภ์ เป็นต้น) แต่ปกติจะไม่ตั้งนามอย่างนี้นะครับ อันนี้ เราตั้งกันเพื่อให้เข้าใจเรื่องอวตารเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงก็มีหลายท่านที่เป็นร่างอวตาร เช่น พระถังซัมจั๋ง นี่ก็ร่างอวตารของพระ "เมตตรัยโพธิสัตว์" ที่อวตารเป็นพระกษิติครรภ์อีกที เหมือนกับพระนางบูเช็คเทียน ก็เป็นร่างอวตารของพระเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่อวตารเป็น พระอวโลกิเตศวรอีกที พอจะเข้าใจไหมครับ? เอาละ ต่อไปผมจะบอกวิธีจับสังเกตุว่า "ร่างอวตาร" นั้น ท่านสวมรอยอวตารเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์องค์อื่นแล้วเล่นละครไม่ค่อยเหมือน "องค์ต้นแบบ" อย่างไร? ในโพสต่อไปครับ



"องค์ต้นแบบ" จะคงเดิม 100% แต่ "องค์อวตาร" จะแตกต่างไป ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ องค์อวตารจะไม่สามารถบำเพ็ญบารมีได้ดังเช่น องค์ต้นแบบถึง 100% ได้เลย มันจะมี "ข้อแตกต่าง" เฉพาะตัวของท่าน อันอาจเกิดจากบุญกรรมทำมา ไม่เหมือนกัน เบี่ยงเบนให้มันมีวิถีทางที่ต่างออกไปครับ และเหตุนี้เอง ท่านจึงสามารถจับสังเกตุ ได้ว่า "องค์ไหนคือองค์อวตาร" เพราะมันมีพิรุจน์ ที่จับผิดได้ว่าแตกต่างไปจากองค์ต้นแบบ นั่นเอง เช่น พระอวโลกิเตศวร จะไม่มีวิสัยที่ทำตัวเสมอชายหรือเหนือกว่าชายแบบ "พระนางบูเช็คเทียน" เช่นนั้น นี่ละที่เราพอจับสังเกตุได้ว่า "องค์นี้เป็นองค์อวตาร" ไม่ใช่องค์ฯ ที่มาจากองค์ต้นแบบจริงๆ หรือพระถังซัมจั๋งที่เผลอไปหลงเสน่ห์นางแมงมุมจนไปให้สัจจะว่าจะแต่งงานด้วย ต่อมา ก็ผิดสัจจะไม่ยอมแต่งงานเพราะรู้ว่านางเป็นปีศาจแมงมุม อันนี้ ก็เป็นพิรุจน์ที่เราจับได้ว่าไม่ใช่องค์พระกษิติครรภ์องค์ต้นแบบนะครับ (องค์ต้นแบบจริงๆ ไม่หนีไป เพราะกลัวปีศาจแบบนี้ แต่ท่านจะกล้าหาญและยอมเสี่ยงตายที่จะโปรดสัตว์ครับ) เอาละ ทีนี้ ในโลกของเรา มีทั้งองค์อวตารและภาคแบ่งฯ มาเกิดร่วมกันถ้าท่านต้องการ "เดินตามรอย" ดั้งเดิมที่ถูกต้อง ท่านก็ควรดูตัวอย่างที่ได้จาก "องค์ภาคแบ่ง" ดีกว่า เพราะองค์อวตารนั้น จะมีอะไรที่แตกต่างไป ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ทว่า มันก็เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งของการบำเพ็ญบารมี ก็เท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้โลกเรานี้มีสีสันขึ้นมากเลยทีเดียว ซึ่งผมจะได้เล่าต่อไปว่าเรื่องราวความวุ่นวายนั้นเป็นอย่างไร?



แล้ว "ท่าน" ละ เป็นองค์อวตารขององค์ใด หรือองค์ภาคแบ่งฯ กันแน่ ?


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ "ตัวท่านเองละ" แบ่งภาคมาจากจิตเดิมแท้ขององค์ใด? หรือเป็น "ร่างอวตาร" ขององค์ใดบ้างไหม? เอาละ อย่าคิดว่าผมชวนคุณให้หลงตัวเองนะ แต่มันเป็นความจริงว่าในโลกนี้ คนเราทุกคน ก็มาจากสิ่งศักดิสิทธิ์กันทั้งนั้น แต่เราหลงลืม และไม่เคยคิดที่จะ "ติดตามรากเหง้า-กำเนิดแห่งจิตวิญญาณ" ของตนเองเลย เราจึงไม่เห็นคุณค่าและความสามารถของตนเอง เอาละ ผมยกประเด็นนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการให้คุณหลงตัวเองมากขึ้น แต่ต้องการให้คุณลอง "ค้นหาจุดกำเนิดของจิตวิญญาณของคุณเอง" ว่ามารากเหง้ามาจากท่านใด สิ่งศักดิสิทธิ์องค์ใด และท่านจะได้เดินตามรอยนั้นได้ถูกต้องไม่หลงทางไปทางมืด หรือทางมาร ไม่ทำตัวเหลวแหลก เหลวไหล เพราะท่านก็คือ "ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์องค์หนึ่ง" เหมือนกัน (ท่านก็ควรที่จะทำตัวให้ดี เพื่อเป็นเกียรติ์แก่สิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ ใช่ไหมครับ) เอาละ ทีนี้เรามาติดตามหา "จุดกำเนิดของจิตวิญญาณของพวกเรากัน" ว่ามีที่มาจากที่ใด? ซึ่งมันไม่ยากเลย เพราะสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ จะส่งพลังลงมานำทางเราอยู่ตลอด และถ้าเรามีจิตสัมผัสละเอียดหรือช่างสังเกตุสักนิดก็จะทราบได้ว่า "ต้นกำเนดของพลังงานที่ส่งมานั้น มาจากท่านใด" เราก็จะเดินตามทางของท่านได้ไม่ยากเลยครับ เอาละ ท่านผู้อ่านท่านใด ที่สัมผัสได้บ้างแล้ว ก็ลองเล่าประสบการณ์มาแชร์ให้กันดูบ้าง ก็ได้นะครับ



องค์อวตารของพระยูไลจะสำเร็จ "พุทธะ" ได้ในชาติเดียวที่เกิดนั้นเลย


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ สำหรับองค์อวตารของพระยูไล จะสามารถได้ "พุทธะ" ได้ชาติเดียวที่มาเกิดนั้นเลย ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ดี แต่ถ้าไม่ตั้งใจให้ดี หรือมีสิ่งอื่นดึงให้ออกนอกทางไป ก็จะไม่ได้พุทธะในชาตินั้นๆ ทว่า จะมีอะไรมากมายมาน้อมนำดึงไปให้ "ปฏิบัติอย่างยิ่งยวด" เพื่อให้ได้พุทธะในชาตินั้นๆ เลย ทำให้ "ร่างอวตารของพระยูไล" จะได้รับวิบากกรรม หรือต้องทำกิจอะไร มากกว่าคนทั่วไปได้ เพื่อเร่งให้ได้ถึง "พุทธะ" ในชาติเดียว นั่นเอง ทีนี้ "พุทธะ" หรือพระยูไล ก็มีหลายแบบ เช่น พุทธะที่มาจากตำแหน่ง "ดาวเทพนพเคราะห์ทั้ง 7" ก็อย่างหนึ่ง พุทธะบำเพ็ญทาง "ไภษัชยคุรุพุทธะ" ก็แบบหนึ่ง (แบบนี้ จะไม่ถือบัญชีบุญ-กรรม แต่จะถือหม้อยา "ธรรมโอสถ" แทน) พุทธะที่บำเพ็ญทาง "พระอมิตาภะ" ก็อย่างหนึ่ง แล้วยังมีพุทธะในแบบอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ พระยูไลเองก็อาจจะ "อวตารเป็นยูไลองค์อื่น" ก็ได้เช่น พระยูไลไภษัชฯ อาจจะอวตารเป็นพระยูไลแห่งดาวเทพนพเคราะห์ ก็ได้ อนึ่ง ท่านควรทราบด้วยว่าการที่สิ่งศักดิสิทธิ์จะอวตารเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์องค์อื่นได้นั้น ท่านก็ต้องมีบารมีมากพอที่จะเข้าถึงสิ่งที่ท่านอวตารนั้นๆ ไม่ใช่ว่าพระโพธิสัตว์จะอวตารเป็นพระยูไลได้ (เพราะบารมีต่ำกว่า) เราจะไม่เรียกว่าการอวตาร ถ้าพระโพธิสัตว์สำเร็จพุทธะ เราจะเรียกว่าการบำเพ็ญบารมีถึงพุทธะ แต่ไม่เรียกว่าอวตาร



พระกวนอิม ก็คือ "องค์อวตารของพระอมิตาภะพุทธเจ้า" แห่งสุขาวดี


ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ พระยูไลบนสุขาวดี ได้อวตารพระองค์เองลงมาทำหน้าที่ในระดับที่ล่างลง มากมาย เช่น ระดับเทพ, ระดับโพธิสัตว์เพื่อให้ปวงสัตว์สามารถเอื้อมถึงท่านได้ หรือแม้แต่พระโพธิสัตว์บางองค์เช่น พระศรีอาริยเมตตรัย ที่จะมาโปรดสัตว์ในยุค "ยากเข็ญ - ซึ่งสัตว์มีบุญน้อย-กรรมมาก" นี้ ท่านยังต้องอวตารลงมาเป็น "พระกษิติครรภ์" ก็มี เพื่อให้ท่านสามารถโปรดสัตว์ที่มาจากนรกได้ (มนุษย์โลกในยุคนี้จะมีที่มาจากสัตว์เบื้องล่าง จากอบายภูมิสี่) นี่คือวิธีที่ "ท่านที่มีบุญบารมีมากจะใช้เอื้อมลงมาโปรดสัตว์" ท่านจึงต้อง "อวตารลงมา" อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าบุญบารมีเต็มของท่าน นอกจากนี้ ท่านก็ควรทราบว่าพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีพอเหมาะ พอควรกับสัตว์โลกยุคปัจจุบัน คือ พระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่ง "อวโลกิเตศวร" สำหรับพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในรูปกายอื่นจะมีบุญบารมีสูงเกินไป สัตว์โลกจะเอื้อมไม่ถึง ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจ ถ้าเราจะได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้เรื่องราวของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่มากกว่าพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ และเพราะเหตุนี้ นี่เอง "พระยูไลอมิตาภะ" จึงต้องแบ่งภาคแล้วอวตารมาเป็น "พระกวนอิม" ซึ่งมีรูปกายแบบอวโลกิเตศวรและเพราะเหตุนี้ พระโพธิสัตว์รูปกายอื่น จึงไม่ค่อยมีบทบาทโดดเด่นท่ามกลางหมู่สัตว์เท่าใด และเพราะเหตุนี้ ด้วยเหมือนกันที่ "องค์ดาไลลามะ" จะนับว่าเป็นองค์แทนของ "พระอวโลกิเตศวร" ในขณะที่ "ปันเชนลามะ" ซึ่งเป็นองค์แทนของ "พระยูไล" กลับมีอำนาจน้อยกว่าและอยู่อย่างลับๆ มูลเหตุนี้ท่านพอจะเข้าใจหรือไม่? ที่ไม่เลือกองค์แทนของพระยูไล (ปันเชนลามะ) ให้มีอำนาจกว่าองค์แทนของพระอวโลกิเตศวร (ดาไลลามะ)



พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมากจะอยู่เบื้องหลังพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อย ?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบ คือ ในยุคยากเข็ญ ที่ปวงสัตว์มีกรรมมาก-บุญน้อยนี้ พวกเขาจะเอื้อมถึงได้แต่พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อย คือ ท่านที่มีรูปกายเป็น "อวโลกิเตศวร" เท่านั้น น้อยคนนักที่จะเอื้อมได้ถึงท่านที่มีบุญบารมีมากกว่านี้ ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้า "ผู้หญิง" กลายเป็น"ผู้นำประเทศ" ทั้งๆ ที่มีผู้ชายที่มีความสามารถสูงกว่า มากมาย แต่ว่าคนก็ไม่เลือกเขา หรือทำไมผู้หญิงจึงมีตำแหน่งสำคัญมากขึ้น มีอำนาจมากขึ้นในโลกยุคสมัยนี้ นั่นแหละ ยุคนี้ มนุษย์ทั้งหลาย เอื้อมได้เท่านั้นไม่อาจเอื้อมพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากกว่านั้นได้และท่านใดที่ได้ทำบารมี "มากเกินเอื้อมแล้ว" ปวงสัตว์ก็ไม่อาจเอื้อมเอาท่านกลับมาได้อีกท่านก็อาจจะต้องจรออกไปนอกประเทศ ทั้งๆ ที่คนมากมายร้องหาให้มาท่านก็ไม่อาจกลับมาได้ เพราะอะไร? เพราะท่านสร้างบารมีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมถึงได้ ไปแล้ว! ดังนั้น ท่านเหล่านี้ จึงต้องกลายมาเป็น"ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง" ผู้นำหญิงทั้งหลายแทน ทว่าผู้ชายหลายคนที่มีบารมีเป็น "อวโลกิเตศวร" ก็มีมาก ท่านจะสังเกตุเห็นได้ว่าผู้ชายเจ้าสำอางค์ หน้าขาวใส ตี๋ๆ จีนๆ แต่งตัวดีๆ ทั้งหลาย (ซึ่งเป็นลักษณะของอวโลกิเตศวร) มักจะได้มีอำนาจ มีบทบาทในทางโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ชายที่มีความสามารถสูงๆ เก่งมากๆ บารมีล้นเกินไป จะไม่ได้เข้ามาถึงจุดนี้ได้เลย ทว่า แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอำนาจหรือตำแหน่งใดๆ เหตุไฉน? พวกเขาจึงมี "อิทธิพล" ต่อสังคมโลกนี้ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ได้เล่า?


ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงปลุกเหล่าร่างอวตารให้ตื่นขึ้น สวัสดี



22 ส.ค. 2555


"เสียงจากร่างอวตาร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment