ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

"ทิพยทรัพย์" ก่อเกิดจากอำนาจจิต เมื่อจิตคลายอำนาจนั้น ย่อมนิพพานได้?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอกล่าวถึงเรื่องการเข้าถึงธรรมของ "พระวิสุทธิเทพ" ด้วยวิธีสอุปาทิเสสนิพพาน โดยการพิจารณา "ทิพย์ทรัพย์" ซึ่งเกิดจากอำนาจจิตของตนรั้ง "รูปนาม" นั้นไว้เมื่อจิตคลายอำนาจนั้นๆ รูปนามก็สิ้นไปแล้วถึงแก่นิพพาน ท่านก็จะบรรลุอรหันตผลได้ด้วยวิธีนี้ ซึ่งจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดตามเคยนะครับ


ของทิพย์ต่างๆ สามารถกลับสู่ภาวะนิพพานได้ เมื่อจิตคลายพลังยึดโยง


อย่างแรกที่ท่านควรทราบคือ "ทิพย์ทรัพย์" หรือของทิพย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอำนาจจิตของเทพเทวดา เช่น เกิดจากอำนาจจิตแห่งการบำเพ็ญศีลบารมี เป็นต้น เหล่านี้ สามารถนิพพานได้ เมื่อจิตนั้นคลายพลังงานยึดโยงและด้วยวิธีนี้ จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพพาน" ได้ เช่นกันไม่ต่างจาก "กิเลสนิพพาน" ซึ่งเป็นอีกแบบหนึ่ง ของสอุปาทิเสสนิพพานดังนั้น ในการพิจารณา "กิเลส" จนถึงขั้นที่ "กิเลสนิพพาน" ก็ดีหรือการพิจารณา "ของทิพย์" จนถึงแก่ของทิพย์นิพพาน ก็ดี ล้วนนำไปสู่การได้บรรลุอรหันตผลแบบ "สอุปาทิเสสนิพพาน" ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะใช้เข้าสู่ธรรมได้ อนึ่ง ท่านควรเข้าใจว่า "ของทิพย์" นั้นเกิดจากอำนาจจิตของผู้บำเพ็ญบารมีไว้แต่กาลก่อน จึงเกิดเป็นของทิพย์แบบต่างๆ ขึ้นด้วยอำนาจจิตนั้น เมื่อจิตคลายอำนาจแห่งการยึดโยงลง มันก็จะกลับคืนสู่นิพพานได้ ทว่า ท่านจำต้องพิจารณาเป็นชั้นๆ ไป เช่น จากชั้น รูปนามเป็น "ของทิพย์" ให้ละเอียดลงเหลือแต่ "ธาตุต่างๆ" จากธาตุต่างๆ จึงจะไปสู่ "นิพพาน" อีกที คือ ค่อยๆ พิจารณาให้ละเอียดลงไปเรื่อยๆ จากหยาบลงไปสู่ละเอียดลงไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านั้น ก็จะถึงซึ่ง "นิพพาน" ได้



ของทิพย์ต่างๆ อาจทำให้ท่านคิดว่าท่านบรรลุอรหันตผลแล้ว ทั้งที่ไม่ใช่


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ของทิพย์ต่างๆ ทำให้เจ้าของมีอำนาจจิตสูงจนคล้ายกับว่าได้สำเร็จอรหันตผลแล้ว เช่น "ดวงแก้วมณี" ซึ่งเกิดจากการบำเพ็ญ "เนกขัมบารมี" อาจทำให้ท่านคิดว่าท่านพ้นแล้วจากอำนาจแห่งกาม ทั้งที่จริงแล้วท่านยังไม่เกิดปัญญาแจ้งเลยว่า "กามคืออะไร" ท่านก็เพียงตกอยู่ใต้อำนาจแห่ง "การควบคุมกาม" เท่านั้นเอง ดังนั้น การทำให้"ของทิพย์นิพพาน" นั้น จึงทำให้เทวดาหรือคนที่มีของทิพย์ชนิดนั้นๆ พ้นไปจากความหลงได้ และเมื่อของทิพย์นั้นๆ นิพพานแล้ว บุคคลนั้นก็จะเกิดปัญญาเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่ตนบำเพ็ญมานั้นเพื่ออะไรเป็นที่สุด? ดังนั้น การเข้าถึงนิพพานแบบ "สอุปาทิเสสนิพพาน" โดยการใช้ของทิพย์มาเป็นเครื่องพิจารณาจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้หลุดพ้นจากความหลงอย่างหนึ่งเพราะยังมีอีกหลายท่านที่มี "ของทิพย์" ที่มีอำนาจมาก จนทำให้คิดว่ามีธรรมถึงนิพพานแล้ว เช่น "ดาบทิพย์" ส่งผลให้ผู้นั้นมีอำนาจจิตในการตัดฉับพลันได้ทุกอย่าง จิตมีอำนาจในการตัดไม่เหลือเยื่อใยเช่นนั้น จึงคิดว่ามีธรรมถึงนิพพานแล้วก็มี ทว่าเขายังยึดติดกับการ "ตัด" อยู่ ยังติดในมรรควิธีแห่งการตัด, การละ อยู่ ซึ่งยังไม่ได้เกิดปัญญาที่แท้จริง ตราบจนกว่าจะพิจารณา "มรรควิธีแห่งการตัด" หรือ "ดาบทิพย์" นั้นๆ จนถึงแก่นิพพานก็จะบรรลุอรหันตผลได้ เป็นผู้ที่ไม่ต้องพึ่งพาหรือยึดติดการตัดได้อีกต่อไป



การบรรลุอรหันตผลแบบ "เจโตวิมุติ" (จิตเข้าถึงนิพพาน) มีหลายแบบ


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ การบรรลุอรหันตผลสองแบบใหญ่คือ เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ต่างกันชัดเจนตรงที่ ผู้บรรลุด้วยปัญญาวิมุตินั้นไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดนิพพานไป จิตไม่ต้องเข้าถึงนิพพานโดยตรง แต่อาศัยปัญญาเข้าถึง (ปัญญาเข้าถึงนิพพาน ไม่ใช่จิตสัมผัสนิพพาน โดยตรง) แต่การเข้าถึงอรหันตผลแบบเจโตวิมุตินั้น จำต้องให้จิตสัมผัสภาวะนิพพาน โดยตรงเช่น มีบางสิ่งนิพพานไป (แบบสอุปาทิเสสนิพพาน) จึงจะบรรลุธรรมได้ เช่น การพิจารณากิเลสจน "กิเลสนิพพาน" ไปก็ได้, การพิจารณารูปนามในของทิพย์จนของทิพย์นิพพานไป ก็ได้, การพิจารณาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งจนขันธ์นั้นนิพพานไป ก็ได้ เช่น วิญญาณขันธ์นิพพาน, สัญญาขันธ์นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็บรรลุอรหันต์ได้เช่นกัน ซึ่งในการพิจารณานี้จะมี "อำนาจจิต" เกี่ยวข้องด้วย จึงจัดเป็น "เจโตวิมุติ" นั่นเอง ในการพิจารณาด้วยปัญญาเฉยๆ ไม่มีอำนาจจิตเกี่ยวข้องด้วยนั้น จะไม่เกิดการนิพพานบางส่วนของสิ่งที่พิจารณานั้นๆ แต่ด้วยปัญญาเข้าถึงนิพพานได้โดยที่ยังไม่มีสิ่งใดนิพพานให้จิตได้สัมผัส แต่ปัญญาก็เข้าถึงแล้วก็นับว่าได้อรหันตผลแบบ "ปัญญาวิมุติ" เช่นกัน ทว่า การเข้าถึงนิพพานในแบบ "เจโตวิมุติ" ซึ่งทำให้ของทิพย์นิพพานนั้น มีข้อดีกว่า คือ เป็นการเก็บสิ่งที่มีฤทธิ์ให้หมดไปจากวัฏฏะสงสารก็จะไม่มีของทิพย์ชนิดนั้นๆ ไว้ให้ใครได้ก่อกรรมได้อีกแล้ว ดังนั้น ผมจึงแนะนำให้พิจารณาของทิพย์ให้เข้าสู่นิพพานด้วย เพื่อเป็นการ "เก็บกวาดของเก่าฯ" ของตนเอง ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติหรือในชาตินี้อีกด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่หนึ่งที่ผู้สร้างจะต้องลงมาทำลายล้างสิ่งที่ตนเองทำไว้ ให้กลับคืนสู่สภาวะนิพพานให้ได้ในที่สุด



ของทิพย์ที่เกิดจากการบำเพ็ญบารมี อาจทำให้ท่านหลงว่าบรรลุธรรม


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ ยังมีอีกมากมายหลายท่านที่คิดว่าตนได้ธรรมได้บรรลุอรหันตผลแล้ว เพียงเพราะบำเพ็ญบารมีจนเกิดเป็น ของทิพย์ชนิดต่างๆ ขึ้น เช่น บางท่านได้ "คัมภีร์ทิพย์" จนมีปัญญามาก นึกว่ามีธรรมถึงอรหันต์แล้วก็มี ทว่า นั่นเป็นผลจากการบำเพ็ญบารมี เป็นฤทธิ์ที่มาจากคัมภีร์ทิพย์เท่านั้น ไม่ได้มาจากผลแห่งการบรรลุอรหันต์แต่อย่างใด ยังมีอีกมากมายหลายท่านที่มี "ของทิพย์" แล้วทำให้คิดว่าตนบรรลุธรรมถึงอรหันต์แล้ว และทำให้ยึดติดใน "ของทิพย์" ใช้ของทิพย์นั้นในการเอาชนะกิเลส หรือทำให้มีปัญญา เป็นต้น ท่านเหล่านี้จะมี "รูปแบบ" ของตนอยู่เหมือน "มรรควิธีเฉพาะตัว" เช่น บางท่านใช้การตัด, บ้างใช้การควบคุมด้วยศีล, บ้างใช้ความรู้ตามตำราที่ตนมี, บ้างใช้พลังแสงซึ่งส่องออกมาจากดวงแก้ว ก็มี ฯลฯ ดังนั้น ผมจึงต้องเตือนท่านว่าเครื่องมือเหล่านี้ ทำให้ท่านหลงคิดว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว ทั้งๆ ที่มันยังไม่ใช่ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากอำนาจจิตในการบำเพ็ญบารมีของท่าน เท่านั้นมันยังไม่ใช่การบรรลุธรรมที่แท้จริง ในการบรรลุธรรมที่แท้จริง จะไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆ และไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือของทิพย์ใดๆ อีกต่อไปแล้ว



จิตประภัสสร ยังไม่เกิดปัญญา แค่บริสุทธิ์เฉยๆ จำต้องชิมรสนิพพาน !


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ จิตนั้นมีลักษณะประภัสสร คือ บริสุทธิ์อยู่ในตัวเองแล้ว สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ในที่นี้คือ "กิเลส" ซี่งไม่ใช่ตัวจิต ไม่ได้อยู่ในจิต ไม่ได้เกาะเกี่ยวกับจิตแต่อย่างใด เหมือนกับ "ดวงจันทร์กับเมฆที่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน" ท่านจึงไม่ต้องไปขัดถูจิตอีก เพียงรอจังหวะที่มันไม่เที่ยง กิเลสเกิดแล้วดับเองได้ เกิดดับๆ อย่างนั้น เรียกว่า "ของจร" หรือ "กิเลสจร" คือ เหมือนเมฆน้อยลอยเลื่อนจรมาแล้วจรไป เกิดแล้วก็ดับไปเอง เมื่อใดที่ถึงจังหวะกิเลสดับ ก็ไม่มีอะไรบดบังจิต ถ้านิพพานอยู่ตรงหน้าจิต จิตก็เข้าถึงนิพพานได้ เช่น ถ้าพิจารณาวิญญาณขันธ์จนวิญญาณขันธ์นิพพานแล้ว ขณะที่ไม่มีกิเลสบดบัง ก็สามารถบรรลุอรหันตผลได้เลย ไม่ต้องไปขัดถู ทำความสะอาดจิตแต่อย่างใดเพราะจิตนั้นประภัสสรอยู่แล้ว ส่วนที่ท่านเคยอ่านมาพบว่าจิตมี 121 ดวงนั้นพระอาจารย์ท่าน "แต่งเพิ่มภายหลัง" เป็นของเถรวาทก็จริง แต่ไม่ใช่ของดั้งเดิม เป็นของแต่งเพิ่ม ท่านเรียกกันว่า "พระอรรถกาจารย์" คือ พระอาจารย์ผู้รจนาธรรมเพิ่มเติมจากของเดิม มันไม่ใช่ของดั้งเดิมแต่ก่อน เหมือนของมหายานก็มีแต่งเพิ่มเติม (แต่เถรวาทไม่ยอมรับว่าตนก็มีแต่งเพิ่มเหมือนกัน บางท่านนะ) ท่านแต่งไว้เพื่อพิจารณาในแบบที่เฉพาะตัวของท่านเอง ภายหลังเราเรียกจิตแบบนั้นว่า "จิตสังขาร" คือ ผลที่เกิดหลังจากจิตที่ถูกปรุงแต่งแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ "จิตประภัสสร" ซึ่ง "จิตสังขาร 121 ดวงนี้" ไม่มีในคำสอนเดิมด้วย เอาละ ท่านพอนึกภาพออกหรือยัง? จิตจริงๆ บริสุทธิ์ แต่ก็ยังซื่อใสบริสุทธิ์อยู่ยังไม่เกิดปัญญาจนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน หรือได้ชิมนิพพาน (พูดแบบบ้านๆ แบบอุปมา) คือ เหมือนคนโง่ที่บริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนแต่ยังไม่รู้จักนิพพาน มีกิเลสมาขวางคั่นไว้ พอกิเลสดับไป (ตามหลักอนิจจัง) มันก็พร้อมบรรลุธรรมได้



เมื่อพิจารณาของทิพย์จนถึงนิพพานแล้ว ท่านก็จะได้ "ฤทธิ์พร้อมธรรม"


ต่อไปที่ท่านควรทราบคือ เนื่องจากการพิจารณาของทิพย์จนถึงนิพพานนั้นเป็นการบรรลุธรรมแบบ "เจโตวิมุติ" ดังนั้น ท่านจึงได้อิทธิฤทธิ์พร้อมด้วยบรรลุธรรมในคราวเดียวกันและเป็นสิ่งที่ท่านควรทำเพราะจะช่วยให้ท่าน "เก็บของเก่า" กลับคืนสู่นิพพานได้ ไม่เหลือทิ้งไว้ในสามภพนี้ และไม่ต้องให้ใครมาสืบทอดต่อไป เพราะการสืบทอดต่อไปนั้นหมายถึง การนำไปใช้ก่อให้เกิดกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ล้วนแล้วแต่นำไปสู่ชาติภพใหม่ทั้งสิ้น และถ้าท่านบรรลุธรรมแบบปัญญาวิมุติแล้วท่านไม่ได้ "เก็บของเก่ากลับคืนนิพพาน" ท่านก็จะได้อรหันต์แต่จะไม่ได้นิพพาน คือ ยังนิพพานไม่ได้ จนกว่าจะเก็บกวาดของเก่าของท่านเข้าไปสู่นิพพานด้วย เพราะของๆ ท่าน ถ้าท่านไม่เก็บกวาด แล้วจะให้ใครมาเก็บให้แทน? ท่านคือผู้บำเพ็ญบารมีมาได้ของสิ่งนั้น ท่านอื่นไม่ได้ทำมา ไม่มีส่วนสร้างมา แล้วเขาจะทราบได้อย่างไรว่ามันสร้างมาได้อย่างไร และจะนิพพานได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่ท่านเป็นผู้กระทำให้ของทิพย์เหล่านั้นถึงแก่นิพพาน? เอาละ ดังนั้น ท่านจึงมีภารกิจอีกประการหนึ่ง คือ "การเก็บของทิพย์เข้านิพพาน" ด้วย ก่อนที่ท่านจะนิพพานไปได้ ไม่เช่นนั้น ท่านอาจจะต้องอรหันต์แล้วรออยู่จนกว่าจะมีใครช่วยทำให้ของทิพย์ของท่านนิพพาน



ของทิพย์สามารถนิพพานได้ จากการใช้แบบไม่ก่อให้เกิดกรรมใหม่ๆ ?


สุดท้ายที่ท่านควรทราบคือ ท่านสามารถทำให้ของทิพย์นั้นๆ "นิพพาน" ได้ด้วยการ "ใช้แบบไม่ให้เกิดกรรมใหม่" ของทิพย์นั้นๆ ก็จะสิ้นสภาพในที่สุด เพราะการใช้งานมากถึงจุดหนึ่ง นั่นเอง ซึ่งท่านควรบำเพ็ญตนด้วยการใช้ของทุกอย่างจนพังไป เช่น ท่านใส่เสื้อ ก็ใส่จนกว่าจะขาดก็เลิกใส่ แต่อย่าเลิกใส่ทั้งที่ยังใช้งานได้เพราะว่ามันอาจจะเป็นเหมือนกับการฝึกจิตท่านให้ใช้ของไม่ถึงที่สุด ไม่ถึงนิพพาน ไม่ถึงจุดดับสลายได้นอกจากนี้ ท่านควรฝึกที่จะใช้ของต่างๆ ในทางโลก "โดยไม่ก่อให้เกิดกรรมใหม่" ทั้งฝ่ายบุญและฝ่ายบาป เพื่อไม่ให้เกิดกรรมใหม่สืบชาติต่อภพต่อไป ทว่า ถ้าท่านยังไม่รีบนิพพาน วิธีการต่างๆ ที่ผมได้แนะนำมานี้ก็ไม่จำเป็นสำหรับท่านเลย ท่านไม่จำเป็นต้องรีบเก็บกวาดของเก่า ของท่าน ท่านสามารถปล่อยไว้ในสามภพที่ใดที่หนึ่ง ที่มีเทพ-เทวดาดูแลให้หรือสืบทอด "ของทิพย์วิเศษ" นั้นๆ แก่ผู้อื่นที่เหมาะสมต่อไปก็ได้ เพื่อที่ท่านจะได้ "ใช้ในการเวียนว่ายในสามภพนี้" ต่อไปในชาติภพเบื้องหน้า


ขอพลังของสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยประสานแสงธรรมแก่ท่าน สวัสดี



23 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment