ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

สิ่งศักดิสิทธิ์จะอวตารมาในปางใดเพื่อช่วยโลกในยุคใดกันบ้าง?

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล็กๆ คือ เรื่อง "การจุติของเทพเทวดา" ซึ่งมีหลายแบบ เป็นเกร็ดความรู้ ให้ฟังกันง่ายๆ นะครับ แต่คิดว่ามันจะมีประโยชย์พอที่จะช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากการถูกครอบงำด้วย "ตัวปลอม" ได้ครับ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาคุยกันง่ายๆ เลย


การจุติของเทพเทวดา อย่างไรที่เราจะเรียกว่า "อวตาร" และ "ปาง"?


เอาละ อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจก่อนคือ การจุติของเทพเทวดา อาจจะมาจากหลายสาเหตุ 1. หมดบุญ 2. ต้องโทษทัณฑ์ 3. อาสามาเกิดเอง 4. รับ "กิจ" จากสวรรค์ ฯลฯ เอาละ อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ คำว่า"อวตาร" นั้น จะใช้เฉพาะเทพเทวดาที่จุติมาตามแบบที่ 4. คือ รับกิจจากสวรรค์ ซึ่งท่านจะมาเกิดแล้วมี "รูปนาม" ที่เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพระนารายณ์อวตารลงมาเกิด ท่านจะไม่เหลือมีรูปนามเดิม เป็นนารายณ์อีก นี่คือ ความไม่เที่ยง ท่านจะมีรูปนามใหม่ ตามแต่สวรรค์ จะกำหนดให้เช่น หมูเผือก (ปางที่ 1), เต่าทอง (ปางที่ 2) ฯลฯ คือ ท่านอาจลงมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ได้ (รูปนามเปลี่ยนไป) และเมื่อตายลงแล้วจากชาตินี้จะต้อง "ท่องไปในวัฏฏะสงสารเอง" นั่นหมายความว่า พระนารายณ์องค์ใดที่ยอม "อวตาร" ลงมาในปางใดปางหนึ่ง ท่านต้องยอมสละ "ความสุขในวิมานของตน" แล้วลงมาเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร ในรูปนามอื่น ซึ่งยังไม่ทราบเลยว่าเบื้องหน้าถัดจากชาติที่อวตารแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรต่อไปแต่ก็ต้องมี "ผู้เสียสละ" เมื่อมีผู้เสียสละแล้ว เหล่าทวยเทพฯ ต่างก็จะช่วยอำนวยพรชัย และคอยช่วยเหลือท่านมากมาย อย่างแรกเลย พระพรหมก็จะช่วยเปิด "ยุคสมัยให้ท่าน" มียุคสมัยของตนเอง ท่านจะเป็นหนึ่งในยุคของท่านนั้นๆ และเหล่าพราหมณ์ทั้งหลาย จะได้รับสาร์นจาก องค์พรหมเพื่อรอคอยพร้อมต้อนรับการ "อวตารมา" ของสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ สืบต่อไป



คำว่า "ปาง" และ "ยุคสมัย" ของสิ่งศักดิสิทธิ์แต่ละองค์ต่างกันไฉน?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ คำว่า "ปาง" นั้น ท่านจะนับให้เฉพาะท่านที่ได้รับ "กิจจากสวรรค์" เท่านั้น การจุติลงมาโดยไม่ได้รับกิจจากสวรรค์เช่น ลงมาเก็บบารมีเพิ่มของตนเอง เมื่อเห็นท่านอื่นๆ ได้รับกิจสวรรค์ลงมาตนก็ลงมาช่วยบ้าง จะได้บารมีบ้าง อย่างนี้ เขาไม่นับ "ปาง" ให้ แต่จะนับปางให้เฉพาะ "ภาคกิจจากสวรรค์" เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากิจของพระนารายณ์ใน "กัปนี้" มีทั้งหมด 10 ชาติที่ต้องลงมากระทำ ท่านก็จะนับให้ว่ามี "10 ปาง" จากนั้น เจ้าสวรรค์ท่านก็จะเรียกประชุมองค์ที่มีบารมีคือ พระนารายณ์ทั้งหมด สมมุติว่าในพรหมโลก มีทั้งหมด 1 ล้านองค์ ท่านก็จะเรียกถามความสมัครใจก่อนว่า "พระนารายณ์องค์ใด ที่จะยอมสละตนลงไปเกิดในปางใดบ้าง?" ถึงตอนนี้ ก็จะเหลือไม่มากนักจากนั้น ก็ค่อยมาคัดตามคุณสมบัติและความเหมาะสมอีกทีเช่น ถ้ามี 1 แสนองค์อาสาเป็น "ปางกัลกี" (ได้เกิดเป็นมนุษย์) แต่มีเพียง 0 องค์ ที่อาสามาเป็น "ปางวราหาวตาร" (หมูป่า) อย่างนี้ ของมันก็แน่อยู่แล้ว ใครๆ ก็ต้องอยากได้ปางดีๆ ใช่ไหมครับ แต่สุดท้าย ก็ต้องเลือกตามคุณสมบัติที่เจ้าสวรรค์ท่านจะทราบดีด้วย "ญาณของท่าน" ว่าท่านใดเหมาะสมที่จะอวตารลงมาในปางใด ท่านก็จะประชุม จัดสรร กันจนได้ครบ 10 ปาง จึงจะนับปางให้ท่านเหล่านั้น และท่านเหล่านั้นเมื่อได้ปางแล้ว ท่านก็จะได้มีบริวารเทพเทวดาที่คอยช่วยเหลือ "ทั้งสวรรค์" เพื่อให้ภารกิจของท่านนี้ประสบผลสำเร็จ และหลังจากลงไปเกิดแล้ว ท่านจะเวียนว่ายในวัฏฏะนี้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับท่านเองแล้ว อันนี้ "ต้องพึ่งตัวเอง" ไม่มีผู้ใดช่วยได้เมื่อท่านได้ปางแล้ว ท่านก็จะได้ "ยุคสมัย" ของตัวเองตามมาด้วย กล่าวคือ ท่านจะมาเกิดในยุคสมัยของตนๆ ก็จะยิ่งใหญ่มากในยุคสมัยนั้นๆ ไม่มีใครเหนือกว่าได้ ท่านก็นั่งรอยุคสมัยของตนไปบนสวรรค์ จนกว่าจะถึงวาระท่านก็จะ "อวตาร" ลงมาในรูปลักษณ์นั้นๆ เพื่อทำกิจของตนต่อไป



เทพเทวดาที่ไม่ได้จุติมาในรูปปางนั้น สามารถมาได้ในรูปแบบใดบ้าง?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ เทพเทวดาไม่จำเป็นต้องรอให้ได้รับ "ปาง" ก่อน สามารถจุติลงมา "ก่อนจะหมดอายุขัยบนสวรรค์" ก็ได้ เพื่ออะไรก็เพื่อหลายสาเหตุครับ เช่น 1. เพื่อเก็บบารมีเพิ่ม 2. เพื่ออวตารใหม่3. เพื่อชดใช้ความผิดบนสวรรค์ และ 4. เพราะว่าหมดวาระบุญแล้วฯลฯ เอาละ เราจะมาพูดกันทีละกรณีไป ท่านจะได้เข้าใจนะครับ เช่น กรณีที่ 1 คือ มาเก็บบารมีเพิ่ม เช่น เทพ-เทวดาและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่จุติลงมาเกิดในยุคนี้ เพื่อช่วยกิจพระพุทธศาสนา ตนก็จะได้บารมีเพิ่มครับ กรณีที่ 2 คือ จุติลงมาเพื่ออวตารใหม่ เช่น เดิมตนได้เสวยบุญบารมีในรูป "เทพ" อาจจะลงมาเพื่อบำเพ็ญให้ได้อวตารในรูป "เซียน" (แต่อวตารนี้ ไม่มีปางนะครับ เขาไม่นับปางให้) กรณีที่ 3 คือ ชดใช้ความผิดบนสวรรค์ เช่น เทพตือโป้ยก่าย ได้ทำผิดกฏบนสวรรค์ต้องโทษทัณฑ์มาเกิดเป็นหมูหลายชาติแล้วจึงเป็นคน ต้องพบความรักที่สุดแสนรันทดอีกหลายชาติ เมื่อพบพระถังซัมจั๋งแล้ว จึงจะหมดกรรมได้ขึ้นสวรรค์ตามเดิม เอาละ และแบบที่ 4 หมดบุญนี้ คงไม่ต้องอธิบายมากนะครับ หมดบุญแล้วก็ต้องจุติตามระเบียบนั่นเองครับทีนี้ ผมขออธิบายเพิ่มในกรณี "อวตาร" เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่กันบ้าง ยกตัวอย่างเช่น จากรูปลักษณ์ "กษิติครรภ์" สามารถอวตาร มาเพื่อจะได้รูปลักษณ์ใหม่เป็น "เมตตรัยโพธิสัตว์" ก็ได้ครับ อันนี้ พอจะเข้าใจไหมครับ? อย่าไปยึดว่าความเป็นรูปลักษณ์กษิติครรภ์ หรือพระเมตตรัยยะนี่เป็น "ตัวตนของตน" ของใครคนใดคนหนึ่งนะครับ มันก็ไม่ต่างจากรูปลักษณ์ของพญานาค, พญาครุฑ ฯลฯ ที่ก็มีได้หลายตนดังนั้น แม้แต่พระกวนอิมฯ ก็ "อวตาร" ลงมาเป็น "พระกาลี" ก็ได้ครับ



เทพเทวดาที่ไม่ได้จุติมาในรูปใดเลย สามารถใช้วิธีใดบ้างทำกิจบนโลก?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ แล้วถ้าเทพเทวดาไม่ได้จุติลงมาบนโลก ท่านจะมีวิธีทำกิจของตนได้อย่างไรบ้าง ก็มีได้หลายแบบครับ เช่น 1. ลงมาประสานงานกับมนุษย์ชั่วคราว 2. ประสานพลังกับสังขารมนุษย์ 3. แบ่งภาคส่วนลงมาแทนตน ฯลฯ ลองมาดูแบบแรกก่อน คือ การลงมาประสานงานกับมนุษย์ ก็ไม่ยากครับ มาได้ 2 กรณี 1. เจ้าสวรรค์ท่านให้กิจจึงลงมาได้ 2. เพราะมนุษย์ร้องขอ ถือเอาเป็นกิจนิมนต์ ก็ได้ครับ เช่น "วันไหว้เจ้า" ถ้ามนุษย์ไหว้ท่านๆ ประสงค์จะลงมาให้พร ท่านก็มาได้ครับ อ้างเหตุนี้ลงมาได้ แต่ต้องผ่าน "พระอินทร์" ก่อน สมมุติว่าท่านมาจากพรหมโลกก็ดี หรือ "สุขาวดีโลกธาตุ" ก็ดี ก็มาที่สวรรค์ชั้นที่สองก่อน ติดต่อที่ "กองอำนวยการ คือ พระอินทร์" ครับ แค่เรื่องจัดเวรเทพเทวดาที่จะลงมาเกี่ยวข้องกับโลกนี้ ก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย พระอินทร์เหนื่อยแลว ไม่มีเวลาที่จะไปใช้บัญชีบุญกรรม ดูกรรมของสัตว์ทีละกรรม ทีละตนได้ไหวนะครับ เอาแค่ใช้ "การจัดตารางเวรเทพเทวดา" นี่ ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วครับ พระอินทร์จึงเป็น "ศูนย์กลางของการโปรดสัตว์โลก" สำหรับเทพเทวดาที่มาจากทุกสารทิศก็มาติดต่อท่านก่อนทั้งหมด เอาละ เราจะเรียกท่านว่า "เง็กเซียนฮ่องเต้ฯ" ก็แล้วกัน จะได้เข้าใจ นึกภาพออก ทีนี้ ลองมาดูเทพเทวดาที่ประสานพลังกับมนุษย์บ้าง แบบนี้ท่านจะเลือก "ร่างสังขาร" ที่เหมาะสมนะครับ แล้วจึงประสานพลังลงมา ทำให้คนๆ นั้นเหมือน "ตัวแทน" ของท่าน บ้างก็จะเป็นร่างทรง ก็มี แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นร่างทรงนะครับ ทำตัวเหมือนคนปกติ แต่ได้รับพลังจากท่าน อันนี้ ก็ได้เหมือนกัน ส่วนแบบสุดท้าย คือ การแบ่งภาคให้ "ตัวตน" อีกตัวหนึ่งลงไปทำกิจโปรดสัตว์ แล้วท่านก็จะคอยช่วยอยู่ในสวรรค์อีกที แบบนี้ ก็เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด ใน "สุขาวดีโลกธาตุ" นะครับ



"เทพนอกรีต" จะไม่ได้อยู่ในระบบการทำกิจแบบนี้ แล้วพวกเขาทำยังไง?


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจ คือ นอกจากระบบปกติที่ผมกล่าวถึงมาแล้วนี้ ยังมี "เทพนอกรีต" ที่ทำหน้าที่นอกระบบออกไปอีก เอาละ พวกเขาก็คือ เทพที่ "หนีทัณฑ์สวรรค์ลงมา" กบดานในโลกมนุษย์ที่เราเรียกว่า "ซาตาน" ก็ดี ภาคมืด ก็ดี นั่นแหละ ทีนี้ เขาก็ทำกิจเหมือนกับว่าเป็นเทพที่ถูกต้องเลย คำถามคือ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรละครับ ว่าเรากำลังประสานงานอยู่กับผู้ที่ทำตามกฏสวรรค์หรือว่า "เทพนอกรีต" นี่ละปัญหาละ? เพราะมันเหมือนกันมาก จนแทบแยกแยะไม่ออกเลย เทพนอกรีต ก็ทำกิจเหมือนเดิม เพราะเขายังไม่ตายจากความเป็นเทพ เขาก็ดูเหมือนเดิมทุกประการ มนุษย์ก็ไม่รู้เขาได้รับกิจสวรรค์มาไหม? มาอย่างถูกต้องหรือไม่? บางก็มาทำดี มาให้พรแก่เรา ฯลฯ อย่างนี้ เราจะทราบได้อย่างไรละว่าเขามาแบบไหน? นอกรีตหรือไม่? คำตอบคือ "มนุษย์ไม่มีทางรู้หรอก" นอกจากจะมี "ญาณขั้นสูง" ที่มากพอจะเชื่อมต่อกับ "เจ้าสวรรค์ได้" ก็จะถามท่านได้โดยตรงว่าท่านนี้มาทำกิจตามบัญชาสวรรค์หรือไม่? แล้วทั้งเทพที่มาอย่างถูกต้องและเทพนอกรีต ก็ทำงานแข่งกันบนโลก อย่างนี้ มนุษย์จะแยกแยะได้ยังไง? เป็นไปได้ยากมากครับ แต่ถ้าท่านมีปัญญาจริงๆ ท่านก็อาจจะเข้าใจได้เช่น ถ้าท่านเข้าใจเรื่อง "ยุคสมัย" และ "ปาง" ท่านก็จะทราบว่าภายใน 5,000 ปีนี้เป็นยุคสมัยของ "พระนารายณ์ปางที่ 9" หรือ "พระพุทธเจ้า" นั่นเอง ไม่มี "นารายณ์องค์อื่น" มาอีก ถ้าท่านเห็น "รูปลักษณ์ของนารายณ์มาโปรดท่าน" แสดงว่าเขาไม่ใช่อวตารครับ เพราะถ้าอวตารไปแล้วจะไม่เหมือนเดิม แต่จะเหมือนรูปลักษณ์ที่สวรรค์กำหนดไว้ให้นะครับดังนั้น ถ้ามีพระนารายณ์รูปลักษณ์นี้มาติดต่อท่านก็ต้องเช็คว่าท่านมาได้อย่างไร? ถูกกฏสวรรค์หรือเปล่า? ยิ่งถ้ามาแบบ "ตามกิเลส" ของเรา ก็ต้องระวังหน่อย เช่น เราอยากได้ตำแหน่ง ส.ส. อ้าว ท่านก็มาให้พร นี่มันก็แปลกๆ อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น ถ้าเจอแบบนี้ ก็ควรระวัง ตั้งสติ นะครับ



สิ่งศักดิสิทธิ์ "อวตาร" มาในปางต่างๆ อาจทำกิจที่ส่งผลลบต่อมนุษย์ได้


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจคือ เทพสวรรค์ที่มาในปางต่างๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องมา "สนองกิเลสมนุษย์" เลยแม้แต่น้อย แต่ท่านมาด้วย "กิจสวรรค์" ซึ่งก็อาจนำมาซึ่งภัยต่างๆ แก่มนุษย์ก็ได้ ทว่า นั่นอย่าได้โทษใครอื่นเลย คนที่ได้รับผลร้าย ภับพิบัติทั้งหลาย ก็ล้วนได้รับเพราะ "กรรมของตน ก่อไว้เป็นเหตุมาก่อนทั้งนั้น" เช่น พระกาลี เมื่อท่านอวตารลงมา ใน "กลียุค" ก็จะมาพร้อมความมืดมนและการเข่นฆ่ามากมาย แต่อย่าไปโทษท่านละมันเป็นกรรมของปวงสัตว์ในยุคนั้น สมัยนั้น ทว่า ท่านจะลงมาหรือทำกิจก่อนยุคของท่านไม่ได้ เช่น ในยุคนี้ ยังไม่ใช่ "กลียุค" เพราะยังเป็นยุคที่พระพุทธเจ้าทำกิจอยู่จนกว่าจะครบ 5,000 ปี ยังนับว่าอยู่ในยุคนารายณ์ปางที่ 9 อยู่ จะยังไม่ใช่ "กลียุค" ยังไม่ใช่ "ยุคของพระกาลี" อันนี้พอจะเข้าใจ ใช่ไหมครับ? (ก่อนหน้าที่ ก็มีคนเข้าใจผิดเยอะมากว่ายุคนี้เป็นกลียุค ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่นะครับ) เอาละ ตราบใดที่ท่านทั้งหลาย ยังคงช่วยให้พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ต่อไป มันจะไม่เกิด "กลียุค" ขึ้นครับ ท่านพอเข้าใจหรือยัง? มันจะยังเป็นยุคของการ "รักษา" อยู่คือ เราต้องรักษาพระพุทธศาสนาไว้ เหมือนแนวทางของพระนารายณ์เทพแห่งการรักษานี่เอง พอเข้าใจนะครับ ส่วนอีกพวกหนึ่งที่บอกว่า "พระศรีอาร์ฯ" จะมาเป็นใหญ่แล้วในยุคนี้ ก็ไม่ใช่นะครับ ยังไม่ใช่ยุคของท่านเลย มันยังไม่ถึงครับรอไปอีกครับ รอให้หมดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นี้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน แต่ก็มีบางท่านพยายาม "สวมรอยเป็นพระศรีอาร์" และตั้งตนเป็นใหญ่สร้างยุคสมัยของตนเองขึ้น ในขณะที่พระศรีอาร์ฯ องค์จริงนี้ ก็ลงมาครับแต่มาแต่ลงมาแบบ "เก็บบารมีส่วนตัว" เหมือนพระบรมโพธิสัตว์ที่ต้องมาสร้างบารมีของตนนะครับ ไม่ได้มาในฐานะ "ปางใด" ดังนั้น ท่านจึงยังไม่ได้มี "ยุคสมัยของตน" มันยังไม่ใช่ยุคของท่าน ทำอะไร ก็ไม่ได้ดีนักครับ ยังมีความยากลำบากไปหมด เหมาะกับการสร้างบารมียิ่งยวดครับ ดังนั้น ท่านก็ไม่ต้องมีชื่อเสียง หรือความเด่นดังเป็นที่รู้จักอะไรเลย เพราะมันไม่จำเป็นในการ "ลงมาเก็บบารมี" ครับ แบบนี้ เขาจะลงมาเงียบๆ เก็บบารมีเงียบๆ เพราะถ้าดังมากไป ก็จะไม่ได้บารมีนะครับ มันจะบำเพ็ญเพี้ยนไปหมดเลยส่วนหนึ่ง บางตัวตนของท่าน ก็ลงมา "ค้ำศาสนา" ครับ แบ่งงานกันไป ก็มี "หลายตัวตน" นี่ครับ ภาระหน้าที่ก็มีหลายอย่าง ตัวตนไหน จับงานใดได้ ที่สร้างบารมีให้แก่ตัวได้ ก็จับงานนั้นไป ทำไป เพราะถ้าไม่ทำก็จะไม่มีบารมีเลี้ยงตัว เมื่อเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารแล้วก็อาจไม่รอดจากนรกครับ



สิ่งศักดิสิทธิ์ที่ไม่ได้ "อวตาร" มาในปางต่างๆ อาจเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ได้


ต่อไปที่คุณควรเข้าใจคือ สิ่งศักดิสิทธิ์ที่ไม่ได้อวตารลงมาในปางใดๆ ก็อาจกลายเป็น "ที่พึ่ง" ของมวลมนุษย์ได้ เช่น ในกลียุคนั้น พระกาลี ได้รับกิจสวรรค์ลงมาโดยตรง โลกจะมืดมน เต็มไปด้วยการเข่นฆ่า ทว่า ยังมีเหล่าสิ่งศักดิสิทธิ์อีกกลุ่มที่อาจจะไม่ได้รับโองการสวรรค์ลงมา แต่ท่านก็อาจทำกิจที่ตรงข้ามและขัดแย้งกับสวรรค์ได้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากเวรกรรมเหล่านั้น "ด้วยบารมีของท่านเอง" ดังนั้น ท่านควรเข้าใจในเทพ-เทวดาด้วยว่า "พวกเขาต้องทำตามบัญชาสวรรค์" แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ส่งผลลบต่อมนุษย์ก็ตาม ท่านควรให้เกียรติ์เทพเทวดาเหล่านั้น ทว่า ท่านก็ยังสามารถร้องขอหรือเชื่อมต่อกับ "เทพเทวดาเหล่าอื่น" ที่ไม่ได้มีปางลงมาเกิด เพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านั้น ได้เช่นกันทว่า ท่านเหล่านี้ "จะต่ำต้อย" และขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง ทำอะไร ก็ไม่ขึ้น เพราะไม่ใช่ยุคของท่าน ท่านจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ มากไม่ได้ท่านก็ต้องมีสภาพที่ตกต่ำและไม่อาจจะช่วยเหลือใครได้มากนัก แบบนั้นเป็นธรรมดา ไม่ว่าท่านจะเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน เช่น เป็นพระศรีอาร์มาเกิด ถ้าไม่ใช่ยุคของท่านๆ ก็ต้องต้อยต่ำ เป็นธรรมดา แต่ถ้าท่านจะฝืนกรรม ฝืนธรรมชาติ เข้าร่วมกับ "ภาคมืด" เมื่อไร ท่านก็อาจได้รับการปั้นให้ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย มีชื่อเสียง มีอำนาจ มีพวกพ้องบริวาร มากมายได้ ทว่าสุดท้าย ท่านก็จะต้องพบกับความมืดมน และตกลงสู่ภพมืดในที่สุด นั่นเอง


ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยให้ท่านตื่นจากโลกนี้เถิด สวัสดี



21 ส.ค. 2555


"เสียงจากพระบุตร"
รับสื่อสารโดย


瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment